เอกสารประกอบการเรียนรอู้ อนไลน์ ผไู้ ท ไทญอ้ ไทแสก ไทข่า ไทโส้ ไทกะเลิง ไท-ลาว/ไท-อีสาน ไทกวน ไท-เวยี ดนาม ไท-จีน
นครพนม จังหวัดเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในดินแดนท่ีรำบสูง อดีตเป็นศูนย์กลำงของ อำณำจกั รศรีโคตรบูรณ์อันรุ่งเรอื ง ชื่อ นครพนม นัน มีข้อสันนิษฐำนประกำรหนึ่งว่ำ เมืองนครเคยเป็นเมืองลูกหลวงมำก่อน และมี ควำมส้ำคญั ทำงประวัตศิ ำสตร์ จึงไดใ้ ชช้ ่ือวำ่ นคร สว่ นคำ้ วำ่ พนม ก็มำจำกพระธำตุพนมปูชนียสถำนที่อยู่ คู่บ้ำนคู่เมืองมำช้ำนำน หรืออีกนัยหน่ึงคือ เดิมเมืองมรุกขนคร ตังอยู่ทำงฝั่งซ้ำยแม่น้ำโขงในบริเวณท่ีมี ภเู ขำสลบั ซบั ซ้อน จงึ น้ำคำ้ วำ่ พนม ซ่ึงแปลว่ำภเู ขำมำใช้ นครพนมจงึ หมำยควำมถึง เมอื งแห่งภูเขำ นันเอง ดว้ ยควำมรุง่ เรอื งในอดีต และตังอยู่บริเวณริมฝ่ังแม่น้ำโขง ท้ำให้มีหลำยชนเผ่ำได้อพยพเข้ำมำตัง ถิ่นฐำน ตังแต่สมัยอดีต ก่อตังเป็นหมู่บ้ำนและเป็นต้ำบลต่ำง ๆในจังหวัดนครพนมในปัจจุบันจังหวัด นครพนมได้มีชนเผ่ำไทนคร 8 ชนเผ่ำ 2 เชือชำติ ท่ีได้มีกำรเผยแพร่อัตลักษณ์ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ของแต่ละชนเผ่ำ เชือชำติ รวมถึงวิถีชีวิตควำมเป็นอยู่ของชำวนครพนม วัฒนธรรมต่ำงๆท่ีสืบต่อกันมำจำก รุ่นสู่รุ่นนัน และยังคงรักษำควำมงดงำมทำงวัฒนธรรมในอดีตทังเครื่องแต่งกำยท่ีบอกลักษณะของชนเผ่ำ ต่ำงๆ ประเพณี บทเพลงบรรเลง กำรฟ้อนร้ำ หรือแม้กระทังภำษำที่ไม่เหมือนกัน ท้ำให้เกิดควำม หลำกหลำยขึนในจังหวัดนครนพนม และเม่ือถึงเทศกำลส้ำคัญของจังหวัดนครพนม แต่ละชนเผ่ำก็จะมำ รว่ มกนั แสดงศิลปะและวฒั นธรรม ให้ทงั คนทีอ่ ยใู่ นจังหวัด หรือคนท่ีเข้ำมำท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมได้ รับชม ผไู้ ท ไทญ้อ ไทแสก ไทข่า ไทโส้ ไทกะเลงิ ไท-ลาว/ไท-อสี าน ไทกวน ไท-เวียดนาม ไท-จีน
ประวัตคิ วามเปน็ มา ชนเผ่าผ้ไู ทย หรือ ผู้ไท (Phutai) ถิ่นฐำนดังเดิมของชำวผู้ไทย เดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย และแคว้นสิบสองปันนำ (ดินแดนส่วน เหนือของลำวและเวียดนำม ซ่ึงติดต่อกับส่วนใต้ของประเทศจีน) รำชอำณำจักไทยได้สูญเสียดินแดน แค้วนสิบสองจุไทยให้ฝร่ังเศส เม่ือร.ศ.๑๐๗ (พ.ศ. ๒๔๓๑) ผู้ไทยมีถิ่นฐำนอยู่ในเขตจังหวัดนครพนม กำฬสินธ์ุ มุกดำหำร สกลนคร และบำงส่วนกระจำยอยู่ในเขตจังหวัด หนองคำย อ้ำนำจเจริญ อุบลรำชธำนี อุดรธำนี ร้อยเอ็ด และยโสธร เปน็ อกี กลุ่มหนึ่งท่รี ักษำวฒั นธรรมของตนไวไ้ ด้อย่ำงดี ลกั ษณะทางสังคม ชำวภูไทเป็นกลุ่มชนท่ีมีควำมขยัน อดออม และมีวัฒนธรรมในเร่ืองกำรถัก–ทอ เด่นชัด จึงปรำกฏเสอื ผำ้ ชนิดต่ำงๆ ทังผ้ำฝำ้ ย ไหม ในกลุ่มชำวภูไท เชน่ ผ้ำแพรวำ ในปจั จุบัน เป็นผำ้ ท่ีผลิต ยำกใช้เวลำนำน มีควำมสวยงำม จึงนับว่ำชนกลุ่มนีมีวัฒนธรรมเรื่องเสือผ้ำเด่นชัดมำก โดยเฉพำะ กำรทอผ้ำซิ่นหมี่ ตนี ตอ่ เป็นตนี ตอ่ ขนำดกว้ำง ๔-๕ นิว (มือ) เรียกว่ำ \"ตีนเต๊ำะ\" เป็นท่ีนิยมในกลุ่ม ภูไททอเป็นหมี่สำด หม่ีหม้อย้อมครำม จนเป็นสีครำมแก่เกือบเป็นสีด้ำ ชำวบ้ำนมักเรียก \"ผ้ำด้ำ\" หรอื \"ซนิ่ ด้ำ\" ภาษา จดั อยูใ่ นภำษำไท-กะได มีลักษณะทำงภำษำศำสตร์ที่ใกล้เคียงกับภำษำอีสำน หรือภำษำถิ่น อื่นในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ประเพณีแห่ดอกไม้วันสงกรำนต์ บุญข้ำวจี่ บุญกองข้ำว บุญเบิกบ้ำน กำรทอผ้ำ กำรทอ เสอื่ กก กำรจกั สำน
การแสดงศลิ ปวฒั นธรรม กำรฟ้อนภูไท เป็นกำรแสดงท่ีเลื่องช่ือทำงอีสำนเหนือ ด้วยท่ำทำงที่นุ่มนวลอ่อนช้อย จำกท่ำทำงที่ประดิษฐ์จำกธรรมชำติรอบตัว ควำมเช่ือ และวรรณกรรมท้องถิ่น กำรแสดงดนตรี โปงลำง การแตง่ กายของชาวภูไท เผา่ กาฬสนิ ธุ์ หญิง สวมเสือแขนกระบอกสีด้ำแนวปกคอเสือและแนวกระดุมตกแต่งด้วยผ้ำแถบลำยแพร วำสีแดง กุ๊นขอบลำยผ้ำด้วยผ้ำกุ๊นสีเหลืองและขำว ประดับด้วยกระดุมเงิน ห่มผ้ำสไบไหมแพรวำ สีแดง นงุ่ ผำ้ ซิ่นมดั หมี่สีด้ำมตี นี ซิ่น ผมเกล้ำมวยมัดมวยผมด้วยฝ้ำยภูไท หรือผ้ำแพรฟอย และสวม เคร่ืองประดับเงนิ ชาย สวมเสือสีด้ำมีกำรตกแต่งเสือด้วยแถบผ้ำลำยแพรวำ นุ่งกำงเกงขำก๊วย ใช้ผ้ำแพรวำ แดงมดั เอว ชาวภูไทเผา่ กาฬสนิ ธุ์
เผา่ สกลนคร หญงิ สวมเสือแขนกระบอกสดี ำ้ แต่งขอบเสือด้วยผำ้ แดง มีแนวกระดุมเงินเรียงยำวตำมแนว เสือนุ่งผ้ำซิ่นพืนสีด้ำต่อตีนซ่ินขิดยำวกรอมเท้ำ ห่มผ้ำสไบขิดทำงไหล่ซ้ำยแล้วไปมัดที่เอวด้ำนขวำ สวมส่วยมือยำว(เล็บ)ท้ำมำจำกกระดำษหรือโลหะพันด้วยด้ำยและมีพู่ที่ปลำยเล็บสีขำวหรือแดง ผมเกล้ำมวยมัดมวยผมดว้ ยฝำ้ ยแดง และสวมเครือ่ งประดับเงิน ชาย สวมเสอื สีดำ้ มกี ำรตกแตง่ เสอื ดว้ ยแถบผำ้ แดง นุ่งกำงเกงขำกว๊ ย ใช้ผ้ำขิดแดงมัดเอว ชาวภูไทเผา่ สกลนคร ชาวภูไทเผ่านครพนม เผ่านครพนม (อ.เรณนู คร) หญิง สวมเสือแขนกระบอกสีครำมแต่งของเสือด้วยผ้ำแดง ที่กระดุมเงินมีสำยคล้องเป็นคู่ๆ พนั เอวดว้ ยผำ้ แดง นงุ่ ซิ่นสคี รำมยำวกรอมเท้ำ ไหล่ซ้ำยพำดสไบสีขำว ผมเกล้ำมวยมัดมวยผมด้วย ฝ้ำยภูไทสขี ำว และสวมเครอื่ งประดบั เงนิ ชาย สวมเสือสีครำมมีกำรตกแต่งเสือด้วยแถบผ้ำแดง นุ่งกำงเกงขำก๊วยสีครำม ใช้ผ้ำแพร ขำวมำ้ มัดเอว
ประวัตคิ วามเปน็ มา ชนเผ่าไทยญ้อ (ญ้อ) ถิ่นฐำนเดิมอยู่ที่เมืองหงสำ แขวงชยบุรี ของประเทศลำวเหนือ จังหวัดล้ำนช้ำงของไทย สมัยหนึ่งไทยญ้อส่วน ใหญไ่ ดอ้ พยพมำตงั ถ่นิ ฐำนใหม่ทไี่ ชยบุรี ปำกน้ำสงครำมริมฝัง่ แมน่ ้ำโขง (ต้ำบลไชยบุรี อ้ำเภอท่ำอุเทน จังหวัดนครพนม ในปัจจุบัน ในสมัย รชั กำลที่ ๑ เม่อื พ.ศ. ๒๓๕๑ ต่อมำเม่ือเกิดกบฏเจ้ำอนุวงศ์เวียงจันทร์ ในสมัยรัชกำลท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๙) พวกไทยญ้อ ที่เมืองไชยบุรีได้ถูก กองทัพเจ้ำอนุวงศ์กวำดต้อนไปแล้วให้ไปตังเมืองอยู่ ณ เมืองปุงลิง ฝ่ังซ้ำยแม่น้ำโขง (อยู่ในเขตแขวงค้ำม่วนประเทศลำว) อยู่ระยะหนึ่ง ต่อมำได้กลับมำตังเมืองขึนใหม่ทำงฝั่งขวำแม่น้ำโขงตังเป็นเมือง ท่ำอุเทนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๓ คือบริเวณอ้ำเภอท่ำอุเทน จังหวัดนครพนม ในปัจจบุ ัน ลกั ษณะทางสงั คม ครอบครัวของชำวไทญ้อส่วนใหญ่เป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยว ลักษณะเครือญำติไทญ้อ มีลักษณะเด่นตรงท่ีว่ำ พวกเขำแม้จะแยกครอบครัวไปแล้ว แต่ก็ยัง ไปมำหำสู่กันเสมอ ยำมเจ็บไข้ ได้ป่วยก็ช่วยเหลือเกือกูลกันอย่ำงเต็มควำมสำมำรถ ยำมเทศกำลงำนบุญต่ำงๆ ก็จะเดินทำงไป ช่วยเหลือกัน ชำวไทญ้อเชื่อกันว่ำผู้จะท้ำหน้ำท่ีแทนพ่อได้เป็นอย่ำงดี คือ ลูกชำย เพรำะผู้ชำยนัน บึกบึน ทรหด อดทน สำมำรถท้ำงำนในอำชีพเกษตรกรได้เป็นอย่ำงดี เพรำะฉะนันกำรสืบสำย ตระกูล และกำรรับมรดก สว่ นใหญ่จะตกอยกู่ บั ผชู้ ำย ภำระหน้ำทขี่ องสมำชิกในครอบครวั นัน หน้ำที่ ในกำรหำเงินทองมำจับจ่ำยใช้สอยภำยในครอบครัว กำรคุ้มครองดูแลต่ำงๆ เป็นหน้ำท่ีของพ่อบ้ำน แม่บำ้ นจะดูแลลกู ๆ ภำระหนำ้ ทภี่ ำยในบ้ำน
วิถีชีวิตของชาวไทญ้อ ลักษณะนิสัยใจคอของไทญ้อ ส่วนมำกที่สุดคือ ชื่อสัตย์ สุจริต รักสงบ มคี วำมสำมัคคไี ม่วำ่ จะมีอะไร เชน่ กำรทำ้ บญุ กำรปลูกบำ้ น ทำ้ นำวำนหรือไหวว้ ำนกัน (นำวำนคือ กำรลงแขกท้ำ นำ ทำ้ งำน) ประเพณี พิธกี รรม ความเชือ่ ประเพณีเลียงผีปู่ตำ โดยชำวบ้ำนจะสร้ำงตูบปู่ตำ หรือ โฮงผีปู่ตำ โดยชำวญ้อถือว่ำผีปู่ตำคือ ผีบรรพ บุรษุ ที่ตำยไปแลว้ แตย่ ังมคี วำมหว่ งใยในควำมเป็นอยขู่ องลูกหลำนทย่ี ังมีชวี ติ อยู่ ส้ำหรับทต่ี ังของผปี ูต่ ำจะอยู่ใต้ ต้นไมใ้ หญ่ ศิลปะกำรแสดง ฟ้อนไทญ้อ โดยจะพบในช่วงเทศกำลสงกรำนต์เดือนเมษำยน และเทศกำลท่ีส้ำคัญๆ เท่ำนัน ในชว่ งสงกรำนต์นัน ชำวไทญ้อจะมีกำรสงน้ำพระในตอนกลำงวันโดย มีกำรตังขบวนแห่จำกคุ้มเหนือไปยังคุ้มใต้ ตำมล้ำดบั ตงั แตข่ ึนหนึ่งค่้ำเปน็ ไป จนถึงวันเพญ็ สิบห้ำค้่ำเดือนห้ำ ส่วนในตอนกลำงคืนหนุ่มสำวจะจัดขบวนแห่ น้ำต้นดอกจำ้ ปำ (ลั่นทม) ไปบูชำวัดที่ผ่ำนไป เร่ิมจำกวัดใต้สุดขึนไปตำมล้ำดับถึงวัดเหนือสุดซึ่งเป็นคืนสุดท้ำย เสรจ็ พิธีแหด่ อกไมบ้ ชู ำองค์พระธำตุท่ำอุเทน จะเป็นช่วงแห่งกำรเกียวพำรำสี กำรหยอกล้อกัน อย่ำงสนุกสนำน ของบรรดำหนุ่มสำวชำวไทญอ้
การแต่งกายชุดราไทญอ้ ชาย สวมเสือคอพวงมำลัยสีเขียวสด ใช้สไบไหมสีน้ำเงินพับครึ่งกลำง พำดไหล่ ซ้ำยและขวำ ปล่อย ชำยสองข้ำงไปด้ำนหลงั ใหช้ ำยเท่ำกนั นุง่ ผ้ำโจงกระเบนสนี ้ำเงนิ เขม้ ใช้สไบไหมสีแดงคำดเอว ปล่อยชำยข้ำงซ้ำย ดำ้ นหนำ้ เครื่องประดับสรอ้ ยเงนิ ห้อยพระ ใบหูทัดดอก ดำวเรอื งด้ำนซำ้ ย หญิง สวมเสือแขนกระบอกสีชมพู (สีบำนเยน็ ) คอกลมขลิบด้ำ หรอื นำ้ เงนิ เข้ม นุ่งผำ้ ถุงไหมสีน้ำเงินมีเชิง (ตีนจก) เข็มขัดลำยชิดคำดเอว ใช้สไบไหมสีน้ำเงินพำดไหล่ด้ำนซ้ำยแบบเฉียง ปล่อยชำยยำวทังด้ำนหน้ำและ ด้ำนหลงั ใหช้ ำยเทำ่ กนั เคร่ืองประดบั สร้อยคอ ตุ้มหู สรอ้ ยขอ้ มือเครื่องเงิน ผมเกล้ำมวยประดับดอกไม้สด หรือ ดอกไม้ประดษิ ฐ์ การแต่งกายชดุ ราไทญ้อ
ประวัติความเป็นมา ชนเผ่าไทแสก เป็นชนกลุ่มน้อย ภำคอสี ำนเผำ่ หนึง่ ในจำ้ นวนหลำยๆเผ่ำ ท่มี อี ยใู่ นประเทศไทย เดิมชำวแสกมีภูมิล้ำเนำอยู่ที่เมืองรองขึนกับกรุง เว้ อยทู่ ำงตอนกลำงของประเทศเวียดนำมและจนี ชนเผ่ำแสกเป็นชนเผ่ำ ท่มี คี วำมอุตสำหะบำกบั่น ยดึ ม่ันในควำมสำมคั คี เมื่อเห็นภูมิล้ำเนำเดิม ไม่เหมำะสมจึงได้รวบรวมสมัครพรรคพวกอพยพหำทีอ่ ยูใ่ หม่ โดยอพยพ มำตำมล้ำแม่น้ำโขงแล้วมำตังถิ่นฐำนช่ัวครำวอยู่ระหว่ำงประเทศ เวียดนำมและประเทศลำว โดยมีท้ำวกำยซุและท้ำวกำยชำ เป็นหัวหน้ำ ในกำรอพยพ ต่อมำในสมัยสมเด็จพระเจ้ำปรำสำทแห่งกรุงศรีอยุธยำ กษัตริย์ของไทย ชำวแสก ได้อพยพข้ำมแม่น้ำโขงมำตังถ่ินฐำนมำอยู่ท่ี ป่ำหำยโศก ซ่ึงเป็นพืนที่ที่มีควำมอุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพยำกรต่ำงๆ จงึ ได้อพยพกันมำประกอบอำชีพอยู่แห่งนีเรือ่ ยมำ จนถงึ สมยั พระสุนทร เปน็ เจำ้ เมือง ไดย้ กฐำนะของชำวแสกขึนเป็นเมือง โดยได้เปลี่ยนชื่อใหม่ จำกป่ำหำยโศก เป็นเมืองอำจสำมำรถ หรือบ้ำนอำจสำมำรถจนถึงทุก วันนี วถิ ชี วี ิต วิถชี วี ิตของชำวไทแสกเปน็ ไปอย่ำงเรยี บงำ่ ยมคี วำมสำมัคคี มคี วำมอตุ สำหะบำกบ่ัน รักควำม สงบ และชอบเรียนรู้ส่ิงใหมๆ่ แตย่ ังคงรกั ษำประเพณี วัฒนธรรมดงั เดมิ ไวอ้ ย่ำงเหนยี วแนน่ ให้ควำม เคำรพต่อผู้อำวุโสและท้ำงำนเป็นกลุ่มท่ำมกลำงกระแสโลกำภิวัฒน์ ชำวไทแสกก็ยังคงยึดมั่นใน ประเพณดี งั เดมิ โดยเฉพำะภำษำชำวไทแสกสว่ นใหญก่ ็ยงั ใช้ภำษำของตนเองในกำรสื่อสำร ยึดม่ันใน ประเพณีส้ำคัญทำงพระพทุ ธศำสนำและยงั คงมีประเพณีท่ีเป็นเอกลักษณ์คือประเพณีเต้นสำก ที่เป็น ท่ีรจู้ ักไปว่ำ “แสกเตน้ สำก”
ประเพณแี ละวัฒนธรรม \"พิธกี นิ เตดเดน\" เป็นประเพณีพธิ ีกรรมอีกอยำ่ งหนงึ่ โดยกำรประกอบพิธกี รรมขึนมำเพื่อเป็น กำรแสดงควำมกตัญญูกตเวทีต่อ \"โองมู้\" ที่ชำวไทแสกเคำรพนับถือ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชำวไท แสก เป็นผู้มีพระคุณต่อลูกหลำนรุ่นหลังๆ สืบต่อกันมำ \"โองมู้\" จะท้ำหน้ำท่ีคุ้มครองอันตรำยที่ เกิดขึนในหมู่บ้ำน และดลบันดำลให้ส่ิงต่ำงๆเกิดขึนตำมท่ี \"ผู้บ๊ะ\" (บนบำน) โดยมี \"กวนจ้ำ\" เป็น ส่อื กลำงในกำรประกอบพิธกี รรม แตถ่ ้ำหำกลูกหลำนประพฤติมิชอบ ไม่เหมำะสม หรือท้ำพิธีบนบำน แล้วไม่ประพฤติปฏิบัตติ ำมในส่ิงทถี่ ูกดงี ำมหรือไมม่ ีพิธีกรรม เก่บ๊ะ (พิธีแก้ค้ำบนบำน) ก็จะทำให้เกิด เหตุเภทภัยในครอบครัวเพื่อเป็นกำรตักเตือนให้ลูกหลำนประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงำม ตัวอย่ำงเช่น อำจจะเจ็บไข้ได้ปว่ ยเกิดอำกำรร้อนรนกินไมไ่ ดน้ อนไม่หลบั แตเ่ ม่อื ทำ้ กำรบะ๊ หรือ เก่บ๊ะ แล้วเหตุร้ำยก็จะกลำยเป็นดี พิธีกรรมกินเตดเดน นีชำวไทแสกเชื่อว่ำ พิธีกรรมนีมีบทบำทในกำร สร้ำงควำมศรัทธำ ควำมเช่ือมั่น ควำมรู้สึกดีๆ ร่วมกัน ควำมรู้สึกผูกพันท่ีมีในสำยเลือดเผ่ำพันธุ์ เดียวกัน เป็นกำรสร้ำงจิตสำนึกให้ชำวไทแสกทุกคน เกิดควำมรักควำมหวงแหนในวัฒนธรรม ประเพณีของตน มุ่งสอนให้ผู้มีอำยมำกกว่ำให้ควำมเคำรพนับถือ และแสดงควำมกตัญญูต่อผู้ มี พระคณุ หรอื ตอ่ ผมู้ อี ำยุนอ้ ยกว่ำ ให้เกิดควำมสำมัคคี เคำรพนับถือ บรรพบุรุษ แสดงควำมปลืมปีติ แกช่ ำวไทแสกทม่ี ำรว่ มพธิ ีกนั ถว้ นหนำ้
การแตง่ กาย ผู้ชาย เสือด้ำแขนสัน ผ้ำยอมหม้อสีครำม เสือคอกลมติดกระดุมด้ำนหน้ำกำงเกงขำก๊วย หรือขำคร่งึ ทอ่ ผ้ำคำดเอว เปน็ ผำ้ ขำวมำ้ เป็นลำยตะล่องสแี ดง ส่วนผ้ำพำดบำ่ ใชผ้ ำ้ สแี ดงลว้ น ผู้หญิง เสือแขนยำวสดี ำ ผำ่ อก ตดิ กระดมุ ดำ้ นหนำ้ ผ้ำถงุ สดี ำมเี ชิงที่ปลำยผ้ำถุง ผ้ำถุงยำว คลุมเท้ำผ้ำคำดเอวนิยมเป็นผ้ำลำยเดียวกันกับลำยเชิงผ้ำถุงผ้ำเบ่ียงซ้ำย นิยมใช้ผ้ำสีแดง นิยมใส่ ตุ้มหู ก้ำไลขำ สร้อยขำ และสรอ้ ยคอ นิยมไวผ้ มยำวเกลำ้ รัดมวย การแตง่ กายชนเผา่ ไทแสก
ประวัตคิ วามเปน็ มา ไทข่า อำศัยในเขตอ้ำเภอธำตุพนม จังหวัดนครพนม ไทข่ำเป็นชำวไทย อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังพอมีหลงเหลือบ้ำงในพืนท่ีจังหวัดนครพรม แต่ไม่ ปรำกฏให้เป็นชุมชนชัดเจนจะมเี พียงครอบครัวท่ีแทรกอยใู่ นชมุ ชน อยู่ใน พืนท่ีอ้ำเภอนำแก ตำมหมู่บ้ำนแถบเทือกเขำภูพำน ซ่ึงเป็นรอยต่อกับ อ้ำเภอดงหลวงจังหวัดมุกดำหำร อ้ำเภอดงหลวงจะมีชำวข่ำอำศัยอยู่ มำก ในอดีตจังหวัดมุกดำหำรเป็นอีกอ้ำเภอหน่ึงท่ีขึนต่อจังหวัด นครพนมรวมถึงอ้ำเภอดงหลวงด้วย ปัจจุบันอ้ำเภอมุกดำหำร ได้เล่ือน เป็นจังหวัด และอ้ำเภอดงหลวงก็ไปขนึ เป็นสังกดั จังหวดั มุกดำหำรด้วย ชมุ ชนไทขำ่ ในจังหวัดนครพนมจึงไม่ปรำกฏใหเ้ ห็นเดน่ ชดั จงึ มีเพียงกระจัดกระจำยเปน็ บำงครอบครัวในชุมชนต่ำงๆ ดงั กล่ำวมำแลว้ ไทข่ำมถี ่ินดังเดมิ อย่แู ขวงสวุ รรณเขต แขวงสละวัน และอตั ปอื ของประเทศลำว และได้อพยพเข้ำมำ อยใู่ นพนื ท่ปี ระเทศไทยตงั แต่สมยั รชั กำลท๓ี่ เป็นต้นมำ นักมนุษยวิทยำถือว่ำชำวไทข่ำเป็นเผ่ำดังเดิมในแถบกลุ่ม แม่น้ำโขง สืบเชือสำยมำจำกขอมโบรำณ ภำยหลังขอมเสื่อมอ้ำนำจลง ภำษำของชำวไทข่ำเป็นภำษำในตระกูล ออสโตรอำเชียติก ในสมัยมอญเขมร ชำวไทข่ำมิได้เรียกตัวเองว่ำไทข่ำ แต่จะเรียกว่ำ พวกบรู ค้ำว่ำ ข่ำ อำจมำ จำก ข้ำทำส ซ่ึงส้ำเนียง ข่ำทำส เนื่องจำกในสมัยรัชกำลท่ี ๔ มีกำรจัดพวกบรูมำเป็นข้ำทำสรับใช้กันมำก จึง เรยี กวำ่ ไทขำ่ ประเพณคี วามเช่อื กำรสู่ขอเพ่ือขอแต่งงำนต้องมีล่ำม ๔ คน (ชำย ๒ หญิง ๒) เทียน ๔ เล่มและเงินหนัก ๕ บำท เม่ือแตง่ งำนตอ้ งมเี หล้ำอุ (เหล้ำไห) ๒ ไห ไก่ ๒ ตัว ไข่ ๘ ฟอง เงินหนัก ๒ บำท หมู ๑ ตัว และก้ำไลเงิน ๑ คู่
กำรท้ำผิดประเพณี (ผิดผี) เช่น ห้ำมลูกสะไภ้เข้ำห้องนอนก่อนผัว ห้ำมลูกสะไภ้รับของจำก พอ่ ผวั หำ้ มลูกเขยที่เข้ำออกในบ้ำนออกจำกห้องหน่ึงไปยังอีกห้องหน่ึง ลูกเขยพกมีดหรือสวมหมวก เขำ้ บ้ำนพ่อตำ หรอื กนิ ข้ำวร่วมกับแม่ยำย กำรผิดจำรีตประเพณี (ผิดผี) เช่นนี ลูกเขยต้องใช้เงิน 5 บำท หมู ๑ ตวั ดอกไม้ ธปู เทียน ๒ คู่ บหุ ร่ีพืนบ้ำนมวนดว้ ยใบตอง ๒ มวน หมำกพลู ๒ ค้ำ น้ำไป คำระวะตอ่ ผี (วิญญำน) ของบรรพบุรษุ ทมี ุมบำ้ นด้ำนตะวนั ออก หรอื ทเ่ี ตำไฟ หำกเป็นลกู สะไภ้ก็ต้อง ใช้ผำขำวม้ำ ๑ ผืน ผ้ำซิ่น ๑ ผืน ดอกไม้ ธูปเทียน ๑ คู่หมำยพลู ๑ ค้ำ บุหร่ีใบตอง ๒ มวน ไปคำรวะต่อผีเชน่ เดียวกนั การแต่งกาย ไทข่ำดังเดิมมักจะมีผิวกำยด้ำคล้ำผมหยิกทังหญิงและชำย ผู้ชำยแต่งกำยด้วยผ้ำเตี่ยวมี ผมม้ำยำวประบ่ำและนิยมใช้ผ้ำแดงผูกคล้องคอหรือสะโพกศีรษะเป็นเอกลักษณ์ ตำมประวัติเล่ำว่ำ เน่ืองจำกบรรพบรุ ษุ ของไทข่ำได้ใช้ผำ้ ชบุ เลอื ดสแี ดงแนบตดิ กำยไวก้ อ่ นสนิ ชวี ิตในกำรต่อสู้แย่งชิงถ่ินท่ี อยู่กับชำวผู้ไทในอดีตในดินแดนทำงฝั่งซ้ำยแม่น้ำโขงไทข่ำจึงถือว่ำผ้ำแดงเป็นเอกลักษณ์ข่ำ ส่วน ผ้หู ญิงนิยมแตง่ กำยด้วยกำรนุ่งผ้ำซิ่นยำวถึงข้อเท้ำแต่เปลือยอกท่อนบน ผู้ชำยไทข่ำเคยมีประวัติว่ำ เปน็ นักรบท่หี ำ้ วหำญมีหน้ำไมพ้ รอ้ มลูกดอกอำบยำพษิ ยำงน่อง (ยำงไมท้ มี่ ยี ำพิษ) วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนไทข่ำ จึงเป็นวิถีดังเดิมและเรียบง่ำย โดยเฉพำะกำรแต่ง กำยเนน้ สีดำ้ แดง ซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณ์ทีโ่ ดดเด่น ในสมัยกอ่ นจงึ นิยมแต่งกำยเป็นผำ้ สีพืน โดยเลือกใชผ้ ้ำ สมุนไพรและไม้มงคล ได้แก่ ไม้คูน ไม้เค็ง ไม้ขนุน บ่งบอกถึงควำม “ค้ำคูณ หนุนน้ำ กล้ำหำญ เข้มแข็ง” ไม้รำชพฤกษ์ หมำยถึง ควำมเป็นใหญ่และมีอ้ำนำจวำสนำ เป็นต้นไม้ของพระรำชำ เป็น ตน้ ไม้ประจ้ำชำติไทย ไมข้ นนุ หมำยถงึ หนนุ ใหด้ ขี นึ ร่้ำรวยขนึ ทำ้ อะไรจะมผี ใู้ หก้ ำรเกือหนุน เป็นบุญ วำสนำ ไม้เค็ง หมำยถงึ ควำมเข้มแขง็ แข็งแรง คงทน เหมือนดงั สีของไม้เค็งน้ำตำลอมแดง
ประวตั คิ วามเป็นมา เป็นชำวไทยตระกูลเดียวกันกับพวกบรู หรือพวกไทข่ำ นัก มนุษย์วิทยำถือว่ำพวกไทโส้เป็นชำติพันธ์ุของมนุษย์ ในกลุ่ม มองโกเลียด์ มีภำษำขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่ำงไปจำก พวกไทยข่ำ แต่ภำษำนันถือว่ำอยู่ในตระกูลออสโตรอำเซียติด สำขำมอญเขมรหรือตะตู ซึ่งสถำบันวิจัยภำษำฯ ของ มหำวิทยำลัยมหิดล ได้รวบรวมไว้บทควำมเรื่องภำษำตระกูล ไทย พวกกะโซ่ซ่ึงอพยพเข้ำมำในสมัยรัชกำลท่ี ๓ ได้ตังขึนเป็น เมืองหลำยเมืองคือเมืองรำมรำช เป็นชำวกะโซ่จำก เมืองเชียง ฮ่ม ในแขวงสุวรรณเขต ตังขึนเป็นเมืองรำมรำช ขึนกับเมือง นครพนม เม่ือ พศ. ๒๓๘๗ โปรดเกล้ำ ฯ ตังให้ท้ำวบัว แห่งเมืองเชียงฮ่ม เป็นเจ้ำเมืองเป็นคนแรก ปจั จบุ ันเปน็ พนื ทีร่ ำมรำชตำ้ บลพระทำย ต้ำบลท่ำจ้ำปำ อ้ำเภอท่ำอุเทน อ้ำเภอโพนสวรรค์ จังหวัด นครพนม นอกจำกนันยังมีชำวไทยโสอยู่ในท้องที่อ้ำเภอปลำปำก จังหวัดนครพนมอีกหลำย ๆ หมู่บ้ำน เช่น ต้ำบลโคกสูง และบ้ำนวังตำมัว ในท้องที่อ้ำเภอเมืองนครพนม ศิลปวัฒนธรรมโส้ ซ่ึงรักษำไว้เป็นเอกลักษณ์ประจ้ำเชือชำติ ท่ีเด่นชัดก็คือ โซ่ทั่งบัง หรือภำษำกะโซ่เรียกว่ำสะลำ เป็นพธิ กี ำรในกำรบวงสรวงวญิ ญำณของบรรพบุรุษประจ้ำปี เผ่ำไทโส้หรือไทกะโซ่ ปัจจุบันเป็นพืนที่ รำมรำช ตำ้ บลพระทำย ต้ำบลทำ่ จำ้ ปำ อ้ำเภอทำ่ อุเทน อำ้ เภอโพนสวรรค์ อ้ำเภอปลำปำก ประเพณีความเช่ือ ศลิ ปวฒั นธรรมของชำวไทยกะโซ่ซึ่งยังรักษำไว้เป็นเอกลักษณ์ประจ้ำเชือชำติเด่นชัดก็ คอื \"โซ่ถ่ังบงั \" หรือภำษำกะโซ่เรียกวำ่ \"สะลำ\" เปน็ พิธีกรรมในกำรบวงสรวงวิญญำณของบรรพบุรุษ ประจำ้ ปหี รอื เรียกขวญั และรักษำคนเจบ็ ปว่ ย กับพิธีกรรม \"ซำงกระมูด\" ในงำนศพ
พิธีกรรม \"โซ่ถั่งบ้ัง\" เป็นพิธีกรรมของชำวกะโซ่ ค้ำว่ำ \"โซ่\" หมำยถึงพวกกะโซ่ ค้ำว่ำ \"ถั่ง\" หมำยถึงกระทุ้งหรือกระแทก ค้ำว่ำ \"บัง\" หมำยถึงบ้องกระบอกไม้ไผ่ โซ่ถ่ังบังก็คือพิธีกรรมใช้ กระบอก ไผย่ ำวประมำณ 3 ปล้อง กระทุ้งดินเป็นจังหวะแล้วมีกำรร่ำยร้ำและร้องไปตำมจังหวะใน พิธีกรรมของชำวกะโซ่ สมเด็จพระเจ้ำบรมวงษ์เธอ กรมพระยำด้ำรงรำชำนุภำพ เสนำบดี กระทรวงมหำดไทย เมื่อครังเสด็จตรวจรำชกำรมณฑลอุดร เม่ือเสด็จถึงเมืองกุสุมำลย์มณฑล (อ. กุสุมำลย์ จ.สกลนคร) เม่ือ พ.ศ.2449 ได้ทรงบันทึกกำรแสดงพิธีกรรมโซ่ถั่งบัง หรือสลำของชำว กะโซ่เมืองกุสุมำลย์มณฑลไว้ว่ำ \"สลำมีหม้อดอนตังกลำงแล้วมีคนต้นบทคนหนึ่ง คนสะพำยหน้ำไม้ และลูกส้ำหรบั ยิงคนหน่งึ คนตฆี ้องเรยี กวำ่ พะเนำะคนหนึ่ง ถอื ไม้ไผส่ ำมปลอ้ งสำ้ หรับกระท้งุ ดนิ เปน็ จังหวะสองคน คนถือชำมสอง มอื ส้ำหรบั ตดิ เทียนร้ำคนหนึ่ง คนถือตระแกรงขำดสองมือส้ำหรับร้ำ คนหนึง่ คนถอื สิ่วหักส้ำหรับเคำะจงั หวะ คนหนง่ึ รวม 8 คน เดินร้องร้ำเป็นวงเวียนไปมำ พอได้พัก หนึ่งกด็ ืม่ อุและรอ้ งร้ำตอ่ ไป…“เครือ่ งดนตรี มีไม้ไผส่ ีสุก ขนำด 1.5 เมตร ครบตำมจ้ำนวนผู้แสดงที่ เป็นชำย ที่จะกระทุ้งให้เกิดเป็นเสียงดนตรี กลองใช้ตีให้จังหวะ ฉิ่ง ฉำบ ซอ ซุง แคน เพื่อให้ ประกอบเสียงดนตรีให้ไพเรำะ และสำมำรถออกท่ำร้ำได้อย่ำงสนุกสนำน เครื่องแต่งกำย เดิมกำร แสดงใช้ผู้ชำยล้วน จะนุ่งหม่ แบบโบรำณ (นุ่งผำ้ เตี่ยว) ไม่สวมเสือ มีอำวุธ เช่นหน้ำไม้ มีเครื่องด่ืมท่ี เปน็ เหล้ำหรืออุ ปัจจุบนั สตรีเขำ้ ร่วมแสดง และมีกำรปรับปรุงกำรแต่งกำย โดยชำยจะใส่เสือผ้ำชุด ผำ้ ฝ้ำย ตดั เยบ็ เปน็ ชดุ ให้เหมือนกนั ผหู้ ญงิ ใช้ผำ้ ซิ่นและใชผ้ ้ำขำวมำ้ รัดหน้ำอกมีผำ้ โผกหัว พิธีซางกระมูด เป็นพิธีกรรมของชำวกะโซ่ก่อนน้ำศพลงจำกเรือน ค้ำว่ำ \"ซำง\" หมำยถึงกำร กระท้ำหรอื กำรจัดระเบยี บ \"กระมูด\" แปลว่ำผี ซำงกระมูดหมำยถึงกำรจัดพิธีเกี่ยวกับคนตำย ชำว กะโซ่ถือว่ำ เมือ่ คนตำยไปแล้วจะเป็นผีดบิ จงึ ต้องกระท้ำพิธีกรรมเสียก่อนเพ่ือให้ผีดิบ และวิญญำณ ของผตู้ ำยได้สงบสุข มฉิ ะนนั อำจท้ำให้ญำติพ่ีน้องของผู้ตำยเจ็บป่วยขึนได้ อุปกรณ์ในพิธีซำงกระมูด ประกอบด้วย ขันโตก (ขนั กระหย่องสำนด้วยไม้ไผ่) สองใบเป็น ภำชนะใส่อุปกรณ์ต่ำงๆ มีไม้ไผ่สำน เปน็ รูปจักจนั่ 4 ตัว (แทนวญิ ญำณผู้ตำย) นอกจำกนนั ยงั มี พำนส้ำหรับยกครู (คำย) ประกอบด้วย ขันธห์ ้ำ คือ เทียน 5 คู่ ดอกไม้สีขำว เช่น ดอกล่ันทม 5 คู่ เหรียญเงิน 12 บำท ไข่ไก่ดิบหน่ึงฟอง ดำลโบรำณหนึ่งเล่ม ขันหมำกหนึ่งขันมีดอกไม้อยู่ในขันหมำก 1 คู่, เทียน 1 คู่พร้อมด้วยบุหรี่และ เทียนส้ำหรับจุดท้ำพิธีอีกเล่มหน่ึง ล่ำมหรือหมอผี จะเป็นผู้กระท้ำพิธีและสอบถำมวิญญำณของ ผ้ตู ำย เมื่อทรำบควำมตอ้ งกำรของวญิ ญำณผตู้ ำยแลว้ ญำตกิ จ็ ะจัดสิง่ ของไว้บวงสรวงดวงวญิ ญำณ
พิธีเหยา ในการรักษาความเจ็บป่วยหรือเรียกขวัญ คล้ายๆ กับพิธีกรรมของชาวอีสานทั่วไป เพ่ือ เปน็ กาลงั ใจใหผ้ ู้ป่วยหรอื การเรยี กขวัญ โดยหมอผีจะทาหน้าท่ีล่ามสอบถามวิญญาณของบรรพบุรุษ ว่าได้ กระทาส่งิ หนง่ึ ส่งิ ใดล่วงเกินในขนบธรรมเนยี มประเพณีไปบ้าง ชาวไทยกะโซ่มีผิวกายดาคลา เช่นเดียวกับ พวกข่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรง กล่าวถึงการแต่งกายของชาวกะโซ่ไว้ในหนังสือเร่อื ง \"เท่ียวท่ีต่างๆ ภาค 4\" เม่ือเสด็จภาคอีสาน เม่ือ พ.ศ. 2449 ไว้ว่า…\"ผหู้ ญิงไวผ้ มสูง นงุ่ ซนิ่ สวมเสอื กระบอกย้อมคราม ห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่งกายอย่างคนเมือง แตเ่ ดิมวา่ นุ่งผา้ เต่ียวไวช้ ายข้างหนา้ ขา้ งหนึง่ …\" วิถชี วี ติ ในการดารงชวี ติ การทาเกษตรกรรมและการประมง การแตง่ กาย ชาย นุ่งโสรง่ สวมเสอื มอ่ ฮอ่ ม คาดเอวดว้ ยผ้าขาวมา้ หรือผา้ ขิด หญิง นุ่งผ้าซิ่นมัดหม่ีตีนจกสีครามเข้มหรือครามนาเงิน สวมเสือแขนกระบอกสีเดียวกับผ้าซ่ิน ห่มสไบขิดหรอื แพรวาสีแดง มวยผม รดั เกล้าด้วยดา้ ยขาว
ประวตั ิความเป็นมา เผ่าไทกะเลิง เป็นชำวกลุ่มน้อยที่เป็นชำติพันธ์ ทำงภำษำกลุ่ม หน่ึง มีถ่ินฐำนเดิมอยู่ทำงฝังซ้ำยแม่น้ำโขง ชนกลุ่มกะเลิงได้ อพยพมำตังอยใู่ นประเทศไทยเมื่อประมำณ ๑๐๐ ปีเศษ ตังแต่ มีกำรปรำบเจำ้ อนุวงศ์ในรัชกำลที่ ๓ และมีกำรอพยพครังใหญ่ ในสมยั รัชกำลท่ี ๕ เมอื่ เกดิ ศกึ กบฏฮอ่ ในปี พ.ศ.๒๔๖๑ ปัจจุบัน มีชนกลุ่มชำติพันธ์กะเลิงในประเทศไทย ที่จังหวัดนครพนม สกลนคร กำฬสินธ์ุ มุกดำหำร มีถ่ินฐำนอยู่ในเขตอ้ำเภอเมือง นครพนม อำ้ เภอท่ำอุเทน อำ้ เภอนำแก อ้ำเภอธำตุพนม อ้ำเภอ เรณู อำ้ เภอปลำปำก วิธีการดาเนนิ ชวี ิตของชาวกะเลิง คือ ยึดถือฮีตสิบสอง ครองสิบสี่ เป็นหลักในกำรด้ำเนิน ชวี ติ และมีคติควำมเช่ือถือในเร่ืองผี นับถือผีมเหสักข์หลักบ้ำน วิญญำณบรรพบุรุษ ผีตำแหก ผีป่ำ ผีเขำ ประเพณีท่ีชำวกะเลิง บ้ำนกุรุคุ จัดท้ำเป็นงำนบุญยิ่งใหญ่ คือ บุญเผวส (เทศน์มหำชำติ) ซ่งึ ๓ ปี จะจดั ใหม้ ขี นึ ครังหนง่ึ เพรำะสินเปลอื งค่ำใช่จ่ำยมำกนอกจำกนกี ็มีประเพณเี ลยี งผีซ่ึงจัดเป็น ประจำ้ ทกุ ปี สมัยก่อนนิยมสักเป็นรูปนกท่ีแก้มดังผญำว่ำ สักนกน้อยงอย แก้มตอดขีตำ สักนกน้อย งอยแกม้ จ่งั งำม ปัจจบุ ันยงั พบชำยชำวกะเลงิ สักลำยที่ขำและตำมตวั บำ้ ง แต่ก็มีกำรสักรูปนกท่ีแก้ม ชำยชำวกะเลิง ในปัจจุบันแต่งกำยเหมือนชำยชำวอีสำนทั่วไป หญิงชำวกะเลิงในสมัยก่อนแต่งกำย โดยนุง่ ผำ้ ซน่ิ มดั หมี่มีเชิง ไม่สวมเสือ ใช้แพเบ่ียงโต่งในเวลำมีงำนปกตินิยมเปลือยหน้ำอกซ่ึงเรียกว่ำ ปละนม ไว้ผมยำว และผมมวยสวมก้ำไลข้อมือ ข้อเท้ำ และตุ้มหูเงิน นิยมทัดดอกไม้ ประเทืองผม ด้วยขมิน ทำหน้ำด้วยหัวกลอยและข้ำวสำร บำงคนนิยมมำถูฟันให้ด้ำงำม สวมรองเท้ำที่ประดิษฐ์ เองใช้วสั ดใุ นทอ้ งถิน่ เชน่ ไม้ หนังสัตว์ กำบหมำก
ประเพณีการแต่งกายของชาวกะเลิง แต่งกำยด้วยเสือผ้ำย้อมครำมทอมือ เย็บด้วยมือ ชำวกะเลิง มวี ฒั นธรรมกำรแตง่ กำย ดงั นี ผ้ำซ่นิ ใชด้ ้ำย ๒ เส้นมำทำ้ เกลียวควบกัน ใช้ทังผ้ำฝ้ำยธรรมดำและผ้ำไหม เป็นผ้ำตีนเต๊ำะ แต่มีเชิงแถบเล็ก ๆ แคบ ๒ นวิ นิยมสีเปลอี กอ้อย เขน็ ดว้ ยด้ำยสีแดง เหลอื งเป็นสำยเล็ก ๆ นอกจำกนียังนิยมใช้ผ้ำฝ้ำยเข็น 2 เส้น ควบกนั เชน่ แดงควบเหลือง น้ำเงินควบขำว เขยี วควบเหลือง ถำ้ ไม่ใช่เปน็ ผ้ำตนี เต๊ำะมกั นุ่งสัน เสือ กะเลิงนิยมแต่งตัวกะทัดรัด เช่น ถ้ำนุ่งซ่ินผ้ำฝ้ำยสัน มักใช้ผ้ำทอพืนบ้ำน เป็นตำสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ คำดอก โพกผ้ำบนศรี ษะ สะพำยกะหยัง ขึนภูเก็บผกั เก็บหญ้ำส่วนกะเลิง ท่ีนุ่งซ่ินยำวคลุมเข่ำมักสวนเคร่ืองประดับ เช่น สรอ้ ยข้อมอื ท้ำด้วยรัตนชำติ หรือดนิ เผำ ใส่ต่ำงหูเป็นห่วงกลม เสือแขนยำวสีขำวเหลืองเก็บชำยเสือคำดเข็มขัด เงนิ เปน็ ชุดทีใ่ ช้ในงำนมงคลตำ่ ง ๆ นับเป็นเคร่ืองแตง่ กำยที่งดงำมทสี่ ดุ ของชำวเผำ่ กะเลิงวัยหนุ่มสำว ส่วนกะเลิง สูงอำยุ มักนุ่งซิ่นลำยด้ำ ขำว แดง สวมเสือแขนกระบอกย้อมครำม ที่สำบเสือมีเหรียญสตำงค์แดงติดเป็นแนว กระดมุ เกล้ำผมสูง การแตง่ กายชนเผ่าไทกะเลิง
ประวัติความเป็นมา ไทอีสาน เป็นประชำกรกลุ่มใหญ่ พูดภำษำไทย-ลำว ภำษำ อีสำน เป็นกล่มุ ผนู้ ้ำทำงด้ำนวฒั นธรรมภำคอสี ำน เชน่ ฮตี คอง ต้ำนำน อักษรศำสตร์ จำรีตประเพณี นิยมตังหมู่บ้ำนเป็นกลุ่ม บนท่ีดอนเรียกตำมภำษำท้องถ่ินว่ำ \"โนน\" ยึดท้ำเลกำรท้ำนำ เป็นส้ำคัญ อำศัยอยู่ทั่วไป เร่ืองถิ่นเดิมของชำติพันธุ์ลำวมี แนวคดิ ๒ อย่ำง ซึ่งก็มเี หตุผลสนบั สนุนพอ ๆ กนั คอื ๑. ถิ่นเดิมของลำวอยู่ท่อี สี ำนนเ่ี อง ไมไ่ ดอ้ พยพมำจำกไหน ถ้ำเหมำว่ำคนบ้ำนเชียงคือลำว ก็แสดงว่ำลำว มำตังหลกั แหล่งท่บี ำ้ นเชยี งมำกกวำ่ ๕,๖๐๐ ปีมำแล้ว เพรำะอำยหุ มอ้ บำ้ นเชยี งที่พสิ จู น์โดยวิธคี ำรบ์ อน ๑๔ บอก วำ่ หมอ้ บ้ำนเชียงอำยุเก่ำแก่ถึง ๕,๖๐๐ ปี กว่ำคนบ้ำนเชียงจะเริ่มตีหม้อใช้ในครัวเรือน ก็ต้องสร้ำงบ้ำนเรือนอยู่ อำศัยก่อนหน้ำนันแล้ว แนวควำมคิดนียังบอกอีกว่ำนอกจำกลำวจะอยู่อีสำนแล้ว ยังกระจำยไปอยู่ที่อ่ืนอีก เช่น เวยี ดนำม จนี ญ่ีปนุ่ ยโุ รป แลว้ ขำ้ มไปอเมริกำเปน็ พวกอินเดียนแดง ๒. ถน่ิ เดมิ ของลำวอยู่ท่ีอสี ำนและมมี ำจำกที่อ่นื ด้วย แนวคดิ นเี ชอ่ื ว่ำ คนอสี ำนนำ่ จะมอี ยู่แล้วในดินแดนท่ี เรียกว่ำ “อีสำน” หรือส่วนหน่ึงของสุวรรณภูมิ โดยประมำณ ๑๐,๐๐๐ ปีท่ีผ่ำนมำ นักมำนุษยวิทยำ และนัก ประวัติศำสตรไ์ ด้สันนษิ ฐำนว่ำได้มกี ำรอพยพของพวกละวำ้ หรอื ข่ำลงมำอยู่ในแดนสุวรรณภูมินับเป็นคนพวกแรก ทเ่ี ขำ้ มำ พอเข้ำมำอยสู่ วุ รรณภูมิกแ็ บ่งเป็นอำณำจกั รใหญ่ ๆ ๓ อำณำจักร คือ อำณำจักรทวำรวดี ซึ่งมีนครปฐม เป็นรำชธำนี มีอำณำเขตถึงเมืองละโว้(ลพบุรี) อำณำจักรที่สองคือโยนก เมืองหลวงได้แก่เมืองเงินยำง หรือเชียง แสน มีเขตแดนขึนไปถึงเมืองชะเลียงและเมืองเขิน อำณำจักรที่สำมคือโคตรบูร ได้แก่บรรดำชำวข่ำที่มำสร้ำง อำณำจักรในลุ่มน้ำโขง มเี มอื งหลวงอยู่ที่เมอื งโคตรบูรณ์ ซึ่งอยู่ทำงฝ่ังซ้ำยของแม่น้ำโขงจำกแนวคิดที่ ๒ จะเห็น ว่ำในค้ำรวมที่นักมำนุษยวิทยำ และ นักประวัติศำสตร์เรียกว่ำ “คนอีสำน” นันน่ำจะมีคนหลำยกลุ่มหลำยชำติ พันธปุ์ ะปนกันอย่แู ละในหลำยกลมุ่ นันน่ำจะมีกลุ่มชำตพิ ันธ์ุ ลำว อยูด่ ้วย
วถิ ชี ีวติ ในการดารงชีวิต เกี่ยวกับกำรทำ้ เกษตรกรรม ประมง และกำรใช้เครื่องมอื ในกำรดักสตั ว์น้ำ ประเพณีความเช่ือ ดา้ นศาสนาและความเชื่อ ชำวไทยลำว ยดึ มน่ั ในจำรีตประเพณี ด้ำเนินชีวิตตำม \"ฮีตสิบสอง\" (คือกิจกรรมประเพณีใน รอบ 12 เดอื น) นับถือศำสนำพุทธแบบชำวบำ้ น คือ พทุ ธศำสนำที่ปรบั เข้ำกับจำรีตของชำวบ้ำนมุ่งที่ จะส่ังสอนให้เป็นพลเมืองดี มำกกว่ำท่ีจะสอนให้ละโลกีย์ไปสู่นิพพำน ตำมปรัชญำพุทธศำสนำ นอกจำกนยี งั นบั ถือผีบรรพบุรุษ ผฟี ้ำ ผีแถน รวมทงั ผีไร่นำ ฯลฯ โดยเฉพำะผีบรรพบุรุษยังมีอิทธิพล ต่อสังคมมำก น่ันคือ ผีปู่ตำ ทุกชุมชนในชนบทจะมีศำลเจ้ำปู่ตำ (ตูบปู่ตำ) ประจ้ำหมู่บ้ำน และมี ต้ำแหน่งเฒำ่ จำ้ หรือหมอจำ้ เปน็ ผทู้ ่ีตดิ ต่อกบั วิญญำณ เฒำ่ จ้ำจะเป็นผู้ท่ีชำวบ้ำนให้ควำมเคำรพนับ ถือมำกผหู้ น่ึง
ด้านการตั้งถนิ่ ฐาน กำรตงั ภมู ลิ ำ้ เนำของกลุ่มไทยลำวจะกระจัดกระจำยอยู่ท่ัวไป โดยเฉพำะตอนบนของภำคนับตังแต่ หนองคำย หนองบัวล้ำภู อุดรธำนี สกลนคร นครพนม กำฬสินธุ์ มหำสำรคำม ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลรำชธำนี เลย มุกดำหำร อ้ำนำจเจริญ และบำงอ้ำเภอ ของ จ.ศรีสะเกษ สุรินทร์ (อ.รัตนบุรี) นครรำชสีมำ (อ.บัวใหญ่ อ.สูงเนิน อ.ปักธงชัย) บุรีรัมย์ (อ.พุทไธสง) นิยมตังหมู่บ้ำนเป็นกลุ่มบนท่ีดอน เรียกตำมภำษำท้องถ่ินว่ำ \"โนน\" โดยยึดท้ำเลกำรท้ำนำเป็นส้ำคัญ นั่นคือ บริเวณรอบหมู่บ้ำน จะมีท่ีรำบ ลมุ่ กวำ้ งใหญ่ มหี นองนำ้ หรือลำ้ น้ำเล็กๆ ท่มี ีน้ำส้ำหรบั บริโภคในฤดูแล้ง ไม่ห่ำงไกลหมู่บ้ำนจะมีป่ำละเมำะ สำธำรณประโยชน์ ซึ่งใชพ้ ืนทปี่ ล่อยวัว ควำยในฤดทู ำ้ นำ และเปน็ แหลง่ เก็บพืชผกั ป่ำอีกด้วย ด้านการสรา้ งบา้ นเรอื น หม่บู ้ำนชำวไทยลำว จะตงั อยตู่ ิดแมน่ ำ้ แวดล้อมด้วยสวนมะพร้ำว และนำขำ้ ว ตัวบ้ำนสร้ำง จำกไม้ไผ่ ยกพืนสูง มีบันไดอยู่ด้ำนหน้ำ บนเรือนจะกันเป็นห้องนอน และพืนที่ท้ำงำน ใต้ถุนบ้ำนใช้ เปน็ ทีเ่ ก็บเครอ่ื งมอื ทำ้ นำท้ำไร และใชเ้ ลยี งสตั ว์ ส่วนยงุ้ ข้ำวจะปลูกอยูห่ ำ่ งจำก ตัวเรอื นออกไป ชำวอีสำนสร้ำงเรือนเพ่ืออยู่อำศัย จึงไม่ประณีตบรรจงมำกนัก นั่นคือผู้มีฐำนะขนำดปำน กลำงจะสรำ้ งบำ้ นเรือนทม่ี ขี นำด 2 ห้องนอน คอื ห้องส้วม (ห้องลูกสำว และห้องหอ) และห้องเปิง (หอ้ งหวั หน้ำครอบครัวและไว้หิงผี ที่เรียกว่ำ \"ห้องฮักษำ\") มีส่วนที่เช่ือมต่อห้องนอนของลูกสำวกับ เครือญำติ เป็นชำนโล่ง (ไม่มีหลังคำ) ติดต่อกับครัว ซ่ึงส่วนใหญ่จะมีขนำดเล็ก ลักษณะเป็นบ้ำนใต้ ถนุ สงู เพอื่ ท้ำกิจกรรม เชน่ ทอผ้ำ เกบ็ เคร่ืองมอื ท้ำนำ และให้ววั ควำยนอนสว่ นหน่ึง
การแต่งกายของชนชาติไท-ลาว ผู้ชาย เมื่ออยู่กับบ้ำนจะนุ่งกำงเกงขำก๊วยสัน สวมเสือม่อฮ่อม แขนสัน คำดผ้ำขำวม้ำ ตำตำรำง เมื่อออกไปนอกบำ้ นเพือ่ รว่ มงำนบุญ จะนุ่งโสร่ง สวมเสอื คอกลมแขนสนั มผี ้ำขำวม้ำคล้อง คอ ผหู้ ญิง จะนงุ่ ซน่ิ นิยมนงุ่ ซ่นิ ผ้ำฝำ้ ยมำแตเ่ ดมิ และพัฒนำผ้ำฝ้ำยเป็นกำรทอผ้ำมัดหมี่ลวดลำย ต่ำงๆ ผ้ำซ่ิน ไม่มีเชิงทังที่เป็นผ้ำเข็น(ทอ) และผ้ำมัดหม่ีฝ้ำย หรือไหม เสือแบบเสือของชนเผ่ำไทย ลำว แม้จะเปน็ เสือย้อมสีน้ำเงนิ แก่ แบบเสอื คล้ำยกับชนเผ่ำอนื่ ๆ แตเ่ น่ืองจำกเปน็ ชนเผำ่ ท่ีกระจำยอยู่ ในท่ีต่ำงๆ และรับเอำวฒั นธรรมจำกภำคกลำงไดร้ วดเร็ว จึงท้ำให้เผ่ำไทยลำว มีแบบเสือแตกต่ำงไป จำกชนเผ่ำอื่นๆ เช่น เสือแขนกระบอก คือ ทอจำกผ้ำแพรตกแต่งให้มีจีบมีระบำย แขนกระบอกผ้ำ ฝ้ำยย้อมครำม หรือมัดหม่ี กลุ่มท่ีแต่งกำยแบบดังเดิมจริงๆ นิยมแต่งด้วยผ้ำย้อมครำมทังเสือและ ผ้ำซ่ิน กำรพฒั นำกำรของกำรทอผำ้ มดั หมี่ ทำ้ ให้ไทยลำว ใน ปัจจบุ นั สำมำรถทอผำ้ ลำยหมคี่ ่นั หลำยสี เช่น สีเหลอื ง สีแดง และนิยมสีฉดู ฉำด นอกจำกนีชำวเผ่ำไทยลำวยังนิยมทอผ้ำห่ม ผำ้ จ่องลวดลำยสวยงำม ซ่ึงสำมำรถปรบั แต่งมำเปน็ ผำ้ สไบโชว์ ลวดลำยของผ้ำประกอบเสอื ผำ้ ไดเ้ ปน็ อย่ำงดี เคร่ืองประดับของชำวเผ่ำไทยลำว นิยมเคร่ืองเงิน เช่นเดียวกับกลุ่มอ่ืน นอกจำกเครื่องเงิน ยังนิยมสวมสร้อยท่ี เป็นรัตนชำติ สอดชำยเสือในซิ่นหม่ีไหม คำดด้วยเข็มขัดเงิน จุดเด่นอีกประกำรหนึ่งของชนเผ่ำไทยลำว คือ กำรนิยม ผำ้ ขำวม้ำทังชำยและหญงิ ผำ้ ขำวมำ้ ท่งี ดงำมคอื ผ้ำไส้ปลำไหล มีสีเขียว-แดง-เหลือง ตำมแนวยำว สำมำรถคัดแปลงเป็นผ้ำ คลอ้ งคอ ผำ้ สไบของสตรีในกำรเสรมิ แตง่ กำยใหง้ ดงำมขึน
ประวตั คิ วามเปน็ มา ชนเผ่ำไทกวน ปัจจุบันอำศัยอยู่ในพืนท่ีบ้ำนนำถ่อน ต้ำบลนำ ถ่อน อ้ำเภอธำตุพนม ชนเผ่ำไทกวนอพยพจำกสิบสองจุไท ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ มกี ำรอพยพครังส้ำคัญ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มของขุนบรมมำตังเมืองท่ีมำนำน้อยอ้อยหนูหรือเมืองแถง ส่วนปู่แสนบำงนำงแสนเก้ำได้อพยพมำทำงใต้และตังเมือง ปุงลิงเมืองวังค้ำอยู่ที่บริเวณเซนอย หรือเซบังไฟอันท่ีรำบหุบ ระหว่ำงหบุ ขำที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งชำวบ้ำนเรียกว่ำ \"กวน\" ค้ำว่ำ กวนในที่นีหมำยถงึ ชำวไทพวนท่ีอพยพลงมำตงั ชมุ ชน เม่ือเวลำ ผ่ำนไปค้ำว่ำ \"ไทพวน“ จงึ เพยี นมำเปน็ \"ไทกวน\" วัฒนธรรมและความเชื่อชนเผ่าไทกวน นับถือผีบรรพบุรุษ โดยในวันท่ี 25 ตุลำคม ของทุกปี จะมีพิธีกำรร้ำบวงสรวง ศำลปู่ตำแสง เพื่อปกปักรักษำคนในชุมชน นอกจำกนียังมี วฒั นธรรมกำรฟอ้ นรำ้ ไทกวน โดยเลยี นแบบท่ำจำกสัตว์ ได้แก่ ชำ้ งขึนภู งูเล่นหำง กวำงโชวเ์ ขำ เสือ ออกเหล่ำ เตำออกลำย ควำยตังท่ำ ม้ำออกศึก ระทึกกระทิงเปลี่ยวขับเคี่ยวขบวนลิง สิงห์ค้ำรำม ในด้ำนวฒั นธรรมทำงภำษำ ภำษำพดู ของชนเผำ่ ไทกวนมคี วำมคลำ้ ยคลึงกับภำษำผู้ไท จะใช้สระโอะ แทนสระออ เช่น อีโพ๊ะ หมำยถึง พ่อ พรำ้ โก๊ะ หมำยถงึ มีดโต้ เฮำ, โต๋ หมำยถึง เรำ, ท่ำน ความเชอ่ื เก่ยี วกบั ผสี างเทวดา พระภูมิเจา้ ท่ี ก่อนทีจ่ ะมีกำรตงั บ้ำนเรือนจะมีกำรน้ำหมอ ธรรม มำท้ำพิธีตังศำลพระภูมิ ท้ำกระทงบัดพลี เพื่อประกอบพิธีสะเดำะเครำะห์ พิธีกรรมในกำร รกั ษำ มีหมอเหยำในกำรรกั ษำ และควำมเชื่อดำ้ นสงิ่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ทำงบรรพบุรษุ วิญญำณ ไสยศำสตร์
ภูมิปัญญาและการประกอบอาชีพ ส่วนมำกแล้วชำวไทกวนประกอบอำชีพ เกษตรกรรม ท้ำนำ เลียงสัตว์ เลียงโค และตี เหล็ก เมื่อเสร็จจำกหน้ำนำ ผู้หญิงก็จะมำช่วย ผู้ชำยตีเหล็ก และยังมีกลุ่มทอผ้ำ กลุ่มจักสำน กลุ่มท้ำแหนม และกลุ่มท้ำขนมจีนที่ไม่ใช้แป้งแต่ ใช้ขำ้ วหมกั แทน กำรตีเหล็ก ท้ำมีดพร้ำ ของชำวไทกวน บ้ำนนำถ่อน จังหวัดนครพนม มีประวัติเล่ำว่ำ ขุนพินิจแสนเสร็จ เห็นว่ำหลังหน้ำฤดูท้ำนำแล้ว ชำวบ้ำนไม่มีอะไรจะท้ำจึงไปติดต่อบำทหลวงซำ เวียร์ชำวฝรั่งเศส จำกเมืองเชียงหวำง แขวงค้ำ ม่วน ประเทศลำว มำสอนชำวบ้ำนตีเหล็กจน ชำ้ นำญ ปัจจุบันกลำยเป็นอำชีพอุตสำหกรรมใน ครัวเรือน และเป็นสญั ลกั ษณ์ของต้ำบลนำถ่อนไป ด้วย การแต่งกาย ชาย สวมเสือสีเหลือง นุ่งโสร่ง ใช้ผ้ำ แพรขำวม้ำมัดเอว หญิง สวมเสอื แขนกระบอกสีด้ำแต่งของ เสือด้วยผำ้ สเี หลอื ง ทก่ี ระดมุ เงินมสี ำยคลอ้ งเป็น คู่ๆ พันเอวดว้ ยเขม็ ขัดเงิน น่งุ ซิ่นสีสีด้ำยำวกรอม เทำ้ ไหลค่ ล้องพำดสไบสีเหลือง ผมเกล้ำมวยมัด มวยผมและสวมเคร่อื งประดับเงิน
ชำวไทยเชือสำยจีนในจังหวัดนครพนม บรรพบุรุษอพยพมำ จำกจังหวัดแต้จ๋ิว จำกเมืองซัวเถำ มณกลกวำงตุ้ง ทำงตอน ใต้ของชำวไทยเชือสำยจีน ประเทศจีนอพยพมำทำงเรือ ผ่ำน มหำสมทุ รแปชิฟิค เป็นแรมเดือน จึงเข้ำมำอำศัยในประเทศ ไทย เม่ือเข้ำมำอยู่อำศยั กจ็ ะแตง่ งำนกับผู้หญิงไทยกลำยเป็น ค่ำนิยม ในสมัยนันท้ำให้กำรสืบเชือสำยเป็นคนไทยเชือสำย จีนสืบต่อเนื่องมำจนถึงปัจจุบัน มีกำรรวมกลุ่มพ่อค้ำจีนใน จังหวัดนครพนม ตังเป็น \"สมำคมพ่อค้ำจีน\" ควำมสัมพันธ์ ระหวำ่ งชำวไทยกับชำวจนี เป็นไปด้วยดีมำโดยตลอด เมือ่ ปี พศ. ๒๔๙๐ สมำคมพอ่ คำ้ จนี ได้เรม่ิ กอ่ ตังสถำนศกึ ษำ ชื่อ \"โรงเรยี นตงเจ่ีย\" ขึนเพ่ือให้ ลูกหลำนชำวจีนไดม้ โี อกำสเรยี นรู้ภำษำจนี เพมิ่ เตมิ จำกภำษำไทยท่ีเป็นภำษำบังคับต้องเรียนรู้อยู่แล้ว ด้ำนวัฒนธรรม ชำวไทยเชือสำยจนี จะได้รับกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรมประเพณีบำงอย่ำงมำจำกบรรพ บุรุษ ได้แก่ กำรประกอบพิธีดังเดิมตำมควำมเช่ือ เช่น เทศกำลตรุษจีน วันไหว้พระจันทร์ วัน สำร์ ทจนี วนั เช็งเมง้ เทศกำลกนิ เจ จัดสมโภชเจ้ำพ่อหม่ืน เจ้ำพ่อค้ำแดง เจ้ำพ่อสัมมำติ เจ้ำพ่อสิบสอง เปน็ ตน้ แตข่ ณะเดยี วกันก็ถูกหล่อหลอมจำกวัฒนธรรมไทย ท้ำให้มีกำรผสมผสำนสองวัฒนธรรมได้ อยำ่ งกลมกลนื
จังหวัดนครพนมมีชำวเวียดนำมอพยพเข้ำมำ เพรำะจังหวัด นครพนมมีพรมแดนติดกับอินโดจีน มีกลุ่มชำวเวียดนำมเข้ำมำ อำศยั อยกู่ ระจำยในหลำย ๆ พืนที่ มีกำรอพยพเข้ำมำดังนี ยุค ที่ ๑ ชำวเวียดนำมนับถือศำสนำคริสต์ เข้ำมำปลำยศตวรรษที่ ๑๘ ส่วนมำกจะอยู่ในบ้ำนหนองแสง กลุ่มนีมำจำกภำคกลำง ประเทศเวียดนำม ได้แก่ จังหวัดฮำต่ิง (HA Tinh) และเงอัน (Nghe An) ยุคท่ี ๒ ช่วงปลำยศตวรรษท่ี ๑๙ และต้น ศตวรรษท่ี ๒ กำรตอ่ ต้ำนฝร่งั เศสในประเทศเวียดนำมทวีควำม รุนแรงมำกขึนขบวนกำรรักชำติได้เกิดขึนหลำยขบวนกำรใน ช่วงเวลำนันยคุ ที่ ๓ ปี ค.ศ. ๑๙๔๖ หลงั สงครำมโลกท่ี ๒ ชำว เวียดนำมจำ้ นวนมำกตอ้ งอพยพหนีภัยสงครำมมำตังหลักแหล่ง ในประเทศไทย ทำงกำรไทยเรียกว่ำพวกญวนอพยพ ส่วนมำก อำศัยอยู่ในตัวเมืองจังหวัดนครพนม บำงส่วนก็อำศัยอยู่บ้ำน ดอนโมง บ้ำนหนองแสง บ้ำนนำจอก และบริเวณหลังวดั ศรีเทพ ชำวเวียดนำมกลุ่มนีส่วนมำกมำจำกภำคเหนือประเทศเวียดนำมได้แก่ จังหวัดนำมด่ิง (Nam dinh) จังหวัดนิงบ่ิง (Ninh binh) จังหวัดเชินเตีย (Son tay) และบำงส่วนมำจำกภำคกลำงประเทศ เวียดนำม และปัจจบุ นั ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ชำวเวียดนำมอำศยั อยใู่ นจังหวัดนครพนมประมำณ ๑,๔๐๐ ครัวเรือน มีประชำกรจำ้ นวน ๘,๐๐๐ คน ท่ำนประธำนโฮจิมินห์ ได้เข้ำมำพ้ำนักที่จังหวัดนครพนมใน กลำงปี ค.ศ. ๑๙๒๘ ได้พักอำศัยอยู่หลำยพืนท่ี พักอำศัยนำนท่ีสุดก็คือบ้ำนนำจอก หรือบ้ำนใหม่ (Ban May) ซึ่งปจั จบุ ันเป็นหมู่บำ้ นมติ รภำพ ไทย - เวียดนำม มพี ิพธิ ภณั ฑแ์ ละอนุสรณส์ ถำนโฮจิมินห์ เปน็ แหล่งท่องเที่ยวทีน่ ิยมสำ้ หรบั ชำวเวียดนำมท่เี ดินทำงมำในจังหวดั นครพนม และในประเทศไทย
E-book มานครพนมชม 3 ท่ีสดุ .//สบื คน้ เมือ่ 27 พฤษภาคม 2564 จาก https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/ attraction/detail/itemid/22985 วัฒนธรรม 8 ชนเผ่า 2 เช้อื ชาติ //สืบคน้ เมื่อ 27 พฤษภาคม 2564 จาก http://www2.nakhonphanom.go.th/files/ com_news_devpro1/2019-08_edcee3072aadc07.pdf 8 ชนเผา่ 2 เชอ้ื ชาติ //สืบค้นเมอื่ 27 พฤษภาคม 2564 จาก https://sanukland.com/
ศนู ย์วิทยาศาสตรเ์ พื่อการศกึ ษานครพนม 355 หมู่ 6 ตาบลหนองญาติ อาเภอเมอื ง จังหวดั นครพนม 48000 โทรศัพท์ 042-530780 โทรสาร 042-530781 https://www.nkpsci.ac.th/
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: