Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงาน สรุป PBL กลุ่มที่ 1

รายงาน สรุป PBL กลุ่มที่ 1

Description: สรุปการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning ) กลุ่มที่ 1

Search

Read the Text Version

1

สมาชิกกลมุ่ PBL ๑ 2 ผบต.๓๐ รนุ่ ท่ี ๒ ปี ๒๕๖๔ วิทยาลยั การสาธารณสุขสิรนิ ธร จงั หวดั ยะลา นายวัชรชัย คารว์ เลขท่ี ๓๐ นายนซิ มั ซมั มาหเิ ละ เลขที่ ๑๖ นางแซงซเี ยาะ วาโซะ เลขที่ ๖ นางวาสนา จิตรสวาท เลขที่ ๓๑ นางสาวต่วนนรุ มา หะมะ เลขที่ ๑๐ นางสาวคนึงนจิ คงกลอ่ ม เลขที่ ๓ นางสุภาพร พรหมทอง เลขท่ี ๓๕ นายณฏั ฐศ์ ักด์ิ ศรีบุรมย์ เลขท่ี ๘

3 คำนำ รายงานเรื่องการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั (Problem–based Learning: PBL) เป็นวิธีการเรียนรู้ วิธีหนึ่ง ที่มีรูปแบบการเรียนรู้ โดยการนำปัญหามาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นรูปแบบการ เรียนรู้ ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ใหม่ จากการใชป้ ญั หาที่เกิดข้ึนจริงในโลกเป็นบริบทของการเรียนรู้ (Learning Context) เพ่ือให้ผู้เรียน เกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหา รวมทั้งได้ความรู้ตามศาสตร์ในสิ่งที่ตนศึกษาไปพร้อมกันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทางานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการแก้ไข ปัญหาเป็นหลัก ถ้ามองในแง่ของยุทธศาสตร์การสอน PBL เป็นเทคนิคการสอน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง เผชญิ หน้ากับปญั หาด้วยตนเอง จะทำใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ ึกทกั ษะในการคดิ หลายรูปแบบ เช่น การ คิดวิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) จะเน้นที่การกำหนดสิ่งที่จะเรียนรู้และกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ใหม่เพื่ออธิบายปัญหาที่พบ หวัง เป็นอยา่ งย่งิ ว่ารายงานฉบบั น้ีจะใหค้ วามรู้ และเปน็ ประโยชนแ์ ก่ผสู้ นใจทกุ ท่าน ผู้จดั ทำ สงิ หาคม ๒๕๖๔

4 สารบญั หน้า บทนำ ๑ ขน้ั ตอนท่ี ๑ ทำความเข้าใจในความหมายของคำหรอื ประโยคตา่ งๆ ใน Trigger ๒ ขน้ั ตอนที่ ๒ ค้นหาปัญหาและกำหนดปญั หาให้ชัดเจน (Problem Identification) ๒ ขั้นตอนท่ี ๓ วิเคราะห์ปญั หาเพอื่ หาสาเหตุของปัญหาและต้ังสมมตุ ฐิ าน ๒ ขนั้ ตอนท่ี ๔ ให้ขอ้ มลู เพิม่ เตมิ โดยวทิ ยากรพ่ีเลี้ยง ๓ ขน้ั ตอนที่ ๕ วิเคราะห์หาสาเหตุทแี่ ท้จรงิ ของปัญหา ๓ ขน้ั ตอนท่ี ๖ กำหนดวัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓ ขนั้ ตอนที่ ๗ ศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตอนเอง (Active Learning) และจากวทิ ยากร หรือผรู้ ู้ (Passive Learning) ๓ ขนั้ ตอนท่ี ๘ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ระหวา่ งสมาชกิ และกลุ่ม / สรุปเนื้อหาและประสบการณเ์ รียนรู้ ๓ บทเรียนท่ีได้จากการเขา้ กล่มุ PBL วนั ท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ๔ บทเรียนทไี่ ด้จากการเข้ากลมุ่ PBL วนั ที่ ๙ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ๔ บทเรยี นท่ไี ดจ้ ากการเข้ากลุ่ม PBL วันที่ ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ๔ การศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตอนเอง (Active Learning) และจากวทิ ยากร หรือผูร้ ู้ (Passive Learning) ๕ การนำความรู้ท่ีได้มาประยุกต์ใชใ้ นการพิสจู น์ ๕ สรปุ ผลการศกึ ษา ๖ เอกสารอา้ งอิง ๑๑ ภาคผนวก - สรุปรายงานการประชุม คณะกรรมการกลมุ่ ที่ ๑ รุ่นที่ ๓๐/๒ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ๑๓ - สรุปรายงานการประชุม คณะกรรมการกลมุ่ ท่ี ๑ รุ่นที่ ๓๐/๒ ครง้ั ท่ี ๒/๒๕๖๔ ๑๕ - สรุปรายงานการประชมุ คณะกรรมการกลมุ่ ที่ ๑ รุ่นที่ ๓๐/๒ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ ๑๖ - พระราชบัญญัติการจดั ซื้อจัดจา้ งและการบรหิ ารพัสดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑๗ -การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหนว่ ยงานในสงั กัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๒๕ - พระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ และท่แี กไ้ ขเพม่ิ เติม ๒๙ - กฎหมายทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การทจุ ริตในภาครฐั ๓๐ - บทบาทของผ้บู ริหารในการตดั สนิ ใจแก้ปญั หาภายในองค์กร ๓๕ - พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ ๓๘ - พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔๐ - กฎหมายอาญา : ความผิดต่อตำแหนง่ หน้าท่ีราชการ ๔๒ - ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พ.ศ.๒๕๖๔ : การจา้ งทำของ ๔๓

1 บทนำ การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั (Problem Based Learning ) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning ) หรือ PBL หมายถึง กระบวนการ เรียน การสอนซึ่งใช้ตัวปัญหา (Problem) เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะค้นคว้าหาข้อมูลและองค์ความรู้ มาช่วยแก้ปัญหา มองเห็นแนวทางแก้ไขทำให้เกิดการเรียนรู้และสามารถที่จะผสมผสานความรู้นั้นๆ ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเรียนรู้เน้นการพัฒนาด้วยตนเอง ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบ PBL จะได้ผลดีเมื่อเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย ไม่เกิน ๑๕ คน โดยสมาชิกแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ทีห่ ลากหลายกนั วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นหลกั เพอื่ พฒั นาผูเ้ รียนด้าน ๑) พฒั นาสมรรถนะกระบวนการ เรียนรู้ตลอดชีวิต ๒) พัฒนาสมรรถนะในการแก้ปัญหา ๓) พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ๔) พฒั นาทักษะกระบวนการกลุ่มของผูเ้ รียน กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL เริ่มต้นจาก“ปัญหา”หรือ “Trigger” สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการ เรียนรู้ให้ผู้เรียนใช้ในการดำเนินการแก้ปัญหาและศึกษาค้นคว้าจนเกิดการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์ มี ๙ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ ทำความเข้าใจในความหมายต่างๆใน Trigger โดยอาศัยความรู้พื้นฐานของสมาชิกภายใน กลุ่มหรือจากเอกสารตำรา ขั้นตอนที่ ๒ ค้นหาปัญหาและกำหนดปัญหาให้ชัดเจน โดยต้องเข้าใจปัญหา ที่ถูกต้องสอดคล้องกัน ขั้นตอนที่ ๓ วิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาสาเหตุและตั้งสมมติฐาน ขั้นตอนที่ ๔ ให้ข้อมูล เพิ่มเติมโดยวิทยากร ซึ่งขั้นตอนที่ ๓ และ ๔ การวิเคราะห์ปัญหาโดยความรู้เดิมของผู้เรียน ขั้นตอนท่ี ๕ วิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา (Real cause of Problem) จากสมมุติฐานต่างๆ ที่ได้นำมาพิจารณา จัดลำดับความสำคัญ โดยการสนบั สนนุ จากข้อมูลและความรู้จากสมาชิกภายในกลุ่ม เพ่ือสรุปประเด็นสำคัญที่ เป็นปัญหาท่แี ท้จรงิ และมคี วามสำคัญที่ตอ้ งแสวงหาข้อมลู เพิ่มเติม ขัน้ ตอนที่ ๖ กำหนดวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ (Set Learning Objective) ขั้นตอนที่ ๗ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ขั้นตอนที่ ๘ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง สมาชิกและกลุ่ม (Exchange Knowledge among Members and Groups) และขั้นตอนที่ ๙ การนำเสนอ รายงานการค้นคว้า (Presentation skills) นำเสนอผลการศึกษาแต่ละกลุ่ม นำเสนอเพื่อให้สมาชิกใน หอ้ งเรยี นรับทราบรว่ มกนั การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยในครั้งนี้ ไดร้ ับโจทย์ปญั หาท่ี ๑ ดังนี้ หากท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบางกุ้ง และได้รับงบประมาณก่อสร้าง บ้านพกั ทดแทนบ้านพักเดมิ ท่ชี ำรุดทรุดโทรมแล้วโดยมีผชู้ ว่ ยสาธารณสุขอำเภอเป็นประธานกรรมการตรวจการ จา้ งและทา่ นในฐานะผู้ทตี่ อ้ งใชป้ ระโยชน์จากบ้านพักตอ่ ไปเปน็ กรรมการรว่ ม ตลอดการสร้างผู้รับเหมาคู่สัญญาเอาใจใส่การทำงานเป็นอย่างดีและมีสัมพันธภาพท่ี ดีกับเจ้าหน้าที่ซึ่ง อาศัยอยูใ่ นบ้านพักในบริเวณสถานีอนามัยเดียวกัน เคยขอใหช้ ่วยซ่อมประปาไฟฟ้าเล็กๆน้อยๆท่ีบ้านพักหรือบน อาคารทำการสถานีก็กุลีกุจอทำให้โดยไม่เกี่ยงงอนและไม่คิดค่าใช้จ่าย เมื่องานก่อสร้างเสร็จสิ้นนัดวันตรวจการ จ้างงวดสุดท้ายแล้วผู้รับเหมาจึงบอกท่านว่าได้ตกลงกับประธานการจ้างเปลี่ยนรายละเอียดบางประการของ สขุ ภัณฑ์ห้องสุขาและระบบไฟฟ้า เนอื่ งจากวัสดุครภุ ัณฑ์บางรายการหาซ้ือในท้องตลาดได้ยาก จึงขอเปล่ียนเป็น ของท่หี าซื้อไดง้ ่ายกว่าแทนโดยที่คุณภาพการใช้งานไม่ต่างกันและประธานกรรมการการตรวจการจ้างก็เห็นชอบ ด้วยทัง้ น้ีถา้ ท่านไมข่ ัดขอ้ งผู้รบั เหมากย็ นิ ดีมอบสินนำ้ ใจเลก็ ๆน้อยๆให้ท่านเปน็ การตอบแทน “ ทา่ นมีความคิดเห็นอย่างไรและตดั สินใจดำเนินการเรอื่ งน้ตี อ่ ไปอย่างไร ”

2 ขนั้ ตอนที่ ๑ ทำความเขา้ ใจในความหมายของคำหรอื ประโยคต่างๆ ใน Trigger สรปุ คำศัพทท์ ่ีได้ 1. ระเบยี บการจดั ซื้อ / จัดจา้ ง 2. สญั ญาจ้าง 3. สินน้ำใจ 4. ผรู้ บั เหมา 5. คณะกรรมการตรวจรบั 6. สัมพันธภาพ ขั้นตอนท่ี ๒ ค้นหาปญั หาและกำหนดปญั หาใหช้ ัดเจน (Problem Identification) ปัญหาท่ีพบ ๑. ไดบ้ า้ นพกั ไม่ตรงตามแบบแปลนท่ีระบใุ นสญั ญาจา้ ง ๒. ผอ.รพ.สต. ไมท่ ราบข้อมูลในการเปล่ียนแปลงวัสดคุ รภุ ัณฑ์ ๓. ผ้รู บั เหมาพยายามโนม้ นา้ วกรรมการตรวจรบั ใหเ้ ซน็ รับงาน ขน้ั ตอนที่ ๓ วเิ คราะห์ปญั หาเพือ่ หาสาเหตุของปญั หาและตงั้ สมมุติฐาน สาเหตขุ องปญั หา - ผรู้ ับเหมามีการเปลย่ี นแปลงรายละเอยี ดของสขุ ภัณฑห์ ้องสขุ า และระบบไฟฟ้า - ไมม่ ีการแจ้งเกี่ยวกบั การเปลย่ี นแปลงครุภัณฑใ์ ห้กรรมการตรวจรับงานจา้ งทราบ (ผอ.รพ.สต.) สมมุติฐาน - ผ้รู ับเหมาเจตนาผดิ สญั ญาจ้าง - ประธานกรรมการตรวจรบั พัสดอุ าจจะขาดความร้คู วามเขา้ ใจเรอื่ งระเบียบการจัดซื้อจัดจา้ งภาครัฐ - ผรู้ บั เหมามีเจตนาส่อทจุ ริต โดยเสนอมอบสินน้ำใจให้กรรมการตรวจรบั งานจ้าง - ประธานกรรมการตรวจรับพสั ดุ บกพร่องต่อคุณธรรม จริยธรรมและระเบียบวนิ ยั ของข้าราชการ รูปที่ ๑ แผนภูมกิ า้ งปลา แสดงการวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา

3 ขน้ั ตอนที่ ๔ ให้ข้อมลู เพ่มิ เติมโดยวิทยากรพเ่ี ลี้ยง - ขน้ั ตอนที่ ๕ วิเคราะห์หาสาเหตุทแ่ี ทจ้ รงิ ของปญั หา บา้ นพกั ไม่ตรงตามแบบแปลนทร่ี ะบุในสญั ญาจา้ ง เพราะ ผู้รับเหมามีการเปลีย่ นแปลงรายละเอยี ด ของสุขภณั ฑ์หอ้ งสุขา และระบบไฟฟา้ ขัน้ ตอนที่ ๖ กำหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. เพอื่ ศกึ ษาพระราชบัญญัติการจดั ซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐ ๒. เพ่ือศึกษาคุณธรรมและความโปรง่ ใสในการดำเนนิ งานของหนว่ ยงานภาครัฐ ๓. เพอื่ ศกึ ษาพระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ.๒๕๕๑ ๔. เพอื่ ศึกษากฎหมายท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการทจุ รติ ในภาครฐั ๕. เพอ่ื ศึกษาบทบาทของผบู้ ริหารในการตัดสินใจแกป้ ัญหาภายในองค์กร ข้นั ตอนท่ี ๗ ศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตอนเอง (Active Learning) และจากวิทยากร หรือผู้รู้ (Passive Learning) คำศพั ท์ PBL ระเบยี บการจัดซ้ือ / จัดจา้ ง หมายถงึ ระเบยี บกระทรวงการคลัง วา่ ด้วยการจัดซอื้ จัดจา้ งและการบริหารพัสดุ ภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ สัญญาจ้าง หมายถึง สัญญาการจ้างงาน คือสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เป็นการกำหนดหรือ เป็นตกลงเกี่ยวกบั สิทธิและหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง นายจ้าง = จะต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างตลอดเวลาท่ี ลกู จ้างทำงานให้ จะไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหนก็และแต่จะตกลงกัน สินนำ้ ใจ หมายถึง เงินหรือทรพั ยท์ ใี่ หเ้ ปน็ รางวัล ผรู้ บั เหมา หมายถึง ผชู้ นะการประกวดราคา หรอื ผู้ทเ่ี จา้ ของงาน (ผู้วา่ จ้าง) เลือกใหเ้ ปน็ ผทู้ ำงานกอ่ สรา้ งตามท่ี ระบไุ วเ้ อกสารสญั ญา คณะกรรมการตรวจรับ หมายถึง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของผู้ใช้พัสดุนั้น หรือสถานที่ ซึ่ง กำหนดไวใ้ นสัญญาหรือขอ้ ตกลงการตรวจรบั พัสดุ สัมพันธภาพ หมายถึง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล อันจะทำให้เกิดความรัก ความนับถือ และความ รว่ มมือ ขน้ั ตอนท่ี ๘ แลกเปล่ียนเรียนรู้ระหวา่ งสมาชกิ และกล่มุ / สรปุ เน้อื หาและประสบการณ์เรียนรู้ บทเรียนทีไ่ ด้จากการเข้ากลุ่ม PBL วันที่ ๕ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ๑. การสร้างขอ้ ตกลง / หลักการทำงานรว่ มกัน ก่อนการเรยี นรผู้ า่ นกระบวนการกลุ่ม ๒. การทำความเข้าใจกบั Trigger การค้นหาปญั หาและการกำหนดปญั หา ๓. การสร้างความรู้ ความเข้าใจของสมาชกิ ในการหาปญั หา (Trigger) เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. แลกเปล่ยี นเรียนรจู้ ากโจทย์ปญั หา เปิดใจการรับฟังและยอมรบั ความคดิ เหน็ ของสมาชกิ ในกลุม่ ๕. ใชห้ ลักสนุ ทรยี สนทนาในการทำกลุ่มย่อยรว่ มกนั ๖. มกี ารกระต้นุ สมาชกิ ใหเ้ กิดการแลกเปลยี่ นเรยี นรูใ้ นกลุ่ม ภายใต้กตกิ ากลมุ่

4 ๗. มกี ารเรยี นรู้ โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ดงั น้ัน การวิเคราะห์หารากเหง้าของปัญหา (Root Cause Analysis : RCA) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การที่จะได้มาซึ่งรากเหง้าของปัญหา สมาชิกกลุ่มต้องมีส่วนร่วม ใช้ความรู้ และประสบการณใ์ นการแลกเปล่ียนเรียนรู้รว่ มกัน มีการสรุปเมื่อมคี วามคิดเห็นทหี่ ลากหลาย ๘. เรียนร้ปู ัญหาและตงั้ สมติฐานจากโจทย์ โดยอาจารย์พ่ีเลยี้ งประจำกล่มุ ใหข้ ้อเสนอแนะ ๙. วางแผนการสืบคน้ ข้อมลู ตามวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ มอบหมายการรับผดิ ชอบ ดังน้ี ๙.๑ เรอ่ื ง พระราชบัญญตั ิการจัดซ้ือจัดจา้ งและการบริหารพสั ดุภาครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐ โดย - นางสภุ าพร พรหมทอง ๙.๒ เรอื่ ง ศึกษาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนนิ งานของหนว่ ยงานภาครัฐ โดย - นางสาวคนึงนิจ คงกล่อม - นายนซิ ัมซมั มาหเิ ละ ๙.๓ เรอ่ื ง พระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ.๒๕๕๑ โดย - นายวชั รชยั คารว์ - นางแซงซีเยาะ วาโซะ ๙.๔ เร่ือง กฎหมายทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การทจุ ริตในภาครฐั โดย - นางวาสนา จิตรสวาท - นางสาวต่วนนุรมา หะมะ ๙.๕ เรื่อง บทบาทของผบู้ รหิ ารในการตดั สินใจแกป้ ญั หาภายในองค์กร โดย - นายณฏั ฐ์ศักด์ิ ศรบี รุ มย์ บทเรียนท่ไี ดจ้ ากการเขา้ กล่มุ PBL วนั ท่ี ๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ ๑. การร่วม แรงรว่ มใจ ความสามัคคี ความรบั ผดิ ชอบตามภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมาย เพื่อใหไ้ ด้ขอ้ มูล ครบถว้ นตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ๒. มีการมอบหมายงานที่เหมาะสมกบั ความร้คู วามสามารถของสมาชกิ กล่มุ ส่งผลให้การสืบคน้ สำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ สมาชกิ กลุ่มมีความภาคภูมใิ จในการมีส่วนรว่ ม ๓. ได้ฝึกทักษะการสืบค้นข้อมูล จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่อง การวิเคราะห์ และสงั เคราะหข์ อ้ มลู เพือ่ การนำไปใช้ให้เหมาะสมกับวัตถปุ ระสงค์การเรยี นร้ขู องกลุ่ม ๔. จากการสืบค้นข้อมูล พบว่า บทบาทสำคัญของผู้บริหารอีกด้านที่ควรพัฒนา คือ ความรู้/ ทักษะ ดา้ น IT และการใช้สารสนเทศทน่ี ่าเชื่อถอื บทเรียนทไี่ ดจ้ ากการเข้ากลุม่ PBL วันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ๑. ไดเ้ รยี นรู้การวิเคราะหส์ งั เคราะห์ข้อมูลที่ไดจ้ ากการไปศึกษา เพอ่ื นำมาตอบโจทยก์ ารเรียและตอบ สมมติฐานทีต่ ้ังไวด้ ้วยกระบวนการกลุ่มและการทำงานร่วมกันเป็นทมี ๒. กำหนดแนวทางในการแกป้ ัญหาของโจทย์ที่ได้รับรว่ มกนั อย่างมีเหตุผลและใช้หลักสุนทรียสนทนา และหลักความเปน็ ประชาธิปไตย

5 การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตอนเอง (Active Learning) และจากวิทยากร หรอื ผูร้ ู้ (Passive Learning) วางแผนการสบื ค้นข้อมูล ตามวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ มอบหมายการรับผดิ ชอบ ดังนี้ 1. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐ มอบหมายให้นางสุภาพร พรหมทอง 2. คุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ มอบหมายให้นางสาวคนึงนิจ คงกล่อม และนายนิซมั ซัม มาหเิ ละ 3. พระราชบัญญัติ ระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ และทแี่ กไ้ ขเพิ่มเตมิ มอบหมายให้นายวัชรชัย คารว์ และนางแซงซีเยาะ วาโซะ 4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในภาครัฐ มอบหมายให้นางวาสนา จิตรสวาท และนางสาวต่วนนุรมา หะมะ 5. บทบาทของผบู้ ริหารในการตัดสนิ ใจแก้ปญั หาภายในองค์กร มอบหมายให้นายณฏั ฐศ์ กั ดิ์ ศรบี ุรมย์ การนำความรทู้ ไ่ี ดม้ าประยกุ ตใ์ ช้ในการพสิ จู น์/ ลม้ ล้างสมมตุ ิฐานท่ตี ้งั ไว้ และสรปุ เป็นหลักการทจ่ี ะนำไปใช้ 1. H๑ ผรู้ ับเหมาเจตนาผิดสญั ญาจ้าง 2. H๒ ผูร้ ับเหมาอาจจะขาดความรคู้ วามเข้าใจเร่ืองระเบียบการจดั ซอ้ื จดั จา้ งภาครฐั 3. H๓ ประธานกรรมการตรวจรับพัสดุอาจจะขาดความรูค้ วามเขา้ ใจเรือ่ งระเบียบการจัดซือ้ จดั จ้างภาครฐั 4. H๔ ผรู้ บั เหมามสี มั พนั ธภาพท่ีดกี ับเจา้ หน้าท่ี รพ.สตทำให้เสี่ยงตอ่ การทุจริตคอรัปช่นั 5. H๕ ผู้รบั เหมามเี จตนาส่อทุจริตคอรปั ชั่นโดยเสนอมอบสนิ น้ำใจใหก้ รรมการตรวจรับงานจ้าง 6. H๖ ประธานกรรมการตรวจรับพสั ดุ บกพร่องต่อคุณธรรม จรยิ ธรรมและระเบียบวินยั ของขา้ ราชการ H๒ ผรู้ บั เหมาอาจจะขาดความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองระเบยี บการจดั ซือ้ จดั จ้างภาครฐั  H๒ จะอ้างไม่ไดเ้ พราะในการทำสญั ญาคู่สัญญาต้องศึกษาทำความเข้าใจในระเบยี บการจดั ซ้ือจัดจา้ ง ภาครัฐ H๔ ผู้รับเหมามีสมั พันธภาพท่ีดีกบั เจา้ หน้าท่ี รพ.สต. ทำใหเ้ ส่ียงตอ่ การทุจริตคอรัปช่ัน  สัมพนั ธภาพทด่ี ีไมจ่ ำเป็นต้องทำการทจุ ริตคอรัปชั่นเสมอไป

6 สรปุ ผลการศกึ ษา สมมุติฐาน : ผ้รู บั เหมาเจตนาผิดสญั ญาจา้ ง วัตถุประสงค์ : - เพื่อศึกษากฎหมายแพง่ และพาณิชย์ หัวขอ้ การทำนติ ิกรรมสัญญา - พระราชบญั ญัติการจดั ซ้ือจดั จา้ งและการบรหิ ารพัสดภุ าครฐั พ.ศ.๒๕๖๐ การวเิ คราะห์เปรียบเทียบกรณีศกึ ษาสมมตุ ิฐาน ประธานกรรมการตรวจรับละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ เนื่องจากเห็นชอบด้วยกับผู้รับเหมา ในเรื่องการเปลี่ยนรายละเอียดบางประการ ของสุขภัณฑห์ ้องสขุ าและระบบไฟฟ้า ผู้รับเหมาอาจมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเป็น อย่างดี มีสัมพันธภาพที่ดีกับเจ้าหน้าที่ เคยช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ซ่อมประปาไฟฟ้าที่บ้านพัก หรืออาคารทำ การสถานีอนามัยโดยไม่เกี่ยงงอนและไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่เมื่อการก่อสร้างเสร็จในวันนัดตรวจการจ้างงวด สุดท้าย ผู้รับเหมากลับบอกว่าได้ตกลงกับประธานตรวจการจ้าง ในการเปลี่ยนรายละเอียดบางประการของ สุขภัณฑ์ห้องสุขาและระบบไฟฟ้า และประธานกรรมการได้เห็นชอบด้วยกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบาง รายการนี้ พร้อมเสนอว่าหากถ้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลซึ่งเป็นกรรมการ ร่วมในการ ตรวจการจ้างครั้งนี้ไม่ขัดข้อง ผู้รับเหมาก็ยินดีมอบสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กรรมการเป็นการตอบแทน แสดงให้ เห็นว่าผู้รบั เหมามเี จตนาทุจรติ ด้วยการโนม้ น้าวว่าจะมอบสินน้ำใจเป็นการตอบแทน

7 สมมุติฐาน : ประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุอาจจะขาดความรูค้ วามเขา้ ใจเรื่องระเบียบการจัดซ้ือจัดจา้ ง ภาครฐั วัตถปุ ระสงค์ : - เพอ่ื ศกึ ษาพระราชบญั ญัติการจัดซอ้ื จดั จ้างและการบรหิ ารพัสดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ - เพือ่ ศึกษาระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจดั ซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ การวิเคราะห์เปรยี บเทียบกรณศี กึ ษาสมมตุ ิฐาน ในกรณศี ึกษาพบวา่ ผชู้ ว่ ยสาธารณสุขอำเภอในฐานะท่เี ปน็ ประธานกรรมการตรวจการจา้ งการก่อสร้าง บ้านพักโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางกุ้ง ต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหาร พัสดุ แต่ประธานกรรมการตรวจการจ้างกลับเห็นชอบด้วยกับผู้รับเหมาในการเปลี่ยนรายละเอียดบางรายการ ของสุขภัณฑ์ห้องสขุ าและระบบไฟฟ้าโดยไมไ่ ด้แจ้งกรรมการตรวจรับงานจ้างท่านอืน่ ทราบ และไม่ได้นำขอ้ มูล หรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างมาประกอบการพิจารณาว่า สมควรเปลี่ยนรายละเอียดบาง ประการของสุขภัณฑ์ห้องสุขาและระบบไฟฟ้าได้หรือไม่ ซึ่งสามารถทำได้แต่ ต้องนำเข้าพิจารณาร่วมกับ คณะกรรมการท่านอื่น แสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างตาม พระราชบญั ญัตกิ ารจดั ซื้อจดั จา้ งและการบรหิ ารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ และระเบยี บกระทรวงการคลังว่าด้วย การจดั ซ้ือจดั จา้ งและการบรหิ ารพัสดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐

8 สมมตุ ิฐาน : ผูร้ บั เหมามีเจตนาสอ่ ทุจริตคอรัปชน่ั โดยเสนอมอบสินน้ำใจให้กรรมการตรวจรับ วตั ถุประสงค์ : - คุณธรรมและความโปรง่ ใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ - พระราชบัญญตั ิ ระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ - ศกึ ษากฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการทุจรติ ในภาครัฐ - ศึกษาบทบาทของผ้บู ริหารในการตดั สนิ ใจแก้ปัญหาภายในองค์กร การวเิ คราะห์เปรยี บเทียบกรณีศึกษาสมมตุ ิฐาน ในกรณีศึกษาพบว่าจากเหตุการณ์นี้มีข้อสังเกตว่าผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอในฐานะที่เป็นประธาน กรรมการตรวจ การจ้างและผู้รับเหมาก่อสร้างมีพฤติกรรมสอ่ เจตนาทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยการละเลย ไม่ปฏิบัติตามระเบยี บการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ อาจมี ผลประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากในวันนัดการตรวจการจา้ งงวดสุดท้าย ประธานกรรมการตรวจการจ้างเห็นชอบ กับผ้รู บั เหมาในการเปลี่ยนรายละเอียดบางประการของสุขภณั ฑ์ห้องสุขาและระบบไฟฟา้ ที่หาซ้ือในท้องตลาด ไดย้ าก เป็นของท่ีหาซือ้ ได้ง่ายกว่าแทนและผูร้ บั เหมาก็ยินดีมอบสนิ นำ้ ใจให้กรรมการตรวจรบั เปน็ การตอบแทน การกระทำดงั กล่าวอาจเปน็ การทุจรติ และประพฤติมชิ อบกอ่ ทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อทางราชการ โดยบคุ คล ที่เป็นข้าราชการ ควรมีคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติงาน และยึดปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ ด้วยความ ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต

9 สมมุติฐาน : ประธานกรรมการตรวจรับพัสดุบกพร่องต่อคุณธรรม จริยธรรม และระเบยี บวนิ ยั ข้าราชการ วัตถปุ ระสงค์ : - คณุ ธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครฐั - พระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ.๒๕๕๑ การวเิ คราะห์เปรยี บเทียบกรณศี กึ ษาสมมตุ ิฐาน ในกรณีศึกษาพบว่า จากเหตุการณ์น้ีประธานกรรมการตรวจการจ้างบกพร่องต่อคุณธรรมจริยธรรม ข้าราชการ เนื่องจากผู้รับเหมาเสนอมอบสินน้ำใจให้ ซึ่งตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๓ เจ้าหน้าที่ของรัฐจะรับทรัพย์สินได้ เมื่อการรับ ทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อ่ืนใดเป็นโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซ่ึงการรับทรพั ยส์ นิ ในกรณีน้ีอาจจะ เรียกว่า “สินน้ำใจ” ดังนั้นการรับสินน้ำใจ เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดด้วย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลย หรือไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการรับทรัพย์สินนั้น เป็นเรื่อง สินน้ำใจหรือสินบนแล้วจะทำให้เจ้าหน้าที่ผูน้ ั้นปฏบิ ัติผิดกฎหมายและมีโทษต่อเจ้าหน้าที่ของรฐั ผูร้ ับทรัพยส์ ิน นั้นด้วย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ที่เป็นการฝ่าฝืนการรับทรัพย์สินฯ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา ๑๐๓ จะต้องรับโทษ ตามมาตรา ๑๒๒ และผู้ใดให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐฯ เพื่อจูงใจ ให้กระทำการหรอื ไม่กระทำการ ตามทก่ี ำหนดไวใ้ นมาตรา ๑๒...

10 สรปุ ปญั หาหลักที่พบและแนวทางการแกไ้ ข ๑. บ้านพักไม่ตรงตามแบบแปลนที่ราชการกำหนดในสัญญาจ้างเกิดได้จากผู้รับเหมาเจตนาทุจริตผิด สัญญาจ้างโดยการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดวัสดุครภุ ัณฑ์ห้องสุขาและระบบไฟฟ้ารวมถึงมีการเสนอติดสินบน ขา้ ราชการซง่ึ เป็นกรรมการตรวจรบั ๒. การปอ้ งกันการผิดสญั ญาจ้างและการทจุ รติ คอรปั ชั่นของข้าราชการทำไดโ้ ดย ๒.๑ จัดทำสัญญาจ้างให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒.๒ หากพบการทำผิดสัญญาจ้างห้ามทำการตรวจรับ ควรแจ้งเรื่องไปยังหัวหน้าในระดับที่ สูงขึ้นไป คือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับผู้รับเหมาที่ผิดสัญญา และตดิ สนิ บนกรรมการตรวจรบั ๓. หากตรวจสอบพบว่ามีข้าราชการรับสินบนให้ดำเนินการลงโทษตามระเบียบพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔. ให้นิติกรประจำหน่วยงานจัดทำคู่มือบริหารสัญญาจา้ งก่อสร้างเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ในแตล่ ะขนั้ ตอนใหถ้ กู ต้องตามกฎหมาย ๕. แต่งตง้ั คณะกรรมการพิจารณาความเสียหาย ตรวจสอบสญั ญา เชญิ คู่สญั ญามาสอบถามขอ้ เท็จจริง พิจารณาค่าเสียหายและกำหนดวงเงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ทำรายงานเสนอต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ถ้าวงเงินค่าเสียหายเกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำรายงานความเห็นเสนอกระทรวงการคลัง เพือ่ พิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบทัง้ นีห้ ลกั เกณฑ์วธิ ีการรายงานใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ ระทรวงการคลงั กำหนด หากท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางกุ้งท่านมีความคิดเห็นอย่างไร และจะ ตัดสนิ ใจดำเนนิ การในเร่ืองนต้ี ่อไปอยา่ งไร ๑. ศึกษาพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และดำเนินการตามขั้นตอน อย่างเคร่งครดั เพ่ือป้องกนั ความเสยี หายจะเกดิ ข้ึนกบั สว่ นราชการ ๒. มติทปี่ ระชุมเหน็ ว่า ไม่ตรวจรับงานในงวดสุดทา้ ย ๓. ทำรายงานถึงผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยงานเพื่อรับทราบ (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด) และแก้ไขตามลำดบั ขนั้ ตอน

11 เอกสารอ้างอิง กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการตรวจสอบและประเมินผลระบบการควบคุมภายใน (Internal Control Audit) กลมุ่ ตรวจสอบภายในระดับกระทรวง. กระทรวงสาธารณสุข: นนทบุรี. กระทรวงสาธารณสุข. หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องการพิจารณาให้คุณหรือให้โทษต่อบุคลากรในหน่วยงาน กลุ่มเสริมสร้าง วินยั และระบบคุณธรรม สำนกั บริหารงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข. สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ จาก https://discipline.ops.moph.go.th/ ราชกิจจานุเบกษา. (๒๕๖๒). พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพ่ิมเติม. สบื คน้ เมอ่ื วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔ จาก https://moc.go.th/index.php/๒๐๑๕-๑๒-๐๕-๐๗-๐๔- ๕๗ ราชกิจจานุเบกษา. (๒๕๖๐). พระราชบญั ญัติการจัดซ้อื จัดจ้างและการบริหารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐. สืบค้นเมอ่ื วนั ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ จาก https://yotathai.app.box.com/s/k๔vpx๑ ccmtcquc๘x๖i๕๑ ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารตอ่ ต้านการทุจรติ กระทรวงสาธารณสุข. (๒๕๖๓). คู่มอื MOPH ITA ๒๐๒๑ : OPEN DATA TO TRANSPARENCY ผู้ตรวจประเมิน EBIT ระดับจังหวัดและระดับเขตสุขภาพ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔. กระทรวงสาธารณสุข: นนทบุรี.

12 ภาคผนวก

13 สรปุ รายงานการประชุม คณะกรรมการกล่มุ ที่ ๑ รุ่นที่ ๓๐/๒ ครั้งท่ี ๑/๒๕๖๔ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๓๐ น. รายชื่อผู้เขา้ ร่วมประชุม คารว์ นกั วิชาการสาธารณสขุ ชำนาญการ ประธานกรรมการ ๑. นายวชั รชัย หะมะ ๒. นางสาวตว่ นนุรมา วาโซะ นักวชิ าการสาธารณสุขชำนาญการ กรรมการ ๓. นางแซงซีเยาะ จติ รสวาท ๔. นางวาสนา คงกล่อม พยาบาลวชิ าชพี ชำนาญการ กรรมการ ๕. นางสาวคนงึ นิจ มาหเิ ละ ๖. นายนซิ ัมซัม พรหมทอง นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชำนาญการ กรรมการ ๗. นางสภุ าพร ศรบี รุ มย์ ๘. นายณัฏฐ์ศกั ด์ิ นกั เทคนคิ การแพทยช์ ำนาญการ กรรมการ นกั รังสีการแพทย์ชำนาญการ กรรมการ นักจัดการงานทัว่ ไปปฏบิ ตั กิ าร กรรมการและเลขานกุ าร เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงา กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานกุ าร อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาประจำกลุ่ม สงิ ห์กุล ๑. เภสชั กร อวิรุทธ์ พงศเ์ กษตร ๒. ดร.อัญชลี มอหะหมัด ๓. อ.กนกกร บริรกั ษ์ ๔. อ.เจตน์วชิ ยุตม์ ระเบยี บวาระท่ี ๑ เรื่องประธานแจ้งเพ่ือทราบ ๑. ท่านประธานนำเสนอโจทย์ปัญหาที่ได้รับให้กับสมาชิกได้รับฟังร่วมกัน และสรุปผลการประชุม PBL ใหท้ กุ ท่านทราบ ๑. กำหนดกตกิ ากลุม่ โดยทา่ นใดจะนำเสนอข้อมลู หรือข้อคิดเห็น ใหย้ กมอื ขน้ึ ระเบียบวาระท่ี ๒ เรื่องรบั รองรายงานการประชุมครั้งท่ีแล้ว ไม่มี ระเบียบวาระที่ ๓ เร่อื งสืบเนือ่ งและติดตาม ไมม่ ี ระเบยี บวาระที่ ๔ เร่ืองแจ้งท่ีประชุมเพอ่ื พจิ ารณา ไม่มี ระเบยี บวาระท่ี ๕ เรอ่ื งแจ้งทีป่ ระชุมเพ่ือทราบ นัดหมายเพื่อเข้ากลุ่ม PBL โดยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองในการสืบค้นข้อมูล มอบหมายหัวข้อใน การค้นหาข้อมลู ๑. เรอ่ื ง พระราชบัญญัติการจัดซอ้ื จดั จ้างและการบริหารพัสดภุ าครฐั พ.ศ.๒๕๖๐ โดย - นางสุภาพร พรหมทอง ๒. เร่อื ง ศึกษาคณุ ธรรมและความโปร่งใสในการดำเนนิ งานของหนว่ ยงานภาครฐั โดย - นางสาวคนึงนิจ คงกลอ่ ม - นายนิซมั ซมั มาหิเละ

14 ๓. เรอ่ื ง พระราชบัญญัติ ระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ.๒๕๕๑ โดย - นายวัชรชัย คารว์ - นางแซงซเี ยาะ วาโซะ ๔. เรอ่ื ง กฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องกบั การทจุ รติ ในภาครฐั โดย - นางวาสนา จติ รสวาท - นางสาวตว่ นนุรมา หะมะ ๕. เรอ่ื ง บทบาทของผู้บริหารในการตดั สินใจแก้ปัญหาภายในองค์กร โดย - นายณัฏฐศ์ ักดิ์ ศรบี ุรมย์ ปิดประชมุ เวลา ๑๖.๐๐ น. (ลงชือ่ ) นายณฏั ฐศ์ ักดิ์ ศรบี รุ มย์ จดรายงานการประชุม เจา้ พนกั งานสาธารณสุขชำนาญงาน

15 สรุปรายงานการประชุม คณะกรรมการกลมุ่ ที่ ๑ รุ่นท่ี ๓๐/๒ คร้ังท่ี ๒/๒๕๖๔ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. – ๑๖.๐๐ น. รายชอื่ ผู้เข้ารว่ มประชุม คารว์ นักวิชาการสาธารณสขุ ชำนาญการ ประธานกรรมการ ๑. นายวชั รชัย หะมะ ๒. นางสาวตว่ นนุรมา วาโซะ นกั วชิ าการสาธารณสุขชำนาญการ กรรมการ ๓. นางแซงซเี ยาะ จติ รสวาท ๔. นางวาสนา คงกลอ่ ม พยาบาลวิชาชพี ชำนาญการ กรรมการ ๕. นางสาวคนงึ นิจ มาหิเละ ๖. นายนซิ ัมซมั พรหมทอง นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชำนาญการ กรรมการ ๗. นางสภุ าพร ศรีบุรมย์ นักเทคนิคการแพทยช์ ำนาญการ กรรมการ รายชอื่ ผู้ไมเ่ ข้าร่วมประชุม ๑. นายณัฏฐศ์ กั ดิ์ สงิ ห์กุล นักรังสีการแพทย์ชำนาญการ กรรมการ พงศ์เกษตร อาจารยท์ ่ีปรึกษาประจำกล่มุ มอหะหมัด นักจัดการงานทว่ั ไปปฏบิ ตั กิ าร กรรมการและเลขานุการ ๑. เภสชั กร อวิรุทธ์ บริรักษ์ ๒. ดร.อัญชลี เจ้าพนกั งานสาธารณสุขชำนาญงาน ลากิจ ๓. อ.กนกกร ๔. อ.เจตน์วิชยตุ ม์ ระเบยี บวาระท่ี ๑ เรื่องประธานแจง้ เพอื่ ทราบ ๑. ประธานนำเสนอโจทย์ปัญหาที่ได้รับให้กับสมาชิกได้รับฟังร่วมกัน และสรุปผลการประชุมจาก PBL ๑ ใหท้ ีป่ ระชุมทราบเพอ่ื แกไ้ ขจากทไี่ ด้นำเสนอในวันท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ๒. ให้ทกุ คนสามารถแสดงความคดิ เห็นในรายละเอียดทแี่ ก้ไขรว่ มกนั ระเบียบวาระท่ี ๒ เร่ืองรบั รองรายงานการประชมุ ครั้งทแี่ ลว้ มติทีป่ ระชมุ รับรองรายงานการประชมุ วนั ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ ระเบียบวาระท่ี ๓ เรือ่ งสืบเนื่องและติดตาม การสืบค้นงานตามท่มี อบหมาย ระเบียบวาระท่ี ๔ เรอื่ งแจ้งที่ประชมุ เพ่ือพจิ ารณา ไม่มี ระเบยี บวาระท่ี ๕ เรอ่ื งแจง้ ทีป่ ระชมุ เพ่ือทราบ นัดหมายเพ่ือเขา้ กลมุ่ PBL ๓ โดยการศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองในการสืบค้นข้อมลู วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ตามหัวขอ้ ทีท่ กุ คนไดไ้ ปในครั้งก่อน เพือ่ เรยี บเรยี งเน้ือหาใหมอ่ ีกรอบ ปิดประชุม เวลา ๑๖.๐๐ น. (ลงชือ่ ) นางสภุ าพร พรหมทอง ผู้จดรายงานการประชมุ นักจัดการงานทวั่ ไปปฏบิ ัตกิ าร

16 สรุปรายงานการประชุม คณะกรรมการกลุม่ ที่ ๑ รุ่นที่ ๓๐/๒ ครง้ั ที่ ๓/๒๕๖๔ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. รายชือ่ ผเู้ ข้าร่วมประชุม คารว์ นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชำนาญการ ประธานกรรมการ ๑. นายวัชรชัย หะมะ ๒. นางสาวต่วนนรุ มา วาโซะ นักวิชาการสาธารณสขุ ชำนาญการ กรรมการ ๓. นางแซงซเี ยาะ จิตรสวาท ๔. นางวาสนา คงกล่อม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ กรรมการ ๕. นางสาวคนึงนิจ มาหิเละ ๖. นายนิซมั ซัม พรหมทอง นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กรรมการ ๗. นางสภุ าพร ศรีบุรมย์ ๘. นายณัฏฐ์ศกั ดิ์ นกั เทคนคิ การแพทยช์ ำนาญการ กรรมการ สงิ ห์กุล อาจารยท์ ปี่ รึกษาประจำกลมุ่ พงศ์เกษตร นักรงั สีการแพทย์ชำนาญการ กรรมการ ๑. เภสชั กร อวริ ทุ ธ์ มอหะหมัด ๒. ดร.อญั ชลี บรริ กั ษ์ นักจัดการงานท่วั ไปปฏิบตั ิการ กรรมการและเลขานกุ าร ๓. อ.กนกกร ๔. อ.เจตนว์ ชิ ยตุ ม์ เจา้ พนักงานสาธารณสุขชำนาญงา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ระเบยี บวาระที่ ๑ เรอ่ื งประธานแจ้งเพือ่ ทราบ ๑. ประธานนำเสนอโจทย์ปัญหาที่ได้รับให้กับสมาชิกได้รับฟังร่วมกัน และสรุปผลการประชุมจาก PBL ๑ ให้ที่ประชุมทราบเพื่อแก้ไขจากที่ได้นำเสนอในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เพื่อทบทวนและแก้ไขร่วมกัน ๒. ให้ทุกคนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในรายละเอยี ดที่แก้ไขร่วมกัน ระเบียบวาระท่ี ๒ เร่ืองรบั รองรายงานการประชมุ คร้งั ท่แี ลว้ มติทปี่ ระชุม รับรองรายงานการประชุม วนั ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ระเบียบวาระที่ ๓ เร่ืองสืบเนื่องและตดิ ตาม การสบื คน้ งานเพ่อื เพ่มิ เตมิ ในบางส่วน ระเบียบวาระที่ ๔ เร่ืองแจง้ ท่ปี ระชมุ เพื่อพจิ ารณา มอบหมายใหน้ ายณฏั ฐศ์ กั ด์ิ ศรบี รุ มยเ์ ป็นผนู้ ำเสนอ และจัดทำขอ้ มลู นำเสนอ ระเบียบวาระท่ี ๕ เร่ืองแจง้ ทีป่ ระชุมเพือ่ ทราบ นัดหมายเพ่ือวางแผนและนำเสนอในกลุ่ม ผบต.๓๐/๒ กลุ่มใหญ่ต่อไป เพื่อให้อาจารย์และเพ่ือนรว่ ม ชัน้ เรียนช่วยกันวพิ ากษ์ เพอ่ื นำปญั หาทีไ่ ดไ้ ปปรับปรุงแกไ้ ขตอ่ ไป ปิดประชุม เวลา ๑๖.๐๐ น. (ลงชอื่ ) นายณฏั ฐ์ศกั ดิ์ ศรีบรุ มย์ จดรายงานการประชมุ เจ้าพนกั งานสาธารณสขุ ชำนาญงาน

17 พระราชบัญญัตกิ ารจดั ซอ้ื จดั จ้างและการบรหิ ารพัสดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ หมวด ๖ การจัดซอ้ื จดั จ้าง มาตรา ๕๔ บทบัญญัติในหมวดนี้ให้ใช้บังคับกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ยกเว้นงานจ้างที่ปรึกษา และ งานจา้ งออกแบบหรอื ควบคุมงานก่อสร้าง มาตรา ๕๕ การจัดซอื้ จัดจ้างพัสดุอาจกระทําไดโ้ ดยวธิ ี ดังตอ่ ไปน้ี (๑) วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ได้แก่ การที่หน่วยงานของรัฐเชิญชวนผู้ประกอบกา รทั่วไปที่มี คุณสมบตั ิตรงตามเงือ่ นไขทีห่ นว่ ยงานของรัฐกําหนดให้เข้ายน่ื ข้อเสนอ (๒) วิธีคัดเลือก ได้แก่ การที่หน่วยงานของรัฐเชิญชวนเฉพาะผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติ ตรงตาม เงื่อนไขที่หน่วยงานของรัฐกําหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสามรายให้เข้ายื่นข้อเสนอ เว้นแต่ในงานนั้ น มี ผู้ประกอบการทีม่ คี ณุ สมบัติตรงตามที่กําหนดนอ้ ยกว่าสามราย (๓) วิธีเฉพาะเจาะจง ได้แก่ การที่หน่วยงานของรัฐเชิญชวนผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติ ตรงตาม เงื่อนไขที่หน่วยงานของรัฐกําหนดรายใดรายหนึ่งให้เข้ายื่นข้อเสนอ หรือให้เข้ามาเจรจาต่อรองราคา รวมท้ัง การจดั ซอื้ จัดจา้ งพสั ดกุ บั ผ้ปู ระกอบการโดยตรงในวงเงินเล็กน้อยตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง ท่ีออกตามความ ในมาตรา ๙๖ วรรคสอง มาตรา ๕๖ การจัดซื้อจดั จา้ งพัสดุ ใหห้ นว่ ยงานของรฐั เลือกใช้วธิ ปี ระกาศเชิญชวนทั่วไปกอ่ น เว้นแต่ (๑) กรณดี ังต่อไปนี้ ให้ใช้วิธีคดั เลือก (ก) ใช้วธิ ปี ระกาศเชญิ ชวนทั่วไปแลว้ แตไ่ มม่ ีผยู้ ่นื ข้อเสนอ หรอื ข้อเสนอน้นั ไมไ่ ดร้ ับ การคดั เลือก (ข) พสั ดทุ ี่ตอ้ งการจัดซื้อจัดจ้างมีคุณลักษณะเฉพาะเป็นพิเศษหรือซับซ้อนหรือต้องผลิต จําหน่าย ก่อสร้าง หรือให้บริการโดยผู้ประกอบการที่มีฝีมือโดยเฉพาะ หรือมีความชํานาญเป็นพิเศษ หรือมีทักษะสูง และผปู้ ระกอบการนั้นมจี ํานวนจํากดั (ค) มีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้พัสดุนั้นอันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้ ซงึ่ หากใชว้ ธิ ปี ระกาศเชญิ ชวนทว่ั ไปจะทาํ ให้ไมท่ ันต่อความต้องการใชพ้ ัสดุ (ง) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งาน หรือมีข้อจํากัดทางเทคนิคที่จําเป็นต้องระบุยี่ห้อ เป็น การเฉพาะ (จ) เป็นพัสดุที่จําเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ หรือดําเนินการโดยผ่านองค์การ ระหว่าง ประเทศ (ฉ) เป็นพัสดทุ ใี่ ช้ในราชการลบั หรอื เปน็ งานท่ตี ้องปกปดิ เปน็ ความลบั ของหนว่ ยงานของรัฐ หรอื ท่ี เก่ยี วกบั ความมั่นคงของประเทศ หนา้ ๓๒ เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๒๔ ก ราชกจิ จานุเบกษา ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๐ (ช) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จําเป็นต้องถอดตรวจ ให้ทราบความชํารุดเสียหายเสียก่อน จึงจะ ประมาณค่าซ่อมได้ เช่น งานจ้างซ่อมเครื่องจักร เครื่องมือกล เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า หรือเครื่อง อเิ ล็กทรอนิกส์ (ซ) กรณีอ่ืนตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง (๒) กรณดี งั ต่อไปน้ีใหใ้ ชว้ ิธีเฉพาะเจาะจง (ก) ใช้ทั้งวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปและวิธีคัดเลือก หรือใช้วิธีคัดเลือกแล้วแต่ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอ หรือขอ้ เสนอน้นั ไม่ได้รบั การคัดเลอื ก (ข) การจัดซื้อจดั จา้ งพัสดุท่ีมีการผลิต จําหน่าย ก่อสร้าง หรอื ใหบ้ รกิ ารทั่วไป และมีวงเงิน ในการ จดั ซื้อจัดจ้างครั้งหน่ึงไมเ่ กนิ วงเงนิ ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง

18 (ค) การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่มีผู้ประกอบการซึ่งมีคุณสมบัติโดยตรงเพียงรายเดียว หรือการจัดซ้ือ จัดจ้างพัสดุจากผู้ประกอบการซึ่งเป็นตัวแทนจําหน่ายหรอื ตัวแทนผู้ให้บริการโดยชอบ ด้วยกฎหมายเพียงราย เดียวในประเทศไทยและไม่มพี สั ดอุ นื่ ท่จี ะใชท้ ดแทนได้ (ง) มีความจําเป็นต้องใช้พัสดุนั้นโดยฉุกเฉิน เนื่องจากเกิดอุบัติภัยหรือภัยธรรมชาติ หรือเกิด โรคติดต่ออนั ตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคตดติ ่อ และการจัดซือ้ จัดจา้ งโดยวิธีประกาศเชญิ ชวนทั่วไป หรือวิธี คัดเลอื กอาจก่อให้เกดิ ความล่าช้าและอาจทาํ ให้เกดิ ความเสยี หายอย่างรา้ ยแรง (จ) พัสดุที่จะทําการจดั ซ้ือจัดจ้างเปน็ พัสดทุ ี่เกี่ยวพันกบั พัสดทุ ีไ่ ด้ทําการจัดซือ้ จดั จา้ ง ไว้ก่อนแล้ว และมีความจําเป็นต้องทําการจัดซื้อจดั จ้างเพิ่มเติมเพ่ือความสมบูรณ์หรือต่อเนื่องในการใช้พัสดุน้ัน โดยมูลคา่ ของพัสดุท่ที ําการจัดซอ้ื จัดจ้างเพ่มิ เติมจะต้องไมส่ ูงกว่าพัสดุที่ไดท้ ําการจดั ซื้อจัดจา้ งไวก้ อ่ นแล้ว (ฉ) เปน็ พัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยหนว่ ยงานของรัฐ องค์การระหวา่ งประเทศหรอื หน่วยงานของ ต่างประเทศ (ช) เปน็ พสั ดทุ ี่เป็นท่ีดินหรือสงิ่ ปลกู สรา้ งซ่งึ จาํ เป็นตอ้ งซ้ือเฉพาะแหง่ (ซ) กรณอี ่นื ตามท่กี ําหนดในกฎกระทรวง รัฐมนตรีอาจออกกฎกระทรวงตาม (๑) (ซ) หรือ (๒) (ซ) ให้เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริม หรือ สนับสนุนตามมาตรา ๖๕ (๔) ก็ได้ หากรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงตาม (๒) (ซ) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการ ส่งเสริม หรือสนับสนุนตามมาตรา ๖๕ (๔) แล้ว เมื่อหน่วยงานของรัฐจะทําการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุนั้น ให้ใช้วิธี เฉพาะเจาะจงตาม (๒) (ซ) ก่อน ในกรณหี นว่ ยงานของรัฐในต่างประเทศหรอื มีกิจกรรมที่ต้องปฏบิ ัติในต่างประเทศจะทําการจัดซ้ือ จัด จา้ งโดยใชว้ ิธีคดั เลอื กหรือวธิ ีเฉพาะเจาะจง โดยไม่ใชว้ ธิ ีประกาศเชิญชวนทว่ั ไปก่อนก็ได้ รัฐมนตรอี าจออกระเบยี บเพ่ือกําหนดรายละเอยี ดอืน่ ของการจดั ซื้อจัดจ้างพสั ดุตามวรรคหนึ่ง เพ่ิมเติม ได้ตามความจาํ เป็นเพ่อื ประโยชนใ์ นการดําเนินการ มาตรา ๕๗ รายละเอียดของวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในหมวดนี้ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ใน ระบบเครือขา่ ยสารสนเทศของกรมบญั ชีกลาง ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบทร่ี ฐั มนตรกี ําหนด มาตรา ๕๘ เพื่อประโยชน์ของภาครฐั โดยรวม หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งแห่งใดอาจทําการจัดซื้อ จัด จ้างพัสดใุ หก้ ับหน่วยงานของรัฐแหง่ อ่ืน ๆ ก็ได้ ตามกรอบข้อตกลงระหวา่ งหน่วยงานของรัฐผู้ทาํ การจัดซือ้ จัด จ้างกับคู่สญั ญา การดาํ เนินการตามวรรคหนงึ่ ตอ้ งคาํ นึงถงึ ความคุม้ คา่ และวัตถุประสงคใ์ นการใช้งานเปน็ สาํ คัญ ทั้งน้ี ให้เปน็ ไปตามระเบียบท่ีรฐั มนตรีกําหนด มาตรา ๕๙ เพ่ือประโยชนใ์ นการจดั ทาํ ร่างขอบเขตของงานหรือรายละเอียดของพสั ดุ ที่จะทําการ จัดซ้อื จดั จ้างและร่างเอกสารเชญิ ชวน ก่อนทาํ การจัดซื้อจัดจ้างพสั ดดุ ว้ ยวธิ ีประกาศเชญิ ชวน ท่ัวไป หนว่ ยงาน ของรัฐอาจจดั ให้มีการรับฟังความคดิ เหน็ ร่างขอบเขตของงานหรอื รายละเอียดของพสั ดุ ที่จะทาํ การจัดซื้อจัด จ้างและรา่ งเอกสารเชิญชวนจากผู้ประกอบการก่อนก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธกี าร และระยะเวลาการรับฟังความ คิดเหน็ ร่างขอบเขตของงานหรอื รายละเอยี ด ของพัสดุทีจ่ ะทาํ การจดั ซื้อจัดจา้ งและรา่ งเอกสารเชิญชวน เพ่ือ นําไปใช้เปน็ เอกสารเชญิ ชวน ใหเ้ ปน็ ไป ตามระเบียบท่ีรัฐมนตรีกาํ หนด มาตรา ๖๐ ก่อนดาํ เนนิ การจัดจ้างงานก่อสร้างตามวิธกี ารตามมาตรา ๕๕ หนว่ ยงานของรฐั ตอ้ งจัด ใหม้ แี บบรูปรายการงานก่อสร้างซึ่งหน่วยงานของรัฐจะดาํ เนินการจดั ทําเอง หรือดําเนินการจดั จา้ ง ตามหมวด ๘ งานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง ก็ได้ ในกรณีที่ตอ้ งมกี ารจา้ งออกแบบรวมกอ่ สรา้ งซึ่งไมอ่ าจจดั ใหม้ ีแบบรปู รายการงานก่อสรา้ ง ตามวรรค หน่ึงได้ ใหไ้ ดร้ บั ยกเว้นไมต่ อ้ งดําเนินการตามวรรคหนึ่ง โดยกรณีใดทีจ่ ะจ้างออกแบบรวมกอ่ สรา้ ง ต้อง

