Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปก หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องตันเกี่ยวกับการจัดการ

ปก หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องตันเกี่ยวกับการจัดการ

Published by rpp2506, 2018-05-03 00:56:27

Description: ปก หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องตันเกี่ยวกับการจัดการ

Search

Read the Text Version

ความรู้เบอื้ งต้นเก่ียวกับการจัดการ รพีพรรณ พณิชยกลุ สาขาวิชาการจดั การธรุ กิจคา้ ปลีก วิทยาลยั อาขีวศึกษาขอนแก่น

หน่วยท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับการจัดการสาระการเรียนรู้ 1. ความจาเป็นในการศกึ ษาหลกั การจดั การ 2. ความหมายของการจดั การ 3. ระดบั ของผ้บู ริหาร 4. ทกั ษะในการจดั การของผ้บู ริหาร 5. ทรัพยากรในการจดั การ 6. ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลของการจดั การ 7. หน้าที่ของผ้บู ริหาร 8. ผ้บู ริหารกบั แนวความคดิ เศรษฐกิจพอเพียงจุดประสงค์การเรียนรู้ เมื่อนกั ศกึ ษาได้ศกึ ษาเนือ้ หาในหนว่ ยนีแ้ ล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ 1. เข้าใจถึงความจาเป็นในการศกึ ษาหลกั การจดั การ 2. อธิบายความหมายของการจดั การได้

3. จาแนกระดบั ของผ้บู ริหารงานหรือผ้จู ดั การธุรกิจโดยทว่ั ไปได้ 4. บอกทกั ษะท่ีจาเป็นสาหรับผ้บู ริหารแตล่ ะระดบั ได้ 5. บอกลกั ษณะทรัพยากรในการจดั การได้ 6. จาแนกความแตกตา่ งระหวา่ งคาว่าประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลได้ 7. ให้เหตผุ ลการจดั การที่เป็นศาสตร์และศลิ ป์ ได้ 8. อธิบายและจดั ลาดบั หน้าที่การจดั การของผ้บู ริหารได้ 9. บอกแนวทางในการนาแนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการจดั การได้สาระสาคญั ความรู้ในวิชาหลกั การจดั การเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการทางานในองค์การทกุ ประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับบคุ ลากรทกุ คนเม่ือต้องทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืน หรืออย่ใู นฐานะผ้นู ากล่มุ หรือผ้ทู ี่จะก้าวขึน้ สู่ตาแหน่งบริหารก็ตาม การมีความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดการจะเป็นแนวทางทาให้เกิดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ทงั้ ในฐานะผ้นู าและผู้ตาม เห็นความจาเป็นในการเตรียมความพร้ อมของตนเองเพ่ือให้มีทกั ษะในด้านวิชาชีพ ทกั ษะด้านมนุษยสมั พนั ธ์ และทกั ษะด้านความคิด ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้เกิดความสาเร็จในการทางาน รวมทัง้ เห็นความสาคัญของการปฏิบัติงานที่มุ่งให้ เกิดผลสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนีค้ วรมีการนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจาวันและในการทางาน โดยยึดแนวทางของความพอประมาณ ความมีเหตุมีผลและการมีภมู คิ ้มุ กนั ท่ีดซี งึ่ เป็นหวั ใจสาคญั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทงั้ นีต้ ้องอย่บู นพืน้ ฐานของการมีความรอบรู้ควบคไู่ ปกบั การมีคณุ ธรรมด้วย อนั จะนามาซึ่งความสขุ และความสาเร็จตอ่ ตนเองและตอ่ องค์การอย่างยงั่ ยืนตอ่ ไป1. ความจาเป็ นในการศึกษาหลักการจัดการ

ในปัจจบุ นั ทกุ ฝ่ ายตา่ งยอมรับกนั ว่า การท่ีสงั คม เศรษฐกิจของประเทศจะเจริญรุดหน้าไปได้ไกลเพียงใดนนั้ ย่อมขึน้ อยู่กับประสิทธิภาพขององค์การต่าง ๆ เป็นสาคญั ประสิทธิภาพขององค์การต่าง ๆเหล่านนั้ จะมีมากน้อยเพียงใด ขึน้ อย่กู ับการจดั การว่ามีประสิทธิภาพดีเพียงใดตวั อย่างของประเทศที่มีความโดดเดน่ ที่สดุ ในการจดั การและการบริหารความสาเร็จอนั ยง่ั ยืนอาจดไู ด้จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์สวิสเซอร์ แลนด์ นับเป็ นประเทศที่มีมูลค่าเชิงเปรี ยบเทียบหลา ยด้ านอยู่ในอันดับท่ีดีของโลกเสม อมาโดยเฉพาะคณุ ภาพของสนิ ค้าชนดิ ตา่ ง ๆ ที่เป็นท่ีรู้จกั กนั ดี ทวั่ โลก แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ มีความแตกตา่ งในด้านเชือ้ ชาติ ศาสนา และภาษา แตก่ ็สามารถพฒั นาตนเองมาเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในหลาย ๆ ด้านและเป็นท่ีรู้จกั กนั เป็นอย่างดีทว่ั โลกในปัจจุบนั ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมีการจดั การท่ีดีภายในประเทศ ในอีกด้านหน่ึงหากการจดั การไม่มีประสิทธิภาพจะเกิดอะไรขึน้ มีข้อมลู เชิงประจกั ษ์จากรายงานของธนาคารแห่งสหรัฐอเมริกาท่ีกล่าวถึงธุรกิจระดบั เล็กซ่ึงมีจานวนมากกว่าร้ อยละ 90 ท่ีประสบความล้มเหลว มกั มีสาเหตมุ าจากการขาดความสามารถและประสิทธิภาพในการจดั การเป็นสาคญั จากตวั อย่างดงั กล่าวคงจะพอมองเห็นความสาคญั ของการจดั การได้เป็นอย่างดี ดงั นนั้ จึงเป็นเรื่องจาเป็นอย่างย่ิงที่นกั ศึกษาจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกบั หลกั การจดั การ สว่ นหนงึ่ เพ่ือเตรียมความพร้อมหากในอนาคตนกั ศกึ ษาได้เข้าทางานในองค์การและอย่ใู นฐานะผ้นู ากล่มุ หรือมีโอกาสเข้าส่ตู าแหน่งบริหาร การมีความรู้ในเรื่องการจดั การจะช่วยให้เป็นผ้บู ริหารท่ีมีทงั้ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล หรือหากไม่ได้อยใู่ นตาแหน่งบริหาร การมีความรู้ในการจัดการก็จะทาให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึง้ ถึงการปฏิบตั ิงานหรือพฤติกรรมของผู้บงั คบั บัญชารวมทงั้ เข้าใจถึงกิจกรรมตา่ ง ๆ ภายในองคก์ ารได้เป็นอยา่ งดี อย่างไรก็ตาม อาจมีผ้ถู กเถียงว่าผู้บริหารและนกั ธุรกิจที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Bill GatesและAndy Grove ตา่ งก็ไม่เคยศึกษาการบริหารธุรกิจมาก่อน แต่ก็สามารถประสบผลสาเร็จและเป็นเจ้าของธุรกิจหลายพนั ล้านบาทก็จริง แต่ในอนาคตความรู้จะเป็นเรื่องสาคญั ตอ่ ความได้เปรียบและความสาเร็จของธุรกิจ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในยคุ เศรษฐกิจใหม่ (New Economy) หรือเศรษฐกิจฐานความรู้ (KnowledgeBasded Economy-KBE) ผู้บริหารจะต้ องบริหารองค์การโดยนาความรู้มาผสมผสานกับนวัตกรรม(Innovation) ใหม่ ๆ เพ่ือให้เกิดวธิ ีการบริหารจดั การที่จะนาพาองค์การให้สามารถแขง่ ขนั ในเชิงกลยทุ ธ์ ทาความมงั่ คง่ั ให้กบั องค์การได้2. ความหมายของการจดั การ

ในประเทศไทยมีการใช้ คาว่า การจัดการ (Management) และการบริหาร (Administration) ซ่ึงนกั วิชาการหลายท่าน มีความเห็นท่ีสอดคล้องกันว่าทงั้ สองคานีใ้ ช้แทนกันได้ในความหมายท่ีมีลักษณะเดียวกนั มีข้อแตกตา่ งกนั บ้างเล็กน้อยตรงท่ี การจดั การมกั ใช้กนั ในภาคธุรกิจเอกชน ส่วนการบริหารมกั ใช้ในภาคราชการและองคก์ ารท่ีมไิ ด้มงุ่ หวงั ผลกาไร อีกประการหนง่ึ การจดั การจะใช้กบั ผ้ปู ฏิบตั งิ านในระดบับริหารรองลงมาท่ีมีหน้าท่ีในการนานโยบายไปปฏิบตั ิ ส่วนการบริหารใช้กับผ้ปู ฏิบตั ิงานในระดบั สูงขององค์การท่ีมีหน้าที่ในการกาหนดกรอบนโยบายตา่ ง ๆ นอกจากนีแ้ ล้วในบางครัง้ ยงั มีการเรียกรวมกนั ด้วยว่าการบริหารจดั การ โดยมีความหมายดงั จะกลา่ วตอ่ ไปนี ้ นกั วิชาการหลายทา่ นได้ให้ความหมายของการจดั การไว้ตา่ ง ๆ กนั กลา่ วคือ Robbins และ Coulter (2007:37) กล่าวว่า การจัดการ หมายถึง กระบวนการในการประสานกิจกรรมการทางานโดยใช้บคุ คลอ่ืนเป็นผ้ทู างานให้เพื่อให้งานสาเร็จอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผล Davidson และ Griffin (2006:6) ให้ความหมายวา่ การจดั การ หมายถงึ ชดุ ของกิจกรรม ท่ีเร่ิมต้นด้วยการวางแผน การตัดสินใจส่ังการ การจัดองค์การ การนาและการควบคุมในการนาทรัพยากรคนทรัพยากรเงิน ทรัพยากรทางกายภาพ และข้อมลู ขา่ วสาร มาดาเนินการให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ขององค์การอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผล Weihrich และ Koontz (อ้างในมลั ลิกา ต้นสอน, 2544:9) ให้ความหมายของการจดั การ ไว้วา่ การจดั การ เป็นกระบวนการในการทางานให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมายขององค์การอยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลโดยการสงั่ การและการทางานร่วมกบั ผ้อู ื่น ธงชยั สนั ติวงษ์ (2545:4) ให้ความหมายของการจดั การว่า หมายถึง กระบวนการทางานของนกับริหารเพื่อให้งานตา่ ง ๆ สาเร็จลลุ ว่ งไปด้วยดี โดยอาศยั บคุ คลอ่ืนเป็นผ้ทู า พยอม วงศ์สารศรี (2538:34) กลา่ ววา่ การจดั การคอื กระบวนการท่ีผ้จู ดั การใช้ศลิ ปะและกลยุทธ์ต่าง ๆ ดาเนินการตามขนั้ ตอนตา่ ง ๆ โดยอาศยั ความร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกในองค์การ การตระหนักถึงความสามารถ ความถนัด ความต้องการ และความมุ่งหวงั ด้ านความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบตั งิ านของสมาชิกในองค์การควบคไู่ ปด้วย องค์การจงึ จะมีสมั ฤทธิผลตามเปา้ หมายท่ีกาหนดไว้ศาสตร์ ผ้บู ริหาร ศลิ ป์

ทรัพยากร การวางแผน บรรลเุ ปา้ หมาย- คน - มปี ระสทิ ธิภาพ- เงิน การควบคมุ การจดั องคก์ าร - มีประสทิ ธิผล- กายภาพ- ข้อมลู ขา่ วสาร การอานวยการ การจดั คนเข้าทางาน รูปที่ 1.1 ความหมายของการจดั การทม่ี า : ดดั แปลงจาก Davidson และ Griffin, 2006:6สรุปความหมายของการจัดการ หมายถึง กระบวนการที่ผ้บู ริหารใช้ศาสตร์และศิลป์ ใน การนาทรัพยากรคน ทรัพยากรเงิน ทรัพยากรกายภาพ และทรัพยากรข้อมูลข่าวสาร มาดาเนินการตามขนั้ ตอนโดยเร่ิมต้นการทางานด้วยการวางแผน การจดั องค์การ การจดั คนเข้าทางาน การอานวยการ และการควบคมุ เพื่อให้เปา้ หมายขององค์การบรรลุผลสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยต้องอาศยั ความร่วมมือร่วมใจจากบคุ ลากรทกุ ระดบั ในองค์การ ดงั รูปที่ 1.13. ระดบั ของผู้บริหาร จากการศึกษาความหมายของการจดั การ จะเห็นได้ว่าการจดั การเป็นเรื่องท่ีต้องอาศยั ผ้นู าหรือผ้บู ริหาร ซง่ึ หมายความถงึ บคุ คลใดก็ตามท่ีมีหน้าที่เป็นหวั หน้าหรือผ้นู าในองค์การ และมีความรับผิดชอบตอ่ ผลสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ขององค์การ ทงั้ นีโ้ ดยอาศยั บุคคลอื่นเป็นผ้ทู างานให้หรืออีกนยั หน่ึงถือเป็นบคุ คลท่ีนากระบวนการและเทคนิคการจดั การมาประยกุ ต์ใช้ เพ่ือทาให้งานประสบผลสาเร็จ ที่สาคญั ก็คือ

ความสามารถของผ้บู ริหารนนั้ มีผลทาให้องค์การบางองค์การเจริญอยา่ งรวดเร็วและบางองค์การกาลงั รอวนั เลิกดาเนินการ ผ้บู ริหารจึงเป็นบคุ คลท่ีมีความสาคญั ย่ิงเพราะไม่เพียงแตจ่ ะต้องรับผิดชอบในงานของตนเองเท่านนั้ ยงั จะต้องรับผิดชอบตอ่ ความสาเร็จโดยรวมของทีมงาน กลมุ่ ฝ่ าย หรือแม้กระทง่ั องค์การในภาพรวม มีบทบาทต่อความสาเร็จขององค์การเป็นอย่างสงู มีความรับผิดชอบที่ท้าทายและสาคญั มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบนั ผู้บริหารได้เปลี่ยนจากใช้อานาจเด็ดขาดมาเป็น ผ้นู าทีม หวั หน้าทีม ผ้สู ่งข่าวสาร ผ้ปู ระสานงาน ผ้อู านวยความสะดวกและท่ีปรึกษา ด้วยบทบาทท่ีมีความสาคญั เช่นนีท้ าให้หลายหน่วยงานต้องเตรียมความพร้อมให้กบั ผ้ทู ่ีจะมาทาหน้าท่ีเป็นผ้บู ริหารโดยให้การศกึ ษาอบรมก่อนลงมือทางาน หรือบางครัง้ ให้การศกึ ษาอบรมในขณะทางานด้วยก็ได้ โดยทว่ั ไปสามารถแบง่ ระดบั ของผ้บู ริหารหรือผ้ปู ฏิบตั หิ น้าที่ทางการจดั การออกเป็น 3 ระดบั ดงั รูปท่ี 1.2 ระดบั สงู ประธานกรรมการ ระดบั กลาง ผ้จู ดั การฝ่ายระดบั ต้น หวั หน้าแผนก รูปที่ 1.2 ระดบั ของผ้บู ริหารหรือผ้ปู ฏบิ ตั ิหน้าท่ีทางการจดั การทม่ี า : ดดั แปลงจาก Davidson และ Griffin, 2006:13 3.1 ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers) ผ้บู ริหารระดบั สงู เป็นผ้ทู ่ีรับผิดชอบต่อภาพรวมของการปฏิบตั ิและความสาเร็จขององค์การโดยผ้บู ริหารระดบั สงู จะเป็นผ้รู ับแนวทางหรือนโยบายจากคณะกรรมการบริษัทมากาหนดกลยทุ ธ์ทางธุรกิจและตดั สินใจในปัญหาสาคัญขององค์การ เช่น ประธานกรรมการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารระดับนี ้

จะต้องสามารถคาดการณ์อนาคตเพื่อเตรียมพร้ อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดขึน้ หรือเป็นผู้สามารถจดั การกบั สภาพการแขง่ ขนั ที่สงู ได้ 3.2 ผู้บริหารระดบั กลาง (Middle Managers) ผู้บริหารระดับกลางเป็นผู้ท่ีรับผิดชอบในการนาแนวทางจากนโยบาย กลยุทธ์รวมถึงการตดั สินใจของผู้บริหารระดับสูงมากาหนดแผนงาน ส่ังการและควบคุมการปฏิบัติงานขององค์การให้บรรลผุ ลสาเร็จ ต้องสามารถแปลแนวคดิ ของผ้บู ริหารระดบั สงู ได้อย่างชดั เจนเพ่ือส่ือสารลงไปยงั ระดบั ลา่ งและสามารถร่วมงานกบั ทกุ ส่วนในองค์การได้เป็นอยา่ งดี ปัจจบุ นั ตาแหนง่ นีไ้ ด้กลายมาเป็นสว่ นสาคญั ในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ เชน่ ผ้อู านวยการ ผ้จู ดั การโรงงาน ผ้จู ดั การฝ่ าย หากสญู เสียบคุ ลากรเหล่านี ้ไปองคก์ ารก็จะมีปัญหาในการปฏิบตั งิ านให้ประสบผลสาเร็จ 3.3 ผู้บริหารระดับต้น (Firstline Managers) ผู้บริหาระดับต้นเป็ นบุคคลที่ควบคุมการปฏิบัติงานของบุคลากรให้ ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทางที่ผู้บริหารในระดบั สงู ขนึ ้ ไปกาหนดไว้ ผ้บู ริหารระดบั ต้นเป็นผ้ทู ่ีตดั สินใจในระยะสนั้ ที่ครอบคลมุ การดาเนินงานประจาวนั และให้ความชว่ ยเหลือแก้ปัญหาให้กบั ผ้ทู ่ีทางานในแผนกตนเองเทา่ นนั้ งานในระดบั นีจ้ งึ เป็นการเริ่มต้นของการจดั การ เชน่ หวั หน้างาน นอกจากนีแ้ ล้ว ยงั มีการแบ่งแยกผ้จู ดั การตามหน้าที่และตามความรับผิดชอบในสายงานภายในองค์การ ได้แก่ ผ้จู ดั การด้านทรัพยากรมนษุ ย์ ผ้จู ดั การด้านการปฏิบตั กิ าร ผ้จู ดั การด้านการตลาด ผ้จู ดั การด้านสารสนเทศ ผ้จู ดั การด้านการเงิน เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม ไม่ว่าจะอย่ใู นตาแหน่งผ้บู ริหารระดบั ใด ย่อมมีสว่ นสาคญั ตอ่ การจดั การองค์การให้ประสบผลสาเร็จทงั้ สนิ ้4. ทกั ษะในการจดั การของผู้บริหาร การจัดการจาเป็นต้องอาศยั ทักษะหรือความถนัด ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ความชานาญมาปฏิบตั ิเพ่ือให้การดาเนินงานได้ผลลพั ธ์ตามท่ีมงุ่ หวงั ทกั ษะเป็นตวั เสริมท่ีจะทาให้บุคคลสามารถปฏิบตั ิงานและมีผลงานท่ีดีกว่า หรือหมายความถึงความสามารถในการทากิจกรรมใดกิจกรรมหนง่ึ ได้อยา่ งรวดเร็ว ในปัจจบุ นั เป็นท่ียอมรับกนั วา่ การจดั การจะประสบผลสาเร็จได้ ผ้บู ริหารควรมีทกั ษะเบอื ้ งต้น ดงั นี ้

4.1 ทกั ษะด้านวชิ าชีพ หรือทักษะด้านเทคนิค (Technical skills) ทกั ษะด้านวชิ าชีพ หรือทกั ษะด้านเทคนิค คือ การมีความรู้และมีความชานาญในกระบวนการวิธีการ หรือขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ในการทางาน ซึง่ ทกั ษะด้านนีบ้ คุ คลแตล่ ะคนจะได้รับจากสถาบนั การศกึ ษาหรือได้รับการอบรมมาในช่วงระยะหนึ่ง และจะมีความชานาญมากยิ่งขึน้ เมื่อมีโอกาสปฏิบตั ิงานจริงในการประกอบอาชีพ ดังนัน้ ผู้บริหารต้องมีความสามารถในการทางาน คนที่ทางานแล้วมีความสาเร็จมีความก้าวหน้าต้องมีองค์ประกอบ ดงั นี ้มีความชอบท่ีจะทา มีหลกั วิชาการ และมีประสบการณ์ ตวั อยา่ งเช่นผู้จัดการฝ่ ายบญั ชี จะต้องมีความรู้และความสามารถในกฎระเบียบทางการบญั ชี วิธีการลงบญั ชีและรูปแบบต่าง ๆ ทางบญั ชี เพ่ือว่าเม่ือผู้ใต้บงั คบั บญั ชาเผชิญปัญหาในการทางานจะได้ตอบคาถามและแก้ปัญหาเหลา่ นนั้ ได้ 4.2 ทกั ษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human skills) ทกั ษะด้านมนษุ ยสมั พนั ธ์ คอื ความสามารถในการมีปฏิกิริยาสมั พนั ธ์กบั ผ้อู ื่นอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และสามารถสานตอ่ ให้เกิดการทางานที่ประสบผลสาเร็จ ทกั ษะนีย้ งั รวมไปถงึ ความสามารถในการจงู ใจ ความซ่ือสตั ย์ สามารถติดตอ่ ส่ือสารกับผ้อู ื่น การทางานเป็นทีม การสร้างบรรยากาศในการทางาน การยอมรับความคิดเห็นของผ้รู ่วมงาน ซง่ึ ถือเป็นสิ่งท่ีมีความจาเป็นมากสาหรับผ้บู ริหารทกุ ระดบัโดยผ้ทู ี่มีทกั ษะในด้านนีจ้ ะต้องรู้จกั ตนเองอย่างดีเป็นประการแรก และมีความเข้าใจความรู้สึกของผ้อู ื่นอยา่ งแท้จริงเป็นประการท่ีสอง ด้วยเหตนุ ีผ้ ้บู ริหารจงึ ต้องศกึ ษาธรรมชาติของคน เข้าใจคน ซง่ึ จะทาให้ดคู นออก บอกคนได้และใช้คนเป็น 4.3 ทักษะด้านความคิดหรือสตปิ ัญญา (Conceptual skills) ทกั ษะด้านความคิด หรือสติปัญญา คือ ความรู้ความสามารถในการวางแผนระยะยาว มีวิสยั ทศั น์ (Vision) มีความสามารถในการตดั สินใจท่ีถูกต้องและฉับไว สามารถใช้สติปัญญาแก้ปัญหาความย่งุ ยากทงั้ ปวงโดยไมท่ าให้องค์การหรือบคุ ลากรที่เก่ียวข้องต้องเสียผลประโยชน์ ใด ๆ ตลอดจนมีความสามารถในการวเิ คราะห์ และวนิ ิจฉยั สถานการณ์ท่ีซบั ซ้อนได้อย่างตรงประเด็น โดยเฉพาะในปัจจบุ นัความได้เปรียบในการแข่งขันที่เหนือกว่า ความได้เปรียบอื่น ๆ ก็คือ ความคิดสร้ างสรรค์และความเป็นอจั ฉริยะ ผ้บู ริหารจะมีความรู้ความสามารถในลกั ษณะเชิงลกึ และแคบอยา่ งในอดีตไมไ่ ด้อีกแล้ว ต้องเป็นลกั ษณะเชิงลกึ และกว้าง เชน่ ต้องรู้เงื่อนไขของตลาด สงั คมกฎหมาย การเมือง การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเศรษฐกิจ ตลอดจนคแู่ ขง่ ใหม่ ๆ ที่สามารถเกิดขนึ ้ ได้ตลอดเวลา จาเป็นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะต้องมีข้อมลู ขา่ วสารท่ีมีคณุ ภาพท่ีเชื่อถือได้อย่ใู นมือ ซ่ึงผ้ใู ห้ข้อมลู ข่าวสารท่ีดีท่ีสุดคือลูกค้าและบคุ ลากรของบริษัทนน่ั เอง ซึ่งจะชว่ ยให้ผ้บู ริหารคดิ และตดั สนิ ใจได้ ดยี ง่ิ ขนึ ้

ผ้บู ริหารระดบั สงู ทกั ษะด้านความคดิผ้บู ริหารระดบั กลาง ทกั ษะด้านผ้บู ริหารระดบั ต้น มนษุ ยสมั พนั ธ์ ทกั ษะด้านเทคนิค ระดบั ความสาคญั มาก ระดบั ความสาคญั น้อย รูปท่ี 1.3 แสดงระดบั ความสาคญั ของทกั ษะที่จาเป็นของผ้บู ริหารแตล่ ะระดบัท่มี า : ดดั แปลงจาก Robbins และ Coulter, 2007:42 จากรูปท่ี 1.3 จะเหน็ ได้วา่ ทกั ษะด้านความคดิ ทกั ษะด้านมนษุ ยสมั พนั ธ์ และทกั ษะด้านเทคนคิ ถือเป็นทกั ษะที่มีความจาเป็นสาหรับผู้บริหารทุกระดบั อย่างไรก็ตาม ทกั ษะทงั้ 3 ด้านก็มีความสาคัญกับผ้บู ริหารแตล่ ะระดบั แตกตา่ งกนั กลา่ วคือ ทกั ษะด้านความคิดและสติปัญญาเป็น ทกั ษะท่ีมีความจาเป็นสาหรับผ้บู ริหารระดบั สงู มากกว่าผ้บู ริหารระดบั กลางและผ้บู ริหารระดบั ต้นเพราะเป็นผ้ทู ่ีต้องมีความคิดริเริ่มในการวางแผนงาน มีความฉับไวในการแก้ ไขปัญหาต่าง ๆ ขององค์การได้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงในปัจจบุ นั ในทางตรงกนั ข้ามทกั ษะทางด้านเทคนิคกลบั มีความสาคญั สาหรับผ้บู ริหารระดบัต้นมากกวา่ ผู้บริหารระดบั กลางและผู้บริหารระดบั สงู เน่ืองจากผ้บู ริหารระดบั ต้นเป็นผ้ทู ี่ต้องทางานใกล้ชิดกบั พนกั งานจึงต้องสามารถสอนงาน ให้คาแนะนา ช่วยแก้ปัญหาในงานได้ ส่วนทกั ษะด้านมนษุ ยสมั พนั ธ์นนั้ มีความสาคญั กบั ผ้บู ริหารทกุ ระดบั เทา่ ๆ กนั

