Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ป่าบุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

ป่าบุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

Description: ป่าบุ่ง ป่าทาม ภาคอีสาน

ผู้เรียบเรียง :
มานพ ผู้พัฒน์
ปรีชา การะเกตุ
ขวัญใจ คำมงคล
ศรัณย์ จิระกร

Keywords: ป่าทาม,ป่าภาคอีสาน,ป่าบุ่ง

Search

Read the Text Version

ป่าบ่งุ ป่าทาม ภาคอสี าน 251 ต่างไก่ ช่อื ท้องถิ่นอ่นื : เขือง (ภาคกลาง), กะตังใบ (กรุงเทพฯ), พุมพี ต้งั เติด (อ.พรรณานิคม สกลนคร), ต่างไก่ (หนองคาย) Leea rubra Blume ex Spreng. (วงศ์ Leeaceae) ช่อื พอ้ ง : - ไมล้ ม้ ลกุ มเี หงา้ ใตด้ นิ อายุหลายปี สูง 1-3 ม. ตามลำ� ต้น กิง่ ก้านใบ และชอ่ ดอกมีร่องตามยาวจ�ำนวนมาก ตามกิง่ ใบ และช่อดอกเกลี้ยง-มีขนสากแขง็ ประปราย ใบประกอบแบบขนนก 2-3 ช้นั เรยี งสลบั ยาว 20-40 ซม. กา้ นใบยาว 6-13 ซม. โคนกา้ นใบเปน็ รอ่ งและมกี าบโอบกง่ิ มหี ใู บเป็นปีกบาง กวา้ ง 0.5-1 ซม. ยาว 2-4 ซม. ตดิ เม่อื ยังเป็นใบออ่ น ต่อมาหลดุ รว่ ง ใบประกอบเรียงตรงขา้ มมี 2-5 คู่ ใบย่อยเรยี งตรงข้าม รูปขอบขนาน- รูปไข่ ยาว 3-12 ซม. ปลายใบเรยี วแหลม-แหลม ขอบใบจกั ฟันเลื่อยห่างๆ โคนใบรปู ลม่ิ -กลม ชอ่ ดอกแบบแยก แขนง คลา้ ยร่ม ยาว 10-20 ซม. ออกทปี่ ลายกงิ่ ดอกขนาดเล็ก เมือ่ บานกวา้ ง 5 มม. กลีบเล้ยี งและกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ สีแดงเข้ม มีเกสรเพศผแู้ ละเพศเมียสีขาวอยู่ตรงกลางดอก ผลรปู กลมแปน้ หยกั 5 พูเลก็ น้อย กว้าง 7-9 มม. สูง 5 มม. ปลายบุม๋ ผิวมีจุดสนี �้ำตาลกระจาย ก้านผลสแี ดง เมื่อสกุ สมี ว่ ง-ด�ำ ถิ่นอาศยั ขน้ึ ตามที่โล่งแจง้ หรอื ชายป่า ทีเ่ ป็นพน้ื ที่ชน้ื แฉะ ในป่าผลดั ใบ ป่าดงดิบ ทุ่งนา ขอบบงึ หรอื คูน้�ำข้างทาง ท่ีระดบั น�ำ้ ปกติลกึ ไม่เกนิ 50 ซม. พบทงั้ ในเขตทีร่ าบนำ�้ ท่วมถึงและท่ีดอน ทคี่ วามสงู จากระดับน้�ำทะเลไม่เกนิ 600 ม. ออกดอกช่วงเดอื นมิถุนายน-ตุลาคม ผลแก่เดือนกันยายน-มกราคม หลังจากนน้ั ต้นจะเห่ยี วแหง้ ไป เหลือ แตเ่ หง้าอยู่ใตด้ นิ แลว้ งอกข้ึนมาอีกคร้งั ในฤดฝู น การกระจายพนั ธุ์ พบได้ง่ายทั่วประเทศ ตา่ งประเทศพบในอินเดีย บงั คลาเทศ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และ ตอนเหนอื ของทวีปออสเตรเลยี การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดอ่อน กินเปน็ ผักสด จิม้ น้�ำพรกิ (23).--- ผลสกุ รสหวาน กินเปน็ ผลไม้ (27).--- สมนุ ไพร เหง้า ใต้ดิน นำ� มาตากแห้ง ต้มน้ำ� ดืม่ แก้ร้อนใน กระหายน�้ำ (23).--- รากน�ำมาตม้ หรอื แชน่ �้ำ แช่เทา้ ช่วยดูดสารพิษและ ลดอาการเท้าบวม (26)



ป่าบุง่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 253 ผักบ่อ ชือ่ ท้องถิน่ อนื่ : ผักวานร (ราชการ), ผกั ชโี คก (นครราชสมี า), ผกั บ่อ (อ.ศรสี งคราม นครพนม) Lindernia succosa (Kerr ex Barnett) Philcox (วงศ์ Linderniaceae) ช่อื พอ้ ง : - ไมล้ ม้ ลุก ทอดคลานที่ผิวดิน สงู 5-15 ซม. ตามล�ำตน้ ก่ิง และใบเกล้ียง ใบเดยี่ วเรียงตรงข้าม รูปแถบ ยาว 6-20 มม. กว้าง 1-2 มม. ปลายใบมน เนอื้ ใบหนาอวบน้ำ� มเี สน้ ใบเพยี ง 1 เส้นทีก่ ลางใบ ไม่มกี า้ นใบ ดอก เด่ยี ว ออกตามซอกใบ กา้ นดอกยาว 3-5 มม. กลีบเลี้ยงสีเขียว ยาว 2.5 มม. โคนเปน็ หลอดปลายแยก 5 แฉก โคนกลบี ดอกเปน็ หลอด ยาว 7-10 มม. ปลายแยกเป็น 4 แฉก แบง่ เป็น 1 แฉกด้านบนสีขาว และ 3 แฉก ดา้ นลา่ งสีมว่ ง ยาว 7 มม. เกสรเพศผู้ 2 เกสร สเี หลอื ง ผลรูปทรงกระบอก ยาว 7 มม. ปลายเรยี วแหลม มี กลีบเล้ยี งติดคงทน เม่ือแก่ผลจะแตกอา้ มีเมลด็ ขนาดเล็กจ�ำนวนมาก ถ่ินอาศัย ขึ้นตามที่โล่งแจ้ง ในที่ชน้ื แฉะรมิ แมน่ �ำ้ หรอื ทุ่งนา ท่เี ปน็ ดนิ ร่วนปนทราย ท่คี วามสูงจากระดบั น้�ำทะเล ไม่เกิน 200 ม. งอกและเตบิ โตหลังน้�ำในแมน่ ้�ำลดหรือหลงั ฤดูเก็บเก่ยี วขา้ ว ออกดอกช่วงเดอื นมกราคม-เมษายน ผลแกเ่ ดอื นกมุ ภาพันธ-์ พฤษภาคม การกระจายพันธุ์ พชื หายาก พบเฉพาะในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทลี่ มุ่ น้�ำมลู และลมุ่ นำ้� สงคราม ตา่ งประเทศ พบท่ีลาว การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดออ่ น กินเปน็ ผักสด จมิ้ น้�ำพรกิ แกลม้ กบั ลาบ หรอื ปิ้งปลา (20)



ปา่ บุง่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 255 เครือผักกูด ชือ่ ทอ้ งถนิ่ อ่นื : กูดงอแง (แมฮ่ อ่ งสอน), กดู โง กดู งอ (อ.เชยี งขวัญ รอ้ ยเอ็ด), เครอื ผกั กูด ผักกูด (อ.บา้ นดงุ อดุ รธาน,ี อ.ทุง่ เขาหลวง รอ้ ยเอด็ ), หมอยสาวแก่ (อ.มญั จาคีรี ขอนแกน่ , อ.เจริญศิลป์ สกลนคร) Lygodium japonicum (Thunb.) Sw. (วงศ์ Lygodiaceae) ชือ่ พ้อง : - ไม้เลือ้ ยลม้ ลุก อยใู่ นกลุ่มเฟิน ยาวถึง 3 ม. มีล�ำต้นทแี่ ท้จริงอยู่ใต้ดิน (เถาเปน็ สว่ นของก้านใบ) ใบประกอบแบบ ขนนก 2-3 ชั้น เรียงตรงขา้ มมี 1 คู่ แตกออกจากแกนใบท่สี ั้น 3-15 มม. ปลายแกนใบมีขนสีน�้ำตาลหนาแน่น ช่อใบยาว 7-30 ซม. ใบประกอบช้ันถัดมาเรยี งสลบั มี 2-5 คู่ ใบย่อยมหี ลายรูปร่าง เชน่ รปู แถบ รูปไข่ รูป สามเหลย่ี ม รูปพัด หรือแยกเปน็ แฉกจนเป็นใบยอ่ ยทีโ่ คนแผ่นใบ คล้ายใบผกั ชี ผิวใบเกล้ยี ง-มขี นประปราย ใบยอ่ ยยาว 1-10 ซม. ขอบใบหยัก โคนใบกลม-เวา้ คล้ายตงิ่ หู กา้ นใบและแกนใบเปน็ ร่องดา้ นบนและมปี กี แคบๆ กา้ นใบย่อยยาวถึง 3 มม. เปน็ พืชไมม่ ดี อก แต่ขยายพันธ์ดุ ้วยสปอรท์ ่สี รา้ งบนแผ่นใบ สปอร์อยู่ในถงุ (อับสปอร)์ ติดอยู่ตามซอกเกลด็ ทซ่ี อ้ นกนั จ�ำนวนมาก คลา้ ยนวิ้ ตุ๊กแกทีย่ ่ืนออกไปจากขอบใบ ยาว 3-8 มม. (ดูที่ภาพกูดงอ ในหนา้ ถดั ไป) เม่อื สปอร์แกถ่ ุงจะแตกเห็นสปอรส์ ีเหลอื งอมสม้ ถนิ่ อาศัย ขน้ึ ตามทโ่ี ลง่ แจ้ง ทงุ่ หญ้า ปา่ ผลัดใบ ชายปา่ ดงดบิ และปา่ บุ่งปา่ ทาม ทค่ี วามสูงจากระดับน้�ำทะเลไมเ่ กนิ 2,000 ม. เถามีชวี ติ ตลอดทงั้ ปี หรือแห้งเหี่ยวในชว่ งฤดูแลง้ ในพ้นื ทที่ ีม่ คี วามชื้นในดินไม่เพยี งพอ แล้วจะงอกกลบั มาอกี คร้ังในฤดฝู น ส่วนใหญส่ ปอรจ์ ะแก่ในชว่ งฤดูหนาว การกระจายพนั ธุ์ พบคอ่ นข้างง่าย ทว่ั ประเทศไทย ต่างประเทศพบในประเทศเขตอบอ่นุ และเขตรอ้ นของภมู ภิ าค เอเชยี ตะวนั ออก เอเชยี ใต้ และเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดออ่ น กนิ เป็นผกั สด จ้ิมนำ้� พริก แกล้มปิ้งปลา ลาบ กอ้ ย (25).--- สมุนไพร ราก ตม้ น้�ำดื่มเปน็ ยา บำ� รงุ ก�ำลัง (24)

กลุ่มอบั สปอรท์ ่ขี อบใบคลา้ ยนิ้วต๊กุ แก

ป่าบุง่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 257 กูดงอ ชอ่ื ทอ้ งถน่ิ อ่นื : ลเิ ภายงุ่ (ปัตตานี), กะฉอดหนู (จันทบรุ ี, ตราด), รบี ปู าดี (มลายู-นราธิวาส), กูดโง กูดงอ หมอยสาวแก่ (อ.โพธิ์ตาก หนองคาย), กระดอหีหกั (อ.ศรีเชยี งใหม่ หนองคาย), หมอยแมห่ มา้ ย (อ.เมือง สกลนคร), เครอื ผักกดู (อ.ศรสี งคราม นครพนม) Lygodium microphylla (Cav.) R. Br. (วงศ์ Lygodiaceae) ชือ่ พอ้ ง : - ไมเ้ ลอื้ ยลม้ ลกุ อยูใ่ นกลุ่มเฟนิ ยาวถึง 10 ม. มลี �ำตน้ ที่แทจ้ ริงอยูใ่ ต้ดนิ (เถาเปน็ สว่ นของกา้ นใบ) ลกั ษณะโดย ทั่วไปของ กูดงอ คลา้ ยกับ เครือผักกูด (Lygodium japonicum) มาก จนมกั มคี นเข้าใจผดิ ว่าเป็นชนดิ เดยี วกัน มีจุดแตกตา่ งชดั เจนท่ี ใบของกูดงอเป็นใบประกอบแบบขนนก 1 ช้ัน ชอ่ ใบยาวไม่เกิน 10 ซม. ใบย่อยยาว 1.5-3 ซม. เรยี งสลับ มี 3-5 คู่ (เครอื ผักกดู เป็นใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชนั้ ชอ่ ใบยาว 7-30 ซม. ใบย่อยยาว 1-10 ซม.) ถนิ่ อาศัย ขึ้นตามทีโ่ ลง่ แจ้ง ชายป่าหรอื มีแสงรำ� ไร ในป่าพรุ ปา่ ดงดบิ ชน้ื และป่าบงุ่ ปา่ ทาม ชอบขึ้นตามพน้ื ทล่ี ุ่ม ชน้ื แฉะทดี่ ินเป็นกรด (ตน้ เครือผกั กูดจะขึน้ ตามพื้นท่ีแหง้ แล้งกว่า) ท่ีความสงู จากระดบั นำ้� ทะเลไม่เกนิ 1,500 ม. เถามีชีวิตตลอดท้ังปี หรอื แห้งเห่ยี วในช่วงฤดแู ลง้ แลว้ จะงอกกลับมาอีกในฤดูฝน ส่วนใหญส่ ปอรจ์ ะแก่ในชว่ ง ฤดูหนาว การกระจายพนั ธุ์ พบท่ัวประเทศไทย หางา่ ยตามปา่ พรุในเขตภาคใต้และจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก ส่วน ภาคอ่นื ๆ ค่อนขา้ งหายาก ต่างประเทศพบในประเทศเขตรอ้ นและกง่ึ เขตรอ้ นในทวีปแอฟรกิ า เอเชีย และ ออสเตรเลยี การใช้ประโยชน์ อาหาร ยอดอ่อน กินเปน็ ผักสด จ้มิ น�้ำพริก แกลม้ กบั ปงิ้ ปลา ลาบ กอ้ ย (13, 14, 19, 21, 26, 27).--- สมุนไพร ทกุ ส่วน เขา้ ยาอืน่ ๆ แก้เหน็บชา (10).--- ราก ดองเหลา้ ด่มื เป็นยาบ�ำรงุ กำ� ลัง (26).--- ทกุ ส่วน ตม้ น้ำ� ดม่ื เป็นยาบำ� รงุ กำ� ลงั (27)

ผลแก่แหง้

ป่าบงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 259 เปือยน้�ำ ช่อื ทอ้ งถ่นิ อนื่ : ตะแบก ตะแบกนา (ภาคกลาง, นครราชสมี า), กระแบก (สงขลา), ตะแบกไข่ (ราชบรุ ี, ตราด), บางอ ตะมะกอ (มลาย-ู ยะลา, ปตั ตาน,ี นราธวิ าส), เป๋อื ยดง เปือ๋ ยนา (ลำ� ปาง), เป๋ือยหางค่าง (แพร่), เปอื ย เปือยน้�ำ เปือยทาม (อีสาน), เปือยเลอื ด เปอื ยกระแดง้ (อ.กนั ทรารมย์ ศรสี ะเกษ), ตะแบ้ก (เขมร-อ.ท่าตูม สุรินทร)์ , กนั เสรยี ง กะเนงิ กระดิง่ (ส่วย-อ.ทา่ ตมู สรุ ินทร์) Lagerstroemia floribunda Jack (วงศ์ Lythraceae) ชอ่ื พอ้ ง : - ไม้พมุ่ หรอื ไมต้ น้ สงู 3-25 ม. เปลอื กสีขาวอมน้�ำตาล หลุดร่อนเปน็ แผน่ ค่อนขา้ งกลม-รียาว เปน็ หลมุ ตนื้ กงิ่ เปน็ ส่ีเหล่ยี ม เกล้ยี ง-มีขนประปราย ใบเดี่ยว เรยี งตรงข้ามหรือเกือบตรงกันขา้ ม รปู ขอบขนาน-รปู ใบหอก ยาว 8-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลม-มน มีเสน้ แขนงใบข้างละ 8-12 เส้น ผิวใบเกลยี้ ง-มีขนประปราย ก้านใบ ยาว 2-7 มม. ช่อดอกแบบแยกแขนง ตั้งขนึ้ ยาว 20-50 ซม. ออกทปี่ ลายก่งิ ชอ่ ดอกและกลีบเลยี้ งมีขนสั้นรูป ดาวหนาแนน่ สสี นมิ กลบี เลยี้ งรูประฆัง ยาว 5-6 มม. ปลายแยก 5-6 แฉก โคง้ งอกลับ กลบี ดอกสชี มพู แลว้ เปลีย่ นเป็นสีขาวเม่ือใกล้โรย มี 5-6 กลีบ รปู กลม-ไขก่ ลับ ยาว 1-1.5 ซม. โคนกลบี ดอกมีก้าน ยาว 3 มม. เน้อื บางและหยกิ งอ เกสรเพศผมู้ จี ำ� นวนมาก มี 7 เกสรมีสแี ดงชี้ลง และเกสรสว่ นใหญ่สขี าวอมเหลอื งช้ีขน้ึ ผล รูปไข่ ยาว 1.2-2 ซม. ปลายมน มขี นสน้ั หนาแน่น โคนผลมถี ว้ ยกลีบเลย้ี งหมุ้ 1/3 สว่ น มสี ันนูนคมตามยาว 12-14 สนั สงู 1-2 มม. ผลแกแ่ ห้งแตกอา้ ตามแนวยาว 5-6 หอ้ ง มเี มล็ดจ�ำนวนมาก มีปีกบางท่ปี ลายดา้ นหนงึ่ รปู ใบหอก ถน่ิ อาศยั ขนึ้ ตามที่โล่งแจง้ ทุ่งนา ปา่ เสอื่ มโทรมหรือชายป่าดงดิบ ป่าผลดั ใบ และปา่ บ่งุ ปา่ ทาม ชอบขึ้นตามท่ีราบ น�้ำทว่ มถงึ หรือตามริมน�้ำ ท่ีความสงู จากระดับน้�ำทะเลไม่เกิน 850 ม. ผลดั ใบช่วงเดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ แลว้ แตกใบใหม่จนโตเตม็ ทจี่ งึ จะออกดอกชว่ งเดอื นพฤษภาคม-พฤศจิกายน ผลแกเ่ ดือนกนั ยายน-มีนาคม การกระจายพันธ์ุ พบไดง้ า่ ยทวั่ ประเทศไทย แตย่ ังไม่พบในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนบนในเขตล่มุ นำ้� โมง ลุ่มนำ�้ สงคราม และลมุ่ น้�ำก่ำ� ตา่ งประเทศพบในเมยี นมาร์ ลาว กัมพชู า เวียดนามตอนใต้ และคาบสมุทรมาเลเซีย การใช้ประโยชน์ อาหาร ยอดอ่อน เป็นผกั สด หรอื ใช้ใบอ่อนห่อเม่ยี ง (11).--- สมุนไพร เปลอื ก ต้มกบั นำ�้ ซาวขา้ ว อาบรักษา งสู วดั (3).--- แกน่ เปือยน�้ำ + แก่นกระเบานำ�้ + เขา้ ยาอ่นื ๆ ต้มนำ�้ ให้แมล่ กู อ่อนดมื่ แกก้ นิ ผดิ สำ� แดง (17), ขูด เปลือกผสมลงในต�ำแตงไทย ช่วยดบั พษิ เมล็ดแตงไทยไม่ให้กดั ลน้ิ -ปาก ป้องกันปากเปอ่ื ย หรอื ใสก่ ับต�ำสับปะรด ช่วยดับพิษไมใ่ หก้ ัดลน้ิ -ปากไดเ้ ช่นกนั คลา้ ยกบั การใช้เปลือกตน้ อะราง (Peltophorum dasyrrhachis) (12).--- เชื้อเพลิง เนอื้ ไม้ใช้ท�ำฟืนหรือเผาถา่ น (13, 15, 17).--- ก่อสร้างหรือเครอ่ื งมือ เนอื้ ไม้แข็งแรงและเหนียว ใชใ้ นงานก่อสร้าง ทำ� เสา กระดาน เฟอร์นิเจอร์ ไม้พาย ดา้ มเคร่อื งมอื ทางการเกษตร (1, 4, 9, 11, 15).--- วสั ดุ เปลอื ก ใช้ยอ้ มเส้นไหม ให้สมี ่วงคลำ�้ (4).--- ด้านอื่น นิยมนำ� มาปลกู เป็นไมป้ ระดับมดี อกสวยงาม (13)

สันนนู คลา้ ยปกี ผลอ่อน

ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน 261 เปือยน�้ำสงคราม ช่ือทอ้ งถ่นิ อ่นื : เปือย เปอื ยน้ำ� เปอื ยทาม (นครพนม, สกลนคร, หนองคาย, อ.บ้านดุง อดุ รธาน)ี , กะเลา กะเลาน้อย (อ.ศรีสงคราม นครพนม) Lagerstroemia spireana Gagnep. (วงศ์ Lythraceae) ชอื่ พ้อง : - ไม้พุม่ หรอื ไม้ต้นขนาดเลก็ สูง 1-5 ม. เปลอื กสีขาวอมนำ้� ตาล หลุดรอ่ นเป็นแผน่ ค่อนข้างกลม-รียาว เป็นหลุมต้ืน กง่ิ เป็นสเี่ หลี่ยม เกล้ียง-มีขนประปราย ลักษณะทวั่ ไปคลา้ ยกบั ต้น เปอื ยน�้ำ/ตะแบกนา (Lagerstroemia flor- ibunda) มาก (คนในทอ้ งถิ่นเขา้ ใจว่าเปน็ ชนดิ เดยี วกนั ) มีจุดแตกตา่ งชดั เจนของตน้ เปอื ยน�้ำสงครามใหส้ ังเกต จากสนั นูนที่ถว้ ยกลบี เล้ยี ง (ส่วนทีอ่ ยู่ใต้กลบี ดอกและมีขนสีสนมิ หนาแนน่ ) ในระยะดอกตูมหรือจนถึงตดิ เป็นผล สนั นูนจะสูงมากคลา้ ยปีก สูง 2-4 มม. บางครงั้ ปกี จะบิดเปน็ คล่นื อีกด้วย (ตน้ เปอื ยน�้ำ สนั นนู ดังกล่าวจะสงู เพยี ง 1-2 มม. เทา่ นัน้ ) ถิ่นอาศัย ข้ึนตามที่โล่งแจ้ง ริมนำ�้ หรือคูนำ้� ขา้ งทาง ท่งุ นา ปา่ เส่ือมโทรม ชายป่าผลัดใบ ปา่ ดงดิบ หรอื ป่าบุ่งป่า ทาม ทีค่ วามสูงจากระดับน้�ำทะเลไม่เกนิ 200 ม. ผลัดใบชว่ งเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ แลว้ แตกใบใหม่จนโตเต็ม ทจ่ี งึ ออกดอกชว่ งเดอื นมถิ ุนายน-พฤศจิกายน ผลแก่เดือนตุลาคม-มีนาคม การกระจายพนั ธุ์ เป็นพชื ถิ่นเดียว ท่ีมกี ารกระจายพันธ์ไุ มก่ วา้ ง แต่พบได้ง่ายในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอน บนในเขตลุ่มน�ำ้ โมง ลุม่ น้�ำสงคราม และลมุ่ นำ�้ ก่�ำ (หนองคาย อุดรธานี สกลนคร และนครพนม) ต่างประเทศพบ ในแขวงค�ำมว่ น ประเทศลาว ขณะนยี้ ังไม่พบวา่ มีต้นเปือยนำ้� ข้ึนผสมปะปนกบั ตน้ เปอื ยนำ้� สงคราม การใชป้ ระโยชน์ ใชป้ ระโยชน์เหมอื นกับ เปือยน้�ำ

หใบลดุ แลลอ่ะนผอลอแกกไท่ ปจ่ี แมลอว้ ยจใู่ ะตมท้ ีสอ้ ีดง�ำน�้ำ เมื่อเน้อื เยอ่ื ด้านนอก ผลอ่อนที่ยังตดิ อยู่บนต้น ยงั มีเื นื้อเยอื่ ด้านนอกหมุ้ อยู่ กระจบั เล็กท่ีขึ้นหนาแนน่ จนกลายเปน็ วัชพืชในแหล่งน้ำ� บางแหง่

ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 263 กระจับเล็ก ชือ่ ท้องถิน่ อื่น : กระจับ (ภาคกลาง), กระจับ กระจบั หนาม (นครราชสมี า), กระจบั (อ.เมอื ง สกลนคร), หมากจับ (อ.ศรีสงคราม นครพนม), กระจับเล็ก กระจบั (เขมร, ส่วย-อ.ท่าตูม สรุ ินทร)์ Trapa incisa Siebold & Zucc. (วงศ์ Lythraceae) ชอ่ื พอ้ ง : - ไมน้ ้�ำลม้ ลกุ มีรากยึดดนิ ทอ้ งน้�ำ ลำ� ตน้ ยาวถึง 2 ม. หนา 1-2.5 มม. มีรากฝอยออกตามขอ้ ไมม่ ีไหล (stolon) ตามผิวใบด้านลา่ ง กลบี เลย้ี ง และผลมขี นยาวหนาแน่น ใบเด่ียว เรยี งเวียนใกล้ยอด ชูแผ่นใบขึน้ ไปลอยปร่มิ น�้ำ เรียงตวั แนวรศั มีคลา้ ยรูปดาว ใบรูปสี่เหลย่ี มข้าวหลามตดั แกมรูปพัด ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบหยักฟนั ปลาลกึ โคนใบสอบกวา้ ง ผวิ ใบดา้ นบนสเี ขยี ว เกล้ียงมันเงา ที่โคนใบมีลายสมี ่วงอมน้�ำตาลรูป หางปลา กา้ นใบยาว 5-10 ซม. บวมหรอื พองลมช่วงใกล้ปลายกา้ น มีขนประปราย-หนาแน่น ดอกเดีย่ ว ออก ตามซอกใบใกลป้ ลายก่งิ บานเหนือผิวนำ้� มกี ลีบเล้ียงและกลบี ดอกอยา่ งละ 4 กลบี กลบี ดอกสขี าว รปู ขอบขนาน ยาว 5-7 มม. ผลรปู สามเหลีย่ มกลบั กวา้ ง 1-1.5 ซม. สงู 1 ซม. หนา 0.7-1 ซม. ดา้ นบนมีจกุ แหลม สงู 2-4 มม. มีหนามเรียวเลก็ 4 อัน ยาว 0.8-1.5 ซม. (เจริญมาจากกลบี เลย้ี ง) 1 คู่ช้ีขึน้ และอกี 1 คู่ชล้ี ง ผลออ่ นสเี ขยี ว ออ่ น เม่ือแกเ่ ปลอื ก/กะลาจะแขง็ มาก และหลุดจมลงในน้�ำ เมอ่ื เนอื้ หุ้มกะลาหลุดล่อนออกไปจะเห็นแตก่ ะลา เรียบและมหี นามเรียวยาวสีดำ� ถิน่ อาศัย พบในทโี่ ล่งแจง้ ตามบึงหรอื แหลง่ นำ�้ นิ่ง ทมี่ ีระดับน�้ำลกึ ไมเ่ กนิ 2 ม. ทค่ี วามสูงจากระดับน�้ำทะเลไมเ่ กิน 200 ม. ออกดอกช่วงเดอื นมนี าคม-ตุลาคม ผลแก่เดอื นมถิ ุนายน-ธนั วาคม การกระจายพนั ธ์ุ พบทว่ั ไปในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ตา่ งประเทศพบในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออก อินเดีย ลาว กัมพชู า เวียดนาม เกาะบอรเ์ นยี ว คาบสมุทรมาเลเซีย และเกาะสุมาตรา การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ยอดอ่อน กินเป็นผักสด จ้ิมน�้ำพริก ป่น ลาบ ปงิ้ ปลา (3, 4, 19, 21, 22).--- ผลแก่ มสี ดี �ำ ต้มหรือ เผากิน รสมัน (3, 4, 19, 21).--- ผลออ่ น กินสดหรอื ต้ม ทุบเอาเปลอื กออกกนิ เนื้อใน รสหวานมัน หรอื ใชท้ ำ� ขนม หวาน (21, 22).--- สมุนไพร ผลแก่ เขา้ ยาอื่นๆ ช่วยสลายนวิ่ (19).--- ดา้ นอืน่ ผลกระจบั เลก็ ท่ีสกุ จะรว่ งหลน่ ลงท้องนำ�้ มีหนามแหลมและคงทนอย่ไู ดน้ านหลายเดือน เป็นอุปสรรคตอ่ ชาวประมงที่ลงไปหาปลา ถกู หนาม กระจับท่มิ แทงเทา้ ซึง่ จะเจบ็ ปวดมาก (3, 4)

ผลอ่อน ตอ่ มนูนทโี่ คนกลีบเลี้ยง

ป่าบ่งุ ป่าทาม ภาคอีสาน 265 กระจับเครือ ช่อื ท้องถน่ิ อื่น : กระจบั เครอื กระจบั ต้น (อุบลราชธาน)ี , เครอื กล้วยน้อย สามหุนเครือ (ขอนแก่น), คัลแทระ (ส่วย-อ.ทา่ ตูม สรุ ินทร์) Hiptage triacantha Pierre (วงศ์ Malpighiaceae) ชื่อพ้อง : - ไมเ้ ลอ้ื ย ยาว 2-5 ม. ตามกิ่งอ่อน ใบออ่ น ช่อดอกมขี นยาวหนาแน่น ใบเด่ียว เรยี งตรงข้าม-เกอื บตรงขา้ ม รูป ขอบขนาน หรือรูปรีแกมขอบขนาน ยาว 4-9 ซม. ปลายใบแหลม-มน ขอบใบเรยี บและหนา โคนใบมนและ มักจะมี 2 ตอ่ มอย่ทู ีผ่ ิวใบดา้ นลา่ ง ใบแกเ่ กล้ียง กา้ นใบยาว 4-5 มม. ชอ่ ดอกแบบกระจะ ออกทีป่ ลายก่งิ หรอื ซอกใบ ยาว 4-15 ซม. มขี นยาวสีขาวหนาแน่น กลบี เล้ยี ง 5 กลบี สแี ดงเข้ม รปู ขอบขนาน ยาว 4-7 มม. ที่โคน กลบี ดา้ นนอกมตี อ่ มนูน รปู รียาว 3-5 มม. สีแดงอมน�ำ้ ตาล-เขยี ว 1 ต่อมชัดเจน กลบี ดอก มี 5 กลบี สขี าว- สีชมพู รปู ไข-่ รี ยาว 6-10 มม. ขอบกลบี หยกั และมขี น โคนกลบี มกี ้าน กลบี บานโค้งกลบั มาก กลีบกลางดา้ น บนโคนกลบี สเี หลือง ผลรูปสามเหลี่ยม สีเขียว กว้าง 1 ซม. มขี นยาวหนาแนน่ มุมทั้งสามมีเดือยหรือปกี สี แดงเขม้ ยาว 1-1.5 ซม. ถ่ินอาศัย ข้นึ ตามทโี่ ล่งแจง้ ริมแม่น้ำ� หรอื ชายปา่ บงุ่ ป่าทาม ทีค่ วามสูงจากระดับน�้ำทะเลไม่เกิน 200 ม. ออกดอก ชว่ งเดือนมนี าคม-มถิ ุนายน ผลแกเ่ ดือนเมษายน-ตลุ าคม การกระจายพนั ธุ์ พบได้ไม่บ่อยนกั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ในเขตลุม่ น�้ำมลู ล่มุ นำ้� ชี และลมุ่ นำ้� สงคราม และ ภาคตะวนั ออกในเขตลมุ่ นำ�้ บางปะกง จ.ปราจีนบุรี ต่างประเทศพบที่ ลาว กมั พูชา และเวยี ดนามตอนใต้ การใชป้ ระโยชน์ วัสดุ เถามีเน้ือเหนยี ว ใช้ท�ำเปน็ กงสวงิ ลอบ ไซ หรอื เคร่อื งมือจบั ปลาอืน่ ๆ (8, 17).--- ดา้ นอ่ืน ยอด เป็น อาหารของวัว-ควาย (17)

ผลแก่แหง้

ป่าบงุ่ ป่าทาม ภาคอีสาน 267 หมากข้ีอ้น ช่ือทอ้ งถนิ่ อนื่ : หมากขีอ้ ้น (อีสานใต,้ อ.ศรีสงคราม นครพนม), ลิงงอ้ (อ.เชยี งขวญั ร้อยเอ็ด) Byttneria crenulata Wall. ex Mast. (วงศ์ Malvaceae) ชอ่ื พอ้ ง : Byttneria echinata Wall. ex Kurz ไมเ้ ลือ้ ย ยาวถึง 7 ม. ตามกิ่ง ใบอ่อน และช่อดอกมีขนรปู ดาวหนาแนน่ ใบเดย่ี ว เรียงสลบั รปู ไข่ หรือรูปไข่กลบั ยาว 12-18 ซม. ปลายใบหยักเป็นตง่ิ แหลม-เรียวแหลม ขอบใบเรยี บ โคนใบมน-ตัด-เวา้ เล็กนอ้ ย ผิวใบด้านลา่ ง คอ่ นขา้ งเกล้ยี ง-มขี นประปราย มีเส้นแขนงใบขา้ งละ 6-8 เสน้ ออกจากโคนใบ 1 คู่ ก้านใบยาว 2-10 ซม. มี ขน-เกล้ียง ช่อดอกรปู ซี่ร่ม ยาวถึง 5 ซม. ออกตามซอกใบ ดอกเล็กมาก เม่ือบานกว้าง 6 มม. กลีบเลี้ยงและ กลบี ดอกอย่างละ 5 กลบี กลบี เล้ยี งสีขาวโคนสแี ดง รปู หอก กลบี ดอกโคนกลีบคอดสขี าว ปลายกลบี โคง้ งมุ้ มา จรดกันคล้ายรปู กระโจม ด้านบนมีระยางคเ์ ป็นเส้นสีเหลือง 5 เสน้ ยาว 2 มม. ผลรปู ทรงกลม มีหนามแหลมคม รอบ กวา้ งรวมหนาม 2.5 ซม. หนามยาว 3-6 มม มขี นประปราย ผลแกแ่ ห้งแตก 5 พู ถ่นิ อาศยั ขนึ้ ตามทโี่ ล่งแจ้ง ริมแมน่ �้ำ หรอื ชายปา่ บุ่งป่าทาม ทีค่ วามสงู จากระดบั น้�ำทะเลไมเ่ กนิ 200 ม. ออกดอก ช่วงเดอื นพฤษภาคม-ตุลาคม ผลแกเ่ ดอื นตลุ าคม-มีนาคม การกระจายพันธุ์ พบไดไ้ ม่บอ่ ยนกั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื (ยกเวน้ ลมุ่ น�ำ้ โมง) และภาคกลาง ต่างประเทศ พบทีเ่ นปาล อินเดีย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และเวยี ดนามตอนใต้ การใช้ประโยชน์ -

หใู บสีเขยี วและโคนใบของปอพราน (Colona auriculata)

ปา่ บ่งุ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 269 ปอทาม ชือ่ ทอ้ งถิน่ อื่น : ปอทาม (สกลนคร, นครพนม), ปอพราน (อ.บา้ นดงุ อุดรธาน,ี อ.เจรญิ ศลิ ป์ สกลนคร) Colona sp. (วงศ์ Malvaceae) หมายเหตุ : sp. หมายถงึ เปน็ พชื ในสกลุ ปอพราน (Colona) ชนดิ หนง่ึ ทยี่ งั ไม่สามารถระบุชือ่ ชนดิ ได้ ไม้พุม่ รอเลื้อย ยาวถึง 6 ม. ตามกง่ิ ใบ ก้านใบ และช่อดอกมขี นเปน็ กระจกุ รปู ดาวหนาแนน่ เมือ่ สมั ผัสสาก คาย ตามซอกใบออ่ นมีหูใบรูปใบหอก ยาว 4 มม. หลดุ ร่วงงา่ ย ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดยี ว รปู ขอบขนาน รปู ใบหอกแกมขอบขนาน หรอื รปู ไข่ ยาว 4-10 ซม. กว้าง 1.5-4 ซม. ปลายเรยี วแหลม ขอบใบจกั ฟนั เลื่อย โคนใบมน-เว้าเลก็ น้อย บางครงั้ เบย้ี วเลก็ น้อย ผวิ ใบทงั้ สองดา้ นมขี นสากคาย โดยเฉพาะดา้ นลา่ งหนาแนน่ กวา่ มเี ส้นแขนงใบขา้ งละ 6-7 เสน้ ออกจากโคนใบ 1 คู่ ก้านใบบวมหนา ยาว 2-5 มม. ชอ่ ดอกแบบกระจกุ มี 3 ดอกยอ่ ย ออกตามซอกใบ กา้ นช่อดอกยาว 5-10 มม. ก้านดอกย่อยยาว 2-4 มม. มีใบประดับสเี ขียว 3 ใบ ห้มุ โคนดอกตูม หลดุ รว่ งง่าย ดอกตมู ทรงกลม ดอกบานกวา้ ง 2 ซม. กลบี เล้ียงและกลีบดอกมอี ย่างละ 5-6 กลีบ กลบี เล้ียงสเี หลืองอมเขยี วมีจดุ ประสแี ดง กลบี รูปไข่ ยาว 1-1.5 ซม. ปลายแหลม กลบี ดอกสีเหลืองเข้มมีจุดประ สีแดง รูปหอกกลบั ยาว 0.7-1 ซม. มเี กสรเพศผ้จู ำ� นวนมาก ผลรูปทรงค่อนขา้ งกลม มีรอยกดหรอื บมุ๋ ทป่ี ลาย ขนาดรวมปีก กว้าง 1.2-1.7 ซม. มปี กี ตามแนวยาว 5 ปกี ปกี กว้าง 1-2.5 มม. มขี นยาวแข็งสนี ้ำ� ตาลทอง หนาแน่น กลีบเลีย้ งตดิ คอ่ นขา้ งคงทน ผลแกแ่ ห้งไมแ่ ตก มีเมลด็ ขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก ปอทาม มีลักษณะคล้าย ปอพราน (Colona auriculata) มาก ชาวบา้ นหลายคนเข้าใจผดิ ว่าเป็นชนดิ เดยี วกัน มจี ุดเดน่ คือ ใบและกงิ่ ของปอพรานจะมขี นหนานุ่ม (ไมส่ ากคาย) ทโ่ี คนใบเบยี้ วหรือหยักเป็นรูปตงิ่ หู และตามโคนกา้ นใบจะเห็นหใู บรูปกลมๆ ติดคงทนเปน็ คู่ สเี ขยี ว ถ่นิ อาศัย ขึ้นตามที่โลง่ แจ้ง ริมแม่น้�ำ หรือชายป่าบุง่ ป่าทาม ท่คี วามสูงจากระดบั น้�ำทะเลไมเ่ กิน 200 ม. ผลดั ใบช่วง เดือนมกราคม-มนี าคม แตกใบใหมเ่ ตม็ ทแ่ี ลว้ จึงออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม-กนั ยายน ผลแก่เดือนกันยายน- ธันวาคม การกระจายพนั ธ์ุ คาดวา่ น่าจะเปน็ พืชชนิดใหมข่ องโลก (new species) ที่ยงั ไมเ่ คยมีรายงานการพบมาก่อน แต่พบได้ท่วั ไปตามปา่ บ่งุ ป่าทาม ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน ในลุ่มน้ำ� สงคราม ลมุ่ น้ำ� กำ่� และลำ� ธารที่ ไหลลงสแู่ ม่น�้ำโขง ในเขตจงั หวัดอดุ รธานี สกลนคร หนองคาย บึงกาฬ และนครพนม และในเขตล่มุ น้�ำเซบาย ใน จงั หวัดยโสธร อ�ำนาจเจริญ และอุบลราชธานี การใช้ประโยชน์ วัสดุ เปลือก มีเส้นใยเหนียว ตดั มาแชน่ ้�ำ แล้วลอกออกจากล�ำตน้ ขูดเนอื้ สีเขียวออกใหเ้ หลือเฉพาะเปลอื กนอก บางๆ ล้างและฟอกในนำ้� ใหส้ ะอาด แล้วตากแดดเกบ็ ไวใ้ ชไ้ ด้นาน โดยฉกี เปน็ เส้นใชแ้ ทนเชือก เช่น ใชไ้ พหญ้ามุง หลงั คา ทอเสอ่ื (ท�ำเส้นยนื ) ถกั ไมก้ วาด หรอื ควนั่ เกลยี วเป็นเชอื กผูกวัว-ควาย หรือสายเบด็ ตกปลา (19, 21, 23, 24, 25)



ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน 271 ข้าวจี่ ชือ่ ทอ้ งถน่ิ อนื่ : ขา้ วตาก ขา้ วม่าย ขา้ วเม่า ปอขา้ วตาก (ภาคกลาง, นครราชสีมา), ขา้ วกว่ี อก ยาบขไี้ ก่ ห�ำมา้ ชามดั ปอแป๋ (ภาคเหนือ), เจเนรา (ภาคใต)้ , ขา้ วจี่ ขา้ วก่ี (อีสานใต้, มหาสารคาม, รอ้ ยเอด็ , นครพนม), แกน่ เทา (ขอนแก่น, อดุ รธาน,ี หนองคาย, อ.เจริญศลิ ป์ สกลนคร), ข้ตี นุ่ (ภไู ท-อ.พรรณานิคม สกลนคร), บายเกรยี ม (เขมร-อ.ท่าตูม สรุ นิ ทร)์ , ดอยเกรียม (ส่วย-อ.ท่าตูม สุรนิ ทร์) Grewia hirsuta Vahl (วงศ์ Malvaceae) ช่อื พ้อง : - ไม้พุ่ม สงู ถงึ 1-5 ม. ยาวถงึ 6 ม. ตามก่งิ ก้านใบ ใบ และชอ่ ดอกมขี นเปน็ กระจกุ รปู ดาวหนานมุ่ ใบเดย่ี ว เรยี ง สลับ รปู ขอบขนาน รปู หอก หรอื รูปรกี ว้าง ยาว 5-10 ซม. ปลายแหลม ขอบใบจกั ฟนั เล่อื ยถี่ โคนใบแหลม- มน ผวิ ใบด้านบนสากคาย ด้านลา่ งมขี นสนั้ หนานมุ่ สีขาวท่วั แผน่ ใบ มเี ส้นแขนงใบข้างละ 4-7 เสน้ ออกจาก โคนใบ 1 คู่ ก้านใบ ยาว 2-10 มม. ช่อดอกแบบกระจุก มดี อกย่อย 3 ดอก/ชอ่ ช่อดอกยาว 1-3 ซม. ออกตาม ซอกใบ กลีบเล้ยี งและกลีบดอกอยา่ งละ 4-5 กลีบ สขี าว กลีบเลีย้ งมขี นาดยาวกว่ากลบี ดอกมาก รปู ขอบขนาน ยาว 5-8 มม. บานโคง้ กลับ กลีบดอกยาวเพยี ง 2 มม. เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ผลรปู ทรงกลม มี 2-4 พู กว้าง 0.6-1 ซม. มีขนประปราย ผลสุกสีแดงอมน�้ำตาล มเี มลด็ แขง็ 1 เมลด็ /พู ถ่นิ อาศยั ขนึ้ ตามที่โลง่ แจ้งหรอื ป่าเส่ือมโทรม ปา่ เบญจพรรณ ป่าดงดบิ แลง้ และปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ทคี่ วามสูงจาก ระดับน้ำ� ทะเลไม่เกนิ 1,500 ม. ผลดั ใบชว่ งเดือนมกราคม-กุมภาพนั ธ์ แตกใบใหมเ่ ตม็ ทีแ่ ลว้ จึงออกดอกชว่ งเดือน เมษายน-พฤศจกิ ายน ผลแกเ่ ดอื นกนั ยายน-มกราคม การกระจายพนั ธุ์ พบไดท้ ัว่ ประเทศไทย ต่างประเทศพบในอินเดีย ศรลี งั กา เมียนมาร์ จีนตอนใต้ ลาว กมั พูชา เวียดนาม คาบสมทุ รมาเลเซยี และอินโดนเี ซยี การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ผลสุก สนี ำ�้ ตาล กนิ เป็นผลไม้ รสหวานอมเปร้ยี วคลา้ ยพทุ ราสกุ เคี้ยวกนิ ไดท้ ้ังเมลด็ กรบุ กรอบ รสมัน (1, 3, 4, 6, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 17, 18, 19, 20, 24, 25, 26, 27).---- สมุนไพร รากข้าวจี่ + ราก หนามกะจาง (Maytenus mekongensis) ต้มน้�ำดื่ม เป็นยาบำ� รงุ น้�ำนม (2).--- ราก น�ำมาลนไฟ แล้วต้มน้ำ� ดม่ื แกท้ ้องเสยี /บิด (19).--- ทกุ สว่ น เขา้ ยาอืน่ ๆ รกั ษารดิ สดี วงทวาร (11).--- ทุกสว่ น เขา้ ยาอ่ืนๆ ตม้ น�้ำดื่ม บำ� รุง รา่ งกาย (11).--- วสั ดุ เปลอื กใช้ทำ� เชอื กปอ (1, 3, 26) เช่นเดียวกับ ปอทาม (Colona sp.).--- ดา้ นอ่นื ทกุ ส่วนใชเ้ ป็นอาหารสัตว์ (12) ผลสกุ



ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ภาคอีสาน 273 คอมน�้ำ ชื่อท้องถนิ่ อ่นื : สลอดเล็ก สม้ ก้งุ (ภาคกลาง), ลายเขา (จันทบุร,ี ตราด), คอมน้�ำ (นครพนม) Microcos sinuata (Wall. ex Mast.) Burret (วงศ์ Malvaceae) ชอื่ พ้อง : - ไมพ้ มุ่ รอเลื้อย สงู ถงึ 8 ม. ตามก่ิงอ่อน ช่อดอก และก้านใบมีขนสัน้ หนาแนน่ มีหใู บติดคงทน ใบเดีย่ ว เรียงสลับ รปู หอกกลับ รปู ขอบขนาน หรือรปู รี ยาว 3-5 ซม. ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบชว่ งปลายหยักคอ่ นข้างลกึ โคนใบตัด-เวา้ รปู หัวใจ ผิวใบด้านลา่ งเกลีย้ ง-มีขนประปรายตามเส้นใบ มีเส้นแขนงใบข้างละ 3-5 เสน้ ออก จากโคนใบ 1 คู่ กา้ นใบยาว 2-4 มม. ชอ่ ดอกแบบกระจกุ ชอ่ ดอกยาว 2-3 ซม. ออกตามปลายก่งิ และซอกใบ กลีบเลย้ี งและกลีบดอกอย่างละ 5 กลบี สีขาวอมเหลือง กลีบเล้ยี งมีขนาดยาวกว่ากลบี ดอกมาก รปู ไข่กลบั ยาว 8-10 มม. ขอบกลีบง้มุ เขา้ ด้านในคล้ายช้อน กลบี ดอกยาวเพยี ง 2 มม. เกสรเพศผู้จ�ำนวนมาก ผลรปู ไข่กลบั กวา้ ง 0.5-1 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. ปลายผลกลม-แหลม และมตี ิง่ สั้น ผิวเกลีย้ ง มีเมล็ดเดียวและแขง็ ถ่นิ อาศัย ขน้ึ ตามที่โล่งแจง้ รมิ นำ้� ทัง้ ในป่าเบญจพรรณ ปา่ ดงดิบแล้ง และปา่ บงุ่ ปา่ ทาม ทีค่ วามสงู จากระดับน้�ำ ทะเลไม่เกิน 500 ม. ออกดอกช่วงเดือนมนี าคม-พฤษภาคม ผลแก่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม การกระจายพนั ธ์ุ ค่อนข้างหายาก พบใน จ.กาญจนบุรี ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก และภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ตา่ งประเทศพบในอินเดีย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และเวยี ดนาม การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลสกุ รสเปรี้ยวอมหวาน กนิ เป็นผลไม้ (21).--- วสั ดุ ผลดิบ ใชท้ �ำกระสนุ ยิงบ่ังโพละ๊ (ปืนกระบอก ไมไ้ ผ่/อีโบะ๊ ) (19, 21)

แผน่ ใบด้านลา่ ง

ปา่ บ่งุ ป่าทาม ภาคอีสาน 275 กะสิน ช่อื ทอ้ งถ่นิ อน่ื : รวงผงึ้ สายนำ้� ผึง้ น้�ำผง้ึ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ), กะสิน กาสนิ (อ.ศรีสงคราม นครพนม) Schoutenia glomerata King subsp. peregrina (Craib) Roekm. (วงศ์ Malvaceae) ชอ่ื พ้อง : Schoutenia peregrina Craib ไมต้ ้น สงู ถึง 15 ม. เปลือกเรียบสีน�ำ้ ตาลอ่อน ตามก่งิ อ่อน ชอ่ ดอก และก้านใบมขี นกระจุกสั้นรูปดาวหนาแน่น สสี นิม มหี ใู บรปู หอก ยาว 5-7 มม. หลุดรว่ งงา่ ย ใบเด่ยี ว เรยี งสลับระนาบเดยี ว รูปรี หรือรปู ขอบขนาน ยาว 4-8 ซม. ปลายใบเรยี วแหลม ขอบใบเรยี บ โคนใบมน ผิวใบดา้ นบนสเี ขียวเขม้ มนั เงา เกล้ียง ด้านล่างสเี ขยี วนวล มสี ะเกด็ และขนแนบผิวสขี าวหนาแนน่ มีเสน้ แขนงใบข้างละ 2-5 เส้น เสน้ ที่ออกจากโคนใบ 1 คู่เห็นชัดเจน ก้านใบบวมหนา ยาว 2-7 มม. ช่อดอกแบบกระจกุ ช่อดอกยาว 1-2 ซม. ออกตามปลายกง่ิ และซอกใบ ไมม่ ี กลีบดอก กลบี เลยี้ งสีเหลอื ง เชื่อมติดกันทีโ่ คนปลายแยก 5 แฉก หรอื หยักลึกเข้ามาไมเ่ กนิ 1/2 ของความยาว กลบี คล้ายรูปดาว ดอกบานกวา้ ง 1-1.5 ซม. มีกลนิ่ หอม เกสรเพศผจู้ �ำนวนมาก ผลรปู ทรงกลม กว้าง 0.5-1 ซม. มขี นแข็งสขี าวหนาแนน่ มกี ลีบเล้ียงบางและแหง้ เหยี่ วคลมุ ข่ัวผล ผลแกแ่ ห้งไมแ่ ตก ถน่ิ อาศัย ขึ้นตามริมน้ำ� หรอื ในปา่ บุ่งป่าทาม ทคี่ วามสงู จากระดบั น้�ำทะเลไม่เกิน 200 ม. ออกดอกช่วงเดอื น กรกฎาคม-ตลุ าคม ผลแกเ่ ดือนตลุ าคม-กุมภาพันธ์ การกระจายพนั ธุ์ เปน็ พชื พน้ื เมอื งของทร่ี าบลมุ่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ และลมุ่ นำ้� โตนเลสาบ ประเทศกมั พชู า ปัจจบุ ัน เปน็ พืชท่หี ายากมากในธรรมชาติ ซึง่ หลงเหลืออยู่รมิ แมน่ ำ้� นา่ นใน จ.นครสวรรค์ และ ที่รมิ แม่น้�ำสงคราม ในเขต อ.อากาศอำ� นวย จ. สกลนคร เท่าน้นั แตม่ ักจะพบเป็นไมป้ ลกู อย่ตู ามวดั /บา้ นเรือนใน ภาคกลางและภาคเหนอื (ตวั อยา่ งต้นแบบ (type specimen) และตัวอย่างที่ถกู บรรยายในการตพี มิ พ์ครง้ั แรก ถูกเกบ็ ได้จากตน้ ที่ถกู ปลูกอยู่ในกรงุ เทพฯ และ จ.เชียงใหม่) การใชป้ ระโยชน์ เชื้อเพลิง ไม้ใชท้ ำ� ฟนื ตดิ ไฟงา่ ย หรือเผาถ่าน (21).--- กอ่ สรา้ งหรือเครือ่ งมือ เนอ้ื ไม้ ใชใ้ นงานก่อสร้าง หรือท�ำเฟอร์นเิ จอรท์ ใ่ี ช้ในร่ม (19).--- ด้านอืน่ ดอกสเี หลือง มกี ลิน่ หอม ผง้ึ ชอบตอมกนิ นำ้� หวาน (19) ผลอ่อน

ผลอ่อน ดอก

ปา่ บุ่งปา่ ทาม ภาคอสี าน 277 แดงสะแง ช่ือท้องถ่นิ อนื่ : แดงสะแง แดงสะแหง (กำ� แพงเพชร, นครราชสีมา, ปราจีนบรุ )ี , กาสนิ แดงพะแย (สกลนคร, นครพนม); แดงดง แดงแสม (อุตรดิตถ์, พษิ ณุโลก), แดงเหนียว (สระบรุ )ี , ขี้เถ้า (นครราชสีมา), แบงทะแง (เขมร- สระแกว้ ); สะแง (เขมร-อีสานใต้) Schoutenia ovata Korth. (วงศ์ Malvaceae) ช่ือพ้อง : - ไมต้ น้ สงู ถงึ 15 ม. เปลือกเรียบ-แตกเปน็ ร่องตน้ื ตามยาว สนี �ำ้ ตาลออ่ น ตามก่ิงอ่อน ช่อดอก และกา้ นใบมขี นกระจกุ ส้นั รูปดาวหนาแน่น สสี นมิ ลกั ษณะโดยทว่ั ไปคลา้ ยกบั ตน้ กะสิน (Schoutenia glomerata subsp. pereg- rina) มาก มคี วามแตกต่างท่ี แดงสะแงจะมขี นาดความกว้างใบท่ีมากกว่า กว้าง 2.5-4.5 ซม. ขอบใบช่วง ปลายใบมกั จะหยักเล็กนอ้ ย โคนใบเบ้ยี วเลก็ น้อย ดอกสขี าว เมือ่ บานกวา้ ง 2-2.5 ซม. มกี ลีบเล้ียงและ กลีบดอกอยา่ งละ 5 กลบี กลีบเลีย้ งหยักลึกเขา้ มาเกือบถงึ โคนหรือมากกว่า 1/2 ของความยาวกลีบ ผลมี กลีบเลยี้ งตดิ คงทนที่ข่วั คลา้ ยหมวก ตน้ กะสนิ จะมีความกวา้ งของใบ 1.5-3 ซม. ขอบใบเรยี บ โคนใบมนและสมมาตร (ไมเ่ บี้ยว) ดอกสเี หลอื ง เมื่อ ดอกบานกว้าง 1-1.5 ซม. ไมม่ กี ลบี ดอก กลีบเลย้ี งหยักลึกเขา้ มาไม่เกนิ 1/2 ของความยาวกลบี และกลบี เลี้ยง ไมต่ ิดคงทนเมอื่ เปน็ ผล ถิ่นอาศยั ข้ึนตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแลง้ ท้งั ในเขตทีร่ าบเชิงเขาและทร่ี าบน�้ำท่วมถึง ในบริเวณทีป่ กตนิ ้�ำท่วม ขังไมน่ านกวา่ 1 เดือน มักพบเหลอื อยู่ตามจอมปลวกในทุ่งนา หรือเนินดนิ ในป่าบงุ่ ป่าทาม (กะสนิ จะชอบขึ้นตาม รมิ น้�ำ และทีร่ าบลมุ่ ทมี่ นี ำ�้ ทว่ มขังยาวนานมากกวา่ ) ท่ีความสูงจากระดบั น�้ำทะเลไมเ่ กิน 200 ม. ออกดอกชว่ ง เดอื นกรกฎาคม-พฤศจิกายน ผลแก่เดือนกนั ยายน-กุมภาพนั ธ์ การกระจายพันธ์ุ เป็นพชื ท่พี บไม่บ่อยนกั แตข่ ึน้ อย่ทู ่วั ทกุ ภาค ยกเว้นภาคใต้ ต่างประเทศพบในลาว กมั พชู า เวยี ดนาม ชวา และตอนเหนอื ของออสเตรเลีย การใชป้ ระโยชน์ สมุนไพร แกน่ ตม้ น�้ำด่ืมรักษาประดง (2).--- เช้อื เพลิง ไมใ้ ช้ท�ำฟนื และเผาถา่ น (1).--- ก่อสร้างหรือ เครื่องมือ เน้ือไม้ใช้ทำ� เฟอร์นิเจอร์ หรอื งานกอ่ สรา้ งในรม่ (1)

ผลออ่ นของคล้า

ป่าบ่งุ ป่าทาม ภาคอสี าน 279 คล้า ชอ่ื ท้องถนิ่ อืน่ : คลา้ คลา้ นำ�้ (ภาคกลาง, อสี าน, ภาคใต)้ , บแู มจจ่ี ะ๊ ไอย์ (มลาย-ู ปตั ตาน)ี , แหยง่ (ภาคเหนือ) Schumannianthus dichotomus (Roxb.) Gagnep. (วงศ์ Marantaceae) ช่อื พ้อง : - ไมน้ �ำ้ ลม้ ลุก สงู 1-2.5 ม. มเี หง้าอย่ใู ตด้ ิน ลำ� ตน้ กลม หนา 1-2 ซม. ตั้งตรงสูง 1-2 ม. แลว้ แตกกิ่ง ผิวเกล้ียง สีเขยี ว ตามขอ้ บวมโต ใบเดียว เรียงสลับ รปู รี-รกี วา้ ง ยาว 10-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลม-มน ผิวใบเกลย้ี ง สีเขยี วมันเงา ไมม่ นี วลทผ่ี ิวใบดา้ นล่าง เส้นแขนงใบถีค่ ล้ายใบกลว้ ย ก้านใบบวมหนา ยาว 0.5-1 ซม. โคนกา้ นใบเปน็ กาบหุม้ รอบลำ� ต้น ยาว 5-12 ซม. เกล้ยี ง ชอ่ ดอกแบบกระจะ ออกทป่ี ลายกิง่ ตง้ั ตรง ยาว 10-35 ซม. แกนชอ่ ดอกมกี าบสเี ขยี วอ่อนหุ้ม ดอกสขี าว ดอกยาว 4.5-5 ซม. มีกลีบเลย้ี ง 3 กลบี ยาว 1 ซม. กลีบดอกรปู ขอบขนานมี 3 กลีบ ยาว 3 ซม. ปลายกลบี กลม-แหลม บานโคง้ กลบั ทีก่ ลางดอกมีกลบี ทดี่ ดั แปลง มาจากเกสรเพศผู้ท่เี ป็นหมนั (petaloid staminode) มขี นาดใหญแ่ ละเดน่ กวา่ กลบี ดอก มี 2 กลบี รูปไข่กลบั ยาว 1.6-2 ซม. และอีก 1 กลบี รปู หัวใจ ยาว 1.2 ซม. ทั้ง 3 กลบี มีขอบหยกั และเปน็ คลื่น ผลรูปทรงคลา้ ยผล แอปเปลิ้ กวา้ ง 2 ซม. สูง 1.5 ซม. หยัก 6 พูเลก็ น้อย ปลายผลตัด-บ๋มุ ผิวเกลยี้ ง-ขนประปราย สีเขียวอม เหลอื ง ผลแก่แตก 3 ซกี มี 3 เมล็ด คลา้ มคี วามคล้ายคลงึ กบั คลุม้ (Donax canniformis) มาก มคี วามแตกต่างกันที่ คลุ้มมีใบทใี่ หญแ่ ละ ยาวกว่า ใบยาว 15-30 ซม. ดอกยาว 1.5-2.5 ซม. และผลรูปทรงกลม กวา้ ง 1.3 ซม. ผิวสีขาว และคลุ้มจะขนึ้ ใน เขตพ้นื ท่ีภูเขาท่ปี กคลมุ ดว้ ยป่าดงดบิ ช้ืนหรอื ตามแหล่งน�้ำซบั ถิน่ อาศยั ขึน้ ในทีโ่ ล่งแจ้งตามขอบบึง แหลง่ น�ำ้ นง่ิ หรือรมิ หว้ ยทนี่ ้�ำไหลเอ่อื ย ทีร่ ะดบั น้�ำลึกเฉลี่ยไม่เกิน 50 ซม. ในเขตที่ราบน�้ำทว่ มถงึ ทคี่ วามสงู จากระดบั น�้ำทะเลไม่เกิน 200 ม. ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจกิ ายน ผลแก่เดือนกรกฎาคม-มกราคม การกระจายพันธ์ุ พบไดง้ ่าย ทว่ั ประเทศ ต่างประเทศพบในรฐั อสั สัม ประเทศอินเดยี เมยี นมาร์ ลาว กัมพูชา เวยี ดนาม คาบสมทุ รมาเลเซยี และบอร์เนยี ว การใชป้ ระโยชน์ สมนุ ไพร รากคลา้ + มะพร้าว + หมาก + หญ้าคา + กา้ นตอง (พืชชนดิ หน่ึง) + ก้างปลา (พชื ชนดิ หนง่ึ ) แชน่ �้ำ ดื่มและอาบเป็นยาเย็นรักษาโรคอสี ุกอใี ส (27).--- วสั ดุ ต้นแก่ ส่วนเปลือกสีเขียวมเี นอื้ เหนยี ว จักเป็นเส้นตอก ใชไ้ พหลงั คาหญ้า ตอกมัดสงิ่ ของ สานแอบข้าว (กระต๊ิบข้าว) หรอื สานเส่อื (26, 27) ผลออ่ นของคลุ้ม

ใบทล่ี อยอย่ทู ี่ผิวนำ�้ และเป็นใบที่สรา้ งถุงอับสปอร์ ใบที่ชูอยูเ่ หนือผิวนำ�้ ใบของผกั แว่น (ธรรมดา) (Marsilea crenata)

ปา่ บุ่งปา่ ทาม ภาคอีสาน 281 ผักแว่นใบมัน ช่อื ท้องถิน่ อื่น : ผกั แวน่ ผกั แวน (ปราจนี บุรี, ภาคอีสาน) Marsilea scalaripes D.M. Johnson (วงศ์ Marsileaceae) ชื่อพอ้ ง : - ไมน้ ้�ำล้มลุก (เป็นพชื ในกลุ่มเฟิน ไม่มดี อกแตข่ ยายพันธุ์ด้วยสปอร)์ สงู 20-30 ซม. ล�ำต้นทอดคลานตามพ้นื ดินใต้ ท้องน้�ำหรือทช่ี น้ื แฉะ ยาวถึง 2 ม. มรี ากออกตามข้อ ท้งั ต้นเกลยี้ ง ใบประกอบมี 4 ใบ ออกท่ปี ลายก้านใบ กา้ นใบยาว 10-30 ซม. ใบย่อยรูปพดั ยาวและกวา้ ง 2-3 ซม. ปลายใบกลมกวา้ งและเรียบ โคนใบสอบ กา้ นใบยอ่ ยสน้ั กวา่ 1 มม. ใบมี 2 แบบ คือ 1) ใบท่ีลอยอยูท่ ผ่ี ิวน�้ำ (เปน็ ใบท่สี รา้ งถงุ อบั สปอร์ (sporocarp)) ผิวใบจะเกลี้ยง ดา้ นบนสีเขยี วมันเงา ขอบใบสนี �้ำตาล เนอ้ื ใบอ่อนน่มุ แตค่ อ่ นข้างหนา ใบออ่ นมีสีเขยี วอมส้ม มถี งุ อับสปอรเ์ กดิ เรียงเปน็ แถวบนก้านใบใกล้โคน มี 2-12 อนั รูปกลม-รี ยาว 2-5 มม. ผิวเกลยี้ ง มกี ้านถงุ อบั สปอร์ ยาว 5-7 มม. และ 2) ใบทชี่ พู น้ ผิวน้�ำ (เปน็ ใบท่ีสรา้ ง/ไม่สรา้ งถุงอบั สปอรก์ ไ็ ด้) ผวิ ใบด้านบนมสี เี ขียว นวล ดูดา้ น และมีเน้อื ใบบาง ผกั แวน่ ใบมัน มีความคล้ายคลงึ กับ ผกั แว่น (ธรรมดา) (Marsilea crenata) มาก คนในท้องถ่ินมกั เขา้ ใจว่า เป็นพืชชนดิ เดียวกนั มีความแตกตา่ งกนั ท่ี ผกั แวน่ มผี วิ ใบดา้ นบนสเี ขยี วนวล ดดู ้านๆ (ไมม่ นั เงา) เนื้อใบบาง และ ขอบใบมกั จะหยักไม่มากกน็ อ้ ย ขนาดใบยาวนอ้ ยกวา่ ผกั แว่นใบมัน ยาว 1-2 ซม. แผ่นใบหรอื กา้ นใบมักจะมขี น หรืออาจเกลีย้ งกไ็ ด้ ส่วนถุงอับสปอรเ์ กดิ ทซ่ี อกใบ มีรปู ขอบขนานแกมรีและมีขนปกคลุม ถนิ่ อาศยั ขึ้นในท่โี ลง่ แจ้งตามขอบบึง แหลง่ นำ้� นิง่ หรือรมิ ห้วยทนี่ ้�ำไหลเออื่ ย และมรี ะดับนำ�้ ลึกเฉลีย่ ไมเ่ กิน 30 ซม. ทค่ี วามสูงจากระดับน�้ำทะเลไมเ่ กิน 200 ม. เจรญิ เตบิ โตตลอดทง้ั ปใี นท่ที ่ีดินมคี วามเปียกช้นื ตลอดปี ส�ำหรับใน ฤดแู ล้งในท่ีนำ�้ แหง้ ขอดมากอาจแห้งเห่ียวไป แลว้ แตกหน่อจากต้นใต้ดินหรืองอกจากสปอรอ์ ีกคร้งั ในฤดูฝน การกระจายพนั ธุ์ ผักแว่นใบมนั เป็นพชื ทถ่ี ูกรายงานอยา่ งเปน็ ทางการวา่ เป็น พืชชนิดใหม่ของประเทศไทย (new record) เมอ่ื ปี พ.ศ. 2550 โดย ศิริพร (2550) พบไดท้ ่ัวไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ในเขตลุม่ น้ำ� มูล ลุ่มน�ำ้ ชี ล่มุ น้�ำสงคราม และท่ี อ.ประจนั ตคาม จ.ปราจนี บุรี ตา่ งประเทศพบในคาบสมุทรมาเลเซีย และน่าจะพบ ในลาวและกัมพูชาอกี ดว้ ย การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ท้ังตน้ กินเปน็ ผักสด จ้มิ น�ำ้ พรกิ แกล้มลาบ กอ้ ย (5, 17) ผกั แวน่ ใบทมันอ้ งถตูกลเากด็บในมาจขังหายวเดั ปศ็นรผสี ักะตเกาษม

ผลออ่ น

ปา่ บุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 283 เหมือดแอ ชื่อทอ้ งถ่นิ อื่น : เหมือดจี้ เหมอื ดฟอง (ภาคเหนือ), พลองข้ีนก (ปราจนี บุร,ี ประจวบคีรขี ันธ)์ , เหมือดแอ (อบุ ลราชธานี, อุดรธานี, สกลนคร), เหมอื ดแอทาม เหมือดแอนำ้� (นครพนม, ภไู ท-อ.พรรณานคิ ม สกลนคร), พะงาด (นครราชสีมา), พะเงียะ (เขมร-อ.ทา่ ตมู สรุ ินทร์), หมักแอ (ส่วย-อ.ทา่ ตมู สุรนิ ทร์) Memecylon scutellatum Naudin (วงศ์ Melatomataceae) ชอื่ พอ้ ง : - ไม้พมุ่ สงู 1.5-4 ม. เปลอื กสนี ้�ำตาลอมเทา-ดำ� แตกเปน็ ร่องขนาดเลก็ ตามยาว กิ่งเป็นส่ีเหลยี่ ม กง่ิ อ่อนสแี ดง- น�้ำตาลเขม้ ผิวเกลี้ยง ใบเด่ยี ว เรียงตรงขา้ ม ใบรปู ไข่กว้าง รูปรี หรอื แกมรปู กลม ยาว 2-4 ซม. ปลายใบแหลม- มน-เว้าบุ๋ม โคนใบมน-กลม ผิวใบเกลยี้ ง ด้านบนมันเงา เน้อื ใบหนา เห็นเสน้ แขนงใบไมช่ ัดเจน กา้ นใบยาว 3-5 มม. เกล้ยี ง ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุก ยาวถงึ 1 ซม. เกล้ียง ออกตามซอกใบหรอื ปลายก่งิ มหี ลายช่อต่อกระจกุ กลบี เลี้ยงและกลีบดอกอยา่ งละ 4 กลบี กลีบเล้ยี งสขี าว-ชมพู หยักตนื้ 4 พหู รือไมม่ ี ตดิ อยทู่ ขี่ อบถ้วยรองดอก กลบี ดอกสีม่วงอมฟา้ รูปไขก่ วา้ ง ยาว 2.5 มม. หลุดร่วงงา่ ย ดอกบานกว้าง 7-8 มม. ผลรปู ทรงกลม กว้าง 6-7 มม. ผิวเรียบเกลย้ี ง ปลายผลมวี งกลบี เลีย้ งตดิ คงทน สูง 2 มม. กา้ นผลยาว 2 มม. ผลสุกสีม่วง-ด�ำ มี 1-2 เมล็ด ถ่นิ อาศัย พบในปา่ ผลดั ใบ ปา่ ดงดบิ แลง้ ทุ่งหญ้า รวมทง้ั ป่าบงุ่ ป่าทาม ชอบขนึ้ บนดินปนทรายหรอื ผสมกรวด ที่ ความสูงจากระดับน�้ำทะเลไมเ่ กนิ 700 ม. ออกดอกชว่ งเดอื นกุมภาพนั ธ-์ กรกฎาคม ผลแก่เดือนเมษายน-ตุลาคม การกระจายพนั ธ์ุ พบทวั่ ทกุ ภาคของประเทศ ตา่ งประเทศพบในเมยี นมาร์ จีนตอนใต้ ลาว กัมพชู า เวยี ดนาม และคาบสมุทรมาเลเซยี การใช้ประโยชน์ อาหาร ยอดออ่ น กินเปน็ ผักสด รสมันอมฝาด จม้ิ น�ำ้ พริกหรอื แกล้มลาบ ก้อย (6, 19, 20, 23, 24, 25).--- สมุนไพร ล�ำตน้ และราก ต้มน�้ำดม่ื เป็นยารักษาโรคท้องอืด ทอ้ งเฟ้อ และบำ� รงุ รา่ งกาย (9).--- เปลือก น�ำมา ยา่ งไฟ แลว้ แชน่ ำ้� ดมื่ แก้ทอ้ งเสียจากอาหารเปน็ พิษ (4).--- ยอดออ่ น รสฝาด กนิ แก้แสบหมากหกู (โรคกรดไหล ยอ้ น) (18).--- แกน่ เข้ายาอ่ืนๆ แก้โรคดซี า่ น (24).--- เชื้อเพลิง ไมใ้ ช้ท�ำฟืนหรือเผาถา่ น (21, 25).--- กอ่ สรา้ ง หรือเครอ่ื งมือ เนือ้ ไมแ้ ข็งแรงและเหนยี ว ใชท้ ำ� ดา้ มพร้า จอบ ขวาน (18, 19, 20, 23, 25).--- วสั ดุ ใบ ต้มนำ�้ ยอ้ มผ้าฝ้าย/ไหม เป็นสารชว่ ยให้สตี ดิ ทน, แกน่ ใชย้ อ้ มไหม ให้สเี หลือง เหมอื นการใช้ แก่นต้นเข (Maclura spp.) (18).--- ก่ิงตัดมาวางใหต้ ัวหนอนไหมเกาะ แล้วชกั ใยเข้ารัง (3, 4), ตน้ ท�ำค้างปลกู ผกั (4, 25).--- ล�ำต้น ท�ำเปน็ แกนไม้ ท่ใี ชไ้ พตับหลังคาหญา้ (19)

ชอ่ ดอกเพศผู้ ขั่วผลบวมพอง ผลอ่อน หน้าตัดขวางเถา

ป่าบุ่งปา่ ทาม ภาคอีสาน 285 เครือหางหนู ชอ่ื ท้องถ่นิ อ่ืน : ชิงชา้ ชาลี (ภาคกลาง), จุ่งจะลิงตวั แม่ (ภาคเหนอื ), เครือหวั ดว้ น ย่ัง (อ.ชุมพวง นครราชสมี า), เครอื หางหนู บอระเพ็ดผู้ (อ.เมือง มหาสารคาม), เครือหางหนู (อ.มัญจาคีรี ขอนแกน่ ), เครือเขาฮอ เครือกะฮอ (อ.เมอื ง สกลนคร) Tinospora baenzigeri Forman (วงศ์ Menispermaceae) ช่อื พ้อง : - ไมเ้ ลอ้ื ย ยาวถึง 15 ม. เถากลมเนอ้ื คอ่ นข้างออ่ น เถาอายุมากกว้างไดถ้ ึง 6 ซม. เปลอื กนอกมชี ่องอากาศนนู เล็กน้อยกระจายทว่ั เมอ่ื ตดั เถาจะมีน�้ำยางขาวขุน่ เล็กน้อย และมรี สขม ตามเถามรี ากอากาศเป็นเสน้ ยาวลงมา จรดพนื้ ตามเถา กง่ิ อ่อน ใบ และชอ่ ดอกเกลี้ยง ใบเดย่ี ว เรียงสลบั รูปหัวใจ กว้างและยาว 7-14 ซม. ปลายใบ หยักเปน็ ติ่งแหลม-เรยี วแหลม มเี สน้ แขนงใบออกจากโคนใบ 5 เส้น มีตอ่ มนนู 1 คทู่ โ่ี คนใบ ก้านใบยาว 5-15 ซม. โคนกา้ นใบบวมพองและงอ ช่อดอกแยกเพศอย่ตู ่างต้นกัน แบบคล้ายช่อกระจะ ต้งั ขึน้ ยาว 3-15 ซม. ออก ตามเถาและซอกใบ ดอกขนาดเล็กมาก สีเขยี วอมเหลือง เม่อื บานกว้าง 6 มม. กลบี เลยี้ ง 3 กลีบ กลีบดอก 6 กลีบ เรยี ง 2 วงๆ ละ 3 กลบี ผลทรงรกี ลม กว้าง 1 ซม. ยาว 1.2 ซม. ปลายมตี ง่ิ สน้ั ผวิ เกลยี้ ง มีชอ่ งอากาศ นูนเลก็ นอ้ ย โคนผลมีขวั่ บวมพองสูง 2 มม. ก้านผลมขี ้อต่อบวมพองชัดเจน ผลสกุ สีเหลอื ง มี 1 เมล็ด รูปรีกว้าง ยาว 7-9 มม. ผิวแข็งขรขุ ระ เครือหางหนู มลี ักษณะคลา้ ย บอระเพ็ด (Tinospora crispa) มาก เป็นพชื ในสกุลเดยี วกัน มีความแตกตา่ ง ที่ เถาของบอระเพ็ดจะมตี มุ่ นูนขรุขระชัดเจน และที่โคนใบไมพ่ บตอ่ ม ถิ่นอาศยั พบในปา่ ผลดั ใบ ป่าดงดิบแลง้ ทงุ่ หญ้า ปา่ บุ่งปา่ ทาม หรอื ทีร่ กร้าง ชอบเลือ้ ยพนั อยูก่ ับต้นไม้อนื่ ๆ ขึ้น ที่ความสูงจากระดับน�้ำทะเลไม่เกนิ 400 ม. ผลัดใบช่วงเดอื นพฤศจิกายน-มกราคม แล้วออกดอกช่วงเดอื น ธันวาคม-กุมภาพนั ธ์ ผลแก่เดอื นมกราคม-เมษายน การกระจายพนั ธ์ุ พบเกือบทั่วประเทศ ยกเว้นภาคเหนอื (ตอนบน) ต่างประเทศพบใน ลาว กัมพูชา เวยี ดนาม- ตอนใต้ และเกาะชวา การใชป้ ระโยชน์ สมุนไพร เถา มีรสขม ต้มน�้ำดืม่ รกั ษาอาการบวม ฟกชำ้� (1).--- เถา ตดั ยาว 1 ซม. กินวนั ละ 1 ทอ่ น รักษาโรค เบาหวาน (11), เถา ตัดเปน็ ทอ่ นๆ นำ� มาผสมนำ้� ผึ้ง กินเปน็ ยาอายวุ ฒั นะ บ�ำรุงรา่ งกาย (12).--- ดา้ นอนื่ เถา มยี างรสขม เอาไปทาหวั นม ทำ� ให้เดก็ หยา่ นม (11).--- สบั ให้วัวกนิ (1).--- เถาเลอ้ื ยพนั ไดร้ วดเรว็ ปดิ บังแสง ท�ำให้ ตน้ ไม้ทีโ่ ดนเล้ือยพันออ่ นแอแลว้ ตายในท่สี ุด (12)

ผลอ่อน ก้านใบ ไหล ก้านดอก ต่อมสนี ้ำ� ตาลจำ� นวนมากทีแ่ ผ่นใบดา้ นลา่ ง

ป่าบงุ่ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 287 บัวแบ ชื่อทอ้ งถิน่ อืน่ : ตบั เตา่ ใหญ่ บัวบา ผกั เตา่ ใหญ่ อบี า (ภาคกลาง), ผกั เตา่ (สุพรรณบรุ )ี , ผักนองม้า (สุรินทร์), อแี ปะภู (เลย), บัวแบ ผกั พอง ผกั กะนองมา้ (ศรสี ะเกษ, ยโสธร) Nymphoides indica (L.) Kuntze (วงศ์ Menyanthaceae) ชือ่ พอ้ ง : - ไม้นำ้� ลม้ ลกุ ทง้ั ต้นลอยบนผวิ น�ำ้ ลำ� ตน้ สนั้ กวา้ งถงึ 1 น้วิ มไี หล (stolon) แทงออกด้านข้างไปเกดิ เป็นต้นใหม่ ยาวถงึ 2 ม. ตามไหล ก้านใบ ก้านดอก กลีบเลยี้ ง และผิวใบดา้ นล่างมตี ่อมนูนสีนำ้� ตาลจ�ำนวนมาก ไมม่ ีขน ใบเด่ียวมี 1 ใบ/ต้น ก้านใบยาว 1-15 ซม. ใบรปู หวั ใจกึ่งกลม กว้าง 3-18 ซม. ปลายใบกลม ขอบใบเรยี บ ผวิ ใบดา้ นบนสีเขียว บางคร้งั มีลายสนี ำ�้ ตาลอมม่วง ผิวเกล้ยี งเปน็ มันเงา เนอื้ ใบหนาและกรอบ เส้นแขนงใบ ออกจากโคนใบ 5-8 เสน้ ดอกเดยี่ วอย่เู หนือผวิ นำ้� ออกเปน็ กระจกุ จากล�ำต้นทีอ่ ยใู่ ต้น�้ำ กา้ นดอกยาว 3-5 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมอี ย่างละ 5-8 กลีบ กลีบดอกสีขาว โคนเช่อื มตดิ กนั มสี ีเหลอื งตรงกลาง แฉกกลีบรปู ใบหอก ยาว 0.7-1.2 ซม. ดา้ นบนและขอบกลบี ดอกมีขนหยกิ ฟูหนาแนน่ ผลรปู รี ยาว 6-8 มม. จมอยูใ่ ต้น�้ำ มีเมลด็ รูปกลมแบนขนาดเล็กจ�ำนวนมาก ถิ่นอาศัย พบในทโ่ี ลง่ แจ้ง ตามบึงหรือแหล่งนำ้� นิ่ง ที่ความสงู จากระดบั น้�ำทะเลไม่เกิน 1,500 ม. ออกดอกและ ตดิ ผลตลอดท้ังปี การกระจายพันธ์ุ พบได้ค่อนขา้ งงา่ ยทวั่ ประเทศ ต่างประเทศพบในประเทศเขตรอ้ นและเขตอบอนุ่ ของทวปี เอเชยี ออสเตรเลีย และหมูเ่ กาะแปซิฟิก การใช้ประโยชน์ อาหาร ไหลหรือหน่ออ่อน เป็นผักสดรสขมเล็กน้อย จิ้มนำ�้ พริก ป่น หรอื กนิ แกล้มลาบ ก้อย (17)



ปา่ บ่งุ ปา่ ทาม ภาคอสี าน 289 ผักขี้ขม ชื่อทอ้ งถนิ่ อ่ืน : ผักขวง สะเดาดนิ (ภาคกลาง), ผกั ข้ีขวง (ภาคเหนอื ), ผักขข้ี ม (อสี าน), ผกั ไรขม ผกั ไรน้�ำข้าว (นครราชสีมา) Glinus oppositifolius (L.) A.DC. (วงศ์ Molluginaceae) ชอ่ื พ้อง : - ไม้ลม้ ลุก อายุปเี ดียว ลำ� ต้นตั้งตรงและทอคลานตามพื้นดนิ สงู 7-20 ซม. ตน้ ท่ีขน้ึ กลางแจ้งล�ำตน้ และกิง่ จะมีสี สม้ อมแดง-สแี ดงอมน้ำ� ตาล มขี นส้นั กระจาย-เกลยี้ ง ใบเด่ียว เรยี งตรงข้าม หรอื มี 3-5 ใบเรยี งรอบขอ้ แตล่ ะ ใบขนาดต่างกนั ใบรูปรแี คบ หรือรปู หอกกลับ ยาว 0.5-2 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจักฟันเลื่อย หรือเรยี บ แผ่นใบเกลย้ี ง ก้านใบยาวได้ถึง 5 มม ดอกเดย่ี ว ออกเป็นกระจุกทซ่ี อกใบ 1-6 ดอก ก้านดอกยาว 0.4-1.4 ซม. ดอกเล็กมาก กลีบรวม 5 กลีบ (กลบี ทไ่ี ม่สามารถแยกวา่ เป็นกลบี เลยี้ งหรือกลบี ดอก) รูปไข่ ยาว 4-6 มม. ปลายแหลม กลีบด้านในสขี าว อาจมแี ถบสีแดงท่เี สน้ กลางกลีบ ด้านนอกสแี ดงอมสนี ำ้� ตาล ผลรปู ขอบขนาน ยาว 4 มม. มกี ลีบรวมหมุ้ รอบ ผลแกแ่ ตก 3 ซีก มีเมล็ดสนี ำ�้ ตาลขนาดเล็กจ�ำนวนมาก ถ่นิ อาศัย ข้ึนตามพ้ืนทีโ่ ลง่ แจ้งหรอื มแี สงรำ� ไร และชนื้ แฉะ มักพบตามพน้ื ที่ชุม่ นำ้� หลงั น้�ำลด เช่น ทุ่งนา ริมตล่ิง แมน่ ำ้� หรอื ขอบบงึ ชอบขึ้นบนดินปนทราย ทีค่ วามสงู จากระดบั นำ�้ ทะเลไม่เกิน 500 ม. ออกดอกและตดิ ผลตลอด ทัง้ ปี การกระจายพนั ธ์ุ พบทว่ั ประเทศ และพบในประเทศเขตรอ้ นทวั่ โลก การใชป้ ระโยชน์ อาหาร ท้ังต้นมรี สขมอ่อนๆ ใสแ่ กงปลาช่อน ช่วยให้รสกลมกล่อม (8, 22, 23)

ผลสุก ชอ่ งเปิดทปี่ ากโพรงผล แเตตรนยี มมะบเนิดือ่อทอกี่โตจเาตก็มผวลัยแล้ว ตบลัก่งินแอมดน่ น้�ำำ้� ชชอว่ บยขป้ึน้อปงกกนั คตลลมุ ิง่ อพยงั่าไงดห้ดนี าแน่นตาม ใบของต้นอายนุ ้อย

ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 291 บักนอดน�้ำ ชอื่ ท้องถิ่นอื่น : สลอดน�้ำ (ภาคกลาง), มะนอดน�้ำ (เชียงราย), สลอดด�ำ บักนอด เคอื นอด (อุบลราชธานี, ยโสธร, ศรสี ะเกษ), สลอด (ภูไท-อ.พรรณานิคม สกลนคร), หมักเด่ือนำ้� (อ.ศรสี งคราม จ.นครพนม), เดือ่ เครอื เดอื่ ทาม (อ.บา้ นดงุ อดุ รธานี), เดื่อดิน (อ.เจริญศิลป์ สกลนคร), บักนอดนำ�้ (อ.โพธิ์ตาก หนองคาย), หมากต่งั นาย (อ.ศรเี ชียงใหม่ หนองคาย) Ficus heterophylla L.f. (วงศ์ Moraceae) ชอ่ื พอ้ ง : - ไมพ้ ุ่มหรือรอเลอื้ ย สูง 2-6 ม. มกั ข้นึ เปน็ กลมุ่ หนาแน่น เมอื่ เกดิ บาดแผลจะมีนำ้� ยางสีขาวขุน่ ตามปลายกิง่ ใบ และผลมีขนสากคาย ใบเด่ยี ว เรียงสลบั ระนาบเดียว รปู หอกกลบั หรอื รูปขอบขนาน ยาว 5-10 ซม. ปลายใบ เรยี วแหลม โคนใบมน ขอบใบจกั ฟนั เลื่อย (ใบของต้นอายุนอ้ ยขอบใบหยักเป็นแฉก) เนื้อใบหนา เส้นแขนงใบมี ข้างละ 4-9 เสน้ มี 1 คอู่ อกจากโคนใบ กา้ นใบยาว 0.5-1.5 ซม. ช่อดอกอดั แนน่ อย่ดู ้านในโพรงของฐานรองดอก มีช่องเปดิ ทป่ี ลายโพรง 1 ช่อง (ช่อดอกแบบมะเดื่อ-ไทร: syconium) ออกตามซอกใบ ช่อดอกต้ังขึ้น ทรงรีหรือ ไขก่ ลับ ยาว 1-1.5 ซม. ปลายกลม สเี ขยี วมีช่องอากาศนนู สีขาวจ�ำนวนมาก กา้ นชอ่ ดอกยาว 0.3-1.5 ซม. ผลรปู ทรงเหมอื นช่อดอก แต่มีขนาดขยายมากข้ึน ยาว 2-3 ซม. เมื่อสุกสเี หลอื ง-สม้ แดง มีเมล็ดขนาดเลก็ จ�ำนวนมาก และมกั จะพบแตนมะเดือ่ อาศัยอยใู่ นโพรงผลดว้ ย ถิ่นอาศัย ข้ึนในทโ่ี ล่งแจง้ ตามรมิ ล�ำธาร ริมแม่นำ�้ หรือริมบงึ ทเี่ ปน็ ดนิ เปียกช้ืนเกือบตลอดปี ท่คี วามสูงจากระดับ น�้ำทะเลไมเ่ กนิ 500 ม. ออกดอกและตดิ ผลตลอดทัง้ ปี การกระจายพันธุ์ พบไดง้ ่าย ขึน้ ท่ัวประเทศ ต่างประเทศพบในอนิ เดยี ศรีลังกา จนี ตอนใต้ และเอเชยี ตะวนั ออก- เฉยี งใต้ (ยกเว้นฟิลปิ ปินส์ และเกาะสุลาเวสี) การใชป้ ระโยชน์ วัสดุ ผล หรอื ใบออ่ น ใช้เกยี่ วเบด็ เป็นเหย่อื ตกปลา, ก่ิงและล�ำต้นน�ำมามัดรวมกันเปน็ ขย้มุ ใหญ่ๆ ใชล้ อ่ ปลา ใหเ้ ขา้ มาหลบภยั แล้วใชแ้ หหว่านจับ (6, 8, 15, 17, 19, 21, 27).--- ใบ มขี นสากคล้ายใบข่อย ใชแ้ ทนกระดาษ ทรายขดั ผวิ ไม้ (18).--- เถาหรือเปลอื ก มเี นือ้ เหนยี วใชม้ ัดสง่ิ ของแทนเชือก (27).--- ผล ทำ� ลกู กระสนุ บัง่ โพละ๊ (ปนื กระบอกไมไ้ ผ่/อีโบ๊ะ) (20).--- กิ่งที่ตรง ใชท้ ำ� เปน็ ไม้ไต้จกั จั่น โดยใช้กาวติดตรงปลายไม้ (23).--- ด้านอ่นื ปลูกเป็นรวั้ หรอื ปอ้ งกันตลงิ่ พงั (18)

ช่อดอก ผลสกุ ผลอ่อน

ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอีสาน 293 เดื่อใหญ่ ชอ่ื ทอ้ งถน่ิ อน่ื : มะเดื่ออุทุมพร มะเดือ่ ชุมพร (ภาคกลาง), กูแซ (กะเหร่ียง-แมฮ่ อ่ งสอน), เด่ือเกล้ียง (ภาคกลาง, ภาคเหนอื ), เด่อื น้�ำ (ภาคใต้), มะเดอื่ (ลำ� ปาง), เด่อื เดื่อใหญ่ มะเด่ือ หมากเดอื่ (อสี าน) Ficus racemosa L. (วงศ์ Moraceae) ช่อื พอ้ ง : - ไม้ตน้ สงู 10-30 ม. โคนต้นมพี ูพอนแผก่ ว้าง เปลอื กสีขาวอมน�้ำตาล หลดุ รอ่ นเปน็ สะเก็ด เมือ่ เกดิ บาดแผล มีน�้ำยางสขี าวขนุ่ ตามก่งิ อ่อน กา้ นใบ ใบ ช่อดอกและผลมีขนส้ันประปราย-เกลีย้ ง ใบเด่ยี ว เรียงสลับ รปู ขอบขนาน หรอื รูปใบหอกกลับ ยาว 8-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน-แหลม ขอบใบเรียบหรือจกั ฟันเลือ่ ยหา่ งๆ เสน้ แขนงใบมขี า้ งละ 5-9 เส้น มี 1 คูอ่ อกจากโคนใบ กา้ นใบยาว 2-7 ซม. ช่อดอกอดั แน่นอยู่ ดา้ นในโพรงของฐานรองดอก มชี อ่ งเปิดที่ปลายโพรง 1 ชอ่ ง (ช่อดอกแบบมะเด่ือ-ไทร: syconium) ชอ่ ดอกออก ตามลำ� ตน้ มกี ้านชอ่ ดอกใหญ่คลา้ ยกง่ิ ยาวถงึ 25 ซม. กา้ นชอ่ ดอกย่อย ยาว 0.5-1.2 ซม. ช่อดอกทรงกลม หรือคลา้ ยผลสาลี่ กวา้ ง 2-4 ซม. ปลายกลม-ป้าน สีเขียว ผลรูปทรงเหมอื นชอ่ ดอก ขนาดกวา้ ง 3-5 ซม. เมื่อสกุ สีแดงมจี ุดประสขี าวจำ� นวนมาก มเี มล็ดขนาดเล็กจ�ำนวนมาก กว้าง 1 มม. และมกั จะพบแตนมะเดอื่ อาศยั อยูใ่ นโพรงผลดว้ ย ถ่ินอาศัย ข้นึ ตามรมิ แมน่ �้ำ ลำ� ธาร หรือริมบงึ ในป่าผลัดใบ ป่าดงดบิ และป่าบงุ่ ปา่ ทาม ทั้งในเขตทีร่ าบและ พื้นทภี่ เู ขา ท่คี วามสูงจากระดบั น้�ำทะเลไม่เกิน 1,000 ม. ผลดั ใบชว่ งส้ันๆ แล้วผลใิ บใหมอ่ ยา่ งรวดเรว็ ช่วงเดอื น กรกฎาคม-พฤศจิกายน ออกดอกเดือนมกราคม-เมษายน และผลแกเ่ ดอื นมีนาคม-กรกฎาคม การกระจายพันธุ์ พบได้ง่าย ข้นึ ท่ัวประเทศ ต่างประเทศพบในภมู ิภาคเอเชยี ใต้ จีนตอนใต้ เอเชยี ตะวนั ออก- เฉยี งใต้ และตอนเหนอื ของออสเตรเลีย การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลออ่ น เป็นผกั สด รสมนั อมฝาด จิม้ น้�ำพรกิ หรอื เปน็ เคร่ืองเคยี งเมย่ี งล�ำขา่ (11, 12, 20).--- ผลสกุ สแี ดง รสหวาน กนิ เป็นผลไม้ (20).--- เชือ้ เพลิง ไมใ้ ชท้ �ำฟืน แตไ่ มเ่ ป็นท่นี ิยมเนอ่ื งจากเป็นไม้เนอ้ื อ่อน เผามอด เร็ว (20).--- วัสดุ ผลสุก ทำ� เปน็ เหยื่อหรอื อาหารล่อปลา หรือเก่ียวเบ็ดตกปลา ปลาเทโพชอบกนิ (11, 12)

ชอ่ ดอก

ป่าบงุ่ ป่าทาม ภาคอีสาน 295 เขทาม ชอื่ ท้องถิน่ อน่ื : เข เขทาม หนามเข (ยโสธร, นครพนม) (วงศ์ Moraceae) Maclura thorelii (Gagnep.) Corner ชอ่ื พอ้ ง : - ไมพ้ มุ่ รอเลอื้ ย สูงถึง 5 ม. เมือ่ เกิดบาดแผลมีน้�ำยางสขี าวขุน่ กง่ิ มีหนามแหลมคมโคง้ ลงเลก็ นอ้ ย 1 แทง่ ตอ่ ซอก ใบ ยาว 1-4 ซม. และมชี อ่ งอากาศสขี าวจำ� นวนมาก ตามก่งิ หนาม ใบ ก้านใบ และชอ่ ดอกมีขนส้ันหนา นุม่ สนี �้ำตาล ใบเดย่ี ว เรยี งสลบั รปู ขอบขนาน หรอื รปู ไข่ ยาว 4-9 ซม. ปลายใบมน-แหลม ขอบใบเรียบ โคนใบ มน-เวา้ รปู หัวใจ เนอ้ื ใบหนา ผวิ ใบมขี นสั้นหนานุม่ ท้ังสองด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 4-7 เส้น กา้ นใบยาว 1-1.5 ซม. ชอ่ ดอกแยกเพศและอยู่ตา่ งตน้ (ตน้ เพศผแู้ ละเพศเมียอยคู่ นละตน้ กนั ) ช่อดอกมีดอกยอ่ ยอดั แน่นเป็นทรง กลม กวา้ ง 1.3-3 ซม. ออกตามซอกใบซอกละ 1-2 ช่อ ก้านชอ่ ดอกยาว 2-5 มม. กลีบรวมสีเขยี ว มี 4 กลีบ โคน กลีบครง่ึ ลา่ งเช่อื มตดิ กัน เกสรเพศผู้ 4 เกสร ยาว 5 มม. สีขาว ผลทรงกลม กวา้ ง 3-4 ซม. ผวิ ขรขุ ระและมขี น มี เมล็ดขนาดเลก็ จำ� นวนมาก รูปรี ยาว 7-8 มม. เขทาม มคี วามคลา้ ยคลึงกับ เข/หนามเข (Maclura cochinchinensis) ทีข่ ้ึนอยู่ท่วั ไปตามปา่ ทีด่ อน มี ความแตกตา่ งกนั ท่ี ตามกิง่ กา้ นใบและแผ่นใบของเขจะมีขนประปราย (ไม่หนาแนน่ มาก) เนอ้ื ใบบาง โคนใบ แหลม-มน ไม่มีเวา้ และผลทรงกลมมขี นาดเล็กกว่าเขทาม กว้าง 1-2 ซม. เทา่ นัน้ ถน่ิ อาศัย ขน้ึ ตามรมิ ล�ำธาร ริมแม่น้ำ� หรอื ริมบงึ และในป่าบ่งุ ปา่ ทาม ที่ความสงู จากระดบั น้�ำทะเลไมเ่ กิน 200 ม. ออกดอกเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม และผลแกเ่ ดอื นกรกฎาคม-กนั ยายน กระจายพันธ์ุ เขทามเป็นพืชท่หี ายาก และ พืชชนิดใหมข่ องไทย (new record) ทยี่ งั ไม่เคยมรี ายงานการพบใน ประเทศไทยมากอ่ น แต่มรี ายงานการพบแลว้ ในประเทศลาวและกมั พูชา เปน็ พืชค่อนขา้ งหายาก พบเฉพาะใน เขตล่มุ น�ำ้ ชีและมลู ตอนลา่ ง ในจังหวัดยโสธร และอุบลราชธานี และลมุ่ น้�ำสงคราม ในเขต จังหวัดสกลนคร และ นครพนม การใช้ประโยชน์ เชอื้ เพลิง ไม้ใช้ทำ� ฟืนหรือเผาถ่าน (21).--- วัสดุ แกน่ ใชย้ อ้ มเส้นไหม/ฝ้าย ใหส้ เี หลอื ง (15, 17, 18, 19, 20).--- ผลสกุ มีกล่นิ หอม เป็นอาหารปลาหรอื ใช้เก่ยี วเบด็ ตกปลา เช่น ปลาซวย (ปลาชนดิ หนง่ึ ) (17, 19).--- ด้านอืน่ หนามมีพิษ เมอ่ื โดนแทงจะปวดหลายวนั (คลา้ ยโดนเงี่ยงปลาดุก) (15, 19, 21)

ผลสุก ชอ่ ดอกเพศผู้ ชอ่ ดอกเพศเมยี เปลือกและน�้ำยางสีขาวข่นุ

ป่าบุ่งป่าทาม ภาคอสี าน 297 ข่อย ชื่อทอ้ งถน่ิ อืน่ : ขอ่ ย (ทวั่ ไป), กักไมฝ้ อย (ภาคเหนือ), ตองขะแหน่ (กะเหรีย่ ง-กาญจนบุรี), ส้มพอ (เลย, หนองคาย, สกลนคร, นครพนม), สะนาย (เขมร, ส่วย-สุรนิ ทร)์ Streblus asper Lour. (วงศ์ Moraceae) ชอื่ พอ้ ง : - ไมพ้ มุ่ หรอื ไมต้ ้นขนาดเลก็ สูงถงึ 10 ม. เมื่อเกิดบาดแผลมนี �ำ้ ยางสขี าวขนุ่ เปลอื กเรียบ-ขรุขระ สีน้�ำตาลปน เทา ตามก่งิ ออ่ นมหี ใู บและขนส้ันหนาแนน่ ใบเดยี่ ว เรียงสลบั สองด้าน ใบรปู ไขก่ ลบั -ใบหอกกลับ ยาว 3-8 ซม. ปลายใบแหลม-มน ขอบใบหยกั มน โคนใบสอบหรอื เว้าเลก็ นอ้ ย ผวิ ใบทง้ั สองดา้ นมขี นสากคาย แผน่ ใบค่อนข้าง หนา เส้นแขนงใบข้างละ 4-7 เส้น ก้านใบยาว 1-3 มม. ชอ่ ดอกแยกเพศ ชอ่ ดอกเพศผูส้ ขี าว เปน็ ช่อกระจุกกลม กว้าง 5-10 มม. ก้านชอ่ ดอกยาว 0.5-1.5 ซม. ดอกเพศเมียเป็นดอกเดย่ี ว สเี ขยี ว ขนาดเล็กมาก รูปรี ยาว 2.5 มม. มีกลบี รวม 4 กลบี ปลายเกสรแยก 2 แฉก ยาว 0.8-1 ซม. ผลค่อนขา้ งกลม แบนดา้ นข้างเลก็ นอ้ ย ยาว 6-8 มม. ปลายกลม-บุ๋ม มีกลีบรวมตดิ คงทน ยาวใกล้เคยี งผล ผิวของผลเรยี บเกล้ียง ผลสุกสีเหลือง ผิวมันเงา มเี นอ้ื นมุ่ ฉ�่ำน�้ำ กลีบรวมจะกระดกชข้ี นึ้ มี 1 เมล็ด ถน่ิ อาศยั ขน้ึ ตามรมิ ลำ� ธาร หรือท่รี าบรมิ นำ้� ในป่าดงดิบแล้ง และป่าบุง่ ปา่ ทาม หรือตามทุ่งนาในเขตที่ราบน�้ำทว่ มถึง ทคี่ วามสูงจากระดบั น้ำ� ทะเลไมเ่ กิน 1,000 ม. ออกดอกเดอื นมกราคม-กรกฎาคม และผลแกเ่ ดอื นมีนาคม-กันยายน กระจายพนั ธุ์ พบได้งา่ ยทั่วประเทศ ตา่ งประเทศพบในเขตรอ้ นของเอเชียใต้ จนี ตอนใต้ และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ การใช้ประโยชน์ อาหาร ผลสกุ สีเหลอื งรสหวาน กนิ เป็นผลไม้ กนิ มากทำ� ให้เวยี นหวั ได้ (4, 8, 10, 11, 12, 14, 26).--- สมุนไพร กิง่ หรอื เปลอื ก ทบุ ให้เป็นฝอยทำ� เป็น แปรงสีฟนั ช่วยให้ฟันแข็งแรง (1, 4, 8, 10, 11, 12, 13, 14).--- เปลอื กข้ลี ิ้น (เปลอื กชั้นในสขี าว) ขูดแลว้ นำ� ไปย่างไฟ ผสมเปลือก ยางนา ใช้ท�ำยาสีฟนั แก้ ปวดฟนั , น�ำเปลอื กขีล้ ิ้นมายดั ใสใ่ นลูก มะเขือข่ืน เอาเมลด็ มะเขอื ข่ืนออกกอ่ น น�ำลกู มะเขือขน่ื ไปเผาไฟ ใช้ทำ� ยาสีฟนั แกป้ วดฟัน (12).--- ใบ มขี นสาก ใช้ถู ฟันให้สะอาด (4).--- เปลอื กข่อยสับตากแหง้ + พิมเสน + การบูร + เมนทอล + จลุ สี (ทุกสว่ นประกอบบดเปน็ ผงละเอยี ดก่อนน�ำมาผสมกนั ) เป็นยาสีฟัน ผงแบบโบราณ (7).--- เมลด็ ขอ่ ยตากแหง้ + เปลือกโก/ตะโกนา + เปลือก ทงิ้ ถอ่ น + หัวหญ้าแหว้ หมู + เถาบอระเพด็ บดให้ละเอียดผสมกับนำ้� ผง้ึ ปั้น ลูกกลอนกินเปน็ ยาบำ� รุงร่างกาย/แก้ออ่ นเพลีย/ยาอายวุ ฒั นะ/เลอื ดลมไหล เวยี นดี/แกป้ วดเม่อื ย (1, 7, 13).--- ราก นำ� มาฝน กนิ แกก้ นิ ของผดิ สำ� แดง (27).--- เช้ือเพลงิ ไมใ้ ช้ท�ำฟืนหรือเผาถ่าน (21).--- วัสดุ เนือ้ ไม้ ท�ำตนี กระต๊ิบข้าว, กง่ิ ใช้ท�ำกง/ขอบลอบ ขอบสวงิ (11, 26).--- ใบ สากเหมอื น กระดาษทราย นำ� มาขดั เลบ็ หรอื ใชข้ ดู เมอื กปลาไหล (11).--- ด้านอ่นื ปลูก เปน็ ไม้ประดับ (8).--- ผลสกุ เปน็ อาหารสตั ว์ (นกชอบ) (4).--- ทัง้ ตน้ ใชเ้ ป็น อาหารชา้ ง (3)

ผลออ่ น ผลออ่ น

ปา่ บุง่ ป่าทาม ภาคอสี าน 299 ข่อยน้�ำ ชอ่ื ท้องถ่ินอ่นื : ข่อยน�้ำ (สโุ ขทัย), ขอ่ ยหนาม (ท่ัวไป), ขอ่ ยหยอง (ลำ� ปาง), ข้ีแรด หนามขแ้ี รด (ภาคใต)้ , กะแตไม้ (ปัตตานี), สามพนั ตา (อดุ รธาน)ี , ขอ่ ย ข่อยนำ�้ (อ.พรรณานิคม สกลนคร), สม้ พอน�ำ้ (อ.ศรสี งคราม นครพนม), ขอ่ ยทาม (ไทญอ้ -อ.ศรีสงคราม นครพนม) Streblus taxoides (B. Heyne ex Roth) Kurz (วงศ์ Moraceae) ชือ่ พ้อง : - ไม้พ่มุ สูงถึง 5 ม. เมือ่ เกดิ บาดแผลมีน�้ำยางสขี าวขนุ่ เปลือกเรียบ สนี �้ำตาลอ่อน ตามก่งิ และปลายกงิ่ มหี นาม แหลมคม ยาว 1-1.5 ซม. และมีชอ่ งอากาศสีขาวและขนสัน้ ประปราย ใบเด่ยี ว เรยี งสลับสองดา้ น รปู ไข่ หรือ รูปรี ยาว 2-7 ซม. ปลายใบแหลม เรยี วแหลม และอาจจะเวา้ บุม๋ เลก็ น้อย ขอบใบหยักซฟ่ี ันห่างๆ ช่วงปลายใบ โคนใบสอบ มน หรอื เวา้ เล็กนอ้ ย ผวิ ใบท้ังสองดา้ นเกลี้ยง เนอ้ื ใบบาง เส้นแขนงใบข้างละ 6-12 เส้น กา้ นใบยาว 2-5 มม. ช่อดอกแยกเพศ ชอ่ ดอกเพศผูแ้ บบช่อเชิงลดสั้น ยาว 4-8 มม. ดอกเพศเมยี เปน็ ดอกเดยี่ ว มีกลีบรวม 4 กลีบ สีเขียว รูปไข่หรอื รูปใบหอก ยาว 2-5 มม. ปลายเรียวแหลม กลบี รวมหอ่ หมุ้ คลา้ ยโดม ผลรูปรี-ค่อนขา้ ง กลม ยาว 5-10 มม. ปลายกลม-บุ๋ม มีกลีบรวมตดิ คงทนและขยายขนาดเปน็ รูปใบหอกหรือรูปแถบ ยาวได้ถงึ 2.5 ซม. สีเขียวหรอื สมี ว่ งอมนำ�้ ตาล มี 1 เมล็ด ถ่ินอาศยั ขนึ้ ตามริมล�ำธาร หรอื ท่ีราบรมิ นำ�้ ในปา่ ดงดบิ แล้ง ป่าดงดบิ ช้ืน และป่าบุง่ ป่าทาม สามารถข้นึ ไดใ้ นที่ ลุม่ ต�่ำ ชน้ื แฉะ หรือทนทานต่อนำ�้ ท่วมขงั ไดด้ ีกว่า ขอ่ ย (Streblus asper) ที่ความสงู จากระดบั น้�ำทะเลไมเ่ กนิ 300 ม. ออกดอกเดอื นมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ และผลแกเ่ ดือนเมษายน-พฤษภาคม กระจายพันธุ์ พบไดง้ ่ายทัว่ ประเทศ ต่างประเทศพบในเขตร้อนของเอเชียใต้ จนี ตอนใต้ และเอเชียตะวันออก- เฉยี งใต้ การใช้ประโยชน์ เชอื้ เพลิง ไม้ใช้ท�ำฟืนหรอื เผาถ่าน (21).--- วสั ดุ เนอื้ ไม้ ใช้ท�ำตนี กระติบ๊ ข้าว (19, 23)

ผลออ่ น