19 พจิ ารณาความเหมาะสมของโครงการและวงเงนิ ด้วย ท้ังนี้ หลกั เกณฑ์และวิธีการจ้างออกแบบรวมก่อสร้าง ให้ เปน็ ไปตามระเบยี บทร่ี ฐั มนตรีกําหนด มาตรา ๖๑ ในการจัดซ้อื จัดจ้างพสั ดุแต่ละคร้งั ให้ผ้มู ีอาํ นาจแต่งตง้ั ผรู้ ับผดิ ชอบการจดั ซื้อ จดั จ้างนั้น ซึง่ จะกระทําโดยคณะกรรมการการจัดซ้อื จดั จ้างหรอื เจ้าหน้าท่คี นใดคนหนง่ึ ก็ได้ องค์ประกอบและองค์ประชุมซ่ึงกระทําโดยคณะกรรมการ และหน้าทข่ี องผรู้ ับผดิ ชอบการจัดซ้อื จดั จา้ งตามวรรคหน่งึ ให้เป็นไปตามระเบียบทีร่ ัฐมนตรีกาํ หนด ค่าตอบแทนผูร้ ับผิดชอบการจัดซื้อจดั จา้ งตามวรรคหนงึ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ีกระทรวงการคลังกําหนด มาตรา ๖๒ การจดั ซ้อื จัดจ้างตามวธิ ีการตามมาตรา ๕๕ (๑) ให้หน่วยงานของรฐั จดั ทําประกาศ และ เอกสารเชิญชวนใหท้ ราบเปน็ การท่วั ไปวา่ หนว่ ยงานของรฐั จะดําเนนิ การในการจดั ซื้อจดั จ้างพสั ดุใด วนั เวลา สถานท่ยี ืน่ ข้อเสนอ และเง่ือนไขอืน่ ๆ ประกาศและเอกสารเชิญชวนตามวรรคหน่ึง ใหป้ ระกาศเผยแพร่ในระบบเครือขา่ ยสารสนเทศ ของ กรมบญั ชกี ลาง และของหนว่ ยงานของรฐั ตามวิธกี ารท่ีกรมบัญชกี ลางกําหนด และให้ปิดประกาศ โดยเปดิ เผย ณ สถานที่ปดิ ประกาศของหน่วยงานของรฐั นั้น ในการนี้ หนว่ ยงานของรฐั จะเผยแพรป่ ระกาศ และเอกสาร เชิญชวนดังกล่าวโดยวธิ กี ารอื่นด้วยก็ได้ หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และรายละเอยี ดการจัดทาํ ประกาศและเอกสารเชญิ ชวน รวมทงั้ ระยะเวลา การ ประกาศเชิญชวน ให้เปน็ ไปตามระเบียบทร่ี ฐั มนตรีกําหนด การจดั ซอื้ จัดจ้างตามวิธกี ารตามมาตรา ๕๕ (๒) หรอื (๓) ใหห้ นว่ ยงานของรัฐจัดทาํ หนังสือเชญิ ชวน ใหผ้ ้ปู ระกอบการเขา้ ย่ืนข้อเสนอ ทง้ั น้ี ตามระเบยี บทร่ี ฐั มนตรีกําหนด มาตรา ๖๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๖๒ ใหห้ น่วยงานของรัฐประกาศรายละเอียดข้อมลู ราคากลาง และ การคาํ นวณราคากลางในระบบเครอื ข่ายสารสนเทศของกรมบัญชกี ลางตามวธิ ีการท่ีกรมบัญชีกลางกาํ หนด มาตรา ๖๔ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒ ผู้ท่จี ะเข้ายนื่ ข้อเสนอในการจัดซอ้ื จัดจ้างของ หน่วยงานของรฐั อย่างนอ้ ยต้องมีคณุ สมบัติและไม่มลี กั ษณะตอ้ งหา้ ม ดังต่อไปน้ี (๑) มคี วามสามารถตามกฎหมาย (๒) ไม่เปน็ บุคคลลม้ ละลาย (๓) ไม่อย่รู ะหว่างเลิกกิจการ (๔) ไม่เปน็ บุคคลซงึ่ อยรู่ ะหว่างถกู ระงบั การย่นื ข้อเสนอหรือทําสญั ญากับหนว่ ยงานของรัฐ ตาม มาตรา ๑๐๖ วรรคสาม (๕) ไม่เปน็ บุคคลซ่ึงถูกแจง้ เวยี นชอื่ ให้เป็นผู้ท้ิงงานของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๐๙ (๖) คณุ สมบัติหรือลกั ษณะต้องห้ามอ่ืนตามท่ีคณะกรรมการนโยบายประกาศกาํ หนดในราชกิจจา นุเบกษา ให้หน่วยงานของรัฐกําหนดเป็นเงื่อนไขในประกาศและเอกสารเชิญชวนว่าผู้ที่จะเข้ายื่นข้อเสนอ ต้อง แสดงหลักฐานถงึ ขีดความสามารถและความพร้อมทีต่ นมีอย่ใู นวันย่ืนข้อเสนอดว้ ย มาตรา ๖๕ ในการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอโดยวิธีตามมาตรา ๕๕ (๑) หรอื (๒) ให้หน่วยงานของรัฐ ดําเนินการโดยพิจารณาถงึ ประโยชนข์ องหน่วยงานของรัฐ และวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เป็นสําคัญ โดยให้ คํานงึ ถึงเกณฑร์ าคาและพจิ ารณาเกณฑอ์ ่นื ประกอบดว้ ย ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ตน้ ทนุ ของพสั ดนุ ั้นตลอดอายกุ ารใชง้ าน (๒) มาตรฐานของสนิ ค้าหรอื บรกิ าร (๓) บรกิ ารหลงั การขาย (๔) พสั ดทุ ร่ี ัฐตอ้ งการสง่ เสริมหรอื สนบั สนนุ

20 (๕) การประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านของผปู้ ระกอบการ (๖) ข้อเสนอด้านเทคนิคหรือข้อเสนออื่น ในกรณีที่กําหนดให้มีการยื่นข้อเสนอด้านเทคนิค หรือ ขอ้ เสนออืน่ ก่อนตามวรรคหก (๗) เกณฑ์อ่ืนตามทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง พัสดุที่รัฐต้องการส่งเสรมิ หรือสนับสนุนตาม (๔) ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ซึ่งอย่างน้อย ต้องสง่ เสริมหรือสนับสนุนพสั ดุทีส่ รา้ งนวตั กรรมหรือพัสดุที่อนรุ กั ษ์พลังงานหรือสงิ่ แวดลอ้ ม ให้รัฐมนตรีออกระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอตามวรรคหนึ่ง ซึ่ง อย่างนอ้ ยต้องกําหนดให้หน่วยงานของรัฐเลือกใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งหรือหลายเกณฑ์ก็ได้ ประกอบกับ เกณฑ์ ราคา และต้องกําหนดน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์ให้ชัดเจน แต่หากหน่วยงานของรัฐไม่อาจเลือกใช้ เกณฑ์อื่น ประกอบและจําเป็นต้องใช้เกณฑ์เดียวในการพิจารณาคัดเลือก ให้ใช้เกณฑ์ราคา รวมทั้ง การให้คะแนนพร้อม ด้วยเหตุผลของการให้คะแนนในแต่ละเกณฑ์ ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถออกระเบียบ กําหนดหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอของพัสดุทุกประเภทได้จะกำหนดกรณีตัวอย่าง ของพัสดุประเภทหนึ่ง ประเภทใดเพ่ือเปน็ แนวทางในการพจิ ารณาคดั เลือกข้อเสนอของพสั ดุอนื่ ๆ กไ็ ด้ เมื่อพิจารณาข้อเสนอประกอบกับเกณฑ์ท่หี น่วยงานของรัฐใช้ในการพิจารณาแลว้ การพิจารณา เลือก ข้อเสนอให้จัดเรียงลําดับตามคะแนน ข้อเสนอใดที่มีคะแนนสูงสุดให้หน่วยงานของรัฐเลือกข้อเสนอของ ผู้ยื่น ข้อเสนอรายนั้นและใหบ้ ันทึกผลการพิจารณาดงั กล่าวด้วย ให้หน่วยงานของรัฐประกาศเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลือกและน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์ไว้ ใน ประกาศเชิญชวนหรอื หนังสือเชิญชวน แล้วแต่กรณี ด้วย ในกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่มีลักษณะที่จะต้องคํานึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุ หรือคุณสมบัติของ ผู้ ยื่นขอ้ เสนอ หรอื กรณีอ่นื ที่ทาํ ให้มีปัญหาในการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอตามวรรคหนึ่ง หน่วยงานของรัฐ อาจ กําหนดให้มีการยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคหรือข้อเสนออื่นก่อนการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอตามวรรคหนึ่งก็ได้ ทั้งน้ี ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกาํ หนด มาตรา ๖๖ ให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือก และ เหตุผลสนับสนุนในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและของหน่วยงานของรัฐตามวิธีการ ท่ี กรมบัญชีกลางกาํ หนด และใหป้ ดิ ประกาศโดยเปดิ เผย ณ สถานทปี่ ดิ ประกาศของหนว่ ยงานของรัฐน้นั การลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างจะกระทําได้ต่อเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาอุทธรณ์และไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ ตามมาตรา ๑๑๗ หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ เมื่อหน่วยงานของรัฐได้รับแจ้งจากคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ให้ทําการจัดซ้ือจัดจ้างต่อไปได้ เวน้ แตก่ ารจัดซื้อจดั จ้างท่ีมีความจําเป็นเร่งดว่ นตามมาตรา ๕๖ (๑) (ค) หรือการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจง หรือการจัดซื้อจัดจ้างที่มีวงเงินเล็กน้อยตามที่กําหนด ใน กฎกระทรวงทอี่ อกตามมาตรา ๙๖ วรรคสอง มาตรา ๖๗ ก่อนลงนามในสัญญา หน่วยงานของรัฐอาจประกาศยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ได้ ดาํ เนินการไปแล้วได้ในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) หนว่ ยงานของรัฐน้นั ไม่ได้รับการจดั สรรเงนิ งบประมาณทีจ่ ะใชใ้ นการจดั ซ้ือจดั จา้ ง หรือเงิน งบประมาณท่ีไดร้ บั การจัดสรรไม่เพยี งพอทจี่ ะทาํ การจดั ซ้ือจัดจ้างนน้ั ต่อไป (๒) มีการกระทําที่เข้าลักษณะผู้ยื่นข้อเสนอที่ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือที่ได้รับการคัดเลือก มี ผลประโยชน์ร่วมกัน หรือมีส่วนได้เสียกับผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่น หรือขัดขวางการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือ สมยอมกันกับผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นหรือเจ้าหน้าที่ในการเสนอราคา หรือส่อว่ากระทําการทุจริตอื่นใด ในการ เสนอราคา ท้งั น้ี ตามระเบยี บทร่ี ัฐมนตรกี ำหนด

21 (๓) การทาํ การจดั ซื้อจดั จ้างต่อไปอาจก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่หน่วยงานของรฐั หรอื กระทบ ต่อ ประโยชน์สาธารณะ (๔) กรณีอ่ืนในทํานองเดยี วกับ (๑) (๒) หรอื (๓) ทั้งนี้ ตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง การยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างตามวรรคหนึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ผู้ยื่นข้อเสนอ ในการ จดั ซ้ือจดั จา้ งทถี่ ูกยกเลกิ น้ัน นั้นจะเรียกร้องคา่ เสยี หายใดๆ จากหนว่ ยงานของรฐั ไม่ได้ เมอ่ื มีการยกเลิกการจดั ซอ้ื จดั จา้ ง ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งให้ผูป้ ระกอบการซึ่งมารบั หรือซ้อื เอกสาร เชิญชวนทุกรายทราบถึงเหตุผลทีต่ ้องยกเลกิ การจัดซื้อจดั จ้างครงั้ น้นั ในกรณีท่ีมีหนว่ ยงานของรัฐเปน็ ผ้ยู นื่ ข้อเสนอต้ังแตส่ องรายขน้ึ ไป มิให้ถอื วา่ หน่วยงานของรฐั นน้ั มี ผลประโยชน์ร่วมกนั หรือมีสว่ นไดเ้ สยี กับหนว่ ยงานของรัฐอ่ืนตาม (๒) ประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและ ของ หน่วยงานของรัฐตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกําหนด และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ ปิดประกาศ ของหน่วยงานของรัฐนั้น ในการนี้ หนว่ ยงานของรฐั จะเผยแพรป่ ระกาศดังกล่าวโดยวธิ กี ารอื่น ดว้ ยก็ได้ มาตรา ๖๘ รายละเอียดวิธีการและขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ให้ เปน็ ไปตามระเบยี บท่ีรัฐมนตรกี าํ หนด หมวด ๗ หมวด ๙ การทําสัญญา มาตรา ๙๓ หน่วยงานของรัฐต้องทําสัญญาตามแบบที่คณะกรรมการนโยบายกําหนด โดยความ เห็นชอบของสํานักงานอัยการสูงสดุ ท้งั น้ี แบบสัญญาน้นั ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาดว้ ย การทําสัญญารายใดถ้าจําเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากแบบสัญญาตามวรรคหน่ึง โดยมีสาระสาํ คัญตามท่ีกําหนดไวใ้ นแบบสัญญาและไม่ทําให้หน่วยงานของรัฐเสยี เปรียบ ก็ให้กระทําได้ เว้นแต่ หน่วยงานของรัฐเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้ สํานักงาน อัยการสูงสดุ พจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบก่อน ในกรณีที่ไม่อาจทําสัญญาตามแบบสัญญาตามวรรคหนึ่งได้ และจําเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่ ให้ส่ง ร่างสัญญานั้นไปให้สํานักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เว้นแต่การทําสัญญา ตามแบบท่ี สํานักงานอยั การสงู สดุ ไดเ้ คยใหค้ วามเหน็ ชอบมาแลว้ กใ็ หก้ ระทําได้ ในกรณีจําเป็นต้องทําสัญญาเป็นภาษาต่างประเทศ ให้ทําเป็นภาษาอังกฤษและต้องจัดทํา ข้อสรุป สาระสําคัญแห่งสัญญาเป็นภาษาไทยตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกําหนด ในราชกิจจา นุเบกษา เวน้ แต่การทาํ สญั ญาเป็นภาษาต่างประเทศตามแบบสญั ญาที่คณะกรรมการนโยบาย กําหนด ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ได้ทําสัญญาตามแบบสัญญาตามวรรคหนึ่งหรือไม่ได้ส่งร่างสัญญา ให้ สํานักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนตามวรรคสองหรือวรรคสาม หรือตามมาตรา๙๗ วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี ให้หน่วยงานของรัฐส่งสัญญานั้นให้สํานักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในภายหลังได้ เมื่อสํานักงานอัยการสูงสุดพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว หรือเมื่อสํานักงานอัยการสูงสุด พิจารณาเหน็ ชอบแต่ให้แกไ้ ขสญั ญา ถา้ หน่วยงานของรัฐแกไ้ ขสัญญานั้นให้เปน็ ไปตามความเหน็ ของ สาํ นักงาน อัยการสูงสุดแลว้ ให้ถือวา่ สญั ญาน้ันมผี ลสมบูรณ์ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ได้ทําสัญญาตามแบบสัญญาตามวรรคหนึ่ง หน่วยงานของรัฐ ไม่แก้ไข สัญญาตามความเห็นของสํานักงานอัยการสูงสุด หรือคู่สัญญาไม่ตกลงหรือยินยอมให้แก้ไขสัญญา ตาม ความเห็นของสํานักงานอัยการสูงสุด หากข้อสัญญาที่แตกต่างจากแบบสัญญาหรือข้อสัญญาที่ไม่แก้ไข ตาม ความเห็นของสํานักงานอัยการสูงสุดเปน็ ส่วนที่เป็นสาระสําคญั หรือเป็นกรณีผิดพลาดอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๑๐๔ ให้ถือว่าสญั ญานนั้ เปน็ โมฆะ

22 มาตรา ๙๔ การทําสัญญาของหน่วยงานของรัฐในต่างประเทศ จะทําสัญญาเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาของประเทศท่ีหน่วยงานของรฐั น้ันตั้งอยู่ โดยผา่ นการพจิ ารณาของผเู้ ชีย่ วชาญของหนว่ ยงาน ของรฐั กไ็ ด้ มาตรา ๙๕ สัญญาที่ทําในราชอาณาจักรต้องมีข้อตกลงในการห้ามคู่สัญญาไปจ้างช่วง ให้ผู้อื่นทําอีก ทอดหนึ่ง ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เว้นแต่การจ้างช่วงแต่บางส่วนที่ได้รับอนุญาตจาก หน่วยงานของรัฐท่ี เป็นคู่สัญญาแล้ว ถ้าคู่สัญญาไปจ้างช่วงโดยฝ่าฝืนข้อตกลงดังกล่าว ต้องกําหนดให้มี ค่าปรับสําหรับการฝ่าฝนื ข้อตกลงน้ันไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละสิบของวงเงินของงานทจ่ี า้ งช่วงตามสญั ญา มาตรา ๙๖ หน่วยงานของรัฐอาจจัดทาํ ข้อตกลงเป็นหนังสือโดยไม่ทําตามแบบสญั ญา ตามมาตรา ๙๓ กไ็ ด้ เฉพาะในกรณี ดงั ต่อไปนี้ (๑) การจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธคี ัดเลือกตามมาตรา ๕๖ (๑) (ค) หรือการจัดซ้ือจัดจา้ งโดยวิธี เฉพาะเจาะจงตามมาตรา ๕๖ (๒) (ข) (ง) หรือ (ฉ) หรือการจา้ งท่ีปรกึ ษาโดยวิธเี ฉพาะเจาะจง ตามมาตรา ๗๐ (๓) (ข) (๒) การจัดซื้อจดั จ้างจากหน่วยงานของรัฐ (๓) กรณีท่ีค่สู ญั ญาสามารถสง่ มอบพัสดุได้ครบถว้ นภายในห้าวนั ทาํ การนับต้ังแต่วนั ถัดจาก วันทาํ ขอ้ ตกลงเป็นหนงั สอื (๔) การเช่าซ่งึ ผู้เชา่ ไม่ต้องเสยี เงินอืน่ ใดนอกจากคา่ เชา่ (๕) กรณีอน่ื ตามทคี่ ณะกรรมการนโยบายประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณที ี่การจัดซื้อจัดจ้างมีวงเงินเลก็ นอ้ ยตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง จะไมท่ ําข้อตกลง เปน็ หนงั สือ ไว้ตอ่ กันก็ได้ แต่ต้องมหี ลกั ฐานในการจดั ซื้อจดั จา้ งนนั้ ในการออกกฎกระทรวงตามวรรคสองจะกําหนดวงเงินเล็กน้อยให้แตกต่างกันตามขนาด หรอื ประเภท ของหน่วยงานของรัฐกไ็ ด้ มาตรา ๙๗ สญั ญาหรอื ขอ้ ตกลงเปน็ หนังสือท่ีได้ลงนามแลว้ จะแก้ไขไม่ได้ เวน้ แตใ่ นกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ีให้ อยใู่ นดุลพนิ ิจของผมู้ ีอาํ นาจที่จะพิจารณาอนุมัติให้แกไ้ ขได้ (๑) เป็นการแก้ไขตามมาตรา ๙๓ วรรคห้า (๒) ในกรณีทมี่ คี วามจําเป็นต้องแก้ไขสัญญาหรือขอ้ ตกลงหากการแก้ไขน้นั ไมท่ าํ ให้หนว่ ยงาน ของรัฐ เสยี ประโยชน์ (๓) เป็นการแกไ้ ขเพ่ือประโยชนแ์ ก่หนว่ ยงานของรัฐหรือประโยชน์สาธารณะ (๔) กรณีอื่นตามทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีการแก้ไขสัญญาทีห่ นว่ ยงานของรัฐเห็นว่าจะมปี ญั หาในทางเสียประโยชนห์ รือไม่รัดกุมพอ ก็ให้ ส่งรา่ งสัญญาทแี่ ก้ไขน้ันไปให้สาํ นักงานอยั การสูงสุดพิจารณาให้ความเหน็ ชอบก่อน การแก้ไขสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย วิธีการ งบประมาณหรือกฎหมายอื่นที่เกีย่ วข้อง หากมีความจําเปน็ ต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน หรือเพ่ิมหรือลด ระยะเวลา สง่ มอบหรอื ระยะเวลาในการทํางาน ใหต้ กลงพร้อมกันไป ในกรณีที่มีการแก้ไขสัญญาหรือข้อตกลงเพื่อเพิ่มวงเงิน เมื่อรวมวงเงินตามสัญญาหรือข้อตกลงเดิม และวงเงนิ ทเ่ี พมิ่ ข้นึ ใหม่แลว้ หากวงเงนิ รวมดังกล่าวมีผลทําใหผ้ มู้ ีอาํ นาจอนุมตั สิ ่งั ซื้อหรือส่ังจ้างเปล่ียนแปลงไป จะตอ้ งดําเนินการใหผ้ ู้มีอาํ นาจอนุมตั สิ ั่งซ้ือหรือสั่งจ้างตามวงเงนิ รวมดงั กล่าวเป็นผอู้ นุมัตกิ ารแก้ไขสัญญา หรือ ข้อตกลงด้วย ในกรณีที่มีการแก้ไขสัญญาหรือข้อตกลงเพ่ือลดวงเงนิ ให้ผมู้ ีอํานาจอนุมัตสิ ัง่ ซื้อหรือส่งั จา้ ง ตามวงเงิน เดมิ เป็นผู้อนุมัตกิ ารแก้ไขสญั ญาหรอื ข้อตกลง

23 มาตรา ๙๘ ให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่สาระสําคัญของสัญญาหรือข้อตกลง ที่ได้ลงนาม แล้ว รวมทั้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงในระบบเครือข่ายสารสนเทศของ กรมบัญชีกลางและ ของหน่วยงานของรัฐตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่ีกรมบญั ชกี ลางกาํ หนด มาตรา ๙๙ รายละเอียดวิธีการและขั้นตอนการทําสัญญาที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในหมวดนี้ ให้เป็นไปตาม ระเบยี บที่รัฐมนตรกี าํ หนด หมวด ๑๐ การบริหารสญั ญาและการตรวจรับพสั ดุ มาตรา ๑๐๐ ในการดาํ เนินการ ตามสัญญาหรอื ขอ้ ตกลง ใหผ้ ้มู อี าํ นาจแตง่ ต้งั คณะกรรมการ หมวด ๑๐ การบริหารสัญญาและการตรวจรบั พัสดุ มาตรา ๑๐๐ ในการดําเนินการตามสญั ญาหรือข้อตกลง ให้ผู้มีอํานาจแต่งตัง้ คณะกรรมการ ตรวจรบั พัสดเุ พือ่ รบั ผิดชอบการบริหารสัญญาหรอื ข้อตกลงและการตรวจรบั พัสดุ องค์ประกอบ องค์ประชุม และหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ให้เป็นไปตามระเบียบ ท่ี รัฐมนตรกี ําหนด ในกรณีที่การจัดซื้อจัดจ้างมีวงเงินเล็กน้อยตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จะแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง บุคคล ใดเป็นผู้ตรวจรับพัสดุนั้น โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุก็ได้ และให้นํา บทบญั ญัตมิ าตรา ๙๖ วรรคสาม มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ผรู้ ับผิดชอบการบรหิ ารสัญญาหรือข้อตกลงและการตรวจรับพัสดุตามวรรคหนึ่งและวรรคสาม ซงึ่ ไม่ใช่ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุ ให้ได้รับ ค่าตอบแทนตามทก่ี ระทรวงการคลงั กําหนด มาตรา ๑๐๑ งานจา้ งกอ่ สรา้ งทมี่ ขี น้ั ตอนการดําเนินการเปน็ ระยะ ๆ อันจําเปน็ ตอ้ งมี การควบคุมงาน อย่างใกล้ชิด หรือมีเงื่อนไขการจ่ายเงินเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงาน ให้มีผูค้ วบคุมงาน ซึ่งแต่งตั้งโดยผู้มี อาํ นาจเพอื่ รบั ผิดชอบในการควบคมุ งานก่อสรา้ งน้นั การแตง่ ตั้ง คณุ สมบัติ และหน้าที่ของผคู้ วบคมุ งาน ให้เป็นไปตามระเบยี บทีร่ ัฐมนตรีกําหนด คา่ ตอบแทนผคู้ วบคุมงานตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามทก่ี ระทรวงการคลงั กาํ หนด มาตรา ๑๐๒ การงดหรอื ลดคา่ ปรบั ใหแ้ ก่คู่สัญญา หรอื การขยายเวลาทาํ การตามสญั ญา หรือข้อตกลง ให้อย่ใู นดลุ พนิ จิ ของผมู้ อี าํ นาจท่จี ะพจิ ารณาไดต้ ามจํานวนวนั ทม่ี ีเหตุเกดิ ข้นึ จริง เฉพาะในกรณี ดังตอ่ ไปนี้ (๑) เหตเุ กดิ จากความผิดหรือความบกพรอ่ งของหน่วยงานของรฐั (๒) เหตสุ ุดวสิ ยั (๓) เหตเุ กิดจากพฤตกิ ารณ์อนั หนง่ึ อนั ใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย (๔) เหตุอนื่ ตามท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง หลักเกณฑ์และวิธีการของดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญา หรือ ขอ้ ตกลง ให้เปน็ ไปตามระเบียบทรี่ ัฐมนตรีกําหนด มาตรา ๑๐๓ ในกรณที มี่ เี หตุบอกเลิกสัญญาหรอื ข้อตกลงต่อไปนี้ ให้อยใู่ นดุลพนิ ิจของ ผ้มู อี ํานาจท่ีจะ บอกเลิกสัญญาหรอื ข้อตกลงกบั คู่สญั ญา (๑) เหตตุ ามที่กฎหมายกาํ หนด (๒) เหตุอันเชื่อได้ว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างไม่สามารถส่งมอบงานหรือทํางานให้แล้วเสร็จได้ภายใน ระยะเวลาท่ีกาํ หนด (๓) เหตอุ ืน่ ตามทีก่ าํ หนดไวใ้ นพระราชบญั ญัตินห้ี รอื ในสัญญาหรอื ข้อตกลง (๔) เหตอุ ่นื ตามระเบียบทีร่ ฐั มนตรีกําหนด

24 การตกลงกับคู่สญั ญาที่จะบอกเลิกสญั ญาหรอื ข้อตกลง ให้ผู้มีอํานาจพจิ ารณาได้เฉพาะในกรณี ที่เป็น ประโยชนแ์ ก่หน่วยงานของรัฐโดยตรงหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรอื เพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของ หน่วยงาน ของรัฐในการท่ีจะปฏบิ ตั ิตามสญั ญาหรือข้อตกลงนน้ั ตอ่ ไป ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐมิได้เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง หรือการบอกเลิกสัญญา หรือ ข้อตกลงนั้นเป็นกรณีที่หน่วยงานของรัฐมิได้เรียกค่าปรับ แล้วแต่กรณี หากคู่สัญญาเห็นว่า หน่วยงานของรัฐ ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย คู่สัญญาจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าเสยี หายก็ได้ ในการน้ี หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลักฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชกั ช้า เมื่อหน่วยงานของ รัฐมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาเป็นเช่นใดแล้ว หากคู่สัญญายังไม่พอใจในผลการพิจารณา ก็ให้มีสิทธิฟ้องคดี ต่อศาลเพื่อเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการพิจารณา คาํ ขอของหน่วยงานของรฐั ให้เปน็ ไปตามระเบียบที่รฐั มนตรีกําหนด ซง่ึ อย่างน้อยต้องกําหนดให้หน่วยงานของ รัฐแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาค่าเสียหายและ การกําหนดวงเงินค่าเสียหายท่ตี้องรายงานต่อ กระทรวงการคลงั เพ่ือพิจารณาให้ความเห็นชอบ มาตรา ๑๐๔ ในกรณีท่ีสัญญาหรือข้อตกลงเกยี่ วกับการจัดซ้อื จดั จ้างเกิดจากกรณีท่หี น่วยงาน ของรัฐ มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตนิ ี้ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ี ใน ส่วนที่ไม่เป็นสาระสําคัญหรือผิดพลาดไม่ร้ายแรง หาทําให้สัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างน้ัน เป็นโมฆะไม่ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอํานาจประกาศในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง กําหนด กรณีตัวอย่างที่ถือว่าเป็นส่วนที่เป็นสาระสําคัญหรือเป็นกรณีผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือที่ไม่เป็น สาระสําคัญ หรอื เปน็ กรณผี ดิ พลาดไมร่ า้ ยแรงตามวรรคหนึ่ง ในกรณที ี่มีปญั หาเกีย่ วกับความเป็นโมฆะของสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง ให้คู่สัญญา ฝ่ายหนึ่ง ฝา่ ยใดเสนอเรื่องตอ่ คณะกรรมการนโยบายเปน็ ผู้วนิ จิ ฉัยช้ขี าด มาตรา ๑๐๕ รายละเอียดวิธีการและขั้นตอนการบริหารสัญญาและการตรวจรับพัสดุที่ไม่ได้ บัญญัติ ไว้ในหมวดนี้ ให้เป็นไปตามระเบยี บท่รี ัฐมนตรกี าํ หนด หมวด ๑๕ บทกําหนดโทษ มาตรา ๑๒๐ ผใู้ ดเป็นเจ้าหนา้ ที่หรือเป็นผู้มีอาํ นาจหนา้ ท่ีในการดําเนินการเกี่ยวกบั การจัดซ้ือ จัดจ้าง หรือการบริหารพัสดุ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุ ตาม พระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบริหาร พสั ดตุ ามพระราชบญั ญัตนิ ี้ กฎกระทรวง ระเบียบ หรอื ประกาศท่อี อกตามความในพระราชบัญญตั ินี้ โดยทุจริต ตอ้ งระวางโทษจาํ คุกต้งั แต่หนง่ึ ปีถึงสบิ ปี หรือปรับตั้งแตส่ องหม่ืนบาทถงึ สองแสนบาท หรอื ทั้งจําทงั้ ปรบั ผใู้ ดเป็นผใู้ ชห้ รือผสู้ นับสนนุ ในการกระทําความผดิ ตามวรรคหนง่ึ ผนู้ ั้นตอ้ งระวางโทษตามท่ี กําหนดไว้ สาํ หรบั ความผดิ ตามวรรคหน่ึง มาตรา ๑๒๑ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการวินิจฉัยตามมาตรา ๓๑ หรือคําสั่งของ คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณต์ ามมาตรา ๔๕ และคณะกรรมการวินจิ ฉยั หรือคณะกรรมการพจิ ารณาอุทธรณ์ แล้วแตก่ รณี พจิ ารณาแลว้ เห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามคาํ สั่งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผูน้ ัน้ มีความผิด ฐานขัด คําสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาใหด้ ําเนนิ คดแี ก่ผนู้ นั้ ต่อไป

25 การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหนว่ ยงานในสังกัดสำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสขุ ราชการบริหารสว่ นภมู ิภาค (MOPH Integrity and Transparency Assessment : MOPH ITA) ประจำปงี บประมาณ ๒๕๖๔ ----------------- ดัชนี ตวั ชี้วดั และเกณฑก์ ารประเมินคุณธรรมและความโปรง่ ใสในการดำเนินงานของหนว่ ยงาน ในสังกดั สำนกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ ราชการบริหารสว่ นภูมภิ าค ปี ๒๕๖๔ ๑. ตวั ชว้ี ดั การเปิดเผยขอ้ มูล ๒. ตวั ชวี้ ัดการจดั ซอ้ื จดั จา้ งและการจัดหาพัสดุ ๓. ตวั ชว้ี ดั การบริหารและพฒั นาทรพั ยากรบุคคล ๔. ตวั ชว้ี ัดการส่งเสริมความโปร่งใส ๕. ตัวชว้ี ัดการรับสินบน ๖. ตัวชวี้ ัดการใชท้ รพั ย์สินของราชการ ๗. ตัวชวี้ ัดการดำเนินงานเพื่อป้องกันการทจุ ริต ๘. ตัวชวี้ ัดการปอ้ งกันผลประโยชนท์ ับซอ้ น ๙. ตวั ชวี้ ัดการเสรมิ สร้างวฒั นธรรมองค์กร ประโยชน์ เพื่อให้หน่วยงานได้ทราบระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงาน ทำให้เกิด ความตระหนักและให้ความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยใช้ ตัวชี้วัดของดัชนีด้านต่างๆ ประเมินการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ โครงสร้าง อำนาจหน้าที่และความ รับผิดชอบที่กฎหมายกำหนด ซึ่งคะแนนจากการปะเมินจะสะท้อนภาพความเป็นจริงในการปฏิบัติงานของ หน่วยงานในภาพรวม และเกิดผลสัมฤทธิ์ อย่างเป็นรูปธรรม และคำนึงถึงความสำคัญกับการ“รักษา”ระบบ การบรหิ ารจดั การภาครฐั อย่างมีธรรมาภิบาลทดี่ ี เพ่ือใหเ้ ปน็ ทป่ี ระจักษ์แก่ประชาชนและผ้รู บั บริการ ให้มีความ เช่ือมัน่ ศรัทธาต่อการบริหารราชการอย่างมธี รรมาภบิ าล ตัวชี้วดั ทีศ่ กึ ษาเพ่ือประกอบการวเิ คราะห์กรณีศึกษา ตัวชว้ี ัด: การจัดซอ้ื จัดจา้ งและการจัดหาพัสดุ EB ๔ หนว่ ยงานมมี าตรการ และวางระบบเพื่อส่งเสรมิ ความโปรง่ ใสในการจดั ซื้อจดั จา้ ง และการจดั หาพสั ดุ ตัวชี้วัด: การรบั สนิ บน EB ๑๓ หนว่ ยงานมีการกำหนดมาตรการและระบบในการป้องกันการรบั สนิ บน ตัวชว้ี ดั : การดำเนินงานเพื่อป้องกันการทจุ ริต EB ๑๗ หน่วยงานมแี ผนปฏบิ ตั กิ ารป้องกัน ปราบปรามการทจุ ริตและประพฤติมิชอบ EB ๑๘ หนว่ ยงานมรี ายงานการกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบตั ิการป้องกนั ปราบปราม การทจุ ริต และประพฤติมิชอบ ตัวชี้วัด: การปอ้ งกันผลประโยชนท์ บั ซอ้ น EB ๑๙ หน่วยงานมกี ารวเิ คราะหค์ วามเสยี่ งเกีย่ วกบั ผลประโยชนท์ ับซอ้ นของหนว่ ยงาน EB ๒๐ หน่วยงานมีการจัดการความเส่ยี งเกี่ยวกบั ผลประโยชน์ทบั ซ้อน โดยการกำหนดมาตรการ และวาง ระบบเพื่อจัดการความเสีย่ งเก่ียวกับผลประโยชน์ทับซอ้ นของหนว่ ยงาน

26 มาตรฐานการควบคมุ ภายในสาหรบั หน่วยงานของรัฐ แนวคดิ มาตรฐานการควบคมุ ภายใน ๑) การควบคุมภายในเป็นกลไกที่จะทาให้หน่วยงานของรัฐบรรลุวัตถุประสงค์การควบคุมภายในด้าน ใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน ได้แก่ ด้านการดาเนินงาน ด้านการรายงาน และด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และขอ้ บังคับของทางราชการ ๒) การควบคุมภายในเป็นส่วนประกอบทีแ่ ทรกอยู่ในการปฏิบัติงานตามปกตขิ องหน่วยงานของรัฐการ ควบคุมภายในเป็นสงิ่ ทีต่ ้องกระทาอย่างเปน็ ข้ันตอนและตอ่ เนื่อง มใิ ชเ่ ปน็ ผลสดุ ท้ายของการกระทา ๓) การควบคุมภายในเกิดขึ้นได้โดยบุคลากรของหน่วยงานของรัฐ โดยผู้กากับดูแลฝ่ายบริหาร ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ตรวจสอบภายใน เปน็ ผ้มู บี ทบาทสำคญั ในการทาให้มีการควบคุมภายในเกิดขึ้นซึ่งไม่ใช่เพียง การกำหนดนโยบาย ระบบงาน คมู่ อื การปฏบิ ัติงานและแบบฟอรม์ การดาเนินงานเท่าน้ัน หากแต่ ตอ้ งมีการปฏิบัติ ๔) การควบคุมภายในสามารถให้ความเชื่อมั่นอย่างสมเหตุสมผลวา่ จะบรรลวุ ัตถปุ ระสงคท์ ่ีกำหนดของ หน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม การควบคุมภายในที่กำหนดอาจจะไม่สามารถให้ความมั่นใจต่อผู้กากับดูแล และฝา่ ยบริหารวา่ การดาเนินงานจะบรรลวุ ตั ถุประสงค์อยา่ งสมบรู ณ์ ๕) การควบคุมภายในควรกำหนดใหเ้ หมาะสมกับโครงสร้างองค์กรและภารกิจของหนว่ ยงานของรัฐ วัตถุประสงค์ของการควบคุมภายใน หนว่ ยงานของรฐั ต้องใหค้ วามสำคัญกับวัตถุประสงค์ของการควบคุมภายในแตล่ ะดา้ น ดังน้ี ๑) วัตถุประสงค์ด้านการดาเนินงาน (Operations Objective) เป็นวัตถุประสงค์เกี่ยวกับความมี ประสิทธิผลและประสิทธิภาพของการดาเนินงาน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายด้านการดาเนินงาน ด้านการเงิน ตลอดจนการใชท้ รพั ยากร การดแู ลรักษาทรัพยส์ นิ การป้องกันหรือลดความผดิ พลาด ๒) วัตถุประสงค์ด้านการรายงาน (Reporting Objective) เป็นวัตถุประสงค์เกี่ยวกับรายงานทาง การเงินและไม่ใช่การเงินที่ใช้ภายในและภายนอก หน่วยงานของรัฐ รวมถึงการรายงานที่เชื่อถือได้ ทันเวลา โปรง่ ใส หรือข้อกำหนดอื่นของทางราชการ ๓) วตั ถปุ ระสงค์ดา้ นการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบงั คับ (Compliance Objective) เป็นวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการ ดำเนินงาน รวมทงั้ ขอ้ กำหนดอื่นของทางราชการ องค์ประกอบของมาตรฐานการควบคุมภายใน หน่วยงานของรัฐได้กำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละหน่วยงาน การควบคุมภายในจะเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐสามารถขับเคลื่อนการปฏิบัติงานให้บรรลุ วัตถุประสงคท์ ก่ี ำหนด ท้งั นี้ การควบคุมภายในจะประกอบด้วย ๕ องค์ประกอบ ๑๗ หลกั การ ดงั น้ี องค์ประกอบของการควบคุมภายใน ๕ องค์ประกอบ ๑) สภาพแวดล้อมการควบคุม (Control Environment) ๒) การประเมินความเสีย่ ง (Risk Assessment) ๓) กจิ กรรมการควบคุม (Control Activities) ๔) สารสนเทศและการส่อื สาร (Information and Communication) ๕) กิจกรรมการติดตามผล (Monitoring Activities) ๑. สภาพแวดลอ้ มการควบคุม สภาพแวดล้อมการควบคุมเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดาเนินงานที่ส่งผลให้มีการนาการควบคุมภายใน มาปฏบิ ตั ิท่ัวท้ังหนว่ ยงานของรัฐ ทั้งนี้ ผู้กากับดแู ลและฝ่ายบริหารจะต้องสรา้ งบรรยากาศใหท้ ุกระดับตระหนัก

27 ถึงความสำคัญของการควบคุมภายใน รวมทั้ง การดำเนินงานที่คาดหวังของผู้กากับดูแลและฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมการควบคุมดังกลา่ วเปน็ พ้ืนฐานสำคัญที่จะสง่ ผลกระทบต่อองคป์ ระกอบของการควบคุมภายใน อ่ืนๆสภาพแวดล้อมการควบคมุ ประกอบด้วย ๕ หลกั การ ดังนี้ ๑) หน่วยงานของรัฐแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การยึดม่ันในคุณค่าของความซ่อื ตรงและจรยิ ธรรม ๒) ผู้กำกับดูแลของหน่วยงานของรัฐแสดงให้เหน็ ถึงความเปน็ อสิ ระจากฝา่ ยบริหารและมหี น้าทีก่ ากับ ดูแลให้มีการพฒั นาหรอื ปรบั ปรุงการควบคุมภายใน รวมถึงการดาเนนิ การเกย่ี วกับการควบคุมภายใน ๓) หัวหน้าหน่วยงานของรัฐจัดให้มีโครงสร้างองค์กร สายการบังคับบัญชา อำนาจหน้าที่และความ รบั ผิดชอบทีเ่ หมาะสมในการบรรลวุ ัตถปุ ระสงคข์ องหนว่ ยงานของรัฐภายใต้การกากบั ดูแลของผู้กำกบั ดแู ล ๔) หน่วยงานของรัฐแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแรงจูงใจ พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มี ความรู้ความสามารถที่สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ของหน่วยงานของรฐั ๕) หน่วยงานของรัฐกำหนดให้บุคลากรมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงานตามระบบ การควบคมุ ภายใน เพือ่ ใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์ของหนว่ ยงานของรัฐ ๒. การประเมินความเสยี่ ง การประเมินความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ดาเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นประจา เพื่อระบุและ วิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการบรรลวุ ตั ถุประสงค์ของหนว่ ยงานของรัฐ รวมถึงกำหนดวิธีการจัดการ ความเสย่ี งน้นั ฝา่ ยบรหิ ารควรคำนงึ ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกและภารกจิ ภายในท้ังหมด ทีม่ ผี ลต่อการบรรลุวตั ถุประสงคข์ องหน่วยงานของรัฐ การประเมินความเสี่ยง ประกอบด้วย ๔ หลักการ ดงั นี้ ๑) หน่วยงานของรัฐระบุวัตถุประสงค์การควบคุมภายในของการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ขององค์กรไว้อย่างชัดเจนและเพียงพอที่จะสามารถระบุและประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ วตั ถปุ ระสงค์ ๒) หน่วยงานของรฐั ระบคุ วามเสย่ี งทม่ี ผี ลต่อการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์การควบคุมภายในอยา่ งครอบคลุม ทั้งหน่วยงานของรัฐ และวิเคราะหค์ วามเส่ยี งเพอื่ กำหนดวธิ ีการจดั การความเสีย่ งนน้ั ๓) หน่วยงานของรัฐพิจารณาโอกาสที่อาจเกิดการทุจริต เพื่อประกอบการประเมินความเสี่ยงที่ส่งผล ต่อการบรรลุวตั ถุประสงค์ ๔) หน่วยงานของรัฐระบแุ ละประเมินการเปลย่ี นแปลงที่อาจมีผลกระทบอยา่ งมีนยั สำคญั ต่อระบบการ ควบคมุ ภายใน ๓. กจิ กรรมการควบคมุ กิจกรรมการควบคมุ เป็นการปฏิบัติท่ีกำหนดไว้ในนโยบายและกระบวนการดาเนินงานเพ่ือให้มั่นใจว่า การปฏิบัติตามการสั่งการของฝ่ายบริหารจะลดหรือควบคุมความเสี่ยงให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์กิจกรรม การควบคุมควรได้รับการนาไปปฏิบัติทั่วทุกระดับของหน่วยงานของรัฐในกระบวนการปฏิบัติงานขั้นตอนการ ดำเนนิ งานตา่ งๆ รวมถึงการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการดาเนินงาน กิจกรรมการควบคุม ประกอบดว้ ย ๓ หลักการ ดงั น้ี ๑) หนว่ ยงานของรฐั ระบแุ ละพฒั นากจิ กรรมการควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงในการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ให้ อยใู่ นระดับที่ยอมรบั ได้ ๒) หน่วยงานของรฐั ระบุและพฒั นากิจกรรมการควบคุมทว่ั ไปด้านเทคโนโลยี เพื่อสนบั สนุนการบรรลุ วัตถปุ ระสงค์ ๓) หนว่ ยงานของรฐั จัดให้มีกิจกรรมการควบคมุ โดยกำหนดไวใ้ นนโยบาย ประกอบด้วยผลสำเรจ็ ที่ คาดหวังและขัน้ ตอนการปฏบิ ัตงิ านเพ่ือนานโยบายไปสู่การปฏิบตั จิ รงิ

28 ๔. สารสนเทศและการส่ือสาร สารสนเทศเปน็ สงิ่ จาเป็นสาหรบั หน่วยงานของรฐั ท่ีจะชว่ ยให้มีการดาเนนิ การตามการควบคุมภายในที่ กำหนด เพื่อสนับสนุนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐ การสื่อสารเกิดข้ึนได้ทั้งจากภายในแลพ ภายนอก และเป็นช่องทางเพื่อให้ทราบถึงสารสนเทศที่สาคัญในการควบคุมการดาเนินงานของหน่วยงานของ รฐั การส่อื สารจะชว่ ยใหบ้ ุคลากรในหนว่ ยงานมีความเข้าใจถึงความรับผิดชอบและความสำคญั ของการควบคุม ภายในท่ีมตี อ่ การบรรลุวัตถปุ ระสงค์ สารสนเทศและการส่อื สาร ประกอบดว้ ย ๓ หลกั การ ดงั น้ี ๑) หน่วยงานของรัฐจัดทาหรอื จดั หาและใชส้ ารสนเทศทเี่ ก่ียวข้องและมีคุณภาพเพือ่ สนับสนนุ ให้มีการ ปฏบิ ัติตามการควบคุมภายในท่ีกำหนด ๒) หน่วยงานของรฐั มีการส่อื สารภายในเกี่ยวสารสนเทศ รวมถึงวัตถุประสงค์และความรับผิดชอบทีม่ ี ตอ่ การควบคุมภายใน ซึง่ มีความจาเป็นในการสนับสนุนให้มีการปฏบิ ัตติ ามการควบคุมภายใน ที่กำหนด ๓) หนว่ ยงานของรัฐมีการส่อื สารกบั บุคคลภายนอกเกยี่ วกับเร่อื งท่ีมผี ลกระทบตอ่ การปฏิบตั ติ ามการ ควบคมุ ภายในที่กำหนด ๕. กจิ กรรมการติดตามผล กิจกรรมการติดตามผลเป็นการประเมินผลระหว่างการปฏิบัติงาน การประเมินผลเป็นรายครั้งหรือ เป็นการประเมินผลทั้งสองวิธีร่วมกัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าได้มีการปฏิบัติตามหลักการในแต่ละ องคป์ ระกอบของการควบคมุ ภายในท้ัง ๕ องคป์ ระกอบ กรณีที่ผลการประเมนิ การควบคุมภายในจะก่อให้เกิด ความเสยี หายตอ่ หนว่ ยงานของรฐั ใหร้ ายงานตอ่ ฝ่ายบริหารและผกู้ ากับดูแลอย่างทนั เวลา กจิ กรรมการติดตามผล ประกอบด้วย ๒ หลักการ ดงั น้ี ๑) หน่วยงานของรัฐระบุ พัฒนา และดาเนินการประเมินผลระหว่างการปฏิบัติงานและหรือการ ประเมนิ ผลเปน็ รายครง้ั ตามทกี่ ำหนด เพอื่ ให้เกดิ ความมั่นใจวา่ ได้มีการปฏิบัติตามองค์ประกอบของการควบคุม ภายใน ๒) หน่วยงานของรัฐประเมินผลและสื่อสารข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของการควบคุมภายในอย่าง ทันเวลาต่อฝ่ายบริหารและผูก้ ากบั ดูแล เพอื่ ใหผ้ ้รู บั ผิดชอบสามารถสงั่ การแกไ้ ขได้อย่างเหมาะสม

29 พระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ มาตรา ๗๘ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาจรรยาของข้าราชการตามที่ส่วนราชการกำหนดไว้ข้าราชการที่ดี มเี กียรติและศกั ด์ิศรีความเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะในเร่ือง ดังต่อไปน้ี (๑) การยดึ ม่นั และยนื หยัดทำในสง่ิ ทถี่ ูกต้อง (๒) ความซื่อสตั ย์สจุ รติ และความรบั ผิดชอบ (๓) การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ดว้ ยความโปรง่ ใสและสามารถตรวจสอบได้ (๔) การปฏบิ ัติหนา้ ทโี่ ดยไมเ่ ลือกปฏบิ ัติอย่างไม่เป็นธรรม (๕) การมงุ่ ผลสมั ฤทธข์ิ องงาน มาตรา ๘๒ ข้าราชการพลเรอื นสามญั ต้องกระทำการอนั เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ดิ ังต่อไปน้ี (๑) ต้องปฏบิ ัติหน้าทร่ี าชการด้วยความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต และเทีย่ งธรรม (๒) ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของ คณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏบิ ัติตามระเบยี บแบบแผนของทางราชการ (๓) ต้องปฏิบัตหิ น้าทรี่ าชการให้เกิดผลดหี รือความก้าวหนา้ แก่ราชการดว้ ยความต้ังใจอุตสาหะ เอาใจ ใสแ่ ละรักษาประโยชน์ของทางราชการ

30 กฎหมายที่เก่ียวข้องกบั การทุจรติ ในภาครัฐ “การทุจริต” เป็นภัยร้ายแรงสำคัญที่ทำลายความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจึงมีนโยบายว่าจะสร้าง มาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมทั้งพัฒนา ความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชน ด้วย กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตลอดจนสนบั สนุนการสรา้ งคา่ นิยมของสังคมใหย้ ดึ มนั่ ในความซ่ือสตั ยส์ จุ ริตและถกู ต้องชอบธรรม ความหมายเกี่ยวกับการทจุ รติ คำว่า ทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑(๑) หมายถึง “เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” คำวา่ ทุจริตตอ่ หน้าท่ีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๔ หมายถงึ การปฏิบตั หิ รอื ละเว้นการปฏิบัติ อยา่ งใดในตำแหนง่ หรอื ละเวน้ การปฏบิ ตั ิอย่างใดในพฤติการณท์ ี่อาจทำให้ ผ้อู นื่ เชอ่ื ว่ามตี ำแหน่งหรือหน้าท่ีท้ัง ที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าท่ี ทั้งน้ี เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดย ชอบสำหรับตนเองหรอื ผู้อืน่ ” รปู แบบการทุจริต การทุจรติ ในวงราชการมหี ลายรูปแบบ เชน่ ๑. ฝ่าฝนื หลีกเลย่ี ง หรือบิดเบอื นระเบียบแบบแผน หรือกฎขอ้ บังคับ ๒. จูงใจ เรียกร้อง บงั คับ ข่มขู่ หน่วงเหน่ยี ว กลั่นแกล้ง หรอื หาประโยชน์ใส่ตน/พวก ๓. การสมยอม รู้เห็นเปน็ ใจ เพกิ เฉย ละเว้นการกระทำในการที่ตอ้ งปฏิบตั ิ หรือรับผดิ ชอบตามหน้าท่ี ๔. ยกั ยอก เบยี ดบงั ซึ่งทรัพย์สนิ ของราชการ ๕. ปลอมแปลง/กระทำใด ๆ อนั เป็นเทจ็ ๖. มีผลประโยชนร์ ่วมในกิจการบางประเภททส่ี ามารถใชอ้ ำนาจหนา้ ที่ของตนบันดาลประโยชน์ได้ มลู เหตกุ ารทจุ ริต การทุจรติ ในวงราชการมมี ูลเหตหุ ลายประการ เช่น ๑. เจ้าหนา้ ที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ๒. ขาดกลไกในการลงโทษและการบงั คับใชก้ ฎหมาย ๓. ขาดการตรวจสอบ และการควบคุม กำกบั ดแู ล ๔. เจ้าหน้าท่ีได้รับคา่ ตอบแทน/เงินเดือน ไม่พอกับการครองชีพ และมปี ัญหาทางเศรษฐกิจ หรอื อบายมขุ ๕. สภาพการทำงานเปิดโอกาส เอือ้ อำนวยต่อการกระทำทุจรติ กระบวนการปฏบิ ัติงานมีช่องโหว่ การตรวจสอบและป้องกันการทจุ ริต ๑. มกี ารสง่ เสรมิ ปลกู ฝงั และสร้างจิตสำนึก จริยธรรมคณุ ธรรม และความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ ๒. มีการป้องกันและเฝ้าระวงั เหตุการณแ์ ละพฤติกรรมที่อาจเป็นภัยตอ่ การทุจริตและประพฤติมิชอบ เชน่ มกี ารตรวจสอบภายใน หรอื ควบคุมภายใน อยา่ งเข้มงวดและจรงิ จัง ๓. มีการจัดการกรณีมีการทุจริตที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการสอบสวนลงโทษทั้งทางอาญาและทางวินัย อย่างรวดเรว็ และเป็นธรรม ๔. มกี ารประชาสมั พันธ์ราชการใสสะอาด เผยแพรใ่ หค้ วามรเู้ รือ่ งการทจุ รติ และโทษท่ีจะได้รับ ๕. มีการสร้างเครือข่ายราชการใสสะอาด เฝ้าระวังการทุจริตโดยเจา้ หน้าทีข่ องรัฐและภาคประชาชน ร่วมมอื กนั เช่น แจ้งเบาะแสการทจุ ริตของเจ้าหนา้ ท่ีใหท้ ำการตรวจสอบ

31 ความผิดของผู้ทกี่ ระทำการทุจริต การทจุ ริต นั้น อาจทจุ ริตเปน็ ตัวเงินหรือเป็นประโยชน์อยา่ งอน่ื ก็ได้ ผูท้ ่ีทำความผดิ จะต้องได้รบั โทษ ทางอาญา เช่น มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๗ ดงั น้ี มาตรา ๑๔๗ บัญญัติว่า \"ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซ้ือ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบัง ทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจรติ ยอมให้ผู้อืน่ เอาทรัพย์น้ันเสีย ต้องระวางโทษ จำคุกตง้ั แตห่ ้าปถี ึงย่ีสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแตส่ องพนั บาทถงึ สี่หม่ืนบาท มาตรา ๑๕๗ บัญญัติว่า \" ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หน่ึงปีถึงสบิ ปี หรอื ปรบั ต้ังแต่สองพนั บาทถงึ สองหมนื่ บาท หรือทงั้ จำ ทัง้ ปรับ สำหรับความผิดทางวินัยของผู้ทุจริต พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๘๕(๑) บัญญัตไิ ว้วา่ “การปฏิบัตหิ รอื ละเว้นการปฏบิ ัตหิ น้าทรี่ าชการโดยทุจริตเป็น ความผิดวินัยอยา่ งร้ายแรงความผิดวนิ ัยฐานทจุ ริตตอ่ หน้าที่ราชการ คณะรัฐมนตรีได้มีมติควรใหล้ งโทษไล่ออก จากราชการ ซงึ่ จะมีผลทำให้ผู้ถูกลงโทษไม่มีสทิ ธิไดร้ บั เงินบำเหน็จบำนาญ สำหรบั ความผิดวนิ ัยอยา่ งร้ายแรงเก่ยี วกบั การทุจรติ ดังกล่าว มอี งค์ประกอบ ๒ ประการ คอื มีหน้าที่ราชการที่จะตอ้ งปฏบิ ัติ หน้าที่ราชการ นั้น อาจเกิดจากกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือตามที่ ได้รบั มอบหมายกไ็ ด้ ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต การปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการละเว้น การปฏบิ ัตหิ นา้ ทร่ี าชการจะตอ้ งเปน็ กรณีทจ่ี งใจหรือเจตนาที่จะไม่ปฏบิ ตั ิหนา้ ทข่ี องตน ไม่ใช่เป็นเร่ืองพลั้งเผลอ หลงลมื หรอื เข้าใจผดิ คำว่า โดยทจุ ริตหมายถงึ เพ่อื แสวงหาประโยชน์ทม่ี ิควรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายสำหรับ ตนเองหรือผู้อืน่ ซึ่งการแสวงหาประโยชน์ดังกล่าวน้ัน อาจเป็นเงินทอง สิ่งของ หรือจะเป็นการได้รับบริการ ก็ ได้ ทั้งน้ี โดยจะต้องเป็นประโยชน์ที่ไม่ควรได้หรือไม่มีสิทธิที่จะได้รับโดยชอบธรรมหรือชอบด้วยระเบียบหรือ กฎหมาย ไม่วา่ ตนเองหรอื ผ้อู ่ืนจะได้ประโยชน์ดงั กลา่ วก็ตาม ความผิดต่อตำแหนง่ หนา้ ที่ราชการ มาตรา ๑๔๗๑ ผู้ใดเปน็ เจา้ พนกั งาน มหี นา้ ที่ซือ้ ทำ จดั การหรือรักษาทรพั ย์ใด เบยี ดบังทรพั ย์นั้นเป็น ของตน หรือเปน็ ของผู้อนื่ โดยทจุ ริต หรือโดยทุจรติ ยอมใหผ้ ู้อื่นเอาทรัพย์น้ันเสยี ต้องระวางโทษจำคุกต้ังแต่ห้า ปีถงึ ยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชวี ิต และปรับตัง้ แต่หน่งึ แสนบาทถึงส่แี สนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๔๘๒ ผู้ใดเปน็ เจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรอื จูงใจเพื่อให้บคุ คล ใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึง ย่สี ิบปี หรือจำคุกตลอดชวี ติ และปรบั ต้งั แต่หนึง่ แสนบาทถงึ สี่แสนบาท หรือประหารชีวิต [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๔๙๓ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิก สภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิ ชอบ เพ่ือ กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต

32 [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๐๔ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดยเห็นแก่ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานใน ตำแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงส่ี แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๑๕ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจใน ตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุก ตง้ั แตห่ ้าปีถงึ ยส่ี บิ ปี หรือจำคกุ ตลอดชีวิต และปรบั ตั้งแตห่ นง่ึ แสนบาทถึงสีแ่ สนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๒๖ ผใู้ ดเปน็ เจา้ พนกั งาน มีหนา้ ทจี่ ัดการหรอื ดแู ลกจิ การใด เข้ามีส่วนไดเ้ สยี เพอ่ื ประโยชน์ สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการน้ัน ต้องระวางโทษจำคุกตัง้ แต่หนึง่ ปีถงึ สิบปี และปรับตั้งแต่สองหม่นื บาทถึงสองแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๓๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จ่ายทรัพย์ จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อ ประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อ่ืน ตอ้ งระวางโทษจำคุกต้ังแตห่ นง่ึ ปถี ึงสบิ ปี และปรบั ตั้งแตส่ องหมื่นบาทถึงสอง แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๔๘ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษี อากร คา่ ธรรมเนยี ม หรือเงนิ อื่นใด โดยทจุ รติ เรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงิน นั้น หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสีย หรอื เสยี น้อยไปกว่าที่จะต้องเสยี ต้องระวางโทษจำคุกต้ังแตห่ ้าปีถึงย่ีสบิ ปี หรอื จำคกุ ตลอดชวี ติ และปรับต้ังแต่ หนงึ่ แสนบาทถงึ สแ่ี สนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบญั ญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๕๙ ผ้ใู ดเปน็ เจ้าพนกั งาน มหี น้าทกี่ ำหนดราคาทรัพย์สนิ หรือสนิ ค้าใด ๆ เพือ่ เรยี กเก็บภาษี อากรหรือค่าธรรมเนยี มตามกฎหมาย โดยทุจรติ กำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้านั้น เพื่อให้ผู้มหี น้าที่เสยี ภาษี อากรหรือค่าธรรมเนยี มน้ันมิต้องเสียหรือเสียน้อยไปกว่าทีจ่ ะต้องเสยี ต้องระวางโทษจำคุกต้ังแต่ห้าปีถึงย่ีสิบปี หรอื จำคุกตลอดชีวติ และปรบั ต้ังแต่หนง่ึ แสนบาทถงึ สแี่ สนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๖๑๐ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีตามกฎหมาย โดยทุจริต แนะนำ หรือ กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้มีการละเว้นการลงรายการในบัญชี ลงรายการเท็จในบัญชี แก้ไข บัญชี หรือซ่อนเร้น หรือทำหลักฐานในการลงบัญชีอันจะเป็นผลให้การเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิ

33 ต้องเสีย หรือเสียน้อยกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และ ปรับตัง้ แต่หน่งึ แสนบาทถงึ สี่แสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๗๑๑ ผู้ใดเปน็ เจา้ พนกั งาน ปฏบิ ตั ิหรือละเวน้ การปฏบิ ัติหน้าทโ่ี ดยมชิ อบ เพ่ือให้เกิดความ เสยี หายแกผ่ ู้หนงึ่ ผู้ใด หรอื ปฏิบัติหรอื ละเวน้ การปฏิบัติหนา้ ทีโ่ ดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกต้ังแต่หน่ึงปีถึงสิบ ปี หรือปรับต้งั แตส่ องหม่นื บาทถึงสองแสนบาท หรือทง้ั จำทั้งปรบั [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๘ ผูใ้ ดเปน็ เจ้าพนกั งาน ทำใหเ้ สยี หาย ทำลาย ซอ่ นเรน้ เอาไปเสีย หรือทำใหส้ ญู หายหรือ ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรกั ษาไว้ หรือยินยอมให้ผู้อื่น กระทำเชน่ นนั้ ตอ้ งระวางโทษจำคุกไมเ่ กินเจด็ ปี และปรบั ไมเ่ กินหนึง่ แสนสี่หม่นื บาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๕๙ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ดูแล รักษาทรัพย์หรือเอกสารใด กระทำการอันมิชอบ ด้วยหนา้ ท่ี โดยถอน ทำใหเ้ สยี หาย ทำลายหรือทำใหไ้ ร้ประโยชน์ หรือโดยยนิ ยอมใหผ้ อู้ น่ื กระทำเชน่ นั้น ซึ่งตรา หรือเครื่องหมายอันเจ้าพนักงานได้ประทับหรือหมายไว้ที่ทรัพย์หรือเอกสารนั้นในการปฏิ บัติการตามหน้าท่ี เพื่อเป็นหลักฐานในการยึดหรือรักษาสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือท้ังจำทงั้ ปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๐ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาหรือใช้ดวงตราหรือรอยตราของราชการหรือของ ผอู้ ื่น กระทำการอันมชิ อบดว้ ยหนา้ ท่ี โดยใช้ดวงตราหรอื รอยตรานั้น หรือโดยยินยอมใหผ้ อู้ ืน่ กระทำเช่นนั้น ซ่ึง อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือท้ัง จำท้งั ปรบั [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๑ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษา เอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสทีต่ นมหี นา้ ทีน่ ้ัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสบิ ปี และปรับ ไม่เกนิ สองแสนบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๒ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการดังตอ่ ไปน้ใี นการปฏบิ ตั กิ ารตามหน้าที่ (๑) รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตน อันเป็นความเท็จ (๒) รบั รองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมไิ ด้มีการแจง้

34 (๓) ละเว้นไม่จดข้อความซึ่งตนมีหน้าที่ต้องรับจด หรือจดเปลี่ยนแปลงข้อความเช่นว่านั้น หรือ (๔) รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกนิ หน่งึ แสนส่หี มื่นบาท [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๓ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ในการไปรษณีย์ โทรเลขหรือโทรศัพท์ กระทำการอันมิ ชอบด้วยหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) เปิด หรือยอมให้ผู้อื่นเปิด จดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข (๒) ทำให้เสยี หาย ทำลาย ทำใหส้ ูญหาย หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำให้สูญหาย ซ่ึงจดหมายหรือส่งิ อ่นื ทส่ี ง่ ทางไปรษณยี ห์ รือโทรเลข (๓) กัก ส่งให้ผิดทาง หรือส่งให้แก่บุคคลซึ่งรู้ว่ามิใช่เป็นผู้ควรรับซึ่งจดหมาย หรือสิ่งอื่นที่ส่งทาง ไปรษณยี ์หรือโทรเลข หรอื (๔) เปิดเผยข้อความที่ส่งทางไปรษณีย์ ทางโทรเลขหรือทางโทรศัพท์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หน่งึ แสนบาท หรือทง้ั จำทัง้ ปรบั [อตั ราโทษ แกไ้ ขเพิม่ เติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบญั ญัตแิ ก้ไขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๔ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน รู้หรืออาจรู้ความลับในราชการ กระทำโดยประการใด ๆ อันมิ ชอบด้วยหนา้ ที่ ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนัน้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกนิ หนึ่งแสนบาท หรือ ทงั้ จำทง้ั ปรบั [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๕ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่ง ซึ่งได้สั่ง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น ต้อง ระวางโทษจำคกุ ไม่เกินหน่งึ ปี หรอื ปรับไม่เกนิ สองหมนื่ บาท หรอื ท้ังจำทัง้ ปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐] มาตรา ๑๖๖ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ละทิ้งงานหรือกระทำการอย่างใด ๆ เพื่อให้งานหยุดชะงักหรือ เสยี หาย โดยรว่ มกระทำการเช่นนั้นด้วยกนั ตั้งแต่ห้าคนข้ึนไป ตอ้ งระวางโทษจำคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรอื ทัง้ จำทัง้ ปรับ ถ้าความผิดนัน้ ได้กระทำลงเพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาลหรือ เพ่ือขม่ ข่ปู ระชาชน ผกู้ ระทำต้องระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กนิ สิบปี และปรับไมเ่ กินสองแสนบาท

35 บทบาทของผู้บริหารในการตัดสนิ ใจแก้ปญั หาภายในองค์กร การจะเป็น ผ้บู ริหารทดี่ ี มีคุณสมบัติทเ่ี หมาะสมในการทำงานบริหารได้นน้ั จะต้องมีคุณสมบตั ิ ดงั น้ี ผูบ้ รหิ าร คืออะไร ผู้บริหาร คือ ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถหลาย ๆ ด้าน และสามารถแบ่งงานให้ตามความสามารถ ของแต่ละบุคคลและให้คำแนะนำการทำงานได้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คำว่า บริหาร ตามพจนานุกรมหมายถึง การแบ่งงานกันทำโดยทั่วถึง การกระจายงาน ผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินการต่าง ๆ ผู้ที่ทำ การปกครอง บทบาทผู้บริหาร บทบาทสำคญั และหนา้ ทีข่ องผู้บริหาร ๑. เป็นผู้นำในด้านความรคู้ วามสามารถในหลาย ๆ ด้าน และมคี วามทันสมัย การเป็นผนู้ ำในการบริหารต้องมีความรคู้ วามสามารถในหลาย ๆ ดา้ น และอปั เดตเทรนดต์ า่ ง ๆ ให้ทัน ยุคทันสมัยอยู่เสมอ ติดตามข่าวสารความรู้ด้านต่างๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในหน่วยงาน และเพื่อที่จะสามารถสั่ง การบุคลากรในหนว่ ยงานไดแ้ ละสามารถสั่งสอนเรอ่ื งต่าง ๆ ทบี่ ุคลากรไม่มคี วามเขา้ ใจในด้านนน้ั ๆ ได้ ๒. เป็นผู้นำการส่งั การ มบี ทบาทหรอื อิทธพิ ลตอ่ บคุ ลากรในหนว่ ยงาน เพราะต้องได้รับหน้าที่สำคัญในการบริหารงานให้ประสบผลสำเร็จ จึงต้องเป็นผู้นำในการสั่งการ ให้กับทุกฝ่ายทุกหน่วยงานสามารถดำเนินงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารต้องมอบงานให้กับบุคลากร ได้อยา่ งเหมาะสมดว้ ย ๓. เป็นผจู้ ัดหาสง่ิ ต่าง ๆ ในการดำเนินงาน มีบทบาทมากกวา่ ผอู้ นื่ การเป็นผู้บริการก็คือการเป็นผู้นำ การจะทำอะไรก็ตามแต่จะต้องดำเนินงาน จัดหาสิ่งต่าง ๆ เช่น จะตอ้ งหาทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ เพ่ือมาดำเนนิ งานในองคก์ ร เพ่ือให้งานเดินต่อไปได้สำเรจ็ ๔. เปน็ ผ้สู ร้างความสัมพนั ธอ์ นั ดีในองค์กร เป็นที่ยอมรับจากบุคลากรให้เปน็ ผู้นำ เนื่องจากในองค์กรนั้นต้องมีการสนทนากันระหว่างบุคคลด้วย ผู้บริหารต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของ หน่วยงานและบุคลากรให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อการทำงานขององค์กรจะได้มีประสิทธิภาพอย่างมาก ทส่ี ดุ ๑๑ สิง่ ท่ผี ู้บริหารควรมี ๑. มีภาวะผนู้ ำ จูงใจผ้คู นให้เต็มใจร่วมมือ บริหารผ้คู นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ๒. มีเมตตาธรรม ไม่มีอคติหรือรักต่อบุคคลใด ๆ ไม่ใช้ความเป็นส่วนตัวในการตัดสิน รู้จักเสียสละ ผลประโยชนส์ ่วนตวั เพอื่ สว่ นรวม ๓. ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง มีความชัดเจน มีความเป็นธรรม และตัดสินใจ แกไ้ ขปัญหาจากพ้ืนฐาน เพื่อความถกู ต้อง ๔. เป็นนักคิด นักวิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถวิเคราะห์สถานะการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ ๕. มีการสรา้ งวิสัยทศั น์ มีมุมมองท่ีมองเห็นอนาคตว่าจะเปน็ อย่างไร จากความรทู้ ี่สะสมมา มีมุมมอง ที่ดใี นทกุ ๆ ดา้ น ๖. มีทักษะหลายด้าน ต้องมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การตัดสินใจ การจัดการที่ดี และรู้จัก บริหารสว่ นต่าง ๆ ๗. รอบรแู้ ละมีข้อมลู ท่ีทันสมัย ตอ้ งอัปเดตมีความรู้ใหม่ ๆ เพอ่ื ตัดสนิ ใจในการบรหิ าร หรือ ตัดสินใจ ในหลาย ๆ ด้าน ๘. รแู้ ละเข้าใจบทบาทหนา้ ท่ี รู้จักบทบาทหนา้ ที่ของตนเอง ดแู ลหน้าทีข่ องตนเองอย่างเหมาะสม ไม่ กา้ วก่ายงานทตี่ นไม่ได้รบั ผดิ ชอบ

36 ๙. กล้าตัดสินใจ กล้าท่ีจะทำตัดสินปญั หาไดอ้ ย่างม่นั คง ไมล่ งั เลในความคดิ ๑๐. มยี ทุ ธวธิ ีและเทคนิค มที กั ษะและวิธีการทีเ่ หมาะสม รวดเรว็ และถกู ตอ้ งในการตัดสนิ ใจในแต่ละเรอ่ื ง ๑๑. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี นักบริหารมืออาชีพจะต้องเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ทีด่ ีกับทุกคน ทั้งเจ้านาย ลกู น้อง เพ่อื น และบคุ คลท่ัวไป ๘ หลกั การของผู้บริหาร เพอ่ื การทำงานใหม้ ีประสิทธภิ าพ ๑. การวางแผน คือ การร่วมมือของบุคลากรกับผู้บริหารในการวางแบบโครงสร้างในอนาคตเพื่อจะ ได้กระทำงานให้บรรลเุ ปา้ หมายทต่ี ัง้ ไว้ ๒. การจัดระบบ คือ การกำหนดหน้าที่ให้กับบุคลากรในการรับผดิ ชอบในการกระทำการนั้น ๆ และ ขึน้ ตรงกบั บคุ คลใด และรายงานผลการปฏิบัตงิ านกับบคุ คลใด ๓. การรบั บุคลากรเข้าทำงาน คือ การจัดหรือเพ่มิ จำนวนบุคลากรท่มี ีความสามารถมารบั ตำแหน่งใน การทำงารเพ่อื เพิ่มประสิทธิภาพขององคก์ รให้มีประสทิ ธิภาพสูงสดุ ๔. การอำนวยการ คือ การตัดสินใจ การสั่งการบุคลากร การสร้างแรงจูงใจให้แก่บุคลากร การ ติดตอ่ ส่อื สารกับหนว่ ยงานอื่น ๆ ๕. การควบคมุ คือ การจัดการงานใหเ้ ป็นไปตามแบบแผนท่ีตง้ั ไว้ให้ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการเบ่ียงเบน ออกจากแบบแผนเดมิ ซง่ึ ทำให้ไมป่ ระสบผลสำเรจ็ ๖. การประสานงาน คือ การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานและในหน่วยงานให้มีความสัมพันธ์ที่ดี ต่อกันในการร่วมกันทำงานทำให้งานนน้ั มีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ ๗. การเสนอรายงาน คอื การรายงานผลการปฏิบัตงิ านของหน่วยงานใหไ้ ด้ทราบการเคล่ือนไหว ๘. การจัดการงบประมาณ คือ การจัดสรรการใช้งานทรัพยากรให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด และจัดระบบ การใชง้ บให้เหมาะสมกบั งานทีต่ งั้ ไวอ้ ยา่ งเหมาะสม บทบาทผู้บรหิ ารในการตดั สนิ ใจแกไ้ ขปญั หา การเสริมสรา้ งบรรยากาศในองคก์ ร และความรู้สึกยดึ มัน่ ผูกพนั ของบุคลากรตอ่ องคก์ ร สมรรถนะ (Competency) เป็นกลุ่มคุณลักษณะพื้นฐานที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ แนวความคิดส่วน บุคคล คา่ นยิ ม ความเชื่อ ทัศนคตแิ ละแรงจงู ใจในการปฏบิ ัติงาน สมรรถนะทั่วไปของผบู้ ริหาร ประกอบดว้ ย 1) แรงกระทบและอิทธิพล หมายถงึ ความตั้งใจที่จะจูงใจ ทำให้เชอ่ื ม่ัน การใชอ้ ำนาจหรือการทำให้ผู้อื่น ประทบั ใจ 2) การมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ เป็นการตระหนักในการทำงานใหด้ ี หรอื ให้ได้มาตรฐานชน้ั เย่ยี ม 3) ทีมงานและการปฏิบัติการร่วม หมายถึง มีความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น เป็นส่วน หนึง่ ของทีม ตอ่ ตา้ นการทำงานคนเดียวหรอื การแข่งขัน 4) การคิดเชิงวิเคราะห์ หมายถึง การเข้าใจสถานการณ์ การคิดอย่างวิเคราะห์รวมไปถึงการจัดส่วนของ ปัญหา หรือสถานการณอ์ ย่างเปน็ ระบบ 5) การพัฒนาผอู้ ืน่ หมายถงึ ความตงั้ ใจทจี่ ะสอนหรือสนับสนุนการพฒั นาตนเองของผ้อู น่ื 6) ความเชื่อมั่นในตนเอง หมายถึง ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะทำงานสำเร็จ รวมไปถึง การแสดงออกในความเชอื่ มน่ั ของบุคคลในสถานการณ์ทท่ี า้ ทายข้ึนกวา่ เดมิ 7) การสัง่ การและการยืนยัน หมายถงึ ความตง้ั ใจทจี่ ะทำให้ผู้อ่ืนทำตามความประสงค์

37 8) การค้นหาข้อมูลข่าวสาร หมายถึง ความอยากรู้ อยากเห็น ความต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เรื่องบุคคล หรือประเด็นที่ผลักดันให้ค้นหาข้อมูลข่าวสาร การมองหาข้อมูลข่าวสาร การสร้างความ พยายามที่จะไดข้ ้อมูลขา่ วสารทมี่ ากกว่า 9) ภาวะผ้นู ำกล่มุ หมายถึง ความตง้ั ใจทีจ่ ะเป็นผูน้ ำของทีมหรอื กลมุ่ ตอ้ งการนำผู้อื่น 10)คิดอย่างมีแนวคิด หมายถึง การเข้าใจสถานการณ์หรือปัญหา โดยนำแต่ละอย่างมาใส่ไว้ด้วยกันแล้ว มองในภาพรวม รวมไปถึงการระบุรูปแบบหรือการเชื่อมต่อระหว่างสถานการณ์ที่ไม่สัมพันธ์กันอย่าง ชัดเจน การจำแนกสงิ่ ทเ่ี ป็นกุญแจสำคญั หรือประเด็นพน้ื ฐานในสถานการณ์ท่ีซับซอ้ น 11)ความชำนาญ / ความรูท้ ่ีเชย่ี วชาญ ฉะนนั้ สมรรถนะของผู้บริหาร คอื คณุ ลักษณะพ้ืนฐานของผู้บริหาร ที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ แนวความคิดส่วนบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติและแรงจูงใจในหน้าที่ การบริหาร ที่มีความสัมพันธใ์ นทางบวกกับหน้าทีด่ ้านการบริหาร ที่สามารถแยกผู้ที่ปฏิบัตหิ น้าที่การ บรหิ ารไดอ้ ย่างยอดเย่ียมออกจากผทู้ ่ปี ฏิบัติหนา้ ท่ีทางการบริหารทวั่ ๆไป นอกจากนั้น ในฐานะผู้บรหิ าร ควรมีการประเมินสมรรถนะของตนเอง โดยใช้แบบวิเคราะห์ตนเองสำหรับ ผู้บริหาร (Managerial Leaddership Roles : Quinn) ซึ่งเป็นการประเมินผู้บริหารใน ๔ โมเดล ๘ บทบาท ๓๒ สมรรถนะ โดยมีจำนวน ๓๖ ขอ้ คำถาม เทคนิคการส่อื สาร/การให้ขอ้ มลู ในการเจรจาตอ่ รองและการบรหิ ารความขัดแยง้ การเจรจาต่อรอง หมายถึง การเสนอต่อกันและกัน เพื่อหาข้อยุติที่แน่นอนและชัดเจน เทคนิคการ เจรจาตอ่ รอง ๑. ต้องการเอาชนะ จะมปี ัญหาในเรื่องความสมั พันธ์ในระยะยาว ไมเ่ หมาะสมและควรใช้ในช่วงท่มี ีความจำเป็น เทา่ น้ัน การเจรจาควรนกึ ถึง Win – Win ๒. ใช้ความนุ่มนวล เหน็ อกเหน็ ใจคกู่ รณี จะทำให้คู่กรณียอมตกลงด้วยตามทตี่ ้องการ ข้อพึงระวังในการเจรจาตอ่ รอง ๑. การเตรียมการไม่พอ เพราะการเตรียมการทำใหเ้ ห็นภาพทดี่ ใี นทางเลอื กของทา่ น ๒. เมินเฉยกับการให้และรับรู้แต่ละฝ่ายต้องการให้การเจรจาต่อรองลงเอยด้วยการให้ทั้ง สองฝ่ายได้รับประโยชนอ์ ย่างเต็มที่ ๓. ใช้พฤตกิ รรมขม่ ขู่ จะเกิดแรงต้าน ๔. ขาดความอดทน ไมค่ วรรีบร้อนจึงจะประสบผลสำเรจ็ ๕. อารมณเ์ สยี ทำใหไ้ มไ่ ด้รับความรว่ มมอื และแก้ปัญหาไม่ได้ ๖. พูดมากเกนิ ไป พูดน้อยเกนิ ไป ๗. โตเ้ ถียงแทนการจงู ใจ ต้องใช้ข้อมลู ตา่ งๆ เพือ่ อธิบาย ไมใ่ ชก่ ารดึงดนั ๘. เฉยเมยกับความขัดแย้ง ตอ้ งมีการเรียนรู้ไมใ่ ชห่ ลีกหนีปัญหา สรุป ผบู้ ริหาร/ผู้เจรจาตอ่ รองต้องร้จู ักการพูดและฟัง ต้องศกึ ษาขอ้ มูลท้ังสองฝ่ายให้มากพอ รู้จักต่อรองอย่า รีบร้อนหรือด่วนตัดสินใจ อย่าเปิดเผยความลับหรือจุดอ่อนของตนเอง มีความยืดหยุ่น มีข้อมูลหลากหลาย ประกอบการพิจารณาอยา่ งละเอยี ดรอบคอบ กอ่ นท่ีจะตัดสินใจตกลงรบั เงื่อนไข

38 พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญในมาตรา ๑๓ ให้เพิ่มบทบัญญัติการลงโทษแกเ่ จ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำผิด ๗ มาตราแก่เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้กระทำความผิด คือมาตรา ๑๒๓/๒ มาตรา ๑๒๓/๓ มาตรา ๑๒๓/๔ มาตรา ๑๒๓/๕ มาตรา ๑๒๓/๖ มาตรา ๑๒๓/๗ และมาตรา ๑๒๓/๘ โดยสรปุ ได้ ดงั นี้ ๑. เรื่องอายุความ มาตรา ๗๔/๑ ในการดำเนินคดีอาญาตามหมวดนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย หลบหนีไปในระหว่างถกู ดำเนินคดีหรือระหวา่ งการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยดุ อยู่ และเมื่อได้มี คำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ จะไม่นำเรื่องอายุความมาใช้บังคับ ซึ่งหลักการนี้ได้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ป.ป.ช. ๒๕๔๒ [แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔] อยู่แล้ว โดยพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงการดำเนินคดีอาญาในทุกขั้นตอนทั้งในกระบวนการ ไต่สวนข้อเท็จจริง กระบวนการฟ้องคดี กระบวนการพิจารณาของศาล รวมถึงกระบวนการ ภายหลังศาลมี คำพพิ ากษาด้วย ๒. การกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ ในมาตรา ๑๒๓/๕ ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะใหท้ รพั ย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าหน้าที่ของรฐั เจ้าหน้าที่ของรัฐตา่ งประเทศ หรอื เจา้ หน้าท่ีขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อจูงใจให้ กระทำการ ไม่กระทำการ หรอื ประวิงการกระทำอันมิชอบ ด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในมาตรา ๑๒๓/๕ กำหนดให้มฐี านความผดิ เฉพาะสำหรับนิตบิ ุคคล ที่เก่ียวข้องกับการให้ สินบนเจา้ หนา้ ท่ขี ้นึ เนื่องจากผลโยชน์ท่ี เกิดจากการให้สินบน เช่น การได้รับสัมปทาน หรือโครงการขนาดใหญ่ ของรัฐ แท้จริงแล้วผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ จากการติดสินบนดังกล่าวก็คือนิติบุคคลนั้นเอง กฎหมายใหม่ จึงกำหนดให้นิติบุคคลมีความผิด ถ้าคนท่ี เกี่ยวข้องกับนิติบคุ คล เช่น ลูกจ้าง ตัวแทน ได้ให้สินบนเจ้าหน้าที่ไม่ว่า จะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยหรือต่างประเทศ และทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้น โดยนิติบุคคลดังกล่าว ไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสม เพื่อป้องกัน โดยมีการกำหนดโทษเป็นโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าแต่ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดข้ึน หรือประโยชน์ทีน่ ิติบุคคลนั้นได้รับ ซึ่งกรณีที่เป็นการใหส้ นิ บนในโครงการขนาดใหญ่ อาจทำให้มีโทษปรับทาง การเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท โดยมาตรการลงโทษทางการเงินนี้ จะทำให้รัฐไดร้ ับการเยียวยาความเสียหาย เพ่อื เอาประโยชน์ทน่ี ิติบคุ คลไม่ควรได้ กลับคืนมาใหร้ ฐั และเพ่ือเปน็ การปอ้ งปรามการกระทำความผิด ๓. บทกำหนดโทษสำหรับความผิดกรณีเรียกรับสินบน ในมาตรา ๑๒๓/๒ กำหนดบทลงโทษกรณี เจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ ผู้เรียก รับสินบน หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสน บาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต ซึ่งโทษประหารชีวิตน้ัน มีกำหนดอยู่แลว้ ตามฐานความผิดกรณีเจ้าพนักงาน เรียกรับสนิ บน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ซงึ่ ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ยกบทกำหนดโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญามาใช้กำหนดตวั ผู้กระทำความผิด เพิ่มเติม คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือ เจ้าหน้าทีข่ ององค์การระหว่างประเทศ และมีการปรับเปลี่ยน ในส่วนของอัตราโทษปรับที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิด ความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC โดยมาตรา ๓ ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ” และ “เจ้าหน้าที่ของ องค์การระหว่าง ประเทศ” ระหว่างบทนิยามคำวา่ “เจ้าหน้าที่ของรฐั ” และคำว่า “ผู้ดำรงตำแหนง่ ทาง การเมือง” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ดังน้ี “เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ” หมายความว่า ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งด้านนิติบัญญัติ บริหาร ปกครอง หรือตุลาการ ของรัฐต่างประเทศ และบุคคลใด ๆ ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับหน้าที่ราชการให้แก่รัฐ ต่างประเทศ รวมทั้งการ

39 ปฏิบัติหน้าที่สำหรับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าโดยการแต่งตั้ง หรือเลือกตั้งมีตำแหน่ง ประจำหรือช่ัวคราวและได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนอื่นหรือไม่ก็ตาม “เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่าง ประเทศ” หมายความว่า ผู้ปฏิบัติงานในองค์การระหว่าง ประเทศ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากองค์การ ระหวา่ งประเทศให้ปฏบิ ัติงานในนามขององค์การระหวา่ ง ประเทศนนั้ ๔. หลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า (Value- Based Confiscation) ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา ๑๒๓/๖ – ๑๒๓/๘ กำหนดให้การริบทรัพย์ในคดีทุจริต เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุม ถึงทรัพย์สินที่ได้มาแทนเนื่องจากมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแปลงสภาพทรัพย์ไป และในกรณีที่ไม่สามาร ติดตามทรัพย์คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาล สามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สิน และให้มี การชำระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ หลักการนี้จะ เป็นการสกัดการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ของผูก้ ระทำผิด

40 พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วนั ที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปที ่ี ๓ ในรชั กาลปัจจบุ ัน หมวด ๖ การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นบุคคลกบั ประโยชนส์ ว่ นรวม มาตรา ๑๒๘ ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณ เปน็ เงินไดจ้ ากผูใ้ ด นอกเหนือจากทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรอื ข้อบงั คบั ท่ีออกโดย อาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาตาม หลักเกณฑ์และจํานวนทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ความในวรรคหน่งึ มใิ หใ้ ช้บงั คบั กบั การรบั ทรพั ย์สินหรือ ประโยชน์อื่นใดจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือญาติที่ให้ตามประเพณีหรือตามธรรมจรรยาตามฐานานุรูป บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้นจาก การเป็นเจ้า พนกั งานของรฐั มาแล้วยงั ไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโลม เจตนารมณ์มาตรา ๑๒๘ เพื่อไม่ให้การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐจาก บุคคลในโอกาสต่างๆมีอิทธิพลต่อการ ปฏิบัติหน้าที่ซึง่ เป็นสาเหตุหนึ่งของการขดั กันระหว่างผลประโยชนส์ ่วน บุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมจึงได้กําหนด หลักเกณฑ์ในการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไว้เพื่อให้ เจา้ หนา้ ที่ของรฐั ทุกตําแหน่งตอ้ งปฏิบัติตามกฎหมาย ขอ้ ยกเวน้ ๑) หากเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมายกําหนดอาทิเงินเดือนเงินประจํา ตาํ แหนง่ ค่าจ้างเบีย้ เลีย้ งการเดนิ ทาง ค่าทีพ่ ัก คา่ เดนิ ทาง คา่ รับประทานอาหาร คา่ สมนาคุณวิทยากร ๒) จากบุพการี ผู้สืบสนั ดาน หรือญาตทิ ี่ใหต้ ามประเพณีหรือตามธรรมจรรยาตามฐานานุรปู ๓) หากเปน็ การรับทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดโดยธรรมจรรยา หลกั เกณฑ์และจำนวนทรัพย์สินหรอื ประโยชนอ์ ื่นใดทีเ่ จา้ หน้าที่ของรัฐ จะรบั จากบคุ คลโดยธรรมจรรยา ๑) รบั ทรัพยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ ่ืนใดจากญาติตามจํานวนที่เหมาะสมตามฐานะ ๒) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติมีราคาหรือมูลค่าในการรับจากแต่ละ บคุ คล แตล่ ะโอกาสไม่เกนิ ๓,๐๐๐ บาท ๓) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่การให้นั้นเป็นการให้ลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป กรณีรับ ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ ืน่ ใดที่มีมลู ค่าเกนิ ๓,๐๐๐ บาท หากเจา้ หน้าท่ขี องรัฐมคี วามจําเป็นทตี่ ้องรับทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าเกิน ๓,๐๐๐ บาทเพื่อรักษาไมตรีหรือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลเจ้าหน้าที่รัฐต้องแจ้ง รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์หรือประโยชน์นั้น ต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารสูงสุด วินิจฉัยว่ามีเหตุผลความจําเป็นความ เหมาะสมสมควรที่จะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ไว้เป็น สิทธิของตนหรือไม่ กรณีมี คําส่ังไมใ่ ห้รบั ทรัพยส์ นิ หรือประโยชน์นั้นไว้ให้คืนทรัพย์สินหรือประโยชน์นัน้ แกผ่ ู้ให้ในทนั ที หากไม่สามารถคืน ได้ให้ส่งมอบทรัพย์สนิ หรือประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผนู้ ้ันสังกัดโดยเร็ว กรณีผู้ดํารงตําแหน่ง หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าหรือผู้บริหารสูงสุดของ รัฐวิสาหกิจกรรมการหรือผู้บริหาร สงู สุดของหน่วยงานของรฐั ใหแ้ จ้งต่อผู้มีอาํ นาจแตง่ ต้ังถอดถอน กรณีเจา้ หนา้ ที่ของรฐั ท่ีได้พ้นจากตําแหน่งการ เป็นเจา้ หน้าที่ของรัฐไปแลว้ ยงั ไม่ถงึ ๒ ปจี ะตอ้ งแจง้ ต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีการรับทรัพยส์ ินของเจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐ ถ้าหากเจ้าหน้าที่มีความจําเป็นต้องรับทรัพย์สินไว้เพื่อรักษามิตรไมตรีแล้วเจ้าหน้าที่จะต้องแจ้ง รายละเอียดเกี่ยวกับการรับต่อหัวหน้าส่วนราชการให้วินิจฉัยว่าสมควรรับหรือไม่ซึ่งหากวินิจฉัยว่ารับได้

41 เจ้าหน้าที่จึง สามารถรับทรัพย์สินเป็นของตนเองได้แต่หากวินิจฉัยว่ารับไม่ได้ก็ให้เจ้าหน้าที่คืนทรัพย์สินแก่ เจ้าของหรือส่งมอบให้ เป็นสิทธิ์ของหน่วยงานต้นสังกัด กรณีผู้รับทรัพย์สินเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ของรัฐจะต้องรายงานรายละเอียดเกี่ยวกับการรับ ทรัพย์สินกับผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนแต่ถ้าหากเป็น ประธานองค์กรอิสระหรือหัวหน้าส่วนราชการที่ไม่มี ผู้บังคับบัญชาถอดถอนให้แจ้งรายละเอียดกับ คณะกรรมการป.ป.ช. บทลงโทษ หากเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษคือจำคุกไม่เกิน ๓ปีหรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับและให้ถือเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือ ความผดิ ต่อ ตำแหนง่ หนา้ ทใี่ นการยุตธิ รรมดว้ ย

42 กฎหมายอาญา หมวด ๒ ความผิดต่อตำแหนง่ หนา้ ท่รี าชการ มาตรา ๑๕๗๑๑ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแกผ่ ู้หนึง่ ผ้ใู ด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏบิ ัติหนา้ ที่โดยทจุ ริต ต้องระวางโทษจำคุก ตัง้ แต่หน่งึ ปีถงึ สบิ ปี หรือปรับตงั้ แต่สองหม่นื บาทถงึ สองแสนบาท หรือทั้งจำทงั้ ปรับ [อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

43 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พ.ศ.๒๕๖๔ การจ้างทำของ มาตรา ๕๘๗ อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกวา่ ผู้รับจา้ ง ตกลงจะทำการงานส่งิ ใดสิ่งหน่ึงจนสำเรจ็ ให้แกบ่ คุ คลอกี คนหนึง่ เรยี กวา่ ผวู้ ่าจ้าง และผู้วา่ จ้างตกลงจะใหส้ ินจา้ งเพอ่ื ผลสำเรจ็ แหง่ การ ทที่ ำนั้น มาตรา ๕๘๘ เคร่ืองมือต่าง ๆ สำหรบั ใช้ทำการงานให้สำเร็จน้ันผูร้ ับจา้ งเปน็ ผ้จู ัดหา มาตรา ๕๘๙ ถ้าสัมภาระสำหรบั ทำการงานทกี่ ลา่ วนั้นผู้รบั จา้ งเป็นผู้จัดหา ท่านวา่ ตอ้ งจัดหาชนดิ ทด่ี ี มาตรา ๕๙๐ ถา้ สมั ภาระน้ันผู้วา่ จ้างเปน็ ผูจ้ ัดหามาส่ง ทา่ นใหผ้ รู้ ับจ้างใช้สัมภาระดว้ ยความระมัดระวัง และประหยดั อย่าให้เปลืองเสยี เปล่า เมื่อทำการงานสำเร็จแล้ว มสี ัมภาระเหลืออยู่ก็ใหค้ ืนแก่ผ้วู ่าจ้าง มาตรา ๕๙๑ ถ้าความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระ ซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้น ไมเ่ หมาะหรือวา่ คำส่ังน้ันไม่ถกู ต้องและมิไดบ้ อกกล่าวตกั เตือน มาตรา ๕๙๒ ผู้รับจ้างจำต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนของผู้ว่าจ้างตรวจตราการงานได้ตลอดเวลา ทท่ี ำอยู่น้ัน มาตรา ๕๙๓ ถา้ ผรู้ บั จ้างไม่เริ่มทำการในเวลาอนั ควร หรอื ทำการชกั ช้าฝ่าฝืนข้อกำหนดแหง่ สัญญาก็ดี หรอื ทำการชักช้าโดยปราศจากความผิดของผวู้ ่าจ้าง จนอาจคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าการน้ันจะไม่สำเร็จภายใน กำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้ มิพักต้องรอคอยให้ถึงเวลากำหนดส่งมอบ ของน้นั เลย มาตรา ๕๙๔ ถ้าในระหว่างเวลาที่ทำการอยู่น้ันเปน็ วสิ ัยจะคาดหมายลว่ งหน้าได้แนน่ อนวา่ การที่ทำ นั้นจะสำเร็จอยา่ งบกพร่องหรือจะเปน็ ไปในทางอันฝ่าฝนื ขอ้ สญั ญาเพราะความผิดของผูร้ บั จ้างไซร้ ผู้ว่าจา้ งจะ บอกกล่าวให้ผู้รับจ้างแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้คืนดี หรือทำการให้เป็นไปตามสัญญาภายในเวลาอันสมควรซ่ึง กำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นก็ได้ ถ้าและคลาดกำหนดนั้นไป ท่านว่าผู้ว่าจ้างชอบที่จะเอาการนั้นให้ บคุ คลภายนอกซอ่ มแซมหรือทำตอ่ ไปได้ซง่ึ ผู้รบั จา้ งจะต้องเสย่ี งความเสียหายและออกคา่ ใช้จ่ายทั้งสิน้ มาตรา ๕๙๕ ถา้ ผูร้ บั จ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระไซร้ ความรับผิดของผูร้ ับจ้างในการบกพร่องนั้น ท่านให้ บังคบั ด้วยบทแห่งประมวลกฎหมายนี้ ลักษณะซื้อขาย มาตรา ๕๙๖ ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดีหรือถ้าไม่ได้ กำหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสำคัญ แห่งสัญญาอย่ทู ีเ่ วลา ก็ชอบท่จี ะเลกิ สัญญาได้ มาตรา ๕๙๗ ถา้ ผวู้ ่าจ้างยอมรบั มอบการท่ีทำน้นั แลว้ โดยมิไดอ้ ิดเอ้อื น ผ้รู บั จา้ งกไ็ มต่ อ้ งรับผิดเพื่อการ ท่สี ง่ มอบเนนิ่ ช้า มาตรา ๕๙๘ ถ้าผู้วา่ จา้ งยอมรบั มอบการที่ทำนัน้ แลว้ ท้ังชำรุดบกพรอ่ งมิได้อิดเอือ้ นโดยแสดงออกชดั หรือโดยปริยาย ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นเช่นจะไม่พึงพบได้ในขณะเมื่อรับมอบ หรอื ผ้รู ับจ้างไดป้ ิดบงั ความนัน้ เสีย มาตรา ๕๙๙ ในกรณีที่ส่งมอบเนิ่นช้าไปก็ดี หรือส่งมอบการที่ทำชำรุดบกพร่องก็ดีท่านว่าผู้ว่าจ้าง ชอบทจี่ ะยดึ หน่วงสินจ้างไว้ได้ เว้นแต่ผรู้ บั จ้างจะใหป้ ระกนั ตามสมควร มาตรา ๖๐๐ ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาไซร้ท่านว่าผู้รับจ้างจะต้องรับผิดเพื่อการที่ทำ ชำรุดบกพร่อง เพียงแตท่ ปี่ รากฏขึ้นภายในปหี นงึ่ นบั แต่วันส่งมอบ หรอื ท่ีปรากฏขึน้ ภายในหา้ ปี ถ้าการท่ีทำนั้น เป็นสิ่งปลูกสร้างกับพื้นดิน นอกจากเรือนโรงทำด้วยเครื่องไม้แต่ข้อจำกัดนี้ท่านมิให้ใช้บังคับเมื่อปรากฏว่า ผู้รับจ้างได้ปดิ บังความชำรุดบกพรอ่ งน้ัน

44 มาตรา ๖๐๑ ทา่ นห้ามมิใหฟ้ อ้ งผู้รบั จา้ งเมอื่ พน้ ปีหน่ึง นับแตว่ นั การชำรดุ บกพร่องไดป้ รากฏข้ึน มาตรา ๖๐๒ อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำถ้าการที่ทำนั้นมีกำหนดว่าจะส่งรับกันเป็น สว่ นๆ และไดร้ ะบจุ ำนวนสินจ้างไวเ้ ปน็ ส่วนๆ ไซร้ ท่านว่าพึงใช้สินจา้ งเพ่อื การแต่ละสว่ นในเวลารบั เอาสว่ นนน้ั มาตรา ๖๐๓ ถ้าผู้รบั จ้างเป็นผจู้ ัดหาสมั ภาระ และการที่จ้างทำน้นั พังทลายหรือบุบสลายลงก่อนได้ส่ง มอบกันถูกต้องไซร้ ท่านว่าความวินาศอันนั้นตกเป็นพับแก่ผู้ว่าจ้าง หากความวินาศนั้นมิได้เป็นเพราะการ กระทำของผูร้ ับจ้างในกรณีเช่นว่าน้ี สินจ้างก็เปน็ อนั ไม่ต้องใช้ มาตรา ๖๐๔ ถา้ ผู้วา่ จา้ งเป็นผู้จัดหาสัมภาระ และการทจ่ี ้างทำนนั้ พังทลายหรือบุบสลายลงก่อนได้ส่ง มอบกันถูกต้องไซร้ ท่านว่าความวินาศนั้นตกเปน็ พับแก่ผู้วา่ จา้ ง หากความวินาศนั้นมิไดเ้ ป็นเพราะการกระทำ ของผู้รับจ้างในกรณีเช่นว่าน้ี สนิ จา้ งก็เป็นอันไมต่ อ้ งใช้ เว้นแตค่ วามวินาศนัน้ เป็นเพราะการกระทำของผู้วา่ จา้ ง มาตรา ๖๐๕ ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่า สินไหมทดแทนใหแ้ ก่ผ้รู ับจา้ งเพือ่ ความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลกิ สัญญาน้นั มาตรา ๖๐๖ ถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ท่ีความรคู้ วามสามารถของตวั ผู้รบั จ้างและผู้รับจ้างตายก็ดี หรือตกเป็นผู้ไม่สามารถทำการที่รับจ้างนั้นต่อไปได้ด้วยมิใช่เพราะความผิดของตนก็ดี ท่านว่าสัญญานั้น ย่อมเป็นอนั สิ้นลงถ้าและการส่วนทีไ่ ดท้ ำขนึ้ แล้วนน้ั เป็นประโยชนแ์ ก่ผวู้ ่าจา้ งไซรท้ า่ นว่าผู้ว่าจา้ งจำต้องรับเอาไว้ และใช้สนิ จา้ งตามสมควรแกส่ ว่ นนัน้ ๆ มาตรา ๖๐๗ ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำอีก ทอดหน่งึ ก็ได้ เวน้ แต่สาระสำคัญแหง่ สัญญานั้นจะอยู่ท่คี วามรู้ความสามารถของตัวผู้รบั จ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้อง รับผดิ เพือ่ ความประพฤตหิ รือความผิดอย่างใดๆ ของผรู้ บั จ้างช่วง

45


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook