พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : ทาน (การให้) การให้ทานอนั เป็นอรยิ ะ (นยั ท่ี ๓) 78 -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๔๔๔/๖๙๑. ภิกษุ ! เปรียบเหมือนประทีปนำ้ �มัน เพราะอาศัย นำ้ �มนั และไสแ้ ลว้ จงึ ลกุ โพลงอยไู่ ด้ เมอ่ื หมดนำ้ �มนั และหมดไส้ พรอ้ มกบั ไมเ่ ตมิ นำ้ �มนั และไสอ้ กี ยอ่ มเปน็ ประทปี หมดเชอ้ื แลว้ ดบั ไป ภกิ ษ ุ! ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั บคุ คลนน้ั เมอ่ื เสวยเวทนามกี าย เปน็ ทสี่ ดุ รอบ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ เราเสวยเวทนามกี ายเปน็ ทส่ี ดุ รอบ เมอ่ื เสวยเวทนามชี วี ติ เปน็ ทส่ี ดุ รอบ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ เราเสวยเวทนา มชี วี ติ เปน็ ทส่ี ดุ รอบ และยอ่ มรชู้ ดั วา่ เวทนาทง้ั ปวง อนั เราไม่ เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตภาพนี้น่ันเทียว จน กระทั่งถึงท่ีสุดรอบแห่งชีวิตเพราะการแตกทำ�ลายแห่งกาย ดงั นี้ เพราะเหตุนน้ั ผถู้ ึงพร้อมด้วยความรสู้ ึกอย่างน้ี ชอ่ื ว่า เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยปญั ญาอนั เปน็ ธรรมทคี่ วรตง้ั ไวใ้ นใจเปน็ อยา่ งยงิ่ ด้วยประการอยา่ งนี้ ก็ปญั ญานี้ คือ ความรู้ในความ สิ้นทุกข์ท้ังปวง เป็นปัญญาอันประเสริฐยิ่ง ความหลุดพ้น ของเขานั้น จัดว่าตง้ั อยูใ่ นสจั จะ เปน็ คุณไม่กำ�เริบ ภกิ ษ ุ ! เพราะสง่ิ ทเ่ี ปลา่ ประโยชนเ์ ปน็ ธรรมดานน้ั เทจ็ ส่วนสิ่งท่ีไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดาได้แก่นิพพานน้ันจริง ฉะนน้ั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยสจั จะอยา่ งนช้ี อื่ วา่ เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ย สจั จะอนั เปน็ ธรรมควรตง้ั ไวใ้ นใจอยา่ งยง่ิ ดว้ ยประการอยา่ งน้ี 183
พุทธวจน - หมวดธรรม ก็สัจจะนี้ คือ นิพพาน มีความไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา เป็นสัจจะอันประเสรฐิ ยิ่ง อน่งึ บุคคลนั้นแล ยงั ไม่ ทราบในกาลก่อน จึงเปน็ อันพรั่งพร้อมสมาทานอุปธิเข้าไว้ อุปธิเหล่านั้นอันเขาละ ได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำ�ให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนนั้ ผูถ้ ึงพรอ้ มดว้ ยการสละอย่างนีช้ ื่อว่า เป็นผู้ถึง พรอ้ มดว้ ยจาคะ (การบริจาค) อันเปน็ ธรรมควรตง้ั ไวใ้ นใจ อย่างย่ิงด้วยประการอย่างน้ี ก็จาคะนี้ คือความสลัดคืนซึ่ง อปุ ธิท้งั ปวง เปน็ จาคะอนั ประเสรฐิ ยง่ิ อนึ่ง บุคคลนั้นแลยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมี ความโลภ (อภชิ ฌา) ความพอใจ (ฉนั ทะ) ราคะกลา้ (สาราคะ) ความอาฆาต (อาฆาตะ) ความพยาบาท (พยาปาทะ) ความคดิ ประทษุ รา้ ย (สมั ปะโทโส) ความไมร่ ู้ (อวชิ ชา) ความหลงพรอ้ ม (สัมโมโห) ความหลงงมงาย (สัมปะโมโห) อกุศลธรรมน้ันๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำ�ให้เหมือนตาล ยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไป เป็นธรรมดา เพราะฉะน้นั ผูถ้ งึ พรอ้ มดว้ ยความสงบอย่างน้ี ช่อื วา่ เป็นผูถ้ งึ พร้อมดว้ ยอปุ สมะ (ความสงบ) อันเปน็ ธรรม 184
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : ทาน (การให้) ควรตง้ั ไวใ้ นใจอยา่ งยงิ่ ประการนี้ กอ็ ปุ สมะนี้ คอื ความเขา้ ไป สงบราคะ โทสะ โมหะ เปน็ อปุ สมะอันประเสรฐิ อยา่ งยง่ิ ภกิ ษ ุ ! ขอ้ ทเี่ รากลา่ วดงั นว้ี า่ ไมพ่ งึ ประมาทปญั ญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่าน้ัน น่ันเราอาศยั เนอื้ ความนี้กลา่ วแล้ว. 185
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : ทาน (การให)้ สง่ิ ที่ประเสริฐกวา่ ทาน 79 -บาลี สคาถ. ส.ํ ๑๕/๓๐/๑๐๑. กก็ ารใหท้ านด้วยศรทั ธา อนั บัณฑิตสรรเสริญแล้วโดยส่วนมาก กแ็ ต่บทแหง่ ธรรม (นิพพาน) น้ันแหละ ประเสรฐิ กว่าการใหท้ านทั้งหลาย เพราะวา่ สัปบุรษุ ทงั้ หลายผมู้ ีปัญญา ในกาลกอ่ นกด็ ี ในกาลกอ่ นกว่ากด็ ี บรรลซุ ง่ึ นิพพานแล้ว. 186
ภาคผนวก
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) เจรญิ เมตตาจิตมผี ลมากกวา่ ใหท้ าน 80 -บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐๘/๖๖๗. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ผใู้ ดพงึ ใหท้ านประมาณ ๑๐๐ หมอ้ ใหญ่ในเวลาเช้า ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ ในเวลาเที่ยง ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ ในเวลาเยน็ ผใู้ ดพงึ เจรญิ เมตตาจติ ในเวลาเชา้ โดยทส่ี ดุ แมเ้ พยี ง ชัว่ การหยดนำ้� นมแห่งแม่โค หรือผูใ้ ดพงึ เจรญิ เมตตาจิตใน เวลาเที่ยง โดยที่สุดแม้เพียงช่ัวการหยดน้�ำนมแห่งแม่โค หรือผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเย็น โดยท่ีสุดแม้เพียง ชั่วการหยดน�้ำนมแห่งแม่โค การเจริญเมตตาจิตนี้มีผล มากกวา่ ทานที่บคุ คลให้แลว้ ๓ ครั้งในวนั หนง่ึ น้นั เพราะเหตนุ นั้ ในเรอ่ิื งนี้ เธอทงั้ หลายพงึ ศกึ ษาอยา่ งน้ี วา่ เราจกั เจรญิ เมตตาเจโตวมิ ตุ ติ กระทำ� ใหม้ าก กระทำ� ใหเ้ ปน็ ดจุ ยานทเี่ ทยี มดแี ลว้ กระทำ� ใหเ้ ปน็ ของทอี่ าศยั ได้ กระทำ� ให้ มน่ั คง ประพฤตสิ งั่ สมเนอื งๆ ปรารภสมำ่� เสมอดว้ ยด.ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เธอทั้งหลายพงึ ศกึ ษาอยา่ งนีแ้ ล. 188
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : ทาน (การให้) ผลของการเจริญเมตตา 81 -บาลี นิทาน. ส.ํ ๑๖/๓๐๘/๖๖๘-๙. ภิกษุทั้งหลาย ! หอกมีใบอันคม ถ้าบุรุษพึงมา กลา่ ววา่ เราจกั งอเขา้ จกั พบั จกั มว้ นซงึ่ หอกมใี บอนั คมนด้ี ว้ ย ฝา่ มอื หรอื ดว้ ยกำ� มอื ดงั น้ี เธอจะสำ� คญั ความขอ้ นนั้ เปน็ ไฉน บรุ ษุ นนั้ เปน็ ผสู้ ามารถเพอื่ จะงอเข้า เพ่อื จะพบั เพอ่ื จะมว้ น ซงึ่ หอกมใี บอนั คมโนน้ ดว้ ยฝา่ มอื หรอื ดว้ ยกำ� มอื ไดห้ รอื หนอ. เปน็ ไปไมไ่ ด้ พระเจ้าขา้ . ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ เพราะวา่ การทจ่ี ะงอเขา้ จะพบั และจะมว้ น ซง่ึ หอกมใี บอนั คมดว้ ยฝา่ มอื หรอื ดว้ ยก�ำ มอื กระท�ำ ไมไ่ ดง้ า่ ย กแ็ หละบรุ ษุ นน้ั พงึ เปน็ ผมู้ สี ว่ นแหง่ ความเหนด็ เหนอ่ื ยล�ำ บากถา่ ยเดยี ว. ภิกษุท้ังหลาย ! ฉันใดก็ฉันน้ัน เม่ือภิกษุใดเจริญ เมตตาเจโตวมิ ตุ ติ กระทำ� ใหม้ าก กระทำ� ใหเ้ ปน็ ประดจุ ยาน กระท�ำให้เป็นที่ต้ังอาศัยให้ม่ันคง สั่งสม ปรารภด้วยดี ถ้า อมนษุ ย์จะพงึ กระทำ� จติ ของภกิ ษนุ น้ั ใหฟ้ งุ้ ซา่ น อมนษุ ย์นัน้ พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเหน็ดเหน่ือย ล�ำบากถ่ายเดียว เพราะเหตนุ ้นั ในเร่อื งน้ี เธอทั้งหลายพงึ ศึกษาอยา่ งน้ีว่า เรา จกั เจริญเมตตาเจโตวมิ ตุ ติ กระทำ� ให้มาก กระท�ำให้เปน็ ดุจ ยานที่เทียมดีแล้ว กระท�ำให้เป็นของที่อาศัยได้ กระท�ำให้ มัน่ คง ประพฤตสิ ัง่ สมเนอื งๆ ปรารภสมำ�่ เสมอดว้ ยดี. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เธอทั้งหลายพึงศกึ ษาอยา่ งนแี้ ล. 189
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : ทาน (การให)้ วธิ ีการเจริญเมตตา 82 และการเจรญิ พรหมวหิ าร -บาลี มู. ม. ๑๒/๕๑๔/๔๘๒., -บาลี อฏฺ ก. อํ. ๒๓/๓๐๙/๑๖๐., -บาลี เอกาทสก. อ.ํ ๒๔/๓๗๐/๒๒๒. เธอพงึ ศกึ ษาอยา่ งนว้ี า่ จติ ของเราจกั ตง้ั มนั่ ดำ� รงอยู่ ด้วยดีในภายใน และธรรมอันเป็นบาปอกุศลท่ีเกิดข้ึนแล้ว จกั ไมค่ รอบงำ� จติ ได้ เมอื่ ใด จติ ของเธอเปน็ จติ ตง้ั มน่ั ดำ� รงอยู่ ดว้ ยดแี ลว้ ในภายใน และธรรมอนั เปน็ บาปอกศุ ลทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ไมค่ รอบงำ� จติ ได้ เมอื่ นนั้ เธอพงึ ศกึ ษาอยา่ งนว้ี า่ เราจกั เจรญิ กระท�ำให้มากซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติ กรุณาเจโตวิมุตติ มุทิตาเจโตวิมุตติ อุเบกขาเจโตวิมุตติ ท�ำให้เป็นดุจยาน ทำ� ใหเ้ ปน็ ทตี่ งั้ ใหม้ น่ั คง สงั่ สม ปรารภดแี ลว้ . เม่ือเธอพิจารณาเห็นตนบรสิ ทุ ธ์ิ พ้นแลว้ จากบาป- อกศุ ลทเี่ กดิ ข้ึน ปราโมทย์กเ็ กิด เมือ่ เธอเกดิ ปราโมทย์แล้ว ปตี ิกเ็ กดิ เมอื่ เธอมีใจประกอบด้วยปตี ิแลว้ กายก็สงบร�ำงบั ผู้มีกายสงบร�ำงับย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมต้ังม่ัน เปน็ สมาธ.ิ 190
เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให)้ เธอ มีจิตประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปสู่ทิศท่ีหน่ึง ทศิ ทสี่ อง ทสี่ าม ทส่ี ี่ กเ็ หมอื นอยา่ งนนั้ ทง้ั เบอ้ื งบน เบอ้ื งลา่ ง และเบอื้ งขวาง เธอแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สนิ้ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั ว์ ทง้ั หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยเมตตา เปน็ จติ ไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไมม่ ีประมาณ ไม่มเี วร ไมม่ พี ยาบาท แล้วแลอยู.่ มีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปสู่ทิศที่หน่ึง ทิศ ทสี่ อง ที่สาม ทส่ี ่ี ก็เหมือนอยา่ งนัน้ ทงั้ เบ้ืองบน เบ้ืองลา่ ง และเบอ้ื งขวาง เธอแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สนิ้ ในทท่ี งั้ ปวง แกส่ ตั ว์ ทงั้ หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยกรณุ า เปน็ จิตไพบลู ย์ ใหญ่หลวง ไม่มปี ระมาณ ไม่มีเวร ไม่มพี ยาบาท แลว้ แลอย.ู่ มีจิตประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปสู่ทิศท่ีหนึ่ง ทิศ ท่ีสอง ทส่ี าม ทีส่ ี่ ก็เหมือนอย่างน้นั ท้ังเบอื้ งบน เบ้อื งล่าง และเบอื้ งขวาง เธอแผไ่ ปตลอดโลกทงั้ สน้ิ ในทที่ งั้ ปวง แกส่ ตั ว์ ทงั้ หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยมทุ ติ า เปน็ จิตไพบลู ย์ ใหญ่หลวง ไมม่ ีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มพี ยาบาท แล้วแลอยู่. 191
พุทธวจน - หมวดธรรม มีจิตประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่หน่ึง ทิศ ท่สี อง ทส่ี าม ทีส่ ี่ กเ็ หมือนอย่างน้นั ท้ังเบ้ืองบน เบือ้ งล่าง และเบอ้ื งขวาง เธอแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทที่ ง้ั ปวง แกส่ ตั ว์ ทงั้ หลายทวั่ หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยอเุ บกขา เปน็ จิตไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไม่มปี ระมาณ ไมม่ ีเวร ไมม่ พี ยาบาท แล้วแลอยู่. สระโบกขรณี มนี �้ำใสจืด เยน็ สะอาด มที า่ อนั ดี น่า รน่ื รมย์ ถา้ บรุ ษุ มาแตท่ ิศตะวนั ออก ทศิ ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และจากท่ีไหนๆ อันความร้อนแผดเผา เร่าร้อน ล�ำบาก ระหาย อยากดม่ื น้ำ� เขามาถึงสระโบกขรณนี ้นั แล้ว กบ็ รรเทาความอยากดม่ื นำ�้ และความกระวนกระวายเพราะ ความร้อนเสียได้ แม้ฉันใด เธอมาถึงธรรมวินัย ท่ีตถาคต ประกาศแลว้ เจรญิ เมตตา กรณุ า มทุ ติ า และอเุ บกขาอยา่ งนนั้ ยอ่ มไดค้ วามสงบจติ ณ ภายใน กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั เรากลา่ ววา่ เป็นผ้ปู ฏิบัตขิ อ้ ปฏิบตั อิ ันดีย่ิง. เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์ผู้มีก�ำลัง ย่อมเป่าสังข์ให้ ได้ยินได้ทั้งสี่ทิศโดยไม่ยาก ฉันใด ในเมตตาเจโตวิมุตติ กรุณาเจโตวิมุตติ... มุทิตาเจโตวิมุตติ... อุเบกขาเจโต- วมิ ตุ ติ... ท่ีเจริญแลว้ อยา่ งน้ี กรรมชนิดท่ที �ำอย่างมีขีดจ�ำกดั ยอ่ มไมม่ เี หลอื อยู่ ไม่ตง้ั อยูใ่ นนั้น ก็ฉนั นน้ั . 192
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : ทาน (การให)้ เมอ่ื ใดเธอเจรญิ สมาธนิ ้อี ยา่ งน้ี เจรญิ ดแี ล้ว เมือ่ นัน้ เธอจกั เดนิ ไปทางใดๆ กจ็ กั เดนิ เปน็ สขุ ในทางนน้ั ๆ ยนื อยใู่ น ทีใ่ ดๆ ก็จกั ยืนเปน็ สขุ ในท่นี นั้ ๆ นงั่ อยใู่ นท่ีใดๆ กจ็ ักนงั่ อยู่ เปน็ สขุ ในทน่ี นั้ ๆ นอนอยทู่ ใ่ี ดๆ กจ็ กั นอนเปน็ สขุ ในทนี่ นั้ ๆ. เม่ือเมตตาเจโตวิมุตติอันบุคคลเสพมาแต่แรก ให้ เจริญแล้ว ท�ำให้มากแล้ว ท�ำให้เป็นดุจยานท่ีเทียมดีแล้ว ทำ� ใหเ้ ปน็ ทต่ี งั้ ประพฤตสิ งั่ สมเนอื งๆ ปรารภสมำ่� เสมอดแี ลว้ พงึ หวงั อานสิ งส์ ๑๑ อยา่ ง คอื (1) หลบั เปน็ สุข (๒) ตนื่ เป็นสขุ (๓) ไมฝ่ นั รา้ ย (๔) เป็นที่รักของพวกมนษุ ย์ (๕) เป็นที่รักของพวกอมนษุ ย์ (๖) เทวดารกั ษา (๗) ไฟกด็ ี ยาพษิ กด็ ี ศสั ตราก็ดี ไม่ต้องบุคคลน้ัน (๘) จติ ต้งั มน่ั ไดร้ วดเร็ว (๙) สีหนา้ ผดุ ผอ่ ง (๑๐) ไม่หลงท�ำกาละ (11) เม่ือยังไม่บรรลุคณุ วิเศษทย่ี ่ิงขึ้นไป ย่อมเกดิ ในพรหมโลก เม่อื เมตตาเจโตวมิ ุตติ อนั บุคคลเสพมาแตแ่ รก ให้ เจริญแล้ว ท�ำให้มากแล้ว ท�ำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว ทำ� ใหเ้ ปน็ ทต่ี ง้ั ประพฤตสิ ง่ั สมเนอื งๆ ปรารภสมำ่� เสมอดแี ลว้ พงึ หวงั อานสิ งส์ ๑๑ อย่างน้แี ล. 193
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : ทาน (การให)้ ความสมปรารถนา 83 ไม่ได้เกิดเพราะการอ้อนวอน -บาลี ฉกฺก. อ.ํ ๒๒/๕๑/๔๓. คหบดี ! ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ แต่หาได้ยากในโลก ๕ ประการเป็น อย่างไร คือ (1) อายุ (2) วรรณะ (3) สขุ (4) ยศ (5) สวรรค์ คหบด ี ! ธรรม ๕ ประการเหลา่ น้แี ล น่าปรารถนา นา่ รักใคร่ นา่ พอใจ แต่หาได้ยากในโลก คหบด ี ! ธรรม ๕ ประการเหลา่ น้ี นา่ ปรารถนา นา่ รักใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก เรามิได้กล่าวว่าจะ พึงได้เพราะเหตุแห่งการอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งการ ปรารถนา ถ้าธรรม ๕ ประการ อนั น่าปรารถนา นา่ รักใคร่ น่าพอใจ หาไดโ้ ดยยากในโลกเหล่านี้ จกั ได้เพราะเหตแุ ห่ง การอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งการปรารถนาแล้วไซร้ ในโลกน้ใี ครจะพงึ เสื่อมจากอะไร 194
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : ทาน (การให)้ คหบด ี ! อรยิ สาวกผตู้ อ้ งการอายุ ไมค่ วรออ้ นวอน หรือเพลิดเพลิน หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุ อริยสาวกผู้ ตอ้ งการอายุ พึงปฏบิ ัตขิ ้อปฏิบตั อิ นั เป็นไปเพ่อื อายุ เพราะ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ไปเพอื่ อายทุ อ่ี รยิ สาวกนนั้ ปฏบิ ตั แิ ลว้ ยอ่ ม เป็นไปเพ่ือให้ได้อายุ อริยสาวกน้ันย่อมได้อายุทั้งที่เป็น ของทิพย์ หรอื ทเี่ ปน็ ของมนษุ ย์ คหบดี ! อริยสาวกผู้ต้องการวรรณะ ไม่ควร อ้อนวอน หรือเพลิดเพลิน หรือแม้เพราะเหตุแห่งวรรณะ อริยสาวกผู้ต้องการวรรณะ พึงปฏิบัติข้อปฏิบัติอันเป็นไป เพื่อวรรณะ เพราะข้อปฏิบัติอันเป็นไปเพ่ือวรรณะ ท่ีอริย สาวกนน้ั ปฏบิ ตั แิ ลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ใหไ้ ดว้ รรณะ อรยิ สาวก นน้ั ยอ่ มได้วรรณะทัง้ ทเี่ ป็นของทิพย์ หรอื ทีเ่ ป็นของมนษุ ย์ คหบดี ! อรยิ สาวกผู้ต้องการสขุ ไมอ่ ้อนวอนหรือ เพลิดเพลนิ หรอื แม้เพราะเหตแุ หง่ สุข อริยสาวกผู้ต้องการ สขุ พงึ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ไปเพอ่ื สขุ เพราะขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ไปเพอ่ื สขุ ทอ่ี รยิ สาวกนนั้ ปฏบิ ตั แิ ลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ให้ ได้สขุ อรยิ สาวกน้นั ยอ่ มไดส้ ขุ ท้ังทเ่ี ปน็ ของทิพย์ หรือทีเ่ ปน็ ของมนษุ ย์ คหบด ี ! อริยสาวกผู้ต้องการยศ ไม่ควรอ้อนวอน หรือเพลิดเพลิน หรือแม้เพราะเหตุแห่งยศ อริยสาวกผู้ 195
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : ทาน (การให้) ต้องการยศ พึงปฏิบัติข้อปฏิบัติอันเป็นไปเพ่ือยศ เพราะ ข้อปฏบิ ตั ิอนั เป็นไปเพอื่ ยศทีอ่ รยิ สาวกนั้นปฏบิ ตั ิแล้ว ยอ่ ม เป็นไปเพ่ือให้ได้ยศอริยสาวกนั้น ย่อมได้ยศท้ังที่เป็นของ ทิพย์ หรือที่เปน็ ของมนษุ ย์ คหบดี ! อริยสาวกผู้ต้องการสวรรค์ ไม่ควร อ้อนวอนหรือเพลิดเพลิน หรือแม้เพราะเหตุแห่งสวรรค์ อริยสาวกผู้ต้องการสวรรค์ พึงปฏิบัติข้อปฏิบัติอันเป็นไป เพอื่ สวรรค์ เพราะขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ไปเพอ่ื สวรรคท์ อี่ รยิ สาวก นั้นปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือให้ได้สวรรค์ อริยสาวกนั้น ยอ่ มไดส้ วรรค์ (คาถาผนวกทา้ ยพระสูตร) ชนผู้ปรารถนาอายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูง และความเพลินใจ พึงท�ำความไม่ ประมาทให้มากย่ิงขึน้ บณั ฑติ ทัง้ หลาย ยอ่ มสรรเสริญความ ไม่ประมาทในการท�ำบุญ บัณฑิตผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อม ยดึ ถอื ประโยชนท์ ้งั สองไวไ้ ด้ คือ ประโยชน์ในปัจจบุ นั และ ประโยชน์ในสัมปรายะ ผู้มีปัญญา ท่านเรียกว่าบัณฑิต เพราะบรรลุถึงประโยชนท์ ั้งสองน้นั 196
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : ทาน (การให)้ การเกี่ยวข้องกับเงนิ ทองของภกิ ษุ 84 -บาลี มหาว.ิ ว.ิ ๒/๕๔/๗๐., -บาลี มหาว.ิ วิ. ๒/๙๐,๙๔,๙๙/๑๐๕,๑๑๐,๑๑๓., -บาลี มหา. วิ. ๕/๑๒๐/๘๕., -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๔๐๑/๖๒๕. วินยั บัญญตั ิ ท่มี าในสิกขาบทปาติโมกข์ อนึ่ง ภกิ ษุใด รบั กด็ ี ให้รับก็ดี ซ่ึงทองเงิน หรอื ยินดี ทองเงินอันเขาเกบ็ ไว้ให้กด็ ี เป็นนิสสคั คิยปาจิตตยี ์ อนึ่ง ภิกษุใด ถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมี ประการต่างๆ เป็นนสิ สคั คยิ ปาจติ ตีย์ อนง่ึ ภิกษุใด ถงึ การซื้อและการขายมีประการตา่ งๆ เป็นนสิ สคั คยิ ปาจติ ตีย์ อน่ึง พระราชาก็ดี ราชอ�ำมาตย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คหบดกี ด็ ี สง่ ทรพั ยส์ ำ� หรบั จา่ ยจวี รไปดว้ ยทตู เฉพาะภกิ ษวุ า่ เจ้าจงจ่ายจีวรด้วยทรัพย์ส�ำหรับจ่ายจ่ายจีวรน้ีแล้วยังภิกษุ ช่อื น้ีใหค้ รองจีวร ถา้ ทตู นนั้ เขา้ ไปหาภกิ ษนุ นั้ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ทรพั ยส์ ำ� หรบั จา่ ยจวี รนน้ี ำ� มาเฉพาะทา่ น ขอทา่ นจงรบั ทรพั ยส์ ำ� หรบั จา่ ยจวี ร ภกิ ษนุ นั้ พงึ กลา่ วตอ่ ทตู นน้ั อยา่ งนวี้ า่ พวกเราหาไดร้ บั ทรัพย์สำ� หรบั จ่ายจีวรไม่ พวกเรารบั แตจ่ ีวรอันเปน็ ของควร โดยกาล ถ้าทตู นัน้ กลา่ วตอ่ ภิกษุนนั้ อย่างนว้ี ่า กใ็ ครๆ ผ้เู ป็น ไวยาวัจกรของทา่ นมีหรอื 197
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุผู้ต้องการจีวรพึงแสดงชนผู้ท�ำการในอาราม หรืออุบาสกให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยค�ำว่า คนนั้นแลเป็น ไวยาวัจกรของภิกษทุ ้ังหลาย ถ้าทูตน้ันสั่งไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหา ภิกษุนั้นกล่าวอย่างน้ีว่า คนที่ท่านแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น ขา้ พเจา้ สงั่ ใหเ้ ขา้ ใจแลว้ ทา่ นจงเขา้ ไปหา เขาจกั ใหท้ า่ นครอง จีวรตามกาล ภิกษผุ ้ตู ้องการจวี รเขา้ ไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวง พงึ เตอื นสองสามครงั้ วา่ รปู ตอ้ งการจวี ร ภกิ ษทุ วงอยู่ เตอื นอยู่ สองสามครั้ง ยังไวยาวัจกรนั้น ให้จัดจีวรส�ำเร็จได้ การให้ สำ� เร็จได้ด้วยอยา่ งนี้ นนั่ เป็นการดี ถ้าให้สำ� เร็จไม่ได้ พงึ ยนื น่งิ ตอ่ หน้า ๔ ครัง้ ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก เธอยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก ยังไวยาวัจกรน้ันให้จัดจีวรส�ำเร็จได้ การให้สำ� เรจ็ ไดด้ ้วยอย่างน้ี น่นั เปน็ การดี ถ้าให้ส�ำเร็จไม่ได้ ถ้าเธอพยายามให้ย่ิงกว่านั้น ยัง จีวรน้ันใหส้ ำ� เร็จ เปน็ นิสสัคคิยปาจติ ตยี ์ ถ้าให้ส�ำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ได้ ส่งทูตไปก็ได้ใน ส�ำนกั ทส่ี ง่ ทรพั ย์สำ� หรบั จา่ ยจีวรมาเพื่อเธอ บอกวา่ ทา่ นส่ง ทรัพย์ส�ำหรับจ่ายจีวรไปเฉพาะภิกษุใด ทรัพย์นั้นหาส�ำเร็จ ประโยชน์น้อยหนึ่งแก่ภิกษุน้ันไม่ ท่านจงทวงเอาทรัพย์ ของท่านคืน ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย นี้เป็น สามจี ิกรรมในเร่อื งนนั้ . 198
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : ทาน (การให้) ธรรมะแวดลอ้ ม ท่ีมาในสูตรอน่ื ๆ ... เมณฑกะคหบดผี นู้ ่งั อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนงึ่ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า “มีอยู่ พระพุทธเจ้าข้า หนทางกันดารอัตคัดนำ้� อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียง จะเดินทางไปทำ�ไม่ได้ง่าย ขอประทาน พระวโรกาส ขอพระองคโ์ ปรดทรงอนญุ าตเสบยี งเดนิ ทางแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคทรงทำ�ธรรมีกถาในเพราะ เหตุเปน็ เคา้ มลู นน้ั ในเพราะเหตแุ รกเกดิ นน้ั แลว้ รบั สง่ั แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายวา่ ภิกษุทั้งหลาย ! เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส. ภิกษุทั้งหลาย ! หนทางกันดาร อัตคัดน้�ำ อัตคัด อาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไปท�ำไม่ได้ง่าย เราจึง อนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสารพึง แสวงหาขา้ วสาร ตอ้ งการถว่ั เขยี วพงึ แสวงหาถวั่ เขยี ว ตอ้ งการ ถว่ั ราชมาสพงึ แสวงหาถวั่ ราชมาส ตอ้ งการเกลอื พงึ แสวงหา เกลือ ต้องการน้�ำอ้อยพึงแสวงหาน�้ำอ้อย ต้องการน้�ำมัน พงึ แสวงหาน้ำ� มัน ต้องการเนยใสพึงแสวงหาเนยใส. ภิกษุทั้งหลาย ! ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขา มอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก ส่ังว่า “สิ่งใดควรแก่ พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอท่านจงถวายส่งิ นนั้ ดว้ ยกัปปยิ ภณั ฑ์น”ี้ . ภิกษุท้ังหลาย ! เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็น กัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์น้ันได้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พงึ แสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย. 199
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : ทาน (การให้) “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! เมอ่ื ราชบรษิ ทั นง่ั ประชมุ กนั ในพระราชวงั สงั สนทนากนั วา่ ทองและเงนิ ยอ่ มควรแกส่ มณศากยบตุ ร สมณศากยบตุ ร ยอ่ มยนิ ดที องและเงนิ เมอื่ ราชบรษิ ทั กลา่ วอยา่ งน้ี ขา้ พระองคไ์ ดก้ ลา่ วกะ บรษิ ัทน้นั ว่า ทา่ นผูเ้ จรญิ อยา่ ได้กลา่ วอยา่ งน้ี ทองและเงนิ ยอ่ มไม่ควรแก่ สมณศากยบุตร สมณศากยบตุ รยอ่ มไม่ยินดที องและเงิน ย่อมไมร่ ับทอง และเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วมณีและทอง ปราศจากทองและเงิน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ไม่อาจให้บริษัทน้ันยินยอมได้ เม่ือ ข้าพระองค์พยากรณ์อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำ�ที่พระผู้มีพระภาคตรัส แล้ว ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำ�ไม่จริง เป็นการพยากรณ์ธรรม สมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกบางคนท่ีกล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลาย เป็นผทู้ ี่ถกู ต�ำ หนไิ ปดว้ ยหรือ พระเจา้ ข้า.” ดลี ะ คามณ ิ ! เม่อื ท่านพยากรณ์อย่างน้ี เปน็ อนั กลา่ ว ตามคำ�ที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำ�ไม่จริง เป็นการ พยากรณธ์ รรมสมควรแกธ่ รรม และสหธรรมกิ บางคนทก่ี ลา่ วตาม กจ็ ะไมพ่ ลอยกลายเปน็ ผถู้ กู ตำ�หนไิ ปดว้ ย เพราะวา่ ทองและเงนิ ไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทอง และเงนิ สมณศากยบตุ รหา้ มแกว้ มณแี ละทอง ปราศจากทอง และเงนิ คามณ ิ ! ทองและเงนิ ควรแกผ่ ใู้ ด เบญจกามคณุ กค็ วร แกผ่ นู้ นั้ เบญจกามคณุ ควรแกผ่ ใู้ ด ทองและเงนิ กค็ วรแกผ่ นู้ น้ั คามณิ ! ท่านพึงทรงความที่ควรแก่เบญจกามคุณน้ันโดย ส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร อนง่ึ เรากลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ผตู้ อ้ งการหญา้ พงึ แสวงหาหญา้ ผตู้ อ้ งการ ไมพ้ งึ แสวงหาไม้ ผตู้ อ้ งการเกวยี นพงึ แสวงหาเกวยี น ผตู้ อ้ งการ บรุ ษุ พงึ แสวงหาบรุ ษุ เรามไิ ดก้ ลา่ ววา่ สมณศากยบตุ รพงึ ยนิ ดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย. 200
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : ทาน (การให้) ข้อปฎิบัตใิ นการอนุโมทนาของภกิ ษุ 85 -บาลี จลุ ลฺ . วิ. ๗/๒๒๓/๔๒๐-๔๒๓. สมัยนนั้ ภกิ ษทุ ้ังหลายไมอ่ นโุ มทนาในท่ฉี ัน คนท้ังหลายจึงเพง่ โทษติเตยี น โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเช้ือสายพระศากยบตุ รจึงได้ไม่ อนุโมทนาในที่ฉัน ภิกษุท้ังหลายได้ยินคนพวกน้ันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยจู่ งึ กราบทลู เรอ่ื งนน้ั แดพ่ ระผมู้ พี ระภาค ล�ำ ดบั นน้ั พระผมู้ -ี พระภาคทรงแสดงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลน้ันในเพราะเหตุ แรกเกิดน้นั แล้วรบั สง่ั กับภิกษทุ งั้ หลายว่า ภิกษุท้ังหลาย ! เราอนุญาตให้อนุโมทนาในที่ฉัน เราอนุญาตให้ภิกษุผเู้ ถระอนุโมทนาในท่ีฉนั ... เราอนญุ าต ใหภ้ กิ ษเุ ถระ อนเุ ถระ ๔-๕ รูป รอ (เปน็ เพื่อน) อยู่ในทีฉ่ นั ... ภิกษทุ งั้ หลาย ! เมอ่ื มีกจิ ท่จี ะพงึ ท�ำ เราอนญุ าตให้บอกลา ภกิ ษุผนู้ งั่ อยูใ่ นลำ� ดับ (ใกล้ๆ) แล้วไปได้. 201
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) ขอ้ ปฏิบตั ิในการขอสิง่ ของ 86 ต่อผปู้ วารณาของภิกขุ -บาลี มหา. ว.ิ ๒/๓๗๑/๕๕๖. ภกิ ษุมใิ ช่ผู้อาพาธ พึงยนิ ดีปวารณาด้วยปัจจัยเพยี ง ๔ เดอื น เวน้ ไวแ้ ตป่ วารณาอกี เว้นไว้แตป่ วารณาเปน็ นิตย์ ถ้าเธอยินดยี ิ่งกว่านนั้ เป็นปาจิตตีย์. 202
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : ทาน (การให้) เหตุให้คา้ ขายไดก้ �ำไร หรอื ขาดทนุ 87 -บาลี จตกุ กฺ . อํ. ๒๑/๑๐๕/๗๙. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อะไรหนอเป็นเหตุปัจจัยเครื่องให้ บุคคลบางคนในโลกน้ี ทำ�การค้าขายขาดทุน อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เคร่ืองให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำ�การค้าขายไม่ได้กำ�ไรตามที่ประสงค์ อะไรเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั เครอ่ื งใหบ้ คุ คลบางคนในโลกนี้ ท�ำ การคา้ ขายได้ กำ�ไรตามที่ประสงค์ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้บุคคลบางคน ในโลกนี้ ทำ�การคา้ ขายได้กำ�ไรย่ิงกว่าท่ปี ระสงค.์ (1) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกน้ี เข้าไปหา สมณะหรือพราหมณแ์ ล้ว ยอ่ มปวารณาวา่ “ขอท่านจงบอก ปจั จยั ที่ทา่ นประสงค์” เขากลับไม่ถวายปัจจยั ทเี่ ขาปวารณา ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ เขา ทำ�การคา้ ขายอยา่ งใดๆ เขาย่อมขาดทนุ . (2) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกน้ี เข้าไปหา สมณะหรอื พราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า “ขอท่านจงบอก ปจั จยั ทท่ี า่ นประสงค”์ แตเ่ ขาถวายปจั จยั ทป่ี วารณาไวไ้ มเ่ ปน็ ไปตามประสงค์ ถา้ เขาเคลอ่ื นจากอตั ภาพนนั้ มาสคู่ วามเปน็ อย่างน้ี เขาทำ�การค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมไมไ่ ด้กำ�ไรตาม ท่ีประสงค.์ 203
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (3) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหา สมณะหรือพราหมณแ์ ล้ว ยอ่ มปวารณาวา่ “ขอทา่ นจงบอก ปัจจัยที่ต้องประสงค์” เขาถวายปัจจัยท่ีปวารณาไว้ตามท่ี ประสงค์ ถา้ เขาเคลอ่ื นจากอตั ภาพนน้ั มาสคู่ วามเปน็ มนษุ ยน์ ้ี เขาทำ�การคา้ ขายอยา่ งใดๆ เขายอ่ มได้กำ�ไรตามทป่ี ระสงค.์ (4) สารีบุตร ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหา สมณะหรือพราหมณ์แลว้ ยอ่ มปวารณาวา่ “ขอท่านจงบอก ปัจจัยท่ีต้องประสงค์” เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ยิ่งกว่าที่ ประสงค์ ถา้ เขาเคลอ่ื นจากอตั ภาพนน้ั มาสคู่ วามเปน็ มนษุ ยน์ ้ี เขาทำ�การคา้ ขายอยา่ งใดๆ เขายอ่ มไดก้ ำ�ไรยงิ่ กวา่ ทป่ี ระสงค.์ สารบี ตุ ร ! นแ้ี ล เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั เครอื่ งใหบ้ คุ คล บางคนในโลกน้ีท�ำการค้าขายขาดทุน น้ีเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครอ่ื งใหบ้ คุ คลบางคนในโลกนท้ี ำ� การคา้ ขายไมไ่ ดก้ ำ� ไรตาม ที่ประสงค์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเคร่ืองให้บุคคลบางคนใน โลกนี้ท�ำการค้าขายได้ก�ำไรตามท่ีประสงค์ น้ีเป็นเหตุเป็น ปัจจัยเคร่ืองให้บุคคลบางคนในโลกนี้ท�ำการค้าขายได้ก�ำไร ย่งิ กวา่ ทีป่ ระสงค.์ 204
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) เหตแุ ห่งความเจริญข้ึน 88 และความถูกทำ� ลายแหง่ สกุล -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๔๐๐/๖๒๒. คามณ ิ ! ตลอดเวลาลว่ งมา ๙๑ กัปป์ นับแตก่ ปั น้ี เราระลกึ ไมไ่ ดว้ า่ เราเคยเขา้ ไปทำ� ลายตระกลู ใดๆ เพราะการรบั เอาข้าวสุกมา โดยท่ีแท้น้ันตระกูลใดๆ ท่ีเป็นตระกูลมั่งค่ัง มีทรัพยม์ าก มโี ภคะมาก มีทองและเงนิ มาก สกุลท้งั ปวงนั้น เจรญิ ขน้ึ เพราะการใหท้ าน เพราะสจั จะและสญั ญมะ (การบบี บงั คบั ใจ). คามณิ ! เหตปุ จั จยั ๘ อยา่ งเพอื่ การทำ� ลายแหง่ สกลุ คอื (1) สกลุ ทงั้ หลายถงึ การถกู ทำ�ลาย เพราะพระราชา (2) สกุลท้งั หลายถึงความถูกทำ�ลาย เพราะโจร (3) สกลุ ท้ังหลายถงึ ความถูกทำ�ลาย เพราะไฟ (4) สกุลท้งั หลายถึงความถูกทำ�ลาย เพราะนำ้ � (5) สกุลท้ังหลายถึงความถูกทำ�ลาย เพราะทรัพย์ ทฝี่ งั ไวเ้ คลือ่ นจากที่ (6) สกลุ ทง้ั หลายถงึ ความถกู ทำ�ลาย เพราะการงาน ที่ประกอบไมด่ ี 205
พุทธวจน - หมวดธรรม (7) คนในสกุลใช้จ่ายโภคทรัพย์เหล่านั้นฟุ่มเฟือย ใหพ้ นิ าศสูญหายไป (8) ความไมเ่ ทย่ี งเป็นท่ี ๘ คามณิ ! เหลา่ นี้แลคือเหตปุ จั จัย ๘ อย่าง เพอ่ื การ ทำ� ลายแหง่ สกลุ ทงั้ หลาย เมอื่ เหตปุ จั จยั ๘ อยา่ งเหลา่ นม้ี อี ยู่ ผู้ใดพึงกล่าวหาเราอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคปฏิบัติเพื่อ ใหส้ กลุ ขาดสญู เพ่ือให้สกุลเสอื่ ม เพ่อื ให้สกลุ คับแคน้ ดังนี้ ผนู้ นั้ ยงั ไมล่ ะวาจานน้ั ยงั ไมล่ ะความคดิ นนั้ ยงั ไมส่ ละทฏิ ฐนิ น้ั ตอ้ งดิง่ ลงในนรกแน่แท้. 206
ขอนอบนอ้ มแด่ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพทุ ธะ พระองค์นน้ั ด้วยเศยี รเกลา้ (สาวกตถาคต) คณะงานธมั มะ วดั นาปา พง (กลมุ่ อาสาสมคั รพุทธวจน-หมวดธรรม)
มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ มูลนิธิแห่งมหาชนชาวพทุ ธ ผซู้ งึ่ ชดั เจน และมั่นคงในพุทธวจน เรม่ิ จากชาวพทุ ธกลมุ่ เลก็ ๆ กลมุ่ หนง่ึ ไดม้ โี อกาสมาฟงั ธรรมบรรยายจาก ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทเี่ นน้ การนา� พทุ ธวจน (ธรรมวนิ ยั จากพทุ ธโอษฐ์ ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงยนื ยนั วา่ ทรงตรสั ไวด้ แี ลว้ บรสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ ทง้ั เนอื้ ความและ พยญั ชนะ) มาใชใ้ นการถา่ ยทอดบอกสอน ซงึ่ เปน็ รปู แบบการแสดงธรรมทต่ี รงตาม พุทธบญั ญตั ิตามท่ี ทรงรบั ส่งั แกพ่ ระอรหันต์ ๖๐ รปู แรกที่ปาอสิ ิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสัทธรรม และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะทภี่ กิ ษใุ นครง้ั พทุ ธกาลใชเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี ว หลกั พทุ ธวจนนี้ ไดเ้ ขา้ มาตอบคา� ถาม ตอ่ ความลงั เลสงสยั ไดเ้ ขา้ มาสรา้ ง ความชดั เจน ต่อความพร่าเลอื นสับสน ในขอ้ ธรรมต่างๆ ทม่ี ีอยู่ในสงั คมชาวพทุ ธ ซง่ึ ท้งั หมดนี้ เป็นผลจากสาเหตเุ ดียวคือ การไมใ่ ช้คา� ของพระพุทธเจา้ เป็นตัวต้งั ต้น ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น ดว้ ยศรทั ธาอยา่ งไมห่ วน่ั ไหวตอ่ องคส์ มั มาสมั พทุ ธะ ในฐานะพระศาสดา ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ ไดป้ ระกาศอยา่ งเปน็ ทางการวา่ “อาตมาไมม่ คี า� สอนของตวั เอง” และใช้เวลาท่ีมีอยู่ ไปกับการรับสนองพุทธประสงค์ ด้วยการโฆษณาพุทธวจน เพื่อความตั้งมนั่ แหง่ พระสทั ธรรม และความประสานเป็นหน่ึงเดยี วของชาวพุทธ เมอื่ กลบั มาใชห้ ลกั พทุ ธวจน เหมอื นทเี่ คยเปน็ ในครง้ั พทุ ธกาล สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ คือ ความชัดเจนสอดคล้องลงตัว ในความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าในแง่ของหลักธรรม ตลอดจนมรรควธิ ที ต่ี รง และสามารถนา� ไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผล รเู้ หน็ ประจกั ษไ์ ดจ้ รงิ ดว้ ยตนเองทนั ที ดว้ ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธทเ่ี หน็ คณุ คา่ ในคา� ของพระพทุ ธเจา้ จงึ ขยายตวั มากขึ้นเรอ่ื ยๆ เกิดเป็น “กระแสพทุ ธวจน” ซง่ึ เปน็ พลงั เงียบท่กี �าลงั จะกลายเป็น คลนื่ ลกู ใหม่ ในการกลบั ไปใชร้ ะบบการเรยี นรพู้ ระสทั ธรรม เหมอื นดงั ครง้ั พทุ ธกาล
ด้วยการขยายตวั ของกระแสพทุ ธวจนน้ี ส่อื ธรรมที่เปน็ พุทธวจน ไม่ว่า จะเป็นหนังสือ หรือซีดี ซ่ึงแจกฟรีแก่ญาติโยมเร่ิมมีไม่พอเพียงในการแจก ทั้งน้ี เพราะจ�านวนของผู้ท่ีสนใจเห็นความส�าคัญของพุทธวจน ได้ขยายตัวมากขึ้นอย่าง รวดเร็ว ประกอบกับว่าท่านพระอาจารย์คึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล เคร่งครัดในข้อวัตร ปฏิบัติท่ีพระศาสดาบัญญัติไว้ อันเป็นธรรมวินัยท่ีออกจากพระโอษฐ์ของตถาคต โดยตรง การเผยแผ่พุทธวจนที่ผ่านมา จึงเป็นไปในลักษณะสันโดษตามมีตามได้ เมือ่ มีโยมมาปวารณาเป็นเจา้ ภาพในการจดั พิมพ์ ไดม้ าจ�านวนเท่าไหร่ ก็ทยอยแจก ไปตามทมี่ เี ทา่ นน้ั เมอ่ื มมี า กแ็ จกไป เมอื่ หมด กค็ อื หมด เนอ่ื งจากวา่ หนา้ ทใ่ี นการดา� รงพระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มน่ั สบื ไป ไมไ่ ดผ้ กู จา� กดั อย่แู ตเ่ พยี งพทุ ธสาวกในฐานะของสงฆ์เทา่ นนั้ ฆราวาสกลมุ่ หนึ่งซึ่งเห็นความส�าคญั ของพทุ ธวจน จงึ รวมตวั กนั เขา้ มาชว่ ยขยายผลในสงิ่ ทที่ า่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทา� อยแู่ ลว้ นน่ั คอื การนา� พทุ ธวจนมาเผยแพรโ่ ฆษณา โดยพจิ ารณาตดั สนิ ใจจดทะเบยี น จัดตัง้ เปน็ มลู นธิ อิ ย่างถูกตอ้ งตามกฏหมาย เพือ่ ใหก้ ารด�าเนนิ การตา่ งๆ ทง้ั หมด อยใู่ นรปู แบบทโี่ ปรง่ ใส เปดิ เผย และเปดิ กวา้ งตอ่ สาธารณชนชาวพทุ ธทวั่ ไป สา� หรับผู้ท่ีเหน็ ความสา� คัญของพุทธวจน และมคี วามประสงค์ทจี่ ะด�ารง พระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มนั่ ดว้ ยวธิ ขี องพระพทุ ธเจา้ สามารถสนบั สนนุ การดา� เนนิ การตรงนไ้ี ด้ ดว้ ยวิธงี า่ ยๆ น่ันคอื เขา้ มาใส่ใจศึกษาพทุ ธวจน และนา� ไปใช้ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง เม่ือรู้ประจักษ์ เห็นได้ด้วยตนแล้ว ว่ามรรควิธีท่ีได้จากการท�าความเข้าใจ โดย ใช้ค�าของพระพุทธเจ้าเป็นตัวต้ังต้นน้ัน น�าไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง ในหลักธรรม อันสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล และเช่ือมโยงเป็นหน่ึงเดียว กระทั่งได้ผลตามจริง ทา� ใหเ้ กดิ มีจติ ศรทั ธา ในการช่วยเผยแพรข่ ยายส่ือพทุ ธวจน เพียงเท่านี้ คุณก็คอื หนง่ึ หนว่ ยในขบวน “พทุ ธโฆษณ”์ แลว้ น่คี อื เจตนารมณ์ของมูลนิธิพทุ ธโฆษณ์ นน่ั คอื เปน็ มลู นิธิแหง่ มหาชน ชาวพทุ ธ ซง่ึ ชดั เจน และมน่ั คงในพทุ ธวจน
ผูท้ ีส่ นใจรับสือ่ ธรรมทเี่ ปน็ พุทธวจน เพอ่ื ไปใชศ้ กึ ษาส่วนตัว หรือน�าไปแจกเปน็ ธรรมทาน แกพ่ ่อแมพ่ ีน่ ้อง ญาติ หรือเพื่อน สามารถมารบั ไดฟ้ รี ที่วดั นาปาพง หรือตามที่พระอาจารย์คกึ ฤทธ์ไิ ด้รบั นมิ นต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ สา� หรบั รายละเอยี ดกจิ ธรรมต่างๆ ภายใตเ้ ครอื ข่ายพุทธวจนโดยวัดนาปาพง คน้ หา ขอ้ มลู ไดจ้ าก www.buddhakos.org หรือ www.watnapp.com หากมคี วามจ�านงทจ่ี ะรับไปแจกเปน็ ธรรมทานในจา� นวนหลายสิบชดุ ขอความกรุณาแจง้ ความจ�านงไดท้ ี่ มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ ประสานงานและเผยแผ่ : เลขที่ ๒๙/๓ หมูท่ ่ี ๗ ถนนเลียบคลอง ๑๐ ฝ่ังตะวันออก ตา� บลบึงทองหลาง อา� เภอลา� ลูกกา จงั หวัดปทุมธานี ๑๒๑๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔, ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘, ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ โทรสาร ๐ ๒๑๕๙ ๐๕๒๖ เวบ็ ไซต์ : www.buddhakos.org อเี มล์ : [email protected] สนบั สนนุ การเผยแผ่พุทธวจนไดท้ ี่ ชอื่ บญั ชี “มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ”์ ธนาคารไทยพาณชิ ย์ สาขา คลอง ๑๐ (ธญั บรุ )ี ประเภท บัญชีออมทรัพย์ เลขทีบ่ ัญชี ๓๑๘-๒-๔๗๔๖๑-๐ วธิ ีการโอนเงนิ จากต่างประเทศ ย่นื แบบฟอร์ม คา� ขอโอนได้ท่ี ธนาคารไทยพาณชิ ย์ Account name: “Buddhakos Foundation” SWIFT CODE : SICOTHBK Branch Number : 318 Siam Commercial Bank PCL, Khlong 10(Thanyaburi) Branch, 33/14 Mu 4 Chuchat Road, Bung Sanun Sub District, Thanyaburi District, Pathum Thani 12110, Thailand Saving Account Number : 318-2-47461-0
ขอกราบขอบพระคุณแด่ พระอาจารยค์ กึ ฤทธิ์ โสตถฺ ผิ โล และคณะสงฆว์ ดั นาปา่ พง ท่กี รณุ าให้ค�าปรกึ ษาในการจดั ทา� หนังสือเลม่ น้ี ติดตามการเผยแผ่พระธรรมคา� สอนตามหลกั พทุ ธวจน โดย พระอาจารยค์ ึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล ไดท้ ่ี เวบ็ ไซต์ • http://www.watnapp.com : หนงั สอื และสื่อธรรมะ บนอินเทอร์เนต็ • http://media.watnapahpong.org : ศูนยบ์ ริการมลั ตมิ เี ดียวัดนาปา พง • http://www.buddha-net.com : เครือขา่ ยพุทธวจน • http://etipitaka.com : โปรแกรมตรวจหาและเทยี บเคยี งพุทธวจน • http://www.watnapahpong.com : เว็บไซตว์ ัดนาปา พง • http://www.buddhakos.org : มลู นิธิพุทธโฆษณ์ • http://www.buddhawajanafund.org : มูลนธิ ิพทุ ธวจน ดาวนโ์ หลดโปรแกรมตรวจหาและเทยี บเคยี งพทุ ธวจน (E-Tipitaka) ส�าหรบั คอมพวิ เตอร์ • ระบบปฏบิ ัตกิ าร Windows, Macintosh, Linux http://etipitaka.com/download หรอื รบั แผน่ โปรแกรมได้ทว่ี ดั นาปาพง ส�าหรับโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทแ่ี ละแทบ็ เลต็ • ระบบปฏิบตั กิ าร Android ดาวน์โหลดได้ท่ี Play Store โดยพิมพค์ �าวา่ พทุ ธวจน หรอื e-tipitaka • ระบบปฏบิ ัตกิ าร iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดไดท้ ่ี App Store โดยพมิ พ์คา� ว่า พุทธวจน หรอื e-tipitaka ดาวนโ์ หลดโปรแกรมพุทธวจน (Buddhawajana) เฉพาะโทรศัพทเ์ คลือ่ นทีแ่ ละแทบ็ เล็ต • ระบบปฏบิ ตั กิ าร Android ดาวนโ์ หลดไดท้ ่ี Google Play Store โดยพิมพ์คา� วา่ พุทธวจน หรอื buddhawajana • ระบบปฏบิ ตั ิการ iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดได้ท่ี App Store โดยพมิ พ์คา� ว่า พทุ ธวจน หรอื buddhawajana ดาวน์โหลดโปรแกรมวทิ ยวุ ดั นาป่าพง (Watnapahpong Radio) เฉพาะโทรศพั ทเ์ คลื่อนทีแ่ ละแท็บเลต็ • ระบบปฏิบัติการ Android ดาวน์โหลดได้ท่ี Google Play Store โดยพิมพ์ค�าว่า พทุ ธวจน หรือ วทิ ยุวดั นาปาพง • ระบบปฏิบตั ิการ iOS (สา� หรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวนโ์ หลดไดท้ ่ี App Store โดยพมิ พค์ �าว่า พทุ ธวจน หรือ วทิ ยุวัดนาปาพง วทิ ยุ • คล่ืน ส.ว.พ. FM ๙๑.๐ MHz ทุกวนั พระ เวลา ๑๗.๔๐ น.
บบรรรรณณาานนุกุกรรมม พพรระะไไตตรรปปฎิิฎกกฉฉบบบัับสสยยาามมรรฐัฐั หนพพังรรสะะอืไไตตธรรรปรปมิฎิฎโกกฆภภษาาณษษาา์ ไชไททุดยยจฉฉากบบพับบั รหหะลลโวอวงงษฐ์ (ผลงานแปลพทุ ธวจน โดยทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขุในนามกองต�าราคณะธรรมทาน) รว่ มสนบั สนนุ การจดั ทา� โดย คณะงานธมั มะ วดั นาปาพง (กลุ่มอาสาสมัครพทุ ธวจน-หมวดธรรม), คณะศิษย์วดั นาปา พง, มูลนิธิพุทธวจน, พุทธวจนสถาบันภาคกลาง, พุทธวจนสถาบันภาคเหนือ, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันออก, พุทธวจนสถาบันภาคใต้, พุทธวจนสถาบันภาคตะวันตก, กลุ่มศิษย์ตถาคต, กลุ่มสมณะศากยะปุตติยะ, กลุ่มชวนม่วนธรรม, กลุ่มละนันทิ, กลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบริษัทการบินไทย, กลุ่มมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, ชมรมพุทธวจนอุดรธานี, บจก. สยามคูโบต้า คอร์ปอเรช่ัน, บจก. สยามรักษ์, บจก. เซเว่นสเต็ปส์, บจก. ห้างพระจันทร์โอสถ, สถานกายภาพบ�าบัด คิดดีคลินิค, บจก. ดีเทลส์ โปรดักส์
ลงสะพานคลอง ๑๐ ไปยูเทิร์นแรกมา แผนท่ีวัดนาป่าพง แล้วเล้ียวซ้ายก่อนข้ึนสะพาน แนวทิวสน วัดนาป่าพง โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑, ๐๘ ๔๐๙๖ ๘๔๓๐, ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๔, ๐๘ ๖๕๕๒ ๒๔๕๙ ลงสะพานคลอง ๑๐ เล้ียวซ้ายคอสะพาน
๑๐ พระสตู รของความสา� คญั ทชี่ าวพทุ ธตอ้ งศกึ ษา แตค่ า� สอนจากพระพทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั ผา่ นมา ๒,๕๐๐ กวา่ ปี คา� สอนทางพระพทุ ธศาสนาเกดิ ความหลากหลายมากขน้ึ มสี า� นกั ตา่ งๆ มากมาย ซง่ึ แตล่ ะหมคู่ ณะกม็ คี วามเหน็ ของตน หามาตรฐานไมไ่ ด้ แมจ้ ะกลา่ วในเรอ่ื งเดยี วกนั ทง้ั นไ้ี มใ่ ชเ่ พราะคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไมส่ มบรู ณ์ แลว้ เราควรเชอ่ื และปฏบิ ตั ติ ามใคร ? ลองพจิ ารณาหาคา� ตอบงา่ ยๆ ไดจ้ าก ๑๐ พระสตู ร ซง่ึ พระตถาคตทรงเตอื นเอาไว้ แลว้ ตรสั บอกวธิ ปี อ้ งกนั และแกไ้ ขเหตเุ สอ่ื มแหง่ ธรรมเหลา่ น.ี้ ขอเชญิ มาตอบตวั เองกนั เถอะวา่ ถงึ เวลาแลว้ หรอื ยงั ? ทพ่ี ทุ ธบรษิ ทั จะมมี าตรฐานเพยี งหนงึ่ เดยี ว คอื “พทุ ธวจน” ธรรมวนิ ยั จากองคพ์ ระสงั ฆบดิ าอนั วญิ ญชู นพงึ ปฏบิ ตั แิ ละรตู้ ามไดเ้ ฉพาะตน ดงั น.ี้ ๑. พระองคท์ รงสามารถกา� หนดสมาธ ิ เมอ่ื จะพดู ทกุ ถอ้ ยคา� จงึ ไมผ่ ดิ พลาด -บาลี มู. ม. ๑๒/๔๕๘/๔๓๐. อคั คเิ วสนะ ! เรานน้ั หรอื จา� เดมิ แตเ่ รมิ่ แสดง กระทง่ั คา� สดุ ทา้ ยแหง่ การกลา่ วเรอ่ื งนนั้ ๆ ยอ่ มตงั้ ไวซ้ งึ่ จติ ในสมาธนิ มิ ติ อนั เปน็ ภายในโดยแท ้ ใหจ้ ติ ดา� รงอย ู่ ใหจ้ ติ ตง้ั มน่ั อย ู่ กระทา� ใหม้ จี ติ เปน็ เอก ดงั เชน่ ทค่ี นทง้ั หลาย เคยไดย้ นิ วา่ เรากระทา� อยเู่ ปน็ ประจา� ดงั น.้ี
๒. แตล่ ะคา� พดู เปน็ อกาลโิ ก คอื ถกู ตอ้ งตรงจรงิ ไมจ่ า� กดั กาลเวลา -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๑. ภิกษุท้ังหลาย ! พวกเธอทงั้ หลายเปน็ ผทู้ เี่ รานา� ไปแลว้ ดว้ ยธรรมน้ี อนั เปน็ ธรรมทบ่ี คุ คลจะพงึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง (สนทฺ ฏิ โิ ก) เปน็ ธรรมให้ ผลไมจ่ า� กดั กาล (อกาลโิ ก) เปน็ ธรรมทคี่ วรเรยี กกนั มาด ู (เอหปิ สสฺ โิ ก) ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก) อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจจฺ ตตฺ � เวทติ พโฺ พ วญิ ญฺ หู )ิ . ๓. คา� พดู ทพ่ี ดู มาทง้ั หมดนบั แตว่ นั ตรสั รนู้ น้ั สอดรบั ไมข่ ดั แยง้ กนั -บาลี อิติว.ุ ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓. ภิกษุท้ังหลาย ! นับต้ังแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา- สัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่�าสอน แสดงออก ซง่ึ ถอ้ ยคา� ใด ถอ้ ยคา� เหลา่ นนั้ ทงั้ หมด ยอ่ มเขา้ กนั ไดโ้ ดย ประการเดยี วทงั้ สนิ้ ไมแ่ ยง้ กนั เปน็ ประการอน่ื เลย. อ๔. ทรงบอกเหตแุ หง่ ความอนั ตรธานของคา� สอนเปรยี บดว้ ยกลองศกึ -บาลี นทิ าน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! เรอ่ื งนเี้ คยมมี าแลว้ กลองศกึ ของกษตั รยิ พ์ วกทสารหะ เรยี กวา่ อานกะ มอี ยู่ เมอื่ กลองอานกะน้ี มแี ผลแตกหรอื ลิ พวกกษตั รยิ ์ ทสารหะไดห้ าเนอื้ ไมอ้ น่ื ทา� เปน็ ลมิ่ เสรมิ ลงในรอยแตกของกลองนนั้ (ทกุ คราวไป). ภิกษุทั้งหลาย ! เม่ือเชื่อมปะเข้าหลายคร้ังหลายคราวเช่นนั้น นานเขา้ กถ็ งึ สมยั หนง่ึ ซง่ึ เนอื้ ไมเ้ ดมิ ของตวั กลองหมดสนิ้ ไป เหลอื อยแู่ ต่ เนอื้ ไมท้ ที่ า� เสรมิ เขา้ ใหมเ่ ทา่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ ในกาลยดื ยาวฝา่ ยอนาคต จกั มภี กิ ษุ ทงั้ หลาย สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทเ่ี ปน็ คา� ของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซง้ึ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั
มากลา่ วอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ด้วยดี จกั ไมเ่ งี่ยหฟู งั จกั ไมต่ ั้งจิตเพอ่ื จะรู้ท่ัวถงึ และจกั ไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใดที่ นกั กวแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอ่ื มผี นู้ า� สุตตันตะท่ีนักกวีแต่งข้ึนใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักฟังด้วยดี จัก เงย่ี หฟู งั จกั ตงั้ จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และจกั สา� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทตี่ นควรศกึ ษา เลา่ เรยี นไป. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ความอนั ตรธานของสตุ ตนั ตะเหลา่ นนั้ ทเี่ ปน็ คา� ของ ตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ย เรอื่ งสญุ ญตา จกั มไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งนี้ แล. ๕.ทรงกา� ชับให้ศกึ ษาปฏิบัติเฉพาะจากคา� ของพระองคเ์ ท่านน้ั อย่าฟังคนอื่น -บาลี ทกุ . อํ. ๒๐/๙๑-๙๒/๒๙๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! พวกภกิ ษบุ รษิ ทั ในกรณนี ้ี สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วี แตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มี พยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอื่ มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมต่ งั้ จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และจกั ไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทเ่ี ปน็ คา� ของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี ยอ่ มเงยี่ หฟู งั ยอ่ มตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และยอ่ มสา� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น จงึ พากนั เลา่ เรยี น ไตถ่ าม ทวนถามแกก่ นั และกนั อยวู่ า่ “ขอ้ นเี้ ปน็ อยา่ งไร มคี วามหมายกน่ี ยั ” ดงั น้ี ดว้ ยการทา� ดงั นี้ เธอยอ่ มเปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ ไวไ้ ด้ ธรรมทยี่ งั ไมป่ รากฏ เธอกท็ า� ใหป้ รากฏได้ ความสงสยั ในธรรมหลายประการ ทนี่ า่ สงสยั เธอกบ็ รรเทาลงได.้
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! บรษิ ทั ชอ่ื อกุ กาจติ วนิ ตี า ปรสิ า โน ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ในกรณนี คี้ อื ภกิ ษทุ ง้ั หลายในบรษิ ทั ใด เมอื่ สตุ ตนั ตะ ทงั้ หลาย อนั เปน็ ตถาคตภาษติ (ตถาคตภาสติ า) อนั ลกึ ซง้ึ (คมภฺ รี า) มี อรรถอันลึกซึ้ง (คมฺภีรตฺถา) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตรา) ประกอบด้วย เรอ่ื งสญุ ญตา (สญุ ญฺ ตปฏสิ ย� ตุ ตฺ า) อนั บคุ คลนา� มากลา่ วอยู่ กไ็ มฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมเ่ ขา้ ไปตงั้ จติ เพอื่ จะรทู้ ว่ั ถงึ และไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควร ศกึ ษาเลา่ เรยี น. สว่ นสตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภท กาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก เมอื่ มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ นมี้ ากลา่ วอยู่ พวกเธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี เงย่ี หฟู งั ตงั้ จติ เพอื่ จะรทู้ ว่ั ถงึ และสา� คญั ไป วา่ เปน็ สง่ิ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น พวกเธอเลา่ เรยี นธรรมอนั กวแี ตง่ ใหม่ นัน้ แล้ว ก็ไม่สอบถามซงึ่ กันและกัน ไมท่ า� ใหเ้ ปิดเผยแจม่ แจ้งออกมาวา่ ขอ้ นพ้ี ยญั ชนะเปน็ อยา่ งไร อรรถเปน็ อยา่ งไร ดงั น้ี เธอเหลา่ นน้ั เปดิ เผย สง่ิ ทย่ี งั ไมเ่ ปดิ เผยไมไ่ ด้ ไมห่ งายของทค่ี วา�่ อยใู่ หห้ งายขนึ้ ได้ ไมบ่ รรเทา ความสงสยั ในธรรมทงั้ หลายอนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความสงสยั มอี ยา่ งตา่ งๆ ได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! นเี้ ราเรยี กวา่ อกุ กาจติ วนิ ตี า ปรสิ า โน ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า. ภกิ ษทุ งั้ หลาย! บรษิ ทั ชอื่ ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! ในกรณนี คี้ อื ภกิ ษทุ งั้ หลายในบรษิ ทั ใด เมอื่ สตุ ตนั ตะ ทง้ั หลาย ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คา� รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษร สละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คา� กลา่ วของสาวก อนั บคุ คลนา� มากลา่ วอยู่ กไ็ มฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมเ่ ขา้ ไปตงั้ จติ เพอ่ื จะ รทู้ วั่ ถงึ และไมส่ า� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น สว่ น สตุ ตนั ตะ เหลา่ ใด อนั เปน็ ตถาคตภาษติ อนั ลกึ ซง้ึ มอี รรถอนั ลกึ ซง้ึ เปน็ โลกตุ ตระ ประกอบดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา เมอ่ื มผี นู้ า� สตุ ตนั ตะเหลา่ น ี้ มากลา่ วอย ู่ พวก
เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยด ี ยอ่ มเงย่ี หฟู งั ยอ่ มเขา้ ไปตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ วั่ ถงึ และ ยอ่ มสา� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทคี่ วรศกึ ษาเลา่ เรยี น พวกเธอเลา่ เรยี นธรรมทเ่ี ปน็ ตถาคตภาษติ นน้ั แลว้ กส็ อบถามซง่ึ กนั และกนั ทา� ใหเ้ ปดิ เผยแจม่ แจง้ ออก มาวา่ ขอ้ นพ้ี ยญั ชนะเปน็ อยา่ งไร อรรถะเปน็ อยา่ งไร ดงั น้ี เธอเหลา่ นนั้ เปดิ เผยสง่ิ ทยี่ งั ไมเ่ ปดิ เผยได้ หงายของทคี่ วา่� อยใู่ หห้ งายขนึ้ ได้ บรรเทา ความสงสยั ในธรรมทง้ั หลายอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความสงสยั มอี ยา่ งตา่ งๆ ได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! นเี้ ราเรยี กวา่ ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เหลา่ นแี้ ลบรษิ ทั ๒ จา� พวกนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บรษิ ทั ทเี่ ลศิ ในบรรดาบรษิ ทั ทง้ั สองพวกนนั้ คอื บรษิ ทั ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี า ปรสิ า โน อกุ กาจติ วนิ ตี า (บรษิ ทั ทอ่ี าศยั การสอบสวนทบทวนกนั เอาเอง เปน็ เครอื่ งนา� ไป ไมอ่ าศยั ความเชอ่ื จากบคุ คลภายนอกเปน็ เครอ่ื งนา� ไป) แล. ๖. ทรงหา้ มบัญญัติเพ่ิมหรือตดั ทอนสงิ่ ท่บี ัญญัตไิ ว้ -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๙๐/๗๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั ไมบ่ ญั ญตั สิ งิ่ ทไี่ มเ่ คยบญั ญตั ิ จกั ไมเ่ พกิ ถอนสงิ่ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ จกั สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททบี่ ญั ญตั ไิ ว้ แลว้ อยา่ งเครง่ ครดั อยเู่ พยี งใด ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนนั้ . ๗. ส�านึกเสมอว่าตนเองเปน็ เพียงผู้เดินตามพระองคเ์ ท่านนั้ ถงึ แม้จะเปน็ อรหันตผ์ ู้เลศิ ทางปัญญากต็ าม -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๘๒/๑๒๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ตถาคตผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ไดท้ า� มรรคทยี่ งั ไมเ่ กดิ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ไดท้ า� มรรคทย่ี งั ไมม่ ใี ครรใู้ หม้ คี นรู้ ไดท้ า� มรรคทย่ี งั ไมม่ ี ใครกลา่ วใหเ้ ปน็ มรรคทก่ี ลา่ วกนั แลว้ ตถาคตเปน็ ผรู้ มู้ รรค (มคคฺ ญญฺ )ู เปน็ ผรู้ แู้ จง้ มรรค (มคคฺ วทิ )ู เปน็ ผฉู้ ลาดในมรรค (มคคฺ โกวโิ ท). ภิกษุทั้งหลาย ! สว่ นสาวกทงั้ หลายในกาลน ้ี เปน็ ผเู้ ดนิ ตามมรรค (มคคฺ านคุ า) เปน็ ผตู้ ามมา ในภายหลงั .
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! นแ้ี ล เปน็ ความผดิ แผกแตกตา่ งกนั เปน็ ความมงุ่ หมาย ทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอื่ งกระทา� ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหวา่ งตถาคตผอู้ รหนั ต- สัมมาสมั พุทธะ กบั ภิกษผุ ้ปู ัญญาวมิ ตุ ต.ิ ๘. ตรัสไวว้ า่ ให้ทรงจ�าบทพยัญชนะและค�าอธิบายอยา่ งถูกตอ้ ง พร้อมขยนั ถา่ ยทอดบอกสอนกันตอ่ ไป -บาลี จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๑๙๗/๑๖๐. ภิกษทุ งั้ หลาย ! พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น ้ี เลา่ เรยี นสตู รอนั ถอื กนั มาถกู ดว้ ยบทพยญั ชนะทใี่ ชก้ นั ถกู ความหมายแหง่ บทพยญั ชนะทใ่ี ชก้ นั กถ็ กู ยอ่ มมนี ยั อนั ถกู ตอ้ งเชน่ นน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นเี่ ปน็ มลู กรณที หี่ นงึ่ ซงึ่ ทา� ใหพ้ ระสทั ธรรมตงั้ อยไู่ ดไ้ มเ่ ลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พวกภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ พหสุ ตู คลอ่ งแคลว่ ในหลกั พระพทุ ธวจน ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า (แมบ่ ท) พวกภกิ ษเุ หลา่ นนั้ เอาใจใส ่ บอกสอน เนอ้ื ความแหง่ สตู รทงั้ หลายแกค่ นอน่ื ๆ เมอื่ ทา่ นเหลา่ นน้ั ลว่ งลบั ไป สตู รทง้ั หลาย กไ็ มข่ าดผเู้ ปน็ มลู ราก (อาจารย)์ มที อ่ี าศยั สบื กนั ไป. ภิกษุท้ังหลาย ! น่ีเป็น มูลกรณีท่ีสาม ซ่ึงท�าให้พระสัทธรรมต้ังอยู่ได้ ไมเ่ ลอะเลอื นจนเสอ่ื มสญู ไป... *** ในที่นี้ยกมา ๒ นัย จาก ๔ นัย ของมูลเหตุส่ีประการ ที่ท�าให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเส่ือมสูญไป ๙. ทรงบอกวิธีแกไ้ ขความผิดเพ้ยี นในคา� สอน -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖. ๑. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ผมู้ อี ายุ ! ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั รบั มาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผมู้ พี ระภาควา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... ๒. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี สงฆอ์ ยพู่ รอ้ มดว้ ยพระเถระ พรอ้ มดว้ ยปาโมกข์ ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะ หนา้ สงฆน์ นั้ วา่ “นเี้ ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”...
๓. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นกี้ ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอื่ โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยจู่ า� นวนมาก เปน็ พหสุ ตู เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะหนา้ พระเถระเหลา่ นน้ั วา่ “นเี้ ปน็ ธรรม นเี้ ปน็ วนิ ยั นเี้ ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... ๔. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยรู่ ปู หนง่ึ เปน็ พหสุ ตู เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาเฉพาะหนา้ พระเถระรปู นน้ั วา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเ้ี ปน็ คา� สอนของพระศาสดา”... เธอทง้ั หลายยงั ไมพ่ งึ ชนื่ ชม ยงั ไมพ่ งึ คดั คา้ นคา� กลา่ วของผนู้ น้ั พงึ เรยี น บทและพยญั ชนะเหลา่ นน้ั ใหด้ ี แลว้ พงึ สอบสวนลงในพระสตู ร เทยี บเคยี ง ดใู นวนิ ยั ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าใน วินัยก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “น้ีมิใช่พระด�ารัสของพระผู้มีพระภาค พระองคน์ นั้ แนน่ อน และภกิ ษนุ รี้ บั มาผดิ ” เธอทงั้ หลาย พงึ ทง้ิ คา� นนั้ เสยี ถา้ บทและพยญั ชนะเหลา่ นนั้ สอบลงในสตู รกไ็ ด ้ เทยี บเขา้ ในวนิ ยั กไ็ ด ้ พงึ ลงสนั นษิ ฐานวา่ “นเ้ี ปน็ พระดา� รสั ของพระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ นั้ แนน่ อน และภกิ ษนุ นั้ รบั มาดว้ ยด”ี เธอทงั้ หลาย พงึ จา� มหาปเทส... นไี้ ว.้ ๑๐. ทรงตรสั แกพ่ ระอานนท ์ ให้ใชธ้ รรมวนิ ยั ท่ีตรสั ไวเ้ ป็นศาสดาแทนตอ่ ไป -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓. -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๑๗/๗๔๐. อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างน้ีว่า ‘ธรรมวินัยของ พวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธออยา่ คิดอย่างนนั้ . อานนท์ ! ธรรมก็ดี วนิ ัยก็ดี ทเ่ี รา แสดงแล้ว บญั ญัติแลว้ แก่พวกเธอท้ังหลาย ธรรมวนิ ัยน้ัน จกั เป็น ศาสดาของพวกเธอทง้ั หลาย โดยกาลลว่ งไปแหง่ เรา.
อานนท์ ! ในกาลบดั นกี้ ด็ ี ในกาลลว่ งไปแหง่ เรากด็ ี ใครกต็ าม จกั ตอ้ งมตี นเปน็ ประทปี มตี นเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสงิ่ อน่ื เปน็ สรณะ มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาส่งิ อืน่ เป็นสรณะ เปน็ อย.ู่ อานนท ์ ! ภิกษพุ วกใด เปน็ ผ้ใู ครใ่ นสกิ ขา ภิกษพุ วกน้ัน จกั เปน็ ผอู้ ยู่ในสถานะ อนั เลิศทส่ี ดุ แล. อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรน้ี มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษน้ันชื่อว่า เป็นบรุ ุษคนสดุ ทา้ ยแห่งบรุ ษุ ท้ังหลาย... เราขอกลา่ วยา้� กะ เธอว่า... เธอท้งั หลายอยา่ เปน็ บรุ ุษคนสุดท้ายของเราเลย. เธอทั้งหลายอยา่ เปน็ บุรษุ คนสดุ ท้าย ของเราเลย -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
พุทธวจน-หมวดธรรม 1199 พุทธวจน-ปฎ ก วทิ ยุวดั นาปา พง
• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๗ รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ ๑) หลกั ฐานสมยั พทุ ธกาล การใช้ พุทธวจน ที่มีความหมายถึงคำาสอนของ พระพทุ ธเจา้ มมี าตงั้ แตใ่ นสมยั พทุ ธกาล ดงั ปรากฏหลกั ฐาน ในพระวินัยปิฎก ว่าพระศาสดาให้เรียนพุทธวจน (ภาพท่ี ๑.๑ และภาพท่ี ๑.๒) ภาพท ่ี ๑.๑ ค�ำ อธบิ �ยภ�พ : ขอ้ ความสว่ นหนง่ึ จากพระไตรปฎิ ก ฉบบั ร.ศ. ๑๑๒ (จปร.อกั ษรสยาม) หนา้ ๖๔ ซง่ึ พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั หลวง พ.ศ. ๒๕๒๕ เลม่ ท่ี ๗ พระวนิ ยั ปฎิ ก จลุ วรรค ภาค ๒ หนา้ ๔๕ ไดแ้ ปลเปน็ ภาษาไทยไวด้ งั น้ี [๑๘๐] ... ดูกรภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษุไมพ่ งึ ยกพทุ ธวจนะข้ึนโดยภาษา สันสกฤต รูปใดยกข้ึน ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุท้ังหลาย เร�อนุญ�ตให้ เล�่ เรยี นพุทธวจนะตามภาษาเดิม. ทม่ี า : พระไตรปฎิ ก ฉบบั ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) พระวนิ ยปฏิ ก จลุ ล์ วคั ค์ เลม่ ๒ หนา้ ๖๔
ภาพท ่ี ๑.๒ คำ�อธบิ �ยภ�พ : คาำ แปลเปน็ ภาษาไทย ของภาพท่ี ๑.๑ จาก หนังสือ สารานุกรม พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ประมวลจาก พระนิพนธ์ สมเด็จ พ ร ะ ม ห า ส ม ณ เ จ้ า กรมพระยาวชริ ญาณ- วโรรส ทม่ี า : หนังสือ สารานกุ รมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส หนา้ ๖๙๖
• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๒) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๑ พุทธวจนะ มีปรากฏในหนังสือพงษาวดาร กรงุ ศรอี ยธุ ยา ภาษามคธ แล คาำ แปล ซง่ึ แตง่ เปน็ ภาษามคธ เพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตเิ มอ่ื สงั คายนาในรชั กาลท ่ี ๑ เปน็ หนงั สอื ๗ ผูก ต้นฉบบั มีอย่ใู นวัดพระแก้ว กรงุ พนมเปญ ประเทศ กมั พชู า แปลเปน็ ภาษาไทยโดยพระยาพจนสนุ ทร คาำ นาำ ของ หนงั สอื เลม่ นี้ เปน็ พระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาำ รงราชานภุ าพ (ภาพที่ ๒.๑ และภาพที่ ๒.๒) ภาพท ่ี ๒.๑ ค�ำ อธิบ�ยภ�พ : ขอ้ ความส่วนหน่ึงจากหนังสือ พงษาวดาร กรงุ ศรอี ยุธยา ภาษามคธ แล คำาแปล หนา้ ๑
ภาพท ่ี ๒.๒ คำ�อธิบ�ยภ�พ : ข้อความส่วนหนึ่ง จากหนงั สอื พงษาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ภาษามคธ แล คาำ แปล หนา้ ๒ ทม่ี า : หนังสือ พงษาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คาำ แปล
• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๓) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๔ พทุ ธวจน มปี รากฏในหนงั สอื พระคาถาสรรเสรญิ พระธรรมวนิ ยั พระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลท ่ี ๔ (ภาพท่ี ๓.๑) และปรากฏในหนังสือ ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ในรชั กาลท ่ี ๔ ภาค ๒ (ภาพท่ี ๓.๒ และภาพท่ี ๓.๓) ภาพท ่ี ๓.๑ ทม่ี า : หนงั สอื พระคาถาสรรเสรญิ พระธรรมวนิ ยั พระราชนพิ นธ์ ในรชั กาลท่ี ๔ ทรงแปลเปน็ ภาษาไทยโดย สมเดจ็ พระสงั ฆราช วดั ราชประดษิ ฐ หนา้ ๒๕
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๔ ภาพท ่ี ๓.๒ ภาพท ่ี ๓.๓ ทม่ี า : หนงั สอื ประชมุ พระราชนพิ นธภ์ าษาบาลี ในรชั กาลท่ี ๔ ภาค ๒ หนา้ ๑๘๐ และหนา้ ๑๘๓
• ล�ำ ดบั ก�รสบื ทอดพทุ ธวจน รชั กาลท ่ี ๙ พทุ ธกาล รชั กาลท ่ี ๑ รชั กาลท ่ี ๔ รชั กาลท ่ี ๕ รชั กาลท ่ี ๗ ๔) หลกั ฐานสมยั รชั กาลท ่ี ๕ พทุ ธวจน มปี รากฏในหนงั สอื พระราชวจิ ารณ ์ เทยี บ ลทั ธพิ ระพทุ ธศาสนาหนิ ยานกบั มหายาน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธ์ (ภาพท่ี ๔.๑), ปรากฏในหนังสือ พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีไปมากับ สมเด็จ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ภาพท่ี ๔.๒ และภาพท่ี ๔.๓) และปรากฏในหนังสือ พระราชดำารัส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓) จัดทำาโดย มูลนิธิสมเด็จ พระเทพรตั นราชสุดา (ภาพที่ ๔.๔) พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ รชั กาลท่ี ๕ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ภาพท ่ี ๔.๑ ทม่ี า : หนงั สอื พระราชวจิ ารณ์ เทยี บลทั ธพิ ระพทุ ธศาสนาหนิ ยานกบั มหายาน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธ์ หนา้ ๑๘
ภาพท ่ี ๔.๒ ภาพท ่ี ๔.๓ ทม่ี า : หนงั สอื พระราชหตั ถเลขา พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมไี ปมากบั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส หนา้ ๑๐๒ และ ๑๐๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256