Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL)

การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL)

Published by Www.Prapasara, 2020-06-28 10:36:08

Description: การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL)

การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์ต่าง ๆ เป็นจุดเริ่มต้นในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยอาศัย แนวคิดพื้นฐานที่ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้เอง (Constructivism) ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เช่น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem based learning) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project based learning) ฯลฯ โดยการจัดการเรียนรู้ แบบ PhBL เป็นการบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Integration)

การจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ตามแนวทางของการจัด
การเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน PhBL

ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ PhBL
1. เลือกปรากฏการณ์ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบ PhBL ซึ่งต้องมีลักษณะเป็นปรากฏการณ์ที่ใกล้ตัวนักเรียน หรือมีความสำคัญต่อชีวิตของนักเรียน โดยอาจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว กำลังเกิดขึ้น หรือ กำลังจะเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ต้องมีความสอดคล้องกับมาตรฐานและ......

Keywords: การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน,Phenomenal based learning : PhBL,ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ PhBL,การจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ตามแนวทางของการจัด การเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน PhBL,การประเมินผลในการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน

Search

Read the Text Version

การจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปรากฎการณเ์ ปน็ ฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์ต่าง ๆ เป็นจุดเริ่มต้นในการกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยอาศัย แนวคิดพื้นฐานที่ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้เอง (Constructivism) ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เช่น การเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem based learning) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project based learning) ฯลฯ โดยการจัดการเรียนรู้ แบบ PhBL เป็นการบูรณาการ แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Integration) ซึ่งลักษณะสาคัญของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐานน้ันคือ เน้นการ เรียนรู้แบบสหวิทยาการ (Inter Disciplinarity) โดยไม่แบ่งรายวิชาเหมือนการจัดการศึกษา ทั่วไป และเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ที่เป็นสภาพจริง (ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือปรากฏการณ์ที่มีแนวโน้มท่ีจะเกิดข้ึน) โดยในการเรียนรู้นั้นจะเน้นการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) เช่น ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เน้นให้นักเรียนได้ สบื เสาะหาความรูด้ ว้ ยตนเอง ไดส้ ังเคราะห์ความรู้ และแกป้ ัญหาด้วยตนเอง ทั้งน้ีในประเทศฟินแลนด์ก็ได้ปฏิรปู การศึกษาในประเทศ โดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบ PhBL ซึง่ สิ่งท่เี ปล่ียนไปในระบบการศกึ ษาอย่างชดั เจน คอื 1. ในหลักสูตรของประเทศฟินแลนด์ได้มีการกาหนดให้ ในหน่ึงปีการศึกษาจะต้องมี การจดั การเรียนรแู้ บบ PhBL อย่างน้อย 1 ครงั้ 2. คณะครูจะต้องส่งเสริมให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้ในรายวิชาอื่น ๆ เพ่ือให้เข้ากับ บริบทเพื่อทาให้ เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันกับรายวิชาของตนเอง (Cross curricular learning) 3. สาระวิชาต่าง ๆ ยังคงแยกสอนตามรายวิชา แต่เน้นการบูรณาการระหว่างรายวิชา มากข้นึ

แนวคดิ ตา่ ง ๆ ท่สี ่งผลต่อประสทิ ธิภาพในการจัดการเรยี นรแู้ บบ PhBL 1. Responsibility ผ้เู รยี นมคี วามรับผิดชอบในการทางานที่ได้รบั มอบหมายโดยครูต้อง วางแผน อย่างรอบคอบว่างานที่มอบหมายน้ันท้าทาย และเหมาะสมต่อความสามารถของ ผูเ้ รียน 2. Moving school เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่มีลักษณะเป็นกิจกรรมเชิงกายภาพ (Physical activity) ซึ่งผู้เรียนสามารถสังเกตปรากฏการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าและ ปฏบิ ตั ไิ ด้ เพื่อนาไปเชอ่ื มโยงกบั องค์ความรทู้ ค่ี น้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ในการทาความเขา้ ใจ ตคี วาม และ ลงข้อสรุปจากปรากฎการณ์น้ัน ๆ 3. Interaction between school and parents ผู้ ป ก ค รอ งมี ส่ วน ร่วม ใน ก าร พฒั นาการจัดการเรยี นการสอนในโรงเรียน 4. The structure of the school day เวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้มีความยืดหยุ่น และเหมาะสมกบั เนื้อหา 5. Action based learning การจัดการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติ เช่น บทบาทสมมติ (role play) การแสดง (drama) การอภิปราย (debate) ความรว่ มมอื ร่วมใจ (Co-operative) 6. New technology มีการนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ มาใช้ในการจดั กาเรียนรู้ 7. Together ในการจัดการเรียนรู้นักเรียนต่างอายุสามารถจับกลุ่มหรือข้ามระดับชั้น เพื่อเรียนรู้ร่วมกันได้ และเม่ือมีการจับกลุ่มนักเรียนที่มีอายุต่างกันหรือข้ามระดับชั้น นักเรียน ทีม่ อี ายมุ ากกวา่ จะรับผดิ ชอบดแู ลนกั เรียนทมี่ ีอายุน้อยกวา่ 8. Alternative to working in a traditional classroom นักเรียนสามารถเลือก สถานท่ีในการเรียนได้ซ่ึงอาจเป็นภายในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนขึ้นอยู่กับลักษณะการ ทางานรวมถงึ ธรรมชาติของวิชาที่ได้รับการมอบหมายชิน้ งานน้ัน 9. Feedback มีการสะท้อนผลโดยใช้ลักษณะการสะท้อนผลเชิงบวกเพื่อกระตุ้น นักเรียนสามารถพฒั นาได้อย่างเหมาะสม

ประเด็นในการอภปิ รายเก่ยี วกบั การจดั การเรยี นรู้โดยใช้ ปรากฎการณเ์ ปน็ ฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) 1. บทบาทของครใู นการจัดการเรยี นรโู้ ดยใชป้ รากฎการณเ์ ป็นฐาน ตอบ ครูมีบทบาทในการส่งเสริมให้นักเรียนได้สังเกต ตั้งคาถาม โดยนาบริบทหรือ ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นมาเป็นส่ิงเร้าความสนใจ ให้นักเรียนได้เกิดกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ 2. สง่ิ ท่เี ชื่อมโยงระหวา่ งหลกั สตู รคอื อะไร ตอบ ปรากฎการณท์ น่ี ามาเป็นบริบท 3. ส่งิ ท่ีจาเปน็ ทจ่ี ะทาให้การจดั การเรียนรู้โดยใชป้ รากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) มีประสิทธภิ าพคอื อะไร ตอบ ปรากฏการณ์ท่ีนามาเร้าความสนใจนักเรียนจะต้องสามารถบูรณาการความรู้ได้ หลายวชิ า และ ทาใหน้ ักเรยี นได้เข้าถงึ แกน่ ของความรจู้ รงิ ๆ 4. ทาไมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) จงึ สาคัญตอ่ ระบบการศกึ ษา ตอบ เพราะเป็นการเชื่อมโยงความร้ใู นห้องเรยี นกับชีวิตจรงิ เพ่อื ให้นักเรียนสามารถนา ความรไู้ ปใช้แกป้ ญั หาในชวี ิตจริงได้ 5. ทาไมจึงต้องการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน (Phenomenal based learning : PhBL) ตอบ นักเรยี นได้ทาความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนจรงิ และสามารถนาความรู้ไป อธิบายหรือ แก้ปัญหาในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ทาให้การเรียนรู้น้ัน ๆ มีความหมาย และคงทน





การจดั การเรียนรแู้ ละการเรยี นรูต้ ามแนวทางของการจดั การเรียนร้โู ดยใชป้ รากฎการณ์เป็นฐาน PhBL ข้นั ตอนการจดั การเรยี นร้แู บบ PhBL 1. เลือกปรากฏการณ์ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้แบบ PhBL ซ่ึงต้องมีลักษณะเป็น ปรากฏการณ์ที่ใกล้ตัวนักเรียน หรือมีความสาคัญต่อชีวิตของนักเรียน โดยอาจเป็น ปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนไปแล้ว กาลังเกิดขึ้น หรือ กาลังจะเกิดข้ึนก็ได้ ซ่ึงปรากฏการณ์น้ีต้องมี ความสอดคล้องกับมาตรฐานและตัวชว้ี ัดตามหลักสูตร 2. ใช้กระบวนการ PEE ในการจัดการเรียนรู้ปรากฏการณ์ที่เลือก โดยแต่ละข้ันตอน ของกระบวนการ มีรายละเอยี ดดงั น้ี 2.1 P (Planning) คือ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีการวางแผนร่วมกัน ระหว่างครูผู้สอน ในแต่ละวิชาเร่ิมต้นจากการคัดเลือกเน้ือหาจากมาตรฐานและตัวช้ีวัดที่ สามารถจัดการเรียนรู้ร่วมกันได้ แล้ว ร่วมกันออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อ ธรรมชาติวิชานั้น ตัวอย่างเช่นวิชาสังคมศึกษาและ วิทยาศาสตร์ที่รวมการจัดการเรียนรู้เรียน ฟิสิกส์นิวเคลียร์โดยยกประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกคร้ังที่สอง มาจัดการเรียนรู้ร่วมกับการ คน้ พบองคป์ ระกอบของอะตอมจนถงึ การนาเอาความรู้ท่ไี ด้ไปใช้พฒั นาระเบิดปรมาณู 2.2 E (Execution) คือ การดาเนินการจัดการเรียนรู้ จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหา ความรู้ด้วย ตนเองโดยการค้นคว้าอย่างหลากหลาย ออกแบบการประเมินเชิงปฏิบัติในการ ทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง อภิปรายโต้เถียงเชิงวิชาการเพ่ือพัฒนาความรู้ของตนเอง โดย ครทู าหน้าที่เป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรรู้ วมทัง้ ให้แรงเสริมทางบวก แก่นกั เรียนให้เกิดความมงุ่ มั่นตงั้ ใจและกล้าท่ีแสดงความเป็นตัวตนของตนเอง 2.3 E (Evaluation) คือ การประเมิน เป็นการประเมินระหว่างเรียนท่ีสะท้อนให้ เห็นพัฒนาการของผู้เรียน โดยมีลักษณะการประเมินที่หลากหลาย เช่นการประเมินโดยครู เพื่อน ผู้ปกครอง และผู้เรียน ประเมินตนเอง จุดมุ่งหมายของการประเมินท่ีไม่ใช่มุ่งเน้นเกรด หรือผลการเรียน แต่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้น โดยท่ีทุกคนสามารถพัฒนางานของ ตนเองในกรอบท่ีกาหนด ซ่ึงการประเมินอาจกาหนดคะแนนให้ อยู่ในรายวิชาใดรายวิชาหน่ึง แต่มีการประเมินร่วมกันของครูมากกว่าหน่ึงคน หรือกาหนดให้อยู่ในรายวิชาทั้ง สองวิชาก็ได้ ตามความเหมาะสม