5. ทรัพยากรในการจัดการ ผ้บู ริหารจาเป็นต้องมีทกั ษะในการจดั การซง่ึ จะชว่ ยให้ผ้บู ริหารสามารถประสานการใช้ทรัพยากรในการจดั การให้เกิดประโยชน์สงู สดุ เพื่อให้การดาเนนิ งานขององค์การบรรลเุ ปา้ หมายทรัพยากรในการจดั การ(Management Resources) หมายถึง สิ่งทงั้ ปวงอนั เป็นทรัพย์และนามาใช้ในการดาเนินงาน เพ่ือให้งานขององค์การบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิ ผ ลทรัพยากรในการจัดการ ถื อเป็ น ปั จจัยสาคญั ท่ีจะส่งผลให้การปฏิบตั ิภารกิจต่าง ๆ ขององค์การสาเร็จได้ดีย่ิงขึน้ ในอดีตเมื่อพูดถึงทรัพยากรในการจัดการ มักจะกล่าวถึงและให้ความสาคัญกับคน เงิน วัสดุ และเครื่องจักร แต่ในปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนแปลงไปสยู่ คุ โลกาภิวตั น์ องคก์ ารตา่ ง ๆ จะพงึ่ พาทรัพยากรเหลา่ นีค้ งไมเ่ พียงพออีกตอ่ ไป ทรัพยากรท่ีสาคญั ยิ่งอีกประการหน่ึง คือข้อมูลข่าวสาร หากองค์การใดมีพร้อมและนามาใช้ได้อย่างเหมาะสมย่อมสร้างความได้เปรียบในการแขง่ ขนั ดงั นนั้ ทรัพยากรพืน้ ฐานขององค์การโดยทวั่ ไปในปัจจบุ นั แบง่ ได้เป็นมี4 ประการ ดงั นี ้5.1 ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) ทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง บุคลากรที่ปฏิบตั ิงานอยู่ในระดบั ต่าง ๆ ขององค์การ และเป็นทรัพยากรที่มีคณุ คา่ มากที่สดุ ที่องค์การจะต้องรักษาและพฒั นาอย่างตอ่ เน่ืองอยตู่ ลอดเวลาเนื่องจากเป็นผู้ลงมือทางานในสว่ นตา่ ง ๆ ขององค์การให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ที่กาหนด และยงั เป็นผ้ใู ช้ทรัพยากรอ่ืน ๆ ในการทางานให้บรรลเุ ปา้ หมายอย่างมีประสิทธิภาพ ซง่ึ อาจกลา่ วได้วา่ องค์การจะประสบผลสาเร็จได้ ถ้ามีคนท่ีมีคณุ ภาพและมีความเหมาะสมเข้ามาทางาน คาวา่ “คนท่ีมี คณุ ภาพและมีความเหมาะสม” นนั้ ไม่ได้หมายความเพียงแค่มีทกั ษะหรือมีความสามารถเท่านนั้ แต่จะต้องประกอบไปด้วยการมีทศั นคติ และมีค่านิยมที่สอดคล้ องกับวัฒนธรรมองค์การ อีกด้วย นอกจากนีค้ วามก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเพิ่มมากขึน้ ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมในการทางาน จึงต้องการผู้มีทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและทกั ษะใน การทางานที่หลากหลายมากขนึ ้ สามารถเรียนรู้และปรับตวัต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดี การที่องค์การจะได้คนท่ีมีความรู้ความสามารถดงั กล่าวมาร่วมงาน ผู้บริหารจะต้องให้ความสาคญั และดาเนินการจดั คนเข้าทางานอยา่ งมีระบบ โดยเร่ิมตงั้ แตก่ ารวางแผนทรัพยากรบคุ คลเพื่อจะได้จดั เตรียมคนท่ีมีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการในปริมาณที่เหมาะสม การสรรหาและคดั เลือกบุคคลด้วยวิธีท่ีเหมาะสมเพื่อให้ได้คนที่ดีท่ีสุดเข้ามาทางาน ซึ่งเป็นเร่ืองที่ผ้บู ริหารต้องให้

ความสาคญั ย่ิงเพราะหากองค์การได้คนที่ไมม่ ีความรู้ความสามารถ ทศั นคตแิ ละคา่ นยิ มที่ดีเข้ามา จะมีผลทาให้ การใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ไมเ่ กิดประโยชน์เทา่ ท่ีควร และอาจสง่ ผลให้การดาเนินงานขององคก์ ารประสบกับความล้มเหลวได้ง่าย เม่ือคดั เลือกเข้ามาแล้วต้องพฒั นาให้มีความรู้ความสามารถเพ่ิมขึน้ และต้องมีวิธีการท่ีจะทาให้บคุ ลากรท่ีดีทางานอยู่กับองค์การต่อไปนาน ๆ ทงั้ นี ้ มีข้อมูลปรากฏ ชดั ว่า องค์การที่ได้รับการคดั เลือกให้เป็นองค์การท่ีน่าทางานด้วยมากท่ีสุดนัน้ เกิดขึน้ จากการท่ีคนในองค์การรู้สึกว่าผู้บริหารให้การยอมรับและเห็นความสาคญั ทาให้เกิดบรรยากาศท่ีดีใน การทางาน ส่งผลตอ่ การสร้างขวญั และกาลงั ใจ ผ้บู ริหารจงึ ต้องตระหนกั และมีความเช่ือว่าบคุ ลากรเป็นผ้มู ีส่วนรับผิดชอบหลกั ต่อความสาเร็จหรือความล้มเหลวขององคก์ าร 5.2 ทรัพยากรการเงนิ (Finances Resources) ทรัพยากรการเงิน หมายถึง เงินทนุ ที่องค์การมีพร้อมเพื่อใช้ในการดาเนินงาน ซึง่ ได้รับมาจากการลงทุนของนกั ลงทุน หรือจากผ้ปู ระกอบการที่มีการร่วมทุนกนั หรือจดั หามาจากแหล่งตา่ ง ๆ รวมทงั้รายได้จากการขายสินค้าและบริการ อาจอย่ใู นรูปเงินฝากธนาคารหรือวงเงินเครดิตจากสถาบนั การเงินเงินทุนเป็นปัจจัยพืน้ ฐานที่มีความสาคัญต่อการปฏิบัติงานทัง้ หมดขององค์การ จึงมีการแบ่งเงินทุนออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 5.2.1 เงนิ ทุนหมุนเวียน (Working Capital) เงินทนุ หมนุ เวียน ได้แก่ เงินทนุ ที่ใช้ในช่วงดาเนินธุรกิจหรือใช้เป็นคา่ ใช้จ่ายในด้านตา่ งๆ เชน่ เงินทนุ สาหรับซือ้ วตั ถดุ บิ จา่ ยเป็นคา่ แรง คา่ ขนสง่ คา่ เบยี ้ ประกนั เป็นต้น 5.2.2 เงนิ ทนุ คงท่ี (Fixed Capital) เงินทุนคงที่ ได้แก่ เงินทุนที่ใช้ในการจัดหาทรัพย์สินถาวรที่จาเป็นจะต้องใช้ในการดาเนนิ งานระยะยาว เชน่ เงินทนุ สาหรับจดั ซือ้ ที่ดนิ กอ่ สร้างอาคาร เครื่องมือและอปุ กรณ์สานกั งาน เป็นต้น เงินทุนดงั กล่าวเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลีย้ งและไหลเวียนใช้ในการดาเนินงานทั่วทงั้องค์การ และมีผลทาให้งานขององค์การดาเนินไปได้อย่างราบร่ืน สถานะเงินทุนขององค์การจะส่งผลกระทบอย่างสาคญั ตอ่ ความสามารถในการทางานของบุคลากรทุกระดบั ดงั นนั้ ผ้บู ริหารในยคุ ปัจจบุ นั จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเท่านัน้ แต่จาเป็นจะต้องมีความรู้ความสามารถที่หลากหลายด้วย ความสามารถหน่ึงในนนั้ ก็คือ ผ้บู ริหารต้องมีความรู้ความสามารถในการจดั การเงินทุน

ด้วย โดยต้องวางแผนทางการเงินเพื่อให้ทราบถึงความต้องการเงินทนุ ระยะสนั้ และระยะยาว จดั หาเงินทนุจากแหลง่ เงินทนุ ท่ีให้ประโยชน์สงู สดุ และเสียค่าใช้จา่ ยต่าสดุ ตดั สินใจท่ีจะจดั สรรเงินทนุ ไปในสินทรัพย์ท่ีก่อให้เกิดประโยชน์สงู สดุ โดยจะต้องให้ความสาคญั ระหว่างความสามารถในการทากาไรและสภาพคลอ่ งขององค์การ เพราะการท่ีองค์การมีเงินทนุ มากเกินไป จะทาให้ความสามารถในการทากาไรลดลง หรือการมีเงินทนุ ที่จากดั เน่ืองจากนาเงินไปลงทนุ ทาให้มีความสามารถทากาไรสงู แตอ่ าจก่อให้เกิดความเสี่ยงตอ่การขาดแคลนเงินทนุ ได้ ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีผ้บู ริหารต้องตดั สินใจอย่างรอบคอบ นอกจากนีแ้ ล้วผ้บู ริหารต้องจดัให้มีระบบการควบคมุ ทางด้านการเงินท่ีดีเพ่ือจะได้ติดตาม ตรวจสอบ และมีข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ความเป็นไปตา่ ง ๆ ที่เกิดขนึ ้ กบั องคก์ าร 5.3 ทรัพยากรกายภาพ (Physical Resources) ทรัพยากรกายภาพ หมายถึง ส่ิงทงั้ ปวงอนั เป็นทรัพย์ที่ไม่มีชีวิต เป็นส่ิงที่ทกุ องค์การต้องใช้ในการดาเนินงาน เพ่ือให้สามารถผลิตสินค้าและบริการได้ตามปริมาณและคุณภาพตามที่กาหนดไว้ทรัพยากรกายภาพท่ีสาคญั ได้แก่ วตั ถดุ บิ เครื่องจกั รและเคร่ืองมือเครื่องใช้สานกั งานและสถานท่ีในการผลติ สนิ ค้าและบริการ โดยมีรายละเอียด ดงั นี ้ 5.3.1 วัตถดุ บิ (Raw Materials) วตั ถดุ ิบ หมายถึง สิ่งท่ีเตรียมไว้เพื่อผลิตหรือประกอบเป็นสินค้าสาเร็จรูป เช่น เหล็กที่นามาผลิตตวั ถงั รถยนต์ อ้อยนามาผลิตนา้ ตาล มนั สาปะหลงั นามาผลิตแปง้ มนั เป็นต้น วตั ถดุ ิบถือเป็นปัจจยั สาคญั ที่เป็นตวั กาหนดคณุ ภาพสินค้าและต้นทนุ การผลิต หากขาดวตั ถดุ บิ ท่ี มีคณุ ภาพ หรือได้รับวตั ถดุ ิบไม่ทนั เวลาในการผลิต อาจจะทาให้องค์การผลิตสินค้าไม่ทนั และมีผลทาให้ลกู ค้าขาดความเชื่อถือรวมทัง้ การดาเนินงานขององค์การอาจจะได้รับความเสียหายอันเน่ืองมาจากคนในองค์การว่างงานเคร่ืองจกั รไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้ค้มุ ค่า รวมทงั้ หากองค์การใดมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ห่างไกลเกินไป จะทาให้องค์การนนั้ มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งท่ีสงู เกินไปได้ ดงั นนั้ ผ้บู ริหารต้องตระหนกั ถึงการจดั หาวตั ถุดิบท่ีมีคณุ ภาพและปริมาณท่ีเหมาะสม การมีแหล่งวตั ถุดิบที่อย่ใู กล้ทาเลท่ีตงั้ ขององค์การและการจดั หาแหล่งวตั ถดุ บิ สารองไว้เพ่ือใช้เป็นแหลง่ ทดแทนในกรณีท่ีวตั ถดุ บิ จากแหลง่ ประจาขาดแคลนด้วย 5.3.2 เคร่ืองจักรและเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ (Machinery and Equipment) เคร่ืองจกั รและเครื่องมือเครื่องใช้ หมายถงึ กลอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ท่ีประกอบกนั ขนึ ้ เป็นเครื่องเพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิตส่งิ ใดส่ิงหนึง่ และอปุ กรณ์หรือสิ่งของสาหรับใช้ในการผลิต รวมถึงเครื่องใช้ตา่ งๆ ในสานกั งาน หรือในโรงงาน เช่น โทรศพั ท์ เคร่ืองส่งแฟกซ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น เคร่ืองจกั รและ

เครื่องมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ เหลา่ นี ้ ช่วยให้การดาเนินงานขององค์การเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ถ้าได้รับการบารุงรักษาและดแู ลให้อย่ใู นสภาพที่สามารถทางานได้ดี จะช่วยให้บคุ ลากรได้ผลงานท่ีดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึน้ ปัจจุบนั เชื่อว่าถ้าองค์การมีเครื่องมือเคร่ืองใช้ที่มีสมรรถนะพร้อมและสะดวกต่อการใช้งานจะชว่ ยลดแรงกดดนั ในการทางานของบคุ ลากรได้ และงานจะออกมาดีที่สดุ หากไมเ่ จอกบั สภาพที่เคร่ืองจกั รและเคร่ืองมือเครื่องใช้เสียบอ่ ยครัง้ 5.3.3 สานักงานและสถานท่ใี นการผลติ (Office and Production Facilities) สานกั งานและสถานที่ในการผลิต หมายถึง พืน้ ที่และการจดั รูปแบบสานกั งานเพื่อใช้ในการปฏิบตั ิงาน การผลิตสินค้าและบริการ เช่น ที่ดิน อาคาร โรงงาน รวมทัง้ ทาเลท่ีตงั้ และ ภูมิทัศน์โดยรอบด้วย ถือเป็นทรัพยากรท่ีมีความสาคญั และส่งผลตอ่ ความสาเร็จขององค์การ ผ้บู ริหารจาเป็นต้องจัดส่ิงแวดล้อมเหล่านีใ้ ห้เหมาะสมเพ่ือให้บุคลากรสามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้โดยสะดวกและปลอดภัยปัจจุบนั องค์การหลายแห่งยงั ให้ความสาคัญกับการออกแบบสานักงานท่ีจะทาให้บุคลากรทางานได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขนึ ้ โดยจดั ให้มีรูปแบบสมยั ใหม่ที่สง่ เสริมการทางานเป็นทีมและก่อให้เกิดความคดิ สร้างสรรค์ และท่ีสาคญั อยา่ งยิ่งก็คือต้องตระหนกั วา่ ทรัพยากรเหล่านีน้ อกจากก่อให้เกิดรายได้แล้ว ในทางกลับกันยังก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายอย่างมากอีกด้วย เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ค่าไฟฟ้านา้ ประปา เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงและส่งผลตอ่ ต้นทุนการผลิตและการดาเนินงาน ดงั นนั้ผ้บู ริหารจาเป็นต้องวางแผนการใช้งานให้เกิดประโยชน์สงู สุด ดาเนินการและควบคมุ ดแู ลให้ทุกฝ่ ายได้ใช้ทรัพยากรเหล่านีด้ ้วยความระมดั ระวัง บารุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้ อมใช้งานได้ตลอดเวลา รวมทงั้ หาแนวทางลดคา่ ใช้จา่ ยและเพิ่มรายได้ 5.4 ทรัพยากรข้อมูลข่าวสาร (Information Resources) ทรัพยากรข้อมลู ขา่ วสารหรือสารสนเทศ หมายถึงผลลพั ธ์ที่เกิดจากการประมวลผลข้อมลู ดิบที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ โดยผลลัพธ์ที่ได้สามารถนาไปใช้ประกอบการทางานหรือสนับสนุนการตดั สินใจของผ้บู ริหาร เชน่ ประมาณการรายได้ ยอดงบดลุ รายงานสรุปผล การดาเนินงาน เป็นต้นข้อมูลข่าวสารช่วยให้การดาเนินงานในส่วนต่าง ๆ ขององค์การดาเนินไปได้ด้วยดี ถ้าปราศจากข้อมูลท่ีถกู ต้อง ทนั เวลาและทนั สมยั บคุ ลากรและผ้บู ริหารก็ไมส่ ามารถจะทาการตดั สินใจในการทางานแตล่ ะวนัได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ข้อมูลข่าวสารจากผู้มีส่วนเก่ียวข้องทงั้ ภายในและภายนอก เชน่ ข้อมลู ด้านการตลาด คแู่ ขง่ สภาพลกู ค้า รายงานการวจิ ยั ของภาครัฐสถิติการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นต้น เป็นสิ่งจาเป็นที่จะทาให้การประสานงานและการ

ดาเนินงานในทุกระดบั เกิดความราบร่ืน ควรเป็นหน้าที่ของบุคลากรทุกคนท่ีจะต้องจดั เก็บข้อมูลเก่ียวกบัปัญหา ความก้าวหน้าในการทางานให้เป็นปัจจุบนั โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การมีค่แู ข่งใหม่ ๆ เกิดขึน้ อยู่ตลอดเวลาและยุคนีเ้ ป็นยคุ ท่ีเรียกวา่ ยุคแห่งข้อมลู ขา่ วสาร ข้อมลู ขา่ วสารจึงเปรียบเป็นอาวุธสาคญั อย่างมากท่ีจะชว่ ยเสริมสร้างศกั ยภาพให้กบั องค์การ ทาให้ทราบถึงสภาวะแวดล้อมและคแู่ ขง่ ขนั รายอ่ืน ดงั นนั้ผ้บู ริหารจงึ จาเป็นต้องมีข้อมลู ขา่ วสารท่ีมีคณุ ภาพเช่ือถือได้อยใู่ นมือตลอดเวลา ผ้ทู ่ีมีข้อมลู มากกวา่ จะเป็นผ้ไู ด้เปรียบในการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ อยา่ งไรก็ตาม ข้อมลู ขา่ วสารจะมีคณุ คา่ หรือมีมลู คา่ เพ่ิมก็ตอ่ เมื่อได้มีการจัดการเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารนัน้ เป็นความรู้ให้ได้ ซึ่งผู้บริหารยุคปัจจุบันและอนาคตต้องมีความสามารถจดั การกบั ข้อมลู ข่าวสารท่ีมิใชเ่ ป็นการจดจารายละเอียดข้อมลู ข่าวสารแต่เพียงอย่างเดียวหากยงั ต้องมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วิจยั ประมวลผล สรุปผล ทงั้ นีเ้ พื่อให้เกิดความรวดเร็วและถกู ต้องด้วย องค์การจงึ ควรพฒั นาระบบข้อมูลข่าวสารเพ่ือการจดั การให้มีลกั ษณะเป็นอัตโนมตั ิและเป็นปัจจุบนั พัฒนาโปรแกรมสาเร็จรูปเพ่ือการจดั การภายใน เช่น การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ระบบบญั ชีการเงินและงบประมาณ การจัดการพัสดุและสินค้าคงคลงั เป็นต้น การพฒั นาโปรแกรมสาเร็จรูปที่มีประสทิ ธิภาพโดยเป็นโปรแกรมที่ผ้บู ริหารสามารถ ตรวจสอบ ตดิ ตามงานได้ตลอดเวลา6. ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของการจดั การ การเป็นผ้บู ริหารท่ีสามารถสร้างความเจริญให้หน่วยงานนนั้ ยากเป็นอยา่ งยิ่ง เพราะต้องประสานทรัพยากรทุกชนิดท่ีมีจากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และทาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ การวดั ผลการปฏิบตั งิ านของผ้บู ริหารให้ดผู ลผลิตว่าสงู หรือต่า กลา่ วคือ ได้งานปริมาณมากท่ีสุด ได้คณุ ภาพดีท่ีสดุ และทรัพยากรประหยดั ที่สดุ หรืออาจวดั ได้จากประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล ซงึ่ ถือเป็นจดุ สาเร็จของนกั บริหารทกุ คน ดงั รูปที่ 1.4 กลา่ วคอืประสิทธิภาพ (วธิ ีการ) ประสทิ ธิผล (ผลลัพธ์) การใช้ทรัพยากร บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์

สูญเสียน้อย บรรลุผลสงู การจัดการส่งผลให้ สญู เสยี ทรัพยากรน้อย (ประสทิ ธิภาพสงู ) บรรลเุ ปา้ หมายสงู (ประสทิ ธิผลสงู ) รูปท่ี 1.4 ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลในการจดั การทม่ี า : ดดั แปลงจาก Robbins และ Coulter, 2007:38 6.1 ความมีประสิทธิภาพของการจัดการ (Efficiency of Management) ความมีประสิทธิภาพของการจดั การ หมายถึง การที่ผ้บู ริหารใช้ความสามารถใน การทาสิ่งตา่ ง ๆ ในองค์การให้บงั เกิดผลตามเปา้ หมายท่ีกาหนด โดยใช้ทรัพยากรในจานวนน้อยแตผ่ ลลพั ธ์ที่ได้มีมากกว่าทรัพยากรที่ใช้ไป หรือเป็นการทางานโดยเสียค่าใช้ จ่ายต่าหรือประหยัดค่าใช้จ่าย แม้ว่าประสิทธิภาพจะไมไ่ ด้เป็นส่งิ เดียวท่ีจะทาให้สามารถแขง่ ขนั กบั องค์การอื่นได้ แตเ่ ป็นปัจจยั สาคญั ที่จะช่วยให้สามารถคงอย่ใู นธุรกิจได้อย่างยง่ั ยืน ดงั เช่น การทางานในบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์นนั้ การผลิตท่ีมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือความสามารถผลิตได้ในราคาต้นทุนที่ต่าท่ีสุดทัง้ ในแง่ของวัตถุดิบและแรงงานเช่นเดียวกนั ถ้าเราทางานผิดพลาด หรือ ทาให้เกิดการสญู เสียวตั ถดุ บิ ไปในกระบวนการผลิต ก็หมายถึงงานท่ีได้ไมม่ ีประสิทธิภาพ ท่ีทาให้ต้นทนุ ขององค์การสงู ขนึ ้ ซง่ึ ในภาพรวมประสิทธิภาพจะขนึ ้ อย่กู บั วิธีการหรือกระบวนการผลิตเป็นสว่ นใหญ่ 6.2 ความมีประสิทธิผลของการจัดการ (Effectiveness of Management)

ความมีประสิทธิผลของการจดั การ หมายถงึ การทางานให้บรรลเุ ปา้ หมายท่ีต้องการซึง่ จะให้ความสนใจกบั การทางานให้สาเร็จเพียงอย่างเดียว โดยไมค่ านงึ ถึงความค้มุ ค่าในการใช้ทรัพยากรในแง่การผลิตสินค้า ผลงานบรรลเุ ปา้ หมายคือผลิตได้ตามคณุ ภาพและปริมาณท่ีต้องการ ซึง่ อาจกลา่ วได้ว่า ประสิทธิผลนนั้ มุ่งท่ีผลลัพธ์ซึ่งมกั เป็นระยะยาว ในขณะที่ประสิทธิภาพเน้นท่ีวิธีการปฏิบัติหรือการดาเนินการซงึ่ มกั เป็นระยะสนั้ การจดั การในองค์การให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลไม่ใชเ่ รื่องง่ายสาหรับผ้บู ริหารแตก่ ็ไม่ยากถ้าผ้บู ริหารมีความตงั้ ใจจริง และหมน่ั ฝึกฝนเทคนิควิธีตา่ ง ๆ เพ่ือให้เกิดความค้นุ เคยและนาไปปฏิบตั ิให้เกิดผลสาเร็จซ่ึงผลสาเร็จดงั กล่าวจะเกิดขึน้ ได้นนั้ ผ้บู ริหารจะต้องมีความรู้ในเรื่องการจัดการทงั้ ทฤษฎีหลักการ และขบวนการต่าง ๆ เพราะความรู้นีจ้ ะช่วยให้ผู้บริหารหลีกเล่ียง การใช้สามญั สานึกในการพจิ ารณาการจดั การตา่ ง ๆ ในองค์การ หรืออาจกลา่ วได้อีกอยา่ งหนงึ่ วา่ ผ้บู ริหารต้องมีศาสตร์ ขณะเดยี วกนัผ้บู ริหารต้องมีความสามารถนาความรู้มาประยกุ ตใ์ ช้ให้เข้ากบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ สามารถครองใจผ้คู นให้มีความรู้สึกอยากจะร่วมมือร่วมใจในการทางานให้องค์การ โดยอาจยึดหลกั 3 ช ได้แก่ ชอบ เชื่อและเชียร์กล่าวคือ ทาให้ผู้ใต้บงั คบั บญั ชาชอบให้ได้อนั จะนามาซ่งึ ความเชื่อในส่ิงที่ผ้บู ริหารได้สง่ั ไป และพร้อมที่จะทางานให้ดีท่ีสุดเพื่อชว่ ยเชียร์ให้ผ้บู ริหารเกิดความสาเร็จในผลงานได้ดียิ่งขนึ ้ เรียกได้ว่าผู้บริหารต้องมีศลิ ป์จากที่กลา่ วมาทงั้ หมดจงึ เป็นท่ีมาของคากลา่ วที่วา่ การจดั การเป็นทงั้ ศาสตร์และศลิ ป์7. หน้าท่ขี องผู้บริหาร หน้าท่ีของผู้บริหาร หรือกระบวนการจัดการ หมายถึง ภารกิจประการต่าง ๆ อันเป็นหน้าที่ของบุคคลที่เป็ นผ้ ูบริ หารจะต้ องปฏิบัติงาน ในบทบาทของการเป็ นนัก บริ หารให้ ประสบความสาเร็ จตามวตั ถปุ ระสงค์หรือเปา้ หมาย ซง่ึ นกั วิชาการหลายทา่ นนาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการจดั การในทัศนะตา่ ง ๆ กนั ดงั นี ้ 7.1 แนวคิดของ Robbins และ Coulter Robbins และ Coulter (2007:39) กลา่ ววา่ กระบวนการจดั การประกอบด้วย

7.1.1 การวางแผน (Planning) หมายถงึ กระบวนการในการกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ ระบกุ ลยทุ ธ์เพื่อให้บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายและกาหนดแผนเพ่ือประสานกิจกรรมตา่ ง ๆ ขององคก์ ารให้ประสบผลสาเร็จ 7.1.2 การจดั องค์การ (Organizing) หมายถงึ กระบวนการในการกาหนดงานทงั้ หมดขององค์การท่ีจะต้องทา กาหนดผู้รับผิดชอบ การจัดกลุ่มงานด้วยวิธีการที่เหมาะสม และกาหนดความสมั พนั ธ์วา่ ใครจะต้องรายงานตอ่ ใคร 7.1.3 การเป็นผ้นู า (Leading) หมายถึง การกระต้นุ จงู ใจผ้ใู ต้บงั คบั บญั ชาแตล่ ะคนหรือทีมงาน การเลือกช่องทางการติดต่อสื่อสารท่ีมีประสิทธิผล หรือ การปฏิบตั ิอย่างใดอย่างหน่ึงเพ่ือให้บคุ ลากรซงึ่ เป็นผ้ใู ต้บงั คบั บญั ชาปฏิบตั ิตนให้เป็นประโยชน์แก่องค์การ 7.1.4 การควบคมุ (Controlling) หมายถงึ การวดั ผลการปฏิบตั งิ าน การเปรียบเทียบกบัมาตรฐาน และปรับปรุงผลการปฏิบตั งิ าน 7.2 แนวคิดของ Davidson และ Griffin Davidson และ Griffin (2006:10-12) ได้นยิ ามความหมายของกระบวนการจดั การท่ีคล้ายคลงึ กนั กบั ของ Robbins และ Coulter ซง่ึ ประกอบด้วย 7.2.1 การวางแผนและการตดั สนิ ใจ (Planning and Decision Making) หมายถงึ การตงั้วตั ถปุ ระสงคแ์ ละการตดั สนิ ใจสงั่ การเพื่อให้งานประสบผลสาเร็จ 7.2.2 การจดั องค์การ (Organizing) หมายถึง การกาหนดกลมุ่ กิจกรรมและทรัพยากรท่ีต้องใช้ในการทางานร่วมกนั 7.2.3 การนา (Leading) หมายถึง การกาหนดกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทาให้บคุ ลากรร่วมแรงร่วมใจกนั ทางานเพ่ือผลสาเร็จในอนาคตขององคก์ าร 7.2.4 การควบคมุ (Controlling) หมายถึง การติดตามตรวจสอบการปฏิบตั ิงานเพื่อให้งานบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 7.3 แนวคดิ ของ Certo Certo (เซอร์โต, 2549:3-4) ได้เสนอแนวความคิดเก่ียวกบั กระบวนการจดั การซงึ่ จะต้อง

ประกอบไปด้วยสว่ นสาคญั ดงั นี ้ 7.3.1 การวางแผน (Planning) หมายถึง การกาหนดหน้าท่ีการงานที่ต้องปฏิบตั เิ พ่ือให้บรรลเุ ปา้ หมายขององค์การ การร่างรูปแบบงานวา่ ควรดาเนนิ การอยา่ งไร และจะดาเนินงานเมื่อไร 7.3.2 การจดั การองค์การ (Organization) หมายถึง การมอบหมายงานอันเกิดจาก การวางแผนงานให้บุคลากรหรือกลุ่มบุคลากรภายในองค์การ จากนนั้ การจัดองค์การจะสร้ างกลไกเพื่อให้แผนงานดาเนนิ งานได้ 7.3.3 การชีน้ า (Influencing) การชีน้ าเป็นภาระหน้าท่ีเบือ้ งต้นอีกประการหนง่ึ ในกระบวนการจดั การ ซงึ่ ยงั เป็นที่รู้จกั ในอีกนยั หนงึ่ วา่ เป็นการจงู ใจ การชกั นา การชีน้ า หรือ การกระต้นุ ภาระหน้าท่ีนีใ้ ห้ความสาคญั แกบ่ คุ ลากรภายในองค์การเป็นอนั ดบั แรก 7.3.4 การควบคมุ (Controlling) การควบคมุ เป็นภาระหน้าที่ของการบริหารจดั การท่ีผ้บู ริหารรวบรวมข้อมูลเพ่ือประเมินผลการทางานที่ผ่านมาภายในองค์การ เปรียบเทียบผลงานปัจจบุ นั กับเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนดไว้ และพยายามหาแนวทางในการปรับปรุงองค์การเพื่อพฒั นาการผลิต 7.4 แนวคดิ ของ Gulick และ Urwick Gulick และ Urwick (1937:13) นกั บริหารชาวองั กฤษ ได้กาหนดหน้าท่ีในการจดั การหรือกระบวนการจดั การไว้ 7 ประการ เรียกโดยยอ่ วา่ POSDCoRB มีหลกั การดงั ตอ่ ไปนี ้ 7.4.1 การวางแผน (Planning) หมายถึง การวางแนวทางในการทางานวา่ มีงานอะไรบ้างท่ีจะต้องปฏิบตั ิ พร้อมกบั กาหนดวิธีการปฏิบตั ิ และวตั ถปุ ระสงค์ของการปฏิบตั งิ านเอาไว้ลว่ งหน้า 7.4.2 การจดั องค์การ (Organizing) หมายถึง การจัดรูปโครงสร้ างทางการบริหารอย่างเป็นทางการโดยมีการกาหนดอานาจหน้าที่ของบคุ ลากรในตาแหน่งตา่ ง ๆ ให้ชดั เจน พร้อมกบั กาหนดลกั ษณะและวิธีการตดิ ตอ่ งานท่ีสมั พนั ธ์กนั ตามลาดบั ชนั้ ของการบงั คบั บญั ชา 7.4.3 การจดั คนเข้าทางาน (Staffing) หมายถงึ การจดั การที่เกี่ยวกบั บคุ คลเร่ิมตงั้ แต่การสรรหาบคุ คล การบรรจแุ ตง่ ตงั้ การฝึกอบรม และการพฒั นาบคุ คล 7.4.4 การอานวยการหรือการสง่ั การ (Directing) หมายถงึ การตดั สินใจสงั่ การให้มี

การปฏิบตั งิ านตามกิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีกาหนดไว้ให้ดาเนนิ ไปอย่างมีระเบยี บแบบแผน รวมทัง้ การให้คาแนะนาซง่ึ ถือเป็นหน้าท่ีของผ้นู าโดยตรง 7.4.5 การประสานงาน (Co-ordinating) หมายถงึ การดาเนนิ การให้มีการร่วมมือกนั ในการปฏิบตั ิงานภายในหน่วยงานย่อยขององค์การ เพื่อให้งานดาเนินไปอยา่ งมีประสิทธิภาพไม่ซา้ ซ้อนและขดั แย้งกนั 7.4.6 การรายงาน (Reporting) หมายถงึ การจดั ทาบนั ทกึ ผลการปฏิบตั งิ านและมีรายงานให้ ผู้บริหารที่รับผิดชอบทราบความเคล่ือนไหวของงานในช่วงต่าง ๆ รวมทัง้ ตรวจสอบความก้าวหน้าของงานเป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้ปรับปรุงได้ทนั ทว่ งที 7.4.7 การงบประมาณ (Budgeting) หมายถึง การจดั สรรงบประมาณ การวางแผน การใช้จา่ ยเงิน การจดั ทาบญั ชี และการควบคมุ ดแู ลการใช้จา่ ยเงินอยา่ งรัดกมุ จากแนวคดิ เกี่ยวกบั กระบวนการจดั การดงั กลา่ วมานี ้แม้จะมีขนั้ ตอนมากน้อยตา่ งกนั แต่จะเห็นได้ว่าเป็นแนวคิดท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกนั จะแตกตา่ งกันก็เพียงบางท่านได้แยกประเด็นย่อยในรายละเอียดบางด้านให้เห็นชดั เจนยิ่งขึน้ กระบวนการจดั การที่นาเสนอข้างต้นเป็นเพียงตวั อย่างเพื่อให้นกั ศกึ ษาเข้าใจวา่ กระบวนการจดั การไมม่ ีขนั้ ตอนที่ตายตวั อาจมี 3 ประการ 4 ประการหรือ 7 ประการ และในยุคหน้าอาจเหลือเพียง 1 หรือ 2 ประการก็ได้ นกั ศกึ ษาสามารถเลือกนาไปใช้ได้ตามความเหมาะสมสาหรับกระบวนการจัดการท่ีจะนาเสนอในหน่วยต่อ ๆ ไปประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน เพื่อให้ครอบคลุมหลกั สตู ร คือ การวางแผน การจดั องค์การ การจดั คนเข้าทางาน การอานวยการ และการควบคมุ ซง่ึ จะเป็นแนวทางหนง่ึ ให้นกั ศกึ ษาได้ศกึ ษาทาความเข้าใจในเบือ้ งต้น8. ผู้บริหารกับแนวความคดิ เศรษฐกจิ พอเพียง หน้าที่ของผู้บริหารหรือกระบวนการจดั การเป็นส่วนสาคญั อย่างยิ่งต่อความสาเร็จขององค์การอยา่ งไรก็ตาม ความสาเร็จขององค์การไม่ได้มองเพียงแคผ่ ลกาไรหรือผลตอบแทนที่เป็นเพียงตวั เงินเพียงอยา่ งเดยี วเทา่ นนั้ ควรให้ความสาคญั กบั ลกู ค้า ชมุ ชน สงั คมรอบข้างด้วย แนวคดิ หนง่ึ ท่ีมีความสาคญั ท่ีทกุองค์การควรยึดถือปฏิบัติก็คือแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในปัจจุบันทุกฝ่ ายต่างมุ่งเน้นให้

ความสาคญั กับการนาแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบตั ิให้เกิดผลสาเร็จอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่ระดบั บุคคลและระดบั ครอบครัวเท่านัน้ แม้ในการดาเนินธุรกิจก็สามารถนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการทาธรุ กิจได้เชน่ กนั วตั ถปุ ระสงค์เพื่อให้เกิดความสาเร็จอย่างมีสมดลุ มีความพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทงั้ ในด้านวตั ถุ สิ่งแวดล้อมและวฒั นธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี โดยมีรายงานการวิจัยปรากฏชัดเจนเป็นเคร่ืองยืนยันว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ทาให้แต่ละคนอยไู่ ด้พอดี มีสขุ อย่างยงั่ ยืนได้ในทุกภาคส่วน ไม่เพียงแตภ่ าคเกษตรกรรมเท่านนั้ดงั นนั้ การจดั การองค์การธุรกิจในยุคใหม่นีผ้ ้บู ริหารจงึ ควรนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ องค์การของตนเอง เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาหรือแนวคดิ ท่ีมีหลกั การและมีอดุ มการณ์ที่ชว่ ยพฒั นาชีวติ มนษุ ย์และสงั คมให้มงุ่ ไปสคู่ วามยงั่ ยืนด้วยการรู้จกั ตนเอง พง่ึ ตนเอง พอเพียง ไม่โลภมาก มีเหตผุ ลและไม่ประมาท (พระมหาศิริวฒั น์ อริยเมธี (จนั ต๊ะ), 2549:16) หวั ใจสาคญั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 3 หว่ ง 2 เง่ือนไข ดงั ตอ่ นี ้ พอประมา ณ มีเหตผุ ล มีภมู ิค้มุ กนั ความรู้ คณุ ธรรม รูปท่ี 1.5 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง (3 หว่ ง 2 เง่ือนไข) ในองค์การท่ีมา : ดดั แปลงจาก จิรายุ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา, 2551:ข 8.1 ความพอประมาณ (Moderation)

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้ อยเกินไป และไม่มากจนเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผ้อู ่ืน ผู้บริหารสามารถทาได้โดย การไม่คิดกาไรเกินควร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล 8.2 ความมีเหตุผล (Reasonableness) ความมีเหตผุ ล หมายถึง การตดั สนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพียงนนั้ จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตผุ ล โดยพิจารณาจากเหตปุ ัจจยั ที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขนึ ้ จากการกระทานนั้ๆ อย่างรอบคอบ ซึ่งในเรื่องนีผ้ ้บู ริหารควรให้ความสาคญั กับการใช้ข้อมูลจริงจากการวิเคราะห์วิจัยเป็นพืน้ ฐานสนบั สนนุ 8.3 การมีภูมิคุ้มกันท่ดี ใี นตวั (Self Immunity) การมีภูมิค้มุ กันที่ดีในตวั หมายถึง การเตรียมตวั เองให้พร้อมเพ่ือรับผลกระทบและ การเปล่ียนแปลงด้านตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดขนึ ้ โดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขึน้ในอนาคตทงั้ ใกล้และไกล ผ้บู ริหารอาจทาได้ด้วยการจดั ระบบความเส่ียงในเร่ืองเงินและความเสี่ยงในด้านตา่ ง ๆ การจดั การกบั ชมุ ชนรอบองค์การ หรือสิ่งแวดล้อมเพื่อปอ้ งกนั ปัญหา การให้ความสาคญั กบั การฝึกอบรมพฒั นาฝีมือและจิตใจของบุคลากรเพ่ือครองใจคนให้ทางานอยู่กบั องค์การไปนาน ๆ ส่งเสริมให้บคุ ลากรรู้จกั แบง่ ปันความรู้และประสบการณ์การทางาน ห่วงทงั้ สามดงั กล่าวต้องตงั้ อย่บู นพืน้ ฐานเงื่อนไขความรู้อันประกอบไปด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการตา่ ง ๆ ที่เก่ียวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนาความรู้เหล่านนั้ มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกนัเพื่อประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในขัน้ ปฏิบตั ิ นอกจากนีต้ ้องตงั้ อยู่บนเง่ือนไขคณุ ธรรมท่ีจะต้องเสริมสร้างให้เกิดขนึ ้ ควบคกู่ นั ไป เง่ือนไขคณุ ธรรมประกอบด้วยมีความตระหนกั ในคณุ ธรรม มีความซ่ือสตั ย์สจุ ริต มีความอดทน มีความเพียร และใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวิตดงั คากล่าวที่วา่ “มีความรู้คู่คณุ ธรรม” ในการนาแนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียงไปประยกุ ต์ใช้ในองคก์ าร ผ้บู ริหารควรเริ่มต้นจากการปฏิบตั ิตนเป็นตวั อย่างท่ีดีโดยดาเนินชีวิตอยา่ งพอเพียงซึ่งอาจเริ่มจากเร่ืองง่าย ๆ ก่อน เช่น การแตง่ กาย การใช้เงิน การรับประทานอาหาร เป็นต้น และควรกาหนดแนวทางในการทางานตามหน้าท่ีการจดั การ ทงั้ ในด้านการวางแผน การจดั องค์การ การจดั คนเข้าทางาน การอานวยการ และการควบคมุ โดยยึดหลกั เศรษฐกิจพอเพียง การเริ่มต้นจากการปฏิบตั ิตนของผ้บู ริหารเช่นนีจ้ ะส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมของบุคลากรในองค์การซ่ึงอาจจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์การได้ ในส่วนของนกั ศึกษาก็เช่นเดียวกันสามารถนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดาเนินชีวิตทงั้ ในด้านส่วนตวั และในการทางาน ซง่ึ จะกอ่ ให้เกิดผลดตี อ่ ตนเอง

อนั จะนามาซึง่ ความสขุ ในชีวิตและเป็นผลดีตอ่ องค์การที่ตนเองทางานอยดู่ ้วย ลองมาเร่ิมต้นใช้ชีวิตอย่างพอเพียงกนั เสียตงั้ แตว่ นั นี.้.....เพื่อความสขุ ในวนั ข้างหน้าสรุป การจดั การเป็นความรู้ที่จาเป็นสาหรับบคุ ลากรทกุ คนท่ีปฏิบตั งิ านร่วมกบั ผ้อู ื่น โดยเฉพาะผ้ทู ี่อย่ใู นฐานะผ้นู ากล่มุ หรือผ้ทู ี่จะพฒั นาตนเองเป็นผ้บู ริหาร ไม่ว่าจะเป็นผ้บู ริหารระดบั สูง ผ้บู ริหารระดบั กลางหรือผ้บู ริหารระดบั ต้น ต้องใช้ความรู้ในการจดั การทงั้ สิน้ การจดั การคือกระบวนการที่ผ้บู ริหารใช้ศาสตร์และศลิ ป์ ในการนาทรัพยากรคน เงิน ทรัพยากรทางกายภาพ และข้อมลู ขา่ วสาร มาดาเนินการตามขนั้ ตอนเพ่ือให้บรรลเุ ปา้ หมายอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล โดยผ้บู ริหารต้องมีทกั ษะ 3 ด้าน คอื ทกั ษะด้านวิชาชีพ ทกั ษะด้านมนษุ ยสมั พนั ธ์ และทกั ษะด้านความคิด ซึ่งจะช่วยเสริมให้เกิดผลสาเร็จในการจดั การมากยิ่งขึน้ โดยผลสาเร็จในการจัดการของผู้บริหารวัดได้จากการทางานท่ีมีทัง้ ประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ความมีประสิทธิภาพของการจดั การ คือ การทางานให้สาเร็จตามเป้าหมายโดยใช้ทรัพยากรอย่างค้มุ คา่ ส่วนความมีประสิทธิผลของ การจดั การ คือ การทางานให้บรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ การดาเนินงานให้เกิดผลสาเร็จในสิ่งเหล่านีผ้ ้บู ริหารต้องปฏิบตั ิหน้าท่ีด้านการวางแผน การจดัองค์การ การจัดคนเข้าทางาน การอานวยการ และการควบคุม นอกจากนีผ้ ู้บริหารควรนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ต์ใช้ในการดาเนินชีวิตและในหน้าที่การจดั การเพื่อสร้างเสริมให้เกิดความสขุและความสาเร็จตอ่ ตนเองและตอ่ องค์การ โดยยดึ ความพอประมาณความมีเหตผุ ล และการมีภมู คิ ้มุ กนั ที่ดีบนพืน้ ฐานความรู้ คคู่ ณุ ธรรม กจิ กรรมท่ี 1 คาชีแ้ จง นกั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 5 กลมุ่ แตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาเนือ้ หาและรับผิดชอบสรุปความรู้ที่ได้จากการศึกษาเอกสารประกอบการสอน แล้วร่วมกันอภิปราย ส่งตวั แทนกล่มุ นาเสนอรายงานหน้าชนั้เรียน ดงั นี ้ กลมุ่ ท่ี 1 1.1 ความหมายของการจดั การ

1.2 ระดบั ของผ้บู ริหารในองค์การธุรกิจ 1.3 จาแนกระดบั ของผ้บู ริหารในสถาบนั การศกึ ษาที่นกั ศกึ ษากาลงั ศกึ ษาอยู่กลมุ่ ที่ 2 2.1 ทกั ษะในการจดั การของผ้บู ริหาร 2.2 การใช้ทกั ษะในการจดั การของผ้บู ริหารแตล่ ะระดบักลมุ่ ท่ี 3 3.1 ทรัพยากรในการจดั การ 3.2 ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลของการจดั การของผ้บู ริหารกลมุ่ ท่ี 4 4.1 หน้าที่ของผ้บู ริหาร 4.2 เปรียบเทียบหน้าที่ของผ้บู ริหารตามแนวคิดของนกั วิชาการแตล่ ะคนกลมุ่ ที่ 5 5.1 ผ้บู ริหารกบั แนวความคดิ เศรษฐกิจพอเพียง 5.2 ยกตวั อยา่ งกิจกรรมท่ีสามารถนาไปปฏิบตั ใิ ห้เหน็ จริงได้ในชีวติ ประจาวนั และในการทางาน โดยสมมตวิ า่ นกั ศกึ ษาเป็นผ้บู ริหารองค์การธุรกิจ แหง่ หนง่ึ

กจิ กรรมท่ี 2 คาชีแ้ จง ให้นักศึกษาแต่ละคนอ่านบทความเรื่อง ประวัติศาสตร์ของการบริหารรัฐกิจไทยดงั ตอ่ ไปนี ้ และร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอ่ ไปนี ้ 1. ความจาเป็นในการจดั การเรียนการสอนเก่ียวกบั การจดั การหรือการบริหารในสถาบนั การศกึ ษา 2. คากล่าวท่ีว่า คนไทยชอบเรียนวิชาการบริหารกนั มากเพราะไปจาคาสอนที่ดี ๆ มาเข้าใจกันอย่างผิด ๆ คือ ผ้บู ริหารไม่ต้องทาอะไรเลย หากแตม่ อบหมายให้คนอื่น ๆ ทาให้ทงั้ หมด ไปจนถึงผ้บู ริหารไทยไมต่ ้องรับผดิ ชอบการบริหารที่ผิดพลาด หากแตร่ ับชอบเตม็ ที่เมื่องานสาเร็จ ประวัตศิ าสตร์ของการบริหารรัฐกจิ ไทย ถ้าใครแคร์ที่จะศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ของสถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ (นิด้า) ก็จะทราบวา่ มีฝรั่งอเมริกนั คนหนงึ่ เข้ามาที่เมืองไทยภายหลงั สงครามโลกครัง้ ท่ีสองชว่ งสงครามเกาหลีนนั่ แหละครับ ฝรั่งคนนีเ้ข้ามามอง ๆ ดปู ระเทศไทยแล้วก็บอกว่าอะไร ๆ ของประเทศไทยนีก้ ็ดี ๆ แทบทงั้ นนั้ อาทิคนไทยก็ฉลาดดี ทรัพยากรธรรมชาตกิ ็เยอะแยะ ขาดอยอู่ ยา่ งเดียวคือ การจดั การ หรือที่เรียกให้เพราะ ๆ ก็คือการบริหารท่ีมีประสทิ ธิภาพ (Efficiency) คอื ลงทนุ น้อย ๆ ใช้เวลาน้อยๆ ใช้คนน้อย ๆ แล้วได้ผลตามท่ีตงั้ เปา้ หมายไว้ ตา่ งกบั ประสิทธิผล (Effectiveness) คือไมต่ ้องสนใจเร่ืองทนุเร่ืองเวลา เรื่องคน ทมุ่ เข้าไปตามสบายให้ได้ผลตามที่ตงั้ เปา้ หมายไว้ก็แล้วกนั ดังน้ัน จึงน่าจะต้ังสถาบันการศึกษาชนิดใหม่ขึ้นเพ่ือฝึ กให้คนไทยรู้จักการจัดการบริหารโดยเฉพาะเพ่ือความเจริญสถาพรของประเทศไทย

ครับ! ผู้ใหญ่ของประเทศไทยเราตอนนัน้ ก็เช่ือฟังฝร่ังคนนีเ้ ลยตัง้ นิด้าขึน้ ช่วงแรกก็อยู่ในมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ตอ่ มาก็ย้ายมาตงั้ เป็นมหาวิทยาลยั เอกเทศ ณ ท่ีตงั้ ปัจจบุ นั และได้เปิดสาขาไปทว่ั ประเทศแล้วในขณะนี ้ คนไทยชอบเรียนวิชาการบริหารกนั มากเพราะไปจา ๆ คาสอนดี ๆ มา เข้าใจกนั อย่างผดิ ๆเชน่ “ผ้บู ริหารที่ดนี นั้ คอื ผ้ทู ่ีไมต่ ้องทาอะไรเลย หากแตม่ อบหมายให้คนอื่นทาให้ทงั้ หมดซงึ่ เป็นเรื่องของการกระจายอานาจ แตผ่ ้บู ริหารยงั ต้องรับผดิ ชอบอยนู่ น่ั เอง คนไทยกลบั นาคาอ้างนีม้ าตีความกนั ว่า ผ้บู ริหารคือผ้ทู ่ีมีอานาจแต่ไม่ต้องทาอะไรและไม่ต้องรับผิดชอบการบริหารงานท่ีผิดพลาดหากแต่รับชอบได้เต็มท่ีเมื่องานสาเร็จเรียบร้ อยดี ดังนั้น คนไทยท่ีหลงผิดเลยล้วนแต่อยากจะเป็ นผู้บริหารทง้ั นั้น พวกที่เรียนแพทย์ เรียนวิศวกรรมศาสตร์แม้แตพ่ วกที่อย่ใู นมหาวิทยาลยั เองท่ีเรียนจบวิชาเฉพาะยาก ๆ มาก็พากนั วิ่งไปเป็นผ้บู ริหารเสียหมด กลา่ วคือ ตอนเรียนตอ่ ปริญญาโทก็พากนั มาเรียนการบริหารกนั เสียหมด ประเทศไทยเราสญู เสียวิศวกรดี ๆ แล้วได้ผ้บู ริหารห่วย ๆ มาเยอะนะครับ แบบเดียวกบั เสียแพทย์เก่ง ๆ แล้วได้ผ้บู ริหารแย่ ๆ มามากมายเพราะนกั วิชาการของไทยชอบเป็นนกั บริหารประเทศไทยเราน่ีใช้ทรัพยากรมนษุ ย์เปลืองแบบสูญเปล่าอย่างนา่ เสียดายจริง ๆ ครับ เนื่องจากอยากจะเป็นผ้บู ริหารแบบไทยๆ คือ อยากมีอานาจแตไ่ มอ่ ยากทาอะไรเองและไมม่ ีความรับผิดชอบตอ่ งานและตาแหนง่ หน้าที่นน่ั เอง ความจริงวิชาการบริหารน่ีนะครับเขาเริ่มกันที่ปรัชญา (Philosophy) เสียก่อน แต่ของเราไม่เคยสนใจเร่ืองปรัชญาเลย ดงั นนั้ พอถึงปัญหาท่ีจะต้องตดั สินใจวา่ “อะไรผิด อะไรถกู ” ก็เลยมว่ั กนั แหลก ไม่รู้วา่ อะไรผดิ อะไรถกู การบริหารของเราก็เลยเละเทะในทกุ ระดบั อย่างท่ีเป็นอยใู่ นขณะนีน้ นั่ เอง การบริหารของไทยเราที่เร่ิมต้นสอนกันก็คือ การวางแผน แล้วก็จัดตงั้ หน่วยงาน การหาคนมาทางาน การบริหารงาน การควบคมุ การดาเนินงานให้เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ ก็วนกนั อยแู่ คน่ ีล้ ะครับ เห็นมีกองแผนงาน หน่วยวางแผนกนั เยอะแยะ ในระดบั ชาตกิ ็เห็นจะเป็นสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติท่ีมีแผนออกมาตงั้ 8 แผนแล้ว กาลงั จะมีแผนฉบบั ท่ี 9 แล้ว แตย่ งั หาคนรับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจฟองสบแู่ ตกเมื่อวนั ท่ี 2 กรกฎาคม 2540 ไมไ่ ด้

เลยครับ เห็นไหม! ปรัชญานนั้ เป็นที่มาของนโยบายท่ีคมุ วตั ถุประสงค์อีกทีหน่งึ ในขณะท่ีวตั ถปุ ระสงค์นนั่ เป็นนาของการวางแผน การจดั ตงั้ หน่วยงาน หาคนมาทางานแล้วจึงดาเนินการบริหาร แตค่ นไทยเราไมย่ อมพูดเรื่องปรัชญาเลย ยกตวั อย่างเรื่องยาบ้าของเมืองไทยเราก็ได้ปัญหาทางปรัชญาท่ีจะต้องเริ่มขบคิดกันก่อนที่จะมีนโยบายเก่ียวกับยาบ้าออกมา รัฐบาลจะต้องเลือกเอาระหว่าง “ความยุติธรรม” กบั “ความสขุ ” ซึ่งเป็นปรัชญาท่ีพลาโตกบั อริสโตเตลิ ใช้ถกเถียงกนั มาเป็นพนั ๆ ปีแล้ว แน่นอนทีเดียวการบริหารบ้านเมืองนนั้ จะเอาแตค่ วามยตุ ิธรรมอย่างเดียวหรือจะเอาแตค่ วามสขุอย่างเดียวคงไมไ่ ด้ หากแตจ่ ะเน้นหนกั ไปทางเม่ือถึงเวลาท่ีจะต้องตดั สินใจในทางปฏิบตั ิในแตล่ ะกรณี ในแตล่ ะนโยบายไป ดงั นนั้ รัฐบาลท่ีเป็นประชาธิปไตยทงั้ หลายในโลกนีจ้ งึ เลือกเอาปรัชญาของพวกวิเคราะห์กฎหมายอย่างมีเหตผุ ล (Rationalistic Analysis of Law) ท่ีมีนายเจอรามี เบนแทน เป็นผ้นู า มีเนือ้ หาว่า “กฎหมายบ้านเมืองนนั้ ต้องเป็นกฎหมายเพื่อประชาชนสว่ นใหญ่ในจานวนที่มากท่ีสดุ ปัญหายาบ้าที่รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มโทษขนึ ้ อย่างมากเมื่อปี 2539 นนั้ ซง่ึ มีผลกระทบอยา่ งรุนแรงตอ่ การเพ่มิ ปริมาณของยาบ้าที่ผลิตออกส่ตู ลาดและคดเี ก่ียวกบั ยาบ้าอย่างนา่ ตกใจ ตวั เลขมนั ฟ้องชดั คือ ใน พ.ศ. 2539 จบั ยาบ้าได้เก้าล้านกว่าเม็ด แตใ่ น พ.ศ.2542 จบั ยาบ้าได้สี่สบิ สามล้านกวา่ เม็ด (สาหรับสถิตปิ ี พ.ศ. 2542 นนั้ แค่ 11 เดือนเทา่ นนั้ ) สว่ นคดีเก่ียวกบั ยาบ้า (สว่ นใหญ่ก็คือการจบั ผ้เู สพยาบ้าแทบทงั้ นนั้ จากสถิตปิ ี 2539 มีสองหม่ืนกวา่ คดแี ตใ่ น พ.ศ.2542 (11 เดอื นแรกเหมือนกนั ) ปาเข้าไปตงั้ หนงึ่ แสนห้าหม่ืนกวา่ คดี แล้วอยา่ งนีย้ งั ไมท่ บทวนนโยบายกนั อีกหรือ? หากจะทบทวนนโยบายคราวตอ่ ๆ ไป นา่ จะคยุ กนัถึงเรื่องปรัชญากนั สกั หนอ่ ยก็คงไมเ่ สียหายอะไรนะครับท่มี า : โกวทิ วงศ์สรุ วฒั น์, 2543:43

แบบฝึ กหดั หน่วยท่ี 1ตอนท่ี 1 จงเตมิ คาหรือข้อความในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปนีใ้ ห้ได้ถกู ต้องสมบรู ณ์ 1. องคก์ ารตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเป็นองคก์ ารของรัฐหรือเอกชน จะมีประสิทธิภาพเพียงใดขนึ ้ อยกู่ บั.................................................................................................................................................... 2. ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีความโดดเดน่ ที่สดุ ในโลก ในเร่ือง....................................................

.................................................................................................................................................... 3. นกั ศกึ ษาต้องเรียนรู้เก่ียวกบั หลกั การจดั การเพ่ือ............................................................................................................................................................................................................................. 4. KBE ยอ่ มาจาก............................................................................................................................ หมายถึง....................................................................................................................................... 5. Management คือ.........................................นยิ มใช้กบั ................................................................ สว่ น Administration คือ................................นิยมใช้กบั ............................................................. 6. ความสาเร็จของการจดั การสว่ นหนง่ึ ย่อมมีจดุ เร่ิมมาจาก............................................................. 7. ...........................................................คือบคุ คลที่นากระบวนการและเทคนิคการจดั การไป ประยกุ ตใ์ ช้ 8. นกั บริหารปัจจบุ นั ได้เปลี่ยนบทบาทจาก.............................................................มาเป็น................................................................................................................................................................. 9. ...............................เป็นผ้ทู ่ีรับแนวทางมาจากคณะกรรมการบริษัทมากาหนดกลยทุ ธ์ทางธรุ กิจ10. ....................................................ทาการตดั สินใจในระยะสนั้ ที่ครอบคลมุ การดาเนนิ งาน ประจาวนั ให้ความชว่ ยเหลือแก้ปัญหากบั ผ้ทู ่ีทางานในแผนกตนเองเทา่ นนั้11. ทกั ษะหรือ..................................หมายถงึ .......................................................................................................................................................................................................................................12. คนที่ทางานแล้วมีความสาเร็จ มีความก้าวหน้า ต้องมี.................................................................

....................................................................................................................................................13. ทกั ษะมนษุ ยสมั พนั ธ์ คือความสามารถในการมีปฏิกิริยาสมั พนั ธ์กบั ผ้อู ่ืน รวมไปถงึ ......................................................................................................................................................................14. ทรัพยากรในการจดั การพืน้ ฐาน ประกอบด้วย...............................................................................................................................................................................................................................15. .........................................................เป็นปัจจยั ท่ีทาให้สามารถคงอยใู่ นธรุ กิจได้อยา่ งยงั่ ยืนตอนท่ี 2 จงตอบคาถามตอ่ ไปนี ้1. การศกึ ษาหลกั การจดั การมีความจาเป็นอยา่ งไร2. จงอธิบายความหมายของการจดั การ3. คาวา่ “การจดั การ” และ “การบริหาร” แตกตา่ งกนั อยา่ งไร3. ระดบั ของผ้ปู ฏิบตั หิ น้าที่ทางการจดั การหรือการบริหาร แบง่ เป็นกี่ระดบั อะไรบ้าง พร้อม ยกตวั อยา่ ง4. ผ้บู ริหารควรมีทกั ษะใดในการจดั การ5. ผลสาเร็จในการจดั การของผ้บู ริหารวดั ได้อยา่ งไร จงอธิบาย6. ผ้บู ริหารมีหน้าที่ในการจดั การอยา่ งไร7. อธิบายหวั ใจสาคญั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

แบบทดสอบก่อนการเรียนรู้ หน่วยท่ี 1คาชีแ้ จง จงทาเคร่ืองหมายกากบาท (x) ข้อท่ีถกู ที่สดุ เพียงข้อเดียวลงในกระดาษคาตอบ1. ขอ้ ใดคือความหมายของการจดั การ ก. พิจารณาหาเหตุผลวา่ เหตุใดยอดขายก. การจดั ทานโยบายเพ่อื นามาปฏิบตั ิให้ ของบริษทั จึงลดลง

บรรลุวตั ถุประสงค์ ข. ต้งั เป้ายอดขายในปี ต่อไป ข. กระบวนการใชศ้ าสตร์และศิลป์ ของ ค. ช่วยลูกนอ้ งขนสินคา้ ข้ึนรถบรรทุก ง. แสดงใหล้ ูกนอ้ งเห็นถึงวธิ ีการใช้ ผบู้ ริหารเพื่อใชท้ รัพยากรใหเ้ กิด ผลงานมีประสิทธิภาพและ เครื่องทุน่ แรง ประสิทธิผล จ. จดั ระบบการทางานภายในองคก์ าร ค. การกาหนดหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ 5. ผบู้ ริหารหรือผจู้ ดั การระดบั สูงควรมีทกั ษะ ง. การที่คนสองคนมาร่วมทากิจกรรม ดา้ นใดมากท่ีสุด ร่วมกนั ก. ทกั ษะดา้ นเทคนิค จ. การดาเนินการตามแผนที่กาหนดไว้ ข. ทกั ษะดา้ นความคิด2. ผบู้ ริหารระดบั ตน้ หรือผจู้ ดั การระดบั ตน้ ค. ทกั ษะดา้ นมนุษยสมั พนั ธ์ คือใคร ง. ทกั ษะดา้ นวชิ าชีพ ก. ผจู้ ดั การฝ่ าย จ. ทกั ษะการฟัง ข. ผอู้ านวยการ 6. การจดั การเป็นศิลป์ เพราะ ค. หวั หนา้ งาน ก. เป็นหลกั การ ทฤษฎี ที่นามาใชใ้ ห้ ง. ประธาน จ. พนกั งาน เกิดผลได้3. ขอ้ ใดเป็นปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จ ข. เป็นความรู้ที่สามารถกาหนดข้ึนเป็น ในการจดั การมากที่สุด ก. คน หลกั เกณฑท์ ่ีสามารถพสิ ูจนไ์ ด้ ข. เงินทุน ค. การจดั การตอ้ งอาศยั ทรัพยากร ค. เครื่องมือ ง. วสั ดุส่ิงของ การบริหารเป็ นสาคญั ง. การจดั การตอ้ งรู้จกั นาหลกั ทฤษฎี ตา่ ง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์

จ. เทคโนโลยี จ. การจดั การเป็ นความรู้ท่ีหาอา่ นได้4. ขอ้ ใดต่อไปน้ีไม่ใช่งานในหนา้ ที่ของ ทว่ั ไป ผจู้ ดั การ ค. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ7. เหตุใดการจดั การจึงเป็ นศาสตร์ ของงานเท่ากบั ผลผลิตที่ได้ ก. มีการปรับปรุงใหต้ รงหรือ ง. บรรลุวตั ถุประสงคต์ ามที่ตอ้ งการ สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ จ. มีการนาเทคโนโลยมี าใชใ้ นองคก์ าร 10. จงจดั ลาดบั หนา้ ที่การจดั การต่อไปน้ี ข. การนาเอาความรู้มาปรับใชใ้ ห้ เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มท่ีเป็นจริง 1. การอานวยการ 2. การจดั องคก์ าร 3. การวางแผน 4. การควบคุม ค. มีการผสมผสานความคิดริเร่ิมใช้ 5. การจดั คนเขา้ ทางาน ประสบการณ์ ก. 1, 2, 3, 4, 5 ข. 2, 4, 3, 1, 5 ง. เป็นความรู้ หลกั การที่ไดร้ ับ ค. 1, 3, 5, 2, 4 การพสิ ูจน์แลว้ วา่ สามารถนามาใชใ้ น ง. 4, 3, 2, 1, 5 การทางานใหป้ ระสบผลสาเร็จ จ. 3, 2, 5, 1, 4 11. ขอ้ ใดไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ความจาเป็นใน จ. การจดั การตอ้ งรู้จกั นาหลกั ทฤษฎี การศึกษาหลกั การจดั การ ตา่ ง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ก. เป็นแนวทางทาใหป้ ระสบผลสาเร็จ สถานการณ์ ในการทางาน ข. เขา้ ใจการปฏิบตั ิงานของผบู้ งั คบั บญั ชา8. ประสิทธิภาพการทางานของผจู้ ดั การ ค. เขา้ ใจลกั ษณะงานในองคก์ าร ตดั สินไดจ้ ากส่ิงใด ก. ใชท้ รัพยากรจานวนนอ้ ยแตผ่ ลลพั ธ์ที่ ไดม้ ีมากกวา่ ทรัพยากรที่ใชไ้ ป ข. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ ของงานมีมากกวา่ ผลผลิตที่ได้

ค. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ ง. รู้บทบาทเม่ือตนเป็นผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาของงานเท่ากบั ผลผลิตที่ได้ จ. รู้กลโกงของคู่แข่งง. บรรลุวตั ถุประสงคต์ ามท่ีตอ้ งการ 12. การจดั การที่ยดึ แนวคิดความพอเพยี งคือขอ้ ใดจ. มีการนาเทคโนโลยมี าใชใ้ น ก. กาหนดนโยบายเนน้ ใหค้ วามสาคญัองคก์ าร กบั ส่ิงแวดลอ้ ม9. ประสิทธิผลการทางานของผจู้ ดั การตดั สิน ข. เนน้ ทากาไรสูงอยา่ งเดียวไดจ้ ากสิ่งใด ค. ทุม่ งบการลงทุนขณะเศรษฐกิจชะลอตวัก. ใชท้ รัพยากรจานวนนอ้ ยแตผ่ ลลพั ธ์ท่ี ง. ทุ่มใชท้ รัพยากรอยา่ งเตม็ ท่ีแต่กาไรไม่ไดม้ ีมากกวา่ ทรัพยากรที่ใชไ้ ป เป็ นไปตามเป้าหมายข. ทรัพยากรท่ีใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ จ. ตดั งบประมาณโครงการพฒั นาของงานมีมากกวา่ ผลผลิตที่ได้ บุคลากรเพราะทาใหส้ ิ้นเปลือง แบบทดสอบหลังการเรียนรู้ หน่วยท่ี 1คาชีแ้ จง จงทาเคร่ืองหมายกากบาท (x) ข้อท่ีถกู ที่สดุ เพียงข้อเดยี วลงในกระดาษคาตอบ1. ผบู้ ริหารหรือผจู้ ดั การระดบั ตน้ ควรมีทกั ษะ ข. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จดา้ นใดมากท่ีสุด ของงานมีมากกวา่ ผลผลิตท่ีได้ก. ทกั ษะดา้ นความคิด ค. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จข. ทกั ษะดา้ นเทคนิค ของงานเทา่ กบั ผลผลิตที่ได้ค. ทกั ษะดา้ นมนุษยสมั พนั ธ์ ง. บรรลุวตั ถุประสงคต์ ามท่ีตอ้ งการง. ทกั ษะดา้ นวชิ าชีพ จ. มีการนาเทคโนโลยมี าใชใ้ นองคก์ ารจ. ทกั ษะการฟัง 5. ขอ้ ใดคือความหมายของการจดั การ2. หวั หนา้ งาน มีสถานภาพตรงตามขอ้ ใด ก. การจดั ทานโยบายเพ่ือนามาปฏิบตั ิให้

ก. ผบู้ ริหารระดบั สูง บรรลุวตั ถุประสงค์ข. ผบู้ ริหารระดบั กลาง ข. กระบวนการใชศ้ าสตร์และศิลป์ ของค. ผบู้ ริหารระดบั ตน้ ผบู้ ริหารเพือ่ ใชท้ รัพยากรใหเ้ กิดผลงานง. ประธาน อยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจ. พนกั งาน ค. การกาหนดหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ3. ประสิทธิภาพการทางานของผจู้ ดั การ ง. การที่คนสองคนมาร่วมทากิจกรรมร่วมกนัตดั สินไดจ้ ากสิ่งใด จ. การดาเนินการตามแผนท่ีกาหนดไว้ก. ใชท้ รัพยากรจานวนนอ้ ยแต่ผลลพั ธ์ท่ี 6. ขอ้ ใดเป็นปัจจยั ที่มีอิทธิพลตอ่ ความสาเร็จไดม้ ีมากกวา่ ทรัพยากรที่ใชไ้ ป ในการจดั การมากที่สุดข. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ ก. คนของงานมีมากกวา่ ผลผลิตที่ได้ ข. เงินทุนค. ทรัพยากรที่ใชใ้ นการบรรลุความสาเร็จ ค. เคร่ืองมือของงานเทา่ กบั ผลผลิตที่ได้ ง. วสั ดุสิ่งของง. บรรลุวตั ถุประสงคต์ ามที่ตอ้ งการ จ. เทคโนโลยีจ. มีการนาเทคโนโลยมี าใชใ้ นองคก์ าร 7. ขอ้ ใดไม่เก่ียวขอ้ งกบั ความจาเป็นใน4. ประสิทธิผลการทางานของผจู้ ดั การตดั สินได้ การศึกษาหลกั การจดั การจากสิ่งใด ก. เป็นแนวทางทาใหป้ ระสบผลสาเร็จในก. ใชท้ รัพยากรจานวนนอ้ ยแตผ่ ลลพั ธ์ท่ี การทางานไดม้ ีมากกวา่ ทรัพยากรท่ีใชไ้ ป ข. เขา้ ใจการปฏิบตั ิงานของผบู้ งั คบั บญั ชาค. เขา้ ใจลกั ษณะงานในองคก์ าร ค. ทุ่มงบการลงทุนใหม่ขณะที่เศรษฐกิจง. รู้บทบาทตนเองเมื่อเป็นผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ชะลอตวัจ. รู้กลโกงของคูแ่ ข่ง ง. ทุม่ ใชท้ รัพยากรอยา่ งเตม็ ที่แต่กาไรไม่

8. เม่ือวางแผนแลว้ ผบู้ ริหารควรปฏิบตั ิ เป็ นไปตามเป้าหมาย หนา้ ที่ใดต่อไปน้ี จ. ตดั งบประมาณโครงการพฒั นา ก. การจดั คนเขา้ ทางาน ข. การควบคุม บุคลากรเพราะทาใหส้ ิ้นเปลือง ค. การวางแผน 11. เหตุใดการจดั การจึงเป็ นศาสตร์ ง. การอานวยการ จ. การจดั องคก์ าร ก. มีการปรับปรุงใหต้ รงหรือสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ต่าง ๆ 9. การจดั การเป็นศิลป์ เพราะ ก. เป็นหลกั การ ทฤษฎี ท่ีนามาใชใ้ ห้ ข. การนาเอาความรู้มาปรับใชใ้ หเ้ หมาะสม เกิดผลได้ กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีเป็นจริง ข. เป็นความรู้ท่ีสามารถกาหนดข้ึนเป็น หลกั เกณฑท์ ่ีสามารถพสิ ูจน์ได้ ค. มีการผสมผสานความคิดริเร่ิมใช้ ค. การจดั การตอ้ งอาศยั ทรัพยากร ประสบการณ์ การบริหารเป็ นสาคญั ง. การจดั การตอ้ งรู้จกั นาหลกั ทฤษฎี ง. เป็นความรู้ หลกั การที่ไดร้ ับการพสิ ูจน์ ตา่ ง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั แลว้ วา่ สามารถนามาใชใ้ นการทางาน สถานการณ์ ใหป้ ระสบผลสาเร็จ จ. การจดั การเป็ นความรู้ท่ีหาอา่ นได้ ทว่ั ไป จ. การจดั การตอ้ งรู้จกั นาหลกั ทฤษฎีตา่ ง ๆ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั10. การจดั การที่ยดึ แนวคิดความพอเพยี งคือ สถานการณ์ ขอ้ ใด ก. กาหนดนโยบายเนน้ ใหค้ วามสาคญั กบั 12. ขอ้ ใดต่อไปน้ีไม่ใช่งานในหนา้ ท่ีของผจู้ ดั การ ก. พิจารณาหาเหตุผลวา่ เหตุใดยอดขาย ของบริษทั จึงลดลง ข. ต้งั เป้ายอดขายในปี ตอ่ ไป ค. ช่วยลูกนอ้ งขนสินคา้ ข้ึนรถบรรทุก ง. แสดงใหล้ ูกนอ้ งเห็นถึงวธิ ีการใช้

ส่ิงแวดลอ้ ม เครื่องทุ่นแรงข. เนน้ ทากาไรสูงอยา่ งเดียว จ. จดั ระบบการทางานภายในองคก์ าร บรรณานุกรมโกวทิ วงศ์สรุ วฒั น์. “ประวตั ิศาสตร์ของการบริหารรัฐกิจไทย.” หนงั สือพิมพ์มตชิ นรายวนั 17 พฤษภาคม 2543: 43.โกศล ดศี ลิ ธรรม. เคร่ืองมือสาหรับนกั บริหารยคุ ใหม.่ กรุงเทพฯ:อินฟอร์มีเดีย บ๊คุ , 2547.คนี กิ ี แองเจโล, และวลิ เลียม เบรน เค. หลกั การจดั การ : Management practical introduction. ผ้แู ปล. บตุ รี จารุโรจน์, และคณะ. กรุงเทพฯ:แมคกรอ-ฮลิ , ม.ป.ป.จิรายุ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา. ปาฐกถาพิเศษ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกบั การบริหารการพฒั นา. ใน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกบั การบริหารการพฒั นา. กรุงเทพฯ:ศนู ย์ศกึ ษาเศรษฐกิจ พอเพียง สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบริหารศาสตร์, 2551.ชนงกรณ์ กณุ ฑลบตุ ร. นกั บริหารธรุ กิจยคุ การค้าเสรี:พนกั งานบริษัทยคุ ปัจจบุ นั . กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2547.ชยั เสฏฐ์ พรหมศรี. ครบเครื่องนกั บริหารยคุ ใหม.่ กรุงเทพฯ:เนชนั่ บ๊คุ ส์, 2550.เซอร์โต,ซามเู อล ซี. การจดั การสมยั ใหม่ Modern Management:9ed. ผ้แู ปล. พชั นี นนทศกั ด,ิ์ และคณะ. กรุงเทพฯ:เพียร์สนั เอ็ดดเู คชน่ั อินโดไชนา่ , 2549.ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์. การบริหารธรุ กิจ. กรุงเทพฯ:ซีเอ็ดยเู คชน่ั , 2548.

ตลุ า มหาพสธุ านนท์. หลกั การจดั การ-หลกั การบริหาร. กรุงเทพฯ:ธนธชั การพมิ พ์, 2545.ธงชยั สนั ติวงษ์. การจดั การ. กรุงเทพฯ:จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2545. . “องคก์ ารและการจดั การ” ทนั สมยั ยคุ โลกาภิวตั น์”. กรุงเทพฯ:ไทยวฒั นาพานิช, 2540. . องคก์ ารและการจดั การ. กรุงเทพฯ:สภุ า, 2538.นภาพร ขนั ธนาภา. การจดั องค์การและการบริหารธุรกิจ. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลยั รามคาแหง, 2548.นริ มิต เทียมทนั . ยทุ ธศลิ ป์ การบริหารจดั การ:ศาสตร์และศลิ ป์ สาหรับผ้สู ร้างอนาคตใหม่. กรุงเทพฯ:ส. เอเชียเพรส, 2548.นิรมล กิตกิ ลุ . ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกบั องคก์ ารและการจดั การ. กรุงเทพฯ:จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2546.เนตร์พณั ณา ยาวริ าช. การจดั การสมยั ใหม:่ Modern Management. กรุงเทพฯ:เซน็ ทรัล เอก็ เพลส, 2548.บณั ฑติ จลุ าลยั และเสริชย์ โชตพิ านิช. การบริหารทรัพยากรกายภาพ. กรุงเทพฯ:จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , 2547.ประภสั สร บญุ มี. ความรู้เบ่ืองต้นเก่ียวกบั การประกอบธุรกิจ. มหาสารคาม:สารคามการพมิ พ์, 2550.ประยงค์ มีใจซ่ือ. พฤติกรรมองคก์ าร. กรุงเทพฯ:มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2545.พยอม วงศ์สารศรี. การจดั การธรุ กิจ. ในชดุ วชิ าการจดั การและการวางแผนธรุ กิจ. กรุงเทพฯ:สานกั มาตรฐานการศกึ ษา สานกั งานสภาสถาบนั ราชภฎั กระทรวงศกึ ษาธิการ และสานกั มาตรฐานอดุ มศกึ ษา ทบวงมหาวิทยาลยั , 2545.

พระมหาศริ ิวฒั น์ อริยเมธี (จนั ต๊ะ). วเิ คราะห์แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียงจากมมุ มองของ พระพทุ ธศาสนา. เชียงใหม่:แสงศลิ ป์ , 2549.พสุ เดชะรินทร์. คมู่ ือผ้บู ริหาร. กรุงเทพฯ:ผ้จู ดั การ, 2548.มลั ลกิ า ต้นสอน. การจดั การยคุ ใหม่ (Modern Management). กรุงเทพฯ:เอก็ ซเปอร์เน็ท, 2544.วชิ ยั แหวนเพชร. มนษุ ยสมั พนั ธ์ในการบริหารอตุ สาหกรรม. กรุงเทพฯ:ธรรกมล, 2548.วรนารถ แสงมณี. ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั การบริหารธรุ กิจ. กรุงเทพฯ:เท็กซ์แอนด์เจอร์นลั พบั ลิเคชนั่ , 2544.ศรีสภุ า สหชยั เสรี และคณะ. Business Plan Writing Handbook ส้ดู ้วยการวางแผน. กรุงเทพฯ: แบรนดเ์ อจ, 2547.สมาคมสถาบนั การศกึ ษาการธนาคารและการเงินไทย. โครงการเรียนรู้ด้วยตนเอง พฤตกิ รรมใน องค์การ. กรุงเทพฯ:เอราวณั การพมิ พ์, 2546.สธุ ี พนาวร และนกุ ลู เรืองอทุ ยั . Business Plan For Beginners แผนธุรกิจสาหรับมือใหมห่ ดั เขียน. กรุงเทพฯ:พี ซี พริน้ ท์เทค, 2547.สรุ พนั ธ์ ฉนั ทแดนสวุ รร. หลกั การบริหารธรุ กิจ : Principle of Business Administration. กรุงเทพฯ:จดุ ทอง, 2546.เสนาะ ตเิ ยาว์. หลกั การบริหาร. กรุงเทพฯ:โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2546.อคั ร ศภุ เศรษฐ์. อภิกลยทุ ธ์ สคู่ วามเกรียงไกรและแขง็ แกร่งในโลกกว้าง. กรุงเทพฯ:เคล็ดไทย, ม.ป.ป.Davidson, Paul., And Griffin, R.,W. Management : an Australasian perspective. 3rd ed. Australia:John Wiley&Sons Australia, 2006.Gulick, Luther. Papers on the Science of Administration. New York:Institute of Publick

Administration, 1937.Robbins, S., P. and Coulter, Mary. Management. 9th ed. New Jersey:Pearson Education, 2007.Plunkett, W.R., Attner, R.F., and Allen, G.S. Management : Meeting and Exceeding Customer Expectaions. 9th ed. Canada:Thomson South-Western, 2008.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook