งานศลิ ปหัตถกรรมประเภท ผา้ มง้ - เขยี นเทยี น ผา้ มง้ - เขยี นเทยี น 1
การเขยี นเทยี น เปน็ ศลิ ปะการสรา้ งลวดลายบนผืน แล้วน�ำไม้ไผ่ติดปลายด้วยโลหะ จุ่มลากข้ีผึ้งเหลวให้เกิดเป็น ผา้ เปน็ เอกลกั ษณอ์ นั โดดเดน่ อกี แบบหนง่ึ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธม์ุ ง้ ลวดลายตามจินตนาการ มักพบเห็นความแปลกตาน้ีได้จาก ทีม่ ีการทำ� กันในกลุ่มม้งลายเทา่ นั้น เป็นภมู ปิ ัญญาและศิลปะ ลวดลายบนกระโปรงของม้ง ท่ีท�ำข้ึนจากผ้าฝ้ายและย้อมสี โบราณด้ังเดิมท่ีเป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษถ่ายทอด ครามหรือห้อมท้ังผืนเป็นความสามารถของผู้หญิงชาวม้งทุก สบื ตอ่ กนั มาจากรนุ่ สรู่ นุ่ หลายชว่ั อายคุ น และยงั คงสบื ทอดมา คนทไี่ ดเ้ รยี นรสู้ บื ตอ่ มาจากบรรพบรุ ษุ ผา้ มง้ เขยี นเทยี นจงึ เปน็ ถงึ ปจั จบุ นั เปน็ การสรา้ งลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยการนำ� ขผ้ี ง้ึ ไปตม้ ที่รู้จกั และนิยมกนั อย่างแพรห่ ลาย การเขียนเทียน ผา้ มง้ - เขยี นเทยี น 2
กระโปรงอดั กลีบท�ำจากผ้าม้งเขียนเทียน ผา้ มง้ เขยี นเทียน เอกลกั ษณ์ทสี่ ะท้อน ผา้ เขยี นเทยี น เปน็ ผา้ ทช่ี นเผา่ มง้ ผกู พนั ธค์ มู่ ากบั ความเปน็ ภมู ิปญั ญาและทกั ษะเชิงช่าง ชนเผา่ ผหู้ ญงิ ชาวมง้ ลายทกุ คนมคี วามสามารถในการวาดลวดลาย เขยี นเทยี นลงบนผนื ผา้ ทตี่ ระเตรยี มไวไ้ ดอ้ ยา่ งละเอยี ดซบั ซอ้ น เทคนิคการเขยี นเทยี น มีลกั ษณะคลา้ ยการทำ� ผา้ บาติก ผา่ นกระบวนการจนเสรจ็ สน้ิ เปน็ ผนื ผา้ สำ� เรจ็ ทส่ี วยงาม ผา้ มง้ ทร่ี จู้ กั กนั แพรห่ ลายในปจั จบุ นั โดยใชอ้ ปุ กรณแ์ ทง่ เลก็ ๆ ทำ� จาก เขยี นเทยี นจงึ เปน็ ทรี่ จู้ กั และนยิ มกนั อยา่ งแพรห่ ลาย สว่ นใหญ่ ไมก้ บั ทองแดงทเี่ รยี กวา่ หลาจงั จมุ่ ลงบนเทยี นหรอื ขผี้ ง้ึ รอ้ นๆ นยิ มน�ำมาใช้ตดั เย็บเป็นกระโปรงผ้หู ญิง ในอดตี น้ันหญงิ ชาว แลว้ นำ� มาวาดลวดลายบน ผา้ ใยกญั ชง หรอื ผา้ ฝา้ ยทเี่ ตรยี มไว้ ม้งจะบรรจงวาดลวดลาย เขียนเทียน แล้วน�ำไปย้อมสี และ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ กจ็ ะนำ� ผา้ ไปยอ้ มเยน็ ดว้ ยสนี ำ้� เงนิ ธรรมชาตจิ าก อดั กลบี แลว้ จงึ นำ� ไปตดั เยบ็ กวา่ จะผา่ นกระบวนการจนแลว้ เสรจ็ ต้นก้ัง (หรือ ต้นห้อมที่ให้สีน�้ำเงิน) เม่ือผ้าท้ังผืนกลายเป็น เปน็ กระโปรง 1 ตวั อาจตอ้ งใชเ้ วลาในการทำ� ยาวนานถงึ เกอื บ 1 ปี สนี ำ้� เงนิ เขม้ ตามตอ้ งการแลว้ จงึ นำ� ผา้ ไปตม้ ดว้ ยความรอ้ นให้ เพอื่ ใหไ้ ดก้ ระโปรงทห่ี ญงิ สาวชาวมง้ จะใชส้ วมใสท่ สี่ วยงามทส่ี ดุ เทยี นละลาย กจ็ ะไดผ้ า้ สนี ำ้� เงนิ มลี วดลายเขยี นเทยี นเปน็ สขี าว กระจายสวยงามอยทู่ วั่ ทงั้ ผนื แลว้ นำ� ไปพบั อดั กลบี เปน็ กระโปรง ลวดลายบนผนื ผา้ แตล่ ะผนื มกั จะมคี วามแตกตา่ งกนั ไป หรอื อาจนำ� ไปปกั ลวดลายตา่ ง ๆ ดว้ ยดา้ ยหลากหลายสสี นั แลว้ ตามความชํานาญของผูว้ าด มีท้ังลายดั้งเดิมท่สี บื ทอดต่อกนั มา จงึ น�ำมาสวมใส่เปน็ ชุดประจำ� ชนเผา่ ทง่ี ดงาม และลวดลายท่เี กิดจากจติ นาการการสร้างสรรคใ์ หมผ่ สมผสาน เข้าไป ลายผ้าม้งอาจจะมีการปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ตามความต้องการของตลาดผู้บริโภคในปัจจุบันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังมีลักษณะลวดลายที่สะท้อนความเป็นชนเผ่าม้งให้ ปรากฎอยบู่ นผืนผ้าแตล่ ะผนื เช่น ลายกากบาท ลายกน้ หอย ผ้าลายม้ง จึงเป็นท่ีนิยมทั้งกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติใน ปจั จุบนั ผ้ามง้ - เขยี นเทยี น 3
ความเป็นมาของผา้ มง้ เขยี นเทียน ผ้าทอจากเสน้ ใยกญั ชง การเขยี นเทยี นของชนเผา่ มง้ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ที่ ผา้ มง้ - เขยี นเทยี น 4 สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคท่ีบรรพบุรุษของม้งยังอาศัยอยู่ในผืน แผน่ ดินจนี ตอ่ มาเกดิ ปญั หาข้าวยากหมากแพง มสี งครามรบ พงุ่ กนั ในประเทศ ชนเผา่ มง้ จำ� นวนมากไดอ้ พยพหนภี ยั เรร่ อ่ น ลงมาตามยถากรรม กระจายไปอาศยั อยใู่ นพมา่ ลาว เวยี ดนาม และบางกลมุ่ เดนิ ทางรอนแรมลงมาจนถงึ ประเทศไทย โดยเรม่ิ ตงั้ รกรากบรเิ วณเทอื กเขาสูงชายแดนภาคเหนือของไทย ในยุคนั้น ทุกอย่างขาดแคลน เสื้อผ้า เคร่ืองนุ่งห่ม ม้ง อพยพบางบา้ นมีข้าวของตดิ ตัวมาได้แคเ่ พียงเลก็ น้อย คนทีม่ ี เมลด็ กญั ชงตดิ ตวั มาดว้ ย กอ็ าศยั เมลด็ กญั ชงนเี้ องเปน็ ทางออก โดยการนำ� มาปลกู และลอกเอาใยจากตน้ กญั ชงมาตำ� ใหน้ ม่ิ ใน ครก แลว้ มามดั ตอ่ กนั เปน็ เสน้ ยาว แชน่ ำ้� ขเี้ ถา้ เพอื่ ฟอกใหข้ าว ก่อนจะเอาไปทอเปน็ ผนื ผา้
ผา้ ทไ่ี ดจ้ ากใยกญั ชงนน้ี ยิ มนำ� ไปทำ� เครอ่ื งนมุ่ หม่ เพราะ แตก่ ท็ ำ� ใหก้ ารทำ� ผา้ ของมง้ เรม่ิ เปลยี่ นมาเปน็ ผา้ ฝา้ ยเพอ่ื ทดแทน เปลอื กของกญั ชงมคี ณุ สมบตั ใิ นดา้ นความคงทนแขง็ แรงของมคี ม วตั ถดุ บิ เดมิ อกี ทงั้ สงั คมโลกเปลยี่ นแปลงเจรญิ ขนึ้ มกี ารตดิ ตอ่ กรีดไม่เขา้ เวลาท�ำเป็นเสอ้ื ผ้าก็ไมเ่ กดิ เช้ือรา สามารถป้องกัน ส่ือสารท่ัวถึงกัน ม้งท่ีเป็นคนรุ่นหลังเริ่มคิดอยากให้เสื้อผ้าที่ ไรฝนุ่ ระบายกลน่ิ ระบายความชื้น และกันน้ำ� ไดด้ อี กี ด้วย สวมใส่ มสี สี นั ลวดลายสวยงามแปลกตาขน้ึ แตใ่ นสมยั โบราณ ไม่มีสีจากสารเคมีจ�ำหน่ายเหมือนปัจจุบัน ภูมิปัญญาของม้ง ต่อมาการปลูกต้นกัญชงเพื่อน�ำใยมาทอเป็นเส้ือผ้า อาศัยความช่างสังเกต เห็นว่าสมุนไพรที่ใช้อยู่ในชีวิตประจ�ำ เกดิ ปญั หาขาดแคลน เนอ่ื งจากในประเทศจนี เองไดม้ กี ารประกาศ วันช่ือต้นครามมีสีครามติดมือล้างไม่ออก อีกท้ังยังให้สีสดใส จากภาครัฐห้ามไม่ให้ปลูกหรือซื้อขายต้นกัญชา ในฐานะพืช สวยงามเปน็ ประกาย จงึ มคี วามคดิ วา่ นา่ จะสามารถยอ้ มผา้ ตดิ ต้องห้ามเพราะมีสารเสพติด แต่ความเข้าใจผิดท�ำให้เกิดการ ไดท้ นนาน จนเกิดเป็นการน�ำผ้าฝ้ายไปย้อมสีครามเกดิ ข้นึ รอ้ื ถอนทำ� ลายไรก่ นั ชง ซงึ่ มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั ตน้ กญั ชาใน ทางพฤกษศาสตรเ์ ทา่ นนั้ ไมใ่ ชพ่ ชื ทเี่ ปน็ สารเสพตดิ เหมอื นกญั ชา ต้นกญั ชง ผ้าม้ง - เขียนเทียน 5
ส่วนของการคิดวิธีสร้างลวดลายให้กับเสื้อผ้าเพื่อให้ อุปกรณ์การเขียนเทียน ปัจจุบันม้งได้พัฒนาคิดผลิต เกิดความสวยงาม ในสมยั โบราณมง้ จะตอ้ งเข้าไปเกบ็ ขผ้ี ึ้งมา อปุ กรณ์แมพ่ มิ พ์ปมั้ ลวดลายต่าง ๆ แทนการเขียนดว้ ยมือ ใชว้ ิธี จากในปา่ นำ� มาตม้ ใหล้ ะลาย แลว้ นำ� ไมไ้ ผต่ ดิ ปลายดว้ ยโลหะ การปั๊มลวดลายที่เกิดจากการใช้ลวดลายกราฟฟิคสมัยใหม่ จุ่มลากขี้ผึ้งเหลวให้เป็นลวดลายตามจินตนาการของผู้เขียน สอดแทรกผสมผสานไปกบั ลวดลายดงั้ เดมิ ทเ่ี ปน็ มรดกตกทอด ลงบนผนื ผา้ เมอ่ื ขผ้ี ง้ึ เหลวเยน็ ตวั ลงเกาะตดิ กบั เนอ้ื ผา้ กน็ ำ� ไป มาแต่บรรพบุรุษของชนเผ่าม้งได้อย่างกลมกลืน ข้อดีของ ย้อมสคี รามที่ได้จากต้นครามหรือต้นห้อมตามธรรมชาติ ข้ีผ้งึ การป้มั แมพ่ ิมพค์ อื สะดวก รวดเรว็ และไดร้ ูปแบบของลายที่ ที่เขียนไว้จะกันไม่ให้ครามเกาะใยผ้า เมื่อน�ำผ้าที่ย้อมเสร็จแล้ว สวยสม�ำ่ เสมอ โดยผพู้ ิมพ์ผ้าไดค้ ดิ สรา้ งแม่พิมพเ์ ปน็ ลวดลาย ไปตม้ ให้ข้ีผึ้งละลายออก กจ็ ะได้ลวดลายบนผา้ ท่ีสวยงาม มากกว่าสิบแบบ ทง้ั ลายดง้ั เดิมของชาวมง้ หรือลายกราฟฟิค สมัยใหม่ท่ีผู้คนนิยม สามารถน�ำมาผสมผสานกันจนเกิดเป็น ลวดลายใหม่ ๆ ได้อีกมาก การพมิ พเ์ ทยี น ลายกือ้ ลายจา้ ขอหมัวฉอื ลายจ๊างหมี ลายจื๋อซจี ่วั ลายจ๊างลู่ ผ้าม้ง - เขยี นเทียน 6
เส้ือผ้าม้งเขียนเทยี นใส่ประจำ� ชนเผา่ ผ้าเขยี นเทยี นเป็นผ้าทีผ่ กู พนั กับชนเผา่ มง้ มายาวนาน นับต้ังแต่มีการคิดค้นลวดลายบนผ้าเพื่อให้ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า สวยใสไ่ ดส้ วยงาม สตรชี าวเขาเผา่ มง้ ทกุ คนมคี วามสามารถใน การเขยี นเทยี นวาดลวดลายบนผนื ผา้ ใหส้ วยงามไดอ้ ยา่ งวจิ ติ ร สบื ทอดจากรนุ่ สรู่ นุ่ นบั เวลาเปน็ รอ้ ยปี เพราะชาวมง้ ยงั คงปกั ผา้ เย็บผ้าและสร้างลวดลายเขียนเทียนบนผ้าแล้วตัดเย็บเป็น เสอ้ื ผา้ สวมใส่เอง ผ้ามง้ - เขียนเทียน 7
ความเชื่อและเรอื่ งราวที่เก่ียวขอ้ ง เขยี นผา้ กจ็ ะไดร้ บั การนบั หนา้ ถอื ตา ยกยอ่ งวา่ สามแี ละลกู ใน กับวิถชี วี ิตของชาวมง้ อนาคตจะมีเส้ือผ้าเคร่ืองนุ่มห่มใช้สอยไม่ขาดมือ ทำ� ให้ราคา คา่ ตวั ทผี่ ชู้ ายจะจา่ ยให้ กจ็ ะสงู เปน็ เงาตามตวั ไปดว้ ย จงึ ไมน่ า่ วถิ ขี องชาวมง้ นน้ั การเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ยเปน็ ประเพณวี ฒั นธรรม แปลกใจเลยทภ่ี าพวถิ ชี วี ติ ของชาวมง้ มกั ปรากฏเปน็ ภาพหญงิ ของชาวชนเผา่ มง้ ผ้หู ญงิ ม้งทุกคนจะถูกสอนให้ทอผา้ เย็บผา้ สาวก�ำลังเย็บปักผ้าหรือถักทอเสื้อผ้าเพ่ือคนในครอบครัว จนช�ำนาญต้ังแต่เล็ก เพราะงานในไร่นาและการตีเหล็กเป็น ในอดตี ผทู้ ่ีเป็นแม่จะต้องทอเสื้อของลูกให้เสร็จภายใน 1 วัน หน้าท่ีของผู้ชาย ในขณะท่ีผู้หญิงต้องรับผิดชอบเรื่องอาหาร โดยมีนัยส�ำคัญก็คือผ้าผืนแรก คือการสวมจิตและวิญญาณ และเสือ้ ผา้ เครื่องนงุ่ หม่ ของคนท้งั บา้ น ของชาวมง้ ใหอ้ ยูใ่ นตัวเดก็ นับจากวนั นจ้ี นถึงวันตาย เพ่ือให้ เด็กก้าวเดินอยา่ งมน่ั คงไปตลอดชีวติ ในทางเดนิ ที่ถูกทีค่ วร ดังที่มีคํากล่าวถึงวิถีชีวิตชาวม้งต้ังแต่โบราณกาลว่า “ผ้หู ญงิ ปักผา้ ผู้ชายตมี ดี ” โดยส่วนใหญ่ ผา้ ม้งที่จะน�ำมาใช้ตัดเยบ็ เป็นกระโปรง ผหู้ ญงิ ในอดตี ผหู้ ญงิ ชาวมง้ จะบรรจงวาดลวดลาย เขยี นเทยี น ผู้หญิงทที่ �ำผ้าไมไ่ ด้ ทอผ้าเยบ็ ผ้าไมเ่ ป็น จะไมม่ ผี ้ชู าย นาํ ไปย้อมสีและอดั กลีบ จงึ นาํ ไปตดั เยบ็ ตอ่ ดว้ ยข้ันตอนการ มาสนใจ เพราะประเพณมี ้งถือวา่ เปน็ ผูห้ ญิงทไี่ มม่ ีประโยชน์ ปกั ลวดลายตา่ งๆ ดว้ ยดา้ ยหลากหลายสสี นั กวา่ จะนำ� มาสวมใส่ จะท�ำให้ครอบครัวล�ำบากในภายภาคหน้า ลงเอยดว้ ยการไม่ เปน็ กระโปรงชดุ ประจาํ ชนเผา่ ทว่ี จิ ติ รงดงาม กระโปรงของมง้ ไดแ้ ตง่ งาน และกลายเปน็ หญงิ ทมี่ สี ถานภาพตำ�่ ตอ้ ยในชมุ ชน 1 ตัวท่เี ราพบเหน็ สว่ นใหญม่ ักตอ้ งใช้เวลาในการทาํ ยาวนาน ไม่มีใครอยากสนใจให้ความช่วยเหลอื หรือสมาคมดว้ ยอกี แต่ เกือบถึง 1 ปี ถา้ หญงิ สาวมง้ คนใด เกง่ เรอื่ งงานผา้ ทงั้ การทอ การปกั ผา้ และ ผา้ ม้ง - เขียนเทียน 8
ตดั ตน้ กญั ชงมัดเปน็ ก�ำแลว้ ตากแดด กรรมวธิ กี ารสรา้ งสรรคผ์ า้ ม้งเขียนเทียน น�ำเปลอื กทลี่ อกออกมัดรวมเปน็ มดั ใหญ่ ปจั จุบันแมจ้ ะมกี ารน�ำผ้าฝ้ายสำ� เรจ็ มาทำ� ผ้าเขยี นเทียน เส้นใยที่ฟอกและล้างแลว้ แตก่ ย็ งั มใี ชเ้ สน้ ใยกญั ชงมาทอเปน็ ผนื ผา้ อยู่ และใชก้ ารเขยี นเทยี น ลงบนผา้ ใยกญั ชง ซงึ่ นบั เปน็ เอกลกั ษณข์ องผา้ เขยี นเทยี นของชนเผา มง้ มาแตด้ งั้ เดมิ และในปจั จบุ นั กย็ งั เปน็ ทน่ี ยิ ม ในกระบวนการ เตรยี มเส้นใยกญั ชงสำ� หรับการทอผา้ ของม้งนน้ั มขี ัน้ ตอน กรรมวิธีในการเตรียมเสน้ ใยดงั นี้ ตดั ลำ� ตน้ กญั ชงแลว้ นำ� มามดั รวมกนั เปน็ กำ� ตากแดดให้ แหง้ ประมาณ 1 สัปดาห์ ลอกเปลอื กออกจากล�ำต้นท่ีผา่ นการตากแหง้ มาแล้ว น�ำเปลือกที่ลอกออกจากแต่ละต้นมามัดรวมกันเป็น มดั ใหญ่ นำ� ไปตำ� ให้นิ่มในครก จนได้เส้นทน่ี ม่ิ น�ำเส้นใยท่ีน่ิมแล้วมามัดต่อกันเป็นเส้นยาว โดยการ ขยี้ปลายเส้นใยทั้งสองเสน้ ใหเ้ สน้ ใยแยกออกจากกัน นำ� เอา เสน้ ใยทแ่ี ยกออกจากกนั จากปลายของทง้ั สองสองเสน้ มาทาบ ตดิ กนั แลว้ ใช้มอื ร้วิ ใหเ้ ปน็ เส้นเดยี วกนั โดยไมม่ ีปม น�ำเอาเส้นใยท่ีต่อกันแล้วพันกับตีน”ตีนตั่ว”เพ่ือท�ำ เป็นกอ้ น น�ำเสน้ ใยท่พี นั ไว้เปน็ กอ้ นมาปนั่ ให้เปน็ เกลยี วแล้วเขา้ หลอดกรอ นำ� ไปวนรอบไมก้ ากบาทเพอื่ วดั ความยาวและทำ� เปน็ ไจ น�ำไปต้มกับน�้ำข้ีเถ้าเพ่ือฟอกให้ขาวแล้วน�ำไปวักใน นำ้� สะอาด น�ำเส้นใยที่ฟอกและล้างแล้วไปท�ำให้นิ่มอีกครั้งหนึ่ง โดยการรีดด้วยการวางเส้นใยบนท่อนไม้หรือหินที่ตันทรง กระบอก แลว้ นำ� เอาแผน่ ไมห้ รอื แผน่ หนิ วางทบั ขน้ึ เหยยี บกด เทา้ ซา้ ย-ขวาสลบั กนั เพอ่ื ใหไ้ มห้ รอื หนิ ทรงกระบอกกลง้ิ ไปมา เมอื่ รดี จนนมิ่ แลว้ นำ� ไปวนรอบไมก้ ากบาทเพอ่ื ตากลม ให้แหง้ ส�ำหรบั น�ำไปทอเปน็ ผืนผ้าต่อไป ผ้ามง้ - เขียนเทียน 9
การเขยี นเทียน น�ำผ้าทเ่ี ขียนเทยี นเสร็จแลว้ ไปผ่ึงลมใหแ้ หง้ นำ� ผา้ มารา่ งภาพโดยใชด้ นิ สอหรอื ปากกาขดี เขยี นลายเสน้ น�ำผ้าเขียนเทียนท่ีแห้งดีแล้วไปแช่น้�ำ 1 คืน ก่อน การน�ำไปย้อมเย็นหากเป็นการย้อมด้วยวิธีต้ม จะท�ำให้ลาย ออกแบบให้เป็นลายผ้าท่ีต้องการโดยมากนิยมน�ำผ้ามาตีช่อง เทยี นหลดุ ละลายไปกบั ความร้อน ขนาดเทา่ ๆ กนั เพ่อื เตรียมส�ำหรบั การวาดลวดลายดว้ ยเทยี น ต้มน้�ำร้อนและน�ำสีครามมาละลายในน้�ำต้ม ผสมให้ เข้ากนั ทิ้งให้เยน็ และเทลงไปในโอง่ หรือถงั ท่ีเตรยี มไว้ น�ำผา้ เตรียมข้ีผ้ึงหรือเทียน โดยการน�ำไปใส่ในภาชนะขึ้น ฝ้ายดิบท่ีท�ำการเขียนเทียนแล้วมาแช่ในถัง คนให้ทั่ว แช่ไว้ ตงั้ เตา ตม้ ใหล้ ะลาย ระหวา่ งนผ้ี ตู้ ม้ จะคอยระวงั ไมใ่ หเ้ ทยี นใน ประมาณ 30 นาที หม้อมีความร้อนสูงเกินไปหรือต�่ำเกินไป เพราะจะมีผลต่อ ลวดลายท่ีคมชัดสม�่ำเสมอ เน่ืองจากความร้อนท่ีมากเกินจะ ปมั๊ แม่พิมพล์ าย นำ� ผ้าเขยี นเทยี นแชน่ ้�ำ ทำ� ใหเ้ ทยี นละลายตดิ กนั ไมค่ งรปู เปน็ ลวดลาย ไมเ่ ปน็ เสน้ แต่ ถ้าหากความร้อนนอ้ ยเกินไป เทียนกจ็ ะหลุดหรือเขียนไมต่ ิดผ้า ชาวมง้ จะใชว้ ธิ ที ดสอบความรอ้ นดว้ ยการลองหยดนำ้� ลงไป ถา้ เกิดเสยี ง “ฟ”ู่ หมายถึงร้อนมากเกินไป นำ� ผา้ มาวางทาบลงบนไมก้ ระดานรองเขยี นและจดั ให้ผา้ ตงึ พอดี เดิมม้งจะใช้ปากกาส�ำหรบั เขยี น (จันตง้ิ ) จมุ่ ข้ผี ึ้งหรือ เทียนในหม้อต้ม มาวาดลวดลายบนผืนผ้าให้ท่ัว ลวดลายที่ เขียนลงบนผ้าน้ี ชาวเขาเผา่ มง้ จะมลี วดลายทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ เฉพาะของชนเผา่ ปจั จบุ นั ไดเ้ ปลยี่ นเปน็ การนำ� แมพ่ มิ พจ์ มุ่ ลงไป ในกะละมงั ตม้ เทยี น แลว้ ยกไปประทบั ลงบนผนื ผา้ ตามสดั สว่ น ท่ีกำ� หนดไว้ ป๊มั แม่พิมพล์ ายกันไปเรื่อยๆจนทั่วผา้ ทงั้ ผนื ถงั ผสมนำ้� คราม ผ้าม้ง - เขียนเทยี น 10
ยอ้ มคราม น�ำผ้าท่ีแช่สีครามมาบีบน�้ำออกพอหมาด ผึ่งในท่ีร่ม ผ่งึ ผ้าในที่รม่ หา้ มนำ� ออกผงึ่ แดดเพราะจะท�ำใหเ้ ส้นเทยี นละลายออกได้ นำ� ผา้ ทแี่ หง้ แลว้ นำ� มายอ้ มซำ้� ตามขนั้ ตอนเดมิ หลาย ๆ รอบจะท�ำให้สีเข้มข้ึนเร่ือยตามต้องการ ถ้าท�ำการย้อมซ้�ำ มากกว่า 5 รอบกจ็ ะทำ� ให้ลายเทียนตดิ ทนนาน แม้เวลาผา่ น ไปหลายสบิ ปกี ย็ งั มลี ายเทยี นตดิ คงทนอยบู่ นผา้ อยา่ งสวยงาม เมอื่ ยอ้ ม เสร็จแลว้ นำ� ข้นึ ตากในทรี่ ม่ ตม้ นำ�้ ใหเ้ ดอื ด นำ� เอาผา้ เขยี นเทยี นทย่ี อ้ มสคี รามเสรจ็ เรียบร้อยแล้วไปจุ่มน้�ำเย็น ก่อนน�ำไปต้มในน้�ำร้อนให้ทั่วผืน เทยี นหรอื ขี้ผง้ึ ท่ีเขียนไวจ้ ะคอ่ ย ๆ หลอมละลายออกจนหมด น�ำผ้าที่ผ่านการต้มน�้ำร้อนออกมาแช่ในน�้ำเย็น เพื่อล้างเทียนท่ียังหลงเหลือติดผืนผ้าอยู่ออกให้หมดท้ังสอง ดา้ นสำ� รวจโดย ใชม้ อื ลบู ไปตามเนอื้ ผา้ เพอื่ ดวู า่ ออกหมดดแี ลว้ หรือไม่ จงึ น�ำไปตากในทรี่ ม่ น�ำไปแปรรปู เป็นผลิตภณั ฑ์อืน่ ๆ ตามต้องการ เชน่ นำ� ไปตัดเย็บเป็นเสื้อหรือกระโปรง ตม้ ผ้าทย่ี อ้ มครามแลว้ ผา้ มง้ - เขยี นเทยี น 11
ด้วยยุคสมัยท่ีเปลี่ยนแปลงไป ท�ำให้วัตถุดิบท่ีใช้น้ัน เสยี งใหผ้ ลงานเปน็ ทรี่ จู้ กั อยา่ งแพรห่ ลาย ผา้ มง้ เขยี นเทยี นเปน็ เปลยี่ นแปลงไปจากอดตี บา้ ง แตก่ ไ็ มไ่ ดท้ ำ� ใหค้ ณุ คา่ ของผา้ มง้ งานหัตถกรรมท่ีเปี่ยมด้วยคุณค่า เช่ือมร้อยโยงใยวิถีชีวิต เขียนเทียนลดน้อยลง เรายังคงเห็นชาวม้งสวมใส่ผ้าพื้นเมือง วัฒนธรรม และความเช่ือสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน และ จนกลายเป็นอัตลักษณ์อันโดดเด่นของชาวม้ง รวมถึงยังได้มี กรรมวิธีต่าง ๆ ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูกหลาน เพื่อให้อนุรักษ์และ การผลิตเพ่ือจ�ำหน่ายสร้างรายได้ให้กับตนเอง และสร้างช่ือ สบื ทอดงานของบรรพบรุ ษุ ให้คงอยู่ต่อไป ผ้าม้ง - เขยี นเทียน 12
ลายเกอ้ ลู่ ลายขี่ แหลง่ ทีม่ าขอ้ มูล และเอกสารทใ่ี ชใ้ นการอ้างอิงการจดั ทำ� ข้อมูล สัมภาษณ์ นายโชคชัย แสนค�ำแพ ชาวมง้ อ.ปวั จ.น่าน ขอ้ มลู อาจารยธ์ รี พนั ธ์ จันทร์เจริญ http://chiangraiairportthai.com/th/ https://pantip.com/topic/35414375 https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_514257 ผา้ ม้ง - เขยี นเทยี น 13
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: