Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงาน ขนมปังปลิ้นบท1-3

โครงงาน ขนมปังปลิ้นบท1-3

Published by Thitiporn Preekran, 2020-12-19 05:15:10

Description: โครงงาน ขนมปังปลิ้นบท1-3

Search

Read the Text Version

รายงานผลการดาเนินการ โครงการ วชิ าโลจสิ ติกส์ ชื่อโครงการ ขนมปังปลิน้ ออนไลน์ จัดทาโดย 1. นางสาว ปภสั สวรรณ บวั บาน รหสั 6332091464 รหสั 6332091467 2. นางสาว กมลณทั ฐ์ ปานสนั เทียะ รหสั 6332091471 รหสั 6332091494 3. นางสาว วริศรา มีอาษา 4. นาย เจษฎา บุญเฉลิม ช้ัน ปวส 1/5 เสนอ อาจารย์ คทาธร เตชมหนนท์ รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวชิ าโลจิสติกส์ ระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพช้นั สูง (ปวส.) แผนกวชิ าโลจิสติกส์ สาขาโลจิสติกส์ วทิ ยาลยั เทคโนโลยบี ุญถาวร การศกึ ษา 2563

รายงานผลการดาเนินการ โครงการ วชิ าโลจิสติกส์ โครงการ ขนมปังปลิน้ ออนไลน์ จัดทาโดย 1. นางสาว ปภสั สวรรณ บวั บาน รหสั 6332091464 รหสั 6332091467 2. นางสาว กมลณทั ฐ์ ปานสนั เทียะ รหสั 6332091471 รหสั 6332091494 3. นางสาว วริศรา มีอาษา 4. นาย เจษฎา บุญเฉลิม ช้ัน ปวส 1/5 เสนอ อาจารย์ คทาธร เตชมหนนท์ รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวชิ าโลจิสติกส์ ระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพช้นั สูง (ปวส.) แผนกวชิ าโลจิสติกส์ สาขาโลจิสติกส์

กติ ติกรรมประกาศ คร้ังน้ีจะไม่สามารถลุล่วงลงได้ หากปราศจากความช่วยเหลือจากคณะอาจารยป์ ระจาวชิ า ซ่ึงประกอบดว้ ย อาจารย์ คทาธร เตชมหนนท์ และ อาจารย์ ปาริชาติ สุรวทิ ย์ ที่ไดก้ รุณาใหค้ าปรึกษาตรวจแกข้ อ้ บกพร่อง ต่างๆเป็นอยา่ งดี ตลอดจนอาจารยท์ ่านไดใ้ หค้ วามรู้แก่คณะผจู้ ดั ทา คณะผจู้ ดั ทาขอขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง การดาเนินโครงการ คณะผจู้ ดั ทาไดร้ ับความช่วยเหลือจาก อาจารย์ คทาธร เตชมหนนท์ และ อาจารย์ ปาริชาติ สุรวทิ ย์ มาโดยตลอด นอกจากน้ียงั มีอาจารยอ์ ีกหลายท่านท่ีคอยใหค้ วามช่วยเหลือในเรื่อง ต่างๆ จึงไดข้ อขอบคุณทุกท่านมาในโอกาสน้ีดว้ ย คณะผจู้ ดั ทาขอมอบคุณค่าและประโยชนข์ องรายงานผลการดาเนินโครงการฉบบั น้ี คุณพ่อ คุณแม่ ตลอดจนคุณครูและผมู้ ีพระคุณทุกท่านที่ไดอ้ บรม ส่ังสอนคอยช่วยเหลือคณะผจู้ ดั ทาไดศ้ กึ ษาและดาเนิน โครงการสาเร็จตามความมุ่งหวงั คณะผู้จัดทา 3 กรกฏาคม 2563

สารบญั

โครงการ การขายขนมปังปลิ้น ออนไลน์ จดั ทาโดย 1. นางสาว ปภสั สวรรณ บวั บาน รหสั 6332091464 2. นางสาว กมลณทั ฐ์ ปานสนั เทียะ รหสั 6332091467 3. นางสาว วรศิ รา มีอาษา รหสั 6332091471 4. นาย เจษฎา บญุ เฉลิม รหสั 6332091494 รายวชิ า ธุรกิจและการเป็นผปู้ ระกอบการ รหสั วชิ า 30200-0003 แผนกวชิ า/สาขา โลจิสติกส์ สาขาโลจิสติกส์ อาจารย์ทปี่ รึกษาโครงการ อาจารย์ คทาธร เตชมหานนท์ ปี การศึกษา 2563 บทคดั ย่อ แผนธุรกิจน้ีจดั ทาข้ึนเพ่ือกาหนดเป้าหมาย กาหนดกรอบความคิดเพอ่ื ช่วยเป็นแนวทางในการ (1)เพอื่ เตรียม ความพร้อมในการประกอบธุรกิจอยา่ งจริงจงั ในอนาคต (2)เพือ่ รู้ถึงปัญหาในการประกอบธุรกิจ (3)เพ่ือวดั ความเป็นไปไดข้ องการประกอบธุรกิจที่เราจะทา (4)เพื่อจดั ลาดบั ความคิดในการทาธุรกิจ ผลการศกึ ษาวจิ ยั พบวา่ ธุรกิจการขายขนมปังออนไลนม์ ีการแข่งขนั สูง มีคู่แข่งจานวนมาก การ เพิม่ ยอดขายเป็นสิ่งสาคญั ในการประกอบธุรกิจ ผปู้ ระกอบจาเป็นตอ้ งเตรียมความพร้อมในโครงการดาน การสมคั รสมาชิก การประชาสัมพนั ธ์ทางสื่อออนไลน์ การหาแหล่งวตั ถุดิบเพ่ิมเติม ฯลฯ ดา้ นผลประกอบการ เร่ิมตน้ ลงทุนในโครงการ คือ การนาทุนจากคนในกลุ่มมารวมกนั เช่น เกบ็ จากคนในกลุ่มคนละ 250 บาท เป็นรอบๆพอขายไดก้ าไรกน็ ามาแบ่งกนั แลว้ ลงทุนกนั ต่อไปเร่ือยๆจนมี รายไดเ้ ป็นหลกั หมื่น

วตั ถุประสงค์ของโครงการ 1. เพอื่ ใหค้ นอ่ืนไดบ้ ริโภคสินคา้ ท่ีมีประโยชน์ อร่อย ถูกหลกั อนามยั 2. สามารถทากาไรไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง โดยมีผลกาไรสุทธิในทุกปี ไม่ต่ากวา่ 100,000 บาท 3. เพอื่ สร้างสินคา้ ใหม้ ีช่ือเสียง และเป็นท่ีรู้จกั กบั คนทว่ั ไป วธิ ีการดาเนินโครงการ และระยะเวลาในการดาเนินโครงการ 1. มีการวางแผนการจดั การงานเตรียมของ และอุปกรณ์การทาขนมใหพ้ ร้อม 2. สนุกกบั การทาขนมที่เราเลือกมาทา 3. นาเสนองานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม (ระยะเวลาในการดาเนินงานต้งั แต่วนั ท่ี 3 กรกฎาคม 2563 - 3 กนั ยายน 2563) ผลการดาเนินโครงการ ผลการดาเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายและจุดประสงคข์ องโครงการที่ต้งั ไว้ มียอดขายท่ีเพม่ิ มากข้ึน ต่อปี ทาใหส้ มาชิกในกลุ่มทพเวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ และมีรายไดแ้ ก่ตนเองมากข้ึนไปดว้ ย สรุปผล การขายขนมปังปลิ้นออนไลน์ จะวา่ ยากกไ็ ม่ยาก จะวา่ ง่ายกไ็ ม่ง่าย ท่ีสาคญั คือตอ้ งรู้จกั วางแผน มีการ บริหารจดั การที่ดี และทาการตลาดท่ีช่วยผลกั ดนั ยอดขาย อยา่ มองขา้ มปัญหาที่อาจจะเกิดข้ึนระหวา่ งทาง ไม่มีใครที่ทาธุรกิจแลว้ ราบร่ืนไปไดต้ ลอด ตอ้ งเตรียมตวั เตรียมใจ และเตรียมแผนรับมือใหพ้ ร้อมจึงจะดี ที่สุด บทท่ี 1

บทนา หลกั การและเหตุผล ในปัจจุบนั จะเห็นไดว้ า่ ในสงั คมไทยน้นั ไดม้ ีการนาเอาอาหาร ขนมของชาวตะวนั ตกเขา้ มาใน ประเทศอยา่ งแพร่หลาย ไม่วา่ จะเป็นขนม อาหารวา่ ง เช่น ขนมเคก้ วาฟเฟิ ล เป็นตน้ ทาใหค้ นส่วนมากหนั ไปบริโภคอาหารและขนมของชาวต่างชาติกนั มาก ไม่วา่ จะเป็นอาหารเชา้ กลางวนั หรืออาหารเยน็ และเป็น ที่นิยมต้งั แต่วยั รุ่น และวนั ทางา จากจุดเริ่มน้ีคณะผจู้ ดั ทาไดพ้ ยายามศึกษาดูในเร่ืองของขนมเคก้ ไม่วา่ จะ เป็นเคก้ เนย เคก้ ชอ็ กโกแลต็ เคก้ บราวน่ี เป็นขนมที่สามารถรับประทานเป็นของวา่ และมีโภชนาการ ครบถว้ นและหาซ้ือง่าย และคร้ังน้ีคณะผจู้ ดั ทาไดค้ านวณตน้ ทุนในการทาเคก้ บราวนี่ และทาใหเ้ คก้ บราวนี่ มีคุณภาพมากข้ึน และเป็นประสบการณ์ที่คณะผจู้ ดั ทาไดศ้ กึ ษาข้นั ตอนการทาบราวน่ี สามารถนาไปเป็น อาชีพเพ่อื เป็นการสร้างรายไดเ้ สริมดว้ ย การเปิ ดร้านขายขนมปังน้นั กไ็ ม่ยากใชโ้ ซเชียลเนต็ เวริ ์คใหเ้ ป็นประโยชนอ์ ีกอยา่ งในโลก โซเชียลน้นั มีคนอยพู่ ลุกพล่านตลอดเวลาอยแู่ ลว้ โดยเฉพาะใน Facebook จะมีหนา้ เพจใหส้ ามารถเปิ ดเป็น ร้านขายของไดเ้ ลย วธิ ีอพั โหลดภาพลงกง็ ่ายๆเหมือนการเล่นเฟสบุค๊ ธรรมดาทวั่ ไป เป็นการเริ่มตน้ ลงมือทา อาชีพเสริมขายขนมปังไปทีละนอ้ ย เม่ือลงรูปสินคา้ ลงรายละเอียดราคา ส่วนผสมต่างๆใหล้ ะเอียด เพื่อ ลูกคา้ จะไดร้ ับขอ้ มูลอยา่ งครบถว้ น การขายขนมปังปลิน้ ออนไลน์ เป็นอาชีพเสริมตอนเรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี ขนมปังปลิน้ เหมาะกบั ทุกเพศทุกวยั และทุกช่วงอายุ ไม่วา่ จะเดก็ วยั รุ่น คนทางานและวยั ชรา เป็นขนมที่ ง่ายต่อการบริโภค ราคายอ่ มเยาวจ์ บั ตอ้ งได้ มีคุณภาพดี สะอาด สดใหม่ เป็นอาชีพเสริมไดด้ ีสาหรับคนที่ กาลงั มองหาอาชีพเสริมมือใหม่ ทาง่ายและมีงบประมาณในการผลิตไม่สูงมาก สามารถทาขายหนา้ ร้านหรือ เปิ ดเพจเป็นของตวั เองขายกย็ อ่ มได้ ทางคณะผจู้ ดั ดทาจึงไดศ้ ึกษาพฒั นาเวบ็ ไซตข์ ายสินคา้ ทุกประเภท ธุรกิจออนไลนข์ นมปังปลิ้น ออนไลน์ เพ่อื ตอบสนองต่อความตอ้ งการของผทู้ ี่สนใจสัง่ สินคา้ ออนไลน์

วตั ถุประสงค์ของการรายงานผล 1. เพ่ือศึกษาและไดม้ ีความรู้ข้นั ตอนการทาขนมปังปลิน้ ออนไลน์ 2. เพ่อื ฝึกทกั ษะในการทาขนมปังปลิน้ ออนไลนไ์ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. เพือ่ มีประสบการณ์และนามาประกอบอาชีพเป็นรายไดเ้ สริม ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ 1. ไดม้ ีความรูค้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั ข้นั ตอนการทา ตลอดจนวตั ถุดิบที่นามาทาขนมปังปลิ้น 2. มีประสบการณ์ในการทาขนมปังปลิ้น และสามารถนาทกั ษะดา้ นการประกอบอาชีพ มี ความคิดสร้างสรรคใ์ นการพฒั นางาน และสร้างงานเป็นอาชีพเสริมได้ 3. รู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ มีประสบการณ์ในการทางานดว้ ยกระบวนการกลุ่ม รู้จกั แกป้ ัญหา เพ่ือท่ีจะนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ขอบเขตในการดาเนินโครงการ การดาเนินโครงการคร้ังน้ีมีขอบเขตการดาเนินงาน ดงั น้ี 1. ขอบเขตพ้ืนที่ สถานท่ีจดั จาหน่ายหลกั ร้านคา้ ออนไลน์ สถานที่จดั จาหน่ายอ่ืนๆ 2. ขอบเขตประชากร (กลุ่มลูกคา้ เป้าหมาย) ลูกคา้ หลกั วยั รุ่นและวยั ทางาน ลูกคา้ รอง ผคู้ นระแวกใกลเ้ คียง 3. ขอบเขตดา้ นสินคา้ และบริการ สินคา้ หลกั ขนมปังปลิน้ ออนไลน์ สินคา้ รอง - 4. ขอบเขตดา้ นเวลา เร่ิมดาเนินโครงการต้งั แต่ 3 กรกฎาคม 2563 ถึง 3 กนั ยายน 2563

บทท2่ี ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง การดาเนินโครงการคร้ังน้ี ผดู้ าเนินการไดแ้ นวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ งเพอื่ ใชเ้ ป็น แนวทางในการกาหนดโครงการ โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. คาอธิบายรายวชิ า วตั ถุประสงคแ์ ละมาตรฐานรายวชิ าโครงการ 2. ทฤษฎีการวเิ คราะหส์ ถานการณ์ทางการตลาด (Swot Analysis) 3. ทฤษฎีวเิ คราะห์ผบู้ ริโภค (STP Strategy) 4. ทฤษฎีกลยทุ ธ์การตลาด (4Ps) 5. ทฤษฎีพฤติกรรมผบู้ ริโภค (Buyer Behavior’s Model) คาอธบิ ายรายวชิ า วตั ถุประสงค์และมาตรฐานรายวชิ าโครงการ คาอธบิ ายรายวชิ า การศึกษาและปฏิบตั ิเกี่ยวกบั หลกั การการหาขอ้ มูลการตลาด ประเภทและแหล่งขอ้ มูลการตลาด เคร่ืองมือการเกบ็ ขอ้ มูล กระบวนการหาขอ้ มูลการตลาด การประมวลผลขอ้ มูล การแปลความหมายขอ้ มูล การรายงานผลขอ้ มูล การนาขอ้ มูลไปใชท้ างการตลาด เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารใน กระบวนการหาขอ้ มูลการตลาด มาตรฐานรายวชิ า 1. แสดงความรู้เก่ียวกบั หลกั การและกระบวนการของผปู้ ระกอบการ 2. สามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ การสื่อสารขอ้ มูลการตลาด วางแผน ออกแบบเครื่องมือ รวบรวมขอ้ มูล วเิ คราะห์และแปลความหาย สรุปและรายงานผลขอ้ มูล 3. ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในกระบวนการหาขอ้ มูลของผปู้ ระกอบการ

ทฤษฎกี ารวเิ คราะห์สถานการณ์ทางการตลาด ( Swot Analysis) 1. Strengths (จุดแขง็ ) เป็นการพจิ ารณาขอ้ ดีหรือจุดเด่นที่เก่ียวกบั บริษทั ผลิตภณั ฑ์ ส่วนประสมทาง การตลาด (4P’s) และปัจจยั ภายในท่ีบริษทั สามารถควบคุมไดแ้ ละนามาใชใ้ นการวางแผนกลยทุ ธ์การตลาด ตวั อยา่ งของจุดแขง็ ไดแ้ ก่ - สินคา้ มีคุณภาพดี - ความชานาญของบุคลากร - บรรจุภณั ฑท์ นั สมยั - ความแขง็ แกร่งของตราสินคา้ - เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ - ทาเลที่ต้งั ของกิจการที่เหมาะสม 2. Weaknesses (จุดอ่อน) เป็นการพจิ ารณาขอ้ เสียหรือจุดดอ้ ยหรือขอ้ บกพร่องที่อยภู่ ายในบริษทั และ ผลิตภณั ฑ์ ซ่ึงเป็นปัจจยั ท่ีบริษทั สามารถควบคุมได้ และบริษทั จาเป็นตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ข ตวั อยา่ งจุดอ่อน ไดแ้ ก่ - สินคา้ มีใหเ้ ลือกนอ้ ย - ราคาสินคา้ แพงกวา่ คู่แข่งขนั - รูปแบบสินคา้ ไม่ทนั สมยั - เงินทุนไม่เพยี งพอ 3. Opportunities (โอกาส) เป็นการพิจารณาถึงขอ้ ไดเ้ ปรียบของกิจการหรือของผลิตภณั ฑ์ท่ีมีเหนือกว่า คู่แข่งขนั ซ่ึงเป็นปัจจยั ท่ีอยภู่ ายนอกท่ีเอ้ืออานวยประโยชนต์ ่อบริษทั ใหน้ าไปใชใ้ นการวางแผนกลยทุ ธ์ทาง การตลาด ตวั อยา่ งของโอกาส ไดแ้ ก่ - การแขง่ ขนั ยงั มีนอ้ ย - คูแ่ ขง่ ขนั เลิกกิจการ - จานวนผบู้ ริโภคเพ่ิมมากข้ึน - การเติบโตของตลาดอยา่ งต่อเน่ือง - ไดร้ ับการส่งเสริมจากรัฐบาล - ทศั นคติที่ดีต่อสินคา้ ของผบู้ ริโภค 4. Threats (อุปสรรค) เป็ นการพิจารณาขอ้ เสียเปรียบ ขอ้ จากดั หรือปัญหาที่อยู่ภายนอกกิจการ และเป็น อุปสรรคท่ีมีผลกระทบต่อบริษทั เป็นปัจจยั ภายนอกท่ีไม่สามารถควบคุมไดต้ วั อยา่ งของขอ้ จากดั ไดแ้ ก่ - ราคาของตน้ ทุนวตั ถุดิบสูงข้ึน - คูแ่ ข่งขนั รายใหม่เขา้ มาในตลาด - มีกฎหมายหรือระเบียบขอ้ บงั คบั ใหม่ - คูแ่ ข่งขนั ทุม่ การโฆษณาสูง - มีสินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั ได้ - สินคา้ ถูกกดราคาจากคนงกิจการหรือผลิตภณั ฑ์

ทฤษฎกี ารวเิ คราะห์ผู้บริโภค (STP Strategy) Kotler (1997, p. 105) ได้วิเคราะห์ว่า การวิเคราะห์พฤติกรรมผูบ้ ริโภคเป็ นการค้นหาหรือวิจัยท่ีเกี่ยวกับ พฤติกรรมการซ้ือและบริโภคเพอ่ื ทราบถึงลกั ษณะความตอ้ งการและพฤติกรรมการซ้ือและการใชข้ องผบู้ ริโภค คาตอบที่ ได้จะช่วยให้สามารถจดั กลยุทธ์ การตลาด ท่ีสามารถตอบสนองความพึงพอใจของผูบ้ ริโภคได้อย่างเหมาะสม ดงั รายละเอียดน้ี 1. ใครอยู่ในตลาดเป้าหมาย (who constitutes the market?) เป็ นคาตอบเพ่ือทราบถึงลกั ษณะของกลุ่มเป้าหมาย (occupants) 2. ผู้บริโภคซื้ออะไร (what does the market buy?) เป็นคาถามเพ่ือทราบถึงส่ิงที่ตลาดซ้ือ (objects) 3. ทาไมผ้บู ริโภคจึงซื้อ (why does the market buy?) เป็นคาถามเพื่อทราบถึงวตั ถุประสงคใ์ นการซ้ือ (objectives) 4. ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (who participates in the buying) เป็ นคาถามเพื่อทราบถึงบทบาทของกลุ่มต่าง ๆ ท่ีมีอิทธิพลหรือมีส่วนร่วมในการตดั สอนใจซ้ือ (organization) 5. ผู้บริโภคซื้ออย่างไร (how does the market buy?) เป็ นคาถามเพื่อทราบถึงข้ันตอนในการตัดสินใจซ้ือ (operations) 6. ผู้บริโภคซื้อเม่ือใด (when does the market buy?) เป็นคาถามเพ่อื ทราบโอกาสการซ้ือ (occasions) 7. ผู้บริโภคซื้อที่ไหน (where does the market buy?) เป็ นคาถามเพื่อทราบถึงโครงการสร้างช่องทาง ที่ผบู้ ริโภค จะไปซ้ือในช่องทางการจดั จาหน่ายน้นั ๆ (outlets) นอกจากน้นั ยงั ตอ้ งอาศยั เคร่ืองมืออื่น ๆ เพมิ่ เติม ซ่ึงประกอบดว้ ย 1. บุคคลหรือพนกั งาน ซ่ึงตอ้ งคดั เลือก ฝึกอบรม จูงใจ เพอ่ื ใหส้ ามารถสร้างความพงึ พอใจใหก้ บั ลูกคา้ ไดแ้ ตกตา่ ง เหนือคูแ่ ขง่ 2. การสร้างและนาเสนอลกั ษณะทางกายภาพ โดยพยายามสร้างคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management-- TQM) ใหเ้ กิดข้ึน 3. กระบวนการส่งมอบคุณค่าในการใหบ้ ริการกบั ลูกคา้ ไดร้ วดเร็ว ประทบั ใจลูกคา้

ส่วนประสมทางการตลาด (market mix) ของสินคา้ มีพ้นื ฐานประกอบดว้ ย 4Ps แต่ Kotler (1997, p. 109) มีความเห็นวา่ ส่วนประสมทางการตลาดของตลาดบริการ จะประกอบดว้ ย 7Ps ดงั น้ี 1. Product: P1 (ผลิตภณั ฑ)์ 2. Price: P2 (ราคา) 3. Place: P3 (ช่องทางการจดั จาหน่าย) 4. Promotion: P4 (การส่งเสริมการตลาด) 5. People: P5 (พนกั งาน) 6. Process: P6 (กระบวนการใหบ้ ริการ) 7. Physical Evidence: P7 (สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ) ส่วนประสมการตลาดในมุมมองลูกคา้ ประกอบดว้ ย 1. Customer Value: C1 (คุณคา่ ท่ีลูกคา้ จะไดร้ ับ) 2. Cost to Customer: C2 (ตน้ ทุน) 3. Convenience: C3 (ความสะดวก) 4. Communication: C4 (การติดต่อส่ือสาร) 5. Caring: C5 (การดูแลเอาใจใส่) 6. Completion: C6 (ความสาเร็จในการตอบสนองความตอ้ งการ 7. Comfort: C7 (ความสบาย) ส่วนประสมทางการตลาดถูกสร้างข้ึนโดยคานึงถึงความจาเป็น และความตอ้ งการ (need and want) ของตลาดส่วน ตา่ ง ๆ เพ่อื ใหบ้ รรลุถึงวตั ถุประสงคท์ างการตลาดของบริษทั และเพ่อื ตอบสนอง หรือสร้างความพึงพอใจ (satisfaction) ใหก้ บั ผบู้ ริโภคดว้ ย

ทฤษฎกี ลยุทธ์การตลาด (4Ps) กลยทุ ธ์การตลาด 4Ps เกิดจากหลกั แนวคิดท่ีวา่ ก่อนที่จะมาทาธุรกิจหรือการตลาด ควรท่ีจะตอ้ งมีความสนใจให้ ความสาคญั ในการกาหนดหวั เรื่องสาคญั ที่ธุรกิจควรนามาพจิ ารณาถึงความพร้อมและใชเ้ ป็ นแนวก่อนเริ่มดาเนินการทาง ธุรกิจ โดยไดใ้ ช้ P ซ่ึงเป็นตวั หนา้ ของเร่ืองที่สนใจคือ Product-Price-Promotion-Place โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. ผลิตภณั ฑ์ (Product) คือ สินคา้ บริการที่ธุรกิจสร้างข้ึนเพื่อตอบความตอ้ งการหรือท่ีจะส่งมอบใหแ้ ก่ลูกคา้ หรือ ผูบ้ ริโภค ตอ้ งคานึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและชดั เจน ดูวา่ กลุ่มลูกคา้ เป้าหมายเขาตอ้ งการอะไรบา้ งให้ใส่ใจใน รายละเอียดน้นั สินคา้ หรือการบริการท่ีมีแตกต่างอยา่ งไรทาให้ลูกคา้ เกิดความสะดุดตาสะดุดใจในรูปลกั ษณ์ รวมถึงการ ใชง้ าน ความทนทาน และความปลอดภยั ตลอดจนการสร้างความประทบั ใจใหแ้ ก่ลูกคา้ ทาให้ลูกคา้ เกิดความสนใจและ เลือกซ้ือสินคา้ หรือบริการของเรา และมีการบอกกนั ปากต่อปาก เป็นตน้ 2. ราคา (Price) คือ ราคาหรือสิ่งท่ีลูกคา้ ตอ้ งจ่ายเพ่ือแลกกบั การไดส้ ินคา้ และบริการ อาจจะไม่ใช่เพียงแค่เงิน เท่าน้นั อาจรวมถึงเวลาหรือการกระทาบางอยา่ ง ดงั น้นั การต้งั ราคาจึงตอ้ งให้เหมาะสม คานวณเร่ืองราคาตน้ ทุนกบั กาไร วา่ มีความคุม้ ค่าหรือไม่ มีกาไรมากนอ้ ยเพียงไร 3. สถานท่ี (Place) คือ ช่องทางที่ลูกคา้ จะสามารถเขา้ ถึงสินคา้ และบริการของเราไดเ้ ช่น ช่องทางการจดั จาหน่าย ช่องทางการใหบ้ ริการ รวมถึงทาเลในการจดั จาหน่ายสินคา้ และบริการใหแ้ ก่ลูกคา้ ควรจะตอ้ งมีความสะดวก ปลอดภยั มี ประสิทธิภาพ และเขา้ ถึงไดอ้ ย่างรวดเร็ว สามารถทาให้เกิดผลกาไรจากการกระจายสินคา้ ไปสู่กลุ่มลูกคา้ ให้ตรงกบั กลุ่มเป้าหมายมากท่ีสุด 4. การส่งเสริ มการตลาด (Promotion) คือ การสื่อสารการตลาดเพ่ือทาให้ธุรกิจสามารถสื่อสารไปยงั กลุ่มเป้าหมาย และนาไปสู่การโน้นน้าวให้กลุ่มเป้าหมายตดั สินใจซ้ือสินคา้ และบริการ นบั ว่าเป็ นหัวใจสาคัญของ การตลาด โดยในปัจจุบนั สามารถทาการโฆษณาในส่ือหลายรูปแบบ หรืออาจเป็ นการทากิจกรรมเพ่ือให้ลูกคา้ ไดม้ าร่วม เพอื่ จูงใจใหล้ ูกคา้ สนใจและอยากเลือกสินคา้ หรือบริการของเรา กลยทุ ธ์การตลาด 4Ps เป็นพ้ืนฐานใชท้ ี่ทุกธุรกิจตอ้ งเจอ โมเดลน้ีจะนาไปสู่การวเิ คราะห์เพอื่ ใหน้ กั การตลาดและผบู้ ริหาร สามารถใชป้ ระกอบเพ่อื แกไ้ ขปรับปรุงและพฒั นาการตลาดของตวั เองใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน

ทฤษฎพี ฤตกิ รรมผู้บริโภค (Buyer Behavior’s Model) การบริโภค (Consumption) หมายถึง มนุษยก์ ็เช่นเดียวกบั สัตวโ์ ลกโดยทว่ั ไป ท่ีมีความหิว และความตอ้ งการ แต่ มนุษยจ์ ะระงบั ความหิวและความตอ้ งการน้นั ดว้ ยการอุปโภคและบริโภคสินคา้ และบริการท่ีมนุษยน์ ้นั เองเป็นผผู้ ลิตข้ึน เราทราบว่าอุปสงค์หรือความตอ้ งการที่มีต่อสินคา้ และบริการมีได้ท้งั ที่เป็ นอุปสงค์ต่อสินคา้ และบริการข้นั สุดทา้ ย (final demand) และอุปสงคต์ ่อสินคา้ และบริการข้นั กลาง (intermediate demand) การบริโภคจดั เป็ นอุปสงคท์ ี่มี ต่อสินคา้ และบริการในข้นั สุดทา้ ย สินคา้ ดงั กล่าวเรียกวา่ สินคา้ บริโภค (consumer goods) ซ่ึงมีท้งั ที่เป็ นสินคา้ คงทน เช่น รถยนต์ ทีวี วทิ ยุ ฯลฯ และที่เป็นสินคา้ ไมค่ งทนหรือเสียง่าย เช่น เน้ือสัตว์ พชื ผกั ผลไม้ ฯลฯ ลกั ษณะทว่ั ไปของผู้บริโภค 1. สิ่งเร้า (stimuli) ในทางการตลาดน้นั เราแบ่งส่ิงเร้าออกเป็ น 2 ประเภท คือ ส่ิงเร้าทางการตลาดกบั ส่ิงแวดลอ้ ม อ่ืนๆทางการตลาด ที่มีอิทธิพลต่อการตดั สินใจและพฤติกรรมของผบู้ ริโภค -สิ่งเร้าทางการตลาด ไดแ้ ก่ ส่ิงท่ีเราเรียกวา่ ส่วนประสมทางการตลาดหรือ 4'Ps อนั ไดแ้ ก่ผลิตภณั ฑ์ ราคา ช่อง ทางการจดั จาหน่ายและการส่งเสริมการตลาดนนั่ เอง -ส่ิงแวดล้อมอ่ืนๆ ทางการตลาด ที่อยู่อยู่ล้อมรอบผูบ้ ริโภคได้แก่ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม การเมือง / กฎหมาย และวฒั นธรรม ซ่ึงมีอิทธิพลต่อการตดั สินใจของผบู้ ริโภค -ส่ิงเร้าเหล่าน้ีนับเป็ นตวั นาเขา้ หรือ input ท่ีจะเขา้ ไปยงั กล่องดาของผูบ้ ริโภค และส่งผลให้มีการตอบสนอง ออกมาเป็น output 2. กล่องดา (black box) คาคาน้ีเป็ นนามธรรม โดยสมมติว่ากล่องดาเป็ นที่รวมเอาปัจจยั ต่างๆ ท่ีว่าน้ีได้แก่ วฒั นธรรม สังคม ลกั ษณะ ส่วนบุคคล และลกั ษณะทางจิตวทิ ยาของผบู้ ริโภคแต่ละคนเอาไว้ นอกไปจากน้ีในกล่องดายงั มีกระบวนการตดั สินใจซ้ืออยู่อีกดว้ ย สิ่งเร้าเมื่อมาถึงกล่องดาจะถูกปัจจยั ต่าง ๆ ดงั กล่าวตกแต่งขดั เกลาแปรรูปออกมา เป็ นการตอบสนอง ถา้ การตอบสนองเป็ นไปในทางบวก กระบวนการตดั สินใจซ้ือทางาน จนกระทงั่ มีการซ้ือเกิดข้ึน ตามมา ถา้ ตอบสนองเป็นไปในทางลบ ผบู้ ริโภคคงไม่ลงมือซ้ือ 3. การตอบสนอง (response) เป็ นผลลพั ธ์จากอิทธิพลของปัจจยั และกลไกการทางานของกระบวนการตดั สินใจ ซ้ือที่อยใู่ นกล่องดาของผูบ้ ริโภค ถา้ การตอบสนองเป็ นไปในทางบวก จะสังเกตเห็นผูบ้ ริโภคไปเลือกผลิตภณั ฑท์ ี่จะซ้ือ เลือกตราผลิตภณั ฑท์ ี่จะซ้ือเลือกร้านคา้ ที่จะซ้ือ เลือกจงั หวะเวลาที่จะซ้ือ และเลือกจานวนท่ีจะซ้ือ เป็นตน้

ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อการบริโภคและผลของการบริโภค ปัจจัยทางวฒั นธรรม (cultural factors) เป็ นปัจจัยท่ีอิทธิพลออกท่ีกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ กวา้ งขวางที่สุด ลึกล้าท่ีสุด ซ่ึงแบ่งยอ่ ยออกเป็ นวฒั นธรรมหลกั (core culture) แลว้ ก็อนุวฒั นธรรม (subculture) และช้นั ทางสงั คม (social class) วฒั นธรรมหลกั เป็นสิ่งท่ีมีอยใู่ นทุกกลุ่มหรือในทุกสังคมของมนุษย์ และเป็นตวั ก่อใหเ้ กิดค่านิยม การรับรู้ ความ อยากได้ ไปจนถึงพฤติกรรมของมนุษย์ สิ่งเหล่าน้ีเม่ือเกิดข้ึนแล้วก็ถ่ายทอดให้แก่กนั และกนั มา และดว้ ยเหตุที่แต่ละ สังคมก็มีวฒั นธรรมหลกั เป็นของตนเอง ผลก็คือพฤติกรรมการซ้ือของมนุษยใ์ นแตล่ ะสังคมกจ็ ะผดิ แผกแตกตา่ งกนั ไป อนุวฒั นธรรม หมายถึง วฒั นธรรมของคนกลุ่มย่อยที่รวมกนั เขา้ เป็ นสังคมกลุ่มใหญ่ จาแนกอนุวฒั นธรรม ออกเป็น 4 ลกั ษณะ คือ 1. อนุวฒั นธรรมทางเช้ือชาติ (ethnic subculture) 2. อนุวฒั นธรรมตามทอ้ งถิ่น (regional subculture) 3. อนุวฒั นธรรมทางอายุ (age subculture) 4. อนุวฒั นธรรมทางอาชีพ (occupational subculture) ช้นั ทางสังคม หมายถึง คนจานวนหน่ึงท่ีมีรายได้ อาชีพ การศึกษา หรือชาติตระกูลอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือหลาย อยา่ งเหมือนกนั ช้ันทางสังคมของผู้บริโภคทอี่ ยู่ในสังคมเมื่อแบ่งออกแล้วจะมลี กั ษณะ ดงั นี้ ผูบ้ ริโภคท่ีอยใู่ นช้นั เดียวกนั มีแนวโนม้ ท่ีจะมีพฤติกรรมเหมือนกนั สถานภาพของผูบ้ ริโภคจะสูงหรือต่า ส่วนหน่ึงข้ึนอยู่ กบั วา่ จะถูกจดั กลุ่มอยูใ่ นช้นั ทางสังคมระดบั ใดช้นั ทางสังคมของผูบ้ ริโภคถูกจดั กลุ่มและลาดบั ความสูงต่าโดยตวั แปร หลายตวั เช่น อาชีพ รายได้ ความมง่ั คงั่ ร่ารวย การศึกษา และคา่ นิยม เป็นตน้ ปัจจยั ทางสงั คม (social factors) ปัจจยั ทางสงั คมท่ีส่งอิทธิพลตอ่ กระบวนการตดั สินใจของผบู้ ริโภคมีมากมาย เช่น กลุ่ม อา้ งอิง ครอบครัว บทบาทและสถานภาพในสังคม เป็นตน้

กลุ่มอ้างอิง (reference group) กลุ่มอา้ งอิงของผูบ้ ริโภคคนใด หมายถึง กลุ่มบุคคลซ่ึงผูบ้ ริโภคคนน้ัน ยึดถือ หรือไม่ยดึ ถือเอาเป็ นแบบอยา่ งในการบริโภคหรือไม่บริโภคตาม โดยท่ีผบู้ ริโภคคนน้นั จะเป็ นสมาชิกของกลุ่มหรือไม่ก็ ได้ ครอบครัว (family) สมาชิกในครอบครัวหน่ึง ๆ ประกอบดว้ ยพ่อแม่ และลูก สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวมี อิทธิพลอยา่ งสาคญั ในพฤติกรรมการซ้ือของผูบ้ ริโภค และยงั มีผลการวิจยั ท่ียืนยนั ว่าครอบครัวเป็ นองค์กรซ้ือที่สาคญั ที่สุดในสังคม บทบาทและสถานภาพของบุคคล (role and status) สถานภาพ หมายถึง ฐานะ ตาแหน่งหรือเกียรติยศของบุคคล ท่ีปรากฏในสังคม ส่วน บทบาท หมายถึง การทาตามหน้าที่ท่ีสังคมกาหนดไว้ ในฐานะท่ีเป็ นสมาชิกของสังคมหลาย หน่วย บุคคลทุกคนย่อมมีสถานภาพไดห้ ลายอย่าง มากบา้ งน้อยบา้ ง เช่น เป็ นพ่อ เป็ นแม่ เป็ นลูก เป็ นรัฐมนตรี เป็ น นกั การเมือง เป็นปลดั กระทรวง เป็นนายตารวจ เป็นนายธนาคาร เป็นนกั ศึกษา ฯลฯ สถานภาพเป็นสิ่งท่ีสมาชิกในสังคม หน่ึง ๆ กาหนดข้ึนเป็นบรรทดั ฐานสาหรับกระจายอานาจ หนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบ และสิทธิต่าง ๆ ใหแ้ ก่สมาชิก ปัจจัยส่วนบุคคล (personal factors) ปัจจยั ส่วนบุคคลท่ีส่งอิทธิพลต่อกระบวนการตดั สินใจของผูบ้ ริโภคที่ สาคญั ๆ ไดแ้ ก่ อายุ วฏั จกั รชีวติ ครอบครัว อาชีพ รายได้ รูปแบบการดาเนินชีวติ บุคลิกภาพและมโนทศั น์ที่มีตอ่ ตนเอง อายุ (age) พฤติกรรมการตดั สินใจซ้ือหรือตดั สินใจบริโภคของบุคคลย่อมแปรเปล่ียนไปตามระยะเวลาท่ียงั มี ชีวิตอยู่ ขณะอยูใ่ นวยั ทารกหรือวยั เด็ก พ่อแม่จะเป็ นผูต้ ดั สินใจซ้ือผลิตภณั ฑ์มาให้บริโภคเกือบท้งั หมด เม่ืออยูใ่ นวยั รุ่น บุคคลจะตดั สินใจซ้ือผลิตภณั ฑด์ ว้ นตนเองในบางอยา่ ง วฏั จักรชีวิตครอบครัว (family life cycle) หมายถึง รอบแห่งชีวติ ครอบครัว นบั ต้งั แต่การเริ่มตน้ ชีวิตครอบครัว ไปจบลงท่ีการสิ้นสุดชีวิตครอบครัว แต่ละช่วงของวฏั จกั รชีวิตครอบครัวผูบ้ ริโภคจะมีรูปแบบและพฤติกรรมการซ้ือที่ แตกต่างกนั ออกไปวฏั จกั รชีวติ ครอบครัวของบุคคลแบ่งออกเป็น 5 ข้นั ตอนใหญ่ ๆ คือ1. ระยะท่ียังเป็ นหนุ่มสาวและ โสดแยกตวั จากบิดามารดามาอยอู่ ยา่ งอิสระ 2. ระยะท่ีกา้ วเขา้ สู่ชีวติ ครอบครัว 3. ระยะที่ก่อกาเนิดและเล้ียงดูบุตร 4. ระยะที่บุตรแยกออกไปต้งั ครอบครัวใหม่ 5. ระยะสิ้นสุดชีวติ ครอบครัว อาชีพ (Occupation) อาชีพของบุคคลจะมีลกั ษณะเฉพาะบางประการที่ทาให้ตอ้ งบริโภคผลิตภณั ฑ์แตกต่างไป จากผปู้ ระกอบอาชีพอ่ืน ๆ เช่น นกั ธุรกิจท่ีตอ้ งใชค้ วามคิดอยตู่ ลอดเวลา หากขบั รถดว้ ยตนเองอาจเกิดอุบตั ิเหตุไดง้ ่าย ทา ใหต้ อ้ งบริโภคบริการของพนกั งานขบั รถ พนกั งานส่งเอกสารตอ้ งการความคล่องตวั ในการปฏิบตั ิงานหากใชร้ ถยนตย์ อ่ ม บงั เกิดความล่าชา้ เพราะการจราจรติดขดั จึงตอ้ งบริโภครถจกั รยานยนต์ เป็นตน้

รายได้ส่วนบุคคล (Personal income) รายไดส้ ่วนบุคคลของผูบ้ ริโภคท่ีมีอิทธิพลต่อกระบวนการตดั สินใจซ้ือ หรือไม่ซ้ือ ไดแ้ ก่ รายไดส้ ่วนบุคคลที่ถูกหกั ภาษีแลว้ (Disposable income) หลงั จากถูกหกั ภาษี ผบู้ ริโภคจะนาเอารายได้ ส่วนหน่ึงไปเก็บออมไวแ้ ละอีกส่วนหน่ึงไปซ้ือผลิตภณั ฑ์อนั จาเป็ นแก่การครองชีพเรียกว่า Disposable income และ รายไดส้ ่วนน้ีนี่เองที่ผบู้ ริโภคจะนาไปซ้ือสินคา้ ประเภทฟ่ ุมเฟื อย รูปแบบการดาเนินชีวติ (life styles) รูปแบบการดาเนินชีวิตของบุคคลใด หมายถึง พฤติกรรมการใชช้ ีวติ ใชเ้ งิน และใชเ้ วลา ของบุคคลคนน้นั ซ่ึงแสดงออกมาให้ปรากฏซ้า ๆ กนั ในสี่มิติต่อไปน้ี คือ มิติทางดา้ นลกั ษณะประชากรที่ ประกอบกนั เขา้ เป็ นตวั คนคนน้นั (demographics) กิจกรรมท่ีเขาเขา้ ไปมีส่วนร่วม (activities) ความสนใจที่เขามีต่อสิ่งใด ส่ิงหน่ึง (interest) และความคิดเห็นท่ีเขามีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง (opinion) มิติท้ัง 3 อย่างหลังน้ี มักนิยมรียกว่า AIO Demographics ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา (Psychological factors) ท่ีส่งอิทธิพลต่อกระบวนการตดั สินใจซ้ือของผูบ้ ริโภคไดแ้ ก่ การจูงใจ (motivation) การรับรู้ (perception) การเรียนรู้ (learning) ความเช่ือและทศั นคติ (beliefs and attitudes) การจูงใจ โดยทั่วไป หมายถึง การชกั นาหรือการเกล้ียกล่อมเพ่ือใหบ้ ุคคลเห็นคลอ้ ยตาม สิ่งที่ใชช้ กั นาหรือเกล้ีย กล่อมเรียกว่าแรงจูงใจ (Motive) ซ่ึงหมายถึงพลงั ท่ีมีอยู่ในตวั บุคคลแล้ว และพร้อมที่จะกระตุน้ หรือช้ีทางให้บุคคล กระทาการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายของบุคคลน้นั การรับรู้ หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลเลือกรับเอาสารสนเทศหรือส่ิงเร้าเขา้ มาจดั ระเบียบและทาความเขา้ ใจ โดยอาศยั ประสบการณ์เป็ นเครื่องมือ จากน้นั จึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง การท่ีผูบ้ ริโภคสองคนไดร้ ับสิ่งเร้าอย่างเดียวกนั และตกอยภู่ ายใตส้ ถานการณ์เดียวกนั แตม่ ีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างกนั เป็นเพราะการรับรู้นี่เอง นกั การตลาดพงึ เขา้ ใจ ว่าในชีวิตประจาวนั ของผูบ้ ริโภคจะตกอยู่ท่ามกลางสิ่งเร้ามากมาย และผูบ้ ริโภคสามารถจะเลือกรับได้ สามารถจะ บิดเบือนได้ และสามารถที่จะเลือกจดจาเอาไวไ้ ด้ การส่งส่ิงเร้า (เช่น การโฆษณา) ออกไป จึงตอ้ งโดดเด่น ชดั เจน และจา ง่าย จึงจะทาใหผ้ บู้ ริโภคมีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทางท่ีประสงค์ การเรียนรู้ หมายถึง การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอนั เป็ นผลมาจากการไดม้ ีประสบการณ์ ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางออ้ มผบู้ ริโภคหากมีประสบการณ์มาแลว้ วา่ ผลิตภณั ฑใ์ ดสามารถตอบสนองความตอ้ งการหรือสร้างความพอใจ ให้แก่ความอยากไดข้ องเขาไดด้ ี เมื่อตกอยูใ่ นภาวะที่ความตอ้ งการหรือความอยากไดอ้ ยา่ งเดิมแสดงอิทธิพลออกมาอีก ผบู้ ริโภคจะซ้ือผลิตภณั ฑเ์ ดิมไปบริโภคอีก ความเช่ือและทศั นคติ ความเชื่อเป็ นลกั ษณะที่แสดงถึงความรู้สึกนึกคิดที่จะเป็ นไปได้ อนั เป็ นจุดมุ่งหมายท่ีมี ลกั ษณะเฉพาะ ซ่ึงจะเป็นความจริงหรือไมจ่ ริงก็ได้ ความเชื่อน้ีอาจเกิดจากความรู้ ความคิดเห็น หรือศรัทธา ก็ได้ และอาจ มีอารมณ์ความรู้สึก หรือความสะเทือนใจ เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งหรือไม่ก็ได ความเช่ือ เป็นตวั ก่อใหเ้ กิดจินตภาพของผลิตภณั ฑข์ ้ึนในหมู่ผบู้ ริโภค ถา้ หากปรากฏวา่ ผบู้ ริโภคมีความเชื่อผดิ ๆ เกี่ยวกบั ผลิตภณั ฑ์ ยอ่ มเป็นหนา้ ที่ของนกั การตลาดท่ีจะตอ้ งทาการรณรงคเ์ พ่อื แกไ้ ขความเชื่อใหถ้ ูกตอ้ งดว้ ยกลวธิ ีต่างๆ

ทัศนคติ หมายถึง ความคิด ความเขา้ ใจ ความคิดเห็น ความรู้สึก และท่าทีของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง ซ่ึงมี อิทธิพลต่อการแสดงออกของบุคคลน้นั โดยอาจแสดงออกในทางเห็นดว้ ยหรือไม่เห็นดว้ ยก็ได้ ทศั นคติที่บุคคลมีต่อส่ิง ใดส่ิงหน่ึงน้นั มีธรรมชาติที่ค่อนขา้ งเปลี่ยนแปลงยาก แทนที่จะเปล่ียนทศั นคติ นกั การตลาดจึงควรใชว้ ธิ ีปรับขอ้ เสนอให้ สอดคลอ้ งกบั ทศั นคติ ผลทเี่ กดิ จากการบริโภค การรับประทานอหารน้นั ถา้ รับประทานไม่ถูกตอ้ งตามหลกั โภชนาการก็จะ ทาให้ร่างกายไม่ไดร้ ับประโยชน์ อยา่ งเตม็ ท่ี และบางคร้ังยงั อาจเป็นอนั ตรายหรือทา ใหเ้ ป็นโรคไดอ้ ีกดว้ ย การเกิดโรคตา่ งๆจากการรับประทานอาหารไม่ ถูกตอ้ งน้ี เป็ น ไปไดห้ ลายสาเหตุ ไดแ้ ก่สาเหตุจากการรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารไม่เพียงพอ ต่อความตอ้ งการ ของร่างกาย ผลดี อาหารสุขภาพ ช่วยดารงส่งเสริมสุขภาพและลดความเส่ียงของการเกิดโรค สามารถรับประทานไดใ้ นคนปกติ รวมท้งั คนป่ วย เพราะอาจลดความเส่ียงในโรคท่ีอาจจะเกิดร่วมข้ึนหรือป้องกนั โรคแทรกซ้อนท่ีจะตามมาหรือทาให้ สุขภาพดีข้ึน ได้ประโยชน์มากข้ึนกว่าผูท้ ่ีไม่ได้รับประทานอาหารสุขภาพทุกชนิดของกิฟฟารี นมีงานวิจัยถึง คุณประโยชน์อยา่ งชดั เจนและสามารถแนะนาไดใ้ นหลายโรคดว้ ยกนั เช่นเพ่ิมภูมิคุม้ กนั โรคเพมิ่ ศกั ยภาพใหร้ ะบบต่อตา้ น อนุมูลอิสระ(Antioxidant) ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเเละหลอดเลือด ลดความเส่ียงต่อโรคลมปัจจุบนั ลดความเสี่ยงต่อการเป็ น มะเร็ง ลดความเส่ียงต่อการเป็ นโรคขอ้ ต่ออกั เสบ ความเส่ือมเฉพาะจุด เเละโรคตอ้ กระจกลดความเส่ียงต่อการเป็นอลั ไซ เมอร์ พากินสัน โรคหืดหอบ โรคปอด เเละโรคท่ีเกิดจากความเส่ือมชนิดเร้ือรังอ่ืนๆพฒั นาการรักษาโรคท่ีเกิดจากความ เสื่อมเร้ือรังอยา่ งมีประสิทธิภาพ ผลเสีย การกินมากไปก็ทาใหเ้ ป็นทุกขลาภแห่งลาไส้ ซ่ึงอาการจดั หนกั จากการกินมากเกินไปในแต่ละม้ือโดยเฉพาะบุฟ เฟ่ ตแ์ ละท่านที่ชอบกินจนอิ่มมาถึงคอหอยก่อใหเ้ กิดลาภลอยไดโ้ รคดงั ต่อไปน้ี เร่ิมต้งั แต่ 'หิวไว' คนกินหนกั จะหิวไวใน ม้ือต่อไปครับ เพราะกระเพาะลาไส้ตอ้ งทางานหนกั ในการยอ่ ยม้ือใหญ่ และน้าตาลในเลือดก็จะลดไวทาให้เกิดอาการ น้าตาลต่าหิวไวง่ายข้ึน กินมากๆ ยงั ทา 'ไส้พงั ' เคร่ืองในก็เหมือนเคร่ืองรถที่ไม่ไดง้ ดเวน้ งานบา้ งก็จะเสื่อมเร็ว อาหารท่ี เขา้ ไปมากทาใหล้ าไส้เกิดปัญหา \"ร่ัว” ได้ และจากการบีบตวั ไม่ไดพ้ กั ก็ทาให้ \"กรดไหลยอ้ น” มาถามหาไดเ้ หมือนกนั อาหารลน้ ทอ้ งพลอยจะเจอ 'ตาต้งั ' ถา้ ไม่ระวงั กินจนอ่ิมจดั จะทาให้เกิดอาการ \"ตื่นตา” นอนไม่หลบั เพราะลาไส้ไม่ไดพ้ กั และเกิดการแน่นอึดอดั ทอ้ งจากแก็สในอาหารท่ีหมกั กนั จนพุงหลามไดเ้ หมือนถงั เบียร์ กินจุคงเล่ียง 'นง่ั อว้ น' ไดย้ าก ซ่ึง ตรงมาและตรงไปในบริบทของผูร้ ักบริโภค ยิ่งกินม้ือหนกั อย่างบุฟเฟ่ ตม์ ากเท่าไรก็ยิ่งไดแ้ คลอรีส่วนเกินท่ีลดยากข้ึน

เท่าน้นั เพราะการกินหนกั เป็ นบางม้ือทาให้ร่างกายเครียดและตบั พงั มีการหลง่ั ฮอร์โมนมารออกมาเพ่ือเก็บไขมนั ไวใ้ ห้ มากข้ึนเพม่ิ พนู น้าหนกั อยา่ งรวดเร็ว ท้งั ยงั 'ชวนหงุดหงิด' ชีวติ แห่งการกินจะไมม่ ีวนั สงบสุขดว้ ยอารมณ์ท่ีทุกขข์ ้ึนลงจาก ลิ้นท่ียดึ รสเป็นสรณะ จะวา่ คนอว้ นอารมณ์ดีน้นั กถ็ ูก แตค่ นกินเก่งน้นั ยากที่จะหาพ้นื อารมณ์ที่แน่นมนั่ คงไดเ้ พราะเคมีใน กายตอ้ งมีการเปลี่ยนแปลงทุกคร้ังท่ีอาหารเขา้ ปากและหน่ึงในเคมีท่ีวา่ คือ \"เคมีแห่งอารมณ์” และสุดทา้ ย 'คิดไมอ่ อก' คน กินอิ่มจดั ไปทาให้ \"หวั ไม่แล่น” ครับ หน่ึงคือจากเลือดพากนั ไปเล้ียงไส้เสียมากกบั สองคือจาก \"โกร๊ทฮอร์โมน” ไมห่ ลง่ั ทาให้ไม่มีพลงั ท้งั แรงกายและแรงใจที่ใชค้ ิด ถา้ อยากมีสมองท่ีแจ่มใสข้ึนขอให้กินแบบ \"หิวนิดๆ” ครับเป็ นการสงวน ความคิดไวไ้ ม่ใหจ้ มไปกบั ม้ือหนกั หมด การกินเยอะสิ่งแลว้ ยงั ฟี เจอริ่งดว้ ยของหวานอีกก็ถือเป็นอนนั ตริยกรรมแห่งการ บริโภคเหมือนกนั อยา่ สาคญั ตวั ผิดวา่ เป็ นชูชกอยูเ่ พื่อกินหรือถือคติวา่ ทอ้ งแตกดีกวา่ ของเหลือเพราะเมื่อถึงเวลาป่ วยแลว้ จะตา้ นไม่อยูโ่ รคจู่โจมแบบไม่ติดเบรค เพราะเคร่ืองยนต์กายเราไม่ไดท้ าไวใ้ ห้ \"กินจนลน้ ” หากแต่สร้างไวอ้ ย่างพอดี สาหรับให้กินอิ่มพอดีจนถึงวา่ \"หิวนิดๆ” ก็ยงั อยูไ่ ดด้ ว้ ยมีระบบทดพลงั งานไวใ้ ห้ใชย้ ามจาเป็ น เห็นไดจ้ ากยามอดที่จะ เกิดอาการง่วงซึมเพื่อจะไดล้ ดการใชแ้ รงลง แต่ในทางตรงขา้ มยามอ่ิมลน้ เป่ี ยมสุขร่างกายก็จะเกิดการง่วงเหมือนกนั แต่ เป็นการง่วงแบบกะปลกกะเปล้ียท่ีเกิดจากอวยั วะภายในทางานอยา่ งหนกั แลว้ ก็มกั \"ไดเ้ ร่ือง” ตามมา ทฤษฎพี ฤติกรรมของผู้บริโภค พฤติกรรมผูบ้ ริโภค เป็ นการศึกษาปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองคก์ าร และกระบวนการท่ีพวกเขาเหล่าน้นั ใช้ เลือกสรร รักษา และกาจดั ส่ิงท่ีเก่ียวกบั ผลิตภณั ฑ์ บริการ ประสบการณ์ หรือแนวคิด เพื่อสนองความตอ้ งการและ ผลกระทบท่ีกระบวนการเหล่าน้ีมีตอ่ ผบู้ ริโภคและสังคมพฤติกรรมผบู้ ริโภคเป็นการสมผสานจิตวทิ ยา สังคมวทิ ยา มานุษยวทิ ยาสังคม และเศรษฐศาสตร์ เพือ่ พยายามทาความเขา้ ใจกระบวนการการตดั สินของผซู้ ้ือ ท้งั ปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคล พฤติกรรมผูบ้ ริโภคศึกษาลกั ษณะเฉพาะของผูบ้ ริโภคปัจเจกชน อาทิ ลกั ษณะ ทางประชากรศาสตร์และตวั แปรเชิงพฤติกรรม เพ่ือพยายามทาความเขา้ ใจความตอ้ งการของประชาชน พฤติกรรม ผบู้ ริโภคโดยทวั่ ไปก็ยงั พยายามประเมินส่ิงท่ีมีอิทธิพลต่อผบู้ ริโภคโดยกลุ่มบุคคลเช่นครอบครัว มิตรสหาย กลุ่มอา้ งอิง และสังคมแวดล้อมด้วยพฤติกรรมของผูบ้ ริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การแสดงออกของแต่ละบุคคลท่ี เก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั การใชส้ ินคา้ และบริกรทางเศรษฐกิจ รวมท้งั กระบวนการในการตดั สินใจท่ีมีผลต่อการแสดงออก พฤตกิ รรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง พฤติกรรมซ่ึงผบู้ ริโภคทาการคน้ หา การซ้ือ การใช้ การประเมินผล การใชส้ อยผลิตภณั ฑ์ และการบริการ ซ่ึงคาดว่าจะสนองความตอ้ งการของเขา (Schiffman and Kanuk, 1994) Engel และผูร้ ่วมงาน (1968) ให้ความหมายของพฤติกรรมผูบ้ ริโภคว่า เป็ นการกระทาของบุคคลที่เก่ียวขอ้ ง โดยตรงกบั การได้รับและการใช้สินค้าและบริการ รวมไปถึงกระบวนการตัดสินใจที่มีอยู่ก่อนและมีส่วนในการ กาหนดใหม้ ีการกระทาดงั กล่าว

ชิฟแมน และคะนุค (Schiffman and Kanuk, 1987) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมของผูบ้ ริโภคไวว้ ่าเป็ น พฤติกรรมที่ผูบ้ ริโภคแสดงออกไม่ว่าจะเป็ นการเสาะหา ซ้ือ ใช้ ประเมินผล หรือการบริโภคผลิตภณั ฑ์ บริการ และ แนวคิดต่าง ๆ ซ่ึงผบู้ ริโภคคาดวา่ จะสามารถตอบสนองความตอ้ งการของตนไดเ้ ป็ นการศึกษาการตดั สินใจของผูบ้ ริโภค ในการใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่ ท้งั เงิน เวลา และกาลงั เพอื่ บริโภคสินคา้ และบริการต่าง ๆ อนั ประกอบดว้ ย ซ้ืออะไร ทาไมจึง ซ้ือ ซ้ือเมื่อไร อยา่ งไร ท่ีไหน และบ่อยแคไ่ หน แองเจิล คอลแลต และแบลคเวลล์ (Engel Kollat and Blackwell, 1968) ไดใ้ หค้ วามหมายของพฤติกรรมผบู้ ริโภค วา่ หมายถึง การกระทาของบุคคลใดบุคคลหน่ึงซ่ึงเกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั การจดั หาใหไ้ ดม้ าและการใชซ้ ่ึงสินคา้ และบริการ ท้งั น้ีหมายรวมถึง กระบวนการตดั สินใจซ่ึงมีมาอยกู่ ่อนแลว้ และซ่ึงมีส่วนในการกาหนดใหม้ ีการกระทาดงั กล่าว ศิริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ (2541: 124 – 125) อา้ งอิงจาก Kotler, Philip. (1999). Marketing Management ไดใ้ ห้ ความหมายของพฤติกรรมผบู้ ริโภค (Consumer behavior) หมายถึง การกระทาของบุคคลใดบุคคลหน่ึงเกี่ยวขอ้ งโดยตรง กบั การจดั หาใหไ้ ดม้ าแลว้ ซ่ึงการใชส้ ินคา้ และบริการ ท้งั น้ีหมายรวมถึง กระบวนการตดั สินใจ และการกระทาของบุคคล ที่เกี่ยวกบั การซ้ือและการใชส้ ินคา้ กล่าวโดยสรุปว่าพฤติกรรมของผูบ้ ริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การแสดงออกของแต่ละบุคคลที่ เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้สินคา้ และบริการทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงกระบวนการในการตดั สินใจที่มีผลต่อการ แสดงออกของแตล่ ะบุคคล ซ่ึงมีความแตกต่างกนั ออกไป

บทท3่ี วธิ กี ารดาเนินโครงการ การดาเนินโครงการ ขนมปังปลิ้น ออนไลน์ ในคร้ังน้ี มีวธิ ีการและข้นั ตอน การดาเนินงานสามารถอธิบาย รายละเอียดได้ ดงั น้ี ข้นั ตอนการดาเนินโครงการ ข้นั เตรียม 1. ศึกษาสินคา้ 2. ประเภทสินคา้ 3. แหล่งที่มาของสินคา้ ข้นั ตอนการดาเนินโครงการ 1. เพอ่ื สร้างการขาย 2. เพ่อื ส่งเสริมการขาย 3. เพื่อฝึกทกั ษะการเป็นพนกั งานขาย ข้นั ตอนสรุปผล 1. ใหร้ สชาติท่ีอร่อยแก่ผทู้ ี่รับประทาน 2. ใหร้ ายไดเ้ สริมแก่ผจู้ ดั ทาโครงการและผทู้ ี่ขายขนมปังปลิ้น สถานทดี่ าเนินโครงการ ขายออนไลน์,วทิ ยาลยั เทคโนโลยบี ุญถาวร ขอบเขตด้านประชากร วเิ คราะห์ลูกคา้ ขายออนไลน์ ลูกคา้ รอง -

ขอบเขตด้านการตลาด วเิ คราะห์กลยุทธ์ด้านผลติ ภณั ฑ์น้ัน กลยทุ ธ์ผลิตภณั ฑน์ ้นั จะเก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการตดั สินใจเก่ียวกบั 1. คุณสมบตั ิผลิตภณั ฑ์ ( Product attribute ) 2. ส่วนประสมผลิตภณั ฑ์ ( Product mix ) 3. สายผลิตภณั ฑ์ ( Product lines ) สิ่งท่ีตอ้ งพจิ ารณาเก่ียวกบั ผลิตภณั ฑ์ 1. แนวความคิดดา้ นผลิตภณั ฑ์ ( Product Concept ) เป็นคุณสมบตั ิท่ีสาคญั ของผลิตภณั ฑท์ ี่สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริโภค Product ได้ ตอ้ งมีความชดั เจนใน ตวั ผลิตภณั ฑ์น้นั ๆ 2. คุณสมบตั ิผลิตภณั ฑ์ ( Product attribute ) จะตอ้ งทราบวา่ ผลิตภณั ฑน์ ้นั ผลิตมาจากอะไร มีคุณสมบตั ิอยา่ งไร ลกั ษณะทางกายภาพ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ขนาด ความดี ความงาม ความคงทนทานดา้ นรูปร่าง รูปแบบของผลิตภณั ฑท์ ่ีมีอยู่ ในตวั ของมนั เอง 3. ลกั ษณะเด่นของสินคา้ ( Product Feature ) การนาสินคา้ ของบริษทั ไปเปรียบเทียบกบั สินคา้ ของคู่แข่งขนั แลว้ มีคุณสมบตั ิแตกต่างกนั และจะตอ้ งรู้วา่ สินคา้ เรามีอะไรเด่นกวา่ เช่น ลกั ษณะเด่นของ Dior คือ เป็ นผลิตภณั ฑช์ ้นั นาจาก ปารีส 4. ประโยชน์ของผลิตภณั ฑ์ ( Product Benefit ) พจิ ารณาสินคา้ มีลกั ษณะเด่นอยา่ งไรบา้ งและสินคา้ ให้ ประโยชน์อะไรกบั ลูกคา้ บา้ ง ระหวา่ งการใหส้ ัญญากบั ลูกคา้ กบั การพิสูจน์ดว้ ยลกั ษณะเด่นของสินคา้

วเิ คราะห์กลยทุ ธ์ด้านการกาหนดราคา เป็นการกาหนดวา่ เราจะต้งั ราคาแบบใด กลยทุ ธ์ราคาสูงหรือราคาต่า ส่ิงที่จะตอ้ งตระหนกั คือ ราคาที่ได้ กาหนดไวน้ ้นั เหมาะสมในการแขง่ ขนั หรือสอดคลอ้ งกบั ตาแหน่งผลิตภณั ฑข์ องสินคา้ น้นั หรือไม่ กลยุทธ์ด้านราคา ( Price strategy ) ในการกาหนดกลยุทธ์ดา้ นราคามีประเดน็ สาคญั ที่จะตอ้ งพจิ ารณา ดงั น้ี 1. ต้งั ราคาตามตลาด ( On going price ) หรือต้งั ราคาตามความพอใจ ( Leading price ) 1.1 ต้งั ราคาตามตลาด ( On going price ) เหมาะสาหรับสินคา้ ที่สร้างความแตกต่างไดย้ ากจึงไม่สามารถ จะต้งั ราคาใหแ้ ตกต่างจากตลาดคูแ่ ขง่ ขนั ได้ นนั่ คือ การต้งั ราคาตามคู่แข่ง 1.2 ต้งั ราคาตามความพอใจ ( Leading price ) เป็ นการต้งั ราคาตามความพอใจ โดยไม่คานึงถึงคูแ่ ข่วง ขนั เหมาะสาหรับผลิตภณั ฑท์ ่ีมีความแตกต่างในตราสินคา้ สินคา้ ท่ีมมีเอกลกั ษณ์ส่วนตวั มีภาพพจน์ที่ดี จะต้งั ราคา เท่าไหร่ก็ไดไ้ ม่มีใครเปรียบเทียบ 2. สินค้าจะออกเป็ นแบบราคาสูง ( Premium price) เมื่อแน่ใจในคุณภาพท่ีเหนือกวา่ และการยอมรับในราคา ของลูกคา้ หรือราคามาตารฐาน ( Standard ) เม่ือใชก้ ารต้งั ราคาโดยพจิ ารณาจากราคาของคูแ่ ข่งขนั หรือตราสินคา้ เพื่อการ แข่งขนั ( Fighting brand ) เป็ นสินคา้ ดอ้ ยคุณภาพกวา่ คู่แข่งขนั เล็กนอ้ ย จะลงตลาดล่าง 3. การต้งั ราคาเท่ากนั หมด ( One pricing ) คือ สินคา้ หลายอยา่ งท่ีราคาติดอยบู่ นกล่อง หมายถึง ไม่วา่ จะขาย อยทู่ ่ีใดฤดูหนาวหรือฤดูร้อนราคากเ็ ท่ากนั หมด หรือราคาแตกตา่ ง ขอ้ ดี คือ สามมารถเรียกราคาไดห้ ลายราคา แต่ขอ้ เสีย คือเราตอ้ งหาเหตุผลในการต้งั ราคราหลายอยา่ ง เพอ่ื ใหค้ นยอมรับได้ 4. การขยายสายผลติ ภณั ฑ์ ( Line extension ) ในกรณีน้ีการนาเสนอสินคา้ เริ่มตน้ ดว้ ยราคาหน่ึง แลว้ มีกล ยทุ ธ์เผยแพร่ความนิยมไปยงั ตลาดบน หรือตลาดล่าง 5. การขยบั ซื้อสูงขนึ้ ( Trading up ) เป็นการปรับราคาสูงข้ึนทาใหไ้ ดก้ าไรมากข้ึน จึงพยายามขายให้ ปริมาณมากข้ึนหรือการขยบั ซ้ือต่าลง ( Trading down ) เป็ นการผลิตสินคา้ ที่มีราคาแพงใหม้ ีคุณภาพกวา่ สินคา้ ที่ราคาถูก เลก็ นอ้ ยแต่ต้งั ราคาสูงกวา่ เพ่ือใหค้ นซ้ือสินคา้ ที่รองลงมา 6. การใช้กลยุทธ์ด้านขนาด ( Size ) คือ ไมท่ าขนาดเทา่ กบั ผผู้ ลิตรายอื่นๆ

วเิ คราะห์กลยทุ ธ์ด้านการจดั จาหน่าย กลยทุ ธ์ช่องทางการจัด จาหน่าย ( Place Strategy ) วธิ ีการจดั จาหน่าย จะตอ้ งพจิ ารณาถึง 1. ช่องทางการจัดจาหน่าย ( Channel of distribution ) เป็ นเส้นทางที่สินคา้ เคล่ือนยา้ ยจากผผู้ ลิต หรือผขู้ ายไป ยงั ผบู้ ริโภคหรือผใู้ ช้ ซ่ึงอาจจะผา่ นคนกลาง หรือไมฝ่ ่ ายคนกลางก็ได้ 2. ประเภทของร้านค้า ( Outlets ) ในทุกวนั น้ีจะพบไดว้ า่ ววิ ฒั นาการของการจดั จาหน่ายน้นั เป็ นสิ่งท่ี เจริญเติบโตรวดเร็วมากประเภทของร้านคา้ มีมากมายจนแทบจะตามไมท่ นั จะขอเรียงลาดบั ประเภทของร้านคา้ จากใหม่ ไปร้านคา้ ขนาดเล็ก (1) ร้านคา้ ส่ง ( Wholesale store ) เป็นร้านคา้ ที่ขายสินคา้ ในปริมาณมาก ลูกคา้ ส่วนใหญ่เป็ นคนกลาง (2) ร้านคา้ ขายของถูก ( Discount store ) เป็ นร้านคา้ ท่ีขายสินคา้ ราคาพิเศษ (3) ร้านหา้ งสรรพสินคา้ ( Department store ) (4) ซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยเู่ ด่ียวๆ ( Stand alone supermarket ) เป็ นร้านท่ีมีทาเลเดี่ยวๆ ไม่ติดกบั ร้านคา้ ใดๆ (5) ชอ้ ปปิ้ งชุมชน ( Community mall ) เป็นร้านคา้ ที่อยใู่ นยา่ นชุมชน (6) Minimart จะเห็นไดจ้ ากร้านคา้ เลก็ ๆ ตามตึกอากาคารสูงๆในโรงพยาบาล ซ่ึงต้งั ฮว่ั เส็งเร่ิมบุก ตลาด Minimart พอสมควร (7) ร้านคา้ สะดวกซ้ือ ( Convenience store ) เป็ นร้านคา้ ที่ขายสินคา้ อุปโภคบริโภค หรือสินคา้ สะดวกซ้ือ บางร้านจะเปิ ดบริการ 24 ชวั่ โมง (8) ร้านคา้ ในปั๊มน้ามนั (9) ซุม้ ขายของ ( Kiosk ) เป็ นร้านคา้ ที่จดั เป็นซุม้ ขายของ บางคร้ังจดั เป็นบูท (10) เครื่องขายอตั โนมตั ิ ( Vending machine ) เป็ นการขายสินคา้ ผา่ นเคร่ืองจกั รอตั โนมตั ิ (11) การขายทางไปรษณีย์ ( Mail order ) เป็ นการขายสินคา้ ซ่ึงใชจ้ ดหมายส่งไปยงั ลูกคา้ มีการลงใน หนงั สือพมิ พ์ นิตยสาร ถา้ พอใจกส็ ่งขอ้ ความสั่งซ้ือทางไปรษณีย์ (12) ขายโยแคตตาล็อก ( Catalog sales ) (13) ขายทางโทรทศั น์ ( T.V. Sales ) (14) ขายตรง ( Direct sales ) การขายโดยใชพ้ นกั งานขายออกเสนอขายตามบา้ น

(15) ร้านคา้ สวสั ดิการ เป็นร้านคา้ ที่ต้งั ข้ึนเพอ่ื อานวยความสะดวกกบั พนกั งานตามหน่วยงานราชการตา่ งๆ ของบริษทั หรือสานกั งานตา่ งๆ (16) ร้านคา้ สหกรณ์ เป็นร้านคา้ ที่ต้งั อยตู่ ามมหาวทิ ยาลยั และโรงเรียนต่างๆ 3. จานวนคนกลางในช่องทาง ( Number of intermediaries ) หรือความหนาแน่นของคนกลางในช่องทางการจดั จาหน่าย ( Intensity of distribution ) ในการพจิ ารณาเลือกช่องทางการจกั จาหน่ายจะมีกระบวนการ 3 ข้นั ตอน ดงั น้ี (1) การพจิ ารณาเลือกลูกคา้ กลุ่มเป้าหมายวา่ เป็นใคร (2) พฤติกรรมในการซ้ือของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ซ้ือเงินสดหรือเครดิต ตอ้ งจดั ส่งหรือไม่ ซ้ือบ่อยเพียงใด (3) การพิจารณาที่ต้งั ของลูกคา้ ตามสภาพภูมิศาสตร์ 4. การสนับสนุนการกระจายตวั สินค้าเข้าสู่ตลาด ( Market logistics ) เป็ นกิจกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเคล่ือนยา้ ย ปัจจยั การผลิต และตวั สินคา้ จากแหล่งปัจจยั การผลิตผา่ นโรงงานของผผู้ ลิต แลว้ กระจายไปยงั ผบู้ ริโภค วเิ คราะห์กลยทุ ธ์ด้านการส่งเสริมการตลาด การขายโดยใชพ้ นกั งานขายจดั เป็นรูปแบบการปฏิบตั ิ ตวั ต่อตวั ระหวา่ งกิจการกบั ลูกคา้ ท้งั น้ีเพื่อมุ่งหวงั คา สง่ั ซ้ือดว้ ยรูปแบบการขายท่ีแตกต่างกนั การขายโดยพนกั งานขายน้นั เกี่ยวขอ้ งกบั การจา้ งพนกั งานขาย การจดั การ ทว่ั ๆไปเกี่ยวกบั พนกั งานขาย ตลอดจนการบริหารสินคา้ คงคลงั การเตรียมการเสนอขายและการบริการหลงั การขาย ใน การพฒั นาแผนกการขายน้นั กิจการจะเริ่มต้งั แตก่ ารต้งั วตั ถุประสงคแ์ ละปฏิบตั ิการ ซ่ึงตอ้ งมีความชดั เจนและสอดคลอ้ ง กบั ประเภทของธุรกิจ โดยอาจเป็นธุรกิจคา้ ปลีก ธุรกิจการบริการ หรือธุรกิจการผลิต จากน้นั จึงกาหนดกลยทุ ธ์การขาย และการดาเนินงาน การขายโดยใชพ้ นกั งานขายน้นั หวงั ผลลพั ธ์เพอ่ื เพม่ิ ยอดขายและขณะเดียวกนั ก็ เพ่อื สร้างสมั พนั ธ์ ภาพระยะยาวกบั ลูกคา้ อีกดว้ ย นอกจากน้ีการขายโดยใชพ้ นกั งานขายน้นั ยงั มรการโชว์ เอกสาร ใบปลิว วสั ดุอุปกรณ์ตา่ งๆ เพื่อช่วยในการนาเสนอขายของพนกั งาน ตลอดจนเป็ นหลกั ฐานอา้ งอิงและสามารถมอบไวใ้ หล้ ูกคา้ เพือ่ ศึกษาขอ้ มูลเพิม่ เติม

วเิ คราะห์กลยทุ ธ์ด้านการให้ข่าวสาร การใหข้ า่ วสารน้นั คือ รูปแบบหน่ึงของการติดต่อส่ือสารที่ไมเ่ สียค่าใชจ้ ่ายในการซ้ือส่ือ ท้งั น้ีเพอ่ื สร้างทศั นคติ ท่ีเป็นบวกต่อสินคา้ และกิจการของเรา แต่ปัจจุบนั การส่ือสารโดยวธิ ีดงั กล่าวอาจมีคา่ ใชจ้ า่ ยอื่นๆ รวมท้งั คา่ ใชจ้ า่ ย ทางออ้ มเก่ียวกบั สื่ออีกดว้ ย การใหข้ า่ วสารแก่สาธารณะชนน้นั เป็ นรูปแบบหน่ึงของการประชาสัมพนั ธ์ การใหข้ า่ วสาร จดั วา่ เป็ นการสร้างภาพลกั ษณ์ในระยะยาวแก่องคก์ ร และตอ้ งการใหผ้ ลลพั ธ์น้ีออกมาในเชิงบวกแก่องคก์ ร ส่ิงที่เราตอ้ ง พิจารณาอยา่ งยง่ิ ในการใหข้ ่าวสาร คือ กลุ่มเป้ากมายที่ตอ้ งการไดร้ ับข่าวสารและสื่อโฆษณาที่จะใชเ้ พ่อื การส่ือข่าว วเิ คราะห์ต้นทุนการผลติ วตั ถุดิบที่ใชใ้ นการผลิต ตน้ ทุนคร้ังที่ 1 ตน้ ทุนคร้ังที่ 2 ตน้ ทุนคร้ังที่ 3 ตน้ ทุนคร้ังท่ี 4 ผลิตภณั ฑท์ ี่ซ้ือ จานวนเงิน จานวนเงิน จานวนเงิน จานวนเงิน 1.ซ้ือขนมปัง 150 450 125 725 2.ซ้ือเคร่ืองอุปกรณ์ 3.ซ้ือถุง รวม ประมาณการปริมาณการผลิต 1 คร้ัง สามารถผลิตสินคา้ ไดจ้ านวน 20 หน่วย ขอบเขตด้านบุคลากร การดาเนินโครงการในคร้ังน้ี เป็นกลุ่มของนกั ศกึ ษา แผนกวชิ า/สาขางาน โลจิสติกส์ วทิ ยาลยั เทคโนโลยบี ุญถาวร จานวน 4 คน ประกอบดว้ ย นางสาว ปภสั สวรรณ บวั บาน รหสั 6332091464 นางสาว กมลณทั ฐ์ ปานสันเทียะ รหสั 6332091467 นางสาว วริศรา มีอาษา รหสั 6332091471 นาย เจษฎา บุญเฉลิม รหสั 6332091494 หอ้ งสาขาโลจิสติกส์ ปวส.1/6

กลยุทธ์การจดั สรรหาทรัพยากรมนุษย์ สมาชิกในโครงการมีการกาหนดตาแหน่ง และมอบหมายหนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบ ดงั น้ี ช่ือ-สกลุ ตาแหน่ง หนา้ ที่ความรับผิดชอบ 1.กมลณทั ฐ์ ปานสนั เทียะ หวั หนา้ วางแผนในวธิ ีการทา 2.วริศรา มีอาษา รอง ช่วยเลือกสินคา้ และอปุ กรณ์ 3.เจษฎา บุญเฉลิม ประธาน ทาเพจและเวบ็ ไซต์ 4.ปภสั สวรรณ บวั บาน เลขา ดา้ นเอกสารในการทาโครงการ ขอบเขตด้านการเงิน วเิ คราะห์โครงการสร้างการลงทุน รายการลงทุน ส่วนออกเอง ท่ีมาของเงินทุน ยอดรวม เงินกู้ 1.ซ้ือขนมปัง 150 150 2.เครื่องอุปกรณ์ 450 - 450 - 600 รวม รายละเอยี ดเงินทุนหมุนเวยี นของกจิ การ ลาดบั รายการ มูลค่า ภาระหน้ี - 1 ค่าวตั ถดุ ิบ 600 - - 2 ค่าแรง 100 - - 3 ค่าบรรจุภณั ฑ์ 125 4 ค่าขนส่ง (ค่าน้ามนั ) 200 รวม 1,025

ข้นั ตอนการทาขนมปังปลนิ้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook