งานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้องกับกลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ (งานวิจัยตา่ งประเทศ)
งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรศู้ ิลปะ (งานวิจยั ต่างประเทศ) Burchenal and Lasser (2007) ศึ ก ษ าเรื่ อ ง Beyond the Field Trip เป็ น การศึกษาเพื่อ การพัฒนาโปรแกรมความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน กับพิพิธภัณฑ์ ศลิ ปะ โดยกลา่ วถงึ ประโยชน์ ของการพัฒนาทางด้านวิชาชพี การพัฒนาหลักสูตร และการ มีส่วนร่วมของครอบครัว ซ่ึงโปรแกรม ความร่วมมือ (Partnership programs) จะช่วยให้ บุคลากรของพิพิธภัณฑ์และโรงเรียนร่วมกันสร้าง การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยโปรแกรม ประกอบด้วย การพัฒนาด้านวิชาชีพครู โปรแกรมศิลปิน และ การทํากิจกรรมร่วมกับ ครอบครัวและชุมชน Burchenal และ Lasser กล่าวถึง โปรแกรมความร่วมมือ ระหว่าง The Gardner Museum กับโรงเรียนว่า มีการวางหลักสูตรความร่วมมือ และมกี ารพัฒนา ด้านวิชาชีพครูอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดท้ังปี การวางแผนการสอนจะมี การพัฒนา ตลอดปีโดยนักการศึกษาของพิพิธภัณฑ์และครูในโรงเรียน ซ่ึงการสอนอยู่บน ป รัชญ าข อ งก ลยุ ท ธ์ก าร คิ ด วิเค ราะห์ ภ าพ (Visual Thinking Strategies) เน้ น กระบวนการสืบสอบ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการใช้กระบวนการกลุ่มในการ อภปิ ราย นอกจากนไี้ ดม้ ีการจดั ทําโปรแกรมศิลปินในพํานกั เพอ่ื ให้ ผู้เรียนได้มโี อกาสเรียนรู้ จากศิลปิน ภายใต้การวางแผนอย่างระมัดระวังของบุคลากรของพิพิธภัณฑ์ และโรงเรียน โดยการประเมินผลสําเร็จของความร่วมมือจะพิจารณาการประเมินผลการดําเนินงาน ตลอดปโี ดยผู้เชยี่ วชาญภายนอก ซ่ึงผลการประเมนิ โปรแกรมความร่วมมือพบว่า โปรแกรม ความ ร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทกั ษะการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ โดยผู้วิจัยได้เสนอแนะ การสร้างความ ร่วมมือท่ีประสบความสําเร็จคือ ควรเร่ิมต้นจากความร่วมมือขนาดเล็ก การทําความเข้าใจความต้องการจําเป็นของผู้ร่วมมือ การจําแนกและคน้ หาผู้ร่วมมือในการ แบ่งปันแนวทางการเรียนการสอนท่ี มีความคล้ายคลึงกับโปรแกรมการเรียนรู้ของ หน่วยงาน การสร้างความเชื่อม่ันว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจ เร่ืองของความร่วมมือ การสร้าง กิจกรรมท่ีหลากหลายเพื่อสร้างความสนใจแก่ผ้บู ริหารและผู้ปกครอง ของเดก็ การใช้เวลา ในการพัฒนาการแบ่งปันเป้าหมาย การสร้างความยืดหยุ่นในการดําเนินงาน และ ร่วมมือ
กนั ด้วยความสนุก ซง่ึ การสร้างความร่วมมือทดี่ จี ะสง่ ผลให้สร้างแนวทางใหมเ่ พ่ือสร้างสรรค์ ประสบการณ์ทางศิลปะท่มี คี วามหมายและลกึ ซงึ้ มากย่ิงขน้ึ สําหรบั เยาวชน Chen (2007) ทําวิจัยเรื่อง Exploration of the development of museum- school collaboration in art education: Prospects and difficulties in a case example พบว่า ภายใต้ แนวโน้มการศึกษาตลอดชีวิตและการบูรณาการทางการเรียนรู้ นักศิลปศึกษาจําเป็นต้องเรียนรู้ท่ีจะ บูรณาการทรัพยากรของโรงเรียนและสังคม หน่วยงานด้านศิลปศึกษาต้องร่วมมือกับโรงเรียนโดยให้ ความสําคัญและความใกล้ชิดมาก ข้ึนกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งความร่วมมือจะช่วยสร้างสรรค์งานด้าน ศิลปศึกษา และช่วยให้ หน่วยงานทั้งสองฝ่ายเจริญเติบโตข้ึน ในการศึกษาความร่วมมือของพิพิธภัณฑ์ และ โรงเรียนทําการรวบรวมความหมายและคุณลักษณะสําคัญของการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ การศึกษา ในโรงเรียน และการศึกษาตลอดชีวิต มีจุดมุ่งหมายเพื่อความเข้าใจ องค์ประกอบพ้ืนฐานและความ แตกต่าง กระบวนการและรูปแบบของการสร้างความ ร่วมมือของพิพิธภัณฑ์กับโรงเรียน และศึกษา บทบาทและหน้าที่ของครูในความร่วมมือ ระหว่างพิพธิ ภัณฑก์ บั โรงเรียน Danker (2 0 1 2 ) ทํ า วิ จั ย เร่ื อ ง Museums and schools: strengthening relationships between an art museum educator and local teachers วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา ความพยายามในการจัดตั้งชุมชนแห่งการปฏิบัติการ ของครูและนักการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ โดยมี เป้าหมายเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูและ วิชาชีพนักการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ ด้วยการศึกษาพัฒนาการของ กลุ่มนักการศึกษาเป็น เวลานานกวา่ 16 เดือน ระหว่างกิจกรรมในหลายช่วงเวลาและมีการสร้างความ ร่วมมอื ทั้ง ในโรงเรียนและพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง รวมถึงมีการฝึกปฏิบัติการสําหรับครูจํานวน 4 คร้ัง ซ่ึง ในช่วงเวลาดังกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างนักการศึกษาในพิพิธภัณฑ์กับครูผู้สอนใน โรงเรียนมคี วาม เขม้ แข็งข้ึนนําไปสกู่ ารรเิ ริ่มส่ิงใหม่ ๆ และสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการใช้ ทรัพยากรของพิพิธภัณฑ์ใน โรงเรียน โดยความสัมพันธ์น้ีนําไปสู่การสร้างความเข้าใจใน การปฏิบตั ิการทางวชิ าชีพซึ่งกันและกัน นัยสําคัญของการศึกษาอยู่ท่ีขั้นเร่มิ ตน้ ของกลุ่มครู
และพิพิธภัณฑ์ และประเด็นที่เก่ียวข้องกับการสร้าง ความร่วมมือของพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับ โรงเรียน โดย 1) การสร้างวิสัยทัศน์แห่งการแบ่งปัน 2) การ ลําดับความสําคัญของ พิพิธภัณฑ์และโรงเรียน 3) การสนับสนุนด้านการบริหาร 4) การข้ามขอบเขต การทํางาน 5) การพัฒนาหลักสูตร การศึกษาพบว่า การสร้างชุมชนแห่งการปฏิบัติการระหว่างนัก การศึกษาในระบบและนอกระบบน้ันยากที่จะสําเร็จในระยะเวลาอันสั้น และไม่สามารถ เกิดข้นึ ไดโ้ ดย ปราศจากผ้ปู ฏบิ ตั กิ ารทีม่ ีความเขา้ ใจสถาบนั ท้งั สองฝ่าย Eliot (2 0 1 2 ) ทํ า วิ จั ย เรื่ อ ง To infinity and beyond: museum-school partnerships beyond the field trip เป็นการศึกษาความเป็นหุ้นส่วนกันระหว่าง โรงเรียนและสถาบันวิทยาศาสตร์ เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สัตว์ํน้า สวน พฤกษศาสตร์ เป็นต้น เพื่อศึกษาความเป็นหุ้นส่วนท่ี แท้จริง เน่ืองจากปัจจัยด้าน งบประมาณที่จํากัด สถาบันการศึกษาจึงมักจะให้นักเรียนไปทัศนศึกษา สถาบัน วิทยาศาสตร์ ซ่ึงท่ีจริงแล้วความเป็นหุ้นส่วนเป็นมากกว่าการทัศนศึกษา แต่เป็นการสร้าง ความสัมพนั ธ์เชิงลึกระหวา่ งโรงเรียนกับสถาบันวิทยาศาสตร์ ท่ีไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้เรียน สามารถ เรียนรู้ได้ตามมาตรฐานท่ีตั้งไว้ตามกฎหมาย แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน ครูผู้สอน และสถาบัน วิทยาศาสตร์เองด้วย ซึ่งการวิจัยน้ีได้ศึกษาความเป็นหุ้ นส่วน ระหว่างโรงเรียนกับสถาบันวิทยาศาสตร์ท่ี ประสบความสําเร็จทั่วประเทศ ทั้งในนิวยอร์ค เดนเวอร์ ไมอามี่ บอสตัน ชิคาโก อิลลินอยส์ และ แคลิฟอร์เนีย โดยการอภิปรายถึงความ เป็นมา โครงสร้าง และผลกระทบของแต่ละโปรแกรม รวมถึง การประเมินผลโปรแกรม ความเป็นห้นุ ส่วนท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ ตัวผเู้ รยี น ครูผ้สู อน และสถาบัน วิทยาศาสตร์ Erickson and Hales (2 0 1 4 ) ทํ า วิ จั ย เรื่ อ ง Teen Artists: Impact of aContemporary Art Museum เป็นการศึกษาผลของการเข้าร่วมโปรแกรมเรียนรู้ศิลปะ สําหรับวัยรุ่นในพิพิธภัณฑ์ ศิลปะร่วมสมัย โดยเน้นประสบการณ์กับศิลปะร่วมสมัยและ ศิลปินด้วยแนวทางอภิปัญญา รวมถึงการ คิดของผู้เรียนเกี่ยวกับผลงานศิลปะของตนเอง ผู้วิจัยเปรียบเทียบโปรแกรมด้วยการสํารวจรายการ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของสาขา การศึกษาพิพิธภัณฑ์ องค์กรศิลปศึกษาแห่งชาติ และวิเคราะห์ เว็บไซต์ทางการศึกษาของ
พิพิธภัณฑ์ศิลปะ 40 แห่ง การรวบรวมข้อมูลรวมถึงการศึกษาวารสารและ สํารวจ โปรแกรมหลังการเยี่ยมชม รวมถึงการสัมภาษณ์ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมกับวัยรุ่น 12 คนใน 42 คนท่ีเข้าร่วมโครงการ ความคิดของวัยรุ่นเกี่ยวกับศิลปะมีตง้ั แต่ลทั ธิสัจจนยิ ม ไปจนถึง องค์ประกอบของรูปทรง และหลักการแสดงออกของความหมาย ซึ่งการ เปรียบเทียบการตอบสนอง ต่อคําถามก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการเก่ียวกับผลงานศิลปะ ของตนเองพบว่า เกิดการเปล่ียนแปลง อย่างมีนัยสําคัญต่อรูปทรง ความริเร่ิม และความ แท้ของวัสดุในการแสดงออกถึงความหมาย โดย รายละเอียดของการเปล่ียนแปลงจากการ วิเคราะห์พบได้ในผู้เรียน 2 คน ซ่ึงอยู่ในผู้เรียนที่ได้สัมภาษณ์ ก่อนและหลังเข้าร่วม โครงการ Hui (2012) วิจัยเร่ือง Exploration of museum-school collaborations in Shanghai China พบว่า ปัจจุบันการศึกษามีบทบาทสําคัญในการจัดการของพิพิธภัณฑ์ ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ จํานวนมากพัฒนาและนํากิจกรรมทางการศึกษามาดึงดูดความ สนใจผู้ชม ซ่ึงกิจกรรมทางการศึกษานี้ ช่วยในการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือ ระหว่างพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับโรงเรียน โดยผู้บริหาร โรงเรียนรับรู้ได้ว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะจะ ช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนในช้ันเรียน และพิพิธภัณฑ์ ศิลปะตระหนักได้ถึงประโยชน์ ทีไ่ ด้รับจากโรงเรียน ภายใตก้ ารสอบเข้าศึกษาตอ่ และสอบวดั ผลมาตรฐานการศึกษา ส่งผล ใหว้ ิชาศลิ ปะถกู ลดความสาํ คัญลงในทุก ๆ ท่ี รวมถงึ ประเทศจนี ดังน้ันการ ดําเนินการดา้ น ศิลปศึกษาในพิพิธภัณฑ์ศิลปะจึงเป็นประเด็นในการศึกษาซ่ึงได้รับความสนใจอย่างมาก จากทั้งพิพิธภัณฑ์และโรงเรียน ในการวิจัยน้ีเป็นการศึกษาการดําเนินการความร่วมมือ ระหว่าง พิพิธภัณฑ์และโรงเรียนในพิพิธภัณฑ์ 3 แห่ง ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยครูและ นักเรียนในโรงเรียน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็นเป้าหมายหลักในการศึกษา ส่วนท้ายของงานวิจัยจะอธิบายถึง ปัญหาท่ีมีอยู่ และข้อเสนอแนะในการพัฒนาความ รว่ มมือ
Nam (2009) ทําวิจัยเร่ือง Collaborations between art museums and schools: A focus on high school art teachers utilization of museum resources พบว่า การศึกษา กลายเป็นส่ิงที่มีความสําคัญในโลกของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งการ สร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างพิพิธภัณฑ์ และโรงเรียนได้รับการเน้นํย้าความสําคัญเพ่ือ เป็นแนวทางท่ีดีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิผล อย่างไรก็ตาม นักการศึกษา ในพิพิธภัณฑ์กับครูมีความแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม และปัญหาทางด้านตรรกะท้ัง ด้านงบประมาณและเวลาซ่ึงเป็นอุปสรรคในการสร้างความร่วมมือให้ ประสบผลสําเร็จ การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่มีประสิทธิผลและสามารถ นําไป ปฏิบัติสําหรับการสร้างความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Jordan Schnitzer และ โรงเรียน มัธยมศึกษาในเขต Eugene คําถามวิจัยคือ การสร้างความร่วมมือในการสร้าง โปรแกรมทางการศึกษา ของพิพิธภัณฑ์กับโรงเรียนเป็นอย่างไร ครูทัศนศิลป์สามารถใช้ ทรัพยากรของพิพิธภัณฑ์อย่างไรได้บ้าง ซึ่งการศึกษาในคร้ังนี้จะช่วยเสริมสร้างการเรียน การสอนศิลปศึกษาในเขต Eugene ด้วยการให้ ข้อเสนอแนะท่ีมีคุณค่าสําหรับการสร้าง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งพพิ ิธภณั ฑก์ บั โรงเรยี น Terreni (2015) ทําวิจัยเร่ือง Young children's learning in art museums: a review of New Zealand and international Literature เป็นการศึกษาวรรณกรรมที่ เกี่ยวข้องกับประโยชน์ ของการศึกษาพิพิธภัณฑ์ศิลปะสําหรับเด็ก รวมถึงช่องว่างของการ วิจัยเก่ียวกับการศึกษาสําหรับเด็ก ปฐมวัยในการเข้าถึงและใช้พิพิธภัณฑ์ศิลปะ การศึกษา รวมถึงประเภทของการเรียนรู้ที่มีอยู่สําหรับเด็ก ในพิพิธภัณฑ์ บทบาทของครูและนัก ศิลปศึกษา การพัฒนาเครือข่ายการทํางานร่วมกันระหว่าง โรงเรียนกับพิพิธภัณฑ์ และ บทบาทของพิพิธภัณฑ์ศิลปะในการพัฒนาทางด้านวิชาชีพของครู ซึ่ง การศึกษาพบว่า ประสบการณ์ทางการศึกษาท่ีหลากหลายสามารถเกิดขึ้นได้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แสดง ถึง คุณค่าของประสบการณ์สาํ หรับเด็ก นักการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ศิลปะและครูผู้สอนท่ีมีส่วน เก่ียวข้อง ในการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็ก ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะ การเชื่อมโยงศักยภาพของพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับการเรียนรู้ของเด็กจะ สามารถสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปันใน การฝึกปฏิบัติทางด้านทัศนศิลป์ ซ่ึงเป็นประโยชน์
ต่อเด็ก ครู และนักศิลปศึกษา พิพิธภัณฑ์ศิลปะเป็น สถานท่ีสําคัญที่จะช่วยพัฒนาวิชาชีพ สําหรับครู Alsharif (2014) ได้ทําการวิจัยเรื่อง Teaching the customs, traditions and culture of Saudi Arabia through the arts in high school to promote cultural understanding and appreciation. วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นความ จําเป็นสําหรับการร่วมกันของชาวซา อุดิอาราเบีย การศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมใน หลักสูตรมัธยมศึกษาในซาอุดีอาระเบียและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ความสําคัญของ การศึกษาศิลปะท่ีเป็นหน่ึงในวิชาท่ีสําคัญท่ีสุดของหลักสูตร การศึกษา และทัศนคติของ นักเรียนท่ีมีต่อวัฒนธรรมท่ีมีแตกต่างกัน ดังน้ันการวิจัยน้ีจึงได้ออกแบบ หน่วยการเรียนรู้ ศิลปะ 5 บทเรียน เพื่อส่งเสริมความเขา้ ใจทางวัฒนธรรมและประเพณีซาอุดอิ าระเบีย จาก การวจิ ัยนี้ แสดงให้เห็นความสําคญั ของการรวมกันของศิลปวัฒนธรรมซาอุดิอาระเบียและ หลักสูตรศิลปะในมัธยมศึกษา สามารถลดช่องว่างระหว่างนักเรียนชาวอาหรับและชาว อเมรกิ ันดว้ ย การเรียนร้วู ัฒนธรรมของกันและกนั ผา่ นการเรียนศิลปะ Oweis (2001) ได้ทําการวิจัยเรื่อง The elements of unity in Islamic art as examined through the work of Jamal Badran, วิทยานิพน์ฉบับน้ีเป็นการวิเคราะห์ องค์ประกอบรวมศิลปะของอิสลาม การตีความหมายขององค์ประกอบต่างๆในศิลปะกับ ความเชื่อด้าน พิธีกรรมทางศาสนา โดยศึกษาผ่านศิลปะลวดลายและสถาปัตยกรรมของ สถานที่ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาอย่างมัสยิด และการศึกษาของศิลปะและโครงการ ของออสการ์ Badran (1909-1999) เป็นศิลปินชาวปาเลสไตน์ท่ีมีความเชี่ยวชาญในภาษา อาหรับและศิลปะประดบั อิสลาม จากการศึกษา พบวา่ รูปร่างรูปทรงเรขาคณิตที่ใช้ในงาน ศิลปะอิสลาม และ ตัวอักษรภาษาอาหรับที่ใช้ แฝงไปด้วย ความหมายและสัญลักษณ์ที่ เกยี่ วกบั ความสามคั คี และวัฒนธรรมของศิลปะอสิ ลาม
Davenport (2001) ได้ทําการวิจัยเรื่อง Opening up the world : A portrait of an intercultural art teacher. โดยการวิจัยน้ีตระหนักถึงช่องว่างระหว่างการเรียน ทฤษฎีและการปฏิบัติ ในการเรียนการสอนศิลปะ โดยเสนอแนวทางในการศึกษาศิลปะ โดยการนําวัฒนาธรรมท่ีมีความครอบคลุมและหลากหลายในท่ัวโลกเป็นแนวทางมาใช้ใน การศึกษา ผู้วจิ ัยเลอื กใชค้ รผู ู้สอนศิลปะทมี่ ี ความรู้มคี วามเชี่ยวชาญในเชิงลึกของแต่ละคน ท่ีไปสอนในต่างประเทศและนําประสบการณ์ในแต่ละ ประเทศที่ครูได้ไป กลับมาใช้กับ ชุมชนหรือกล่มุ นักเรียนในทอ้ งถ่นิ ทเี่ ปน็ บ้านเกิดของเขา ซ่งึ เป็นการ เชื่อมโยงเครือขา่ ยจาก ชุมชนส่สู ายตาชาวโลก วธิ ที ี่ใช้ในการวิจัยคอื ผวู้ ิจยั ใชก้ ารสมั ภาษณ์ สังเกต วเิ คราะหข์ ้อมูล ในเชิงคุณภาพด้านต่างๆผู้วิจัยเข้าไปสังเกตการเรียนวิชาศิลปะ โดยคาดหวังที่จะเห็น มุมมองทางด้านวัฒนธรรม และ การใช้เทคโนโลยีในการส่ือสารข้ามพรมแดนในเชิง วัฒนธรรม จาก การศึกษาในคร้ังนี้ผู้วิจัยมีการแก้ไขเพิ่มเติมท่ีเสนอกรอบการทํางานเพ่ือ การศึกษาศลิ ปวฒั นธรรม เพือ่ ใหส้ อดคล้องกับขอ้ มูลเชิงลึกทีไ่ ด้รับมา Whatley (2013) ได้ทําการวิจัยเรื่อง Strengthening Relationships Between Art Teachers and Classroom Teachers Through Curriculum Integration and Collaboration การศึกษาครั้งนี้เป็นการสํารวจความคิดเกี่ยวกับการเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างครูศิลปะและครู ผ่านการดําเนินการหลักสูตรบูรณาการศิลปะและ การทํางานร่วมกัน ผ่านการศึกษาเชิงคุณภาพ ซึ่ง ประกอบไปด้วยข้อมลู จากแบบสอบถาม ที่ส่งไปยังครูประจําชั้น ครูศิลปะ และผปู้ กครองจากโรงเรียนประถมหลายแห่งในเขตเมือง กลางมหาสมทุ รแอตแลนติก ผลการวจิ ัยชีใ้ หเ้ ห็นว่าครูต้องกาํ หนดการ สอนอย่างสํมา่ เสมอ มากขึ้น ต้องมีการแก้ไขและการประเมินเพื่อให้เกิดความสําเร็จแก่นักเรียน และ ความ ร่วมมือของครูท่ีแท้จริง ตลอดการศึกษาครั้งน้ีสรุปได้ว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือความไม่ นา่ เชือ่ ถือ ของครศู ิลปะและครูท่ีเก่ียวข้อง
Kader (2000) ไ ด้ ทํ า ก า ร วิ จั ย เรื่ อ ง Material culture studies and art education : Examining the cultural artifacts of the Bohra from Makaan to Masjid. วิจัยฉบับน้ีได้ ทําการศึกษา 1วฒั นธรรมของ Bohra ผ้านวสั ดุ งานศิลปะทีป่ รากฏ บนภาพวาดภาพและงาน ประติมากรรม 2) อะไรคือส่ิงที่เช่ือมโยงระหว่างวัสดุท่ีใช้กับงาน ศิลปะที่มีความเก่ียวข้องกับ Bohra 3) วิธีสร้างสรรค์ส่ิงประดิษฐ์ให้มีเอกลักษณ์ทาง วัฒนธรรมของBohra และมีความหมายในเชิง สัญลักษณ์ โดยการวิจัยน้ีได้เก็บรวบรวม ข้อมูลและทําการสัมภาษณ์ 24 ครอบครัวที่ก่ียวข้องกับ วัฒนธรรม Bohra ผลการวิจัย พบว่าในแต่ะครอบครัวมีความละเอียดอ่อนทางทัศนคติ และ แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม เฉพาะ แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของวัฒนธรรม Bohra ผ่านรูปแบบทางศิลปะ และ การศกึ ษาผา่ นงานศิลปะ ยังแสดงใหเ้ หน็ ถงึ มิตวิ ัฒนธรรมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี Hess (2003) ศึกษาเก่ียวกับผลของการใช้กิจกรรมศิลปะบําบัดที่มีผลต่อทักษะ ทาง สังคมของเด็ก ผลการวิจัยพบว่า การทํากิจกรรมศิลปะในช่วงปิดเทอม เป็นการ ส่งเสริมการทาํ งาน ร่วมกนั เปน็ กลมุ่ ให้เด็กใชป้ ระสบการณ์ตัวเองในการแกไ้ ขปัญหา ซึ่งจะ เกี่ยวข้องกับ ความไว้วางใจ เความซ่ือสัตย์สุจริต,ความเมตตา ความเป็นพลเมือง ความ เคารพและความร่วมมือ การวาดภาพ จิตรกรรมฝาผนัง เป็นกิจกรรมศิลปะอย่างหน่ึงที่ ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การทํางานร่วมกัน เป็นศิลปะใน รูปแบบการสร้างชุมชน ช่วยพัฒนา ทักษะทางด้านสังคมการอยูร่ ว่ มกนั และพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ในตัวเดก็ Holman (2003) ศึกษาเกี่ยวกับผลของกิจกรรมศิลปะในการพัฒนาทักษะความ พร้อมของโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า การให้ความสําคัญกับกิจกรรมศิลปะเพื่อความ ประสบผลสําเร็จ ของโรงเรียนสรปุ ได้ ดังน้ี 1. กิจกรรมศิลปะที่มีประสิทธภิ าพสามารถช่วย พฒั นาโรงเรียนได้ 2 ผใู้ หญ่ ควรให้ขอ้ เสนอแนะแนวทางที่ดี พูดคยุ เกี่ยวกับศิลปะของพวก เขาและถามคําถามตามความเหมาะสม 3. เด็กควรนําเสนอความหลากหลายของวัสดุและ เครือ่ งมือในข้นั ตอนการทาํ 4. ทํางานเป็นกล่มุ เพ่อื เพมิ่ ทักษะทางสังคม
Elgar (2005) ศึกษาเก่ียวกับความสัมพันธ์ของกิจกรรมศิลปะใน Cape Town ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางจิตสังคมและความเชื่อม่ันในศีลธรรมในการสร้างงานศิลปะ ผลการวิจัย พบว่า Thupelo Workshop เป็นกิจกรรมศิลปะของสถาบัน Greatmore เมือง Cape Town ใน เริ่มแรกคนผิวขาวจะมีการเหยียดคนผิวสีและเช้ือชาติ ต่อมาเมื่อมี การจัดกิจกรรมศิลปะ Thupelo Workshop ขึ้นทําให้คนผิวขาวและผิวสีได้ทํากิจกรรม ร่วมกัน เป็นทั้งผู้รับความรู้และผู้ให้ความรู้ใน การทํากิจกรรม จึงทําให้การทํากิจกรรม ศิลปะเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพประชา ชนและชุมชน ที่จะช่วยใน การบําบัดจิตสังคม ช่วยอํานวยความสะดวกในการส่ือสารข้ามเช้ือชาติซ่ึงมี มากใน Cape Town ทม่ี ีความหลากหลายทางวฒั นธรรม Sotiropoulou (2012) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียนช่วยส่งเสริม ด้าน จินตนาการและความตื่นตาต่ืนใจ ก่อให้เกิดประสบการณ์ จึงควรจัดกิจกรรมให้บ่อย ที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ เพ่ือการศึกษาทางสุนทรียศาสตร์ในโรงเรียน การเรียนรู้กิจกรรม ศิลปะทางการภาพ ยกตัวอย่างเช่นการพูดออกเสียง การเป็นช่างภาพ การแสดงละคร ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมท่ี แสดงออกถึงอารมณ์ และเป็นการส่ือสารที่ชัดเจน การเรียนรู้ สุนทรียศาสตร์ผ่านกิจกรรมต่างๆ และ เทคนิคในการสอนงานศิลปะผ่านสุนทรียศาสตร์ เน้นการให้ผู้เรียนแสดงออกทางร่างกาย เพลง ประติมากรรม เป็นต้น ซ่ึงจากตัวอย่างวิจัย การแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานทางด้าน ศิลปะและการพัฒนาทางภาษาใน กจิ กรรมวิเคราะหห์ ัวข้อในการศกึ ษานี้ แสดงใหเ้ ห็นว่า กจิ กรรมด้าน ความงามท่มี ีผลในเชิง บวกต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมในระหว่างการเรียนการสอนของภาษา โดยเฉพาะการ เรียนภาษาพร้อมกับกิจกรรมดา้ นสนุ ทรยี ศาสตร์ทด่ี ูเหมือนจะดึงดูดความสนใจ และมี สว่ น รว่ มกับความหลากหลายของผู้เรียน กจิ กรรมด้านสุนทรียศาสตรช์ ่วยให้เด็กมแี รงบนั ดาลใจ ในการ เรยี นร้ทู ี่ดี มีความนบั ถอื ตนเอง และมคี วามสมั พันธภ์ ายในกล่มุ โรงเรียน
Whiteland (2013) ศึกษาเก่ียวกับการทํางานศิลปะร่วมกัน เป็นการแลกเปล่ียน ประสบการณ์ที่ถูกวาดขึ้นมาในหนังสือ ซ่ึงในหนังสือประกอบด้วยรูปภาพของผู้ใหญ่และ เด็กท่ีทํางาน ร่วมกัน เด็กและผู้ใหญ่จะคุ้นเคยกันมากข้ึน ซ่ึงผู้ใหญ่จะเข้าใจในความเป็น เด็ก ส่วนเด็กก็เข้าใจคํา ตักเตือนของบุคคลที่แก่กว่า ซึ่งการจัดกิจกรรมศิลปะเป็นหน้าท่ี ของสว่ นบรกิ ารด้านการเรียนรู้ ถ้าขาด สว่ นน้ไี ปอาจไมส่ ามารถเข้าถงึ ได้ Elizabeth (2013) ได้ศึกษาเอกสารหลักสูตร เพ่ือตรวจสอบในเรื่องของความ ซบั ซ้อน และนําไปสู่การจัดกจิ กรรมศิลปะหลังเลิกเรียน ที่มกั มองข้ามและไม่ใส่ใจด้านการ ประเมิน โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ มีการใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบประเมินการทํางานศิลปะ กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย คือ ห้องเรียน จํานวน 1 ห้องเรียน ที่อยู่ในหลักสูตรการเรียนร่วมแบบสหสัมพันธ์ โดยมี ผู้เข้าร่วมหลักทั้งหมด 23 คน ครูผู้สอน 1 คน ผู้ก่อตั้งหลักสูตร 1 คน และครอบครัวของ ผู้เข้าร่วมอีก 9 ครอบครัว ใช้ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล 4 ภาคการศึกษา ผลการวิจัย ด้านผลผลิต คือ กิจกรรมศิลปะหลังเลิกเรียนประกอบด้วย ลักษณะเด่น 3 ประการ คือ 1) ความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมทั้งทางร่างกายและจิตใจ 2) ลักษณะ กิจกรรมสามารถสร้าง แรงจูงใจในการสร้างงานศิลปะ 3) กิจกรรมที่จัดต้องเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ผลลัพธ์ คือ การพัฒนาแนวทางในการสร้างกิจกรรมศิลปะหลังเลิกเรียนท่ีเน้นความเรียบง่าย ความ เป็นสอ่ื กลางในการพฒั นาทักษะและแนวคิด Laroche (2015) ศึกษาเกี่ยวกับการเลียนแบบและการตอบสนอง โดยเน้นการ วาด รูป ระบายสี หรือ การปั้น เพื่อให้เด็กๆมีการพัฒนาและใช้เวลาร่วมกัน การจัด สภาพแวดล้อม ห้องเรียนใหน้ ักเรียนสามารถปฏิสัมพันธ์ ชว่ ยเหลอื และสนับสนนุ พลักดัน ซ่ึงกันและกัน เพ่ือพัฒนา ศักยภาพในการทํางาน ซ่ึงครูผู้สอนส่ังให้นักเรียนวาดภาพตาม หัวข้อท่กี ําหนด โดยครูผู้สอนนํารูปภาพ ผลงานศิลปะอย่างง่ายมาเป็นตัวอย่าง และผลงาน ของนกั เรียนอีกหอ้ งหนงึ่ มา เพื่อเปน็ แรงบนั ดาลใจ สง่ิ ที่ครผู สู้ อนเห็นคอื นกั เรยี นกําลังวาด รูปร่วมกัน ซึ่งหมายถึง การท่ีนักเรียนลอกเลียนแบบจากงาน ของเพื่อน และปรึกษา พูดคยุ กับเพื่อนด้านข้างท่ีวาดรูปเก่งกว่า ซ่ึงบ่อยคร้ังท่ีนักเรียนบางคนจะไม่ เข้าใจว่าทําไม
เพื่อนถึงมาลอกเลียนแบบงานของตน โดยครูจะอธิบายกับนักเรียนว่า การวาดรูปของ นักเรียนในช้ันน้ัน ไม่ได้วัดความรู้ความสามารถของคนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นโอกาสที่จะ เรียนรู้ ร่วมกัน การเรียนรู้ร่วมกันน้ันเป็นทางท่ีจะเรียนสิ่งต่างๆได้ดีท่ีสุด ซ่ึงปิกาโซ ได้ กล่าวว่า “ไม่มีใคร หรอกท่ีจะเลียนแบบเหมือนคนอ่ืนท้ังหมดเสมอไป อาจมีการดัดแปลง ส่ิงที่เขาได้เลียนแบบให้เข้ากับ เอกลักษณ์ส่วนตัวของเขาเองก็เป็นได้” การแบ่งกลุ่มตาม ช่วงอายุ ทําให้เกิดการแบ่งขั้นด้านอายุอย่าง แพร่หลายซึ่งการแบ่งชั้นตามช่วงอายุทําให้ เกิดอปุ าทานหมู่ ทําใหเ้ กดิ การจาํ กัดการแบง่ แยกในช่วง อายุบางช่วง ซึง่ ส่วนใหญ่จะเกดิ ใน กลุ่มท่ีเป็นผู้ใหญ่เสียมาก ทําให้เกิดความไม่เข้าใจกันในระหว่างคน แก่และวัยรุ่น ซ่ึง กิจกรรมด้านศิลปะทําให้เกิดการแลกเปล่ียนทางสังคม โดยสร้างจุดร่วม ทําให้เกิด ความ ตระหนักและความเข้าใจในกลุม่ ท่ีมีคนต่างอายกุ นั Elizabeth W. Hughes (2013) ได้ศึกษาเอกสารหลักสูตร เพ่ือตรวจสอบในเร่ือง ของความ ซับซ้อน และนําไปสู่การจัดกิจกรรมศิลปะหลังเลกิ เรียน ท่ีมักมองข้ามและไม่ใส่ ใจด้านการประเมิน โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ มีการใช้เครื่องมือในการเก็บ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบประเมินการทํางานศิลปะ กลุ่ม ตัวอย่างในงานวิจัย คือ ห้องเรียน จํานวน 1 ห้องเรยี น ที่อยู่ในหลักสูตรการเรียนร่วมแบบ สหสัมพันธ์ โดยมีผู้เข้าร่วมหลักทั้งหมด 23 คน ครูผู้สอน 1 คน ผู้ก่อต้ังหลักสูตร 1 คน และครอบครัวของผู้เข้าร่วมอีก 9 ครอบครัว ใช้ระยะเวลาในการเก็บ ข้อมูล 4 ภาค การศึกษา ผลการวจิ ัย ด้านผลผลิต คือ กิจกรรมศิลปะหลังเลิกเรียนประกอบดว้ ย ลกั ษณะ เด่น 3 ประการ คือ 1) ความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมท้ังทางร่างกายและจิตใจ 2) ลักษณะ กิจกรรมสามารถสร้างแรงจูงใจในการสร้างงานศิลปะ 3) กิจกรรมที่จัดต้องเป็นส่วนหน่ึง ของชุมชน ผลลัพธ์คือการพัฒนาแนวทางในการสร้างกิจกรรมศิลปะหลังเลิกเรียนที่เน้น ความเรียบง่าย ความเป็น สื่อกลางในการพัฒนาทักษะและแนวคิด
Sarah Ackermann (2017) ได้ศึกษาการใช้แท็บเล็ตและเคร่ืองมือดิจิตอลในเด็ก ก่อนวัย เรียนเพ่ือการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ จากงานวิจัยเร่ือง To Swipe or Not Swipe, That Is the question : The iPad in Preschool Setting งานวิจัยช้ินนี้ศึกษา เกี่ยวกับการใช้แท็บเล็ตในเด็กก่อน วัยเรียน โดยใช้แท็บเล็ตเป็นเครื่องมือในการวาดภาพ โดยใช้โปรแกรม Picasso ซ่ึงเป็นโปรแกรม กราฟิกพ้ืนฐาน มีดินสอสี 10 สีให้เลือกและ ยางลบ สําหรับลบแก้ไขงาน จากการทดลองใช้งานแสดง ให้เห็นว่านักเรียนมีความ กระตือรือร้นเป็นอย่างมากในการใช้เครื่องมือดังกล่าว และมีส่วนร่วมในการ ใช้แท็บเล็ต อย่างสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยในคร้ังน้ี เป็นเป็นเดือายุระหว่าง 3-5 ปี เป็น นักเรียนชาย 16 คน และนักเรียนหญิง 14 คน เด็กชาวอเมริกัน 13 คน เป็นเด็กชาว อเมรกิ ัน แอฟริ กัน 16 คน และเป็นเดก็ ชาวเอเชยี 1 คน รวมไปถึงผ้ปู กครอง 35 คน และ ครู 4 คน เก็บข้อมูลจาก แบบสังเกตพฤติกรรม การสํารวจ ผลงานการวาดภาพบน iPad ผลงานวาดภาพบนกระดาษ และ การ สัมภาษณ์ โดยใช้เวลาเก็บข้อมูล 15 สัปดาห์ จาก การประเมินผลงานการวาดรูปโดยใช้ iPad ของเด็ก ส่วนใหญ่เด็กมีพัฒนาการทางศิลปะ ตรงตามจิตวิทยาพัฒนการทางศิลปะของเด็ก แต่ก็มีเด็กบางคนซ่ึง เป็นกลุ่มเด็กโตท่ีมี ผลงานทางศิลปะํต่ากว่าระดับพัฒนาการจรงิ จากการทดลองใช้งานแสดงใหเ้ ห็นว่า เด็กใช้ เทคโนโลยีเปน็ สว่ นหน่งึ ของสภาพแวดลอ้ ม ใช้ร่วมกบั ทุกๆสิง่ อยา่ งเป็นธรรมชาติ ห้องเรียน ศิลปะเป็นสถานที่ๆเหมาะสมในการใช้แท็บเล็ตเป็นเคร่ืองมือในการวาดภาพควบคู่ไปกับ คําแนะนาํ ของผู้เชีย่ วชาญดา้ นศิลปะดว้ ย Bobick (2008) ศึกษาความร่วมมือทางศิลปศึกษาในห้องเรียนศิลปะระดับ ประถมศึกษา เพื่อ ตรวจสอบรปู แบบการสรา้ งประสบการณท์ างศิลปะแบบรว่ มมือ และหา สาเหตุวา่ ทําไมครศู ิลปะจงึ คิด ว่าประสบการณ์การร่วมมอื ทางศลิ ปะนมี้ ีความสาํ คญั โดยได้ ศึกษาเชิงคุณภาพกับครูศิลปะที่จัดการ เรียนรู้ศิลปะแบบร่วมมือ รวมทั้งครูฝึกสอนระดับ เตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 5 ด้วยการสัมภาษณ์ครู ศิลปะ 13 คน และใช้แบบสอบถาม 135 คน ผลการวิจัยพบว่า ครูควรมีการเตรียมการก่อนการ จัดการเรียนรู้เป็นอย่างดีท้ัง หลักสูตร เน้ือหา วัสดุอุปกรณ์ การสร้างประสบการณ์ทางศิลปะแบบ ร่วมมือ ช่วยให้ นักเรียนได้มีอิสระในความคิด สามารถเรียนรู้ได้ตามวัยและลักษณะที่แตกต่างกัน สร้าง
การมีส่วนร่วมในประสบการณ์ท้ังที่บ้านและโรงเรียน ครูมีการสังเกตพฤติกรรมในการ ประเมินผล ให้ คะแนนทั้งเด่ียวและกล่มุ สว่ นนักศึกษาฝกึ สอนควรได้รบั การฝึกอบรมและ เตรียมพรอ้ มในดา้ นการ สอนศลิ ปะแบบรว่ มมือด้วย Reavis (2009) ได้ศึกษาหลักสูตรการสอนศิลปะสําหรับห้องเรียนรวมสําหรับ นักศึกษาครู ศิลปะในระดับมหาวิทยาลัย โดยการวิเคราะห์หลักสูตรศิลปศึกษาในระดับ มหาวิทยาลัย จํานวน 18 หลักสูตร พบว่า 5 ใน 18 หลักสูตรศิลปศึกษา ไม่ได้มีการสอน เก่ียวกับการจัดการเรยี นรู้ศิลปะสําหรับ นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ และไดส้ ังเคราะห์ เนื้อหาหลักสูตรท้ัง 18 หลักสูตรพบว่า หลักสูตร ไม่ได้เน้นให้ผลิตครูศิลปะสามารถสอน นักเรียนในห้องเรียนรวม ซึ่งผู้วิจัยได้พัฒนาหลักสูตรการสอน ศิลปศึกษาสําหรับห้องเรียน รวม สําหรับนักศึกษาครูศิลปะ จากการสํารวจสภาพปัญหาเบ้ืองต้นท่ี พบว่าครูศิลปะ จาํ นวนมากไมไ่ ด้เตรียมพร้อมมากพอที่จะสอนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษในวิชา ศิลปะ ในขณะท่ีมีเอกสารสนับสนุนว่าศิลปะมีความสําคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีมีความ ต้องการ พิเศษ และมีข้อสนับสนุนว่าครูศิลปะควรได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรการสอน เฉพาะสําหรับผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษ ซึ่งหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย การ เข้าใจหลักสูตรการจัดการเรียนรวม การเข้าใจนักเรียนปกติและนักเรียนที่มีความต้องการ พิเศษเรยี นรวม และการประยกุ ตเ์ น้อื หาวชิ า และกระบวนการจดั การเรยี นรู้ Corcoran and Sim (2009) ทําการทดลองเชงิ ปฏิบัติการเพ่อื ศกึ ษาวธิ กี ารสอน ของครดู ว้ ย วธิ กี ารเรียนรแู้ บบรว่ มมือในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการทํางานศลิ ปะ ของนกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนมธั ยมในรัฐควนี แลนด์ที่สอนศลิ ปะ ด้วยหลกั สตู รแกนกลาง โดยมี การจดั การเรียนรู้ท่มี ุ่งพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ของ นกั เรยี นด้วยการจดั การเรียนแบบร่วมมือ กล่มุ ตวั อยา่ งคือนักเรียน 50 คน อายรุ ะหวา่ ง 16-18 ปี จากสองโรงเรียน โดยทดลองใชว้ ิธสี อน Creative Problem Solving (CPS) Model คือการสอนใหน้ ักเรียนสร้างสรรค์งานศลิ ปะท่ีซบั ซ้อนผ่านการ แกป้ ัญหา และมี การสังเกตการทํางานรว่ มกนั ระหว่างนักเรยี นและเพื่อน การวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารนเ้ี ปน็ การ เรียนการสอนทชี่ ัดเจนของรูปแบบการเรียนร้แู บบมีส่วนรว่ มทกี่ ําหนดไวเ้ พอ่ื อาํ นวยความ
สะดวก ความคิดสร้างสรรคข์ องนักเรยี น โดยนักเรียนเปน็ ผู้ประเมนิ รูปแบบการสอนของ ครูทส่ี ่งเสรมิ ให้เกดิ ความคดิ สร้างสรรคจ์ ากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผลการวจิ ัย พบว่า ในการสอนครศู ิลปะควรมี การตดั สนิ ใจในการสอน มกี ารวเิ คราะห์ เขา้ ใจปญั หา และมีความม่ันใจในตวั เอง Manjack (2011) ศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างทฤษฎีการสอนศิลปะส่วนบคุ คลของ ครศู ลิ ปะ ระดบั มัธยมศกึ ษากบั ทัศนคตใิ นการสอนในหอ้ งเรียนรวม ของนักเรียนท่ีมคี วาม บกพร่องทางการ เรียนรู้ (LD) และบกพร่องทางสติปญั ญา(EBD) โดยมีคําถามวิจยั ว่า ครู ศิลปะที่ยึดหลักมนษุ ยนิยม เช่น การมุ่งเนน้ ทักษะทางสังคมจะจดั การเรยี นรตู้ าม วตั ถุประสงค์ดว้ ยทฤษฎีส่วนบุคคลด้วยทัศนคติท่ดี ีตอ่ การเรียนรวมมากกว่าครูท่ียึดหลกั วชิ าเปน็ แนวทางในการสอน ผลจากการศกึ ษาพบว่าครศู ลิ ปะชอบที่ จะทํางานรว่ มกับเดก็ ที่มีความบกพรอ่ งทางการเรียนรมู้ ากกว่าเดก็ ทบี่ กพร่องทางสติปัญญา(EBD) ส่วน การ ตรวจสอบทฤษฎีของครูศลิ ปะด้านทัศนคติทีม่ ีตอ่ การเรยี นรวมของเดก็ ทีบ่ กพร่องทาง สติปัญญา และบกพรอ่ งทางอารมณ์ พบวา่ ไมม่ ีนยั สําคัญทางสถติ ิ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้ เห็นแนวทางมากมาย สําหรับการวิจัยในอนาคต เพื่อสาํ รวจความสมั พันธ์ระหว่าง ทฤษฎี ของในทางปฏบิ ัตสิ ่วนบคุ คลของครู ในรายวิชาอ่ืนๆ และการเรียนรขู้ องนกั เรยี นทีม่ ีความ พกิ าร
บรรณานกุ รม Alsharif, A. (2014). Teaching the customs, traditions and culture of Saudi Arabia through the arts in high school to promote cultural understanding and appreciation. (Master of Arts College of art and design), University of art. Bobick, B. (2008). A study of Cooperative Art Education in Elementary Art Classrooms. (Doctoral dissertation), University of Georgia. Retrieved from https://getd.libs.uga.edu/.../bobick_bryna_200805_edd.pdf Burchenal, M. K., & Lasser, S. (2007). Beyond the field trip. From periphery To center: Art museum education in the 21st century, 103-109. Chen, H. (2007). Exploration of the development of museum-school collaboration in art education: Prospects and difficulties in a case example. The International Journal of Arts Education, 5(2), 119-134. Corcoran, K, & Sim, C.R. (2009). Pedagogical reasoning, creativity and cooperative learning in the visual art classroom. International Journal of Education through Art, 5(1), 51-61. Danker, S. H. (2012). Museums and schools: Strengthening relationships Between an art museum educator and local teachers: University of Illinois at Urbana-Champaign. Davenport, M. (2001). Opening up the world: A portrait of an intercultural art teacher. (Ph.D), Indiana University. Elliot, J. R. (2012). The Infinity and Beyond: Museum-School Partnerships Beyond the Field.
Elgar, R. (2005). Creativity, community and selfhood : Psychosocial intervention and making art in Cape Town. London: Ph. D University of London. Elizabeth W. Hughes. (2013). A case study of the nature of activity in an informailly structured afterschool art program Binghamton: State University of New York. Erickson, M., & Hales, L. (2014). Teen artists: Impact of a contemporary art museum. Studies in Art Education, 56(1), 412-425. Hess, H. M. (2003). Building a community of character: An inner city children's art therapy and social skills summer program. M.A. Ursuline College. Holman, C. Z. (2003). The effectiveness of art activities in developing school readiness skills. University of Prince Edward Island (Canada). Hughes, E. W. (2013). A case study of the nature of activity in an informailly structured afterschool art program. Binghamton: State University of New York. Hui, X. (2012). Exploration Of Museum-School Collaborations in Shanghai China. Drexel University. Kader, T. (2000). Material culture studies and art education: Examining the cultural artifacts of the Bohra from Makaan to Masjid. (Ph.D), The Pennsylvania State University. Laroche, G. A. (2015). Social Learning and Drawing : What Children Learn by Copying the Images of their peers. Art Education, 68(3), 19-25. Manjack, S.K. (2011). Relations Between Secondary Art Teachers' Personal Education Theories And Attitudes About Inclusion. (Doctoral dissertation), Illinois, Chicago.
Nam, E. (2009). Collaborations between Art Museums and Schools: A Focus On High School Art Teachers' Utilization of Museum Resources. Oweis, F.S. (2001). The elements of unity in Islamic art as examined through The work of Jamal Badran. (Ph.D), Perpustakaan University Malaya. Reavis, L. J. (2009). Art Teacher Preparation for Teaching in an Inclusive Classroom : A Content Analysis of Pre-Service Programs and a Proposed Curriculum. (Master of Art Education), Georgia State University. Sarah Ackermann. (2017). To Swipe or Not Swipe, That is the question: The iPad in Preschool Setting Learning 21st Century Skills through. Art Education: 43-49 Sotiropoulou, M. (2012). If the pedagogic community can understand new ways of combining teaching practices with aesthetic learning activities. Art Education, 65(1), 7-10. Terreni, L. (2015). Young children's learning in art museums: a review of New Zealand and international literature. European Early Childhood Education Research Journal, 23(5), 720-742. Whatley, M. (2013). Strengthening Relationships Between Art Teachers and Classroom Teachers Through Curriculum Integration and Collaboration. (M.A. Corcoran), College of Art and Design. Whiteland, S. (2013). Picture Pals: An Intergenerational Service-Learning Art Project. Art Education, 66(6), 20-26. จัดทาโดย :: การเรยี นรู้ประภสั รา โคตะขนุ เวบ็ ไซต์ https://sites.google.com/site/prapasara/ https://prapasara.blogspot.com/ https://pubhtml5.com/homepage/zdig
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: