วัสดุในชีวิตประจำวัน

วสั ดใุ นชีวิต ประจําวนั

วสั ดใุ นชวี ติ ประจาํ วนั จดั ทําโดย ด.ญ ปวณี า สมิ โสม เลขที29 ชนั ม.2/1 นําเสนอ ครูภัทราวรรณ อุทธสงิ ห์

คํานํ า หนังสอื เลมนี้เป็นสวนหน่ึงของ รายวชิ า ออกแบบและเทคโนโลยี ว22103 เน้ ือหาภายในเลมนี้เป็ นเน้ ือหา เกย่ี วกบั วสั ดใุ นชีวติ ประจาํ วัน หวงั วาจะเป็นประโยชนแกผ ทู เ่ี ขา มาอาน หากผดิ พลาดประการใดตอง ขออภยั ไว ณ ท่ีนี้ ดว ยคะ

ไม  (wood) ไม คือ วัสดุธรรมชาตทิ ไ่ี ดจ าก ลาํ ตน ของตน ไม ซ่ึงสวนใหญเ ป็น ไมยืนตน ไมมคี วามแขง็ แรง ทนทาน ตานทานไฟฟ า ไมเ ป็น สนิม มีรปู รางคงตวั ผวิ เรียบ มี กล่นิ และมีลวดลาย ถา ไดร ับ ความช้นื เป็นเวลานานอาจบวมผดิ รปู และผุได ไมแบงออกเป็ นสองประเภท ไดแ ก

ไมจ ริงหรือไม ธรรมชาต(ิ NATURAL WOOD OR SOILD WOOD) คือ ไมท ี่ไดมาจากลาํ ตน ของตน ไมโดยตรง แบง ออกเป็น2ประเภท คอื ไมเน้ือแขง็ (hardwood) และไมเน้ือ อน(softwood)

ไม ประกอบ(PROCESSED WOOD) คือ ไมท่ไี ดมาจากการนํา ชิน้ สว นของไมมาตอ รวม กันดว ยกระบวนการตา งๆ ไมป ระกอบมีหลาย ประเภท เชน ไมอ ัด ไม ปารตเิ คลิ บอรด

โลหะ(metals) คือ วัสดทุ ี่ไดจ ากการรถสนิ แร ตางๆ โลหะทีน่ ํามาใชง านสวน ใหญจะผานการปรับปรุงสมบัติ ใหด ีข้ึนกอนนํามาใชง าน โลหะ เป็นตัวนําความรอ นและไฟฟ า มีความแข็งแรงสูง มีความ คงทนถาวร ไมเ ส่ือมสลาย เป็น วตั ถทุ ึบแสง ทนทานตอการ กัดกรอน โลหะแบงออกได เป็น2ประเภท คือ

โลหะกลุมเหลก็ (ferrous metals) คือ โลหะทม่ี ีเหลก็ เป็นสว น ประกอบหลัก แบง ออกเป็น เหล็กกลา (steel) และเหลก็ หลอ (cast lron) ซ่ึงมธี าตุ คารบอนผสมอยูใ นปริมาณทต่ี า ง กันตงั้ แต0.1%ไปจนถึง4.0% คารบอนท่ผี สมลงในเหล็กมีผล ตอ ความแขง็ และเปราะของเหลก็ โดยทวั่ ไปโลหะกลมุ เหลก็ จะเกิด สนิมและมีสมบตั ฺดูดตดิ กับแม เหลก็ ได

โลหะนอกกลมุ เหล็ก(non ferrous metals) คือ โลหะทไี่ มมเี หล็กเป็น สว นประกอบ ดงั นัน้ โลหะ ประเภทนี้ จะไมเ กิดสนิม และไมดดู ติดกบั แมเหลก็ เชน อลมู เิ นียม ทองแดง สังกะสี ทองเหลอื ง

พลาสติก(plastics) คือ วัสดุสงั เคราะหทมี่ นุษย สรางข้นึ สว นใหญเ ป็น ผลผลติ ที่ไดจ ากการกลัน่ น้ํามันดิบ ปัจจบุ นั พลาสตกิ นํา มาใชสรา งสิ่งของเคร่ืองใช มากมายและมบี ทบาทอยา ง ย่งิ ตอการดําเนินชีวิตประจํา วัน พลาสตกิ แบง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

เทอรโม พลาสตกิ (thermoplastics) จะออนตวั และ หลอมเหลวเม่อื ไดรับ ความรอนและจะแข็งตวั เม่อื ทาํ ใหเ ย็นลง พลาสติกทีแ่ ขง็ ตวั สามารถนํามาหลอมซ้าํ ได ดว ยความรอ น

เทอรโมเซตตงิ พลาสติก(thermosetting plastics) เป็นพลาสตกิ ทมี่ ีสมบัตพิ ิเศษ คือ ทนทานตอ การ เปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ิและ ทนทานปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ดด ี

ยาง(rubbber) คอื วสั ดทุ ่ีมคี วาม ยืดหยนุ ถูกนําไป แปรรูปเพ่ือใช ประโยชนในการสรา ง ส่งิ ของเคร่อื งใชหลาย ชนิด สามารถแบงออก เป็น 2 ประเภท คือ

ยาง ธรรมชาติ(nutural rubber) คอื ผลผลิตทไ่ี ดจากตน ยางเม่อื ยางอยูในสภาวะ อณุ หภมู ิต่ําจะแขง็ กระดาง เม่อื ยางอยใู น อณุ หภูมิสงู จะออ นน่ิม มี ความยดื หยุนสูง ทนตอ การสึกหรอ แตไมท นตอ ตวั ทาํ ละลายพวกน้ํามัน ปิ โตเลียม

ยาง ธรรมชาต(ิ synthetic rubber) คือ ยางทไ่ี ดจากการ สังเคราะหทางเคมเี พ่อื เลียนแบบทาง ธรรมชาติ ขอ ดี คอื สามารถปรบั ปรงุ สมบัติ ตา งๆได

อา งอิง www.krui3.com