94 95 จติ รกรรมทเี่ คลอ่ื นทไ่ี ด้ เปน็ จติ รกรรมในยคุ แรกๆ ทเี่ ขยี นลงบนกระดาษ จิตรกรรมไทยประเพณี เชน่ สมดุ ขอ่ ย หรอื เขยี นลงบนผนื ผา้ เชน่ พระบฏโบราณ ซงึ่ มกั เขยี นเปน็ ภาพ พระพทุ ธเจ้าประทบั ยนื บนฐานดอกบวั มีอัครสาวกยืนประนมมือทง้ั สองขา้ ง จติ รกรรมไทยประเพณเี ป็นศิลปกรรมศาสตร์แขนงหนง่ึ ที่เกิดจาก นอกจากนีย้ ังมีตพู้ ระคัมภีรต์ ่างๆ ซง่ึ จะเขยี นเปน็ ลายหยดน�ำ้ และลายกำ� มะลอ ความพากเพยี ร และพลงั แหง่ แรงบนั ดาลใจ โดยจติ รกรผทู้ ม่ี จี ติ ใจ จนิ ตนาการ และความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการสรา้ งผลงานอนั งดงาม โดยการถา่ ยทอดความคดิ วัดคงคารามเปน็ วดั เกา่ แก่วัดหนึง่ ของจงั หวัดราชบุรี มีความกลมกลืน อีกทัง้ การใช้สสี ันที่สดใสและ ลกั ษณะของจิตรกรรมไทยประเพณี นั้นออกมาเปน็ ภาพเขยี น เรม่ิ จากเสน่หแ์ หง่ การระบายสี สรา้ งสรรคส์ ิง่ ท่ีเป็น มีภาพจิตรกรรมฝาผนงั สวยงามและโดดเด่น หลากหลายสี ตลอดจนการน�ำเทคนคิ การแบ่งเร่ือง นามธรรมใหอ้ อกมาเป็นจติ รกรรมท่ีสุนทรยี ภาพ โดยถา่ ยทอดใหเ้ กดิ ความ เป็นตัวอย่างของงานจิตรกรรมสมยั อยุธยาตอนกลาง แบง่ ตอนของภาพทีว่ าดบนฝาผนงั ผนื เดยี วกัน จติ รกรรมไทยประเพณี นบั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของจติ รกรไทยทส่ี รา้ งสรรค์ เข้าใจในเรื่องท่เี กยี่ วกบั พระพุทธศาสนา พระธรรมวินัย ปรชั ญา วรรณกรรม และมีการปฏิสังขรณง์ านจิตรกรรมโดยจติ รกร โดยใชพ้ ุม่ ไม้ เส้นโคง้ แบบรบิ บ้ิน หรือเสน้ หักมมุ ภาพสมมตุ ทิ ว่ี าดขนึ้ จากจนิ ตนาการประกอบกบั สญั ลกั ษณแ์ ละระเบยี บแบบแผน และเหตุการณ์ตา่ งๆ ท่เี กดิ ขึน้ ในความคดิ หรือมโนภาพ สมัยรัชกาลที่ ๔ ร่นุ แรก ซึ่งเปน็ เอกในด้าน แบบสามเหลีย่ ม จิตรกรผู้ซอ่ มยังคงคุณคา่ ของ กรอบโครงท่เี ปน็ แบบฉบบั ตามจารตี ประเพณีทสี่ ืบทอดกนั มา มลี กั ษณะท่ี จติ รกรรมไทยประเพณที ่ีสรา้ งสรรคข์ ึ้นตามผนงั อาคาร พระราชวงั การเขยี นภาพคน ลักษณะความมชี ีวิตชีวาในการ ช่างฝีมอื โบราณ ภาพจติ รกรรมฝาผนังมเี ร่ืองราว ส�ำคัญ คือ และศาสนสถานทสี่ ำ� คญั ตา่ งๆ นบั เปน็ มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมทสี่ บื ทอดกนั มา เขยี นภาพ ลักษณะเคล่อื นไหว แสดงอารมณต์ า่ งๆ เกยี่ วกบั พทุ ธประวัติ พทุ ธชาตชิ าดก ไตรภมู ิ ๑. จติ รกรรมไทยเขยี นดว้ ยสีฝุ่นท่ีได้มาจากพืชหรอื แรธ่ าตุ ผสมกาว ปจั จบุ นั จติ รกรรมไทยประเพณอี นั วจิ ติ รงดงามเหลา่ นน้ั ไดล้ บเลอื น เสอ่ื มโทรม อย่างเป็นเลศิ ทำ� ใหง้ านจิตรกรรมของสองยคุ สมยั จงึ ท�ำให้เปน็ จิตรกรรมฝาผนงั ทม่ี ีคุณคา่ คกู่ ับ ทม่ี ีการเตรยี มพน้ื และรองพ้ืนไว้เปน็ อยา่ งดี การเขยี นภาพไทยแบบประเพณี ไปอยา่ งรวดเรว็ จงึ สมควรทีจ่ ะให้ความรแู้ ละความเปน็ มาของจิตรกรรมไทย การเขยี นภาพบานหนา้ ตา่ งในวัดคงคาราม จังหวดั ราชบุรี เป็นภาพท่ลี ะเอยี ดประณีต การใชเ้ ทคนคิ สฝี ุน่ ผสมกาวจึงเปน็ งานเขยี นที่ ประเพณกี อ่ นที่พรุ่งนี้ก็ชา้ ไปเสียแลว้ นยิ มเขยี นเป็นภาพทวารบาล การใช้สจี ะกลมกลนื เหมาะสม ไม่ตอ้ งเขียนแขง่ กบั เวลาเหมือนสปี ระเภทอ่นื ๆ ภาพจติ รกรรมไทยทีช่ ่างไทยเขียนขน้ึ เพ่ือถวายเปน็ พุทธบชู า ศิลปิน กับภาพจิตรกรรมฝาผนัง ๒. จติ รกรรมไทยทีเ่ ขียนขึ้นจากความคิดและมโนภาพ ซ่งึ เปน็ คอื บคุ คลทม่ี คี วามเลอื่ มใสในพทุ ธศาสนา และบางครงั้ ศลิ ปนิ เองคอื พระภกิ ษสุ งฆ์ นามธรรม เช่น ภาพเทพและกษตั รยิ ์จะแสดงใหเ้ หน็ รูปกายที่ได้สดั สว่ นอยา่ ง เพราะช่างในอดตี ไม่ไดร้ ะบนุ ามไว้ จึงเรียกตามผลงาน เชน่ ครวู ดั เซิงหวาย สมบรู ณ์ และพระพักตร์ที่อิ่มเอิบเป็นสขุ สงบและงดงาม ครูตมู้ ุก ฉะนนั้ จะเห็นไดว้ า่ จิตรกรรมไทยในแตล่ ะสมัย มลี กั ษณะการสร้าง ผลงานที่แตกต่างกันออกไปตามความคดิ ประเพณีนยิ ม สังคม สิง่ แวดลอ้ ม ภมู ิปัญญาของชา่ งโบราณทีร่ ู้จกั การเตรยี มพ้นื ผนัง ลักษณะท่วงท่าอันอ่อนชอ้ ย รปู กายทไ่ี ดส้ ดั สว่ นงดงาม และความเป็นอยู่ของท้องถิน่ นนั้ ๆ ลกั ษณะท่แี ตกต่างกนั จึงแบง่ ออกเปน็ สกลุ และการใชส้ ี แม้วา่ กาลเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ของแม่พระธรณีบบี มวยผมในวดั คงคาราม ได้ ๒ แบบ คอื งานจิตรกรรมฝาผนังยังคงมีความงดงามให้เห็น จติ รกรรมสกุลช่างหลวง เปน็ งานฝมี อื ชา่ งแห่งราชสำ� นัก มีระเบยี บ แบบแผนในการสร้างงาน และเปน็ แบบอยา่ งของชา่ งทยี่ ดึ ถือเปน็ ครู จติ รกรรมสกลุ ชา่ งพนื้ บา้ น เกดิ จากชา่ งชาวบา้ นในทอ้ งถนิ่ เปน็ ผสู้ รา้ ง จติ รกรรมขนึ้ มา เพอื่ แสดงถงึ ความรสู้ กึ นกึ คดิ และพนื้ ฐานทางจติ ใจแบบงา่ ยๆ มอี สิ ระในการแสดงประเพณนี ยิ มของชาวบ้านในทอ้ งถ่นิ นนั้ ๆ ศลิ ปะที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของจิตรกรนนั้ ได้สร้างสรรค์มาจาก ประสบการณ์อนั ยาวนาน และการส่งั สมสบื ทอดกนั มาหลายชวั่ อายคุ น จนกลายเปน็ ศลิ ปะทมี่ คี วามงดงาม จงึ ไดเ้ รยี กศลิ ปะสาขานวี้ า่ “จติ รกรรมไทย ประเพณ”ี ซึ่งมปี รากฏใหเ้ หน็ ตามฝาผนงั ของโบสถ์ และวหิ ารของวัด จติ รกรรมไทยประเพณี แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื จติ รกรรมฝาผนงั เปน็ จติ รกรรมทเ่ี ขยี นลงบนโครงสรา้ งของตวั อาคาร อโุ บสถ วหิ าร ศาลา และหอไตร เชน่ ฝาผนงั เพดาน เสา คอสอง ข่อื คาน และบานประตหู นา้ ตา่ ง เปน็ ตน้ เรอื่ งทนี่ ำ� มาเขยี นสว่ นใหญจ่ ะมคี วามเกยี่ วขอ้ ง กบั พระพทุ ธศาสนา เช่น ภาพพุทธประวตั ิ ทศชาติ เทพชมุ นุม ไตรภมู ิ ภาพเรอื่ งในชาดกตา่ งๆ วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ทแี่ สดงชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องคนไทย ในสมัยนั้น ปรศิ นาธรรม ตำ� นาน นทิ านพ้นื บ้าน พระราชพธิ ี ประเพณที ี่ ส�ำคัญๆ เปน็ ต้น จติ รกรรมประเภทนีเ้ ปน็ จติ รกรรมทีไ่ มส่ ามารถเคล่ือนท่ไี ด้
96 97 การสร้างสรรค์จิตรกรรมไทยประเพณี กรรมวธิ ใี นการสรา้ งสรรคจ์ ติ รกรรมไทยประเพณี ครชู า่ งไดส้ อนศษิ ย์ ให้ท�ำงานอยา่ งมีระบบ และปฏิบตั ิตามด้วยความรคู้ วามเข้าใจ การฝกึ หดั เร่ิมตงั้ แตก่ ารเตรยี มวัสดุ เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ และการเตรยี มงานตามล�ำดบั ขน้ั ตอน ซ่งึ จะท�ำใหก้ ารสร้างสรรคจ์ ติ รกรรมไทยประเพณีมีคณุ ลกั ษณะทีด่ ี ๓. จติ รกรรมไทยทเี่ ขยี นเปน็ รปู แบนราบไมม่ ปี รมิ าตร ไมม่ รี ะยะใกล้ ภาพพทุ ธประวตั ิตอนพระพรหมทูลอาราธนา แสดงลกั ษณะของภาพจติ รกรรมไทยประเพณี ข้นั ตอนของการสรา้ งสรรคจ์ ิตรกรรมไทยประเพณี ไกลและลึก ไม่จำ� กดั วา่ ภาพนน้ั จะอยู่ส่วนใดของพนื้ ที่จติ รกรรมฝาผนงั พระพุทธองค์แสดงธรรม พระพุทธเจ้าเสดจ็ เยยี่ ม คือ ภาพไมม่ รี ะยะใกล้ ไกลและลึก มีการใชต้ น้ ไม้ ๑. การเตรยี มผนงั ๔. การจัดองคป์ ระกอบของภาพจติ รกรรมมักเปน็ แบบ ตานกมอง ศากยวงศพ์ มิ พาพิลาป และพระพทุ ธเจ้าแสดง แบง่ พน้ื ทข่ี องภาพเป็นตอนๆ ภาพอาคาร การเตรียมปูนฉาบผนังในอดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานหรือ (การมองจากทส่ี ูงลงมาหาวตั ถ)ุ ยมกปาฏหิ าริย์ในวัดคงคาราม สถาปัตยกรรมมขี นาดเล็กเพยี งล้อมภาพบุคคล สตู รการเตรียมปนู เป็นเพียงการทำ� ตอ่ ๆ กนั มา ปนู ฉาบผนงั ท่ีมีคณุ ภาพ ๕. จติ รกรรมไทยที่แสดงเร่อื งราวท่เี กยี่ วกบั เทพและกษตั ริย์ เป็น ภาพทศชาติชาดกตอนพระอนชุ าของ เท่าน้ัน คนโบราณเรียกวา่ ปนู เพชร ซ่งึ มีคณุ สมบตั ิแข็งและแกร่งเหมือนหินปูนตาม ความศรัทธาและเทิดทูนบูชาพระมหากษัตริย์ให้ทรงเป็นดังเทพตามคตินิยม พระปทมุ กมุ ารฆ่าพระชายาของพระองค์ แสดงวธิ กี ารแบง่ ภาพดว้ ยการใชโ้ ขดหิน และตน้ ไม้ ธรรมชาติ เนอื้ ปนู ปั้นนั้นจะมคี วามเหนียวแน่น แขง็ แรงและมีความแกรง่ มาต้ังแตอ่ ดีต ลักษณะเช่นนี้เป็นการพิสูจน์ได้ว่าในสมัยโบราณน้ันมีเทคนิคในการเตรียมปูน ๖. ตวั ภาพมขี นาดเลก็ ไมแ่ สดงความรสู้ กึ ทางใบหนา้ แตม่ กี ารแสดง การวางภาพใกลไ้ กล เชน่ ตน้ ไม้ในระยะใกล้ ใหม้ ีคุณภาพ จะเห็นได้จากศิลปกรรมตา่ งๆ เชน่ ตัวอาคารปนู ปนั้ ประดับ พฤติกรรมดว้ ยท่าทางกริ ยิ า และอริ ยิ าบถต่างๆ จะเหน็ ใบไม้ชัดเจน สว่ นไกลออกไปจะเปน็ เพยี ง สว่ นต่างๆ ของอาคาร ซ่งึ ผา่ นมาหลายศตวรรษแล้วยังคงมีสภาพท่ีดีอยู่ ๗. รูปแบบของตวั ภาพมีลกั ษณะเฉพาะ เช่น ภาพเทพ กษัตริย์ ในการเตรียมผนังจะใช้ปูนขาวที่น�ำหินปูนหรือเปลือกหอยมาเผา เจา้ นาย ขา้ ราชบรพิ าร บคุ คลสามญั สตั วห์ มิ พานต์ เปน็ ตน้ ภาพเหลา่ นจ้ี ะมี การใช้พู่กนั แตะๆ เป็นพมุ่ ลกั ษณะของ ดว้ ยความรอ้ น ๙๐๐ องศาเซลเซยี สจนสกุ แลว้ นำ� มาหมกั ในบอ่ เพอ่ื กวนหนิ ปนู รปู แบบซงึ่ เปน็ เอกลกั ษณข์ องตวั ภาพนน้ั ๆ รปู แบบของตวั ภาพเกดิ จากรปู แบบ การวาดเส้นตัวละครจะมคี วามประณีต ให้เข้ากับน้�ำ จากนนั้ กรองเนือ้ ปนู จากบ่อที่ ๑ ลงไปในบอ่ ท่ี ๒ เอาแตเ่ นื้อปูน ทีเ่ กิดขึ้นจรงิ ตามธรรมชาติ หรอื สรา้ งสรรค์จากจินตนาการของจิตรกร ทล่ี ะเอียด เสร็จแลว้ ก็นำ� มาหมักต่อ ในการหมกั จะกรองเน้ือปูนลงไปครงึ่ บอ่ ๘. ภาพแสดงกาลเวลา จะไมใ่ ช้แสงเงา หรือความมืดสว่าง ให้เกดิ และไมม่ ีความรู้สึกทางใบหน้า แล้วเตมิ น้�ำให้เตม็ การหมักย่ิงนานมากเทา่ ใดก็จะได้เน้อื ปนู ทีม่ ีคุณภาพมาก เป็นปริมาตร ๓ มติ ิ แต่จะใช้กิริยาของตวั ภาพ เชน่ ภาพบคุ คลนอน หมายถึง เทา่ นั้น เวลากลางคืน เปน็ ตน้ วัสดุทใี่ ช้ในการผสมปูนจะใชก้ าวทีไ่ ดจ้ ากพชื และสตั ว์ เชน่ ๙. จติ รกรรมไทย แบ่งพนื้ ทภี่ าพออกเป็นตอนๆ จิตรกรจะใช้วิธีค่ัน - กาวท่ีไดจ้ ากสตั ว์ ได้จากหนังวัวหรอื หนงั ควายทน่ี �ำไปเผาไฟและ ภาพด้วยการเขยี นแถบรปู ร่างเหมือนฟนั ปลาทเี่ รยี กว่า เสน้ สนิ เทา หรือลายที่ น�ำไปต้ม แล้วเค่ยี วกรองจนได้น้ำ� กาวข้นเหนยี วเหมอื นนำ�้ ผงึ้ เขยี นเป็นแถบผา้ สะบัดไปมาแบ่งภาพเป็นตอนๆ ท่ีเรยี กว่า ลายฮ่อ หรือใช้ - กาวทไี่ ดจ้ ากพชื ไดจ้ ากนำ�้ แชเ่ ปลอื กตน้ ยาง เปลอื กประดู่ โดยการ ภาพภูเขา ถนน ล�ำนำ้� ก�ำแพง ตน้ ไม้ เป็นเส้นแบ่งภาพ สบั เปลอื กเปน็ ช้นิ เล็กๆ นำ� ไปแชน่ ้ำ� ยางท่อี ยใู่ นเปลือกไม้กจ็ ะละลายออกมา ๑๐. สถาปตั ยกรรมไทยในจติ รกรรมไทย เขยี นขน้ึ เพอ่ื ประกอบตวั ภาพ ผสมกบั น้ำ� หรือกาวที่ได้จากการที่เราเคย่ี วน�้ำอ้อยจนเหนยี วคล้ายน้ำ� ผง้ึ ไม่ได้แสดงสัดส่วนใหส้ ัมพันธก์ ับบคุ คลในอาคาร สถาปตั ยกรรมจงึ มขี นาดเลก็ การผสมปูน เพียงคลมุ หรอื ลอ้ มภาพบคุ คลเท่านนั้ เรมิ่ จากการเตรียมกาวผสมลงในปนู ขาวท่ีหมักไดท้ ี่ น�ำไปต�ำหรอื คน ๑๑. จิตรกรรมไทยท่ีสร้างข้ึนจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๑เ๒-น- อ้ืสปว่ นูนใหปกเ้นู หานร๗ฉยี าสวบแ่วนนน่ ทรโดายยม๑สี ๔ว่ นสผว่ สนมของเนอื้ ทรายนำ�้ จดื ละเอยี ด ในอตั ราสว่ น รวมทั้งคติธรรมในพระพุทธศาสนา การฉาบปูนจะผสมทรายหยาบฉาบในชั้นแรกคือส่วนที่ติดกับอิฐ และจบั ระดบั ใหเ้ รียบ แล้วฉาบชั้นทส่ี องด้วยปนู ผสมทรายละเอียดจับระดบั แล้วขดั หนา้ ใหเ้ รยี บเป็นมนั ช่างโบราณใชก้ ะลาผา่ คร่งึ หรือหอยเบี้ยขดั ผิว ปนู ฉาบผนังให้เรยี บเปน็ มัน และชนั้ สุดท้ายขดั ดว้ ยใบตองแหง้ เป็นข้ันตอน สุดทา้ ยจงึ จะร่างภาพลงในผนังได้ การรองพ้ืนจะกระทำ� ก็ต่อเมอื่ ปูนทีห่ มกั ไว้ มคี ่าของความเป็นดา่ งสงู
98 99 สเี หลอื ง ได้แก่ ก่อนลงมอื เขียนภาพ เพื่อไมใ่ หส้ ีที่เขียนเกิดการช�ำรุดช่างจะใช้ขม้ิน - สเี หลอื งจากดนิ เรยี กวา่ ดนิ เหลอื ง โดยการนำ� ดนิ เหลอื งละลายนำ้� ขดี ลงทีผ่ นังปูน ถ้าขมิ้นเปลย่ี นเปน็ สีแดงแสดงวา่ ปนู เคม็ จะต้องแก้ด้วยน้�ำใบ เพอื่ ชะลา้ งดินแลว้ กรองเอาส่ิงสกปรกออก จะไดเ้ นื้อดินเหลืองบรสิ ุทธิ์ นำ� ไป ข้เี หล็กสดตำ� หยาบๆ ทาประสะบนผนงั ท้ิงไวใ้ หน้ ้ำ� ใบข้ีเหลก็ ประสานกับผนัง ตากแหง้ แลว้ บดเปน็ ผงละเอยี ด ปูนค่อยลา้ งออก ใช้ขม้ินขีดพื้นผนงั ดูอีกคร้ัง เพ่อื ทดสอบวา่ ขมิ้นเปน็ สเี หลือง - สเี หลืองจากยางไม้รงค์เรียกวา่ สรี งค์ โดยการสบั ตน้ รงคเ์ อายาง ปกติ จงึ รองพ้นื และเขยี นภาพได้ จากต้นมากรอง เทใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วยา่ งไฟออ่ นๆ จนยางแขง็ เป็นกอ้ นจึง การรองพื้นโดยใช้ดินสอพองผสมกับน้�ำกาวที่เคี่ยวจากเนื้อเมล็ด ผา่ กระบอกไม้ไผ่ออก จะได้สรี งคเ์ ป็นแทง่ เม่อื จะใชก้ ็เอาแท่งสรี งค์ฝนกับน้ำ� มะขามทาบนผิวผนงั เปน็ การรองพ้ืน ส�ำหรบั จติ รกรปัจจุบนั ชา่ งเขยี นได้ใช้ จะไดส้ ีเหลอื งใส ดินประสวิ ประสะแทน เพราะหางา่ ยและสะดวกกว่า - สีเหลอื งจากแร่เรยี กว่า หรดาล เกิดจากออกไซดข์ องปรอททำ� ปฏิกริ ยิ ากบั ก�ำมะถัน หรดาลมลี ักษณะเปน็ กอ้ น มี ๒ ชนิด คอื ๒. การเตรยี มเครอ่ื งมอื ภาพปราสาทใหญม่ ีพ้ืนเบอื้ งหลังกษัตริยส์ ีแดง - หรดาลหนิ เนอื้ ออ่ น น�ำมาบดให้ละเอยี ด - สมดุ ร่างภาพหรอื สมดุ ขอ่ ยใช้ในการร่างภาพบคุ คล สัตว์ หรอื ตดั กบั ฉากสดี ำ� ที่มรี ูปดอกไมร้ ว่ ง - หรดาลกลบี ทองเปน็ กอ้ นแขง็ เวลาใชต้ อ้ งนำ� มาฝนกบั หนิ ไดเ้ นอื้ สี สถาปตั ยกรรมเพือ่ ใช้เปน็ แม่แบบ แล้วน�ำไปผสมกาวเพ่ือใช้เขียนภาพต่อไป - พกู่ นั ชา่ งไทยมีภมู ปิ ัญญาในการทำ� พกู่ นั ใชเ้ อง พกู่ ันทใ่ี ชใ้ นการ - สเี หลอื งจากตะกวั่ โดยการคว่ั ตะกว่ั ในกระทะจนเป็นผงแลว้ ผสม เขยี นภาพมี ๒ ชนิดคือ กับตน้ สาปแรง้ สาปกา (ตากแห้งแล้วหนั่ ใสก่ ระทะ) ค่วั ผสมกบั ผงตะกวั่ จน - พูก่ ันขนหูววั ละลายเข้ากันไดส้ เี หลือง ใชข้ นหูววั ที่มเี ส้นขนและขนาดยาวเทา่ กันๆ บรรจเุ ส้นขนลงใน สีแดง ไดแ้ ก่ กรวยมากน้อยตามขนาดของพกู่ ัน รดั โคนด้วยแหวนให้แน่นอกี คร้ัง แลว้ ใส่ - สีดนิ แดงทไี่ ด้จากดินลกู รังซง่ึ มีแร่เหลก็ หรอื สนิมเหล็กเจอื ปนอยู่ ด้ามทีท่ �ำจากไมเ้ นอ้ื ละเอียดและมีนำ้� หนักเบา เหลาให้เหมาะมอื - สแี ดงชาดเปน็ สแี ดงสดอมสม้ ซงึ่ ผลติ จากเมอื งจนี มชี อื่ เรยี กตา่ งกนั - พู่กนั หนวดหนู เชน่ ชาดอ้ายมยุ้ ชาดจอแส เปน็ พ่กู นั ส�ำหรับตัดเส้น ชา่ งประดิษฐ์พู่กันจากปลายหนวดหนู - สแี ดงลนิ้ จ่ี เปน็ สีแดงอมดำ� ไดจ้ ากเมลด็ ของต้นชาดหรคุณ วธิ ใี นการประกอบพกู่ นั เชน่ เดยี วกนั กบั พกู่ นั ขนหวู วั แตจ่ ะใชห้ นวดหนปู ระมาณ - สีแดงเสนหรือสีแดงลกู พิกุล ๓-๑๐ เสน้ ใชส้ ำ� หรบั เขยี นลายเสน้ เลก็ ๆ ทมี่ คี วามออ่ นพลว้ิ ตามลกั ษณะลายไทย สขี าว ไดแ้ ก่ - แปรง - สีดินขาวทำ� จากดินขาวเผาไฟจนสกุ ดี น�ำมาบดเป็นฝ่นุ ละเอยี ด ใชใ้ นการเขยี นภาพต้นไม้เป็นกิง่ เปน็ พุ่ม ขนแปรงทำ� จากเปลือก แล้วกรองใหไ้ ดเ้ นอ้ื ละเอียด กระดงั งา รากลำ� เจยี ก ทบุ ปลายเปลอื กและรากใหแ้ ตกเปน็ ฝอยแลว้ นำ� ไปตาก - สฝี ุ่นขาวจากออกไซด์ของตะกวั่ ทำ� จากสนมิ สีขาวของตะก่ัว ใหแ้ หง้ ตัดตามรปู ทรงและขนาดทตี่ อ้ งการ ก่อนใชแ้ ปรงท้ัง ๒ ชนดิ นีต้ ้อง - สปี นู ขาวทำ� มาจากหนิ ปนู หรอื เปลอื กหอยเผาไฟจนสกุ นำ� มากรอง แช่น�ำ้ ไว้สัก ๒-๓ ชว่ั โมง เพ่อื ใหเ้ สน้ ใยแปรงออ่ นนมุ่ ลง แล้วหมกั จนจดื จากนัน้ ก็น�ำมาตากให้แห้งแล้วบดให้ละเอยี ด - สี สนี �ำ้ เงิน โบราณเรียกวา่ สคี ราม สีครามมี ๒ ชนดิ คอื ทีไ่ ดจ้ ากพชื สีท่ีใช้งานจติ รกรรมไทยประเพณีเปน็ สที ี่ไดจ้ ากธรรมชาติ เช่น และแร่ ธาตุดิน แร่หิน โลหะ พืชและกระดกู สัตว์ ลกั ษณะของสีจะเป็นผงละเอียด - สนี ำ�้ เงนิ จากพชื คอื ตน้ คราม โดยใชใ้ บตน้ ครามมาตำ� และคนั้ เพอ่ื เอา เรยี กว่า ฝุน่ หรือ สีฝุ่น นำ�้ มากรอง ปลอ่ ยให้แห้ง จากนนั้ นำ� กากไปบดเป็นฝุ่นเรียก ครามหม้อ - สีนำ้� เงินจากแร่ชนดิ หนง่ึ น�ำมาฝนเรยี ก ครามกอ้ น ๓. การเตรยี มสใี นการเขยี นภาพจติ รกรรมไทยประเพณี ภาพจากชาดกเร่ืองมโหสถ เปน็ การใชส้ ตี รงข้าม รูปพระมโหสถยืนอยบู่ นมมุ ก�ำแพงเมอื งยกพ้นื สที ีก่ ล่าวมาท้งั ๕ สนี น้ั เป็นสีหลักในจิตรกรรมไทยประเพณี เรยี กว่า สดี �ำ ไดแ้ ก่ คอื ปราสาทสีแดง รูปทหารใส่เส้อื สเี ขยี วสองคน ห้ามพระเจา้ จลุ นี ภาพสีพืน้ หลังเปน็ สีแดง เบญจรงค์ - สีดำ� จากเขมา่ ควนั ไฟ เช่น เขมา่ กน้ หม้อ ไกวเปลสาแหรกในปราสาท มีสฟี ้าระบายทอ้ งฟ้าเบื้องหลังเปน็ สฟี ้าออ่ น - สดี ำ� จากผงถ่านโดยการน�ำกระดูกสัตวม์ าเผาจนไหม้เป็นถ่านแล้ว บดให้ละเอียด มีกลุ่มโขดหิน ตน้ ไม้เป็นพนื้ แบ่งภาพแตล่ ะตอน - สดี ำ� จากหมึกจีน คือ ผงเขมา่ ทท่ี ำ� เปน็ แทง่
100 101 การเตรียมกาวหรือน�ำ้ ยาผสมสี เป็นน�้ำที่ได้จากยางไม้หรอื จากสัตว์ - ชาดก แสดงกิจและอดุ มคติในการครองชีวติ ของพระโพธสิ ตั ว์ วิธกี ารปรงุ นำ�้ ยา ถ้าเป็นจ�ำพวกยางไม้ เชน่ ยางมะขวดิ เรมิ่ จาก ในฐานะและสภาวะตา่ งๆ เชน่ ชาดก ๕๕๐ ชาติ ทศชาตชิ าดก พระเวสสนั ดร การสบั เปลือกของลำ� ตน้ ทิง้ ไวก้ จ็ ะไดน้ �้ำยางเป็นกอ้ นแขง็ แลว้ น�ำยางมาทุบให้ ชาดก ละเอียด เอาไปแชน่ ้�ำจนละลายเขา้ กับน้ำ� กรองใหส้ ะอาดและน�ำไปต้มหรอื - ไตรภมู ิ แสดงความหมายของกศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรม อปุ มาเปน็ ตุน๋ จนเป็นกาวเหนยี ว เกบ็ ไวใ้ ช้ในการผสมสี หรือยางมะเด่ือกเ็ ช่นเดียวกนั ภาพนรกและสวรรค์ โดยการสับเปลือกล�ำต้นมะเดอื่ แลว้ รองเอายางมากรองให้สะอาด ใสข่ วดแลว้ - ปรศิ นาธรรม แสดงความคดิ เหน็ ทแี่ ทรกปรศิ นาธรรม ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจ ปิดฝาให้สนทิ ถงึ ส่งิ ตา่ งๆ ในนามธรรมท้งั ในทางท่ีดแี ละไมด่ ี เกิดแสงประทปี ขนึ้ ในจิตใจ การปรงุ นำ�้ ยาของทา่ นครขู รวั อนิ โขง่ ทา่ นจะใชน้ ำ้� ทา่ ไมใ่ ชน้ ำ้� ฝนเพราะ ของทกุ คน นำ�้ ฝนเป็นน�ำ้ ด่าง และตักในเวลาทนี่ ้�ำขน้ึ เต็มท่ี ใสโ่ อ่งให้ตกตะกอนนอนกน้ นอกจากนยี้ ังมภี าพเร่ืองราวของวรรณกรรมตา่ งๆ เช่น รามเกียรติ์ แลว้ ชอ้ นเอาแตน่ ำ�้ ใสสะอาดปรงุ น�ำ้ ยาเปน็ สว่ นผสมในการผสมสี หรอื นิทานในฮูปแตม้ เรอ่ื งสินไซ เปน็ ต้น การผสมสีช่างจะอาศัยความช�ำนาญและประสบการณ์ในความพอดี ของสีแตล่ ะสี การผสมน�ำ้ กาวมากหรือนอ้ ย จะขน้ หรือใส หนาหรือบาง จะมี ๕. การรา่ งภาพ ความต่างกนั จติ รกรรมไทยประเพณที ปี่ รากฏอยบู่ นฝาผนงั อาคารตา่ งๆ ในวดั หรอื พระราชวงั การร่างภาพต้องพจิ ารณาเร่ืองและกำ� หนดภาพท่ีจะแสดงเน้ือหา ๔. การก�ำหนดเรือ่ ง ภาพจากเรือ่ งพรหมนารทชาดก ในวดั คงคาราม ภาพจากไตรภูมิ เบื้องบนคอื สวรรค์ เบอื้ งลา่ งคอื ของเรอ่ื งใหล้ งตวั พอดกี บั พนื้ ฝาผนงั ทจี่ ะเขยี น โดยการจดั องคป์ ระกอบของภาพ จติ รกรไทยประเพณใี นวดั สว่ นใหญเ่ ปน็ ภาพทเี่ กย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา แสดงการใช้เส้นสินเทาหยกั เพ่อื แบ่งพืน้ ทีภ่ ายในภาพ บาดาลและนรก ภาพสตั ว์ในทะเลแหง่ หิมพานต์ อยา่ งเหมาะสม ทง้ั จงั หวะการเคลอื่ นไหวของตวั ละครทดี่ งู ดงามออ่ นชอ้ ย และ ผสู้ รา้ งสว่ นใหญจ่ ะแฝงความรสู้ กึ มเี จตนาทจ่ี ะรกั ษาและบชู าพระพทุ ธศาสนา เส้นสินเทาระบายสนี ำ้� เงนิ เขม้ วาดลายดอกไมส้ แี ดง มปี ลากะโหย้ กั ษ์ทโ่ี หดร้ายตวั สแี ดงและมสี ตั ว์อื่นๆ เขา้ ใจความหมายของภาพได้ ใหอ้ ยู่เหนอื จิตใจของผูช้ ม เมอื่ พิจารณาอยา่ งละเอียด ย่อมเกิดปญั ญา เกดิ ใบสีเขียวเป็นฉากหลงั ชว่ ยขบั เนน้ ให้ตวั ละคร เมอื่ เค้าโครงภาพเหมาะสม ช่างจะรา่ งภาพลงบนกระดาษกอ่ นแล้ว ความเขา้ ใจลึกซ้งึ ในปรชั ญาทางพระพทุ ธศาสนา เรอ่ื งท่นี ยิ มเขียนในภาพ มจี ุดเด่นดงู ามสงา่ ขึ้น ตามจนิ ตนาการของจิตรกร จึงขยายภาพเหลา่ น้ันด้วยขนาดท่ีเทา่ ของจริง เมื่อได้ลักษณะสัดส่วนตาม จติ รกรรมไทยประเพณี ไดแ้ ก่ ความต้องการแล้ว จงึ น�ำไปทาบลงบนฝาผนังบรเิ วณที่จะเขยี นภาพ โดยการ - พระพุทธประวัติ แสดงประวตั แิ ห่งองค์พระสมั มาสมั พุทธเจ้าซงึ่ ปรตุ ามลายเสน้ ของภาพ ใชฝ้ นุ่ ถา่ นไมห้ อ่ ลกู ประคบตบลงตามรอยปรุ กจ็ ะได้ ทรงเปน็ ผู้ท่ีมพี ระปัญญาอันประเสริฐ ทรงพบและแกป้ ญั หาทั้งปวง ตลอดจน ภาพร่างทตี่ อ้ งการ แต่หากชา่ งที่มคี วามช�ำนาญจะไม่ใช้ภาพปรเุ ปน็ แบบ แต่ โปรดผทู้ เ่ี ปน็ ศตั รดู ว้ ยบญุ กริ ยิ าทกุ ประการ ซงึ่ เปน็ ชยั ชนะทเ่ี พมิ่ พระบารมแี ละ จะร่างภาพเหล่านั้นเอง ช่างเขยี นทีม่ คี วามสามารถช้ันครจู ึงจะเขยี นไดง้ ดงาม ศัตรไู ดม้ ีบทเรยี น ทำ� ใหก้ ลบั ตัวเปน็ คนดี และลงตัว ภาพพทุ ธประวัตติ อนพระพทุ ธเจ้าเสวยวิมุตติสุข ภายหลงั จากทที่ รงตรสั รู้ ภาพเบอื้ งบนเพดานรปู วมิ านมีดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และรปู ดาวสัตเคราะห์
102 ภาพบนเหนอื พุทธประวัตเิ ขียนเปน็ รูป 103 ๖. การเขียนภาพ อดีตพทุ ธะ เทคนคิ การใชส้ ีเป็นแบบอยุธยา - การเขยี นภาพสถาปัตยกรรม เชน่ ปราสาท ปอ้ ม ประตวู ดั หรอื เมอ่ื รา่ งภาพถกู ตอ้ งเรยี บรอ้ ยแลว้ ชา่ งจะเขยี นสลี งบนผนงั การเขยี น คือ สีขาว ด�ำ ดินแดง และดนิ เหลือง บา้ นเรอื น มแี บบแผนทเี่ ปน็ ลกั ษณะพเิ ศษ คอื เปน็ ภาพแบนราบแตเ่ หน็ ความลกึ ภาพจติ รกรรมไทยประเพณนี ยิ มเขยี นสที วิ ทศั นห์ รอื บรรยากาศกอ่ น คอื เขยี น ระบายบนพ้ืนสขี าวซงึ่ เป็นแบบแผน โดยจินตนาการ ภาพปราสาทมขี นาดเลก็ เพียงคลุมภาพกษัตริย์ ท่ปี ระทบั อยู่ สีพนื้ ดิน ภูเขา ล�ำนำ�้ ท้องฟา้ ต้นไมแ้ ละสัตวต์ า่ งๆ ของจติ รกรสมยั อยธุ ยา หนา้ ปราสาท แมป้ ราสาทจะเสมอองคก์ ษตั รยิ แ์ ตม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั ภาพปราสาท ต่อมาจะเขยี นสีสถาปัตยกรรม แล้วเขยี นสีภาพบคุ คลสำ� คญั ในเร่ือง ดูแล้วไมข่ ดั ตา รวมทงั้ ตวั ประกอบสำ� คญั ตา่ งๆ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ จงึ จะปดิ ทองคำ� เปลว แลว้ - การเขยี นภาพตน้ ไม้ มเี ทคนิคการเขียนหลายแบบและเครือ่ งมอื ตัดเสน้ ด้วยพกู่ ันหนวดหนตู ามลักษณะลายไทยเปน็ ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ย ทตี่ า่ งกนั คือ ลกั ษณะของภาพจติ รกรรมไทยประเพณี ในการเขยี นภาพจะมคี วาม - การระบายสพี ื้นพุม่ ไม้แลว้ ตดั เสน้ ใบ เปน็ ใบ เปน็ ชอ่ โดยใชพ้ ูก่ นั แตกตา่ งเพอ่ื ใหผ้ ศู้ กึ ษาดงู านจติ รกรรมพจิ ารณาประกอบเนอ้ื หาไดถ้ กู ตอ้ ง ดงั เชน่ - การขดี โดยใช้พู่กันมดั รวมกันแล้วขดี เป็นเส้นเรียวแหลมแบบใบหญ้า - การเขียนภาพกษตั รยิ แ์ ละเทวดา มแี บบฉบับที่เขียนเหมอื นกนั ใบไม้ ทุกแหง่ คือ กษัตริย์ตอ้ งมลี กั ษณะรปู กายที่สงา่ งาม มบี ารมี เปน็ ลักษณะ - การจมิ้ แตะ โดยใชแ้ ปรงทท่ี ำ� จากเปลอื กกระดงั งาหรอื รากลำ� เจยี ก ของมหาบุรษุ ทค่ี วรเคารพบูชา จะมีเครอ่ื งทรงตงั้ แต่พระเศียรจรดพระบาท จุม่ สีให้เกดิ ความรู้สึกเปน็ พมุ่ ไม้ เปน็ ภาพต้นไม้ในระยะใกล้ – ไกล ทั้งท่ีเปน็ พระอริ ิยาบถท่เี ป็นแบบไทยประเพณีนิยม คอื ลีลา ทา่ ทาง ท่าแผลงศร และ ภาพแบนราบ ท่าประนมหตั ถ์ เป็นต้น - การเขยี นภาพล�ำนำ�้ ชา่ งเขยี นนิยมเขยี นเป็นคล่นื เล็กๆ ซ้อนกนั - การเขียนภาพนางกษตั ริย์ตลอดจนเทวแี ละนางอปั สรตา่ งๆ นาง เปน็ ระลอกตลอดล�ำน�้ำ ในคล่นื แตล่ ะลกู จะมเี สน้ ริว้ ของระลอกคลนื่ ซอ้ นกนั กษัตรยิ จ์ ะมีลักษณะงดงามอ่อนชอ้ ย น่มุ นวล รูปทรงตลอดทั้งองค์จะเขียนดว้ ย เปน็ เส้นขนาน ในระหวา่ งเกลยี วคลน่ื จะมีภาพสัตว์หิมพานต์เล่นคลน่ื อยู่ เสน้ ทอ่ี อ่ นโคง้ กลมกลนื ไปทกุ สว่ น ตวั นางนยิ มเขยี นทา่ ลลี าและทา่ นง่ั พบั เพยี บ - การเขยี นภาพภเู ขา มลี กั ษณะคลา้ ยโขดหิน เขามอ หรือเขาไม้ ทา้ วแขน เปน็ ลกั ษณะของเบญจกลั ยาณี แสดงใหเ้ หน็ วฒั นธรรมอนั ดงี ามของ แบบจีน กลุ สตรไี ทย สำ� หรบั ลวดลายในงานจติ รกรรมไทยประเพณี แบง่ ไดเ้ ปน็ ๓ ประเภท - การเขียนภาพบุคคลอ่นื ๆ ถ้าเป็นเจา้ นาย การแตง่ กายและเครอ่ื ง ใหญ่ๆ คอื ประดบั ก็จะลดหลั่นลงตามลำ� ดบั ตวั ประกอบที่เปน็ บคุ คลชาวบ้านจะเขียน - ลวดลายภาพสตั ว์ เชน่ ชา้ ง ม้า สงิ ห์ หงส์ เป็นต้น ใหเ้ หน็ ท่าทางการแต่งกายตามแบบนยิ มในยคุ น้นั ๆ - ลวดลายภาพดอกไม้ ผลไม้ เช่น ดอกบวั ลายพรรณพฤกษชาติ ลายเครือเถา เป็นตน้ ภาพมหาสมทุ รเปน็ ระลอกคลื่นกับสตั วท์ ะเล - ลวดลายภาพสง่ิ ของเคร่อื งใช้ เชน่ สงั ข์ ตาลปัตร รม่ เปน็ ต้น ภาพพทุ ธประวัติ แสดงใหเ้ ห็นภาพบคุ คลธรรมดาทแี่ ตง่ กายแบบชาวบา้ นในสมัยน้ัน การเขยี นภาพปราสาทจะคลมุ ภาพทหารและนางชาววงั ความป่ันป่วนของกองทัพพญามารเหลา่ ชา้ ง ม้า สิงห์ กษัตรยิ ท์ ่ปี ระทบั อยใู่ นปราสาท ท่ีถกู น�ำ้ จากมวยผมแม่พระธรณีไหลท่วม
104 105 คุณค่าทางศิลปะของจิตรกรรมไทยมีความเส่ือมสูญไปโดยล�ำดับ ซึ่งศาสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ะศรี ได้เขยี นไว้ในหนงั สอื “พรุง่ นี้กช็ ้าไปเสียแลว้ ” ตอนหนง่ึ ดังน้ี จติ รกรรมฝาผนงั วดั สรุ ชายาราม จติ รกรรมฝาผนงั วัดไทรอารีรักษ์ จติ รกรรมฝาผนงั วดั มหาธาตุวรวหิ าร “เพือ่ ใหเ้ ป็นทเ่ี ขา้ ใจได้ดยี ิ่งขน้ึ ถงึ ความเสอื่ มทรามแห่งศิลปะ และ ฝมี อื จติ รกรยคุ ปจั จบุ นั อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี อำ� เภอโพธาราม จังหวดั ราชบรุ ี อ�ำเภอเมอื งราชบุรี วฒั นธรรมของเรา จ�ำเป็นตอ้ งระลกึ ถงึ เหตุบางประการ ทเี่ ป็นเครอ่ื งทำ� ให้ มีสถานการณอ์ ยา่ งทีเ่ ป็นอย่นู ้ี แต่กอ่ นนนั้ การศึกษาเลา่ เรยี นไมแ่ พร่หลาย คณุ ค่าและความส�ำคัญของจติ รกรรมไทยประเพณี ท่ัวไปเหมอื นสมัยปจั จุบัน เพราะฉะนัน้ ผลทีฉ่ ายสะท้อนให้เห็นในเร่ืองเปน็ ผู้รคู้ ่าทางสุนทรียะ จึงจ�ำกัดอยแู่ ตใ่ นหมู่เจ้านาย ขุนนาง และพระภกิ ษสุ งฆ์ จิตรกรรมไทยประเพณีนอกจากมีคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์แล้ว จิตรกรรมฝาผนงั วดั ช่องลม อำ� เภอเมืองราชบรุ ี บางองคเ์ ทา่ นัน้ จิตรกรรมไทยประเพณีตามฝาผนังโบสถ์หรือวิหารนั้นยังเป็นหลักฐานของชาติ ประชาชนท่ีเขา้ มาศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนงั ความจริงชนชนั้ สามัญย่อมได้รบั ความบันเทงิ จากความงามของ ที่บนั ทึกเหตกุ ารณแ์ ละส่งิ ต่างๆ ในอดีตไว้ ยอ่ มเป็นประโยชน์ใหค้ นรุ่นหลังได้ วดั คงคาราม จงั หวดั ราชบรุ ี วัดวาอาราม ได้รบั ความผอ่ งแผว้ แห่งจิตใจจากพระพทุ ธปฏมิ า แต่ประชาชน ศึกษาคน้ คว้าหาความรู้ถงึ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมโบราณคดี จติ รกรรมฝาผนงั วดั เขาเหลอื อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี เหลา่ นี้ หาไดร้ สู้ ำ� นกึ ตนไมว่ า่ ศลิ ปะนเ้ี องทจี่ ะขดั เกลานสิ ยั และยกจติ ใจของเขา และภาพชีวติ ความเปน็ อยขู่ องสังคม วัฒนธรรมและจารตี ประเพณีจากภาพ อยา่ งลกึ ซงึ้ ไมม่ ตี ำ� รบั ตำ� ราอธบิ ายเปน็ เครอื่ งวจิ ารณค์ วามรแู้ กเ่ ขา ทเี่ ขารแู้ ลว้ เขยี นเหลา่ นี้ เข้าใจศิลปะกด็ ว้ ยสัญชาตญาณ หาใชร่ ูแ้ ละเข้าใจดว้ ยปญั ญาทางเหตผุ ลไม่ การสร้างสรรค์จิตรกรรมไทยประเพณีเกิดจากอัจฉริยภาพและความ ถา้ ลกั ษณะการเป็นเช่นน้ี หากมเี หตอุ ะไรบางประการอุบัตขิ น้ึ ศรทั ธาอย่างสูงของศิลปินชัน้ ครใู นสมยั โบราณทท่ี า่ นไดส้ ร้างไว้ หากได้ศกึ ษา อันทำ� ใหก้ จิ การของศลิ ปะตอ้ งส้นิ สดุ ลง เรือ่ งก็ลงเอยกนั อยแู่ ค่น้นั ไมม่ ใี คร เปรยี บเทยี บจติ รกรรมฝาผนงั ภาพในสมดุ ขอ่ ย ตพู้ ระธรรม พระบฏกบั หลกั ฐาน เอาใจใสเ่ หลยี วแล เรอื่ งอยา่ งน้ีทเ่ี กดิ มอี ยแู่ ลว้ ในประเทศไทยนับไดป้ ระมาณ เอกสารขอ้ มลู ดา้ นอกั ษรตา่ งๆ เช่น พงศาวดาร ต�ำนาน จดหมายเหตุ ก็จะ ๗๐ ปี ท่ลี ว่ งมานี้ โดยเหตทุ ่ีเรารับเอาอารยธรรมทางตะวันตกมาเปน็ ของเรา ทราบเร่ืองราวความรูบ้ างอยา่ งได้ เช่น การแต่งกายสมัยโบราณ ลักษณะส่งิ เราก็นำ� เอาศิลปะของตะวนั ตกเข้ามาด้วย และคดิ เห็นวา่ ของเขาสูงและดกี ว่า กอ่ สร้างทางสถาปัตยกรรม ท�ำใหส้ ามารถเขา้ ใจเร่ืองราวไดช้ ดั เจนขน้ึ ของเรา เรากท็ ้ิงการสร้างอาคาร สถานทร่ี าชการของเราตามแบบเก่าทส่ี บื ตอ่ จติ รกรรมไทยประเพณีทีม่ นษุ ยส์ รา้ งขึ้นมคี ุณคา่ มหาศาล และเป็น ประเพณกี ันมาช้านาน เมือ่ สถาปัตยกรรมของเราสูญเสยี ลกั ษณะของชาติ ประโยชนท์ งั้ ทางดา้ นวตั ถแุ ละคณุ ธรรม คณุ คา่ ตา่ งๆ ถา้ นำ� ไปใชจ้ ะไดป้ ระโยชน์ ไปแลว้ ศิลปะอยา่ งอน่ื ก็มลี กั ษณะพลอยเสยี ตามไปดว้ ย แตถ่ า้ หากไมน่ ำ� ไปใชเ้ ลยคณุ คา่ อนั มหาศาลนนั้ กจ็ ะกลายเปน็ ของไรค้ า่ กลายเปน็ เมอ่ื เปน็ ดังนี้ ศิลปนิ และผูเ้ ชีย่ วชาญของศลิ ปะไทย กห็ มดกำ� ลงั ใจ ของเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เพราะลกั ษณะของจติ รกรรมไทยประเพณี และกไ็ มม่ ปี ญั ญา ความสามารถทเี่ ปน็ หลกั จะวจิ ารณส์ ำ� หรบั ตอ่ สู้ หรอื ขอรอ้ ง เปน็ ศลิ ปะทบ่ี อบบางและชำ� รดุ เสยี หายไดง้ า่ ย แมว้ า่ จะสรา้ งดว้ ยความพถิ พี ถิ นั เพ่ือประโยชน์แห่งศิลปะของตน และท้งั ไม่มปี ากเสยี งกลา้ ขัดแยง้ กับเจา้ นาย เพียงใดกต็ าม หรอื ขุนนางผู้ใหญ่ ก็ไดแ้ ตถ่ อยหลงั เข้าคลองไปอย่างเงียบๆ ศลิ ปะที่สืบตอ่ เปน็ ประเพณกี นั มาก็สูญสน้ิ ช่ือ หายตัวไปเอง”* พรงุ่ นี้ก็ชา้ ไปเสียแลว้ เมื่อไมม่ ีใครใหค้ วามส�ำคัญ * ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ะศร,ี พรงุ่ นีก้ ช็ ้าไปเสียแล้ว และศิลปะเกา่ อันเป็นมรดกที่ไทย ตอ่ จติ รกรรมฝาผนังซึ่งเปน็ มรดกอนั ล้ำ� คา่ ไดร้ ับจากบรรพบุรุษ, กรมศลิ ปากร จัดพิมพ์ถวาย พระภกิ ษแุ ละสามเณร ซึ่งมาชม ที่บรรพบุรษุ มอบให้ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติในเทศกาลเขา้ พรรษา พ.ศ. ๒๕๐๐ หน้า ๑๑
106 107 หนงั ใหญว่ ดั ขนอน “การสืบทอดและฟ้นื ฟหู นังใหญ่วัดขนอน” ไดร้ ับรางวัลจากองค์การศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรอื ยเู นสโก (UNESCO) เมือ่ พ.ศ. ๒๕๕๐ และไดร้ ับการยกยอ่ งใหเ้ ป็น ๑ ใน ๖ ชมุ ชนดีเด่นของโลกท่มี ผี ลงานในการอนรุ กั ษ์ ฟนื้ ฟูมรดกวฒั นธรรมเชิงนามธรรม
108 109 หนังใหญ่ วัดขนอน เม่ือวันท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ พระครศู รทั ธาสุนทร ลักษณะนิสัยประจ�ำชาติอย่างหน่ึงของคนไทยคือความสนุกสนาน สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรม- ผคู้ ิดริเร่มิ สรา้ งหนังใหญ่วัดขนอน รน่ื เรงิ บันเทิงอยเู่ นืองนิจ อนั เป็นส่งิ ทแ่ี สดงถงึ มาตรฐานชวี ิตทด่ี ี ความรน่ื เรงิ ราชกมุ ารี ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ใหเ้ จ้าอาวาส บนั เทงิ ใจในชวี ติ ของคนไทยมหี ลากหลายทงั้ ทเี่ ปน็ งานประเพณี งานวฒั นธรรม และคณะกรรมการวดั ขนอนเขา้ เฝา้ โดยมพี ระนขุ ติ พระครูพิทกั ษศ์ ลิ ปาคม ทอ้ งถิน่ และหนึง่ ในนัน้ คือ การละเล่นหนงั ใหญ่ ทีไ่ ดร้ ับการยกยอ่ งให้เป็น วชริ วฑุ โฺ ฒ ถวายรายงานความเปน็ มาของหนงั ใหญ่ เจา้ อาวาสวัดขนอน มหรสพช้นั สูง เน่ืองจากหนังใหญเ่ ปน็ งานวิจิตรศลิ ปท์ ่ีเกิดจากการรวมศิลปะ วดั ขนอนแลว้ พระองค์มีพระราชดำ� ริ ใหอ้ นุรักษ์ ที่มีคุณค่าหลายแขนงประสมประสานเข้าดว้ ยกัน หนังใหญ่วัดขนอน โดยจัดสรา้ งชดุ ใหม่ขึน้ มาเพือ่ เรมิ่ ตงั้ แตง่ านหตั ถศลิ ป์ คอื ศลิ ปะทมี่ กี รรมวธิ ใี นการแกะสลกั แผน่ หนงั ใช้แสดงแทนชุดเก่าและให้มีการฝึกหัดเยาวชน การระบายสใี หก้ ลายเปน็ ตวั หนงั อนั วจิ ติ ร โดยฝมี อื ชา่ งแกะสลกั ทป่ี ระณตี บรรจง ขึน้ มาแสดงหนงั ใหญ่เปน็ การเผยแพรส่ บื ต่อไป และเมอื่ นำ� ออกแสดงรวมกบั นาฏศิลป์คือ ความงดงามของผเู้ ชิดท่ีคล่องแคลว่ ด้วยลีลา ท่าทาง สามารถสร้างจติ วิญญาณให้ตัวหนงั มีชวี ติ และคีตศิลป์ของ วถิ ีหนงั ใหญ่ วงป่ีพาทยท์ บ่ี รรเลงเพลงสอดประสานเกยี่ วร้อยเรือ่ งราวตา่ งๆ ดำ� เนนิ ไปอยา่ ง ชวนตดิ ตาม ประกอบกับบทพากย์ บทเจรจา และการขบั ร้อง ท�ำใหเ้ กดิ ความ กวา่ คณะหนงั ใหญว่ ดั ขนอนจะเป็นทรี่ จู้ กั จากคนทัง้ โลก ตอ้ งพบกับ เขา้ ใจเรอ่ื งราวและได้อรรถรสทางศลิ ปะแก่ผู้ชม จงึ สง่ ผลใหเ้ กิดการแสดง ปัญหานานปั การ เพราะความนิยมในหนงั ใหญ่ ทง้ั ผู้เชดิ ผ้ชู ม ผสู้ รา้ ง หนงั ใหญอ่ นั มีคณุ คา่ ทางศลิ ปไ์ ดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ ผู้บรรเลง และผูส้ นบั สนุน นบั วนั จะซบเซาลดนอ้ ยลงไปเร่ือยๆ ประกอบกับ หนังใหญ่วัดขนอน ต�ำบลสรอ้ ยฟา้ อำ� เภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี ตวั หนงั ทีม่ อี ยมู่ สี ภาพชำ� รดุ ทรุดโทรม ซงึ่ พระครศู รทั ธาสนุ ทร (หลวงปกู่ ลอ่ ม) อดตี เจา้ อาวาสวดั ขนอน ชา่ งฝมี อื ชนั้ เอก จากพระราชดำ� รขิ องสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้คิดท�ำหนังใหญ่ขึ้น ทท่ี รงโปรดใหจ้ ดั ทำ� หนงั ใหญช่ ดุ ใหมเ่ พอ่ื ทดแทนชดุ เกา่ ทช่ี ำ� รดุ และความรว่ มมอื เมอื่ ราวพทุ ธศักราช ๒๔๑๑ โดยมีครอู ง๋ั ช่างจาดกบั ช่างจะ๊ ชาวราชบรุ ี และ ในการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงหนังใหญ่ของวัดขนอนกับมหาวิทยาลัยศิลปากร ช่างพวง ชาวมอญ นอกจากนีย้ งั มีช่างไทยชั้นฝมี ืออกี หลายคนช่วยกนั จ�ำหลัก รวมทง้ั การสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ จากชาวบา้ นวดั ขนอน และหนว่ ยงานราชการ ตวั หนังขึน้ ในจงั หวดั ราชบรุ ี ทำ� ใหห้ นงั ใหญว่ ดั ขนอนไดก้ ลบั มาเปน็ แหลง่ เรยี นรทู้ ม่ี ปี ระโยชน์ ตอ่ การศกึ ษา และสบื ทอดศลิ ปวัฒนธรรมอันมคี ณุ คา่ ต่อมาจนถึงปัจจบุ นั นี้ เมือ่ วนั ที่ ๘-๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หอ้ งแสดงนทิ รรศการหนังใหญ่ พิพิธภณั ฑ์หนังใหญ่ วัดขนอน องค์กร ACCU (Asia-Pacific Cultural Centre for UNESCO) ได้จดั พธิ มี อบเหรยี ญรางวลั เกียรติบัตร และการสัมมนาแลกเปลย่ี นความรู้ ประสบการณร์ ะหว่างผู้แทนชมุ ชนต่างๆ ท่ไี ดร้ ับ รางวัลและบรรดาผู้เชยี่ วชาญทางวฒั นธรรม และ คณะกรรมการของยูเนสโก ณ โรงแรมโตเกยี ว ไดอชิ ิ เมอื งซึรุโอกะ จังหวดั ยามากาตะ ประเทศ ญป่ี นุ่ ในวาระดงั กล่าว พระครูพทิ กั ษ์ศลิ ปาคม เจา้ อาวาสวัดขนอนและคณะเขา้ รว่ มงาน และ รับรางวัลดังกลา่ ว
110 111 วดั ขนอน พระลักษณ์ พระราม รถอินทรชติ หนุมานตอ่ สกู้ ับเสนายักษ์ ลักษณะของหนงั ใหญ่ อินทรชติ ไลจ่ บั หนมุ าน อนิ ทรชิตแผลงศรเปน็ นาคมดั ตวั หนุมาน วดั ขนอนตัง้ อยูฝ่ ง่ั ตะวันตกของแมน่ �้ำแม่กลอง ดา้ นหลังจดถนน หนังใหญ่เป็นผืนหนังสัตว์ท่ีน�ำมาสลักหรือฉลุเป็นภาพและลวดลาย ทางหลวงชนบทสายโพธาราม-บา้ นโปง่ มเี น้อื ทป่ี ระมาณ ๕๕ ไร่ อยู่ห่างจาก รถอนิ ทร ลักษณะตัวนาง “นางหนา้ แขวะ” โดยปกตนิ ยิ มใชห้ นงั ววั เพราะมคี ณุ ภาพดี เมอ่ื ฟอกแลว้ หนงั จะออ่ น งา่ ยแกก่ าร ตวั อ�ำเภอโพธารามประมาณ ๓ กโิ ลเมตร พระครศู รทั ธาสนุ ทร ซ่งึ ชาวบา้ น ฉลเุ ปน็ ลวดลายตา่ งๆ และเมอื่ แหง้ จะไมย่ ่น เหมาะท่จี ะทาบตัวหนงั ลงบนจอ เรยี กหลวงปกู่ ลอ่ ม เจา้ อาวาสวดั ขนอน (เกดิ เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๑ มรณภาพ จะเหน็ ลวดลายสสี ันของตัวหนงั ไดส้ วยงาม เมอ่ื พุทธศกั ราช ๒๔๘๕) เป็นผู้เรมิ่ คดิ สร้างหนงั ใหญข่ ้ึนเพราะมีความสนใจ ในการสรา้ งตวั หนงั แตล่ ะตวั ชา่ งชนั้ ฝมี อื มคี วามพากเพยี รในการสลกั ดา้ นการชา่ ง ตัวหนังใหไ้ ดม้ าซึ่งงานศลิ ปะบนผนื หนัง ครูอั๋งผู้เคยแสดงโขนคณะพระแสนทองฟ้าของเจ้าเมืองราชบุรีได้ ชวนพระครูหลวงปู่กล่อมร่วมทำ� หนงั ใหญ่ให้เปน็ สมบตั ขิ องวดั ทา่ นพระครู กรรมวิธใี นการทำ� ตวั หนัง จงึ ชวนชา่ งจาด ชา่ งจะ๊ และชา่ งพวงรว่ มกนั ทำ� ตวั หนงั โดยครอู งั๋ เปน็ ชา่ งสลกั และอกี ๓ คนเป็นช่างเขียน เรมิ่ จากการนำ� ผนื หนงั แชน่ ำ�้ ใหอ้ อ่ นตวั แลว้ ผง่ึ แดดใหแ้ หง้ เมอื่ แหง้ แลว้ หนงั ชดุ แรกทสี่ รา้ งคอื ชดุ หนมุ านถวายแหวน ตอ่ มามกี ารสรา้ งหนงั ใหญ่ จะตอ้ งขดู ขนใหห้ ลุดหมดเพือ่ ให้หนงั บางเรยี บสม�่ำเสมอ จากนน้ั ใช้เขม่ากน้ เพม่ิ เตมิ ชดุ ทส่ี อง มชี า่ งจะ๊ เปน็ ผเู้ ขยี นและสลกั หลงั จากนน้ั มกี ารสรา้ งเพม่ิ ขน้ึ หม้อหรอื กาบมะพร้าวเผาละลายดว้ ยนำ้� ข้าว เช็ดทาผืนหนงั ใหท้ ่ัวทัง้ สองด้าน อกี หลายชดุ ชุดสดุ ท้ายคือชดุ ทศกัณฑส์ ่งั เมอื ง ชา่ งจะ๊ เปน็ ผเู้ ขยี นและสลกั เพอื่ ให้เปน็ สีดำ� แล้วนำ� ไปผง่ึ แดดใหแ้ หง้ และขัน้ ตอนสุดท้ายถูผืนหนงั ด้วยใบ รวมตัวหนงั ใหญข่ องวดั ขนอนท้ังหมดประมาณ ๓๑๓ ตัว ฟกั ขา้ วอีกคร้งั เพื่อใหผ้ นื หนงั เปน็ มัน การท่ีวัดขนอนสามารถสร้างหนังใหญ่ได้มากเป็นเพราะชาวบ้าน เมอื่ เตรยี มผนื หนงั พรอ้ มสรา้ งเปน็ ตวั ชา่ งเขยี นจะรา่ งภาพเปน็ รปู ตา่ งๆ ส่วนใหญ่ประกอบอาชพี ทำ� นา และมีความศรัทธา เม่ือววั ตายกจ็ ะแลห่ นังวัว ตามความตอ้ งการแล้วสลักหรือฉลุเปน็ ลวดลายโดยใชส้ ่วิ ชนิดตา่ งๆ ตง้ั แต่ มาถวายวดั เมื่อมีหนังววั มากทางวดั ขนอนจงึ มวี ัตถุดิบในการสรา้ งหนังใหญ่ ขนาดเลก็ จนถงึ ขนาดใหญ่ ชอ่ งไฟทเี่ ปน็ รปู เหลย่ี มใชส้ ว่ิ ชอ่ งไฟทเี่ ปน็ ทรงกลม ไดม้ าก และเนื่องจากหนงั ววั มขี นาดใหญเ่ ป็นพิเศษ บางผืนยาวถงึ ๒ เมตร ใชเ้ หลก็ กลมทเี่ รยี กวา่ มกุ มกุ มขี นาดแตกตา่ งกนั คอื มกุ ใหญ่ มกุ กลาง มกุ ยอด กวา้ ง ๑.๕๐ เมตร ถึง ๑.๘๐ เมตร ด้วยเหตุท่ีตัวหนังมีขนาดใหญ่มาก เมื่อใช้ ชา่ งแกะสลกั จะสลักผืนหนังตามทีช่ ่างเขยี นได้รา่ งภาพไว้ เมอ่ื แกะ หนงั ววั ทงั้ ผนื มาฉลุลวดลาย จงึ เรยี กวา่ หนงั ใหญ่ ตวั หนงั เสรจ็ นำ� ตวั หนงั ทาบลงบนจอ แสงไฟจะสอ่ งใหเ้ หน็ เปน็ รปู ทรงงดงาม ปัจจุบันหนังใหญ่ทั้งหมดถือเป็นสมบัติของวัดขนอนที่ได้ร่วมรักษา ส่วนทเี่ ปน็ ลายโปร่งจะเป็นสีขาว ส่วนที่เป็นตัวหนงั จะเปน็ สีดำ� สืบทอดกนั มา และเป็นเพยี งวดั เดยี วทม่ี มี หรสพเป็นของวัด มีตัวหนังใหญ่ ในการท�ำสขี องตัวหนังท�ำได้หลายวิธคี ือ และคณะหนงั ใหญ่ท่ีสมบูรณ์อยู่ในความอุปถมั ภข์ องวดั ขนอน สีขาว ใช้เหล็กขดู ทีต่ ัวหนงั ใหส้ ดี ำ� หมดไป สเี ขยี ว ใชจ้ ุณสฝี นกับน้�ำมะนาวทา สีแดง ใช้นำ้� ฝางกบั สารส้มทา สีเหลือง ใชน้ ้ำ� ฝางทาแล้วใช้นำ�้ มะนาวถู สว่ นหนา้ ตวั นางถา้ จะใหเ้ ปน็ สขี าวจะสลกั เอาพนื้ ตวั หนงั ทเี่ ปน็ พน้ื หนา้ ออก เหลอื เพยี งเสน้ ควิ้ ตา จมกู และปาก ในทางชา่ งจะเรยี กวา่ “นางหนา้ แขวะ” เม่อื ยอ้ มสีเสรจ็ แล้วใช้ไมค้ าบตวั หนงั ทั้ง ๒ ขา้ ง สำ� หรบั ผู้เชดิ ถือ หนังตัวเล็กจะมไี มป้ ระกบ ๑ คู่ เรียกวา่ ๑ ไมค้ าบ หนงั ทม่ี ขี นาดใหญ่ตอ้ งใช้ ไม้ประกบ ๒ คู่ เรยี กว่า ๒ ไมค้ าบ ส่วนของไม้คาบทย่ี าวลงมาทางด้านลา่ ง สำ� หรับให้ผเู้ ชดิ ถือตวั หนังจะยาวประมาณ ๑ – ๒ ฟตุ หนงั ใหญจ่ ะเห็นสีตา่ งๆ ได้ชดั เจนเม่อื นำ� ไปทาบกบั จอ แสงไฟท่อี ยู่ ด้านหลังจอจะส่องออกมาทางด้านหลังผ่านแผ่นหนังเห็นเป็นรูปทรงของตัว หนังใหญไ่ ดช้ ดั เจนและมีความงามอยูใ่ นหนงั ใหญ่ตวั นั้นๆ
112 พระนารายณ์ หนงั เขน หรอื หนงั สมุ พล 113 หนงั ง่าหรอื หนงั เหาะ ประเภทของตวั หนงั ใหญ่ ๖. หนงั เมือง ตัวหนังสูงประมาณ ๒ เมตร เปน็ หนังทีม่ ีภาพเดยี่ ว หรือหลายภาพกไ็ ด้ แตต่ อ้ งประกอบด้วยปราสาท ราชวัง วมิ าน พลับพลา การสรา้ งตวั หนงั ใหญแ่ ตล่ ะตวั จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ตวั หนงั ในเนอื้ เรอื่ ง ทจี่ ะแสดง เพอ่ื ใหผ้ ชู้ มทราบวา่ เปน็ ตวั อะไร ประกอบกบั ลวดลายอนั ออ่ นชอ้ ย •ตวั ละครจะอยู่ในอริ ิยาบถตา่ งๆ หนังเมอื งแบง่ ประเภทย่อย ไดแ้ ก่ สสี ันท่ีปรากฏเม่อื ทาบกบั จอ การเล่นหนังใหญ่จะมีตัวหนังเป็นจ�ำนวนมากเพื่อเล่นหนังใหญ่ได้ หนังพลบั พลา คอื หนังทีม่ ีภาพพระราม พระลักษณ์ ประทับ หลายตอน แต่ละตวั หนังจะมบี ทบาทท่ีแตกตา่ งกันไป ตวั หนงั แบ่งออกเป็น ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่ •อยู่ในพลบั พลาในป่า ๑. หนงั เจา้ หรอื หนงั ครู เปน็ หนงั สำ� หรบั ทำ� พธิ ไี หวค้ รู จะไมใ่ ชแ้ สดง โดยปกตจิ ะมี ๓ ตวั คอื หนังฤๅษี หนังพระอิศวร และหนังพระนารายณ์ หนงั ปราสาทพดู แสดงภาพกษตั รยิ อ์ อกราชการ ในทา่ ประทบั หนงั ทงั้ ๓ ตัวนี้ วดั ขนอนจะใชห้ นงั เสอื ท้ังหมด ๒. หนงั เฝา้ หรอื หนงั ไหว้ ตวั หนงั สงู ประมาณ ๑ เมตร เปน็ หนงั เดยี่ ว •นง่ั ในปราสาท หนา้ เสย้ี ว หรอื หนั ขา้ ง ทำ� เปน็ รูปภาพนง่ั พนมมอื มกั จะใชเ้ ล่นตอนเขา้ เฝา้ ๓. หนังคเนจร หรือหนังเดนิ ตัวหนงั สงู ประมาณ ๑.๕๐ เมตร เป็น หนังปราสาทโลม ตวั ละครจะเปน็ ชาย หญิง แสดงท่าทาง หนงั ภาพเด่ียว หนา้ เสย้ี ว ทำ� เป็นรปู ทา่ ยืนธรรมดา ทา่ เดินหรือทา่ ย่อง มีท้ัง เล้าโลมอย่ใู นปราสาท ภาพมนุษย์ ยักษ์ ลิง ๗. หนงั เบ็ดเตล็ด คือ หนังที่มีภาพตัวละคร ทา่ ทางไม่จัดอยใู่ น ๔. หนงั งา่ หรือหนงั เหาะ ตัวหนังสูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร เป็นหนงั ภาพเดย่ี ว หนา้ เสย้ี ว แสดงทา่ เหาะ แบง่ ออกเปน็ หนงั โกง่ คอื ทำ� เปน็ ทา่ โกง่ ศร ••ประเภทใดประเภทหน่ึงดังกลา่ วขา้ งต้น ไดแ้ ก่ และหนังแผลง คอื ทำ� เปน็ ทา่ แผลงศร ๕. หนังจับหรือหนงั รบ ภาพตวั ละครต้ังแต่ ๒ ตัวข้นึ ไป อยู่ในท่า หนังเตียวหรือหนังมัด คอื ภาพลิงขาวมัดลิงด�ำ ทตี่ วั ละครกำ� ลงั ตอ่ สกู้ นั หรอื ไลจ่ บั กนั ในทา่ พลกิ แพลงตา่ งๆ ตวั หนงั สงู ประมาณ หนังเขนหรือหนังสมุ พล คอื ไพร่พลในกองทพั ท้ังยกั ษ์ ลงิ ๒ เมตร •มนุษย์ หนงั รถ คือ หนงั ทีต่ ัวละครน่งั ในราชรถ หนมุ านหกั คอชา้ งเอราวณั หนงั คเนจร นางบษุ บามาลีอยใู่ นปราสาท ประสาทโลม ราชรถ
114 115 พระครูพทิ กั ษ์ศิลปาคม สาธติ การฝกึ สอนเยาวชนท่รี กั ในการแสดงหนังใหญ่ พระครพู ทิ ักษศ์ ลิ ปาคม เจ้าอาวาสวดั ขนอน การแสดงหนงั ใหญ่ การอนรุ กั ษ์หนังใหญว่ ัดขนอน กอ่ นการแสดงหนงั ใหญจ่ ะตอ้ งมพี ธิ ไี หวค้ รู วงปพ่ี าทยจ์ ะบรรเลงเพลง พุทธศักราช ๒๕๓๒ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรม- โหมโรงขณะทำ� พธิ เี รยี กวา่ พธิ เี บกิ หนา้ พระ จากนน้ั จะเปน็ การแสดง ชดุ เบกิ โรง ราชกมุ ารี องคอ์ ปุ ถมั ภม์ รดกไทย ทรงเหน็ คณุ คา่ ในการแสดงและศลิ ปะในตวั เพอ่ื เปน็ การเรยี กคนดดู ว้ ยเสยี งปพ่ี าทยท์ เี่ รา้ ใจ เพลงเชดิ ทำ� ใหเ้ กดิ ความคกึ คกั หนงั ใหญ่ ทรงมพี ระราชดำ� รใิ หว้ ดั ขนอนชว่ ยกนั อนรุ กั ษห์ นงั ใหญท่ ง้ั ๓๑๓ ตวั บทเจรจาท่ตี ลก ทำ� ให้เกิดความครกึ ครื้นและแฝงข้อคดิ คตธิ รรม หลังจากจบ และจดั ทำ� หนงั ใหญช่ ดุ ใหมข่ นึ้ แสดงแทน โดยมมี หาวทิ ยาลยั ศลิ ปากรรบั ผดิ ชอบ ชุดเบิกโรงจะเปน็ การแสดงหนังชุดใหญ่ งานชา่ งจดั ทำ� หนงั ใหญท่ ง้ั หมด และไดน้ ำ� หนงั ใหญช่ ดุ ใหมท่ สี่ รา้ งขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ ส�ำหรับวัดขนอน การแสดงหนงั ใหญ่ชุดเบกิ โรงนิยมเล่นตอนจบั ลิง ถวายเมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๘ ณ โรงละครแหง่ ชาติ และพระองค์ หวั คำ�่ มตี วั หนงั ทแี่ สดงคอื ลงิ ขาวและลงิ ดำ� โดยตวั ลงิ ดำ� ชอบกอ่ ความวนุ่ วาย ไดพ้ ระราชทานให้ทางวดั ขนอนนำ� หนงั ใหญ่ชุดใหม่มาใช้ในการแสดง และสรา้ งความเดือดรอ้ นก่อการทะเลาะววิ าท ส่วนลงิ ขาวจะคอยตักเตอื น ปจั จุบันวดั ขนอนมพี ระครูพทิ ักษ์ศิลปาคมเปน็ เจา้ อาวาส ไดร้ ว่ มกับ แตล่ งิ ดำ� ไมค่ อ่ ยรบั ฟงั ลงิ ขาวจงึ จบั ลงิ ดำ� มดั และพาไปเฝา้ พระฤๅษี พระฤๅษจี งึ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากรจดั ตง้ั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแสดงนทิ รรศการหนงั ใหญช่ ดุ เกา่ ตกั เตอื นส่ังสอนให้ลงิ ด�ำปรับปรงุ ตัวเสียใหม่ จากน้ันลงิ ขาวก็แก้มดั ลิงด�ำ ทม่ี อี ายกุ วา่ ๑๐๐ ปี เพอ่ื ประชาชนและผสู้ นใจไดช้ มตวั หนงั ใหญ่ นอกจากนน้ั ท้ังสองจึงเป็นเพอื่ นท่ีดีต่อกัน ทางวัดได้จัดการแสดงหนังใหญ่พร้อมการสาธติ การแสดงหนงั ใหญ่ การเล่น การแสดงหนังใหญ่นั้นนิยมเล่นเรื่องรามเกียรต์ิมาต้ังแต่คร้ังโบราณ ดนตรไี ทยและการแกะสลักหนังใหญ่ เพอ่ื เป็นแหล่งเรยี นรู้ สืบทอด เชน่ เดยี วกับการแสดงโขน ศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าเพื่อสนองโครงการตามพระราชด�ำริในสมเด็จ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สืบไป “ศิลปวัฒนธรรมบง่ บอกความเจริญของชาติ ถ้าเราไม่รกั ษาศิลปวัฒนธรรมไว้ เปรยี บเสมือนคนลืมชาติ” วงปพ่ี าทยบ์ รรเลงเพลง พธิ ีเบิกหน้าพระ พระครพู ิทกั ษศ์ ิลปาคม และบรรเลงเพลงเชิด ลักษณะของลีลาและท่วงทา่ ของการแสดงหนังใหญ่
116 ผ้าจกไท - ยวน ผา้ เปน็ เครือ่ งนุ่งหม่ และเป็นหน่งึ ในปจั จัยส่ี เป็นส่ิงจำ� เป็นต่อชวี ติ ประจ�ำวันของมนุษย์ในการปกปิดและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายตั้งแต่เกิด จนกระทั่งวาระสดุ ทา้ ยของชีวติ ผ้าทอเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยทเ่ี ปน็ ภูมิปญั ญาของบรรพบุรษุ ที่ ถา่ ยทอดออกมาเปน็ ลวดลายและสสี นั บนผนื ผา้ และมกี ารสบื ทอดและพฒั นา ต่อกันมาจนกลายเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะถ่นิ คตคิ วามเชอื่ ในแต่ละทอ้ งถ่ินมคี วามแตกตา่ งกนั ไป จะพบวา่ ในอดีต ผ้าทอของภาคเหนือ ชาวล้านนาจะทอเฉพาะผ้าฝ้าย ชาวอีสานจะทอทั้ง ผา้ ฝา้ ยและผา้ ไหม เพราะชาวอสี านมกี ารปลกู ฝา้ ย ปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหม และ ผา้ ทอท่ีรู้จกั กันท่วั ไปคือ ผ้าไหม นอกจากน้ียังมีกลุ่มชนชาวไทยอีกหลายกลุ่ม ท่ีสืบสานผ้าทอ โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรียังมีชาวไทยยวนท่ียังคงรักษา เอกลกั ษณแ์ ละวิถชี วี ิตของผ้าทอไว้
118 119 ผา้ จกเปน็ ผา้ ทอทมี่ ลี กั ษณะลวดลายคลา้ ยกบั ผา้ ปกั ซงึ่ เกดิ จากการทอผา้ ตระกลู ผา้ จกไท-ยวน และปักผ้าไปพร้อมๆ กัน การทอผา้ จกเป็นผ้าท่เี กดิ จากการน�ำเสน้ ด้ายพุ่ง สอดเรยี งประสานกบั เสน้ ยนื ทย่ี กขน้ึ ดว้ ยการจกสลบั กบั การทอเสน้ พงุ่ เสน้ ตำ่� ตระกลู ผา้ จกไท-ยวนท่ียังคงเหลืออยู่ มีแหลง่ กำ� เนดิ แตกตา่ งไป โดย แบ่งตามลกั ษณะของลายจกได้ ๓ ตระกลู คือ ตระกูลคูบัว ตระกลู ดอนแร่ สอดกบั เสน้ ยนื เปน็ เนอ้ื ผา้ ลายขดั พรอ้ มๆ กนั จนเกดิ เปน็ ลวดลายจากการจก และตระกลู หนองโพ-บางกะโด ผา้ จกตระกลู คูบัว ผา้ จกไท-ยวน เปน็ ผา้ ทส่ี รา้ งสรรคข์ นึ้ พบในหมชู่ า่ งทอผา้ ชาวไทยยวน ผ้าตระกูลคูบวั จะมีลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เชน่ ลาย ดอกเซยี ลายหกั นกคู่ ลายโกง้ เกง้ ลายหนา้ หมอน และลายนกคกู่ นิ นำ้� ฮว่ มเตา้ ในจังหวัดราชบุรีท่ีสืบเช้ือสายจากบรรพบุรุษชาวโยนกเชียงแสนท่ีอพยพมา กล่มุ พัฒนาอาชพี ที่ทอผา้ จก ผา้ จกตระกลู คูบวั จะพบมากในต�ำบลคูบัว ตำ� บลดอนตะโก เพราะเปน็ ชมุ ชน หมู่ท่ี ๔ บ้านใต้ ตำ� บลคูบัว อำ� เภอเมืองราชบรุ ี ที่มีชาวไทยยวนอาศยั อยูเ่ ปน็ จ�ำนวนมาก ต้งั ถิ่นฐานในจังหวดั ราชบุรเี กือบ ๒๐๐ ปมี าแลว้ ในการจกจะใช้เสน้ ด้ายยืนสดี ำ� พุง่ ดำ� พนื้ ผ้าเวน้ พื้นต่ำ� ไวม้ ากตาม แรกเริ่มเดิมทีท่ีชาวไทยยวนได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้�ำแม่กลองฝั่งขวา แบบฉบบั ของลวดลายเพอื่ จกใหเ้ หน็ ลายชดั เจน สว่ นสสี นั ของเส้นใยทใ่ี ชท้ อ จะใชเ้ ส้นใยทมี่ ีสีสนั หลากหลาย เช่น จะใชพ้ ุง่ ต่�ำดำ� จกแดงแซมเหลอื งหรอื ตอ่ มาไดข้ ยายครัวเรือนออกไป เช่น เขยี ว เปน็ ตน้ โดยตีนซนิ่ จะมคี วามกว้างประมาณ ๙ – ๑๑ น้วิ c อ�ำเภอเมือง ทตี่ �ำบลคูบัว ตำ� บลดอนตะโก ต�ำบลอ่างทอง ตำ� บลดอนแร่ ต�ำบลห้วยไผ่ ต�ำบลเจดยี ห์ กั ต�ำบลหินกอง c อ�ำเภอโพธาราม มีชาวไทยยวนทต่ี ำ� บลหนองโพ-บางกะโด นอกจากนี้ได้ขยายครวั เรอื นกระจดั กระจายไปตามอำ� เภออ่นื ๆ เชน่ อำ� เภอบ้านโป่ง อ�ำเภอจอมบึง อ�ำเภอบางแพ อ�ำเภอสวนผึง้ และอ�ำเภอ ผ้าซิน่ ตนี จกทีง่ ดงามของชาวคูบวั ผ้าซนิ่ ตนี จก ตระกลู คบู ัว ปากท่อ การตงั้ ถนิ่ ฐานของชาวไทยยวน ยงั คงรกั ษาวถิ ชี วี ติ ประเพณี วฒั นธรรม ผา้ จกตระกลู ดอนแร่ ผ้าจกตระกูลดอนแร่ มีลายที่เป็นเอกลกั ษณ์ของตัวเองคือ ลายกาบ อย่างเคร่งครัดแต่ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง การด�ำเนินชีวิตได้ ลายกาบดอกแกว้ และลายนกคู่กนิ น�้ำฮว่ มเตา้ พบมากในชมุ ชนไทยยวน ตำ� บลดอนแร่ ตำ� บลห้วยไผ่ ตำ� บลหนองปลาหมอ และต�ำบลรางบัว แปรเปลีย่ นไปตามสภาพสงิ่ แวดลอ้ ม วถิ ีชวี ติ ความเชือ่ และความศรทั ธา ลักษณะของการจกจะมีลวดลายหลากหลายประกอบการจก ลาย จะแนน่ เตม็ ผนื ผา้ มกี ารเวน้ พนื้ ตำ�่ ไวน้ อ้ ย ทำ� ใหล้ ดความเดน่ ชดั ของลายหลกั ลง เรม่ิ หายไปรบั วฒั นธรรมใหมๆ่ เขา้ มาแทนท่ี คงเหลอื เพยี งผเู้ ฒา่ ผแู้ กท่ ยี่ งั คงใช้ โดยมสี ีสนั ของเสน้ ใยสีแดงเปน็ หลกั ไม่นิยมใชเ้ ส้นใยหลากสี ตนี จกจะมคี วาม กวา้ งประมาณ ๑๔ – ๑๕ น้ิว ภาษาพดู สอ่ื สารกนั และกนั ศลิ ปะการทอผา้ จกซง่ึ เปน็ มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรม ผา้ จกตระกลู หนองโพ-บางกะโด ในการแต่งกาย ยังคงเหลอื อยใู่ นบางทอ้ งถน่ิ ทม่ี คี วามเป็นไทยยวน ผ้าจกตระกูลหนองโพ-บางกะโดเป็นผ้าจกทมี่ ีลวดลาย ขนาดและ สสี นั ใกลเ้ คยี งกบั ผา้ จกตระกลู คบู วั แตม่ คี วามแตกตา่ งตรงท่ี ชายตนี ซน่ิ จะเวน้ ผ้าจกตระกลู ดอนแร่ พื้นที่ต�่ำระหว่างลายซะเปาถึงเล็บเหลืองไว้มากกว่าและลักษณะของลายนกคู่ จากศนู ยห์ ตั ถกรรมพื้นบา้ น วดั นาหนอง กนิ ฮว่ มเตา้ จะมหี างทยี่ าวกวา่ ผา้ จกตระกลู คบู วั ผา้ จกตระกลู หนองโพ-บางกะโด เปน็ ผา้ จกทไ่ี ดจ้ ากชมุ ชนไทยยวน ในตำ� บลหนองโพ-บางกะโด อำ� เภอโพธาราม ต�ำบลดอนแร่ อ�ำเภอเมืองราชบรุ ี จงั หวดั ราชบรุ ี ผูเ้ ฒ่าผู้แก่ชาวไทยยวนทีย่ ืนหยัด สืบทอดมรดกทางวฒั นธรรม กิจกรรมนักเรยี นวดั นาหนองกบั การทอผ้าตีนจก ผ้าจก ตระกูลหนองโพ - บางกะโด
120 121 สว่ นประกอบของผ้าจกไท-ยวน แมอ่ ุ๊ยชาวไทยยวน ดอนแร่ นงุ่ ซ่ินตีนจก ผ้าจกไท-ยวนชาวราชบรุ ี มีสว่ นประกอบของผ้า ๓ สว่ นต่อกันเปน็ ลายซะเปา ผืนผา้ แตล่ ะสว่ นจะเรยี กตามลกั ษณะไดด้ งั น้ี คือ หัวซนิ่ ประกอบด้วย แถบผ้า ๒ แถบ เป็นแถบผ้าดา้ ยดิบสขี าวอยู่ ส่วนบนของหัวซน่ิ เย็บตอ่ กบั แถบผ้าสีแดงซึ่งจะนำ� มาเย็บตดิ กับตวั ซน่ิ ส่วนบน ตวั ซน่ิ เปน็ สว่ นประกอบทอี่ ยรู่ ะหวา่ งหวั ซน่ิ กบั ตนี ซน่ิ และมชี อ่ื เรยี ก แตกต่างกันไป เช่น ตระกลู คบู วั จะยกมกุ ใส้แหเสา ตวั ซ่ินใช้ผา้ สองชิ้นเยบ็ ตดิ กนั สองตะเขบ็ ผา้ จกโบราณบางผนื ใชผ้ า้ สามชนิ้ เยบ็ ตดิ กนั เปน็ บว่ งสามตะเขบ็ เอกลักษณข์ องตวั ซิน่ ไท-ยวนจะยอ้ มเป็นสีดำ� หรือ สคี ราม ตนี ซน่ิ เปน็ ส่วนประกอบลา่ งสดุ ของผ้า ตีนซ่นิ ทุกผืนจะตอ้ งมี เลบ็ เหลืองอยู่ส่วนลา่ งสุดของตีนซิ่น ต่อจากเลบ็ เหลอื งข้นึ ไปจะเปน็ ลายมะลิ เล้อื ย และทอพืน้ เวน้ จกไวป้ ระมาณหนง่ึ นิ้วถงึ สองนิ้ว ซ่นิ ตนี จกของไท-ยวน ราชบุรีจะมีเอกลักษณ์เฉพาะโดยจกลายซะเปาเป็นลายประกอบของตีนซ่ิน ทุกผนื ประเภทของผา้ ซ่นิ ซนิ่ ตนี จก ซิ่นตา ซิน่ แล่ ซนิ่ ซิ่ว ผา้ ซน่ิ ของชาวไทยยวนราชบรุ ี การสวมใสจ่ ะขน้ึ อยู่กบั โอกาสและ เล็บเหลือง ลกั ษณะทน่ี �ำไปใช้ ซง่ึ แบง่ ประเภทของผา้ ได้ดงั น้ี ๑. ผา้ ซน่ิ ตีนจก ๒. ซน่ิ ตา ผา้ ซิ่นตนี จกคือซ่ินทม่ี ีตนี เป็นผ้าทอลวดลายด้วยวธิ ีจก คือการ ซิน่ ตาคือซ่นิ ท่ีทอลายงา่ ยๆ ความงดงามของลวดลายจะเปน็ รอง ทอด้วยการล้วงหรือควักเส้นด้ายพิเศษมาผูกมัดขัดกับเส้นอ่ืนเป็นลวดลาย จากผ้าซ่นิ ตนี จก ผา้ ซนิ่ ตามี ๒ ลักษณะ คอื แบบต่างๆ - ซน่ิ ตาพนื้ บา้ น เปน็ การทอแถบสีตา่ งๆ พนั รอบตวั เช่น สดี �ำ ผ้าซ่ินตีนจกท่ีพบในการแต่งกายของสตรีชาวไทยยวนราชบุรี สเี หลอื ง สเี ขยี ว ส่วนตีนซิน่ จะมเี ลบ็ เหลืองและแถบผ้าเป็นสดี �ำ มี ๓ ลักษณะ คอื ซน่ิ ตีนจก ซน่ิ ซิ่ว - ซน่ิ ตาหมู่ จะมคี วามแตกตา่ งจากซนิ่ ตาพน้ื บา้ น ตรงทเ่ี ปน็ สว่ น - ซน่ิ ตนี จก หรอื จกเฉพาะตนี ตวั ซนิ่ เปน็ ผา้ พนื้ สดี ำ� หรอื สคี ราม ซิ่นตา ซน่ิ บางผืนมตี วั ซน่ิ ทอด้วยวธิ ียกมกุ หวั ซ่นิ ใช้แถบผ้าขาวและแถบผา้ แดงเย็บ ตวั ซน่ิ มกี ารจกลายประกอบเปน็ หมๆู่ พนั รอบตวั ซนิ่ และเวน้ ระยะหา่ งเปน็ ชว่ งๆ ตอ่ กันแลว้ จงึ จะเยบ็ ตอ่ กบั ตวั ซ่ิน ลายท่จี กสว่ นมากใชล้ ายหกั ขอเหลียว ลายมะลิเลอ้ื ย ลายดอกจัน ปัจจุบนั ใน - ซน่ิ ตนี จก หรอื จกทงั้ ตวั ตวั ซน่ิ และตนี ซน่ิ ทอดว้ ยวธิ จี ก แตท่ อ การทอลายซิ่นตาหมูจ่ ะมีลายประกอบไมม่ ากและเปน็ ลายทีท่ อไดง้ ่าย เปน็ ผา้ ทีละสว่ น แล้วน�ำมาเย็บต่อเปน็ ผนื เดยี วกัน ตัวซิ่นอาจทอดว้ ยลายกูด ๓. ซนิ่ ซ่วิ ลายนก ลายมะลเิ ลื้อย เปน็ ลายพันรอบตวั ซน่ิ ตีนซิ่นทอลายหลักทัง้ ๙ ลาย ซนิ่ ซวิ่ เปน็ ซนิ่ ทท่ี อสำ� หรบั นงุ่ ทำ� งานอยกู่ บั บา้ น ตนี ซน่ิ เปน็ ผา้ พนื้ หวั ซ่นิ มลี ักษณะเดยี วกนั จงึ นับได้ว่าซ่ินตีนจกประเภทน้เี ปน็ ผลงานทาง สีด�ำ ตัวซิน่ เปน็ พ้ืนสีเขยี ว จะจกลายประกอบระหว่างรอยต่อหวั ซิ่นกับตวั ซน่ิ ศิลปหัตถกรรมชั้นสูงของชาวไทยยวนราชบุรี และตัวซิ่นกับตนี ซน่ิ - ซ่ินตนี จก หรอื ตีนซนิ่ ทอดว้ ยวิธีจกเหมือนตัวซ่ินจก ตวั ซ่นิ ใช้ ๔. ซน่ิ แล่ เส้นใยประเภทไหม ทอด้วยวธิ ยี กมกุ สลับด้วยการทอแบบมดั หมเ่ี ชน่ เดียวกับ ซิ่นแล่เปน็ ซนิ่ ทท่ี อสำ� หรบั นงุ่ ทำ� งานอยกู่ บั บา้ นหรอื ออกนอกบา้ น ของภาคอสี าน ซ่นิ แล่ ของผหู้ ญงิ ไทยยวน
122 123 ลวดลายของ จากการวิเคราะห์และได้จัดหมวดหมู่ลายผ้าจกไท-ยวนราชบุรี ผ้าจกไท-ยวน อาจารยอ์ ดุ ม สมพร ไดแ้ บง่ ลวดลายเปน็ กลมุ่ ลายได้ ๒ ประเภท คอื ลายหลกั และลายประกอบ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๙ นายอดุ ม สมพร อดตี ครรู ะดบั เชย่ี วชาญ วทิ ยาลยั ลายหลัก เทคนคิ ราชบรุ ี ผเู้ ป็นเลือดเนื้อเชอ้ื ไขของชาวไทยยวนราชบรุ ี ผเู้ ห็นคุณค่า ลายหลกั เป็นลายขนาดใหญท่ ่ใี ชจ้ กอยู่ตรงกลางของตีนซน่ิ ลายหลกั ของผา้ จกอันเปน็ มรดกแห่งภูมปิ ัญญาของบรรพบุรษุ ไดส้ ำ� รวจและรวบรวม แตโ่ บราณ ตงั้ แต่อดีตจนถึง พ.ศ. ๒๕๓๗ มีจ�ำนวน ๘ ลาย คือ ลายดอกเซยี ผา้ จกโบราณจากทอ้ งทตี่ า่ งๆ ในจงั หวดั ราชบรุ ี และศกึ ษาวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตา่ งๆ ลายกาบ ลายหนา้ หมอน ลายโกง้ เกง้ ลายกาบดอกแกว้ ลายโกง้ เกง้ ซอ้ นเซยี ทเี่ กีย่ วกับลายผ้าจกจากชา่ งฝีมือทอผา้ ผู้เฒ่าในแตล่ ะทอ้ งท่ี ลายกาบช้อนหัก และลายหกั นกคู่ ตอ่ มาอาจารยอ์ ดุ ม สมพร ไดส้ รา้ งแบบลายผา้ จกขน้ึ ชอื่ ลายแคทราย สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทม่ี าของลายแคทรายเกิดจากเมอ่ื ครัง้ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยาม- ทรงปลูกตน้ แคทราย บรมราชกุมารี ทรงปลูกต้นแคทราย ณ ศูนยส์ ืบทอดศิลปะผา้ จกราชบรุ ี ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ และใน พ.ศ. ๒๕๓๘ ต้นแคทรายได้ ลายหน้าหมอน ออกดอก อาจารยอ์ ดุ ม สมพร ไดน้ �ำรูปทรงของดอกแคทรายมาสร้างเปน็ ลาย ผ้าจก นับเป็นลายที่ ๙ ของผา้ จกไท-ยวนราชบรุ ี ลายหลกั ทั้ง ๙ ลาย แบง่ เปน็ ๒ กล่มุ คือ ลายเด่ยี วและลายผสม ✦ ลายเดี่ยว คอื ลายหลักท่มี ีเอกลักษณ์เฉพาะ มี ๕ ลาย คือ ลายดอกเซยี ลายหน้าหมอน ลายกาบ ลายโก้งเก้ง ลายกาบดอกแก้ว ต้นแคทราย ดอกแคทราย ลายดอกเซีย ลายกาบ ศูนย์สบื ทอดศลิ ปผา้ จกราชบรุ ี อาจารยอ์ ดุ ม สมพร ลายโก้งเกง้ ลายกาบดอกแกว้ บคุ คลสำ� คญั ด้านวัฒนธรรม รางวลั เกียรตยิ ศบคุ คล ดีเด่นของชาติ สาขาเผยแพร่เกียรติภูมิคนไทยด้าน อนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ จากคณะกรรมการเอกลักษณข์ องชาติ ส�ำนกั นายก รัฐมนตรี
124 125 ✦ ลายผสม เกดิ จากการน�ำบางสว่ นของลายเดยี่ วผสมกนั เพ่อื ให้ เกดิ เปน็ ลายใหม่ นบั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของชา่ งฝมี อื ไทยยวนแตโ่ บราณทผี่ สมผสาน ชอื่ ลาย : ลายขอประแจ ประเภท : ลายประกอบ และออกแบบลายสำ� หรบั จกและเกดิ ความหลากหลายของลวดลายเปน็ ตน้ แบบ ไดแ้ ก่ ลายโก้งเก้งซอ้ นเซีย ลายกาบซอ้ นหกั ลายหัวนกคู่ และลายแคทราย ช่อื ลาย : ลายซะเปา ประเภท : ลายประกอบ ผา้ ทอไทยทรงด�ำ บ้านหวั เขาจีน ลายโก้งเก้งซ้อนเซยี ลายกาบซ้อนหัก ลายหักนกคู่ ชอื่ ลาย : ลายนกคกู่ นิ นำ้� ฮว่ มเตา้ ประเภท : ลายประกอบ ผ้าจกไทยยวน คอื มรดกทางศลิ ปหตั ถกรรม เป็นภมู ปิ ญั ญาของ กลมุ่ สง่ เสรมิ อาชพี ผา้ ทอมือบ้านไร่ ครอบครัวและลกู หลานไทยยวนมาตง้ั แตโ่ บราณ เมอ่ื ยามวา่ งจากการทำ� นา ชื่อลาย : แคทราย ประเภท : ลายหลัก ผา้ ทอมอื บา้ นไร่ กจ็ ะชวนกันลงหกู ทอผ้า ตามค่านยิ มของไทยยวน ทุกตารางนวิ้ บนผืนผ้า กลุ่ม : ลายผสม เกิดจากความตง้ั ใจสอดใสอ่ ารมณท์ ่ลี ะเอยี ดอ่อนและประณตี เป็นจติ รกรรม ทมี่ าของชอื่ : ดอกแคทราย เปน็ ลายผา้ จกทต่ี งั้ ขน้ึ ใหม่ บนผนื ผ้า เป็นสุนทรียศลิ ป์ เพื่อมอบให้กบั คนทต่ี นรกั และนบั ถือ แนวทางสนั นษิ ฐาน : ผวู้ จิ ยั เปน็ ผสู้ รา้ งแบบและตงั้ ชอื่ ปัจจุบันลูกหลานของชาวไทยยวนเร่ิมที่จะห่างจากผ้าซ่ินตีนจก ลายจากรปู ทรงของดอกแคทราย เมอื่ พทุ ธศกั ราช รับวัฒนธรรมผ้าทผี่ ลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมทมี่ ีรปู แบบสมยั นยิ ม การ ถ่ายทอดศิลปะการทอผา้ ทเ่ี คยสงั่ สอนและฝกึ ฝนการทอในครัวเรือน เรมิ่ ๒๕๓๘ จางหายไปเพราะสภาพทางดา้ นเศรษฐกจิ ทต่ี อ้ งดำ� รงชวี ติ ใหอ้ ยกู่ บั สงั คมเมอื งได้ แหลง่ ทีน่ ิยมทอ : ศนู ย์สืบทอดศิลปผา้ จก ราชบรุ ี อยา่ งไรกต็ ามเลอื ดเนอ้ื เชอ้ื ไขของชาวไทยยวนทรี่ กั และหวงแหนศลิ ปะ ศูนยห์ ตั ถกรรมพน้ื บ้านวดั รางบัว การทอผ้าจกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของชาวไทยยวนมาแต่ ประโยชน์ : ใช้ทอจกเป็นตนี ผา้ ซนิ่ ตนี จก ด้ังเดมิ ไดร้ วมตวั กอ่ ต้ังศูนยส์ บื ทอดศลิ ปผ้าจกราชบุรีข้ึน เป็นแหล่งศนู ยก์ ลาง การเรียนรู้ใหก้ ับลกู หลานไทยยวนและเยาวชนท่วั ไป ตลอดจนผสู้ นใจเพื่อ ลายประกอบ เปน็ แนวทางใหอ้ ยู่คู่กบั ชาวไทยยวน จงั หวดั ราชบรุ ตี อ่ ไป นอกจากนย้ี งั มกี ลมุ่ สง่ เสรมิ อาชพี ผา้ ทอมอื บา้ นไร่ อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี เป็นลายที่มีขนาดเล็กกว่าลายหลักใช้ส�ำหรับจกประกอบลายหลัก ช่ือลาย : ดอกข้าวตอก ประเภท : ลายประกอบ จังหวัดราชบุรี และกลุ่มทอผ้าชาวไทยทรงด�ำทรี่ วมกลมุ่ กนั สืบสานภมู ปิ ัญญา ลายประกอบจะอยใู่ นตำ� แหนง่ ทงั้ สองขา้ งเทา่ ๆ กนั ของลายหลกั ลายประกอบ ดา้ นการทอผ้า คอื กลมุ่ สตรที อผ้าไทยทรงด�ำบา้ นหัวเขาจนี หมู่ ๑ ตำ� บล ในแตล่ ะลายของทอ้ งถนิ่ จะเรยี กชอื่ ลายไมต่ รงกนั แตส่ ามารถสงั เกตไดจ้ ากลาย ห้วยยางโทน อำ� เภอปากทอ่ จงั หวัดราชบุรี ทีย่ งั รกั ษาประเพณีวัฒนธรรม ซ่งึ ช่างฝมี ือทอจะออกแบบลายจากธรรมชาตใิ กล้ตวั สร้างเปน็ ลายประกอบ ของชาวไทยทรงด�ำ โดยตั้งเป็นศูนย์การเรยี นรวู้ ิถีชวี ิตของชาวไทยทรงด�ำ เช่น ลายขอประแจ ลายขอ ลายดอกขา้ วตอก ลายมะลเิ ลือ้ ย ลายกดู ลาย โดยมคี �ำขวญั ว่า ๕ ไห ไทยทรงดำ� เลศิ ล�ำ้ ผา้ ทอ โอ้ละหนอร�ำแคน ดนิ แดน ขอเหลยี ว ลายฟันปลาเคา้ ลายนกเข้าโฮง ลายนกคกู่ นิ นำ้� ฮว่ มเตา้ ลายนาค ความพอเพยี ง ลายมา้ ลายตน้ ไม้ ลายคน ลายนก ลายซะเปา ลายกาบในขอ เปน็ ตน้
126 127 โอง่ ราชบรุ ี ในยุคปัจจุบนั นจ้ี ะทราบกนั ดวี ่า หากนกึ ถึงผา้ ไหมเน้อื ดกี ต็ ้องยกให้ ป้ันลายพระถังซัมจง๋ั ป้ันลายมงั กรมีส่เี ล็บ ผ้าไหมชนบท แหง่ เมอื งขอนแก่น นึกถงึ ครกหนิ กต็ อ้ งยกให้ ครกอ่างศลิ า อญั เชิญพระไตรปฎิ กจากชมภูทวปี แหง่ เมอื งชลบรุ ี เช่นเดยี วกนั หากเป็นโอ่งก็ไมม่ ีทไ่ี หนจะดังและดไี ปกว่า โอง่ มังกรทอ่ี นรุ กั ษไ์ ว้ให้ประชาชนไดเ้ ขา้ มาศึกษาตามแหลง่ เรียนรู้ตา่ งๆ โอ่งมังกร ของคนราชบรุ ี ทข่ี ึ้นชื่อจนกลายเปน็ สัญลกั ษณข์ องจงั หวัด และ ลวดลายทปี่ ระยกุ ตใ์ นปัจจุบัน มีคนเรียกจงั หวดั ราชบรุ กี ันท่วั ไปว่า เมอื งโอง่ มงั กร ต๊กุ ตาตกแต่งสวน ซงึ่ มรี ปู ร่างหนา้ ตาคล้ายกับมงั กร และมหี นังสอื ตำ� ราพิชัยสงครามกล่าวถงึ จากค�ำบอกเล่าของคนเฒา่ คนแกใ่ นเมืองราชบรุ เี ล่าว่า สมัยก่อนนน้ั งานโอง่ ทพี่ ฒั นารปู แบบเปน็ ของตกแตง่ มังกรในการจัดขบวนทพั ทางน�ำ้ ด้วย เรยี กว่า มังกรพยหุ ะ จึงมีการเขยี นรปู โอง่ ทใ่ี ชก้ ักเกบ็ น้ำ� ชนั้ ดีในอดีตน�ำเขา้ มาจากประเทศจนี ซง่ึ เปน็ แหล่งทำ� โอ่งทปี่ ั้นสำ� เร็จสมบูรณแ์ ลว้ มงั กรคลา้ ยพญานาคบนตวั โอง่ ออกจำ� หนา่ ย และไดร้ บั ความนยิ มจนกลายเปน็ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา จดุ เรม่ิ ตน้ ของการทำ� โอง่ ขายในจงั หวดั ราชบรุ ี จงึ เรมิ่ ขน้ึ จาก สัญลกั ษณ์โอง่ มงั กร ท้ังน้ี ลวดลายของโอ่งมงั กร มหี ลายแบบ โดยทั่วไปมงั กร ภูมปิ ัญญาชาวจีน ๒ คนที่อพยพมาตงั้ ถ่นิ ฐานในประเทศไทย และมาพบว่า จะมีเพียง ๓ เลบ็ หรอื ๔ เล็บ แต่ถา้ เปน็ มังกรสญั ลกั ษณช์ ้ันสงู ของกษตั รยิ ์ แหลง่ ดินที่ราชบรุ ี เป็นดนิ ดีสแี ดงสามารถใช้ป้นั โอง่ ได้ หรอื ฮอ่ งเตจ้ ะมี ๕ เลบ็ ซง่ึ ตามความเชอื่ ของจนี นนั้ แบง่ มงั กรออกเปน็ ๓ ชนดิ คือ ๑. หลง เป็นพวกทมี่ ีอำ� นาจมากท่สี ุด อยู่บนฟ้า ๒. หลี เปน็ พวกไมม่ เี ขา ต้นก�ำเนิดลวดลาย โอ่งมงั กร มาจากความเชื่อ ความเปน็ มงคล ชอบอยใู่ นมหาสมทุ ร ๓. เจียว เปน็ พวกมเี กลด็ อยู่ตามแม่น้�ำ คลอง หรอื ถ้�ำ นอกจากน้ี จนี ยงั จดั ใหม้ งั กรมรี ะดบั และหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป คอื ๑. มงั กรฟา้ การท�ำโอ่งในยุคแรกๆ จะเป็นโอ่งไม่มีลวดลาย เรียกว่า โอง่ เล่ยี น ป้ันเป็นรูปต๊กุ ตาต่างๆ หรอื มงั กรสวรรค์ (เทยี นหลง) เปน็ มงั กรชั้นสูง มีหน้าที่คุ้มครองดแู ลสวรรค์ แต่ต่อมามีการวาดลวดลายโดยใชด้ นิ ขาวจากเมืองจนี และภายหลังสามารถ ๒. มงั กรเทพเจา้ หรอื มังกรจติ วิญญาณ (เซนิ หลง) มหี น้าทีท่ ำ� ให้เกดิ ลม ฝน หาดนิ ขาวทดแทนได้ท่จี ังหวดั จันทบุรี และสรุ าษฎร์ธานี สำ� หรับลวดลาย แก่มวลมนุษย์ ๓. มังกรพภิ พ (ต้หี ลง) มหี นา้ ทก่ี �ำหนดเส้นทาง ดแู ลแมน่ �้ำ ทปี่ นั้ บนตวั โอง่ มกั จะเป็นลายมงั กร เน่ืองจากตามความเชอ่ื ของคนจีน มงั กร ล�ำธาร ห้วย หนอง คลองบงึ ๔. มงั กรเฝ้าทรัพย์ (ฝู ซาง หลง) มีหนา้ ทเี่ ฝา้ ถือเป็นสัตวช์ ้ันสงู และเป็นมงคล อกี ทั้งคนไทยกม็ ีความเช่ือเรอื่ งพญานาค ขุมทรัพยข์ องแผน่ ดนิ ด้วยยคุ สมยั ท่ีเปล่ียนแปลงไป ความเจริญของวตั ถนุ ยิ มที่แทรกซมึ การเตรียมดิน ➪ ลงมือป้นั ➪ ตกแต่งลวดลาย ➪ เกอื บทกุ หยอ่ มหญา้ การใชโ้ อง่ ดนิ แบบเดมิ ๆ อาจไมส่ อดคลอ้ งกบั ความสะดวก ของคนยคุ ใหม่ เพราะระบบประปาเขา้ มามบี ทบาทในชวี ติ ประจำ� วนั โรงงาน ปั้นโอ่งจึงต้องปรับเปล่ียนรูปแแบบไปตามสภาพความต้องการในยุคปัจจุบัน ภาพโอง่ ใสน่ ำ้� จงึ คอ่ ยๆ หายไปจากบ้านพักอาศยั ของคนไทยยุคใหม่และมกี าร พฒั นารูปแบบให้ตรงกบั ความต้องการในการใช้งาน เช่น ส่ิงของตกแตง่ บา้ น และสวน หรือเครอื่ งใชต้ ่างๆ เชน่ แจกัน เก้าอ้ี ตกุ๊ ตาต่างๆ เปน็ ตน้ แมว้ ่า ในอนาคตโอ่งใสน่ �้ำราชบรุ ี อาจมอี ยู่แคใ่ นตำ� นาน แต่เช่อื ว่าภมู ิปญั ญาน้กี ็จะ ยงั คงอยคู่ เู่ มอื งราชบุรีต่อไป
136 137 ไหวพ้ ระ เกา้ วัด วดั นอกจากจะเป็นศาสนสถานท่เี ปน็ ที่พงึ่ พงิ ทางจิตใจ เป็นทีป่ ระกอบพธิ กี รรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี ของพุทธศาสนิกชนแล้ว ยังเปน็ แหลง่ ศลิ ปกรรมอนั งดงามที่เกิดจากศรัทธาของผคู้ นมาแตโ่ บราณ วดั ในราชบรุ ยี งั มคี ุณคา่ ทางประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดีทส่ี ะทอ้ นความเป็นมาของชาติไทย เพราะราชบุรเี ป็น จงั หวดั เกา่ แกท่ มี่ คี วามเปน็ มายอ้ นหลงั ไดถ้ งึ ยคุ ทวารวดี (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒) เชอ่ื มตอ่ ถงึ ยคุ ทว่ี ฒั นธรรมเขมรแผข่ ยาย เขา้ สดู่ นิ แดนไทย (ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘) จนถงึ สมยั สโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และรตั นโกสนิ ทร์ ราชบรุ เี ปน็ เสน้ ทางการคา้ ทเี่ ชอื่ มตอ่ ระหวา่ งอาณาจกั รไทยกบั รฐั ตา่ งๆ ทางตะวนั ตก เปน็ แหลง่ ตง้ั ถนิ่ ฐานของกลมุ่ คนหลากหลายชาตพิ นั ธ์ุ ความสำ� คญั ของจงั หวดั ราชบรุ ดี งั กลา่ วนไี้ ดป้ รากฏรอ่ งรอยและหลอมรวมเปน็ ศลิ ปกรรมทโี่ ดดเดน่ ในพทุ ธสถานและพทุ ธวตั ถจุ ำ� นวนมาก เชน่ พระปรางคว์ ัดมหาธาตทุ ม่ี รี อ่ งรอยสถาปตั ยกรรมหลายยคุ สมยั ศิลปะตะวันตกในพระอุโบสถวดั ศรสี รุ ยิ วงศาราม เจดยี ์มอญที่วัดคงคารามเปน็ ตน้ ดงั นั้นการมาเยยี่ มชมวัดในจังหวดั ราชบรุ ี จงึ ไดท้ งั้ ความรใู้ นดา้ นตา่ งๆ และความสงบสขุ ทางใจอย่างแทจ้ รงิ
138 139 วดั มหาธาตุวรวิหาร โบราณวัตถใุ นวดั มหาธาตวุ รวหิ าร วดั มหาธาตุวรวิหารเป็นพระอารามหลวงชน้ั ตรี ชนดิ วรวิหาร ต�ำบล หนา้ เมอื ง อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี ตงั้ อยทู่ างทศิ เหนอื ของจงั หวดั ราชบรุ บี นฝง่ั ขวา ดา้ นทิศตะวนั ตกของลำ� นำ้� แมก่ ลอง อาณาเขตของวัดห่างจากแม่น้ำ� ประมาณ ๒๐๐ เมตร มเี นือ้ ท่ี ๕๗ ไร่ ๕๙ วา ทีธ่ รณีสงฆ์ ๕๑ ไร่ ๘ วา วดั มหาธาตวุ รวหิ าร เปน็ พทุ ธศาสนสถานประจำ� เมอื งราชบรุ ี สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขนึ้ ตง้ั แตแ่ รกเรมิ่ สรา้ งเมอื งราชบรุ ี ในสมยั ทวารวดี ประชาชนสว่ นมาก นยิ มเรยี กวา่ วดั หนา้ พระธาตุ ปรากฏชอื่ ในหนงั สอื สมดุ ราชบรุ ี และหนงั สอื จงั หวดั ของนายตรี อมาตยกลุ วา่ วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ โดยถอื พระศรมี หาธาตุ (เจดีย์ทรงปรางค์ ศิลปะอยุธยาตอนตน้ ) เป็นสญั ลกั ษณ์ ภายในวัดมหาธาตมุ ี โบราณสถานและโบราณวัตถุอันมีคุณค่าควรแก่การศึกษาจ�ำนวนมาก เช่น พระปรางค์ประธาน ก�ำแพงแก้วที่ก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบองค์พระปรางค์ ทง้ั สดี่ ้าน เหนอื กำ� แพงมใี บเสมาทำ� ดว้ ยหนิ ทรายสชี มพู จ�ำหลักพระพทุ ธรูป ประทับน่ังปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ราวบันไดรูปครุฑยุคนาค พระอุโบสถ พระมณฑป พระเจดีย์ ระฆังหิน เปน็ ตน้
140 141 วงั โบราณในสมัยรชั กาลท่ี ๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) โปรดเกล้าฯ ใหผ้ าตกิ รรมที่ธรณสี งฆ์ โดยยา้ ยวดั ท่ตี ง้ั อยูบ่ นเขาสัตตนารถไป พระปรางคว์ ดั มหาธาตุ สรา้ งใหม่ในบรเิ วณรมิ ฝงั่ ล�ำน้�ำแม่กลอง แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งพระราชวัง ขน้ึ บนยอดเขาสตั ตนารถ ภายหลงั พระราชวงั แหง่ นไี้ ดท้ รดุ โทรมลงมาก และได้ โดยเฉพาะพระปรางคป์ ระธาน สนั นษิ ฐานวา่ แรกสรา้ งขนึ้ ในสมยั ทวารวดี ด้านหนา้ พระที่นั่ง ถกู ทง้ิ รา้ งมานาน ตอ่ มามพี ระภกิ ษไุ ดธ้ ดุ งคม์ าใชเ้ ปน็ สถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมพรอ้ ม ตอ่ มาในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ จงึ ไดม้ กี ารดดั แปลงเปน็ พระปรางคต์ ามวฒั นธรรม บูรณปฏิสงั ขรณข์ ้ึนใหม่ใหเ้ ปน็ วดั นามวา่ วัดเขาวังราชบุรี เขมร ในสมยั อยธุ ยาตอนต้น จงึ ไดก้ อ่ สร้างพระปรางค์แบบอยุธยาขนึ้ ซ้อนทับ พระอโุ บสถวัดเขาวัง ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๗) ได้ พร้อมสร้างพระปรางค์บริวารเพมิ่ ขน้ึ อีก ๓ องคบ์ นฐานเดยี วกัน และตกแตง่ โปรดเกล้าฯ อุทิศพระราชวังน้ีให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ซ่ึงทางวัดและผู้ศรัทธาได้ ลวดลายปูนปั้นบนองค์พระปรางค์อย่างงดงาม ผนังภายในองค์พระปรางค์ สรา้ งพระอโุ บสถขน้ึ โดยได้รบั พระราชทานวสิ ุงคามสีมา เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๓ ทุกด้านมีภาพจติ รกรรมเปน็ รปู อดีตพระพทุ ธเจ้า วดั เขาวังราชบุรจี งึ เปน็ พทุ ธสถานทีม่ คี วามงดงามเพราะเคยเปน็ ทต่ี ัง้ สว่ นพระมณฑป ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตสงั ฆาวาสของวดั ภายในประดษิ ฐาน พระราชวงั มากอ่ น ซง่ึ หากเราไดแ้ วะไปสกั การะแลว้ ยงั จะไดช้ มสงิ่ กอ่ สรา้ งเมอื่ รอยพระพุทธบาทท�ำด้วยหนิ ทรายสแี ดง ฝาผนังดา้ นในมีภาพกจิ กรรมเร่อื ง ครง้ั ทเี่ ปน็ พระราชวงั ทย่ี งั คงหลงเหลอื อยู่ ไดแ้ ก่ กระโจมทหารรกั ษาการณเ์ ปน็ พทุ ธประวตั ติ อนเสดจ็ โปรดพทุ ธมารดาบนดาวดงึ ส์ และตอนผจญกองทพั พญามาร อาคารทกี่ อ่ อฐิ ถอื ปนู รปู หกเหลย่ี ม หลงั คามงุ กระเบอื้ ง ดา้ นขา้ งของกระโจมเปน็ สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขนึ้ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ชอ่ งรปู อารค์ โคง้ ประดบั หวั เสาแบบกรกี ศลิ ปะตะวนั ตก เชน่ เดยี วกบั โรงทหาร เนอ่ื งจากวดั มหาธาตุเป็นวดั เก่าแกแ่ ละมคี วามส�ำคัญ จงึ ควรได้เขา้ ไป มหาดเล็ก และทิมต�ำรวจ (ที่พักส�ำหรับต�ำรวจ) เป็นอาคารยาวก่ออิฐถือปูน สกั การะและกราบไหวพ้ ระธรรมปญั ญาภรณ์ เจา้ อาวาสวดั มหาธาตวุ รวหิ าร ซง่ึ และตึกท้องพระโรงซ่ึงเป็นอาคารรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้าเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ คณะจงั หวดั ราชบรุ ใี นปจั จบุ นั ดา้ นขา้ งมชี อ่ งอารค์ โคง้ ประดับหัวเสาแบบกรีกโดยรอบ วดั เขาวงั ราชบรุ ี เปน็ พระอารามหลวงชนั้ ตรชี นดิ สามญั ตงั้ อยทู่ ี่ ๓๓๘ วดั เขาวงั ราชบรุ ี ถนนศรสี รุ ยิ วงศ์ ตำ� บลหนา้ เมอื ง อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี มเี นอ้ื ทป่ี ระมาณ ๕๘ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา วดั เขาวงั ราชบุรีตง้ั อยู่บนเขาวัง ทางทิศตะวันตกของตวั เมืองราชบรุ ี ดา้ นในพระท่ีน่งั ประมาณ ๓ กโิ ลเมตร เขาวงั เปน็ ภเู ขาลกู ยอ่ มๆ เดมิ ชอ่ื เขาสตั ตนารถ เพราะ เปน็ ทอ่ี ยูอ่ าศัยของสัตวป์ ่าหลายชนิด
142 143 วดั ศรีสรุ ยิ วงศารามวรวิหาร ประติมากรรมทงี่ ดงามในวัดนี้ คอื พระพุทธไสยาสนอ์ งค์ใหญ่ ปูนปัน้ รปู ตราสุริยะรองรับด้วยรปู ช้างสามเศียร วดั ศรีสรุ ยิ วงศาราม หรอื ที่ชาวบ้านเรยี ก วดั ศรสี ุริยวงศ์ เปน็ พระอุโบสถวัดศรสี รุ ิยวงศารามวรวิหาร พระอารามหลวงชนั้ ตรี ชนิดวรวิหาร สงั กัดคณะสงฆ์ธรรมยตุ ตั้งอยทู่ ่ี ๓๖๕ พระปรางคว์ ัดอรญั ญกิ าวาส ตำ� บลหนา้ เมือง อำ� เภอเมอื งราชบุรี มีเนื้อทป่ี ระมาณ ๖ ไร่เศษ วดั นสี้ รา้ งขน้ึ บนทด่ี นิ และดว้ ยทนุ ทรพั ยส์ ว่ นตวั ของสมเดจ็ เจา้ พระยา วดั อรัญญกิ าวาส บรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแผน่ ดนิ ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลท่ี ๕) เพือ่ เป็นวัดประจ�ำตระกลู บนุ นาค วัดอรญั ญิกาวาส เป็นอกี วัดหนึ่งทีค่ วรได้ไปกราบไหว้บชู า เพราะ เมื่อสร้างแล้วเสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๔๒๑ ไดถ้ วายเป็นพระอารามหลวงพรอ้ มกบั เป็นพุทธศาสนสถานเกา่ แก่ ตง้ั อยู่ทตี่ ำ� บลเจดยี ์หกั อ�ำเภอเมืองราชบรุ ี ซงึ่ ของพระราชทานนามวัดและวิสุงคามสมี า สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขนึ้ ในสมยั อยธุ ยา ภายในวดั อรญั ญกิ าวาสมเี จดยี ท์ รงระฆงั กลม พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว พระราชทานนามวัดว่า จ�ำนวน ๒ องค์ ตง้ั อยทู่ างดา้ นหนา้ ของวดั แตล่ ะองค์ประกอบด้วยฐาน “วัดพระศรสี รุ ิยวงศาราม” และพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหเ้ ปน็ ที่ องคร์ ะฆงั บลั ลงั กแ์ บบเจดยี ใ์ นศลิ ปะลงั กาทน่ี ยิ มสรา้ งในสมยั สโุ ขทยั และอยธุ ยา วิสุงคามสีมา เมือ่ พ.ศ. ๒๔๒๒ แลว้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระครู ตอนตน้ ปรางคป์ ระธานและปรางคบ์ รวิ ารทลี่ ้อมรอบทงั้ ส่ดี า้ นตกแตง่ ลวดลาย อุดมบณั ฑติ (อ่อน) จากวัดพชิ ยั ญาติการามเปน็ เจ้าอาวาสรปู แรก ปูนป้ันประณีตสวยงาม องค์พระปรางค์ทง้ั หมดล้อมรอบด้วยระเบียงคด วดั ศรสี รุ ยิ วงศารามเปน็ วดั ทไี่ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ วดั ทมี่ สี ถาปตั ยกรรม มีพระพุทธรูปหินทรายสีแดงศิลปะอยุธยาประดิษฐานอยู่โดยรอบ ดเี ดน่ เปน็ เอกลกั ษณอ์ ันทรงคณุ ค่า โดยเฉพาะพระอโุ บสถเป็นแบบทรงไทย ประยกุ ตศ์ ลิ ปะตะวนั ตกแบบกอธคิ ตามความนยิ มของสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหา ศรสี รุ ยิ วงศ์ หลงั คาเปน็ เครอ่ื งไมม้ งุ กระเบอื้ ง ตรงหนา้ บนั มปี นู ปน้ั รปู ตราสรุ ยิ ะ รองรบั ดว้ ยรปู ช้างสามเศียร และขนาบขา้ งด้วยฉตั รเจด็ ช้นั หลงั คาปีกนกทั้ง สองขา้ งรองรบั ดว้ ยเสากลมแบบคอรนิ เชยี น ผนงั ดา้ นนอกทำ� เปน็ ลายปนู สเี ทา ใหเ้ หมอื นหินออ่ น ผนังด้านในใตข้ อบหนา้ ตา่ งประดับกระเบือ้ งลายครามรอบ ส่วนกฏุ ิพระสงฆเ์ ปน็ ตกึ แบบฝร่ังกอ่ อิฐถือปูน สูง ๒ ชัน้ พระเจดยี ต์ ้ังอยูห่ ลงั พระอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงกลมระฆังคว่�ำฐานเจดีย์เป็นรูปแปดเหล่ียมก่อโค้ง ในระหว่างเหลี่ยมเป็นรูปคร่ึงวงกลม หรืออาร์คโค้งงดงามตามแบบศิลปะ ตะวันตก ซุ้มประตวู ดั เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบเดยี วกับพระอโุ บสถ วดั ศรสี รุ ยิ วงศารามจงึ เปน็ วดั ทมี่ ลี กั ษณะผสมผสาน สถาปตั ยกรรมไทย กบั ตะวนั ตกทง่ี ดงามนา่ ไปเยยี่ มชมและสกั การะโบราณวตั ถุ เชน่ พระประธาน ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทรป์ างมารวชิ ยั ในพระอโุ บสถ พระบรมฉายาลกั ษณพ์ ระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปเหมือนสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี สรุ ยิ วงศ์ เปน็ ต้น เจดยี ์โบราณในวดั อรญั ญิกาวาส เจดียท์ รงกลมระฆงั คว�ำ่
144 145 พระพุทธรูปปางไสยยาสน์ในพระวิหาร พระประธานวดั สตั ตนารถปริวัตร พระอุโบสถภายในวิหารคดวัดขนอน วดั ขนอน เจดีย์ทรงกลมระฆังคว่ำ� พระพุทธรูปปางสมาธใิ นวหิ าร วดั ขนอนตงั้ อยทู่ ต่ี ำ� บลสรอ้ ยฟา้ รมิ แมน่ ำ�้ แมก่ ลอง อยหู่ า่ งจากตวั อำ� เภอ พพิ ิธภัณฑ์หนงั ใหญ่วัดขนอน โพธาราม ประมาณ ๑๐ กโิ ลเมตร สนั นษิ ฐานวา่ บรเิ วณทต่ี ้งั วดั นา่ จะเป็นทตี่ ัง้ วัดสตั ตนารถปริวัตร ของด่านขนอนริมแม่น�้ำ เพื่อเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางจากเรือสินค้าที่ล่อง ข้นึ มาคา้ ขายยงั เมอื งราชบรุ แี ละกาญจนบุรีในสมัยโบราณ วดั สตั ตนารถปริวตั ร เป็นพระอารามหลวงชน้ั โท ชนิดวรวหิ ารธรรม หลวงพอ่ โตศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ วัดขนอนเปน็ อกี วดั หน่ึงท่เี ราควรไปสักการะและเย่ยี มชม เนอื่ งจาก ยุตกิ นิกาย สรา้ งขน้ึ ในสมยั ของเจ้าพระยาราชบุรี (กลนิ่ วงศาโรจน)์ ในชว่ ง บรรยากาศภายในวัด เปน็ วดั ทมี่ คี วามงดงามทางพทุ ธศลิ ป์ และเปน็ แหลง่ อนรุ กั ษท์ างวฒั นธรรมไทย รชั สมัยของรชั กาลท่ี ๓ - ๔ แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ ตัง้ อยู่เชงิ เขาสัตตนารถ พืน้ ทีบ่ ริเวณภายในวัดแบ่งเป็น ๓ ส่วนได้แก่ ด้านทศิ ตะวันออก เดมิ ชื่อว่า วัดเขาสตั ตนารถ คร้นั ถึงรชั สมยั ของพระบาท สว่ นแรก เป็นที่ตั้งของพระอโุ บสถ สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระราชประสงคใ์ หไ้ ถถ่ อนทวี่ ดั เนอื่ งจาก สว่ นทส่ี อง คอื สว่ นโรงแสดงหนงั ใหญ่ เปน็ อาคารชนั้ เดยี วหลงั คาสงู จะมีการสร้างพระราชวังขนึ้ บนเขาแห่งนี้ จงึ ทรงมอบให้สมเดจ็ เจา้ พระยา เปดิ โลง่ จัดเก้าอีไ้ วร้ องรบั ผู้ท่ีสนใจเขา้ มาชมการแสดงหนังใหญ่ โดยนกั เรยี น บรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ ทำ� ผาติกรรมใหพ้ น้ จากทีธ่ รณีสงฆ์ แล้วดำ� เนนิ การสรา้ ง จากโรงเรียนวัดขนอน วดั ขน้ึ ณ ทแี่ หง่ ใหม่ ในชว่ งปี ๒๕๔๔ ณ พน้ื ทขี่ องวดั โพธงิ์ าม หรอื วดั กลางบา้ น สว่ นทสี่ าม พพิ ธิ ภณั ฑห์ นงั ใหญว่ ดั ขนอน เปน็ อาคารทรงไทยหลงั ใหญ่ ซง่ึ เปน็ วัดร้าง ไม่มพี ระสงฆจ์ ำ� พรรษาอยู่ และมีความทรดุ โทรมมาก ตั้งอยู่ ยกพนื้ สงู ภายในเปน็ ทจ่ี ดั แสดงตวั หนงั ใหญท่ อี่ นรุ กั ษไ์ วต้ ง้ั แตส่ มยั รชั กาลที่ ๕ รมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ แมก่ ลอง ครนั้ สมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรสี ุรยิ วงศ์ ได้สรา้ งวดั มที งั้ หมด ๓๑๓ ตวั ภายในพพิ ธิ ภณั ฑย์ งั จดั แสดงเครอ่ื งมอื และอปุ กรณโ์ บราณ เสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ได้ขนานนามวา่ “วดั สัตตนารถปรวิ ัตร” แปลวา่ วดั ท่ี ที่ใช้ในการแกะสลักตัวหนงั และมีของทรี่ ะลึกไวจ้ ำ� หน่าย เปลยี่ นไป หรอื ย้ายมาจากเขาสัตตนารถ ภายในระเบียงวดั มอี งคพ์ ระทเี่ รยี งรายอยใู่ นพระระเบียงคด ส่วน พระอโุ บสถ หลวงป่กู ล่อม (จันทโชโต) ไดบ้ รู ณปฏิสังขรณ์เมอื่ พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยมชี า่ งชาวจีนเป็นแมง่ าน โบสถข์ องวดั ขนอนเปน็ อาคารกอ่ อิฐถือปนู มีซุม้ ประตเู ปน็ เรอื นปราสาทดสู วยงามตามศลิ ปะในยคุ สมยั นนั้ ภายในพระอโุ บสถ ประดิษฐานพระพุทธรูปศลิ าแลงปางมารวิชยั ศลิ ปะสมยั อยธุ ยาตอนปลาย และตน้ รัตนโกสินทร์ หอระฆงั กอ่ อิฐถอื ปูนทรงมณฑป ดา้ นลา่ งเปน็ ฐานสเี่ หลย่ี มโบราณ วัตถทุ ี่เก็บรักษาไว้ในพพิ ิธภณั ฑข์ องวัดส่วนใหญ่เปน็ เครือ่ งถ้วยลายคราม
146 147 พระอโุ บสถวดั บางลเ่ี จรญิ ธรรม พระอุโบสถวดั คงคารามท่ีได้รบั การอนุรกั ษเ์ ป็นโบราณสถานแห่งชาติ ภายในมภี าพจติ รกรรมฝาผนงั ทีง่ ดงาม วัดคงคาราม วดั คงคาราม ตงั้ อยทู่ ต่ี ำ� บลคลองตาคด อำ� เภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี พระประธานในวดั บางลีเ่ จริญธรรม อยหู่ ่างจากจงั หวัดประมาณ ๒๒ กโิ ลเมตร วัดบางลี่เจรญิ ธรรม วดั คงคารามเปน็ วดั ทน่ี า่ ไปเยย่ี มชมเปน็ อยา่ งยงิ่ เนอ่ื งจากเปน็ วดั ทม่ี ี มาแตโ่ บราณ จะสรา้ งในครงั้ ใดไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั จากการเลา่ สบื ตอ่ กนั มา พระอุโบสถวดั คงคาราม ศาลาทรี่ ะลึก วดั บางลเ่ี จรญิ ธรรม ตงั้ อยบู่ นฝง่ั ตะวนั ออกของแมน่ ำ้� แมก่ ลองไมไ่ กล ของชาวบ้านเช้ือสายมอญในปลายสมัยอยุธยาเช่ือมต่อกับสมัยธนบุรี และ พพิ ิธภัณฑว์ ัดคงคาราม ใบเสมาวัดบางล่ี จากวดั โคกหมอ้ ในเขตตำ� บลโคกหมอ้ อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี ภายในวดั มอี โุ บสถเกา่ ตน้ รตั นโกสนิ ทร์ วา่ มพี วกไดอ้ พยพเขา้ มาตามลำ� แมน่ ำ�้ แมก่ ลอง และตง้ั ถน่ิ ฐาน พระพุทธรูปหนิ ทรายสแี ดง ซง่ึ เปน็ พระประธานภายในอโุ บสถ และใบเสมาสลกั อยู่บริเวณเขตอำ� เภอโพธาราม ข้ึนไปจดบา้ นโป่ง และครอบครวั พระยามอญ จากหนิ ทรายสขี าวท่มี รี ปู แบบศลิ ปะสมัยอยุธยาตอนตน้ ที่งดงามมาก ไดส้ รา้ งวัดน้ขี ึน้ เร่ิมแรกแตเ่ ดิมวดั นมี้ ชี อ่ื ว่า “วดั กลาง” ภาษามอญเรยี กว่า พระประธานประจ�ำอโุ บสถ สร้างสมยั อยุธยา พระบรวิ ารอโุ บสถ “เผยี โต” มคี วามหมายวา่ เปน็ ศูนย์กลางของวดั มอญต่างๆ ในจังหวัดราชบรุ ี สรา้ งในสมยั เดยี วกนั ๘ องค์ พระศรอี รยิ เมตตรยั ๑ องค์ พระพทุ ธรปู โบราณ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดนี้ได้รับการอุปถัมภ์ รัตนโกสินทร์ ๑ องค์ พระพทุ ธรูปลีลาประดิษฐานที่ลานหน้าอุโบสถ ๑ องค์ โดยเจา้ จอมมารดากลนิ่ และทลู เกลา้ ถวายฯ ถวายใหเ้ ปน็ พระอารามหลวง วดั บางลเี่ จรญิ ธรรม สรา้ งขน้ึ ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ยงั ไมม่ ใี ครทราบ จึงพระราชทานผ้ากฐินหลวงที่วัดนี้ และได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัด หลักฐานทีแ่ น่นอนว่าใครเปน็ ผกู้ อ่ สรา้ ง ประกาศต้ังเป็นวัดเม่ือ พ.ศ. ๒๓๖๐ คงคาราม” เดมิ มโี บสถก์ อ่ สรา้ งดว้ ยอฐิ ถอื ปนู มเี สาไมเ้ ปน็ โครงหลงั คาทรงยอดแหลม ศาลา กฏุ เิ รอื นไทย ๙ หอ้ ง สรา้ งในสมยั ธนบรุ ี ปจั จบุ นั จดั ใหเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑ์ การเปรียญ หอระฆัง ศาลาท่าน้�ำ มีช่อฟ้าใบระกาสรา้ งดว้ ยไม้ และโรงเรยี น พื้นบ้านรวบรวมวัตถุเก่าแก่ซ่ึงเก่ียวกับท้องถ่ิน นอกจากน้ีศาลากาเปรียญ ปรยิ ตั ธิ รรม สง่ิ กอ่ สรา้ งอกี อยา่ งหนงึ่ ประจำ� วดั บางลเี่ จรญิ ธรรมทถี่ อื วา่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ และหอสวดมนต์ ซ่ึงเป็นอาคารไม้ก็ปรากฏภาพจิตรกรรมเช่นกัน และที่ เรยี กวา่ “ตาผา้ ขาว” สรา้ งในสมยั ใดไมท่ ราบ ลกั ษณะเปน็ เสาปนู ทรงแปดเหลย่ี ม ภายในพระอุโบสถวัดคงคารามมีภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ีอายุไม่ต�่ำกว่า สงู ประมาณ ๘๐ เซนติเมตร เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ๒๕๐ ปี เปน็ ภาพพทุ ธประวตั ติ อนมารผจญ ภาพสวรรคช์ นั้ ตา่ งๆ ภาพอดตี ของ วดั บางลี่เจรญิ ธรรม ตงั้ อยเู่ ลขท่ี ๑๑๕ หมู่ ๔ ตำ� บลโคกหม้อ อำ� เภอ พระพุทธเจา้ ทป่ี ระทับบนบลั ลังก์ ภาพพระพุทธประวตั ิ และชาดก เขยี นขึน้ เมอื งราชบุรี สงั กดั คณะสงฆ์มหานกิ าย ในสมยั รตั นโกสินทร์ตอนต้นท่ีงดงามย่ิง
148 149 พระอโุ บสถวดั ชอ่ งลม วัดชอ่ งลม วัดชอ่ งลมเปน็ วัดเก่าแกม่ าแตค่ รง้ั ในอดีต ชื่อเดิมคอื วัดชา้ งล้ม และ หลวงพ่อแก่นจนั ทน์ พระพทุ ธรูปปางอุ้มบาตร จากพระเศยี รลงไปถงึ พระอังสาท�ำดว้ ยส�ำรดิ สว่ นที่เหลอื ทำ� ดว้ ยไม้แกน่ จนั ทนแ์ ดง ตามตำ� นานบอกวา่ มชี า้ งเดนิ มากนิ นำ�้ แลว้ มาลม้ ลงทป่ี ากคลองซง่ึ เปน็ ทข่ี องวดั สูง ๒.๒๖ เมตร ฝีมือช่างสมัยอยธุ ยา ชาวบา้ นเลยพากนั ตั้งชอ่ื วัดแห่งนวี้ ่า วัดช้างล้ม ตอ่ มาในพ.ศ. ๒๔๕๗ สมเดจ็ หลวงพอ่ แกน่ จนั ทน์ลอยน้�ำมาถงึ หนา้ วดั ชอ่ งลมไมย่ อมไหลตามน้�ำไปทอี่ นื่ พระและชาวบา้ นจึงอธิษฐานขอใหห้ ลวงพอ่ แกน่ จนั ทน์ขึน้ พระมหาสมณเจา้ กรมพระวชริ ญาณวโรรส (สมเดจ็ พระสงั ฆราช) เสดจ็ ตรวจการ จากนำ�้ และน�ำประดิษฐานไว้ที่วดั ช่องลม มาจนถงึ ทกุ วนั นี้ คณะสงฆ์จังหวัดราชบุรี ได้ทรงเปลี่ยนชื่อวัดน้ีใหม่ว่า วัดช่องลม เน่ืองจาก ท่ีวดั แห่งน้ีเป็นทางลมผา่ น อากาศเยน็ สบาย วัดช่องลมมีส่ิงก่อสร้างที่วิจิตรงดงามหลายแห่ง ท่ีส�ำคัญคือเป็นท่ี ประดษิ ฐานหลวงพอ่ แกน่ จนั ทน์ ซง่ึ ชาวราชบรุ นี บั ถอื วา่ เปน็ พระคบู่ า้ นคเู่ มอื ง ของราชบุรี พระวิหารเปน็ ทีป่ ระดิษฐานหลวงพ่อแกน่ จันทน์ พระพุทธรปู ปาง อุ้มบาตรท่ีมลี ักษณะงดงาม ศิลปะสมัยทวารวดี ต้ังแต่พระเศยี รถึงพระอุระ เปน็ เนอื้ ทองส�ำริด ส่วนองค์พระสรา้ งด้วยไมจ้ นั ทน์หอม เป็นพระพุทธรูป ศักดส์ิ ทิ ธคิ์ บู่ า้ นคเู่ มอื งของชาวราชบุรี พระวหิ ารทปี่ ระดษิ ฐานหลวงพอ่ แกน่ จนั ทน์
150 151 ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารวัดชอ่ งลม ลวดลายปนู ปน้ั ประดบั หลงั คา ซมุ้ ประตู พระพทุ ธรปู โบราณในกุฏิสงฆ์ รปู ปน้ั เซยี นแบบนนู สงู ธรรมาสนโ์ บราณวดั ชอ่ งลม ชาวพทุ ธ พระครโู สภณปญั ญาวฒั น์ รปู วาดบนพน้ื หนิ ออ่ น รปู วาดตดิ บนกำ� แพงซมุ้ ประตู ซมุ้ ประตทู างเขา้ วดั ในสมยั โบราณ นยิ มมากราบไหว้ขอพร หลวงพ่อแก่นจันทน์ โรงเรียนปรยิ ัติธรรม หอสวดมนต์ หอระฆังหลังคาเป็นทรงมณฑป ยอดแหลมลายไทย และโรงครัว ภายในวัดแหง่ นีย้ ังมพี ระพุทธรปู เกา่ แก่ วัตถโุ บราณทยี่ ังคงคณุ คา่ และความสวยงาม ตู้ไม้โบราณ นาฬกิ าและ เตียงหนิ อ่อน ปจั จบุ นั มพี ระครโู สภณปญั ญาวัฒน์ รองเจา้ คณะอำ� เภอเมอื งราชบรุ ี (ปญฺญาทีโป) ด�ำรงตำ� แหน่งเจ้าอาวาส
คนท่ีรักต้นไม้บางคนคงเคยรู้จกั ไม้ทเ่ี รียกวา่ ไม้ดดั และไมบ้ อนไซ ภมู ปิ ัญญาไม้ดดั ไมบ้ อนไซ อยู่บ้าง เช่อื ไหมวา่ บางคนหลงใหลในความงามทางศิลปะของไม้ประเภทน้ี ก้าวไกลสธู่ ุรกิจ จนถึงกับท่มุ เทเวลา เงนิ ทอง พยายามเสาะแสวงหามาครอบครอง แต่ ส�ำหรับคนราชบุรีที่น่ีเป็นแหล่งผลิตไม้บอนไซและไม้ดัดแหล่งใหญ่แห่งหน่ึง บางคนอาจเข้าใจว่า ไมด้ ดั และไม้บอนไซ เป็นไม้อยา่ งเดยี วกนั ของไทย สถานทต่ี า่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ วดั วาอาราม อาคารบา้ นเรอื นในจงั หวดั นี้ ซึ่งทจี่ ริงแล้วเป็นไม้คนละประเภท ไม้ดัดเป็นของไทย ส่วนไมบ้ อนไซเปน็ นยิ มตกแตง่ ดว้ ยไมด้ ดั และไมบ้ อนไซ เพราะหาไดง้ า่ ยและราคาไมแ่ พงมากนกั ของญป่ี นุ่ ไม้ดดั ไทยเปน็ การขดุ ตน้ ไม้ขนาดโตพอสมควร แล้วตัดแต่งกิ่งที่ เนอื่ งจากไมต่ อ้ งเสยี คา่ จดั สง่ คนตา่ งถน่ิ อยา่ งเราจงึ เพลดิ เพลนิ เจรญิ ตาไปกบั แตกขึ้นใหมใ่ หม้ รี ูปทรงตา่ งไปจากเดมิ ตามจินตนาการของผปู้ ลกู ไมด้ ดั ไทย ความสวยงามของไมบ้ อนไซ และไม้ดัดที่เจา้ ของใชต้ กแตง่ อาคารบ้านเรอื น เรม่ิ ปลกู เลีย้ งมาต้งั แตส่ มัยอยุธยาตอนปลายเฉพาะกลมุ่ เจ้านาย ในสมัย ทีอ่ ยสู่ องขา้ งทาง รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชโปรดเกลา้ ฯ ให้ปลูกไมด้ ัดไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั ดงั ที่ยงั มใี ห้เห็นอยู่ถงึ ปัจจุบนั และที่มี การกลา่ วถึงในวรรณคดเี รอื่ งขุนชา้ งขุนแผน ตอนหนง่ึ ว่า “กระถางแกว้ เกดพกิ ุลแกม ย่สี ่นุ แซมมะสังดไู สว สมอรดั ดัดทรงสมละไม ตะขบขอ่ ยตงั้ ไว้จงั หวะกนั ” ไมบ้ อนไซของญปี่ นุ่ เปน็ การนำ� ตน้ ตอไมใ้ หญห่ รอื ไมป้ ระดบั มาปลกู ไว้ ในกระถางแบนแลว้ ดดั และจดั รปู ทรงใหเ้ หมอื นไมใ้ หญต่ ามธรรมชาติ บางคน ใหค้ วามหมายว่า เป็นทวิ ทศั นใ์ นกระถาง หมายถึงการปลูกตน้ ไม้ในกระถาง โดยการย่อส่วนจากต้นไม้ใหญ่ท่ีต้องหมั่นดูแลดัดและตัดแต่งกิ่งใบให้สวยงาม และให้เปน็ ไปตามโครงสรา้ งตามธรรมชาตขิ องต้นไมต้ ้นนั้น บอนไซอาจมี ขนาดเล็กเพยี ง ๒.๕ เซนติเมตรจนถงึ มคี วามสูงเท่าผู้ใหญ่ บอนไซตน้ หนึ่ง ต้องใช้เวลาหลายสิบปกี ว่าจะสวยงามสมบูรณ์ ไมป้ ระดับชนดิ น้ีจึงเป็นยอด แห่งไม้ประดับที่หลายคนต้องการซื้อหามาประดับอาคารบ้านเรือนเพ่ือ แสดงถงึ ฐานะอนั ม่งั คงั่ ในขณะท่ีบางคนต้องการซอ้ื หามาเพอ่ื ความสขุ ทางใจ แมว้ า่ จะมมี ลู คา่ สงู มากกต็ าม ต�ำราเก่ยี วกับไมด้ ัดเกิดข้นึ ครงั้ แรกในสมัยรชั กาลที่ ๕ ผู้เขียนคอื หลวงมงคลรัตน์ (ชว่ ง ไกรฤกษ)์ ซง่ึ เขยี นเป็นโคลง โดยกล่าววา่ ได้รับความรู้ เรอื่ งไม้ดัดจาก พระด้วง ข้าราชการท่เี คยดแู ลไมด้ ดั ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทา่ นไดจ้ ัดประเภทไม้ดดั ที่ไมเ่ หมอื นต้นไมท้ ีข่ ึ้นอยู่ ตามธรรมชาติไว้ ๗ ชนิดคอื ไม้ขบวน ไม้ฉาก ไมห้ กเหียน ไมเ้ ขน ไมป้ ่าขอ้ ม ไมก้ ำ� มะลอ และไมต้ ลก สว่ นไมด้ ดั ทท่ี ำ� ใหเ้ หมอื นไมใ้ หญท่ ขี่ น้ึ อยตู่ ามธรรมชาติ มี ๒ ชนิดคือ ไม้ญี่ปนุ่ และไม้เอนชาย
130 131 ไมข้ บวน หรือ ไมก้ ระบวน ทรงตน้ จะตรง อาจคดเล็กนอ้ ยก็ได้ ต้นตำ่� รปู ทรงต้นตอได้บา้ ง แต่อย่าให้เสียรูปทรงจากตำ� ราเพ่อื เปน็ การอนุรกั ษ์และ ดัดกง่ิ ให้วกวนเวยี นขึน้ ไปจนสดุ ยอด การดดั และแตง่ กิ่งจะพลิกแพลงไปตาม เชิดชูศิลปะประจ�ำชาตใิ หค้ งอย่สู ืบไป แต่ใจของผูป้ ลูก แตท่ ส่ี �ำคัญคอื ตอ้ งจัดช่อพุม่ ใบให้มจี ังหวะชอ่ งไฟทีพ่ อเหมาะ โดยท่วั ไปนยิ ม ๙ ชอ่ เทคนิคเบ้อื งตน้ การปลกู ไมบ้ อนไซ ไม้ฉาก ทรงต้นจะตรงขนึ้ มาแล้วดดั ใหเ้ ป็นมมุ ฉาก และดัดกิ่งใหเ้ ปน็ มมุ ฉากเชน่ เดยี วกนั ส่วนปลายกงิ่ จะปล่อยใหเ้ ป็นพ่มุ ใบ ๙ ชอ่ ผู้ทจ่ี ะดดั ไม้ นายสมบตั ิ เพชรกณั หา กำ� ลังสาธติ การปลกู การดแู ล ตกแตง่ ไมบ้ อนไซ การเลอื กประเภทของพันธไ์ุ ม้ ผ้ปู ลกู ไม้บอนไซต้องมีความรู้ว่า ชนิดนีไ้ ด้ต้องเป็นคนทมี่ ฝี ีมอื และมคี วามอดทนสงู มาก พนั ธไ์ุ มช้ นดิ ใดเหมาะทจี่ ะนำ� มาเปน็ ไมบ้ อนไซ เพอ่ื ใหง้ า่ ยตอ่ การเลย้ี งดู ตน้ ไม้ ไม้หกเหียน ทรงต้นจะต้องดดั กงิ่ ใหย้ อ้ นกลับลงมาทางโคนต้นก่อน หลายชนดิ สามารถน�ำมาทำ� เป็นไมบ้ อนไซได้ เช่น ตะโก สัง ขอ่ ย ไทร โพธิ์ แลว้ จึงดัดกิง่ ให้โค้งงอไปรอบๆ ตน้ การดัดแตง่ ก่ิงช่อพุม่ กำ� หนดให้ทำ� ๑๑ ช่อ ชาฮกเกย้ี น มะขามเทศ มะขาม เชอรแี่ คระ เปน็ ตน้ สมาชกิ ชมรมบอนไซคนหนงึ่ ไมเ้ ขน ต่างจากไม้ดัดชนิดอ่ืนตรงทตี่ ้องมีปมุ่ ทโ่ี คนตน้ และกงิ่ ต่ำ� สุด ใหข้ อ้ มลู จากประสบการณว์ า่ พนั ธไ์ุ มท้ น่ี ำ� มาเลย้ี งควรเปน็ พชื ประจำ� ถนิ่ เพราะ ตอ้ งดดั ลงใหอ้ ยตู่ รงขา้ มกบั กงิ่ ท่ี ๒ สว่ นกง่ิ ยอดตอ้ งหกั เอยี้ วลงมาขา้ งหลงั กอ่ น ไม่คอ่ ยตาย แลว้ จงึ ดดั วกกลบั ข้ึน กิง่ ที่ ๒ ต้องดดั ใหไ้ ด้จงั หวะรับกับก่ิงยอด ไมเ้ ขนนิยม การเพาะและขยายพนั ธ์ุ การเพาะและขยายพนั ธุ์ไมบ้ อนไซสามารถ ทำ� ก่ิงและช่อพุ่มใบ ๓ ช่อ ทำ� ได้ ๓ วธิ ี คือ ไม้ปา่ ข้อม ทรงตน้ จะตรงข้ึนไปถงึ ยอด และดัดกงิ่ ใหว้ นเวียนรอบๆ ๑. การปกั ช�ำ ตดั ก่งิ ท่ไี ม่แก่และไมอ่ อ่ นจนเกนิ ไป น�ำมาชุบน�ำ้ ยา ตน้ ขึ้นไป การทำ� ก่งิ และชอ่ พุ่มก�ำหนดใหท้ ำ� ๓ กงิ่ ๆ ละ ๓ ชอ่ ทั้งตน้ รวมเป็น เรง่ รากแล้วนำ� ไปปักลงในดนิ ตง้ั ไว้ในที่ทม่ี ีแดดร�ำไร ประมาณ ๑ เดอื นกจ็ ะ ๙ ช่อ โดยตอ้ งทำ� กิ่งและช่อใหส้ ม่ำ� เสมอกัน มรี าก ไม้กำ� มะลอ ทรงตน้ จะตรงขึน้ ไป ท่โี คนต้นจะมีกงิ่ หรือไมม่ กี ไ็ ด้ สว่ น ๒. การตอน ท�ำเช่นเดียวกับการตอนตน้ ไม้ทว่ั ๆ ไป ด้วยการใช้ ยอดต้องดัดให้หันเหหมุนเวียนจากยอดวกเวียนช้ีลงล่างไม่ว่าจะเป็นลักษณะ ขยุ มะพรา้ วห้มุ ก่ิงตอนไว้ประมาณ ๑ เดอื นกจ็ ะออกราก จากนน้ั น�ำไปปลกู ใดก็ตาม จงึ สมกับท่ีชอ่ื ก�ำมะลอ ทแี่ ปลวา่ ไมใ่ ช่ของจรงิ ในดนิ และตง้ั ไวก้ ลางแดด ไม้ตลก เปน็ ไม้ทีต่ ัง้ ใจดดั ใหแ้ ปลกตา เขา้ ท�ำนองตลกขบขัน มี ๒ ๓. การเพาะเมล็ด น�ำเมลด็ ทีผ่ ่งึ แดดไว้แล้วมาเพาะในถาดที่มี ลกั ษณะคือ ไม้ตลกหวั และไมต้ ลกราก ไม้ตลกหัวเปน็ ไม้ทมี่ ีล�ำต้นเป็นกระปมุ่ ขยุ มะพร้าวแช่กับนำ้� ยาเรง่ รากและผสมกบั ทราย ทง้ิ ไวป้ ระมาณ ๑๕ วนั กระปำ�่ ส่วนสดุ ยอดของล�ำต้นเป็นกอ้ นกลมุ่ ยงิ่ ใหญ่โตได้เท่าใดกย็ ่ิงดี มีก่งิ มี เมลด็ กจ็ ะงอกออกมา จากน้นั เล้ยี งตอ่ ไปอกี ประมาณ ๑ - ๒ เดือน จึงนำ� ไป ชอ่ น้อย ส�ำหรับไมต้ ลกรากจะมีรากลอย หรือรากบางส่วนโผล่ข้นึ มาจากดนิ ปลกู ในกระถาง ตง้ั ไวก้ ลางแดด วธิ นี ตี้ อ้ งใชเ้ วลานานกวา่ วธิ อี นื่ กวา่ จะไดร้ ปู ทรง แลดูไมเ่ รยี บรอ้ ย ไมต้ ลกท่ถี อื วา่ สวยงามตอ้ งมที ั้งไมต้ ลกหวั และไมต้ ลกราก ทสี่ วยงาม หรืออาจไปซอ้ื ตอทม่ี ีคนขดุ มาขายตามตลาดพนั ธ์ไุ ม้ หรอื จะไปหา อยูใ่ นต้นเดยี วกัน และมชี อ่ กิง่ เพยี งเลก็ น้อย ขุดต้นตอที่มีอายุ ๕-๖ เดือนจากป่าเองก็ได้ ไม้ญป่ี ุน่ เปน็ ไม้ดัดท่คี ลา้ ยไม้แคระทรงญ่ีปนุ่ วธิ กี ารดดั ก็คล้ายกนั คือ การปลกู และการดแู ล สถานที่ปลูกควรมีแดดสอ่ งถึง ๒ - ๓ ชัว่ โมง ทำ� โคนตน้ ใหญ่และบังคับใหแ้ คระแกร็น ปลายต้นเรียว ลำ� ตน้ ตรงหรือเอน ตอ่ วนั ส่วนดนิ ท่ใี ชป้ ลูกบอนไซต้องผสมใบก้ามปแู ละกาบมะพร้าวสบั ใน เล็กนอ้ ยก็ได้ ก่งิ และชอ่ พ่มุ ดดั แตง่ ให้กระจายตามรูปทรงไมใ้ หญ่ในธรรมชาติ อตั ราสว่ น ๓ ตอ่ ๒ ตอ่ ๑ แล้วใสม่ ูลวัวเล็กนอ้ ย น�ำไปปลกู ในกระถางทม่ี ี ไม้เอนชาย หรอื เอนชายมอ ลักษณะล�ำตน้ จะตรงข้นึ มา แล้วเอน ความกวา้ ง ความยาว และความลึกท่ีเหมาะสมกบั ตน้ ไม้ทีป่ ลกู ออกไปทางดา้ นขา้ งใหด้ เู หมอื นตน้ ไมท้ ข่ี น้ึ ตามหนา้ ผาหรอื ตลงิ่ ทมี่ รี ากยดึ เกาะ การดูแลบอนไซก็เหมือนกับการดูแลต้นไม้ทั่วไปท่ีต้องให้น�้ำตอนเช้า ดา้ นขา้ ง ทกุ วัน หากกระถางตน้ื กค็ วรให้นำ้� ตอนเย็นอีกหนึ่งรอบโดยไม่ต้องมากเทา่ กับ ไมด้ ดั ท้งั ๙ ชนิดตามต�ำราของหลวงมงคลรัตน์เป็นลกั ษณะตน้ แบบ ตอนเช้า ส่วนการใหป้ ๋ยุ จะใชม้ ลู วัวสลบั กับปยุ๋ ชวี ภาพประมาณ ๑ - ๒ เดือน ข่อยดัดของไทย ผเู้ ลน่ ไมด้ ัดอาจดดั และตกแตง่ ก่งิ ชอ่ พุ่มให้ยักเยอื้ งไปตาม ตอ่ ครงั้ หากมโี รคและแมลงกฉ็ ดี สารสกดั จากนำ้� หมกั ชวี ภาพ ๒ สปั ดาหต์ อ่ ครงั้
132 133 การปลกู บอนไซใหส้ วย ตน้ ไดร้ ปู ทรง ใบเลก็ ตอ้ งปลกู จนไดร้ ปู ทรงตามทต่ี อ้ งการ และต้นแข็งแรงก่อน จงึ จะเปลี่ยนกระถางหลงั จากท่ปี ลูกไปแลว้ ๑ - ๒ ปี ไม้ดัด ต้นไม้แห่งจินตนาการ เนื่องจากธาตุอาหารในดนิ จะหมดไป และรากเริ่มเต็มกระถาง ควรใชก้ ระถาง ที่มีขนาดเล็กกวา่ เดมิ และลดปรมิ าณดินเพื่อจำ� กัดอาหาร ดนิ ที่เปล่ยี นใหม่ ในพน้ื ที่ตำ� บลทุง่ หลวง อ�ำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี มภี ูมปิ ัญญา ควรมสี ว่ นผสมของดนิ ทราย ขยุ มะพรา้ วหรอื ขเี้ ถา้ แกลบ ซงึ่ ตอ้ งตดั ปลายราก ทอ้ งถน่ิ ทล่ี �้ำคา่ คอื การดดั ต้นไม้เป็นรูปทรงตา่ งๆ ตามจินตนาการของผู้ดดั ออกประมาณ ๑ ใน ๔ เพ่อื ใหร้ ากแตกแขนงออกมาใหม่จะได้หาอาหารได้ ลงุ ทองค�ำ ดวงราช เป็นบุคคลภมู ิปญั ญาในเรอื่ งน้ี แม้วันนี้ท่านจะมอี ายุกว่า ดีข้นึ เมอ่ื เลี้ยงไปได้ ๒ - ๓ ปี ต้นจะเรม่ิ อวบอว้ นข้ึนเร่อื ยๆ จนเป็นบอนไซท่ี ๖๖ ปี แตย่ งั ดแู ข็งแรง จิตใจดี นั่นคงเกดิ จากการมชี วี ติ ทผี่ กู พันอยู่กับต้นไม้ สวยงาม มานาน ทา่ นเลา่ ใหฟ้ งั ถงึ จดุ เรม่ิ ตน้ การทำ� ไมด้ ดั วา่ เดมิ ทา่ นมอี าชพี แกะสลกั ไม้ วธิ กี ารดดั และตกแตง่ บอนไซ ไมม่ รี ปู แบบตายตวั ขนึ้ อยกู่ บั จนิ ตนาการ และท�ำผา้ มัดหมี่ ต่อมาไดม้ าทำ� งานท่ีศนู ย์ประมงจงั หวดั หนองคาย ที่น่ีมี ของผู้ปลกู การแตง่ ต้นไม้ให้เป็นบอนไซมีหลักการเพยี งประการเดียวคือ บรเิ วณหนึง่ ซ่ึงท�ำเป็นบอ่ ปลาไม่ได้ จึงไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนอ์ ะไร ในบริเวณนมี้ ี ความเป็นธรรมชาติ แมจ้ ะอยใู่ นกระถางกต็ อ้ งตดั แต่งใหเ้ ปน็ ธรรมชาติ การ ต้นข่อยขนึ้ อยู่เป็นจ�ำนวนมาก ทา่ นกล่าวอย่างตดิ ตลกว่า ด้วยความเป็นคน จัดแต่งไม้บอนไซจึงเป็นการแต่งต้นไม้ในกระถางท่ีต้องเลียนแบบธรรมชาติ มอื บอนของทา่ น ประกอบกับมีฝมี อื ทางศิลปะ เม่ือมีเวลาวา่ งจากงานจึงดดั ใหแ้ นบเนียนนน่ั เอง การแต่งบอนไซให้สวยงามมกั เปิดให้เห็นลำ� โคนต้นเพ่อื ตน้ ข่อยเป็นรูปรา่ งตา่ งๆ ผคู้ นได้พากันมาน่ังพกั ผอ่ นหย่อนใจ และกลายมา แสดงใหเ้ หน็ ถงึ อายุทเ่ี กา่ แกข่ องต้นไม้ และปดิ จดุ บอดตา่ งๆ เชน่ รอยตดั กิ่ง เป็นสถานทที่ อ่ งเทย่ี วทม่ี ีชือ่ เสียงของจงั หวดั หนองคายในเวลาต่อมา ทา่ นได้ ทแี่ ตกออกมาแลว้ ไมส่ วยกค็ วรตดั ทง้ิ ไปกอ่ น รอจนกระทงั่ ไดก้ ง่ิ ทส่ี วยสมใจและ ฝากฝีมือการท�ำไมด้ ดั ไวต้ ามท่ีตา่ งๆ หลายแหง่ เป็นต้นวา่ ไมด้ ดั ริมทางหลวง แกพ่ อสมควรจึงคอ่ ยดัดเพราะกิ่งอ่อนจะเปราะและหักงา่ ย วิธีดดั จะใช้ลวด จากอำ� เภอเมืองหนองคายไปอำ� เภอศรีเชยี งใหม่ และทางหลวงจากนครปฐม ปกั ลงดินบรเิ วณโคนตน้ แล้วพนั ขึน้ ไป จากนน้ั ดดั ซา้ ย ดดั ขวาตามก่งิ ใหไ้ ดล้ ีลา ไปเพชรบรุ ี เมอ่ื ได้ยา้ ยมาอย่ทู จ่ี ังหวัดราชบุรี ทา่ นกไ็ ด้ไปช่วยตกแตง่ ภมู ิทศั น์ ตามตอ้ งการ รวมทั้งต้องคอยตดั แตง่ กง่ิ อยู่เสมอ พอดดั ไปไดป้ ระมาณ ๓ - ๔ ใหแ้ กส่ ถานศึกษาและหนว่ ยงานตา่ งๆ ตามคำ� เชญิ เดือนกเ็ อาลวดออก แลว้ พนั ใหมจ่ นกวา่ จะได้รปู ทรงจงึ จะแกะลวดออก ลุงทองคำ� ใหค้ วามรเู้ กี่ยวกบั การทำ� ไม้ดัดวา่ ตน้ ไม้ที่จะนำ� มาดดั ต้อง เปน็ ไม้ใบเล็ก ไม่ผลัดใบตามฤดกู าล ลักษณะของกิ่งต้องเป็นกงิ่ ตลบคือโคง้ ผ้สู ืบทอดภมู ิปัญญาไม้บอนไซราชบรุ ี ลง มกี ่ิงมากและยาวพอท่จี ะดัดได้ เชน่ มะขาม มะขามเทศ ชาฮกเกีย้ น ข่อย ก�ำลังสาธิตการตกแต่งบอนไซ แกว้ โมก เปน็ ต้น ส่วนขนาดของต้นไมไ้ มจ่ �ำเปน็ วา่ จะตอ้ งมขี นาดเลก็ หรอื ใหญ่ ตน้ ไม้ทข่ี ้นึ ตามธรรมชาตจิ ะดัดง่ายกวา่ ไมท้ ป่ี ลกู ในกระถาง และต้นไม้ เพียงตน้ เดียวก็อาจดัดเปน็ รูปตา่ งๆ ได้หลายอย่าง ในการดดั ต้นไม้จะตอ้ งดูลักษณะของรูป พุ่มก่ิง และใบ เช่น ต้น เหลอื งออสเตรเลียจะดัดเป็นรปู นกยูงได้สวยงาม ในการดัดจะใช้ลวดทผ่ี ูก เหลก็ กอ่ สรา้ งมดั ก่งิ รวมกนั ใหเ้ ป็นรปู ทรงตามจินตนาการของผดู้ ดั ซึง่ ผดู้ ดั จะต้องมคี วามแมน่ ย�ำในรปู รา่ งลกั ษณะของสิ่งนัน้ เช่น จะดัดรปู นกยงู ก็ตอ้ ง แมน่ ย�ำในรปู รา่ งลักษณะของตัวนกยงู ตน้ ไมท้ ่ดี ัดออกมาจึงจะเปน็ รปู นกยงู ที่ ได้สัดสว่ นสมจรงิ ภาพชดุ ไมด้ ัด
134 135 ทำ� ด้วยใจแล้วจะไดค้ วามสุข จากความรักและภูมิปัญญาพฒั นาสอู่ าชีพ การปลูกบอนไซและไมด้ ัดไม่มขี อ้ จำ� กดั ในเรอ่ื งรปู แบบ ผู้ปลกู หรือ หลายสิบปกี อ่ น คนรกั ตน้ ไม้กลุ่มหน่งึ ไดเ้ ดนิ ทางมาที่ตำ� บลเขาแรง้ ผดู้ ัดสามารถจัดแต่งได้ตามความพอใจทีเ่ ห็นวา่ งามในสายตาตนเอง ดงั น้ัน อำ� เภอเมืองราชบุรี เขาเหลา่ นนั้ ไดพ้ บต้นตะโกและตน้ พุดข้นึ อยู่มากมายตาม หากจะกล่าววา่ การปลกู บอนไซและไม้ดัดเป็นศลิ ปะกค็ งไมผ่ ิดนัก ผู้ปลูก ป่าเขา ไดส้ งั เกตเห็นความสวยงามของตน้ ไม้ จึงวา่ จา้ งชาวบา้ นทีเ่ ลย้ี งวัว สามารถใชจ้ นิ ตนาการกำ� หนดรปู ทรงของตน้ ไม้ มบี างคนกลา่ ววา่ ตน้ ไมต้ น้ หนง่ึ อยูบ่ ริเวณนัน้ ขดุ ข้ึนมาในราคาตน้ ละ ๒ บาท แลว้ น�ำมาปลกู ในกระถางแต่ จะมีเพียงรูปทรงเดียวเทา่ นนั้ ที่สวยทสี่ ดุ ซงึ่ ผ้ปู ลูกตอ้ งพยายามคน้ ให้พบ ซึ่ง ปรากฏว่าตายหมด เพราะขุดมาแต่ต้น ไมม่ รี ากฝอยมาดว้ ยจงึ เลยี้ งไม่รอด บางคนอาจคา้ นวา่ รปู ทรงตามจนิ ตนาการของตนสวยทสี่ ดุ แลว้ กเ็ ปน็ ได้ ผปู้ ลกู แตพ่ วกเขากไ็ ม่ละความพยายาม เพียรเฝา้ สังเกตและหาวิธีการตา่ งๆ นานา บอนไซคนหนึง่ ใหส้ มั ภาษณว์ า่ การปลูกบอนไซเหมือนการเล้ยี งดลู กู ที่ผปู้ ลูก ทจี่ ะขุดต้นไมใ้ ห้อยู่รอด ในทีส่ ดุ กไ็ ด้เรียนรวู้ ่ารากแก้วของตน้ ไม้ทำ� หน้าท่ียึด จะมีความสุขต้ังแตว่ ันแรกท่ไี ด้ท�ำ ลำ� ต้น สว่ นรากฝอยท�ำหน้าทเี่ ลี้ยงตน้ ไม้ใหเ้ จรญิ เติบโต การขุดตน้ ไม้มาทำ� ทกุ วนั นี้ บุคคลผเู้ ป็นภูมิปญั ญาทงั้ ไมด้ ดั และไมบ้ อนไซ ได้อุทิศตน บอนไซจงึ ประสบความส�ำเรจ็ น่ีแหละที่เรยี กวา่ “ต้นไม้สอนคนขุด” ถา่ ยทอดความรใู้ หแ้ กเ่ ยาวชนในสถานศกึ ษา และเปน็ วทิ ยากรตามทห่ี นว่ ยงาน ดว้ ยความรักต้นไมเ้ ปน็ ชวี ิตจติ ใจ บุคคลกล่มุ นีซ้ ึง่ มีทั้งชา่ งปนู ปนั้ ครู ต่างๆ เชิญมา โดยไมเ่ คยคำ� นงึ ถงึ เงนิ ค่าตอบแทน หรือความเหน็ดเหน่ือยใดๆ สอนคณิตศาสตร์ ครสู อนดนตรี เกษตรกร และบคุ คลอกี หลากหลายอาชพี นอกจากความสุขใจทไ่ี ด้จากการเป็นผใู้ ห้ ไดเ้ ฝ้าฟมู ฟกั เลีย้ งดตู ้นไม้ทข่ี ุดมา ผ่านการลองผิดลองถกู คอยสังเกต มานาน การปลกู ไมด้ ดั ไม้บอนไซไมเ่ พียงสรา้ งความสขุ ทางใจแก่ผู้ปลูก หาก นบั สิบปี จนเกิดเปน็ องค์ความรูใ้ นการปลูกไมบ้ อนไซ และต่อยอดเปน็ ธรุ กิจท่ี แตย่ ังชว่ ยใหผ้ นู้ น้ั เป็นคนท่มี จี ติ ใจอ่อนโยน มีความพากเพยี ร มานะ อดทน สรา้ งรายไดอ้ ยา่ งเปน็ กอบเปน็ กำ� สามารถเลยี้ งตวั เองและครอบครวั ได้ แมว้ า่ ดงั ที่นักเล่นไมด้ ดั บางคนเปรยี บเทยี บไมด้ ดั ว่าเป็น “ไม้หัดนสิ ัย” ซงึ่ ผ้ทู ่มี ี ตลาดบอนไซจะยงั ไมไ่ ด้รบั ความนิยมมากนักก็ตาม แต่ในวันน้ีวงการตลาด คุณลกั ษณะเชน่ นจ้ี ะประสบความสำ� เร็จท้งั ชวี ิตสว่ นตัวและอาชีพการงาน บอนไซเร่มิ ขยายตวั มากขึน้ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ รวมทัง้ เกิดชมรม บอนไซขึน้ ในหลายจงั หวดั ของประเทศไทย ภาพชุดการสาธติ การท�ำไม้ดัดของ ในสว่ นของลงุ ทองคำ� ภมู ปิ ญั ญาไมด้ ดั กม็ อี าชพี ทม่ี นั่ คงเปน็ พนกั งาน นายทองคำ� ดวงราช ควบคุมดูแลการจัดแต่งภูมทิ ัศนข์ องสนามกอล์ฟแหง่ หนงึ่ ในจงั หวัดราชบรุ ี
152 ยลเยือน เมืองราชบรุ ี ราชบรุ เี ป็นจังหวดั หนึ่งทม่ี คี วามโดดเด่นทางกายภาพ คือมีภมู ปิ ระเทศที่หลากหลายทงั้ ทิวเขาสงู ท�ำใหเ้ กิดถำ้� เพิงผา น้�ำตก แม่น�้ำลำ� คลอง ยอดเขาบางแห่งมีทะเลหมอกที่สวยงามยามเช้าตรู่ เกดิ เปน็ แหลง่ ท่องเทย่ี วทางธรรมชาติทง่ี ดงามและ มกี จิ กรรมการทอ่ งเทย่ี วทนี่ า่ เพลดิ เพลนิ ใจหลายแหง่ อกี ทง้ั ยงั เปน็ จงั หวดั ทมี่ คี วามโดดเดน่ ทางวฒั นธรรม เพราะมผี คู้ นหลากหลาย ชาติพันธท์ุ ย่ี ังคงรกั ษาขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละวฒั นธรรมของบรรพบรุ ษุ ไว้ ณ ดนิ แดนแหง่ นี้จงึ มสี ถาปตั ยกรรมทีเ่ กา่ แก่ งดงาม มคี ุณค่าทางประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดี รวมทั้งผลงานทางศลิ ปหตั ถกรรม เปน็ เอกลกั ษณ์ของจงั หวัดท่ีเรานา่ ไป ยลเยอื นและเยย่ี มชมอยา่ งนอ้ ยสักคร้ังหน่ึง
154 155 เนื่องจากจังหวดั ราชบรุ ีมีแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วจ�ำนวนมาก จึงขอนำ� เสนอ พระบรมราชานุสาวรีย์ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วท่นี ่าไปเยยี่ มชมเพ่ือเป็นขอ้ มูลเบื้องต้น เมือ่ เข้าสูจ่ ังหวัดราชบุรี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กอ่ นจะไปเยีย่ มชมสถานทท่ี ่องเที่ยวอนื่ ๆ ขอแนะน�ำให้ไปไหว้สักการะ ส่งิ ศกั ด์ิสิทธ์คิ บู่ า้ นคู่เมือง เพอ่ื ความเป็นสริ ิมงคล ดงั นี้ พระบรมราชานสุ าวรยี พ์ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ตง้ั อยภู่ ายในสวนสาธารณะจกั รอี นสุ รณส์ ถาน บรเิ วณเชงิ เขาแกน่ จนั ทน์ รมิ ถนน ศาลหลกั เมืองราชบุรี เพชรเกษม อำ� เภอเมอื ง พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวภมู พิ ลอดุลยเดชทรง มีพระมหากรณุ าธิคุณพระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้ ร.ต.ท.เชาวริน ศาลหลกั เมอื ง คือสถานท่ศี กั ดิ์สทิ ธ์ิอนั เปน็ ท่ีตั้งของหลักเมือง ตาม ลทั ธศกั ดศ์ิ ริ ิ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั ราชบรุ ี และชาวราชบรุ สี รา้ งขน้ึ ธรรมเนยี มพธิ ขี องศาสนาพราหมณ์ กอ่ นจะสรา้ งเมอื งตอ้ งทำ� พธิ ยี กเสาหลกั เมอื ง เมือ่ พ.ศ. ๒๕๒๕ ในคราวฉลองกรงุ รตั นโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเดจ็ ในทอ่ี นั เปน็ ชยั ภมู สิ ำ� คญั เพอ่ื เปน็ สริ มิ งคลแกบ่ า้ นเมอื งทจี่ ะสรา้ งขนึ้ ศาลหลกั เมอื ง พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช เปน็ พระปฐมบรมกษตั ริยแ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี ในประเทศไทยส่วนใหญท่ �ำจากไม้มงคล เชน่ ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ ลกั ษณะ มีความเกี่ยวข้องกับเมืองราชบุรีต้ังแต่ครั้งด�ำรงต�ำแหน่งหลวงยกกระบัตร เปน็ เสาทมี่ ปี ลายยอดเปน็ ดอกบวั ตมู หรอื หนา้ เทวดา หรอื อาจเปน็ หลกั หนิ โบราณ เมอื งราชบรุ ีในสมยั ของสมเดจ็ พระเจ้าเอกทัศของกรุงศรีอยธุ ยา ในสมัยธนบุรี ใบเสมาโบราณ ท่พี บในพนื้ ท่ีนน้ั ๆ ตัวศาลสว่ นใหญ่เป็นศาลาจตุรมขุ ทรงไทย และภายหลงั ทพ่ี ระองคเ์ สดจ็ ขนึ้ ครองราชยเ์ ปน็ ปฐมกษตั รยิ ข์ องราชวงศจ์ กั รแี ลว้ มปี ระตทู งั้ สดี่ า้ น ยอดอาจเปน็ แบบปรางค์ แบบปราสาท แบบมณฑป หรอื เปน็ ได้ทรงน�ำทพั ไทยต่อสขู้ ับไล่กองทพั พม่า โดยใชร้ าชบรุ เี ปน็ สมรภมู ิรบหลายครัง้ ศาลเจา้ แบบจีน ตามศรทั ธาการกอ่ สรา้ งในพื้นที่นั้น บางพนื้ ที่อาจพบรว่ มกนั ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๔๗ พระองค์ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ ทงั้ เสาหลกั เมอื ง และศาลเจา้ แบบจนี ซงึ่ มกั มอี งคป์ ระธานศาลเจา้ เปน็ เทวรปู ไม้ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงเทพหริรกั ษ์ พระยายมราชและ หรือศลิ า เรยี กวา่ เจา้ พอ่ หลกั เมอื ง หรือเจา้ แม่หลกั เมือง สถานที่ตัง้ ส่วนใหญ่ แมท่ พั นายกองไทยลาวยกทพั ไปปราบพมา่ ที่เมอื งเชยี งแสน แลว้ กวาดต้อน อยูใ่ นพ้ืนทีช่ ุมชนเมืองเก่า อาจเปน็ ตวั จงั หวดั หน้าศาลากลางจังหวดั ผคู้ นชาวไทยยวนสว่ นหนึง่ ให้ลงมาตั้งถ่นิ ฐานที่จงั หวดั ราชบรุ ี ซึ่งชนกลมุ่ น้ี ดว้ ยความสำ� คญั ดงั กลา่ วเมอ่ื มาเยอื นจงั หวดั ราชบรุ ี สถานทแี่ รกทค่ี วร ถอื เปน็ กลุ่มชาติพนั ธท์ุ ส่ี �ำคัญเชอ้ื ชาตหิ นึ่งของจงั หวัดราชบรุ ี ไปสกั การะเพอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคลกค็ อื ศาลหลกั เมอื งราชบรุ สี รา้ งขน้ึ ในรชั สมยั สวนสาธารณะจกั รอี นสุ รณส์ ถานแหง่ นเ้ี ปน็ สถานทจ่ี ดั งานวนั จกั รที กุ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รชั กาลที่ ๒ ท่ีโปรดเกล้าฯ ให้ย้าย และยงั ใชเ้ ปน็ สถานทจ่ี ดั นทิ รรศการ งานสำ� คญั ๆ ของจงั หวดั เชน่ งานโอทอป เมอื งราชบุรจี ากฝง่ั ตะวันตกของแม่น้ำ� แม่กลองไปอยู่ทางฝ่ังตะวนั ออก ตอ่ มา (OTOP) การแขง่ ขันชกมวย นอกจากน้ีดว้ ยความกวา้ งใหญ่และรม่ ร่ืนของ เม่อื พ.ศ. ๒๔๔๐ ศาลากลางจังหวัดไดย้ า้ ยมาอยู่ทางฝ่ังตะวันตกของแมน่ ้�ำ สวนสาธารณะแหง่ นี้ ประชาชนจงึ นยิ มมาออกกำ� ลงั กายและพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ แม่กลอง แต่ศาลหลักเมอื งยงั คงตัง้ อยู่ทีเ่ ดิมภายในกำ� แพงเมอื ง ซ่งึ เป็นท่ีตัง้ กนั เป็นประจ�ำ ของค่ายภาณรุ ังษี มีกรมการทหารช่างและจังหวดั ทหารบกราชบรุ ใี นปจั จบุ นั ศาลหลักเมืองแหง่ นจ้ี งึ อยู่ภายใตก้ ารดูแลของคา่ ยภาณุรังษี เปน็ ที่ นับถือว่าศักดสิ์ ทิ ธ์ิ มปี ระชาชนไปบูชากราบไหว้อยเู่ สมอและในเดอื นเมษายน ทุกปีจะมีการจัดงานสมโภชเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้มาปดิ ทอง และสรงน�้ำในเทศกาลสงกรานต์ ปจั จบุ ันกรมการทหารชา่ งได้ จัดทหารคอยดูแลท�ำความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของศาล เจา้ พ่อหลกั เมือง และสร้างศาลาทองข้นึ เพอ่ื จดั ดอกไม้ ธูปเทียน ไวบ้ รกิ าร ประชาชน ประชาชนนิยมไปบชู ากราบไหว้ศาลหลกั เมือง เพื่อความเปน็ สิรมิ งคล
156 157 ทิวทศั นย์ ามเชา้ มมุ มองบนเขาแก่นจันทน์ พระพุทธนิรโรคนั ตรายชยั วฒั นจ์ ตุรทศิ ท่ีประดษิ ฐานพระสมี่ มุ เมอื ง พระส่มี มุ เมือง เขาแกน่ จันทน์ เขาแกน่ จนั ทน์ ต้งั อยรู่ ิมถนนเพชรเกษม หา่ งจากตวั จงั หวดั ประมาณ ๒ กโิ ลเมตร เปน็ จดุ ชมทศั นียภาพของตวั เมืองราชบุรีที่สวยงามแหง่ หนงึ่ และ เป็นสถานท่ปี ระดษิ ฐานพระพทุ ธนิรโรคนั ตรายชยั วฒั น์จตุรทิศ หรือ “พระ ส่ีมมุ เมอื ง” พระพทุ ธรปู ปางตรสั รู้ ขนาดหนา้ ตักกวา้ ง ๔๙ น้ิว สูง ๖๙ น้ิว นกั ทอ่ งเที่ยวนิยมมาสักการะสง่ิ ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ที่วดั หนองหอย โลหะท่ีใชห้ ลอ่ ประกอบดว้ ยทองเหลือง ๒ สว่ น ทองแดง ๑ สว่ น ทองขาว พระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ัตว์กวนอมิ วดั หนองหอย ๑ สว่ น พระพุทธรปู นี้มีเพยี ง ๔ องค์ทั่วประเทศ ที่กรมการรกั ษาดนิ แดน สรา้ งขน้ึ โดยพระราชดำ� รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และไดพ้ ระราชทาน วดั หนองหอย ต้ังอยทู่ ่ตี ำ� บลเขาแร้ง อำ� เภอเมือง หา่ งจากตวั เมือง ประดิษฐานไว้ประจ�ำทศิ ท้งั ๔ คือ ประมาณ ๑๒ กโิ ลเมตร เปน็ ทต่ี งั้ ของพระวหิ ารพระอวโลกเิ ตศวรโพธสิ ตั วก์ วนอมิ ทิศตะวันตก ประดษิ ฐานไวท้ จ่ี ังหวดั ราชบุรี ประชาชนทวั่ ไปเรียกกันวา่ “เขาเจา้ แมก่ วนอิม วัดหนองหอย” ซ่งึ ตงั้ อย่บู น บนยอดเขาแกน่ จันทน์ ยอดเขาแร้ง พระโพธสิ ัตว์กวนอิมองคใ์ หญป่ างน่งั ประทานพร สงู ๑๖ เมตร ทศิ เหนอื ประดิษฐานไวท้ ี่จงั หวดั ล�ำปาง หนา้ ตกั กวา้ ง ๙ เมตร สว่ นอกี องคเ์ ปน็ พระโพธสิ ตั วก์ วนอมิ ปางยนื ประทานพร ใกล้ศาลเจ้าพ่อหลักเมอื ง หตั ถ์ซ้ายทรงแจกันมณี หตั ถข์ วาทรงก่งิ สน มคี วามสงู ประมาณ ๓.๕๙ เมตร ทศิ ตะวันออก ประดิษฐานไว้ท่จี งั หวดั สระบรุ ี สำ� หรบั อีกดา้ นหนง่ึ ของยอดเขา (เขาพระใหญ)่ ประดษิ ฐาน พระพุทธรัตน- ในวัดศาลาแดง (ใกล้ศาลากลางจงั หวัด) โกสินทร์มหามุนี (หลวงพ่อใหญ)่ เป็นวดั ที่มีผู้ศรัทธานยิ มมาไหวพ้ ระกันมาก ทศิ ใต ้ ประดิษฐานไว้ท่ีจังหวดั พทั ลุง นอกจากนด้ี ้านบนยังมจี ุดชมทัศนียภาพ สามารถมองเห็นภูเขาและทอ้ งทุ่งนา ใกลศ้ าลากลางจงั หวัด ในจงั หวดั ราชบุรใี นมุมกว้าง ดอกไมแ้ ละบรรยากาศ ระหว่างทางข้ึนเขาแกน่ จันทน์
158 159 แหลง่ ท่องเทยี่ วทางธรรมชาติ ช่วงเวลาแห่งการดคู ้างคาว วดั เขาช่องพราน เสน่ห์และความงามของน้�ำตกเก้าช้นั ดว้ ยการคมนาคมที่สะดวกสบายและทีต่ ัง้ ของจังหวดั ราชบรุ ีซึ่งไมไ่ กล จากกรงุ เทพฯ จงึ มีนักทอ่ งเท่ียวมากมายนยิ มไปพกั ผ่อนหย่อนใจชนื่ ชมแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วทางธรรมชาตซิ ่ึงมีอยู่เปน็ จำ� นวนมากในจังหวัดราชบุรี ไดแ้ ก่ ค้างคาว วัดเขาชอ่ งพราน เขาช่องพราน ตั้งอย่ทู ่ตี ำ� บลเตาปูน ห่างจากตวั อำ� เภอโพธารามไป ฝูงคา้ งคาวนบั ลา้ นตวั บนิ ออกจากถำ้� ทางทิศตะวันตกประมาณ ๙ กโิ ลเมตร ถ้ามาจากตัวเมอื งราชบุรี ใช้เส้นทาง เขาง-ู เบกิ ไพร ไปประมาณ ๑๗ กโิ ลเมตร บนเขาชอ่ งพรานมถี ำ�้ ชอ่ื วา่ “ถำ้� พระ” เป็นทีป่ ระดิษฐานพระพทุ ธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ และยงั มพี ระพุทธรปู เก่าแก่ปางต่างๆ นบั ร้อยองค์ นอกจากนน้ั ยังมพี ระพทุ ธบาทจำ� ลองอีกด้วย แต่ส่ิงที่สร้างช่ือเสียงให้เขาช่องพรานโด่งดังเป็นท่ีรู้จักในระดับสากล กค็ อื ฝงู คา้ งคาวนบั ลา้ นๆ ตวั ทบ่ี นิ ออกหากนิ ในยามเยน็ ดงึ ดดู ใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี ว ทง้ั ชาวไทยและชาวตา่ งชาตมิ าเฝา้ ชมฝงู คา้ งคาวทม่ี ลี ลี าการบนิ เปน็ ขบวนยาว สวยงาม ใชเ้ วลาบนิ ออกจากถำ�้ ยาวนานนบั ชวั่ โมง ถอื เปน็ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ท่นี า่ มหัศจรรยย์ งิ่ นัก นำ�้ ตกเกา้ ชนั้ น้ำ� ตกเก้าช้ัน ตง้ั อย่ทู ่ีบา้ นห้วยผาก ต�ำบลผาผง้ึ อ�ำเภอสวนผง้ึ เดมิ น�ำ้ ตกชนั้ อนุบาล ชาวบ้านเรียกกันวา่ “น้�ำตกเก้าโจน” หรือ “น้�ำตกเก้ากระโจน” ตามลกั ษณะ ลานตากผ้าพระอินทร์ ของสายน�ำ้ ท่ีทิ้งตัวลงเบ้อื งล่างคลา้ ยกระโจนลงมา ตอ่ มาเมื่อสมเดจ็ พระเทพ- รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ เย่ียมต�ำรวจตระเวนชายแดนและ ประชาชน ไดท้ อดพระเนตรน�ำ้ ตกแหง่ นี้จงึ พระราชทานนามใหว้ า่ “น�้ำตก เก้าช้นั ” และโปรดให้จดั นำ้� ตกแห่งนีเ้ ปน็ สว่ นหน่ึงของโครงการธรรมชาติ ศึกษาวิทยา เพอื่ ใหเ้ ป็นเขตอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถนิ่ ประชาชนจะได้ใชเ้ ปน็ สถานท่พี ักผอ่ นและศกึ ษาธรรมชาติ น�ำ้ ตกเก้าช้นั จะเร่ิมจากชั้นอนุบาลจนถงึ ช้ันเก้า ซง่ึ แต่ละชนั้ มคี วาม สวยงามแตกตา่ งกนั ไป แตช่ น้ั ทจ่ี ดั วา่ สวยงามทสี่ ดุ กค็ อื ชน้ั เกา้ เพราะมหี นา้ ผา สูงใหญ่ มลี านหินกวา้ ง โดยเฉพาะในชว่ งฤดนู ้ำ� มาก ราวเดือนตลุ าคมถึง พฤศจิกายน น้ำ� ตกจะไหลลงมาเหมือนก�ำแพงน�้ำขนาดใหญ่ ตลอดระยะทาง ประมาณ ๓ กโิ ลเมตร นอกจากนักทอ่ งเที่ยวจะได้ชื่นชมกบั นำ้� ตกชน้ั ต่างๆ ท่ี มีเสน่หแ์ ละความสวยงามแตกตา่ งกัน ยงั จะได้ศึกษาเรียนรู้เกย่ี วกับพรรณไม้ ตา่ งๆ เชน่ ไผร่ วก มะขามปอ้ ม ชะเอมไทย ชะเอมปา่ ตะแบก ไมแ้ ดง ไมเ้ ตง็ ฯลฯ และยงั ไดศ้ กึ ษาเกยี่ วกบั หนิ ตลอดสองขา้ งทาง โดยเฉพาะชน้ั สามทม่ี ลี าน ตากผา้ พระอนิ ทร์ เปน็ ลานหนิ กวา้ งใหญ่ สามารถนงั่ พกั ผอ่ นชนื่ ชมธรรมชาตไิ ด้
160 161 แหลง่ ท่องเทย่ี วเชิงประวัตศิ าสตร์ วฒั นธรรม ส�ำหรับนักท่องเที่ยวท่ีชื่นชอบการท่องเท่ียวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จงั หวัดราชบรุ กี ม็ ีสถานท่ที อ่ งเท่ยี วทเ่ี ป็นแหลง่ เรียนรใู้ ห้ไดศ้ ึกษา มากมาย อาทิ พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วดั ขนอน โบราณสถานคบู ัว ตัวอยา่ งหนงั ใหญภ่ ายในพิพิธภณั ฑ์ พพิ ธิ ภณั ฑห์ นงั ใหญว่ ดั ขนอน ตง้ั อยทู่ วี่ ดั ขนอน ตำ� บลสรอ้ ยฟา้ อำ� เภอ อาคารพิพธิ ภัณฑห์ นังใหญ่วัดขนอน โพธาราม วดั ขนอนมีความมงุ่ มัน่ ในการอนุรักษ์หนงั ใหญม่ าต้ังแต่อดตี จนถึง โบราณสถานคูบัวต้งั อยภู่ ายในวัดโขลงสวุ รรณคีรี ตำ� บลคบู ัว แต่ละมุมมองโบราณสถานคูบวั ปจั จบุ นั วดั ไดร้ ว่ มกบั ภาครฐั และเอกชนในการนำ� หนงั ใหญไ่ ปแสดงทง้ั ในประเทศ อำ� เภอเมอื ง เป็นเมืองโบราณสมยั ทวารวดี มกี ารคน้ พบโบราณวตั ถุมากมาย และตา่ งประเทศมาแลว้ หลายครงั้ ใน พ.ศ. ๒๕๓๒ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ โดยเฉพาะเศยี รพระพทุ ธรปู สมยั ตา่ งๆ ซง่ึ เกบ็ รกั ษาไวท้ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ สยามบรมราชกุมารี องค์อปุ ถัมภ์มรดกไทย ทรงเห็นคุณคา่ ในการแสดงและ ราชบุรแี ละวดั โขลงสุวรรณครี ี เป็นโบราณสถานที่ขดุ คน้ พบหลักฐานทาง ศลิ ปะในตวั หนงั ใหญ่ จงึ มพี ระราชดำ� รใิ หว้ ดั ชว่ ยอนรุ กั ษห์ นงั ใหญท่ ง้ั ๓๑๓ ตวั โบราณคดหี ลายอยา่ งซึ่งชี้ใหเ้ หน็ วา่ ดนิ แดนราชบุรแี หง่ นีเ้ คยเป็นเมืองทา่ ท่ี โดยจัดท�ำหนงั ใหญช่ ดุ ใหมข่ น้ึ ไว้แสดงแทนชดุ เกา่ สว่ นตวั หนังชุดเกา่ ให้เก็บ เจริญรุ่งเรืองในยุคทวารวดี สถาปัตยกรรมในเมอื งโบราณคบู ัวได้รับอิทธิพล รกั ษาไวใ้ นพิพธิ ภัณฑโ์ ดยหา้ มนำ� ไปแสดง วัดขนอนจงึ ไดร้ ว่ มกับมหาวิทยาลยั ทางด้านศลิ ปะจากชา่ งสมัยราชวงศค์ ุปตะ ประเทศอนิ เดยี ศลิ ปากร จดั ทำ� พพิ ธิ ภณั ฑใ์ นลกั ษณะเรอื นไทยแสดงตวั หนงั ใหญช่ ดุ เกา่ ทม่ี อี ายุ กวา่ ๑๐๐ ปี ไว้สำ� หรับการศึกษาและวดั ยังได้ฝึกหดั เยาวชนให้เรยี นรูใ้ นด้าน การแสดงหนังใหญ่ การเลน่ ดนตรีไทยและการแกะสลกั หนังใหญ่ เพอ่ื สืบทอด งานศลิ ปวฒั นธรรมอนั ทรงคณุ คา่ ใน พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการผเู้ ชย่ี วชาญ ทางวัฒนธรรมของยูเนสโก ประกาศให้ “การสืบทอดและฟ้นื ฟหู นังใหญ่ วดั ขนอน” ไดร้ บั รางวลั จากองคก์ ารศึกษา วทิ ยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แหง่ สหประชาชาติ หรือยเู นสโก (UNESCO) และได้รบั การยกย่องใหเ้ ป็น ๑ ใน ๖ ชุมชนดเี ดน่ ของโลกท่ีมีผลงานในการอนุรกั ษฟ์ ืน้ ฟมู รดกวัฒนธรรมเชิง นามธรรม พิพธิ ภัณฑห์ นงั ใหญ่วดั ขนอน เปดิ บริการใหเ้ ขา้ ชมทุกวนั ตั้งแตเ่ วลา ๐๘.๐๐-๑๗.๓๐ น. สว่ นโรงแสดงหนงั ใหญว่ ดั ขนอน เปดิ การแสดงทกุ วนั เสาร์ เวลา ๑๐.๐๐-๑๑.๐๐ น. นอกจากน้ีทางวัดยังได้จัดงานเทศกาลหนงั ใหญ่ วัดขนอน ในวันท่ี ๑๓-๑๔ เมษายน ของทกุ ปี
162 163 วหิ ารแกลบ ตลาดนำ�้ ดำ� เนนิ สะดวก วหิ ารแกลบ ต้ังอยู่ภายในวดั เขาเหลือ ต�ำบลหนา้ เมอื ง อำ� เภอเมือง หากพดู ถงึ ตลาดนำ�้ ทเ่ี ปน็ ทรี่ จู้ กั มาชา้ นานทงั้ ระดบั ประเทศและระดบั โลก สร้างด้วยอฐิ ฉาบปนู ทัง้ หลัง ฐานวหิ ารเป็นฐานบัวลูกฟกั แอ่นโค้งคลา้ ย ก็คงตอ้ งนกึ ถึงตลาดน้ำ� ดำ� เนนิ สะดวก อ�ำเภอด�ำเนนิ สะดวก จงั หวัดราชบรุ ี ทอ้ งเรอื สำ� เภา อนั เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของสถาปตั ยกรรมสมยั อยธุ ยาตอนปลาย โดยรัชกาลที่ ๔ ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหข้ ดุ คลองเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งแม่นำ้� แมก่ ลอง ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ีค่อนข้างลบเลือนแต่ยังพอมองเห็นว่า และแมน่ �้ำท่าจนี เพอ่ื ประโยชน์ในการคมนาคมและการค้าขาย ใชเ้ วลาขุด เป็นภาพพระพุทธประวตั ิ เทพชมุ นุม และภาพยกั ษ์ ภายในมหี ลวงพอ่ เหลือ ๒ ปเี ศษ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๐๙ - ๒๔๑๑ คลองนมี้ คี วามยาวประมาณ ๓๒ กโิ ลเมตร ประดิษฐานเป็นองคพ์ ระประธาน กรมศลิ ปากรประกาศข้ึนทะเบยี นเป็น กวา้ ง ๖ วา ลกึ ๖ ศอก โบราณสถานของชาติ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๙ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๔๒ มีการขุดคลอง คลองขดุ ลดั ราชบุรี (คลอง ลดั พลีในปจั จบุ ัน) เพอื่ เป็นเสน้ ทางลัดไปยงั ราชบุรี คลองแหง่ น้ีได้หลอ่ เลีย้ ง พระพทุ ธรปู ภายในถ�ำ้ เกษตรกรรมของชาวด�ำเนินสะดวกท�ำให้มีความเจริญด้านเกษตรกรรมเป็น อย่างมาก ชาวดำ� เนนิ สะดวกได้น�ำผลผลิตของตนออกจ�ำหน่ายสูท่ ้องตลาด วิหารแกลบ โดยผา่ นคลองแห่งนี้ พอ่ ค้าแมค่ า้ น�ำสนิ คา้ มาซือ้ ขายแลกเปลีย่ นกนั เกิดเป็น ตลาดน้ำ� แห่งแรก ช่ือวา่ “ตลาดนำ�้ ด�ำเนินสะดวก ปากคลองลัดราชบรุ ”ี เดิม ถ�้ำฤาษเี ขางู มชี ือ่ เรียกว่า “นัดศาลาห้าหอ้ ง” “นดั ศาลาแดง”หรอื “นดั หลกั แปด” ตลาดนำ�้ ด�ำเนนิ สะดวก เป็นที่ร้จู ักส่สู ายตาชาวโลกในฐานะแหล่ง ถำ�้ ฤาษีเขางู ตงั้ อย่บู ริเวณเชงิ เขา ในอุทยานหนิ เขางู ตำ� บลเกาะ พระพุทธรปู จ�ำหลกั ที่ผนงั ถ้ำ� ฤาษีเขางู ทอ่ งเทยี่ วคร้งั แรก เมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยการทอ่ งเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย พลบั พลา อำ� เภอเมอื ง โดยอทุ ยานหนิ เขางมู ลี กั ษณะเปน็ ถำ้� หรอื ศาสนสถานท่ี ปฤู่ าษเี ขางู นำ� เสนอในภาพของตลาดลอยน�้ำ ท่ีมีพอ่ ค้าแมค่ า้ จำ� นวนมากแตง่ กายดว้ ย เกีย่ วเนื่องกับพุทธศาสนา ภายในถ�้ำมพี ระพทุ ธรปู จ�ำหลักตดิ ผนงั ถ�้ำ เป็น เสื้อผา้ สเี ข้มแบบชาวสวน ใสห่ มวกงอบใบลาน พายเรอื บรรทกุ สินคา้ ผัก พระพทุ ธรปู ประทบั นง่ั หอ้ ยพระบาท ปางแสดงธรรมเทศนา หรอื วติ รรกะมทุ รา ผลไม้ ขายชาวบา้ นและนกั ทอ่ งเทยี่ ว ตามแบบพทุ ธศลิ ปส์ มยั ทวารวดี (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑–๑๓) ลกั ษณะพระพกั ตรแ์ บน จากอดีตจวบถึงปัจจุบันแม้ตลาดน้�ำด�ำเนินสะดวกจะย้ายออกมาตรง พระขนงเปน็ เส้นนนู โคง้ ตอ่ กนั เปน็ รปู ปีกกา พระเนตรโปน พระนาสกิ แบน คลองตน้ เข็ม จุดทนี่ ักท่องเทย่ี วสามารถเดินทางมาสะดวก และเปลยี่ นสภาพ พระโอษฐ์หนา ขมวดพระเกศาใหญ่ มีรศั มเี ป็นรูปดอกบวั ตูม ระหวา่ งขอ้ เปน็ กงึ่ ตลาดบกกง่ึ ตลาดนำ้� แตต่ ลาดนำ�้ แหง่ นกี้ ย็ งั คงมนตเ์ สนห่ ด์ งึ ดดู นกั ทอ่ งเทย่ี ว พระบาทมจี ารึกอักษรปัลลวะภาษาสนั สกฤต อ่านวา่ ปุญกรรมชระศรีสมาธิ ท้งั ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศให้มาเยย่ี มชมมไิ ด้ขาด นอกจากจะไดอ้ ดุ หนุน คปุ ตะ แปลวา่ พระศรสี มาธคิ ปุ ตะเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธด์ิ ว้ ยการทำ� บญุ นบั เปน็ รอ่ งรอย สินคา้ อยา่ งพชื ผกั ผลไม้ สนิ คา้ หตั ถกรรมพ้ืนเมืองตลอดจนรา้ นขายของท่ี ศิลปะสมัยทวารวดที ีส่ �ำคญั อกี แห่งหนง่ึ ภายในถ�ำ้ ยังมพี ระพทุ ธรปู ยนื ปาง รบั จากโรงงานในกรุงเทพฯ หรอื จากต่างจงั หวัดทว่ั ประเทศแลว้ ยังมีกจิ กรรม เสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์ นอกจากน้ยี งั มีพระพุทธรูปหินทรายศิลปะสมัยอยุธยา ล่องเรอื ชมวิถีชีวิตของชาวดำ� เนินสะดวก อีกหลายองค์ บริเวณรอบๆ ก็จะมีฝงู ลิงอาศัยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก ใกลก้ นั ยงั มีตลาดน�้ำท่ภี าคประชาชนร่วมใจกนั ฟน้ื ฟขู นึ้ มาใหม่ กค็ ือ ตลาดนำ้� เหล่าตั๊กลก๊ั บริเวณปากคลองลัดพลี จุดทีเ่ ปน็ ตลาดน�้ำดำ� เนินสะดวก ในอดตี ซึง่ ยังคงหลงเหลือกลนิ่ อายตลาดเก่า เรอื นไม้เกา่ ริมน�้ำและวถิ ชี ีวติ แบบจีนใหน้ ักทอ่ งเทย่ี วได้ไปย้อนอดตี หากจะมาเที่ยวชมตลาดน้ำ� ควรมา ตั้งแตเ่ ชา้ ตรู่ ชว่ ง ๐๖.๐๐-๑๑.๐๐ น. ซึ่งเปน็ ชว่ งท่ตี ลาดคึกคักที่สดุ บรรยากาศตลาดน้ำ� ดำ� เนนิ สะดวกยามเชา้
164 165 อาคารเชดิ ชเู กยี รติ ลานพระพทุ ธรูป ๓ สมัย อาคารเชิดชเู กยี รติ เปน็ อาคารท่ีน�ำเสนอเรอื่ งราวรปู ป้ันหุ่นขผี้ ้ึง ไฟเบอรก์ ลาสของบคุ คลสำ� คัญพร้อมเกยี รตปิ ระวตั ิ คุณความดี ทงั้ ชาวไทย ม.ล.ปนิ่ มาลากลุ สืบ นาคะเสถียร ประธานาธบิ ดีโฮจิมินห์ และชาวตา่ งประเทศ เช่น มนตรี ตราโมท สืบ นาคะเสถยี ร ม.ล.ป่นิ มาลากลุ สัญญา ธรรมศกั ดิ์ แม่ชเี ทเรซา โฮจิมนิ ห์ เต้งิ เสย่ี วผงิ เหมาเจอ๋ ตงุ โดยจ�ำลอง อทุ ยานห่นุ ข้ีผ้ึงสยาม หลวงปู่แหวน ห้องท�ำงานของแตล่ ะทา่ น เหมือนตอนทยี่ งั มชี ีวิตอยู่ หลวงปทู่ วด ลานพระพทุ ธรูป ๓ สมยั แสดงผลงานประตมิ ากรรมพระพทุ ธรูป อทุ ยานหุ่นขีผ้ ง้ึ สยาม ตัง้ อยบู่ ริเวณถนนเพชรเกษม ตำ� บลวงั เยน็ จดั แสดงแสงเสียง เรอื่ ง “พระเวสสนั ดร” วถิ ีชวี ิตชาวไทยภาคเหนือ ๓ สมยั ไดแ้ ก่ สมยั อยธุ ยา สมยั สโุ ขทยั และสมัยเชยี งแสน (ล้านนา) ซ่ึงมคี วาม อำ� เภอบางแพ อยู่หา่ งจากสี่แยกบางแพไปตามถนนบางแพ-ด�ำเนนิ สะดวก บ้านไทยภาคใต้ แตกตา่ งกันเพราะไดร้ ับอทิ ธิพลจากศาสนา สังคมและวฒั นธรรมทมี่ ีความ ประมาณ ๖๐๐ เมตร อุทยานอยู่ดา้ นขวามือ ต้ังขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๐ ด้วย เปลยี่ นแปลง วตั ถปุ ระสงค์ให้เปน็ แหลง่ พักผอ่ นหย่อนใจ และนำ� เสนอแงม่ ุมดา้ นศิลปะ ถำ�้ ชาดก เปน็ ถำ�้ จำ� ลองจดั แสดงแสงเสยี งเกย่ี วกบั พระชาตสิ ดุ ทา้ ยของ วฒั นธรรม และวิถคี วามเปน็ อยู่ท่ีงดงามในสังคมพุทธของไทย อุทยานหนุ่ ขผ้ี ึง้ พระพทุ ธเจ้า เรอ่ื ง พระเวสสนั ดร ตอน ชชู กขอสองกมุ าร โดยเรอื่ งราว สยามเกิดข้ึนจากความตั้งใจและความคิดของท่านผู้ก่อต้ังซ่ึงมีรากฐานการ จะแสดงถงึ คติธรรมคำ� สอน เพือ่ ให้มนุษย์รจู้ กั ถงึ ความพอดใี นการด�ำเนนิ ชวี ติ เรมิ่ ตน้ ของงานมาจากงานหลอ่ พระพทุ ธรปู งานหลอ่ ประตมิ ากรรม นบั จากอดตี กฏุ พิ ระอรยิ สงฆ์ จดั แสดงหนุ่ ขผี้ งึ้ พระอรยิ สงฆภ์ ายในกฏุ ติ ามภาคตา่ งๆ จนปจั จบุ นั เปน็ ระยะเวลากวา่ ๔๐ ปี จากประสบการณท์ ำ� ใหผ้ กู้ อ่ ตง้ั มคี วามคดิ ไดแ้ ก่ ภาคกลาง มสี มเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (โต พรหมรงั ส)ี วดั ระฆงั โฆสติ าราม ทจ่ี ะสรา้ งสรรคผ์ ลงานประตมิ ากรรมรปู เหมอื นของพระสงฆร์ ปู ตา่ งๆ ซง่ึ จำ� พรรษา กรงุ เทพฯ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทยั ) วดั สระเกศ กรงุ เทพฯ ในกุฏิ และรปู เหมอื นบคุ คลสำ� คญั ต่างๆ ท่ที ่านผู้กอ่ ต้งั มคี วามศรัทธายกยอ่ ง ภาคเหนอื ครูบาศรวี ิชัย สริ วิ ิชโย วดั บ้านปาง อ�ำเภอล้ี จังหวดั ลำ� พูน ในดา้ นแนวความคดิ ในการทำ� งานและการดำ� เนนิ ชวี ติ จนประสบความสำ� เรจ็ หลวงปแู่ หวน สจุ ณิ โณ วดั ดอยแมป่ ง๋ั อำ� เภอพรา้ ว จงั หวดั เชยี งใหม่ ภาคอสี าน รวมทง้ั รปู เหมอื นวถิ ชี วี ติ วฒั นธรรม ความเปน็ ไทย ในภาคตา่ งๆ ของประเทศไทย พระอาจารยม์ ั่น ภูริทตั โต วดั ปา่ สุทธาวาส จงั หวดั สกลนคร หลวงป่เู หรยี ญ ภายในอทุ ยานหุ่นข้ีผง้ึ สยาม ประกอบดว้ ย วรลาโภ วดั อรัญบรรพต อำ� เภอศรีเชียงใหม่ จังหวดั หนองคาย ภาคใต้ พระราชมุนีสามีรามคณุ ปู มาจารย์ (หลวงปูท่ วด) วัดชา้ งไห้ จงั หวดั ปัตตานี วิถีชีวิตชาวไทยภาคใต้ พระครวู สิ ยั โสภณ (พระอาจารยท์ มิ ธัมมธโร) วัดชา้ งไห้ จงั หวัดปัตตานี และ มหี อสวดมนต์ เปน็ ทีป่ ระดษิ ฐานของพระภกิ ษสุ งฆท์ ่มี ชี ่อื เสยี งท้งั ๕ ภาค ในประเทศไทย บา้ นไทย ๔ ภาค จำ� ลองบา้ นไทยตามลักษณะทางสถาปตั ยกรรมท่ี เด่นชดั จาก ๔ ภาค ในประเทศไทยทง้ั ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอสี าน และ ภาคใต้ สะทอ้ นถงึ เรอื่ งราววฒั นธรรมการด�ำเนนิ ชีวติ ของแต่ละภาค ลานพระโพธิสตั ว์อวโลกเิ ตศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จำ� ลองข้ึน จากงานประติมากรรมศลิ ปะราชวงศ์ซอ้ ง ประเทศจีน ลักษณะทา่ นงั่ เรียกว่า ปางมหาราชลีลา มีขนาดความสูง ๓.๕ เมตร
166 167 ธารนำ�้ ร้อนบอ่ คลงึ ถำ�้ จอมพล ธารนำ�้ รอ้ นบ่อคลงึ ตงั้ อยูท่ ี่บา้ นบ่อคลงึ ต�ำบลสวนผง้ึ อ�ำเภอสวนผง้ึ ถำ�้ จอมพล หรือชอื่ เดิมว่า “ถำ�้ มุจลินทร์” ตง้ั อย่ทู ่ีอ�ำเภอจอมบงึ ใน เปน็ พ้ืนทขี่ องเอกชน ถูกค้นพบโดยนายประยรู โมนยะกลุ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๖๘ บรเิ วณสวนรกุ ชาตจิ อมพล ตดิ กบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ บรเิ วณน้ี ปัจจบุ นั ดแู ลโดยทายาทตระกลู โมนยะกุล ธารน�ำ้ ร้อนบอ่ คลึง ลักษณะเป็น จะมฝี งู ลงิ อาศยั อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก ตรงปากถำ�้ มกี ารสลกั อกั ษรพระปรมาภไิ ธยยอ่ ลำ� ธารเลก็ ๆ มนี ำ�้ ไหลซมึ ออกมาจากตานำ้� ใตด้ นิ ไมข่ าดสาย บรเิ วณตน้ นำ้� จะมี จปร ของรชั กาลที่ ๕ ภปร ของรัชกาลที่ ๙ และวชริ าลงกรณ์ ของสมเด็จ กอ้ นหินใหญเ่ ล็กเตม็ ไปหมด ดสู วยงามตามธรรมชาติ นักทอ่ งเทีย่ วส่วนใหญ่ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชริ าลงกรณ สยามมกุฎราชกมุ าร จะเดินทางมาแชน่ ำ้� รอ้ น เพราะในนำ้� รอ้ นมแี รธ่ าตุกำ� มะถนั เจอื ปน ช่วยผ่อน คลายความเม่ือยลา้ ไดด้ ี ธารน้�ำร้อนบอ่ คลงึ มีบ่อน้�ำร้อนให้บริการลงแช่อยู่ ๓ แบบ คือ ๑. สระดนิ เปน็ บอ่ ทธี่ ารนำ้� รอ้ นไหลลงมา จำ� ลองเหมอื นบอ่ ธรรมชาติ พน้ื ทเี่ ปดิ โลง่ มรี ม่ เงาตน้ ไม้ นำ้� สฟี า้ คลา้ ยนำ้� ทะเล อณุ หภมู ขิ องนำ้� อยทู่ ปี่ ระมาณ ๔๐-๕๐ องศาเซลเซยี ส ๒. สระกระเบ้อื ง เปน็ สระท่ีอยู่อีกฝ่งั เดนิ เขา้ ไปในสวนไม้ประดับ มีความเปน็ ส่วนตวั มีท่ีน่งั แชน่ ำ้� ไดบ้ รรยากาศของการแชน่ �ำ้ แร่รอ้ นมากขึน้ อุณหภมู ปิ ระมาณ ๕๖ องศาเซลเซยี ส ๓. ทแ่ี ช่เทา้ มี ๒ จุด คอื ๑) บอ่ ปูนสีเ่ หลี่ยมผืนผา้ ขนาดเลก็ ๒) ตรงปากทอ่ น้�ำไหลซ่ึงเปน็ ท่ีปลอ่ ยนำ้� รอ้ นจากสระดินสู่สระน้ำ� ขนาดใหญ่ จะกอ่ ปูนไว้สำ� หรบั นั่งแชเ่ ทา้ ได้ ธารน�้ำร้อนบ่อคลึงเปิดบริการให้เท่ียวชมล�ำธารน�้ำแร่ร้อนและแช่ น�้ำแร่รอ้ น วันจันทร-์ ศุกร์ เปดิ ต้ังแตเ่ วลา ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ น. วนั เสาร์-อาทติ ย์ เปดิ ตง้ั แตเ่ วลา ๐๘.๐๐-๑๘.๐๐ น. คา่ บรกิ ารเขา้ ชมทา่ นละ ๕ บาท นอกจากนี้ ยังมีรีสอร์ทบริการท่พี กั สำ� หรับนกั ทอ่ งเทยี่ วท่ตี ้องการพกั ค้างคืน ซ่ึงต้งั อยู่ บริเวณปากทางเข้าธารน�้ำรอ้ นบ่อคลึง นักทอ่ งเทยี่ วนิยมแชเ่ ท้าผ่อนคลายในบ่อนำ�้ รอ้ น
168 169 ภายในถ�้ำจอมพล นกั ทอ่ งเท่ยี วจะได้ชน่ื ชมหนิ งอก หินยอ้ ย มเี กล็ด ปลอ่ งอากาศ บรเิ วณ “ธารเนรมิต” ฉายแสงระยบิ ระยบั อยตู่ ลอดเวลาสวยงามมาก โดยมชี อื่ เรยี กแตล่ ะบรเิ วณ คอื บรเิ วณท่ี ๑ ช่ือ ธารศิลา ลักษณะเป็นแอ่งสำ� หรบั เกบ็ น�้ำ มีหินงอก รปู ร่างตา่ งๆ อยู่รายรอบ บริเวณท่ี ๒ ชื่อ จุลคหู า เปน็ คูหาเลก็ อยู่ทางขวามอื ลักษณะเป็น ทางเดนิ แคบๆ บรเิ วณที่ ๓ ชอ่ื พชิ ิตชล หินงอกแท่งใหญ่ สูงขน้ึ ไปบนเพดานถำ�้ และมีแอ่งน�ำ้ ลดหล่ันลงมาเป็นชน้ั ๆ ส่วนนใ้ี นอดีตมีน้�ำไหลทั้งปี และเม่อื เดนิ ชมใหร้ อบๆ บริเวณจะเห็นหินงอก หินยอ้ ยอยูร่ อบๆ บรเิ วณท่ี ๔ ช่อื สร้อยระย้า เปน็ หินงอกห้อยระย้าลงมา จะมหี ินสอง ส่วนทห่ี อ้ ยระยา้ จากเพดานถ�ำ้ และส่วนทีง่ อกข้นึ มาจากพนื้ ถ�้ำ บรเิ วณที่ ๕ ชอ่ื ผาวจิ ติ ร เปน็ บรเิ วณทม่ี พี นื้ ทก่ี วา้ งขวาง มเี พดานสงู มหี นิ งอกย้อยเปน็ เหมอื นฉากท่สี รา้ งไวอ้ ยา่ งสวยงาม ทเ่ี พดานมีรอ่ งรอย หลากหลาย ความงดงามของหนิ ผาทมี่ รี วิ้ รอยตามรปู รา่ ง เสมอื นอนิ ทรธนบู นบา่ ของนายทหารยศจอมพลในสมยั รชั กาลที่ ๕ พระองคจ์ ึงพระราชทานนามถ�ำ้ น้ใี ห้ใหม่วา่ ถ�ำ้ จอมพล บริเวณ “พิชิตชล” หนิ งอกท่ียอ้ ยหอ้ ยลงมา คลา้ ยอินทรธนู พระพทุ ธไสยาสนใ์ นถ้�ำจอมพล บรเิ วณท่ี ๖ ชอ่ื แสจ้ ามรี เปน็ หนิ ยอ้ ยแทง่ ใหญท่ อดยาวลงมาลกั ษณะ เปน็ ริว้ พูส่ วยงาม ลักษณะของหินงอกคล้ายคนโอบกอดกนั บรเิ วณที่ ๗ ชอ่ื ถำ้� มสั ยาสถิต เปน็ บรเิ วณแคบๆ และมีความมืด มากกว่าบริเวณอน่ื ๆ เข้าไปจะเหน็ หนิ ย้อยลงมา และหินย้อยจะมีแอ่งน้�ำ สมยั กอ่ นเปน็ แอง่ นำ้� ใส ลกึ พอประมาณ มีปลาซวิ แหวกวา่ ยในแอง่ น�ำ้ เรยี ก แอ่งนำ้� นวี้ า่ ประสทิ ธิเทวา ในบรเิ วณใกลก้ ันทางขวามือจะเห็นหนิ ยอ้ ยเปน็ รวิ้ มพี มุ่ ลงมามีช่อื วา่ “เกศาสลวย” บรเิ วณท่ี ๘ ชอ่ื ธารเนรมติ อยบู่ รเิ วณของปลอ่ งอากาศดา้ นพระพทุ ธ- ไสยาสน์ บรเิ วณปลอ่ งอากาศเปน็ บรเิ วณทส่ี วา่ งทส่ี ดุ มแี สงสวา่ งจากปลอ่ งลงมา เป็นล�ำแสงงดงาม นักทอ่ งเท่ียวนยิ มมาชมในชว่ งเวลาบ่ายๆ เพราะลำ� แสง จะส่องลงมาเป็นแนวเฉียงกระทบกับพ้ืนหินบริเวณถ�้ำและกระทบพระพุทธ ไสยาสน์สวยงามยงิ่ นัก บริเวณที่ ๙ ชอ่ื บรมอาสน์ อย่บู ริเวณใกลเ้ คียงกบั พระพทุ ธไสยาสน์ มีหินยอ้ ยลกั ษณะเหมือนกระถาง ถำ�้ จอมพลและสวนรกุ ขชาติ เปน็ แหลง่ ศกึ ษาธรรมชาตทิ สี่ ำ� คญั แหง่ หนงึ่ ของราชบรุ ี ผทู้ เี่ ขา้ มาศกึ ษาจะไดร้ บั ความรใู้ นเรอ่ื งของธรรมชาติ การเกดิ ของหนิ จนกลายเป็นหินงอกหินย้อยทีม่ ีรปู ร่างสวยงาม ศึกษาสัตวต์ ่างๆ ที่มอี ย่ใู นถ้�ำ ศกึ ษาตน้ ไมห้ ลากหลายพรรณในสวนรกุ ขชาติ นอกจากนยี้ งั เปน็ สถานทจ่ี ดั งาน ประเพณีปิดทองพระพทุ ธไสยาสนถ์ �้ำจอมพลของอ�ำเภอจอมบงึ อกี ดว้ ย บริเวณ “แสจ้ ามรี”
170 171 หอ้ งท่ี ๑ “โถงอาคนั ตุกะ” ถ�้ำเขาบนิ หินยอ้ ยคล้ายพระหัตถ์พระพทุ ธรปู หอ้ งท่ี ๒ “ศิวะสถาน” ถ�้ำเขาบนิ ต้ังอยู่ในเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ หมทู่ ่ี ๑๑ ตำ� บลหินกอง ความสวยงามของหินงอก หินย้อยภายในถ�้ำทมี่ รี ปู ลักษณ์ตามแต่จินตนาการของผูช้ ม มา่ นไทรยอ้ ย ตรงประตหู ้องท่ี ๒ หอ้ งที่ ๓ “ธารอโนดาษ” อำ� เภอเมอื ง บนถนนสายราชบรุ ี - จอมบึง หา่ งจากตวั จังหวัดประมาณ ๒๐ กโิ ลเมตร ช่ือ “เขาบิน” มที ่ีมาจากตำ� นานที่เลา่ กันวา่ มีพอ่ คา้ ชาวจีน แล่นเรือสำ� เภาใหญผ่ ่านมา เรือเกิดชนหวั เขาด้านหนึ่งบิ่นไป จึงสนั นิษฐานว่า เรยี กเพี้ยนมาจากเขาบิ่น บา้ งก็สันนษิ ฐานว่า มาจากเอกลกั ษณภ์ ายในหอ้ งๆ หน่ึงของถ�้ำซ่ึงมีลักษณะหินย้อยสีขาวหม่นย่ืนออกมาเหมือนนกเขาก�ำลัง กระพือปีกเหมือนกำ� ลังจะบินจึงได้ชื่อว่าเขาบิน ถำ้� เขาบนิ มเี นอื้ ทภี่ ายในถำ้� ประมาณ ๕ ไรเ่ ศษ ดา้ นในมกี ารตดิ ตงั้ ไฟฟา้ และประดับไฟท�ำให้เห็นความสวยงามของหินงอก หนิ ยอ้ ย ได้อย่างชดั เจน ภายในถำ�้ แบ่งออกเปน็ ๘ ห้องใหญ่ แต่ละห้องมีความเช่ือแตกตา่ งกนั ไป ดังน้ี หอ้ งท่ี ๑ ช่ือ โถงอาคันตกุ ะ เปรียบเสมือนเปน็ หอ้ งรับแขกทีใ่ ช้ ต้อนรบั ผูม้ าเยอื นดว้ ยหินงอกหินย้อยที่ก�ำลงั เกิดใหมอ่ ย่างสวยงาม เชอ่ื ว่า ผ้ทู ี่เขา้ มาในหอ้ งน้ีเป็นผมู้ ีบญุ และมีเพอ่ื นฝูงมากมาย เมอื่ เดินผ่านห้องน้ไี ป เรอื่ งเศร้าโศกใดๆ ก็จะหายไปด้วย จดุ เดน่ ของห้องนคี้ ือมีหนิ รปู ใบหน้าของ ชายชราปรากฏใหเ้ ห็นทผ่ี นังถ�้ำด้านบน ห้องที่ ๒ ชอ่ื ศวิ ะสถาน ผทู้ ไ่ี ด้เขา้ มาสมั ผสั กบั เสาหินทเ่ี ปรยี บเสมือน เสาหลกั เมืองอันศกั ด์ิสทิ ธ์ิประจำ� ถ้ำ� ผนู้ ้นั จะได้รับความสุขสมหวงั คดิ ท�ำ การใดจะสำ� เรจ็ ตรงประตทู างเข้ายังมมี ่านหนิ ปนู ยอ้ ยหอ้ ยระยา้ และท�ำนบ หนิ ปนู ท่ีสวยงามมาก หอ้ งท่ี ๓ ชอ่ื ธารอโนดาษ เชื่อว่าผู้ทไี่ ดเ้ ข้ามาสหู่ ้องศักด์สิ ิทธิแ์ หง่ นี้ จะไดร้ ับยศถาบรรดาศกั ด์ิ บรเิ วณนมี้ ลี ักษณะเป็นน�้ำตกหินปูนคล้ายธารนำ้� ตก ทีไ่ หลลงมาและมมี ่านหินทีม่ ีสีสนั สวยงามแตกตา่ งจากหินท่ัวไป ตรงผนงั ถ�ำ้ เต็มไปดว้ ยฟองหนิ คล้ายปะการงั ใต้ทะเล หอ้ งท่ี ๔ ชือ่ สกณุ ชาติคูหา ความมหศั จรรยข์ องธรรมชาติท่ีเนรมิต ใหห้ นิ ปนู มรี ปู รา่ งคลา้ ยนกกางปกี บนิ ซง่ึ เปน็ ทมี่ าของชอ่ื ถำ้� เชอื่ วา่ ผทู้ ไ่ี ดพ้ บเหน็ จะเปน็ ผ้มู ีสายตาทก่ี ว้างไกลดุจดงั พญาอินทรี เมอ่ื เดินทางไปที่ไหนจะมีความ ปลอดภัยท้ังตนเองและผูร้ ว่ มเดนิ ทาง ผนงั ถ้ำ� ประกอบไปด้วยเสาหนิ ท่ีแข็งแรง หอ้ งที่ ๔ “สกณุ ชาตคิ ูหา”
172 173 หอ้ งที่ ๕ “เทวสภาสโมสร” หนิ งอกคล้ายปฤู่ าษี ภายในถ�้ำ หินยอ้ ยรปู หลอดน�้ำ บ่อนำ้� ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ทางเข้าหอ้ งท่ี ๗ หินย้อยลักษณะเหมือนจระเข้ห้อยหัว หนิ งอกบางจุดมลี ักษณะโปร่งแสง หอ้ งท่ี ๕ ชอื่ เทวสภาสโมสร เช่อื วา่ เปน็ สถานทชี่ มุ นมุ ของเหลา่ ปรากฏการณ์แสงหักเห ทำ� ใหเ้ กิดเงาคล้ายพระน่งั สมาธิ สิง่ ศักดิ์สทิ ธทิ์ ่ีสงิ สถติ ภายในถ้�ำ ผ้ทู ี่เดนิ ทางมาถงึ หอ้ งศักดส์ิ ทิ ธิแ์ ห่งนี้จะมี ความเจริญรงุ่ เรอื ง ภายในหอ้ งประกอบด้วยเสาหนิ ขนาดใหญห่ ลายร้อยต้น หินย้อยทีม่ ีลกั ษณะเหมือนหลอดน�ำ้ ยอ้ ยอยูเ่ ตม็ เพดานถ้ำ� หอ้ งท่ี ๖ ชื่อ กินนรทัศนา ถ้ำ� สขี าวบรสิ ุทธ์ิ เชอ่ื วา่ ผไู้ ด้พบเห็นจะเป็น ผมู้ อี ายยุ นื ยาว และจะไดร้ บั การยกยอ่ งเชดิ ชเู หมอื นดงั หนิ ดอกบวั บรสิ ทุ ธิ์ ๓ ดอก ทยี่ อ้ ยมาจากเพดานของถำ�้ ผนงั ถำ้� ดา้ นในประกอบไปดว้ ยหนิ ยอ้ ยทมี่ ขี นาดเลก็ ใหญง่ ดงามตระการตา สว่ นทลี่ กึ ทสี่ ดุ ของถำ�้ จะมบี อ่ นำ้� แรศ่ กั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ไ่ี มเ่ คยแหง้ ใช้เปน็ น้ำ� สาบานและน�้ำมนต์ หอ้ งที่ ๗ ชือ่ พฤกษาหิมพานต์ ความยิง่ ใหญ่ของหินงอกหินย้อยท่ี ราบเรยี บประดจุ คา้ งคาวกางปกี ผทู้ เี่ ดนิ ทางมาถงึ หอ้ งน้ี มคี วามเชอ่ื วา่ ผนู้ น้ั จะมี บา้ นเรอื นท่ีสงบรม่ เยน็ และจะเป็นท่รี ักและพง่ึ พาของลกู หลาน อกี ดา้ นหนึง่ ของถำ้� เป็นสวนหนิ มตี ้นไม้เปน็ รูปหินย้อย และเสาหนิ มากมาย หอ้ งที่ ๘ ชอ่ื อทุ ยานทวยเทพ สถานทพ่ี บปะสงั สรรคข์ องสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ของถำ�้ หอ้ งนม้ี หี นิ งอกคลา้ ยฤาษี ๒ ตนขนาดใหญแ่ ละขนาดเลก็ นกั ทอ่ งเทย่ี ว นยิ มมากราบไหว้ขอพร ถำ�้ เขาบนิ จดั เปน็ แหลง่ เรยี นรทู้ างธรรมชาตทิ ส่ี ามารถมาศกึ ษาเกย่ี วกบั การเกิดหนิ งอกหินย้อย ซึ่งมคี วามสวยงามและหลากหลายรปู แบบ ห้องท่ี ๗ “พฤกษาหิมพานต”์ นกั ทอ่ งเทยี่ วชมความสวยงามภายในถ�้ำ
174 175 แหลง่ ทอ่ งเที่ยวเชิงเกษตร สวนป่าสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกติ ์ิ ภาคกลาง และแก่งสม้ แมว นกั ทอ่ งเทีย่ วทีต่ ้องการเรียนรูว้ ิถเี กษตรกรรมของชาวราชบุรี จงั หวดั สวนป่าสมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ ภาคกลาง ต้งั อยูท่ อ่ี �ำเภอสวนผ้ึง แห่งน้กี ็มแี หล่งเรียนรู้เชงิ เกษตรมากมายใหไ้ ดไ้ ปชื่นชมความสำ� เร็จ และ ซึ่งอยูห่ ่างจากตวั อำ� เภอประมาณ ๒๕ กโิ ลเมตร เปน็ สวนปา่ ทีจ่ ัดข้นึ ตาม เพลิดเพลินในสวนเกษตร ทีไ่ ด้ทั้งความรู้ และประสบการณ์ใหม่ อาทิ แนวพระราชปณธิ านของสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชินีนาถ ดว้ ยมี พระราชประสงค์จะเหน็ ผนื ปา่ เป็นแหล่งรวมและเพาะพนั ธไ์ุ มใ้ ห้มากชนิดที่สดุ ฟารม์ ตวั อย่างตามพระราชดำ� ริ บ้านบ่อหวี อ�ำเภอสวนผงึ้ ผลฟกั ขา้ ว เพ่อื จะไดเ้ ป็นแหลง่ ศึกษา และอนรุ ักษ์พรรณไม้ป่าหายาก เช่น ต้นฉนวน ผลติ ภณั ฑ์ของฟาร์มตวั อย่างฯ มะค่าแต้ มะค่าโมง ฯลฯ ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำ� ริ บา้ นบอ่ หวี เนอ้ื ทก่ี วา่ ๒๑๙ ไร่ สวนป่าแห่งน้ียังเป็นที่ตั้งของโครงการศิลปาชีพเครื่องปั้นดินเผาตาม ตง้ั อยทู่ บี่ า้ นบอ่ หวี ตำ� บลตะนาวศรี อำ� เภอสวนผง้ึ จัดต้งั ข้ึนโดยพระราชด�ำริ พระราชดำ� ริ ทำ� ใหช้ าวบา้ นทอี่ าศยั อยบู่ รเิ วณใกลเ้ คยี งไดม้ อี าชพี และสรา้ งรายได้ ของสมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ ด้วยทรงมีความห่วงใยตอ่ ใหแ้ กต่ นเอง นอกจากนีภ้ ายในสวนป่ายังมี “แกง่ ส้มแมว” เป็นเกาะแกง่ ทมี่ ี ชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนกิ รท่อี าศัยอย่ใู นถ่ินทรุ กันดาร ห่างไกลความเจรญิ นำ�้ ใสเยน็ ไหลลดหลน่ั ตามโขดหนิ ตลอดทง้ั ปี นกั ทอ่ งเทยี่ วนยิ มมาเลน่ นำ้� และ ไม่มที ีด่ ินทำ� กนิ เป็นของตนเอง พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ และประมาณเดอื นสงิ หาคมของทกุ ปี จะมกี ารจดั งานประเพณี ฟารม์ ตวั อยา่ งตามพระราชดำ� รแิ หง่ นจ้ี งึ จดั ตงั้ ขน้ึ ตามแนวพระราชดำ� ริ กนิ ขา้ วหอ่ ขนึ้ ภายในสวนปา่ มกี ารสาธติ วธิ กี ารตผี ง้ึ แบบกะเหรยี่ งใหช้ มอกี ดว้ ย ทพี่ ระราชทานใหเ้ พอ่ื เปน็ แหลง่ ผลติ อาหาร และคลงั อาหารทห่ี ลอ่ เลย้ี งคนไทย การตีผ้งึ แบบกะเหรยี่ ง หมอผงึ้ จะท�ำพิธไี หวแ้ ม่นางไม้ก่อนขึ้นไป โดยเฉพาะราษฎรชาวบา้ นบอ่ หวี ซง่ึ นอกจากจะเปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วเชงิ เกษตร ตอกทอย เปน็ การนอบน้อมตอ่ ธรรมชาติ มขี ้อปฏิบัตวิ ่า หา้ มตผี ึง้ ในวนั พระ แล้ว ยังสง่ เสรมิ ให้ประชาชนรูจ้ กั ปลูกพชื เล้ยี งสตั ว์และทำ� การเกษตรอ่ืนๆ และในรอบ ๑ ปมี ีฤดตู ีผงึ้ ได้ ๒ ครงั้ คอื เดือน ๕ และเดือน ๙ จะทำ� ให้ผ้งึ พร้อมกับมกี ารจ้างแรงงานภายในทอ้ งถ่นิ เข้ามาทำ� งานในฟารม์ เพอื่ ชาวบา้ น ได้มีโอกาสขยายพนั ธ์ุ ได้มีงานท�ำ มรี ายได้ และนำ� ความรู้ดา้ นการเกษตรทีไ่ ดร้ ับการถา่ ยทอดและ จากการฝกึ ปฏบิ ตั ิจริงในฟารม์ ไปใช้ในการประกอบอาชีพของตนเองได้ จงึ บรรยากาศภายในสวนป่าสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ิ์ ท�ำใหร้ าษฎรมีความรดู้ า้ นการปลูกพืช การเลี้ยงสตั วอ์ ย่างถกู ต้องและยง่ั ยนื ภาคกลาง ตลอดจนมีความรู้ความเข้าใจการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่าง ถกู ตอ้ งและเหมาะสม โดยการปลกู พชื ตอ้ งปลอดสารพษิ เขา้ ใจรปู แบบเกษตร แก่งส้มแมว อนิ ทรยี แ์ ละเกษตรผสมผสาน สามารถนำ� ความรูไ้ ปประกอบอาชีพ สรา้ งงาน สร้างรายได้อย่างย่งั ยืน เนอ่ื งจากสภาพพน้ื ทแ่ี หง่ นเี้ ปน็ เหมอื งแรเ่ กา่ ดงั นนั้ สภาพดนิ โดยทวั่ ไป จึงไม่เหมาะสมกับการปลกู พชื กจิ กรรมที่เนน้ เป็นหลัก คอื “การเลย้ี งสตั ว”์ สว่ นการปลกู พืชและการเล้ียงปลา จะเป็นกิจกรรมเสริมในฟาร์ม โดยภายใน ฟาร์มมกี ารปลูกพืชผกั ปลอดสารพษิ เช่น ฟักขา้ ว ฟักทอง ผักกวางตงุ้ ผกั ทใี่ ชท้ ำ� สลดั ถวั่ ฝกั ยาว บวบ ฯลฯ การเพาะเหด็ การเพาะเลยี้ งปลาในกระชงั และบ่อดิน เพาะเลยี้ งไกแ่ จ้พันธุต์ า่ งๆ เพาะเล้ยี งเป็ดพนั ธุอ์ ้เี หลียง สกุ รพันธ์ุ จินหัว แพะนมพนั ธุ์หลาวซานจากประเทศจีน นอกจากน้ใี นฟาร์มยงั มีการแปรรปู ผลผลติ ทางการเกษตร เช่น พริก กะเหร่ียง กลว้ ยฉาบและข้าวเกรยี บฟกั ขา้ ว โดยพชื ผลทไ่ี ด้จากฟารม์ ตัวอย่าง จะนำ� ไปจำ� หน่ายใหก้ บั ประชาชนในตัวเมอื ง อกี ส่วนหนง่ึ วางจ�ำหนา่ ยให้แก่ ประชาชนในละแวกใกลเ้ คียงอีกด้วย
176 177 สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดภี าคกลาง แหล่งทอ่ งเทย่ี วแนวใหม่ สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดภี าคกลาง ต้ังอยู่ในพื้นทีป่ า่ สงวนแหง่ ชาติ จงั หวดั ราชบรุ ี ยงั มแี หลง่ ทอ่ งเทย่ี วทเี่ กดิ จากการสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ปา่ เขาบนิ ทอ้ งทตี่ ำ� บลหนิ กอง อำ� เภอเมอื ง และตำ� บลปากชอ่ ง อำ� เภอจอมบงึ เพื่อสร้างจุดเดน่ ใหน้ ักทอ่ งเที่ยวอยากมาเยย่ี มชม ท�ำให้เกิดการท่องเท่ียว จังหวัดราชบรุ ี มพี ้นื ที่ ๑,๒๘๗ ไร่ ลักษณะเป็นทร่ี าบล้อมภเู ขาประทับชา้ ง แนวใหมต่ ามกระแสนยิ ม เนน้ การทอ่ งเทย่ี วเพอื่ ถา่ ยภาพและดม่ื ดำ่� กบั สถานที่ สภาพดนิ เปน็ ดนิ รว่ นปนทราย ลกั ษณะปา่ ในพน้ื ทแ่ี หง่ นปี้ ระกอบดว้ ยสภาพปา่ ท่สี วยงาม อาทิ ๔ ประเภท คอื ป่าเบญจพรรณ ปา่ ดบิ แลง้ ปา่ เตง็ รัง ปา่ เขาหนิ ปนู สวน พฤกษศาสตรแ์ หง่ นกี้ ระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จดั สรา้ งขนึ้ เพอื่ เฉลมิ พระเกยี รติ บ้านหอมเทยี น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสมหามงคลสมัยพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษา ๕ รอบ วนั ท่ี ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ และพระราชพิธี หากมโี อกาสไปเยือนอำ� เภอสวนผง้ึ บริเวณกโิ ลเมตรที่ ๓๓ บน รชั มังคลาภิเษกวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยเม่อื วันท่ี ๒ สิงหาคม ทางหลวงหมายเลข ๓๐๘๗ นกั ท่องเทยี่ วจะได้สมั ผสั กับความโรแมนติกของ พ.ศ. ๒๕๓๑ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเสด็จ เทยี นหอมหลากหลายสสี นั หลากหลายรปู แบบ ณ บา้ นหอมเทยี น บา้ นหลงั เลก็ ๆ เปน็ องค์ประธานในงานพิธเี ปดิ สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดี ภาคกลาง จังหวดั ทปี่ ลกู สรา้ งใหก้ ลมกลนื กบั ธรรมชาติ ดว้ ยตน้ ไมท้ เ่ี จา้ ของปลกู เอง ใชเ้ วลาสรา้ ง ราชบุรี และพฒั นากวา่ ๑๐ ปี เพราะมแี นวคดิ ทจี่ ะสรา้ งบา้ นหอมเทยี นใหม้ อี ตั ลกั ษณ์ สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดภี าคกลาง เป็นศูนย์รวบรวมพรรณไม้ ไม่ทำ� ลายธรรมชาติ ใช้วสั ดทุ ้องถิ่น เศษวสั ดุเหลอื ใช้ อิฐมอญ หลังคาใบจาก ในวรรณคดีตามบทกลอน ๑๐ เรือ่ ง ไดแ้ ก่ อเิ หนา ขุนช้างขุนแผน ดาหลัง สนิ คา้ ทจ่ี ำ� หนา่ ยกผ็ ลติ โดยแรงงานชาวบา้ น เปน็ แหลง่ กระจายความรใู้ หช้ าวบา้ น พระอภยั มณี รามเกียรต์ิ ลลิ ิตพระลอ ลลิ ิตตะเลงพา่ ย อณุ รทุ กาพย์เห่เรือ ไดม้ อี าชีพสจุ ริต บรหิ ารโดยใช้หลกั ธรรมาภบิ าล และมุง่ หวงั ให้ผมู้ าเย่ียมชม และกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง และนริ าศเมืองเพชร ยงั มีส่วนของ ได้เกดิ แรงบันดาลใจเพื่อกลับไปพฒั นาทอ้ งถิ่นของตนเอง การจดั สร้างแปลงศึกษาตวั อย่าง อาทิ สวนพรรณไม้มงคลประจำ� จังหวดั ภายในบา้ นหอมเทยี น เตม็ ไปดว้ ยเทยี นหลากหลายสสี นั สะดดุ ตา สวนสมนุ ไพร สวนพรรณไมเ้ ฉลมิ พระเกยี รติ สวนพรรณไมห้ อม สวนพรรณไม้ มรี ปู แบบ ลวดลายแปลกใหม่ ดงึ ดดู ใจใหอ้ ยากซอื้ หาไปใช้ นอกจากเทยี นแฟนซี ในพุทธประวัติ สวนพรรณไม้ให้ประโยชน์ในดา้ นต่างๆ สวนพรรณไมต้ าม ตา่ งๆ แลว้ ยังมีมมุ แสดงงานศิลปะ การเพ้นทเ์ สอื้ ตามความตอ้ งการของลูกคา้ บทเพลง “อทุ ยานดอกไม”้ จดั แสดงตวั อยา่ งเมลด็ พนั ธไุ์ ม้ จัดแสดงตวั อยา่ ง รา้ นกาแฟสด ร้านอาหาร และยงั มีมมุ สาธติ การทำ� เทียนใหผ้ สู้ นใจไดเ้ รยี นรู้ ผเี สื้อกลางวัน รวบรวมตวั อย่างพันธไ์ุ ม้หายาก พืชใกลส้ ญู พนั ธุ์ นอกจากนี้ การทำ� เทียนดว้ ยตนเอง ยงั เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ดา้ นทรพั ยากรปา่ ไม้และพฤกษศาสตร์ เปน็ แหล่งศึกษา วิจัยพรรณไมใ้ นทกุ สาขาวชิ าทางพฤกษศาสตร์ เปน็ แหล่งศึกษาวิจัยทาง นกั ทอ่ งเทีย่ วเรียนรู้การท�ำเทยี นแฟนซี ธรรมชาติวิทยา นิเวศวทิ ยาและส่ิงแวดล้อม สถานทจ่ี ัดกจิ กรรมคา่ ยพกั แรม ฐานเรียนรู้ทางธรรมชาติ และเปน็ สถานท่ีทอ่ งเทย่ี วพักผ่อน จดั ประชุม อบรม แก่นักเรียน นกั ศึกษา และประชาชนผสู้ นใจท่ัวไป สวนพฤกษศาสตรแ์ หง่ นี้ มชี นิดพันธ์ุไมท้ ั้งหมดในพ้นื ท่ี รวมจำ� นวน ๕๔๒ ชนิด ต้นแคนา
178 179 สุนทรีแลนด์ แดนตุก๊ ตา เดอะซนี เนอร่ี วินเทจ ฟารม์ (The Scenery Vintage Farm) สำ� หรบั ผทู้ หี่ ลงรกั ตกุ๊ ตา หากมโี อกาสผา่ นไปทตี่ ำ� บลบา้ นสงิ ห์ อำ� เภอ บรรยากาศภายในอาคารสนุ ทรีแลนด์ แดนตกุ๊ ตา เดอะซนี เนอรี่ วนิ เทจ ฟารม์ (The Scenery Vintage Farm) ตงั้ อยทู่ ่ี โพธาราม บรเิ วณถนนเพชรเกษม กโิ ลเมตรที่ ๘๔ คงอดไม่ได้ทีจ่ ะแวะไป ต�ำบลสวนผึ้ง อำ� เภอสวนผึง้ เป็นแหล่งท่องเท่ียวรูปแบบใหม่ท่นี กั ทอ่ งเที่ยว เย่ยี มชม สุนทรีแลนด์ แดนตกุ๊ ตา ของคุณสนุ ทรี เอ่ียมหนู ผู้ซงึ่ มีใจรกั และ นิยมมาถ่ายภาพเป็นที่ระลกึ ฟารม์ แห่งนจ้ี ำ� ลองบรรยากาศหมู่บา้ นชาวฟาร์ม คลุกคลีอยกู่ ับการท�ำต๊กุ ตามากวา่ ๓๐ ปี จากทเ่ี ริ่มท�ำตุ๊กตาขายอยูภ่ ายใน สไตลว์ นิ เทจ (Vintage) สถาปตั ยกรรมและอาคารตา่ งๆ ออกแบบสไตลช์ นบท ครอบครวั และเครือญาติ จนเก็บหอมรอมริบสรา้ งร้านสนุ ทรี ใน พ.ศ. ๒๕๓๙ อังกฤษ (English Country) นักท่องเทยี่ วจะไดส้ นกุ สนานกับกจิ กรรมตา่ งๆ และขยายโรงงานตกุ๊ ตา ซึง่ มหี นว่ ยงานและผู้สนใจมาขอเย่ยี มชมดูงานเป็น มากมาย อาทิ การขมี่ า้ ใหอ้ าหารแกะ นง่ั ชงิ ชา้ สวรรคช์ มววิ แบบ ๓๖๐ องศา จ�ำนวนมาก จงึ ได้เกิดแนวคดิ ท่ีจะสรา้ งสนุ ทรีแลนด์ แดนตุก๊ ตาข้ึน เพือ่ มอบ เลน่ เกมทซ่ี มุ้ เกมตา่ งๆ เชน่ เกมทบุ แกะลงถงั ปาลกู โปง่ ทดสอบความแมน่ ยำ� ความสขุ และรอยยม้ิ ใหก้ บั ผู้ท่ีมาเยย่ี มชม กบั กจิ กรรมยงิ ธนแู บบถกู วธิ ี สนกุ กบั การแตง่ กายและถา่ ยภาพสไตล์ Vintage ภายในสนุ ทรีแลนด์ แดนตุ๊กตาแหง่ น้ี ผูท้ ี่มาเย่ยี มชมจะไดเ้ พลดิ เพลนิ ชมิ ไอศกรมี นมแกะรสชาติหอมหวาน มนั อรอ่ ย ซง่ึ เปน็ ท่แี รกและทเ่ี ดยี วใน กบั การถ่ายภาพกบั เหลา่ ตกุ๊ ตาในบรรยากาศจ�ำลองจากทั่วโลก จดั แสดงเปน็ ประเทศไทย อกี ท้ังยงั มคี ุกกนี้ มแกะ และเต้าห้นู มแกะอกี ด้วย โซนต่างๆ เช่น โซนหมูบ่ า้ น จัดแสดงตกุ๊ ตาตามเทศกาลตา่ งๆ เช่น สงกรานต์ ภายในฟารม์ ยงั มรี า้ นขายของทรี่ ะลกึ สนิ คา้ ตกแตง่ บา้ น สนิ คา้ ทอ้ งถนิ่ วาเลนไทน์ โซนอาเซยี น จดั แสดงตกุ๊ ตาในชดุ ประจำ� ชาติ ๑๐ ประเทศอาเซยี น ที่มีคณุ ภาพ เชน่ น้ำ� ผึง้ และรา้ นอาหาร Honey Scene ให้บรกิ ารอาหาร รวมทงั้ ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั คำ� ทกั ทายภาษาอาเซยี น โซนจนี ญ่ีปุ่น เกาหลี เครอื่ งด่ืม ไอศกรมี พร้อมชมววิ มมุ สงู ของทุ่งเลีย้ งแกะกลางหุบเขา ความ โซนคาวบอย โซนป่าซาฟารี โซนริมน้�ำวถิ ไี ทย โซนมายากล ซ่ึงทุกคนทีม่ า พเิ ศษของเดอะซนี เนอรี่ วนิ เทจ ฟาร์ม ก็คือในชว่ งเดือนธนั วาคมของทกุ ปจี ะ เที่ยวชมสามารถสัมผัส กอดตุ๊กตาได้ตามใจปรารถนา นอกจากนี้ภายใน มงี าน Romantic Art Festival ,candle in the winter งานที่มชี อ่ื เสยี ง เมืองตุก๊ ตายงั มหี อ้ งบรรยายให้ความรูถ้ ึงขั้นตอนการทำ� ตุ๊กตา และยังมีมมุ ของสวนผง้ึ ที่รวมท้งั ดนตรี ศลิ ปะ แสงเทยี นยามคำ่� คืน มาให้นกั ทอ่ งเที่ยวได้ สำ� หรบั ทดลองท�ำตุก๊ ตาด้วยตนเอง นบั เป็นแหล่งทอ่ งเทย่ี วแนวใหมท่ ่ีได้ทง้ั ชนื่ ชมในทเ่ี ดยี วกนั ความเพลดิ เพลิน และเป็นแหลง่ เรียนร้ศู ึกษาดงู านการท�ำตกุ๊ ตาทค่ี รบวงจร สนุ ทรีแลนด์ แดนตกุ๊ ตา เปิดทุกวนั ตงั้ แต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. หยุดทุก นกั ท่องเท่ียวเพลดิ เพลินกับการให้อาหารแกะ วนั พธุ
180 181 ศิลปะการทำ� ลาเตอ้ าร์ท หอศลิ ปร์ ว่ มสมัย Tao Hong Tai d Kunst รา้ นกาแฟคนรักษส์ วน บา้ นไทย ทรงมะนลิ า บา้ นไมเ้ กา่ แกต่ งั้ อยทู่ ถ่ี นนวรเดช ตำ� บลหนา้ เมอื ง อำ� เภอเมอื ง ตดิ รมิ แมน่ ำ้� แมก่ ลอง ใกลๆ้ กบั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ราชบรุ ี หากผ่านไปทตี่ �ำบลเขาแรง้ อำ� เภอเมอื ง ทางไปวัดหนองหอย จะตอ้ ง บรรยากาศสบายๆ ภายในรา้ นกาแฟ แหล่งพบปะของผูม้ ใี จรักงานศลิ ปะ คอื หอศลิ ปร์ ่วมสมัย Tao Hong Tai d Kunst ซึ่งเจ้าของโรงงานเถ้าฮงไถ่ สะดดุ ตากบั รา้ นกาแฟบรรยากาศร่มรื่น จดั เป็นสวนสวยๆ ใหล้ กู คา้ ได้แวะ ไดบ้ รู ณะ เพอ่ื ทำ� เปน็ หอศิลป์ของจังหวัดราชบุรีให้ผูท้ ่ีมีใจรกั ด้านศิลปะไดม้ ี เข้าไปด่ืมกาแฟและเคร่ืองดื่มหลากหลาย โดยเฉพาะกาแฟคนรักษส์ วน แหลง่ เรยี นรู้ และเปน็ สถานที่แสดงผลงานของศลิ ปนิ ทงั้ ชาวไทยและชาว กาแฟสูตรเฉพาะของทางร้าน และขนมอบใหมๆ่ เชน่ พาย ทาร์ตไข่ ความ ตา่ งประเทศ ช่อื d Kunst เป็นคำ� พ้องเสยี งกบั ค�ำวา่ Die Kunst ในภาษา โดดเด่นของร้านกาแฟแหง่ นก้ี ็คือบรเิ วณร้านที่จดั เปน็ สวน บรรยากาศร่มรื่น เยอรมันท่ีหมายถงึ “ศิลปะ” มเี กา้ อใ้ี หน้ ง่ั ดมื่ กาแฟหลากหลายมมุ ดว้ ยทนี่ งั่ ทรี่ องรบั ลกู คา้ มากกวา่ ๗๐ ทนี่ งั่ หอศลิ ปร์ ว่ มสมยั แหง่ นไ้ี ดร้ บั รางวลั อนรุ กั ษศ์ ลิ ปะสถาปตั ยกรรมดเี ดน่ จึงไมต่ อ้ งกังวลว่าจะนงั่ ดมื่ ด่ำ� บรรยากาศได้ไม่นาน นอกจากนี้ทางร้านยังมี ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดว้ ยการคงรปู แบบสถาปัตยกรรมเรอื นไมเ้ ก่าไว้อย่าง สัญญาณอินเทอรเ์ น็ตไวไฟ ใหใ้ ช้ได้ครอบคลุมทกุ พ้นื ท่ี สมบูรณ์ ภายในแบ่งออกเป็นรา้ นกาแฟและขนม ตกแต่งรา้ นด้วยเซรามิกทมี่ ี เจ้าของร้านเป็นคนรุ่นใหม่ท่ีมีใจรักและสนใจในศาสตร์การชงกาแฟ รูปแบบเฉพาะตวั ของโรงงานเถ้าฮงไถ่ และสว่ นแสดงผลงานศลิ ปะรว่ มสมัย จึงได้เปิดร้านกาแฟแหง่ นีข้ น้ึ เมอื่ พ.ศ. ๒๕๕๒ ภายใตแ้ นวคดิ กาแฟอร่อย ของศลิ ปินทหี่ มุนเวียนมาจัดแสดงให้ชมกนั เป็นประจำ� ผ้มู ีใจรักดา้ นศิลปะ ในบรรยากาศนัง่ สบายเหมือนน่งั จบิ กาแฟอยู่ในสวน กาแฟทกุ เม็ดผา่ นการ สามารถมาสมั ผัสงานศิลปะรว่ มสมยั พร้อมจบิ เคร่ืองด่ืมอรอ่ ย ชมทิวทศั น์ คัดสรรมาอยา่ งดี ด้วยเจ้าของร้านยึดหลักวา่ เมอื่ ลกู ค้ามาอุดหนนุ กาแฟ ริมแม่น�ำ้ แม่กลองได้ โดยหอศิลป์จะเปิดบริการวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตง้ั แต่ แลว้ ยม้ิ พงึ พอใจกบั กาแฟ นน่ั คือจุดคุ้มทุนของตนเองแลว้ เวลา ๑๑.๐๐-๒๐.๐๐ น. หากสนใจเรยี นรเู้ กย่ี วกบั การจดั สวนหรอื การทำ� ไมบ้ อนไซ ทน่ี กี่ ถ็ อื เปน็ จังหวัดราชบุรี ยังมีแหลง่ ท่องเทีย่ วใหช้ น่ื ชมอีกมากมาย ไมว่ ่าจะเป็น แหลง่ เรียนรู้ให้ศึกษาไดไ้ มจ่ �ำกัด รวมท้ังการเรียนร้วู ธิ กี ารชงกาแฟ ทที่ างรา้ น โปง่ ยบุ นำ้� พรุ อ้ นโปง่ กระทงิ เขากระโจม บงึ กระจบั หมบู่ า้ นชา้ งและหมบู่ า้ นลงิ เปิดอบรมให้ผู้สนใจเรียนรู้การท�ำกาแฟชั้นสูงและการท�ำลาเต้อาร์ทศิลปะ โบราณสถานโคกวหิ าร ฯลฯ หากมโี อกาสลองมาสมั ผสั ประสบการณแ์ ปลกใหม่ การทำ� ฟองนม โดยอบรมวนั จนั ทร์ถงึ พฤหัสบดี เวลา ๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. เปดิ โลกทศั นแ์ ละเรียนรวู้ ัฒนธรรม ความเป็นอยขู่ องชาวราชบุรดี สู ักครัง้ หลกั สตู ร ๒ วัน รา้ นกาแฟคนรกั ษ์สวนเปิดให้บรกิ ารทุกวัน ต้ังแตเ่ วลา ที่ส�ำคัญไม่ว่าจะไปท่องเที่ยวที่ไหน อย่าลมื ชว่ ยกันดูแลรักษาแหลง่ ท่องเท่ียว ๐๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. และยงั เปดิ บรกิ ารสาขา ๒ ทอ่ี ำ� เภอสวนผงึ้ เปดิ ใหบ้ รกิ าร เหลา่ นนั้ เพอ่ื ให้ชนร่นุ หลงั ไดร้ ว่ มภาคภมู ิใจไปนานๆ ในวันเวลาเดยี วกนั ด้วย
นดั แนะชวนชมิ เจ้าถิน่ พาไป การทอ่ งเทีย่ วเปน็ ความรื่นรมย์ และเปน็ การเปดิ รับประสบการณ์ หลากหลายใหก้ ับชวี ติ ไดพ้ บปะผคู้ นรวมท้ังบรรยากาศใหม่ การท่องเท่ียว จะไดร้ สมากยิ่งขน้ึ ตอ้ งควบคูไ่ ปกบั การจบั จา่ ยซื้อของกินของฝาก หรือสรรหา อาหารอร่อย น่ากินในแต่ละมือ้ อันเปน็ สิ่งทเ่ี สรมิ ให้การทอ่ งเทยี่ วคร้ังนน้ั ๆ อิ่มเอมใจยิ่งขึ้น กระแสสงั คมปจั จุบันผู้คนนยิ มสินคา้ ท่เี ปน็ ธรรมชาติ สนิ คา้ ทีอ่ ิงกบั วัฒนธรรม สินค้าที่ส่งเสรมิ สขุ ภาพ การมีส่วนรว่ มอนรุ กั ษ์ส่งิ แวดลอ้ ม หรือ สนิ ค้าท่ชี ว่ ยสนบั สนนุ ชมุ ชนให้มีรายได้ ทีก่ ล่าวขา้ งต้นราชบุรมี ีพร้อมสรรพ ราชบรุ มี ขี องดที ม่ี าจากภมู ปิ ญั ญาและทรพั ยากรของทอ้ งถนิ่ แลว้ นำ� มาคดิ และ สรรคส์ รา้ งเป็นสนิ คา้ เชงิ วัฒนธรรม ท่รี ู้จักกันในชอ่ื โอทอป (OTOP : One Tumbon One Product) ซง่ึ เปน็ การชปู ญั ญาเพอ่ื สรา้ งมลู คา่ ใหก้ บั ผลติ ภณั ฑ์ ทร่ี าชบรุ ีนา่ จะมคี รบทัง้ ๕ ประเภท ตามทีก่ รมการพฒั นาชมุ ชน กระทรวง มหาดไทย จดั ประเภทไวไ้ ดแ้ ก่ ๑) อาหาร ๒) เครอื่ งดมื่ ๓) ผา้ เครอ่ื งตกแตง่ ๔) ของใช้ตกแต่ง ของทร่ี ะลึก และ ๕) สมุนไพร (ท่ไี มใ่ ชอ่ าหาร) เม่อื เขา้ เขตราชบุรี สองฟากถนนจะมีรา้ นอาหารเรียงรายตลอดเส้นทางทง้ั ถนน สายหลกั และสายรอง ผลไมก้ จ็ ัดอย่ใู นประเภทอาหาร เม่อื มาถงึ ราชบุรีตอ้ ง ไม่ลืมกินฝรั่งพันธุ์กิมจู มะพร้าวน�้ำหอม ชมพู่ทับทิมจันทร์ แก้วมังกร มะมว่ งเขียวมรกต องนุ่ หวานดำ� เนิน สับปะรดสวนผึง้ ผลไมเ้ หลา่ นมี้ ีขาย ตามฤดกู าล ถ้าเปน็ ขนมอย่าลมื แวะซอื้ เคก้ มะพร้าวออ่ น ขนมเปย๊ี ะโบราณ ผลิตภณั ฑ์นมสด อาหารของแหง้ ก็มี ไชโป๊วหวาน รวมทั้งของใช้ภายในบา้ น และของตกแตง่ บ้านอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น เครอ่ื งจกั สาน เคร่อื งปน้ั ดนิ เผา ผา้ ทอชนดิ ต่างๆ ท้ังผ้าจก ผ้าขาวม้า รวมท้งั ตกุ๊ ตาผา้ ท่ีมีใหเ้ ลอื กชมเลอื กซอื้ หลายรา้ นหลายรปู แบบ เกร่ินมาพอให้เห็นภาพรวมว่าราชบุรีมีของให้เลือกซื้อเลือกกิน หลากหลายจริงๆ และเพือ่ ความสะดวก จงึ ขอแนะน�ำของดีของฝากและร้าน อาหารท่เี จ้าถน่ิ พากนิ ในแต่ละอ�ำเภอ
184 ลูกช้ินรา้ นเจ๊เหน่ง ชุมทางของอรอ่ ย ชุดอาหารท่ีทำ� จากไมต้ าลส่งขายตา่ งประเทศ 185 ปลาช่อนเกยตน้ื ร้านเจอ๊ อน เดนิ ทางตอ่ ไปอกี นดิ ทบี่ า้ นแคทราย ตำ� บลคบู วั สถานทแ่ี หง่ นมี้ ผี ลติ ภณั ฑ์ อำ� เภอเมอื งราชบรุ ี เปน็ ศนู ยร์ วมอาหารรา้ นอรอ่ ยไวห้ ลายแหง่ หาก ไกต่ ม้ น้�ำปลา รา้ นเจ๊ออน ร้านโรตโี บราณ สะพานแดง ทนี่ �ำชอื่ เสยี งมาสรู่ าชบุรี อันได้แก่ชุดอาหารเชา้ ท่ีท�ำจากไมต้ าล คุณวิเชียร ชอบอาหารประเภทขา้ วแกง ครวั คณุ แดง รา้ นขายอาหารปกั ษใ์ ตม้ อี าหาร กว๋ ยเต๋ียวไข่ ราชบรุ ี เคก้ มะพรา้ วออ่ นคุณติ๋ม มะลวิ ัลย์ ซึง่ เปน็ ประธานชุมชน OTOP คนแรกของราชบรุ ี ผู้รเิ ริ่มผลติ ข้ึน ใหเ้ ลอื กกวา่ ๒๐ ชนดิ ราคาเหมาะสมกบั คณุ ภาพอาหาร บรกิ ารรวดเรว็ รา้ น ดว้ ยฝมี ือเชงิ ช่างสมัยเรยี นอาชวี ศึกษา โดยผลติ จากวัสดุท่มี ีในท้องถ่ินและ เป็นตกึ แถวอยฝู่ ่ังตรงขา้ มกับวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี เปดิ ขายตง้ั แต่ ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ทอี่ ย่างเช่นตน้ ตาล และต่อมาปรบั เปลี่ยนเปน็ ตน้ ๖ โมงเช้าเปน็ ตน้ ไป หากชอบแบบอาหารจนี ตอ้ งไปท่รี ้าน เจ๊เหน่งชมุ ทาง มะพรา้ วทม่ี อี ายมุ ากราว ๕๐ - ๖๐ ปี ขน้ึ ไป นำ� มาตดั เปน็ ทอ่ นๆ แลว้ แบง่ สว่ น ของอร่อย เป็นตกึ ๒ คหู า บนถนนศรสี ุรยิ วงศ์ อยู่ใกล้กับตลาดศรีเมอื ง และกลงึ ตามแบบท่ลี ูกค้าต้องการ ส่วนใหญเ่ ป็นเครอื่ งใช้ในครวั เรือน สนิ คา้ รา้ นนี้ขอแนะนำ� ก๋วยเตย๋ี วเนอื้ ต๋นุ ยาจีน หรือ หมตู ุ๋นยาจนี เนือ้ น่มุ ได้กลิ่น เหล่านี้เป็นท่ีนิยมของชาวต่างชาติที่นิยมความเป็นธรรมชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่น หอมกรนุ่ ของเครอื่ งยาจนี โชยมาตง้ั แตห่ นา้ รา้ น นำ้� ซปุ รสเดด็ ไมต่ อ้ งปรงุ รสเพม่ิ และเยอรมนเี ปน็ อย่างมาก อีกรายการ ข้าวขาหมู เห็นแลว้ อดใจไม่สง่ั ไม่ได้ ใครชอบกนิ ส่วนไหน ส่ังได.้ .. ปัจจบุ นั คุณวิเชยี ร ไดจ้ ดั ตง้ั เป็นกลุ่มสหกรณ์ผู้ผลติ ไม้ตาลและ คนขายพถิ ีพถิ นั ในการบริการให้ลูกค้าพอใจ ทเี ด็ดของจานนนี้ อกจากขาหมู ไมม้ ะพร้าว บ้านแคทราย รบั ทำ� ผลติ ภัณฑต์ ามสั่ง นอกจากผลติ ภณั ฑ์ ทต่ี ม้ เคีย่ วจนเข้าเน้อื และหอมกลิ่นเครอ่ื งพะโลแ้ ลว้ เครื่องเคยี งที่มีผักกาดดอง ดังกล่าวแล้ว กลุ่มสหกรณ์ฯ รบั ทำ� แคน ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรพี นื้ บา้ นของไทย รสดี กระเทยี มสดแกะเปลอื กพรอ้ มพรกิ ขหี้ นซู อยจดั เปน็ ชดุ ๆ ยง่ิ ทำ� ใหน้ า่ กนิ ... ราคาเริม่ ตน้ เต้าละหนึง่ พัน ขึน้ อยกู่ บั ขนาดของแคนตามวัยผู้เลน่ นา่ กนิ จรงิ ๆ ร้านนีย้ งั มอี าหารตามสง่ั ดว้ ย ใครไปถงึ ร้านแล้วค่อยๆ คิด ยามเยน็ แดดรม่ ลมตกเรายงั คงวนเวยี นอยใู่ นเมอื งราชบรุ ี มอี าหารวา่ ง พจิ ารณาว่าจะเริม่ ส่งั อะไรก่อนดี ทแี่ สนอรอ่ ยราคายอ่ มเยา ไดร้ บั การรบั รองมาตรฐานรา้ น สะอาด อรอ่ ย ปลอดภยั เมื่ออิม่ ของคาวแล้วอยา่ ลืมของกนิ เล่น ทน่ี มี่ ลี ูกชนิ้ ป้ิง น�้ำจ้มิ รสเด็ด จากนายกเทศมนตรีเมอื งราชบุรี ท่ถี นนไกรเพชรใกล้ ๕ แยกสะพานแดงมี และไอศกรมี กะทิทแ่ี ต่งหนา้ ดว้ ยผลไม้สดตามฤดูกาล ไม่ห่างกนั นักมรี ้าน โรตโี บราณ (เกา๊ เกา่ ) ของคณุ กจิ จา และคณุ มดั ตมิ า ภทั รโชคชยั เจา้ ของรา้ น กว๋ ยเตยี๋ วไขซ่ งึ่ เปน็ สญั ลกั ษณอ์ กี อยา่ งของราชบรุ ี มอี ยหู่ ลายสาขา สอบถาม เลา่ ว่า สูตรโรตนี ส้ี บื ทอดจากบรรพบุรษุ เป็นโรตชี นิดทค่ี นมุสลิมกนิ กบั แกง เจา้ ถ่นิ ได้ อกี ร้านช่อื ร้านเจ๊ออน เป็นรา้ นอาหารตามส่ังทีเ่ จา้ ถิน่ พาพวกเรา แปง้ จะบางกวา่ โรตีท่ัวไป ต่อมาไดด้ ดั แปลงให้น่ากนิ ทง้ั สีของแปง้ ทม่ี ีสมี ่วง ไปชมิ เป็นร้านแรกเมอ่ื ไปถึงราชบุรี หลายคนติดอกตดิ ใจ ปลาช่อนเกยตนื้ สีชมพจู ากกลีบดอกไม้ และหนา้ โรตที ีม่ ีทง้ั โรตใี ส่ไข่ กล้วยหอม และไก่หยอง เป็นปลาช่อนตัวใหญ่บ้ังและทอดทั้งตัวเสิร์ฟพร้อมกับผัดมะเขือยาวโรยหน้า นำ้� พริกเผา ส่วนมะตะบะจะขายเฉพาะชว่ งออกบวช (รอมฎอน) ใบโหระพา พร้อมนำ้� จิม้ ทป่ี รุงดว้ ยพริกขี้หนู น�้ำปลา มะนาวแบบเดยี วกับ อำ� เภอโพธาราม เมอ่ื เขา้ เขตโพธารามบนถนนสายเพชรเกษม รมิ ถนน นำ�้ จม้ิ อาหารทะเล และมอี าหารอกี รายการทต่ี ดิ ใจกค็ อื ไกต่ ม้ นำ�้ ปลา จานละ สองฝัง่ จะมองเหน็ ป้ายรา้ นตุก๊ ตาผา้ อยดู่ าษดื่น เมือ่ แวะเข้าชม จะตืน่ ตากับ ๑ ตวั ไก่เน้อื นมุ่ รสชาตเิ นอ้ื ไกเ่ ค็มพอดี เสริ ์ฟพรอ้ มกับน้ำ� จิ้มชนิดเดยี วกับ ตกุ๊ ตาหลากหลายรปู แบบ ขน้ึ อยกู่ บั ความนยิ มในขณะนนั้ วา่ มคี วามนยิ มชมชอบ ปลาชอ่ นเกยตนื้ รา้ นน้ตี ้ังอยทู่ ีบ่ า้ นคูบัว เปดิ ขายช่วงกลางวนั ถงึ ค่�ำ ตัวละครเรอื่ งใด ซึง่ รวมถงึ หมอนรปู สตั ว์ รปู การ์ตูน ราคาขน้ึ อย่กู ับขนาดและ บรเิ วณขา้ งรา้ นมผี ลติ ภณั ฑช์ มุ ชนประเภทเครอ่ื งใชใ้ นบา้ น ของตกแตง่ ชนิดของวสั ดุที่ใช้ทำ� สามารถหาซ้อื ได้ในราคาขายส่ง จึงถูกกว่าแหล่งอนื่ ๆ และของเล่นประเภทไม้วางจ�ำหนา่ ย อยา่ ลมื ชว่ ยอุดหนนุ คุณป้าผู้ขายด้วย บนถนนสายเดยี วกัน เมอ่ื เดินทางเขา้ ราชบรุ ี ฝั่งขวามอื จะมองเห็น รา้ นต๋มิ เมอื่ ออกจากรา้ นน้ี ไหนๆ กม็ าถงึ คบู วั แลว้ ควรไปเยยี่ มชมพพิ ธิ ภณั ฑ์ เคก้ มะพร้าวอ่อน หรือ คณุ ยลพสุ ลิมกาญจนวฒั น์ ซ่งึ ท�ำในลกั ษณะธรุ กิจ คูบวั แล้วขากลับออกมาอยา่ ลมื แวะอุดหนุนผลติ ภณั ฑ์ท่สี หกรณ์การเกษตร ภายในครอบครวั มลี กู ชายและลกู สะใภค้ อยชว่ ยดำ� เนนิ การ ทำ� ขายวนั ตอ่ วนั ไท-ยวน ราชบุรี จำ� กดั ทน่ี ่เี ป็นศูนย์รวมผา้ จกทอมอื ทใี่ หญแ่ ห่งหน่งึ ของ เน้อื เคก้ จงึ น่มุ นวล หนา้ เค้กส่วนที่เปน็ มะพร้าวก็ใช้มะพรา้ วออ่ นสดๆ จงึ ไดร้ ส ราชบุรหี รือแวะชมการทอผา้ ตามบ้านเรือนของกลุ่มแมบ่ ้านก็ได้ ซง่ึ สามารถ สมั ผสั ทง้ั ความสดและหอมหวานจากธรรมชาตขิ องมะพรา้ วยง่ิ เพมิ่ ความอรอ่ ย สอบถามถึงแหล่งการเรียนรู้ท่ียังคงสืบทอดวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้จากคนในชุมชน เน้ือขนมเคก้ ไม่กระด้างแม้วา่ เพง่ิ น�ำออกจากตเู้ ยน็ ก็ยงั คงรักษารสชาติ และ ซ่ึงมนี ้�ำใจดที ุกคน ผวิ สมั ผัสท่ีนุ่มนวลเหมือนเดิม ทำ� ให้กนิ แลว้ ...อยากกินอีก นอกจาก เค้กมะพร้าวอ่อนทร่ี า้ นยงั มีขนมชนิดอน่ื อกี อาทิ ชิฟฟอน เค้ก วนุ้ กะทิ ฝอยทอง... จดุ เดน่ ของขนมรา้ นนไี้ มใ่ ชส้ ารกนั เสยี ใดๆ เจอื ปน แวะทนี่ แ่ี หง่ เดยี ว ไดเ้ ลอื กซือ้ ผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชนจากภาคตา่ งๆ ของประเทศอกี ดว้ ย
186 รา้ นเฮง่ กี่ อำ� เภอโพธาราม ลวกจิ้ม ลกู ชนิ้ ปลากราย 187 นอกจากตกุ๊ ตาแล้วของดที โี่ พธารามยงั มอี ีกมาก โดยเฉพาะของกิน บะหมี่แห้งหมูกรอบ เฮ่งกี่ กว๋ ยเตี๋ยวหมตู ม้ ยำ� คุณต๋ิม อาทิ บะหมเ่ี ฮง่ กี่ บะหมห่ี มแู ดงทไ่ี ดร้ บั การประกนั ความอรอ่ ยจากหลายสถาบนั ชาวไทยจนี โพธารามกับการขายเตา้ ห้ดู �ำ อ�ำเภอบางแพ ในตวั อำ� เภอบางแพมี ก๋วยเต๋ยี ว คณุ ติ๋ม ร้านน้ีเป็น เสน้ บะหมีเ่ ส้นแบนๆ มีท้งั หม่เี หลืองและหมี่หยกสตู รเฉพาะ หากสัง่ บะหม่ี ไชโปว๊ ร้านลมโชย ท่ีท�ำการผูใ้ หญบ่ า้ น หมู่ ๕ ตำ� บล/อ�ำเภอ บางแพด้วย เปดิ ขายก๋วยเตย๋ี วหมู สตู รพเิ ศษ จะมีเครือ่ งแต่งหน้าถึง ๗ ชนดิ แตร่ าคาเพียง ๒๕ บาท นอกจาก อร่อย...จึงไม่ย่อท้อ แมต้ ้องตอ่ แถวยาว ม้อื เทีย่ งครวั มอ่ นไข่ กว๋ ยเตย๋ี วเน้อื และอาหารตามสงั่ ชว่ งเทีย่ งมีลกู ค้าอดุ หนนุ เนืองแน่น แทบหา บะหมแ่ี ล้วรา้ นนี้ยังมขี า้ วหมูแดง และขนมจบี ทีแ่ สนอร่อย แปง้ ท่ีห่อบาง ท่นี งั่ ไมไ่ ด้ อาหารรา้ นนป้ี รุงรสจดั จ้านแบบไมห่ วงเครื่องปรุง หากไมช่ อบเผด็ และนิม่ ไส้หมูสบั ผสมกับมันแกวเมื่อเคี้ยวจึงกรุบๆ เลก็ น้อย ลกู ใหญเ่ ตม็ คำ� ต้องรีบบอกไว้ก่อน จมิ้ กบั พรกิ นำ�้ ส้ม ร้านนี้เป็นตึกแถวต้งั อยใู่ นตัวอ�ำเภอโพธาราม ทบ่ี างแพนี้ ยงั เปน็ ทตี่ งั้ ศนู ยจ์ ำ� หนา่ ยสนิ คา้ จงั หวดั ราชบรุ ี ทด่ี ำ� เนนิ การ ฝง่ั ตรงขา้ มร้านบะหมีเ่ ฮง่ ก่ี มีร้านขนมเปี๊ยะแบบโบราณ ชื่อร้าน โดยกล่มุ วิสาหกจิ ชมุ ชน ผ้ผู ลติ ผกั และผลไม้ปลอดสารพษิ ของจงั หวัดราชบรุ ี ชอหยิ่ม ขนมเป็นช้ินพอดีคำ� หลากหลายไส้ ไส้ทุเรียนไข่เค็ม โหงวยิ้งไข่เคม็ เป็นการส่งเสริมผู้ผลิตในเขตอ�ำเภอด�ำเนินสะดวกและอ�ำเภอบางแพซ่ึงเป็น ไส้ฟกั เคม็ ไสฟ้ กั หวาน ไส้ถั่วแดง ไสถ้ ั่วด�ำ ราคาถกู มากๆ แตอ่ ร่อยท่ีสุดอย่าง เขตตดิ ต่อกัน เป็นแหลง่ จ�ำหน่ายผลิตภณั ฑ์ชมุ ชนของราชบุรี และเป็นแหลง่ ทุเรียนไข่เค็ม ช้นิ ละ ๑๒ บาท ไส้ถั่วดำ� ช้นิ ละ ๘ บาทเทา่ น้ัน นอกจากนี้ เรียนรู้ให้แก่สมาชกิ และผสู้ นใจในการเพ่ิมมลู คา่ สนิ คา้ เช่น การเขียนลวดลาย ทรี่ ้านยังมีขนมอบกรอบอีกหลายชนดิ ลองแวะชมิ จะประทบั ใจโพธารามยง่ิ ข้นึ เขยี นภาพบนผลิตภณั ฑ์จักสาน โดยไมค่ ิดค่าใช้จา่ ยใดๆ ไชโปว๊ หวาน ของฝากมีช่ือเสยี ง มหี ลายร้านหลายยี่ห้อ รสชาติ อำ� เภอจอมบงึ จอมบงึ เปน็ เสน้ ทางผ่านท่จี ะไปอ�ำเภอสวนผ้งึ คุณภาพดเี หมือนกนั หมด เลือกซือ้ หาไดต้ ามอัธยาศยั อ๋อ กอ่ นกลับอย่าลืม นกั ทอ่ งเทยี่ วหรอื ผนู้ ำ� ทางมกั จะนำ� นกั ทอ่ งเทยี่ วแวะกนิ อาหารทจ่ี อมบงึ กอ่ นเขา้ ซ้อื เต้าห้ดู ำ� เปน็ เตา้ หูต้ ม้ ด้วยเครื่องยาจนี หลายชนิด เม่อื ถงึ บา้ นกใ็ สห่ ม้ออุ่น สวนผึ้ง และทจี่ อมบงึ มรี า้ นอาหารแบบชนบทหลังคามงุ จากท่เี จา้ ถ่นิ แนะน�ำ ใหเ้ ดอื ด กินขณะรอ้ นๆ จะอรอ่ ย เตา้ หนู้ ่มุ เน้อื แน่น น�้ำต้มเคร่ืองยาจีนซมึ ช่อื ร้านลมโชย มอี าหารใหเ้ ลอื กหลากหลาย ประเภทปลาแมน่ ้ำ� และเหด็ สด ท่วั ทุกส่วนของชน้ิ เตา้ หู้ จงึ อร่อยไดท้ ันทีแบบไมต่ อ้ งปรงุ รสเพิ่ม ชนดิ ตา่ งๆ และในรา้ นยงั มีผลติ ภัณฑ์น�้ำพริกเผา น�้ำผึ้งป่า กระเทียมโทนดอง หลงั สถานรี ถไฟเจด็ เสมียนเป็นทีต่ งั้ ของ ตลาด ๑๐๐ ปเี จ็ดเสมียน ราคามติ รภาพ เปน็ ของดปี ระจำ� ถน่ิ สำ� หรบั เปน็ ของฝาก หรอื เกบ็ ไวก้ นิ ไดน้ านวนั ทกุ วันพธุ ศุกร์ เสาร์ อาทติ ย์ ยามบา่ ย ๒ โมง ถงึ ๒ ทุ่ม คนในชมุ ชน ภายในร้านมีข้อความเชิญชวนให้ซ้ือสินค้าด้วยกลอนที่สนุกแฝงความขบขัน จะนำ� สนิ ค้ามาวางขายตามแบบชนบท สว่ นใหญเ่ ป็นพชื ผัก ผลไม้ สตั วน์ ้ำ� ที่ ทำ� ให้ผู้อ่านอมย้ิมกันถ้วนหนา้ หาได้ และขนมไทย อาหารปรงุ สำ� เรจ็ ทท่ี ำ� เองนา่ กนิ นา่ ซอื้ ทกุ อยา่ ง บรรยากาศ อำ� เภอบ้านคาและอำ� เภอสวนผึง้ เดมิ บ้านคาขึ้นกบั อ�ำเภอสวนผึ้ง การซ้ือขายคึกคกั สบั ปะรดสวนผง้ึ ทเี่ รยี กกนั จนตดิ ปาก ปจั จบุ นั ปลกู มากในเขตบา้ นคา ระหวา่ ง อ�ำเภอดำ� เนนิ สะดวก เมื่อเอ่ยถงึ ดำ� เนินสะดวก ส่ิงแรกท่ีต้องนกึ ถึง เสน้ ทางจะมรี ้านขายสบั ปะรด ขนุน มะม่วง เรียงรายเชิญชวนให้ผู้เดนิ ทาง คอื ตลาดน้�ำ ตลาดนำ�้ ด�ำเนินสะดวกอยู่ใกลท้ ว่ี ่าการอ�ำเภอดำ� เนนิ สะดวก เป็น ผ่านไปมาแวะอุดหนนุ และมีครัวม่อนไข่ เป็นร้านอาหารที่เจา้ ถน่ิ แนะน�ำ สถานที่พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ด้วยการเดินหรอื ล่องเรอื ชมและชิมอาหาร มีทัง้ การเลือกส่ังอาหารตามแหล่งท่องเท่ียวควรเลือกชนิดอาหารที่มีในท้องถ่ิน สินคา้ การเกษตร ประเภทผักผลไม้ ไมว่ ่าจะเป็น กล้วย มะละกอ ชมพู่ จึงจะไดอ้ าหารที่สดใหม่ ความอรอ่ ยจงึ ตามมา พนั ธไ์ุ มป้ ระดบั สนิ คา้ เหลา่ นจี้ ะนำ� ลงเรอื มาขายใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี ว บางเจา้ ลอ่ งไป อำ� เภอวัดเพลง สกุ ียาก้ี บา้ นตา - วาลย์ รา้ นน้ตี ั้งอยู่ปากทางเข้าวัด ตามลำ� คลองเพอื่ บรกิ ารคนซื้อท่อี ยู่ตามบา้ นเรอื น บางเจา้ จอดประจ�ำที่ เช่น แก้วเจริญ เปน็ ร้านอาหารของครอบครัวประสพเนตร ๔ คนพ่อแม่ลูก พอ่ แม่ เรอื กว๋ ยเตยี๋ วทเี่ ปน็ สสี นั จงู ใจใหผ้ คู้ น นกั ทอ่ งเทยี่ วมาอดุ หนนุ หากหวิ อาหารที่ หลงั จากเกษยี ณอายรุ าชการเปน็ เวลาเดยี วกบั ทลี่ กู ๆ เรยี นจบจากมหาวทิ ยาลยั กนิ งา่ ย กนิ อรอ่ ยประเภทกว๋ ยเตย๋ี วเรอื ทน่ี ม่ี อี ยหู่ ลายเจา้ รสชาตไิ มแ่ ตกตา่ งกนั มีความมุ่งม่นั ต้ังใจอยากท�ำรา้ นอาหาร จึงเปิดร้านนี้ นอกจากสุกแ้ี ล้วร้านน้ี เสนห่ ์อย่ทู ่อี ธั ยาศัยของผ้ขู าย ทช่ี วนพูดคุยกัน ไดร้ สไปอีกแบบ ราคาคมุ้ คา่ ยังมสี เต็กหมู เนือ้ ไก่ ขายด้วย ทร่ี า้ นนไ้ี ดร้ บั เครอื่ งหมาย Clean food ๒๕ - ๓๐ บาท ชามเดยี วอ่มิ แปล้ Good Taste รบั รองอาหารสะอาด รสชาตอิ ร่อย จากกระทรวงสาธารณสขุ เรอื ขนมสาคูไสห้ มู ขา้ วเกรียบปากหมอ้ ทำ� ไปขายไป ชมิ แลว้ อร่อย จึงม่ันใจในความสะอาดของเครื่องปรุงทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นประเภทผักหรือ ดว้ ยไส้รสกลมกล่อม หอมถั่วลิสงควั่ ใหม่ๆ มีกระเทยี มเจยี วโรยหน้าสเี หลอื ง เนอ้ื สัตว์ อีกทัง้ ไม่ใชส้ ารปรงุ แต่งรส และเมอ่ื ลม้ิ รสน�ำ้ จมิ้ ท่ีมีสตู รเฉพาะ สวยไม่มีเปลอื กปนใหร้ ำ� คาญ
188 189 รสชาตนิ ุม่ นวล ยงิ่ ท�ำให้การกนิ มือ้ นสี้ มบูรณ์แบบและย่งิ ประทบั ใจกบั ราคา อาหาร ใครทก่ี ำ� ลงั หารา้ นอาหารประจำ� ครอบครวั ขอแนะนำ� อาหารของรา้ นน้ี ขนมสลัดงาก่อนห่อใบตอง หอ่ และจดั สวยงามเพอ่ื เพมิ่ มลู ค่า ซึ่งเปน็ อาหารสุขภาพเหมาะสมกบั ทุกวัย กลว้ ยเบรกแตก เมอื่ ไดก้ ินแล้วหยดุ ไม่ได้ กนิ ของคาวแล้ว ก็หาของหวานและของขบเคีย้ วสกั อย่างสองอย่าง การเคยี่ วนำ้� ตาลด้วยเตาฟืน ๕ ไห ไททรงด�ำ อยา่ งแรก ขนมสลดั งา เป็นขนมสตู รโบราณจากภูมปิ ัญญาคณุ นา้ ประไพ วิธกี ารท�ำจุบ๊ ผัก เบญจมาศ ผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาไว้ โดยนำ� สง่ิ ทมี่ ใี นทอ้ งถน่ิ ไมว่ า่ จะเปน็ มะพรา้ ว ทอฟฟีโ่ บราณ นางสมนกึ เทพธรรม ประธานกลมุ่ ผา้ ทอไทยทรงดำ� วทิ ยากรปรงุ อาหาร นำ�้ ตาล ถวั่ งา รวมถงึ วสั ดทุ ใี่ ชห้ อ่ และบรรจดุ ว้ ยใบตอง ใบมะพรา้ ว ผา่ นขนั้ ตอน น�ำ้ ตาลมะพร้าว ใหค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ ว่า ทกุ ครวั เรอื นของบา้ นชาวไทยทรงดำ� ต้องมีไห ๕ ใบ การทำ� ท่ปี ระณีตจนเปน็ ขนมที่อรอ่ ย สวยงาม สร้างความประทบั ใจจนเป็น ลานเกษตรตลาดศรีเมอื ง ราชบรุ ี ประจ�ำอยู่ในครวั คือไหที่ ๑ หน่อไม้ ไหที่ ๒ เกลอื ไหท่ี ๓ ปลารา้ ไหที่ ๔ ของกินของฝากประจ�ำถ่ิน ร่วมกนั สืบทอดภูมปิ ัญญา หากใครสนใจสามารถ จากเอกลกั ษณ์สคู่ วามอรอ่ ย...เคก้ โอ่ง มะขามเปยี ก ไหท่ี ๕ ข้าวสาร สงั่ ทำ� ไดท้ ี่ นางบญุ ยนื เขยี วอนิ ทร์ ผหู้ ญงิ เกง่ และแกรง่ ซงึ่ มบี ทบาทหนง่ึ คอื เมอื่ คิดถงึ ส่ิงประจ�ำครวั เรือนท้งั ๕ ของไทยทรงดำ� กข็ อน้อมเคารพ สมาชกิ สภาบรหิ ารสว่ นตำ� บลจอมปะทดั โทรศพั ทห์ มายเลข ๐๘๖ - ๑๓๗ - ๖๐๖๐ ในภูมิปัญญาท่ีวางแบบแผนวิถชี ีวิตได้อย่างแยบยลรอบคอบ มกี ารเตรยี มสง่ิ นอกจากขนมสลัดงา อำ� เภอวดั เพลง ยังมขี นมขบเค้ียวท่เี กิดจาก ทมี่ คี วามจำ� เปน็ ในการดำ� รงชวี ติ ไดค้ รบครนั พรอ้ มทำ� เปน็ อาหารได้ ถงึ แมน้ วา่ ภมู ิปญั ญาของคนในทอ้ งถน่ิ เชน่ กนั ไมว่ ่าจะเปน็ กลว้ ยเบรกแตก ของคณุ บางวนั อาจไมส่ ามารถออกไปหาอาหารนอกบ้านได้ ปัทมาพร แกว้ เลื่อนมา และ ทอฟฟ่ีโบราณ ป้าเกียว ลขิ ิตเสรกี ุล ที่กิน หลังจากได้ชิมอาหารการกินที่จังหวัดราชบุรีมาพอสมควรแล้ว เรา ครั้งใดหยดุ ไม่ได้จนกว่าขนมจะหมด เหมาะแกก่ ารซื้อหาเป็นของฝาก ทีผ่ ู้รบั มาวิเคราะห์กันดีกว่าว่าท�ำไมอาหารในจังหวัดราชบุรีแทบทุกร้านจึงอร่อย ปล้มื ใจเสมอ แต่เบ้ืองหลังความอร่อยทั้งมวล หากไม่มนี �้ำตาลมะพรา้ วที่มี และสด สดุ ทา้ ยเราก็ได้ข้อสรุปจากการสมั ภาษณน์ ายสหสั ค�ำบู่ ท่ปี รึกษา กรรมวธิ กี ารเก็บ การเคย่ี วแบบด้ังเดมิ กจ็ ะไม่คงความหอมและหวานไวอ้ ยา่ ง กรรมการผจู้ ดั การตลาดศรเี มือง ซึง่ อดตี ท่านเคยเป็นผู้อ�ำนวยการวทิ ยาลัย ทกุ วนั นี้ ปจั จบุ นั การทำ� นำ�้ ตาลแบบดง้ั เดมิ นี้ มอี นรุ กั ษอ์ ยบู่ า้ งทบ่ี า้ น คณุ ตาบตุ ร เกษตรฯ และผ้บู ริหารอกี หลายต�ำแหนง่ ในสังกดั กรมอาชีวศึกษา กระทรวง และคณุ ยายละเมยี ด ชรู อด สองสามภี รรยาที่ยังคงสบื ทอดด้วยความรกั และ ศกึ ษาธกิ าร ซงึ่ ไดใ้ หข้ อ้ มลู วา่ จงั หวดั ราชบรุ นี นั้ เปน็ จงั หวดั ทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ หวงแหน และทุกคนก็มีสว่ นรว่ มอนุรักษไ์ ด้ด้วยการสง่ เสรมิ ให้เยาวชนเรียนรู้ ไปด้วยอาหารการกิน เป็นแหล่งผลิตอาหารไดเ้ กือบทกุ ชนดิ ภายในจังหวัด และสืบทอดไม่ใหห้ ายไปจากแผน่ ดินของเรา มวี ัตถุดิบหลากหลายและเพียงพอตอ่ การบรโิ ภค และมรี าคาทีเ่ ปน็ ธรรมตอ่ สดุ ทา้ ยของกนิ ไมใ่ ชข่ องฝาก ซง่ึ คณะผู้เขยี นมีโอกาสไดเ้ รยี นรูท้ บ่ี า้ น ผู้ผลิตและผู้ซอ้ื เสน้ ทางในการคมนาคมทั้งภายในจงั หวัดราชบุรแี ละจังหวัด หวั เขาจนี เปน็ อาหารของชาวไทยทรงดำ� ท่ีเปน็ สำ� รบั ท่ใี ชป้ ระกอบพธิ ีมงคล ใกล้เคียงมีการเช่ือมต่อได้หลายจังหวัดจึงมีความสะดวกในการขนส่งและ ประกอบด้วย แกงหน่อสม้ หรือแกงหน่อไม้ดอง และจบุ๊ ผกั หรอื ย�ำผัก ลดระยะเวลาในการขนส่ง ส่งผลใหค้ ณุ ภาพของวัตถุดบิ มคี วามสดใหม่เสมอ ส่วนประกอบของอาหารเปน็ สิง่ ท่ีหาได้ในทอ้ งถน่ิ บรเิ วณรอบๆ บา้ น อยา่ ง เม่ือนำ� ไปประกอบอาหาร หน่อไม้ เม่ือหาได้มากกจ็ ะดองเพ่ือเก็บไว้กนิ ในฤดูท่ีหายาก เป็นภูมปิ ัญญา หากมโี อกาสแวะเวยี นมาเยอื นจงั หวดั ราชบรุ ี ลองไปลม้ิ ชมิ รสตามรอย ในการถนอมอาหาร รวมทั้งการท�ำปลารา้ ก็เปน็ การถนอมอาหารเชน่ กัน เสน้ ทางอาหารอรอ่ ย ทีผ่ ้เู ขยี นได้แนะนำ� มาข้างต้น แล้วทา่ นจะประทบั ใจ อาหารของชาวไทยทรงด�ำเกือบทุกชนดิ ตอ้ งปรงุ รสดว้ ยปลารา้ เป็นเครอื่ งชรู ส และหลงใหลในเสน่ห์ของจงั หวัดราชบุรแี ห่งน้ียิง่ ข้ึน การทำ� จ๊บุ ผัก ทำ� โดยนำ� ถัว่ ฝกั ยาวและผกั บงุ้ หนั่ พอค�ำแลว้ ตม้ สกุ ดว้ ยน้ำ� ปลาร้าแล้วสะเด็ดนำ�้ ท้งิ ไว้ คลกุ เคลา้ ด้วยน้ำ� พริกท่ีปรงุ ดว้ ยปลาทยู า่ ง มะแขวน่ (เครอ่ื งเทศคลา้ ยพรกิ ไทยออ่ น) ขา่ หอม กระเทยี ม พรกิ แหง้ ทกุ อยา่ ง คว่ั ใหห้ อมแลว้ โขลกรวมกนั จนละเอยี ด รสชาตขิ องจบุ๊ ผกั มกี ลน่ิ หอมเครอื่ งเทศ มีรสเผด็ แบบกลมกลอ่ ม จดั ขึ้นส�ำรบั ทีเ่ รยี กว่า ปา๋ นข้าว รว่ มกบั อาหารอ่ืน กินกับขา้ วเหนียวร้อนๆ อรอ่ ยพร้อมคณุ คา่ อาหารจากสมนุ ไพรไทย
บรรณานุกรม วรี ะพงศ์ มสี ถาน. ฅนราชบรุ .ี ราชบุรี: ส�ำนักงานวัฒนธรรมจงั หวดั ราชบรุ ี. ๒๕๕๐. ศนู ยม์ อญ และ กระทรวงวฒั นธรรม. นำ� ชมพิพิธภณั ฑ์พน้ื บ้านวัดม่วง. กรงุ เทพฯ: ม.ป.ท. ๒๕๕๐. กรมการทหารชา่ ง. ๑๓๗ ปี เหลา่ ทหารชา่ ง ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๕๕. ม.ป.ท. ๒๕๕๕. ศูนยศ์ ิลปวฒั นธรรม สถาบันราชภฏั หม่บู า้ นจอมบึง ราชบุร.ี ศิลปวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินราชบรุ ี. ราชบรุ :ี กรมการพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย. เทย่ี วชมราชบรุ .ี กรงุ เทพฯ: คามารารต์ สตดู โิ อ จำ� กดั . ม.ป.ป. กล่มุ งานยทุ ธศาสตรพ์ ัฒนาจังหวดั . แผนพัฒนาจังหวัดราชบุรี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐. ราชบุร:ี ม.ป.ท. ธรรมรกั ษก์ ารพิมพ์. ๒๕๔๑. สมทรง บุรุษพฒั น์. การใชภ้ าษาและทัศนคติต่อภาษาและการทอ่ งเทยี่ วเชิงชาติพันธข์ุ องกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ม.ป.ป. เขียน ยิม้ ศิริ และ เจริญ ผานธุ .ิ ประวัตวิ ดั ศิรเิ จริญเนินหม้อ (โคกหม้อ) อ�ำเภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี. ในภมู ิภาคตะวนั ตกของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. ๒๕๕๔. ทีร่ ะลึกในงานปฏสิ ังขรณ์วดั พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๘. ราชบรุ :ี บุญทอง ผอ่ งสวัสด์.ิ ๒๔๙๘. สภุ าภรณ์ จินดามณีโรจน์. ประวัติศาสตร์ทอ้ งถ่ิน ลุ่มนำ้� แม่กลอง ความหลากหลายของผคู้ น ชมุ ชน คณะกรรมการฝา่ ยประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอ�ำนวยการจดั งานเฉลิมพระเกียรติ และวฒั นธรรม บ้านโปง่ - บ้านเจ็ดเสมยี น. ราชบุรี: พิพิธภัณฑ์พนื้ บา้ นวัดม่วง. ๒๕๕๕. สำ� นกั งานท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั ราชบรุ ี. แชะชิมช็อป@ราชบุรี. นครปฐม: เพชรเกษมพริน้ ต้ิง กรุป๊ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เนอื่ งในโอกาสพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๖ รอบ จ�ำกัด. ม.ป.ป. ๕ ธนั วาคม ๒๕๔๒. วฒั นธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภมู ิปญั ญา ส�ำนักงานวัฒนธรรมจงั หวดั ราชบรุ ี. อาหารพน้ื ถิ่น ชาติพันธ์ุจังหวัดราชบุร.ี ราชบรุ ี: งานดีมีเดีย (๒๐๐๕) จงั หวัดราชบรุ ี. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพค์ ุรสุ ภา. ๒๕๔๓. กร๊ปุ . ๒๕๕๔. คณะกรรมการวัดชอ่ งลม. งานสมโภชวดั ช่องลมราชบรุ พี ระอารามหลวงสามัญ วันที่ ๒๑ เมษายน __________. ๘ ชาตพิ ันธ์ุในราชบรุ ี. ม.ป.ท. ม.ป.ป. พ.ศ. ๒๕๓๓. กรุงเทพฯ: จงเจริญการพิมพ.์ ๒๕๓๓. สำ� นกั วจิ ยั การอนรุ กั ษป์ า่ ไมแ้ ละพนั ธพ์ุ ชื . พรรณไมใ้ นวรรณคดี “กาพยเ์ หเ่ รอื และกาพยห์ อ่ โคลงประพาส จวน เครอื วชิ ฌยาจารย์. ประเพณมี อญท่สี �ำคัญ. กรุงเทพฯ: ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสิรนิ ธร (องคก์ ารมหาชน). ธารทองแดง”. กรงุ เทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. ๒๕๕๒. ๒๕๔๘. อาภรณ์ สุนทรวาท. ร�ำกะเหรย่ี งอำ� เภอสวนผงึ้ . นครปฐม: เพชรเกษม พริน้ ติ้ง กรุ๊ป จำ� กัด. ๒๕๕๑. จปิ าถะภัณฑ์สถานบา้ นคูบวั . จปิ าถะภัณฑส์ ถานบา้ นคูบัว ราชบรุ ี. พมิ พ์ครั้งที่ ๓. ม.ป.ท. ๒๕๕๒. อดุ ม สมพร. ผา้ จกไท - ยวนราชบรุ .ี ราชบุรี: โรงพมิ พ์ภาพพมิ พ.์ ๒๕๔๐. น.ณ ปากน้ำ� (นามแฝง) และ อภวิ นั ทน์ อดลุ ยนิเชฏฐ์. จิตรกรรมฝาผนงั วดั คงคาราม. กรงุ เทพฯ: เมอื งโบราณ. ๒๕๕๔. วารสาร ปรานี วงษ์เทศ, บรรณาธิการ. ล่มุ น้�ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสงั คมและวฒั นธรรม. จัดพมิ พ์เนือ่ งใน เดชา สดุ สวาท. กำ� แพงเมอื งราชบุรี. ศิลปวัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ราชบุรี. ๒๕๔๔; ๔: ๑๒-๑๖. วโรกาสสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทรงเปดิ พพิ ธิ ภณั ฑ์ วนดิ า ตรสี วสั ด.ิ์ กระบวนการถา่ ยทอดความรเู้ กยี่ วกบั การปน้ั โอง่ มงั กรของชาวตำ� บลเจดยี ห์ กั อำ� เภอเมอื ง วนั ศกุ รท์ ่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๓๖. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ๒๕๓๖. __________. สังคมและวฒั นธรรมในอุษาคเนย์. กรงุ เทพฯ: เรอื นแกว้ การพมิ พ.์ ๒๕๔๓. จงั หวัดราชบุรี. ศลิ ปวัฒนธรรมท้องถิน่ ราชบุร.ี ๒๕๔๘; ๗: ๘๓-๙๒. พระครูพทิ ักษ์ศิลปาคม. หนงั ใหญว่ ัดขนอน. ม.ป.ท. ม.ป.ป. สายสัมพนั ธ์ ๘ เช้ือชาตใิ นราชบรุ ี. SbL Magazine. ๒๕๕๖; ๔: ๕๔-๕๗. พระครูรัตนกจิ โกศล. อนุสรณ์พิธีพระราชทานเพลิงศพ. กรงุ เทพฯ: จงเจริญการพมิ พ.์ ๒๕๓๓. สรุ ินทร์ เหลือลมยั . ต�ำนานจอมบึง. เมืองโบราณ. ๒๕๔๘; ๔: ๒๘-๕๔. พพิ ธิ ภัณฑพ์ น้ื บา้ นวัดม่วง. น�ำชมพพิ ิธภัณฑพ์ ้นื บา้ นวัดม่วง. พมิ พ์คร้งั ที่ ๒. ม.ป.ท. ๒๕๕๐. พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี กรมศิลปากร. เอกสารแผน่ พับ “พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ ราชบรุ ”ี . เอกสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ม.ป.ท. ม.ป.ป. การจัดหาตน้ ไม้เพ่ือทำ� บอนไซ [อนิ เทอรเ์ น็ต]. ๒๕๕๔. [เข้าถงึ เมอื่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖]. เขา้ ถงึ ได้จาก: พลู ศรี จบี แก้ว. ภาพเก่าเลา่ อดตี เมอื งราชบรุ ี. กรงุ เทพฯ: พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุร.ี ๒๕๕๒. มลู นธิ เิ พื่อสถาบันการศกึ ษาวิชาการจัดการแหง่ ประเทศไทย กล้วยไม้ส่งออกกล่มุ ราชบรุ .ี ..คลสั เตอร์ http://www.bonsai.in.th/index.php?name... ยกระดับคณุ ภาพมาตรฐานโลก. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ควิกซอ๊ พ จ�ำกัด. ๒๕๓๗. ข่อย : ไม้ดัดของไทย ตอนท่ี ๑ ความรเู้ ร่อื งไมด้ ัด. [อินเทอรเ์ นต็ ]. ม.ป.ป. [เข้าถึงเมื่อ ๑๐ สิงหาคม วรรณิภา ณ สงขลา. จติ รกรรมไทยประเพณี เล่มท่ี ๑. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศลิ ปากร. ๒๕๓๓. วสิ นั ธนี โพธสิ นุ ทร. กำ� เนดิ ชนชาตไิ ทย และหลกั ฐานการอยอู่ าศยั ของกลมุ่ ชนในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: ๒๕๕๖]. เขา้ ถึงได้จาก: http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/.../45203-1.html. ส�ำนกั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ. ๒๕๔๘. เรอื่ งเลา่ ถ�้ำจอมพล [อินเทอรเ์ น็ต]. ม.ป.ป. [เขา้ ถึงเมื่อ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๖]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http:// www.เทีย่ วราชบรุ ี.com.
ขอขอบคุณผูอ้ นุเคราะหข์ อ้ มลู พระครูโสภณปัญญาวฒั น ์ เจา้ อาวาสวดั ชอ่ งลม นางชนิดาภา เดชคลงั ผู้อ�ำนวยการกลมุ่ อ�ำนวยการ ส�ำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษา พระครูพทิ ักษศ์ ลิ ปาคม เจ้าอาวาสวดั ขนอน มัธยมศึกษา เขต ๘ พระครสู ิริคณาภรณ ์ เจา้ อาวาสวดั นาหนอง นางวัลนิภา สวุ รรณสอาด กลุม่ อ�ำนวยการ สำ� นกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษา พระครูภทั ทสิริธรรม (อนุ่ กรดเครอื ) เจา้ อาวาสวดั มว่ ง ประถมศึกษาราชบรุ ี เขต ๑ พระครโู สภณ วิภูษิต เจ้าอาวาสวัดบางลี่เจรญิ ธรรม นายธีรศกั ด์ิ ลิขติ วฒั นเศรษฐ ขา้ ราชการบำ� นาญ (ศกึ ษานเิ ทศก์ สพป. ราชบรุ ี เขต ๑) พระครูสิริสวุ ฒั นาภรณ์ เจ้าอาวาสวดั ศิริเจริญเนนิ หมอ้ นายสุรเดช อนิ ทรสนั ติ ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นวดั นาหนอง นายอดุ ม สมพร เกยี รติภูมคิ นไทย ด้านอนรุ กั ษ์ศลิ ปวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ นางบรรเจดิ อ่นุ มณรี ัตน์ ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นอนุบาลจอมบึง นายสุรนิ ทร์ เหลือลมัย นักวิชาการทอ้ งถน่ิ นายเฉลมิ เทพสวสั ด ิ์ ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนบา้ นจอมบึง (วาปีพรอ้ มประชาศกึ ษา) นายกฤช รังสิเสนา ณ อยธุ ยา ปลดั จังหวดั ราชบรุ ี นายเปลว ปรุ สิ าร ผู้อำ� นวยการโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง ๒ (บ้านบ่อหว)ี นายอำ� นาจ กรมมา วัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี นายเฉลยี ว เถื่อนเภา ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนบา้ นตะโกล่าง น างสาวณัฐมนต์ จนิ านกุ ลู วงศ์ คลังจังหวดั ราชบุรี นายเกรียงศกั ดิ์ ดีประเสรฐิ ผอู้ �ำนวยการโรงเรยี นวัดแจ้งเจริญ (บญุ เหลอื ประชาสงเคราะห)์ นายพงศธร แสงชมภู ขอ้ มลู สารสนเทศ จงั หวดั ราชบรุ ี นายมาโนตย์ โกมลกติ ศิ ักด์ิ ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนวัดบางลี่ (วุฒพิ นั ธ์วทิ ยา) นางสาวจนั ทนา ประสานศิลป ์ ส�ำนักการคลงั ราชบุรี นางจนั ทรา เรือนทองด ี ผอู้ ำ� นวยการโรงเรยี นวัดสันติการามวิทยา นายสาธิต ป่นิ กลุ หัวหนา้ สถานเี พาะเล้ยี งสัตวป์ า่ เขาประทับช้าง นายบุญฤทธิ์ เกียรติมงคล ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี นอมรญาติสมาคม น างสาวพัชรี พิรยิ ะมาสกลุ ข้อมูลการปกครอง จังหวดั ราชบุร ี นายเตรยี มชยั อุทยั วัฒน ์ ผอู้ �ำนวยการโรงเรียนวัดมว่ ง นายชัยวฒั น์ รจุ ิระภมู ิ ข้อมลู หอการคา้ จังหวดั ราชบุรี นายวริ ัตน์ มะโนวัฒนา ผอู้ ำ� นวยการโรงเรยี นวดั ชัยรตั น์ นางถิรดา โสมนสั นกั วชิ าการวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั หมบู่ า้ นจอมบงึ นางนวลนภา คำ� กลนิ่ ผอู้ ำ� นวยการโรงเรยี นวดั ขนอน นายโกมล บัณฑิตเดช ผอู้ ำ� นวยการกล่มุ อ�ำนวยการ ส�ำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา นายชยั วฒั น์ รามนฎั รองผู้อำ� นวยการโรงเรียนบ้านหวั เขาจีน ประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต ๑ น ายวิริยะพนั ธ์ บตุ รน้�ำเพชร โรงเรียนอนุบาลจอมบงึ น ายเชยี ง เดชธนู ผอู้ ำ� นวยการกลมุ่ อ�ำนวยการ ส�ำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา นางสาวสมนกึ ออ่ นแก้ว ครโู รงเรียนวัดทงุ่ หญ้าคมบาง ประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต ๒ นางวรรณา วงคย์ ะรา ครูโรงเรียนวัดโพธิรตั นาราม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103