ข้ันตอนการทาปฏิบัติการ (Work shop) วิทยากรได้ยกตัวอย่างการออกแบบกิจกรรม PhBL โดยใชก้ ระบวนการ PEE เช่น เร่ือง Translation (การแปล) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ออกแบบมาสาหรับนักเรียนเกรด 8 (หรือนักเรียน ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2) จานวน 25 คน ในรายวิชาภาษาอังกฤษและภาษาฟินนิช (ภาษา ราชการของฟินแลนด์) มีการมอบหมายงาน ให้กับนกั เรียนเป็นคู่หรือเปน็ กลุ่ม โดยให้นักเรยี น ใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฟินนิชในการจัดกิจกรรมในรูปแบบของวรรณกรรมทางภาษาแบบ ต่าง ๆ เช่น นวนิยาย (Fiction) เรื่องจริง สารคดี อัตชีวประวัติคนสาคัญ (NonFiction) กวี นิพนธ์ (Poetry) เน้ือเพลง (Lyrics) และคาบรรยายใต้ภาพยนต์หรือละคร (Subtitles) เป็น ตน้ โดยใช้เวลาในการจัดการจัดการเรียนการสอน 2 คาบ/สัปดาห์ มีการเรียน 4 หน่วย/ สัปดาห์ รวมทั้งสิ้นจานวน 14 สัปดาห์ โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีการกาหนดหัวข้อเพื่อให้ นักเรียนนาไปใช้ในการดาเนินกิจกรรมตามท่ี กล่าวมาข้างต้น (“Theme of the week”) หลังจากดาเนินกิจกรรม Phenomenon ดังกล่าวเสร็จส้ินแล้วจะมีการประเมินผลท้ังครู นักเรียน และกระบวนการดาเนินงานทั้งหมด ว่าจัดอยู่ในลาดับใด และกิจกรรมดังกล่าว มี ขอ้ ดขี อ้ เสียอยา่ งไร จากน้ันวิทยากรได้ให้ผู้เข้ารับการอบรมแบ่งกลุ่มและออกแบบกิจกรรม PhBL โดยใช้ กระบวนการ PEE มากลุ่มละ 1 เร่ือง โดยวิทยากรได้ยกตัวอย่างหัวข้อต่าง ๆ ดังน้ี ตัวแทนใน สังคม (Agent in society) เที่ยวรอบโลก (Trip around the world) ความเท่าเทียม (Equality) น้าและอาหาร (Water and food) และ บ้านเกิดของฉัน (My hometown) แล้ว ให้แต่ละกลุ่มลองกาหนดหัวข้อเร่ืองท่ีตนเองสนใจ ซึ่งแต่ละกลุ่มกาหนดหัวข้อเร่ืองได้ หลากหลายแตกต่างกัน เช่น ของเสียท่ีเกิดข้ึนในโรงเรียน ปัญหาฝุ่นละออง เป็นต้น จากนั้น วิทยากรได้สลับหวั ข้อของกลมุ่ ตนเองให้กลุ่มอ่ืน แลว้ ให้เอาหัวข้อทไ่ี ด้จากกลุ่มอื่นมาออกแบบ กิจกรรม โดยใชก้ ระบวนการ PEE





การนาการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณเ์ ปน็ ฐานลงสู่การปฏบิ ตั ิ ข้นั ตอนการจัดการเรียนรูร้ ่วมกนั ระหวา่ งรายวิชา การจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์เป็นฐานลงสู่การปฏิบัติจาเป็นต้องออกแบบการ เรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากองค์ความรู้ของศาสตร์ต่าง ๆ อย่างลุ่มลึก ซ่ีงจาเป็นอย่าง ย่งิ ที่จะตอ้ งบรู ณาการท้งั ในสาขาเดียวกันและภานนอกสาขาวชิ า โดยสามารถสรุปเป็นแนวทาง ได้ดังนี้ 1. ครทู ่ีตอ้ งการจัดการเรียนรรู้ ว่ มกันจะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจพื้นฐาน ดังนี้ 1.1 ความรู้ในโลกสามารถหาได้จากมุมมองท่ีแตกต่างกัน แต่มีความเกี่ยวเน่ือง เช่อื มโยงกัน 1.2 ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ความรู้ได้ลุ่มลึกข้ึนจากการเรียนรู้ผ่านความแตกต่าง ขององค์ความรู้ และธรรมชาตวิ ิชาในแตล่ ะสาขา 1.3 ทุกรายวิชามธี รรมชาตวิ ชิ าแตกตา่ งกัน แตม่ ีความสาคัญเท่าเทยี มกัน 1.4 บางรายวิชามเี นอื้ หาบางส่วนท่เี กย่ี วเนอื่ งเช่อื มโยงกัน และสามารถนามาจัดการ เรยี นรรู้ ว่ มกันได้ 2. ความต้องการพืน้ ฐานในการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปรากฏการณเ์ ป็นฐานในรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างรายวิชาสามารถดาเนินการ โดยมีเง่ือนไขสาคัญ ๓ ประการ ได้แก่ 2.1 ต้องมีครูมากกว่า 1 สาขาวิชามาร่วมออกแบบการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้ และ ประเมินผลการเรยี นรู้ร่วมกนั 2.2 ต้องมีการทางานร่วมกันเป็นทีม เป็นกัลยาณมิตรเปิดกว้างในการจัดการเรียนรู้ รว่ มกันใหก้ บั ผู้เรียน 2.3 ต้องจัดโครงสร้างหลักสูตร และกาหนดตารางเรียนร่วมกัน โดยอาจเป็นภาค เรียนละ 1 คร้ัง ปีการศึกษาละ 1 คร้ัง หรืออย่างอื่นตามความเหมาะสมและบริบทของ สถานศึกษา

3. การเลือกวิธีการสอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติวิชา ตัวอยา่ งเชน่ 3.1 การพรรณา (Narrative) ใช้เพ่ือพิสูจน์ข้อเท็จจริงผ่านการอธิบายที่เป็นลาดับ ข้นั ตอนและ เชือ่ มโยงองค์ความร้ตู ่างๆ ผา่ นการอธิบายโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ จากนั้นจึง ตีความและวเิ คราะห์ความนา่ เช่อื ถือจากคาอธิบายต่าง ๆ แล้วลงข้อสรปุ ร่วมกนั 3.2 การสอนแบบ Story line ใช้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยใช้คาถาม ขยายขอบเขตความรู้ของผู้เรยี นเพ่ือผู้เรียนทาความเข้าใจปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนรอบตัว โดยมี การเรียงลาดับเหตุการณ์ และคาถามจากง่ายไปยาก ซึ่งจะทาให้มีความน่าสนใจในการเรียนรู้ และส่งเสริมต่อเจตคติค่านิยมทักษะและความรู้ของผู้เรียนซ่ึงผู้เรียนสามารถแสดงออกผ่าน กิจกรรมต่างๆ เช่น การอภิปราย การสาธิต การแสดงบทบาทสมมติ เพ่ือส่ือสารให้เห็นถึงผล การเรียนร้ทู ่ีเกดิ ขนึ้

ตวั อย่าง การจดั การเรียนการสอนร่วมระหว่างวิชาฟสิ กิ ส์และวิชาประวตั ิศาสตร์ ตัวอย่างนี้ เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีบูรณาการร่วมกันระหว่างวิชาประวัติศาสตร์และ ฟิสิกส์ ซ่ึงเกิดขึ้น โดยครูสองคนที่มีความสนใจในบทบาทของประวัติศาสตร์ต่อวงการ วิทยาศาสตร์ และบทบาทของวิทยาศาสตร์ ในหน้าประวัติศาสตร์ โดยใช้สงครามโลกครั้งท่ี สองและช่วงเวลาที่เก่ียวข้อง ซ่ึงเป็นช่วงเวลาท่ีมีการพัฒนาความรู้ด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ มาใช้ กระตุ้นความสนใจ เพื่อให้นักเรียนทาความเข้าใจ และเรียนรู้เก่ียวกับผลของเศรษฐกิจและ สังคมต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และผลของวิทยาศาสตร์ต่อการเปลี่ยนแปลงของ สังคม และเศรษฐกิจ และให้ นักเรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับตาแหน่งประเทศเกิดของ นักวิทยาศาสตรบ์ นแผนที่โลก ตัวอย่างเหตุการณ์สาคัญ ได้แก่ การขยายอานาจของนาซีเยอรมัน การพัฒนาความรู้ เกี่ยวกับกมั มันตรังสแี ละโครงสรา้ งอะตอม แนวคดิ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ฟิชช่ัน การเปลี่ยนแปลง ผลติ ภณั ฑม์ วลรวม ประชาชาติ (GDP) ก่อนและหลงั การเกดิ สงครามโลก การจดั การเรียนรู้ครั้งน้ีจัดให้กบั เด็กนักเรียนระดับชั้นเตรียมศึกษาปที ี่ 4 - 6 ที่มีความรู้ พื้นฐานด้านฟิสิกสน์ วิ เคลียร์ ซึ่งมีกระบวนการจดั การเรียนการสอน ดงั นี้ ๑. ทาการทดลองเรือ่ ง การเบนของรงั สแี อลฟาในสนามแมเ่ หลก็ ๒. แบ่งกลมุ่ ผู้เรยี น กลุ่มละ 3 คนและเลอื กหัวขอ้ ที่นกั เรียนสนใจ ๓. ผู้เรียนมีการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม แบ่งหน้าท่ีร่วมกันให้ความรู้อภิปรายโต้แย้ง รวมท้ังแลกเปลี่ยนเรียนรู้จัดกระทาและนาเสนอข้อมูลภายในกลุ่มของตนเอง เมื่อตกผลึกองค์ ความรู้แล้วให้นาเอาความรู้น้ีไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนต่างกลุ่มโดยครูทาหน้าที่เป็นผู้ อานวยความสะดวกและรว่ มกันสรุปองคค์ วามรู้กับผเู้ รียน ๔. ครใู ห้นักเรียนดู Timeline ค้นพบอะตอม และการคิดค้นนิวเคลยี ร์ ควบคูไ่ ปกบั การ ที่ครูวิชาประวัติศาสตร์สอนตาแหน่งประเทศเกิดของนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบแต่ละช่วงเวลา บนแผนท่โี ลก

การนาการจดั การเรยี นรู้แบบประสบการณเ์ ปน็ ฐานลงส่กู ารปฏบิ ตั ิ

การประเมินผลในการเรยี นร้โู ดยใชป้ รากฏการณ์เป็นฐาน ลักษณะเดน่ ของการประเมนิ ในประเทศฟินแลนด์ จ า ก ก า ร อ บ ร ม แ ล ะ สั ม น น า วิ ท ย า ก ร ได้ ให้ แ น ว คิ ด เกี่ ย ว กั บ ลั ก ษ ณ ะ เด่ น ข อ ง ก า ร ประเมนิ ผลของประเทศฟินแลนด์ไว้ดงั นี้ ๑. ประเทศฟินแลนด์ไม่มีการวัดผลระดับชาติในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (ม.3) แต่ จะวัดผลระดับชาติ มีการวัดผลเม่ือนักเรียนเรียนจบช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) โดย ข้อสอบท่ีใช้ในการวดั ผลเป็นขอ้ สอบข้อเขยี น ๒. ประเทศฟินแลนด์ใหค้ วามสาคญั กับการประเมินผลในช้ันเรยี นของครู โดยถือเปน็ จุด ยุตขิ องการประเมินในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. ครูจะประเมินผลอย่างต่อเนื่องในระหว่างกระบวนการจัดการเรียนรู้ ท้ังด้านความรู้ และทักษะกระบวนการ ทส่ี อดดคล้องเป็นเน้ือเดยี วกนั เพอื่ ประเมนิ สมรรถนะของนกั เรียน ๔. ครูมีกระบวนการการวัดทักษะและความรู้ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย ใช้ผลการวัด ยนื ยันซึ่งกันและกัน จนม่ันใจในการตัดสินผลของนักเรียน ๕. การสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับเพ่ือน นักเรียน และการสะท้อนผลโดนตัวนักเรียนเอง ในการจัดการเรียนการสอนทุกขั้นตอน ถือ เป็นสิ่งสาคญั ในการประเมินผลการจดั การศึกษา ลกั ษณะทว่ั ไปของการประเมนิ ในประเทศฟินแลนด์ ๑. ครูเป็นผู้การจัดการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการวางแผนการประเมินผลผลอย่างละเอียด ก่อนเร่มิ วัดผลจรงิ กบั นกั เรยี น ๒. การวดั ผลไมส่ ามารถแยกออกจากกระบวนการเรยี นร้ไู ด้ ดังนนั้ การวดั ผลจงึ มีการวัด ในทุกกระบวนการจดั การเรียนการสอน

๓. ครูใช้ทฤษฎีของ Krathwohl-Anderson มาใช้ในการวัดด้านความรู้ และ กระบวนการได้จัดโครงสรา้ งในมติ ิดา้ นความรู้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ๓.๑ ความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริง (Factual knowledge) ความรู้ในส่ิงที่เป็นจริง อยู่ เช่น ความรู้เกี่ยวกบั คาศพั ท์ และความร้ใู นสง่ิ เฉพาะตา่ งๆ ๓.๒ ความรู้ในเชิงมโนทัศน์ (Conceptual knowledge) ความรูท้ ี่มีความซบั ซอ้ น มี การจัดหมวดหมเู่ ป็นกลุ่มของความรู้สามารถสรุปสาระสาคญั ของเน้อื หาได้ ๓.๓ ความรู้ในเชิงวิธีการ (Procedural knowledge) ความรู้ว่าสิ่งนั้น ๆ ทาได้ อย่างไร ซึง่ รวมถงึ ความรทู้ างกระบวนการทเี่ ป็นทกั ษะเทคนิค ๓.๔ ความรู้เชิงอภิปัญญา (Metacognitive knowledge) ความรู้เกี่ยวกับเร่ืองทาง ปัญญาของนักเรียนเอง โดยนักเรียนจะทาความเข้าใจเก่ียวกับการวางแผนและการแก้ปัญหา ไปจนถงึ สามารถประเมินตนเอง วา่ ตนเองมคี วามสามารถหรอื ถนดั ในดา้ นใด ๔. นักเรยี นจะเป็นผพู้ ิจารณาความจริง วิธกี าร concepts กระบวนการคิด และความรู้ ท่ีเกิดขน้ึ ดว้ ยตนเอง โดยครเู ป็นเสมอื นโค้ชทก่ี ระตุน้ และแนะนา ๕. ครูใช้อนุกรมวิธานของ Bloom (ปรบั ปรงุ ค.ศ.๒๐๐๑) มาใชใ้ นการสรา้ งคาถามเพื่อ ประเมนิ ความรู้ ได้แก่ ๕.๑ จา (Remember) หมายถึง ความสามารถในการดึงเอาความรู้ท่ีมีอยู่ใน หน่วยความจาระยะยาวออกมาใช้ ๕.๒ เข้าใจ (Understand) หมายถึง ความสามารถในการกาหนดความหมายของ คาพูด ตัวอักษร และการสือ่ สารจากสือ่ ตา่ งๆ ที่เป็นผลมาจากการสอน ๕.๓ ประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถึง ความสามารถในการดาเนินการหรือนาความรู้ มาประยุกตใ์ ช้ในแตล่ ะสถานการณ์ ๕.๔ วิเคราะห์ (Analyze) หมายถึง ความสามารถในการแยกส่วนประกอบของสิ่ง ตา่ งๆและคน้ หาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสว่ นประกอบท่มี คี วามเกยี่ วขอ้ ง ๕.๕ ประเมินค่า (Evaluate) หมายถึง ความสามารถในการตัดสินใจโดยอาศัย เกณฑ์หรอื มาตรฐาน ๕.๖ สร้างสรรค์ (Create) หมายถึง ความสามารถในการรวมส่วนประกอบต่างๆ เขา้ ดว้ ยกนั ดว้ ย รปู แบบใหม่ๆ หรอื ทาใหไ้ ดผ้ ลิตภัณฑ์ท่ีตา่ งจากเดมิ

ตัวอยา่ งการประเมนิ ผล ในการอบรมและสมั มนา วิทยากรไดย้ กตัววธิ กี ารประเมินผล ไวด้ งั น้ี ๑. บทสนทนารวม โดยนักเรียนเขียนสมุดบันทึกความรู้ท่ีได้จากการเรียนในทุก กระบวนการจัดการเรียนการสอน ครูมกี ารพูดคยุ ร่วมวเิ คราะห์กับนกั เรียนโดยยึดผลจากสมุด บนั ทึกความรจู้ ากนกั เรียนเปน็ หลกั ๒. การประเมินตนเองของผู้เรียน ซึ่งนักเรียนมีการประเมินตนเอง ในด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ รวมถึงความถนดั ในด้านต่างๆ

หนังสืออา้ งองิ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2562). โครงการอบรมและสมั มนาการจดั การเรียนการสอน วิทยาศาสตรส์ าหรบั ผู้มคี วามสามารถพเิ ศษด้านวทิ ยาศาสตร์ และคณติ ศาสตร์ ณ University of Helsinki ประเทศฟนิ แลนด์. กลมุ่ พฒั นาการศกึ ษาสาหรบั ผู้มี ความสามารถพิเศษ สานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. สานกั งานคณะกรรมการ การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน.