Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความหลายหลายทางชีวภาพของพืช

ความหลายหลายทางชีวภาพของพืช

Published by E-book_nkpsci, 2021-09-14 02:39:42

Description: ความหลายหลายทางชีวภาพของพืช

Search

Read the Text Version

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ศู น ย์ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ เ พ่ื อ ก า ร ศึ ก ษ า น ค ร พ น ม

พืช ❖ พชื เป็นแหลง่ อาหารทจี่ าเป็นตอ่ การดารงชีวติ ของคน และสตั ว์ ❖ ช่วยสรา้ งสมดุลให้แก่ธรรมชาติ ❖ เกณฑ์ท่ใี ช้ในการจัดหมวดหมู่พชื ทแ่ี สดงถงึ สาย สัมพนั ธ์ของพชื ที่ใกลช้ ิดท่สี ุด คือ การจาแนกพชื โดย การสบื พันธ์ุ ❖ ทาให้สามารถแบง่ พชื ไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ พชื มดี อก และพืชไม่มีดอก

พืชไมม่ ีดอกหรือพืชไร้ดอก พืชไม่มีดอก หรือ พืชไร้ดอก หมายถึง พืชที่เม่ือเจริญเติบโต เต็มที่แล้วไม่มีดอก จัดเป็นพืชท่ีมีวิวัฒนาการต่ากว่าพืชมีดอก มีจานวนชนิดไม่มากเท่าพืชมีดอก พบได้น้อยกว่าพืชมีดอก เช่น มอส เฟิร์น สน ปรง แป๊ะก๊วย หวายทะนอย หญ้าถอดปล้อง (หญ้าหางม้า) เปน็ ตน้

พชื มดี อก พืชมีดอก หมายถึง พืชที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีดอกไว้สาหรับ สืบพันธุ์จัดเป็นพืชช้ันสูง ได้แก่พืชส่วนมากที่เราพบเห็นอยู่ท่ัวไป เช่น มะม่วง ลาไย กหุ ลาบ ถ่ัว พริก ขา้ ว กล้วย อ้อย ข้าวโพด เป็นต้น สามารถจาแนกพืช ดอกออกไดเ้ ปน็ 2 พวกใหญ่ ๆ คอื - พืชใบเลยี้ งเด่ยี ว - พืชใบเลย้ี งคู่

พชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว พชื ใบเลี้ยงเด่ียว คือ พืชทม่ี ใี บเล้ียงเพยี งใบเดียว เมือ่ เจรญิ เติบโตเตม็ ท่ีจะ เห็นข้อและปล้องในส่วนของลาต้น ชัดเจน ใบมักมีลักษณะแคบเรียว เส้นใบเรียงตัวในแนวขนาน กลีบดอกมีจานวน 3 กลีบ หรือทวีคูณของ 3 รากเปน็ ระบบรากฝอย ตวั อยา่ ง เช่น ข้าวโพด ออ้ ย หญ้า ไผ่ เปน็ ต้น

พืชใบเลี้ยงคู่ พืชใบเลี้ยงคู่ คือ พืชที่มีใบเลี้ยง 2 ใบ เม่ือเจริญเติบโตเต็มท่ี เห็นข้อและ ปล้องในส่วนของลาต้นไม่ชัดเจน ใบมีลักษณะกว้าง เส้นใบแตกแขนงเป็น ร่างแห รากเป็นระบบรากแก้ว กลีบดอกมีจานวน 4 - 5 กลีบ หรือทวีคูณ ของ 4 - 5 ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ถัว่ พรกิ มะมว่ ง เป็นต้น

ขอ้ แตกตา่ งพืชใบเลย้ี งค่แู ละใบเลย้ี งเดีย่ ว ลักษณะ พืชใบเลี้ยงเด่ยี ว พืชใบเล้ยี งคู่ 1. จานวนใบ 1 ใบ 2 ใบ 2. ขอ้ และปล้อง 3. เส้นใบ มองเหน็ ชดั เจน มองเห็นไม่ชัดเจน 4. ระบบราก เรยี งตัวขนานกัน เปน็ รา่ งแห 5. จานวนกลบี ดอก รากแกว้ รากฝอย 4-5 กลบี 3 กลบี หรือทวีคูณของ3 หรือทวคี ณู ของ 4-5

พชื ใบเล้ยี งคู่ พืชใบเล้ียงเด่ยี ว ระบบรากแกว้ ระบบรากฝอย (ท่ีมา : https://sites.google.com/site/kruscifun/plantstructure/root)

พชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว พืชใบเลย้ี งคู่ ขอ้ ปลอ้ งชดั เจน ข้อปลอ้ งไม่ชัดเจน

พืชใบเลี้ยงเด่ยี ว พชื ใบเลีย้ งคู่ การเรยี งตวั ของเสน้ ใบแบบขนาน การเรียงตัวของเส้นใบแบบรา่ งแห

พชื ใบเลยี้ งเด่ียว พืชใบเล้ยี งคู่ กลบี ดอก 3 กลบี หรือทวีคณู ของ 3 กลีบดอก 4 - 5 หรอื ทวีคณู ของ 4 - 5 ดอกวา่ นส่ที ศิ ดอกชบา

พืชใบเลยี้ งเด่ียว (Monocotyledon หรอื Liliopsida) ➢ เปน็ พืชท่มี คี วามสาคญั ทางเศรษฐกจิ สูง ➢ พืชใบเลี้ยงเด่ียววงศ์ใหญ่ที่สุด คือ กล้วยไม้ (Orchidaceae) โดยมีดอกที่ซับซ้อน และ สวยงาม เพ่ือดึงดูดแมลงชนิดต่างให้ช่วยใน การผสมพันธุ์

ส่วนพืชใบเล้ียงเด่ียวที่มีปริมาณมากเป็นอันดับ 2 และอาจจะเป็นวงศ์ที่ โดดเด่นกว่า ก็คือ หญ้า (Poaceaeหรือ Gramineae) มีลักษณะพิเศษ คือ การแพร่ขยายพันธ์ุโดยอาศัยลม พืชในวงศ์หญ้านั้นมีดอกขนาดเล็ก แต่เม่ือชอ่ ดอกหญ้ารวมเป็นกลมุ่ มองเหน็ ชัดเจนและสวยงาม

ลกั ษณะเดน่ ของพชื ใบเลย้ี งเด่ียว ➢ เมลด็ มีใบเลย้ี งใบเดยี ว ➢ การเจริญของลาต้นสว่ นใหญ่เกิดอยู่ใต้ดนิ หรือที่ผวิ ดนิ เป็นพืชลม้ ลุก พบนอ้ ย ท่ีลาตน้ คลา้ ยไม้ยนื ตน้ (tree-like) ➢ การเรียงของเส้นใบ ส่วนใหญเ่ ปน็ แบบขนาน ➢ ฐานใบมกั จะแผ่แบน ➢ ไม่มีหูใบ ➢ ระบบราก เปน็ ระบบรากฝอย ➢ กลุ่มเนอ้ื เยือ่ ลาเลยี ง ในลาตน้ อยู่กระจดั กระจายไม่เป็นระเบียบ สว่ นใหญ่ ไมม่ แี คมเบยี ม (cambium) จึงไม่มกี ารเจริญทางดา้ นข้าง สว่ นประกอบของดอกมจี านวน 3 หรอื ทวีคูณของ 3

พชื ใบเลีย้ งเดี่ยว (ที่มา : https://jun75229.wordpress.com)

ประโยชนข์ องพืชใบเลย้ี งเดย่ี ว ได้แก่ ➢ เป็นอาหารและเครื่องด่ืม (ทมี่ า : https://health.kapook.com/view97064.html) ➢ พืชสมุนไพร (ท่มี า : http://gookguu.com/?p=396) ➢ เปน็ อุปกรณ์ต่างๆ และวัสดกุ อ่ สรา้ ง ➢ เปน็ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ➢ เปน็ พชื พิธีกรรมและความเช่ือ

ตวั อย่างพืชใบเลี้ยงเดย่ี วที่สาคญั 1. ข้าว หรือ Rice (Oryza sativa L.) วงศ์ Poaceae หรือ Gramineae ลักษณะที่สาคัญ ไม้ล้มลุกอายุหนึ่งปี ลาต้นแตกกอแน่น ใบเดี่ยว เรียงสลับเป็น 2 ใบรูปแถบ ล้ินใบก่ึงหนาเหมือนแผ่นหนังถึงบาง แบบกระดาษ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกย่อยแบนด้านข้าง มี 3 ดอกย่อย กลีบดอกลดรูปเป็นตุ่ม 2 อัน กาบช่อย่อยเบี้ยว กาบล่าง เป็นสันแข็งและมีขนแข็งตรงปลาย กาบบนเป็นสัน 3 - 7 สัน มีขนาด เทา่ กับกาบลา่ ง หุ้มผลแน่น ผลแบบผลธญั พืช

ประโยชน์ของขา้ ว ประโยชน์ของข้าวเป็นอาหาร คนไทยรับประทานข้าวเป็น อาหารหลัก และนามาเป็นส่วนประกอบของขนมหวาน เช่น ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวดา เป็นต้น นอกจากน้ียังนามาผลิตเป็น เครื่องดื่ม เชน่ เบยี ร์ ชา เปน็ ต้น

ตวั อยา่ งพชื ใบเลี้ยงเด่ยี วทีส่ าคญั 2. มะพรา้ ว หรือ หมากพ้าว (Cocos nucifera L.) วงศ์ Arecaceae หรือ Palmae มีลาตน้ เดยี ว ไม่แตกแขนง มีรอยแผลจากการหลุดร่วงของใบตลอดลาตน้ สามารถคานวณ อายุของตน้ มะพร้าวได้จากรอยแผลน้ี คอื ในปีหนง่ึ มะพร้าวจะ สรา้ งใบ 12 - 14 ใบ ดงั นนั้ ใน 1 ปี จะมรี อยแผลท่ีลาตน้ 12 - 14 รอยแผล ➢ ใบ เปน็ ใบประกอบ ออกตามส่วนปลายของลาต้น ประกอบด้วยก้านทาง (rechis) มีขนาดใหญ่และยาว มีใบยอ่ ย (leaflet) 200 - 250 ใบ ➢ ดอก ออกเปน็ ช่อชนิดพานเิ คิล มีท้งั ดอกเพศผู้และดอกเพศ เมยี อยู่ในช่อเดียวกนั

ลกั ษณะท่ีสาคญั ของมะพรา้ ว ➢ ผล มะพร้าวเปน็ ชนดิ ไฟบรัสดรปุ (fibrous drupe) เรยี กวา่ นทั (nut) มเี ปลือก 3 ช้ัน คือ 1) เปลอื กชั้นนอก (exocarp) เป็นเส้นใยที่เหนียว และแขง็ เมื่อแก่อาจมีสีเขียว แดง เหลอื ง หรอื น้าตาล 2) เปลอื กชนั้ กลาง (mesocarp) มลี ักษณะเป็น เส้นใย มีความหนาพอประมาณที่มา : https://www.scimath.org/article-biology/item/4429-gg-nut 3) เปลอื กชน้ั ใน (endocarp) มลี ักษณะแขง็ หรือทีเ่ รยี กกันว่า กะลา (shell)

ลกั ษณะทีส่ าคญั ของมะพรา้ ว ➢ เมล็ด (seed of kernel) คือ เน้ือมะพร้าว https://www.scimath.org/article-biology/item/4429-gg-nut ภายในเมลด็ เป็นช่อกลวง ขณะผลอ่อนจะมีน้าอยู่ เ ต็ ม ผ ล แ ก่ น้ า ม ะ พ ร้ า ว จ ะ แ ห้ ง ไ ป บ า ง ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ย ส่ ว น ข อ ง เ น้ื อ เ ม ล็ ด ท่ี เรียกว่า “เน้ือและน้ามะพร้าว” ซึ่งเป็นส่วน ของ “เอ็นโดสเปิร์ม”(endosperm) หรือ อาหารที่ใช้เลี้ยงต้นอ่อน และส่วนสาคัญอีกส่วน เรียกว่า “จาวมะพร้าว” นั้นก็คือส่วนของ embryo ซ่ึงจะอยู่ติดกับส่วนของ endosperm ตน้ ออ่ นที่งอกกจ็ ะงอกจากสว่ น embryo

ประโยชน์ของมะพรา้ ว ➢ นา้ และเนือ้ มะพรา้ วอ่อนใช้รบั ประทาน ➢ เนือ้ ในผลแกน่ นาไปขดู และคน้ั ทากะทิ ➢ กะลานาไปประดิษฐ์สิ่งของ เช่น กระบวย โคมไฟ นอกจากน้ีมะพร้าวจดั เปน็ พรรณไม้มงคลชนิดหน่งึ ตามตาราพรหมชาติฉบับหลวง ได้กาหนดให้ปลูก มะพร้าวไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เพื่อเป็นสิริ มง ค ล เนื้ อ ไ ม้ ท า อุ ป ก ร ณ์ ป ร ะดั บ ต ก แต่ ง ห รื อ เฟอรน์ เิ จอรไ์ ด้

ตวั อยา่ งพืชใบเล้ยี งเดี่ยวทสี่ าคญั 3. กลว้ ย หรือ Banana (Musa sp.) วงศ์ Musaceae ลักษณะท่ีสาคัญ - เป็นไม้ล้มลุกขนาดใหญ่ ทุกส่วนมียางใส ทุกส่วนเหนือพ้ืนดินของกล้วยเจริญจากส่วนที่เรียกว่า “หัว” หรือ “เหง้า” ใบของกล้วยประกอบด้วย “ก้านใบ” และ “แผ่นใบ” มีขนาดใหญ่ ปลายใบมน รูปใบขอบขนาน โคนใบมน มีสีเขียว ใบฉีกขาดได้ง่ายจากลม ฐานก้านใบแผ่ ออกเป็นกาบ สร้างช่อดอก (inflorescence) หรือ “หัวปลี” (banana blossom) ทีป่ ลายยอดของลาต้นเทยี ม

ลกั ษณะทส่ี าคัญของกล้วย ➢ มีช่อดอกยอ่ ย 2 แถว ดอกเพศเมีย (ท่สี ามารถเจรญิ เปน็ ผลได้) จะอยู่ในชอ่ ดอกย่อยท่ีบรเิ วณโคนปลี (ใกลก้ บั ใบ) ดอกเพศผู้จะอยทู่ ่ีปลายปลี ➢ หลงั ให้ผลลาตน้ เทยี มจะตายลงแตห่ น่อหรือตะเกียง จะพัฒนาข้นึ จากตา (bud) ที่หวั สง่ ผลให้กลว้ ยเปน็ พชื หลายปีกลว้ ยมีหลายสายพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ กล้วยน้า หว้า กลว้ ยหอม กลว้ ยไข่ กล้วยหักมกุ กลว้ ยป่า

ประโยชน์ของกล้วย ➢ ใบตองใชห้ อ่ อาหารและทางานฝีมอื หลายชนิด ➢ ลาตน้ ใชท้ าเชือกกล้วย กระทง ➢ สว่ นต่าง ๆ ของกลว้ ยนามาทาอาหารได้หลายสว่ น ทงั้ หวั ปลี หยวกกลว้ ย ผลทงั้ สกุ และดิบ ตวั อยา่ ง เช่น กลว้ ยแขก กล้วยบวชชี กลว้ ยปิง้ กล้วยตาก กลว้ ยเชอ่ื ม กลว้ ยทอด กล้วยกวน เป็นตน้

พชื ใบเล้ียงคู่ (Dicotyledon) พืชใบเล้ียงคู่ (Dicotyledon หรือ Magnoliopsida) คือ พืชที่มีใบ เลี้ยง 2 ใบ เมือ่ เรมิ่ งอกออกจากเมล็ดพันธ์ุ เปน็ พืชทม่ี รี ากเป็นระบบราก แก้ว และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะไม่เกิดข้อและปล้องขึ้นชัดเจน ตามบริเวณลาต้นเหมือนกับพืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชใบเลี้ยงคู่ มีเปลือกหนา และมีเนื้อไม้แข็งแรง ขณะท่ีท่อลาเลียงอาหารและน้าของพืชกลุ่มน้ี จะจัดเรียงอยภู่ ายในลาต้นอย่างเป็นระเบียบ จึงทาให้พืชใบเล้ียงคู่มีการ เจริญเติบโตทางดา้ นข้าง สามารถแผก่ ่ิงกา้ นสาขาได้ดี

ลกั ษณะเด่นของพชื ใบเลยี้ งคู่ พืชใบเลี้ยงคู่ส่วนใหญ่เป็นพืชท่ีมีอายุยืนยาวกว่าพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มลี ักษณะของใบกว้าง มีเส้นใบแตกแขนงเป็นร่างแหที่ซับซ้อนออก จากตรงแก่นกลางของใบ และส่วนของกลีบดอกจะมีจานวนราว 4 ถึง 5 กลีบ หรือเท่าทวีคูณของ 4 และ 5 ข้ึนไป นอกจากน้ี พืชใบเลีย้ งคู่ยงั มคี วามแตกตา่ งจากพืชใบเลยี้ งเดยี่ วในอกี หลายด้าน เชน่ โครงสร้างของเกสรและลักษณะของปากใบ เปน็ ต้น

พชื ใบเลยี้ งคู่ (ท่มี า : https://jun75229.wordpress.com)

ตวั อยา่ งพชื ใบเลยี้ งคทู่ ่สี าคัญ 1. คราม ชอื่ วิทยาศาสตร์ Indigofera tinctoria L. วงศ์ Leguminosae-Papilionoideae ➢ ไมพ้ ุ่มขนาดเลก็ สูง 1.5 - 2 เมตร ใบ ใบประกอบ แบบขนนก ดอก ออกเปน็ ชอ่ ยาวประมาณ 10-15 เซนตเิ มตร ดอกรปู แบบ ดอกถวั่ สีม่วงแกมน้าตาล หรอื สชี มพู ผล แบบฝักแหง้ แตก

ประโยชน์ของต้นคราม ทิง้ ครามทั้งใบแชน่ ้าด่าง เพอื่ หมกั เอาน้าครามได้สนี า้ เงนิ เขม้ เรียก สีคราม ขนั้ ตอนการหมกั เรยี กการ “เล้ยี งคราม” หากทาไมถ่ ูกขนั้ ตอน ครามจะไมใ่ ห้สี เรียก “ตาย” ชาวอีสานเรยี กสีครามว่า “สีนิล” “สหี มอ้ ” หรือ “สีหม้อนิล”ชาวอีสานตอนบนนยิ มนาไปยอ้ มผา้ และ มดั เปน็ ลาย เรียกวา่ ผา้ ย้อมคราม แหล่งปลกู ครามและทาผา้ ยอ้ มคราม แหลง่ ใหญ่อย่ทู จ่ี งั หวัดสกลนคร

ตัวอยา่ งพืชใบเล้ยี งคู่ท่ีสาคัญ 2. สลอด ช่อื วิทยาศาสตร์ Croton tiglium L. วงศ์ Euphorbiaceae ➢ ไม้พุ่ม เดี่ยวรูปไข่ เรียงสลับกัน ขอบใบหยัก แบบซ่ีฟัน เส้นใบ 3-5 เส้น ท่ีฐานใบมีต่อม 2 ต่อม เนื้อใบบาง ดอกเล็ก ออกเดี่ยว ๆ หรือ ออกเป็นช่อท่ียอด ดอกเพศผู้ และ ดอกเพศเมีย อยบู่ นตน้ เดียวกนั หรืออย่ตู า่ งตน้ กนั ผล แก่ จัดแห้งและแตก รปู ขอบขนานหรอื รี

ประโยชน์ของต้นสลอด นา้ มันเมลด็ ของสลอด ใชเ้ ปน็ ยาถ่าย ใบ สลอดใชเ้ ปน็ ยาฆา่ แมลงวันได้

ตัวอย่างพืชใบเล้ียงค่ทู ี่สาคัญ 3. ฮ่อม ช่อื วิทยาศาสตร์ Baphicacanthus cusia Brem. วงศ์ Acanthaceae ➢ ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 50-80 เซนติเมตร ลาต้น ลาต้นกลม เป็นข้อปล้อง คล้ายขาไก่ แตกก่ิงก้านตามข้อ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม ใบรูปรีหรือรูป ไข่ ปลายใบแหลม โคนใบ แหลม ขอบใบหยัก ดอก ช่อดอกออกตามซอก ใบและก่ิง ดอกสมี ว่ ง กลีบดอกรูปทรงคลา้ ยระฆัง เมล็ด สีนา้ ตาล แตกง่าย

ประโยชน์ของต้นฮอ่ ม การใชป้ ระโยชน์ ภาคเหนือใช้ ใบ ต้มนา้ ดื่ม แก้ไข้ ยาพื้นบา้ นใชร้ าก และใบ ต้มนา้ ดื่ม แกไ้ ข้ ปวดศีรษะเน่อื งจากหวัด เจ็บคอ หลอดลม อักเสบ ตอ่ มทอนซิล อกั เสบ ตาอักเสบ ทั้งต้น สบั เปน็ ทอ่ น แชก่ บั น้าผสมปนู ขาว ประมาณ 10 วัน เพอื่ ทาสียอ้ มผ้า เรียก “ผ้าม่อฮอ่ ม” จงั หวดั แพร่ มชี อ่ื เสียงมาก

บรรณานุกรม เทียมใจ คมกฤส. (2542). กายวภิ าคของพฤกษ์. กรุงเทพ: สานกั พิมพม์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. https://ngthai.com/science/25103/monocotyledon/ https://www.dnp.go.th/botany/index.html https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/63521/-scibio

ศูนย์วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อการศกึ ษานครพนม 355 ม. 6 ต.หนองญาติ อ.เมอื ง จ.นครพนม 48000 Email : [email protected] www.facebook.com/ ศูนยว์ ิทยาศาสตร์เพ่อื การศกึ ษา นครพนม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook