Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กาพย์เห่เรือ

กาพย์เห่เรือ

Published by Thammanit Keawmanee, 2023-01-04 14:39:56

Description: กาพย์เห่เรือ

Search

Read the Text Version

๑ ตัวช้วี ดั ๑. วเิ คราะห์และวจิ ารณว์ รรณคดี และวรรณกรรม ตามหลกั การวจิ ารณเ์ บอ้ื งต้น วิเคราะห์ลักษณะเดน่ ของวรรณคดีเช่อื มโยงกับ ๒. การเรยี นรู้ทางประวตั ศิ าสตร์ และวถิ ีชีวติ ของ สังคมในอดตี ๓. วเิ คราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์ ของวรรณคดี และวรรณกรรมในฐานะ ทเ่ี ป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ ๔. สังเคราะหข์ ้อคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่ือนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตจริง ๕. วเิ คราะหล์ กั ษณะเด่นของวรรณคดเี ชอื่ มโยง กับการเรียนรทู้ างภูมิศาสตร์ และชีววิทยา ของพืชพันธ์ และสัตวใ์ นประเทศไทย

๒ ประวตั ผิ ้แู ตง่ เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศ เจ้าฟา้ ธรรมธิเบศ เจ้าฟ้ากรมขนุ เสนาพทิ ักษ์ มพี ระนามเดมิ ว่า เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรไชยเชษฐสรุ ิยวงค์ หรอื พระนามท่ีรู้จกั โดยทว่ั ไปวา่ เจ้าฟา้ ก้งุ ประสูติเมือ่ พ.ศ.๒๒๔๘ ในแผน่ ดนิ สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ท้ายสระ เปน็ พระปติ ุลา (ลุง) ทรงเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวบรมโกศ ในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

๓ ประวตั ผิ ู้แต่ง เจา้ ฟ้า พระองคม์ ี พระปรชี าสามารถที่ ธรรมธเิ บศ หลากหลายมาก โดยเฉพาะในด้าน วรรณกรรม ทรงนพิ นธว์ รรณกรรม ไวห้ ลายเร่ือง ผลงานวรรณกรรม กาพย์เห่เรือ นนั โทปนันทสตู ร คาหลวง พระมาลัยคาหลวง บทเหส่ งั วาส บทเหค่ รวญ เพลงยาวเจา้ ฟ้า

๔ รปู แบบคาประพนั ธ์ แต่งเปน็ กาพย์ห่อโคลง มีโคลงสี่สภุ าพนา ๑ บท เรยี กวา่ เกร่นิ เห่ และตามด้วยกาพย์ยานี ๑๑ พรรณนาเนือ้ ความโดยไมจ่ ากัดจานวนบท การเหเ่ รอื นอกจากจะเป็นที่สาราญพระราชอิริยาบถแล้ว ยงั เป็นการให้จังหวะแก่ฝีพายด้วย จุดประสงค์ในการนพิ นธ์ คอื ใช้เหเ่ รอื เล่นในคราวเสดจ็ ฯโดยทางชลมารค เพอื่ ไปนมัสการพระพุทธบาท จังหวดั สระบรุ ี

๕ เสยี งเห่ เสียงเห่เปน็ สญั ญาณเพื่อความพรอ้ มเพรียง การท่ีหลายคนทากิจกรรมรว่ มกัน ที่ต้องออกแรงพร้อมกนั ยอ่ มตอ้ งการ ความพร้อมเพรยี งเพอ่ื ให้งานนั้นลลุ ่วงไป ด้วยดีจงึ มกั มีการใชส้ ัญญาณเปน็ จังหวะ ในเรอื กระบวนหลวง จะใชจ้ งั หวะ การพายแบบช้า ๆ แตกตา่ งจากการพายเรอื เลน่ แต่กม็ ีการให้สญั ญาณเพื่อความพรอ้ ม เพรียงกนั ดงั บทประพนั ธค์ วามวา่ “เรอื ครุฑยดุ นาคห้ิว ลวิ่ ลอยมาพาผันผยอง พลพายกรายพายทอง รอ้ งโห่เหโ่ อ้เหม่ า”

๖ ลานาการเหเ่ รือ ๑. ชา้ ละวะเห่ เปน็ การเหท่ านองช้า ใชเ้ หเ่ มือ่ เรือเริม่ ออกจากท่าและเมื่อพายเรอื ตามกระแสน้า ๒.มูละเห่ เป็นการเหท่ านองเร็ว ๆ ใชเ้ ห่หลงั จากชา้ ละวะเหแ่ ล้ว ประมาณ ๒-๓ บท และใชเ้ หเ่ รอื ตอนเรือทวนน้า ๓. สวะเห่ ใช้เหเ่ มอื่ เรอื จะเทียบทา่ ประเพณกี ารเหเ่ รอื มีมาแตโ่ บราณ แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื เหเ่ รอื หลวง เปน็ การเห่เรือในราชพธิ ี เห่เรอื เลน่ เหใ่ นเวลาเล่นเรือเท่ยี วเตร่

๗ ลาดบั เร่อื งเหเ่ รอื กล่าวถึงขบวนพยุหยา (เช้าชมกระบวนเรือ ) ตราทางชลมารค ซ่งึ ประกอบด้วย เรอื พระทน่ี ่ังกิง่ และ เรอื ที่มีโขนเรือ เป็นรูปสัตว์ตา่ ง ๆ (สายชมปลา ) เห่ ชมปลา พรรณนา (บา่ ยชมไม้ ) ชมปลาต่าง ๆ เห่ ชมไม้ เมือ่ เรอื แล่น เลยี บชายฝ่ัง ชมไมท้ ่ี เห็นตามชายฝ่งั เห่ชมนก เม่ือใกล้ พลบค่าเหน็ นกบนิ กลบั รัง ก็ชมนก ตา่ ง ๆ (เย็นชมนก ) จบลงดว้ ยบทเหค่ รวญ เปน็ การครา่ ครวญ คิดถึงนางที่ เปน็ ท่รี กั ในยามค่าคืน (กลางคนื เป็นบทครวญสวาท)

๘ เรอื ครฑุ ยดุ นาค “เรอื ครฑุ ยุดนาคห้วิ ลิ่วลอยมาพาผนั ผยอง พลพายกรายพายทอง ร้องโหเ่ ห่โอเ้ หม่ า” มีหวั โขนเป็นรูปครฑุ มอื ทัง้ สองข้างจบั นาค เปน็ เรอื แสนยากร ช้าลวะเห่

๙ เรือไกรสรมขุ พิมาน “สรมุขมขุ ส่ีดา้ น เพยี งพมิ านผา่ นเมฆา ม่านกรองทองรจนา หลงั คาแดงแยง่ มงั กร” มีหัวโขนเปน็ รูปไกรสรสีหะ เปน็ ราชสหี ใ์ นป่าหิมพานต์ เปน็ เจ้าแหง้ สตั วท์ ัง้ ปวง คารามดังไปถึง ๓ โยชน์ ช้าลวะเห่

๑๐ เรอื ศรีสมรรถชยั “สมรรถไชยไกรกาบแกว้ แสงแวววบั จับสาคร เรยี บเรียงเคยี งคู่จร ดั่งรอ่ นฟา้ มาแดนดนิ ” เรอื พระท่นี ัง่ ในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยาอยุธยา มีลักษณะยาว เป็นเรือพระทน่ี ั่งสาหรับทรง เปล้ืองเครอื่ ง

๑๑ เรอื สวุ รรณหงส์ “สุวรรณหงษท์ รงภู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพยี งหงษท์ รงพรหมินทร์ ลนิ ลาศเลือ่ นเตือนตาชม” สุพรรณ หมายถึง ทองหงส์ หมายถงึ พระผ้มู ีหงสเ์ ปน็ พาหนะ หมายถงึ พระ พรหมเพราะพระพรหมทรงมีหงส์เป็น พาหนะเรือพระที่นงั่ สุพรรณหงส์ คอื \"ราชพาหนะของพระมหากษตั ริย\"์ ช้าลวะเห่

๑๒ เรอื ชัย “เรือไชยไวว่องวงิ่ รวดเรว็ จรงิ ย่งิ อย่างลม เสยี งเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิน่ เดินคกู่ นั ” เรอื เอกไชย คอื เป็นเรอื ชนิดทม่ี ที วน หวั ตง้ั สูงข้นึ ไปเปน็ งอน มตี วั เหรา (สตั วใ์ นวรรณคดี ตระกูลเดยี วกับ จระเข้) อย่ทู หี่ วั เรอื ช้าลวะเห่

๑๓ เรือคชสีห์ใหญ่ “คชสีห์ทีผาดเผ่น ดดู ังเปนเหน็ ขบขนั ราชสีห์ทียืนยัน คั่นสองคู่ดยู ่ิงยง” มหี ัวโขนเปน็ รูปครึ่งราขสหี ์ คร่งึ ช้าง รูปรา่ งเหมอื น ราชสีห์ มีงวงดัง่ ช้าง เปน็ สัตวใ์ นป่าหมิ พานต์ มลู ะเห่

๑๔ เรอื มา้ ใหญ่ “เรอื ม้าหน้ามุ่งน้า แลน่ เฉอื่ ยฉ่าลาระหง เพยี งมา้ อาชาทรง องคพ์ ระพายผายผนั ผยอง” มหี ัวโขนเป็นรปู มา้ เป็นสตั ว์ กีบเดี่ยว รปู ร่างสูงใหญ่ ขายาว หางเป็นพู่ มแี ผงคอยาว นยิ มนามาเป็นพาหนะ มูละเห่

๑๕ เรือสิงหาศนาวา “เรอื สิงห์วง่ิ เผน่ โผนโจน ตามคลน่ื ฝนื ฝา่ ฟอง ดูยงิ่ สงิ หล์ าพอง เปน็ แถวทอ่ งลอ่ งตามกนั สงิ ” มหี วั โขนเปน็ รปู สิงห์ เปน็ สัตว์ ในปา่ หมิ พานต์ สงิ ฆ์ สิงฆม์ ีลกั ษณะ เหมอื นราชสีห์ทว่ั ไป มูละเห่

๑๖ เรอื นาคานายก “นาคาหน้าดงั เปน็ ดขู ะเม่นเหน็ ขบขนั มงั กรถอนพายพัน ทนั แข่งหน้าวาสกุ รี เรือนาคานายก เรือพระที่นง่ั ในสมยั กรงุ ศรีอยุธยาอยุธยา มีลกั ษณะยาว เป็นเรือพระท่ีน่งั สาหรบั ทรงเปลอื้ งเคร่อื ง เรือมงั กร มีหัวโขนเปน็ รูปมังกร เป็นสัตวว์ ิเศษในวรรณคดี มเี ท้า มีเขา มูละเห่

๑๗ เรอื เลียงผาใหญ่ “เลียงผาง่าเทา้ โผน เพยี งโจนไปในวารี เปน็ เรือมหี วั โขนเปน็ รปู เลียงผา เป็นสัตว์คลา้ ยแพะ ว่ายนา้ ได้ปราดเปรยี ววอ่ งไว มูละเห่

๑๘ เรอื อนิ ทรยี ์ทพิ ย์ “นาวาหนา้ อนิ ทรีย์ ทป่ี กี เหมอื นเล่ือนลอยโพยม เปน็ เรือมหี ัวโขนเปน็ รูปนอินทรยี ์ “ดนตรีม่ีอึงอล กอ้ งกาหลพลแหโ่ หม โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนสั ชนื่ รน่ื เรงิ พล ค กรีฑาหมู่นาเวศ จากนคเรศโดยสาชล เหิมหืน่ ช่นื กระมล ยลมจั ฉาสารพนั มี ” มูละเห่

๑๙ ปลานวลจนั ทร์ ชา้ ลวะเห่ เป็นปลาน้าจดื มีรปู รา่ งเพรยี วยาวปากเลก็ ตาโตเกล็ดเลก็ มี หนวดเสน้ เลก็ ๆอยู่มุมปากลาตัวสีสม้ ปนเทาจนถึงน้าตาล ปนขาวครบี หางสีชมพู “นวลจันทร์เปน็ นวลจริง เจ้างามพร้ิมย่งิ นวลปลา คางเบือนเบอื นหนา้ มา ไม่งามเท่าเจา้ เบอื นชาย” เป็นปลาน้าจดื ชนดิ ไมม่ เี กล็ดรูปรา่ งคล้ายปลาค้าวแต่ มีขนาดเลก็ กวา่ ลาตัวดา้ นขา้ งแบนหน้างอนขน้ึ ปาก เชิดมีหนวด ๒ คู่พน้ื ลาตัวสีเขียวคล้าทอ้ งสีเหลือง จางๆมปี านสดี าแถวชอ่ งเหงือก ปลาคางเบอื น

๒๐ ปลาตะเพยี นทอง ชา้ ลวะเห่ เปน็ ปลาน้าจืดมสี ีสนั สวยงามมีความปราด เปรยี ววอ่ งไวลาตวั สเี งินหรอื ทอง ท่ีครบี ทอ้ งมสี เี หลืองสม้ สลบั แดงหางสเี หลือง ขอบหางสีสม้ ปลายครีบ สดี ามขี อบสขี าว “เพยี นทองงามดั่งทอง ไม่เหมอื นน้องห่มตาดพราย กระแหแหนหา่ งชาย ดั่งสายสวาดคลาดจากสม” เป็นปลานา้ จดื มรี ปู ร่าง ป้อมสน้ั คล้ายกับปลา ตะเพยี นลาตวั แบนข้าง หวั มขี นาดเลก็ จะงอย ปากส้นั ท์นัยยต์ าเล็ก หนวดเลก็ สนั้ มี ๒ คู่ ปลากระแห

๒๑ ปลาแกม้ ช้า ช้าลวะเห่ “แกม้ ชา้ ช้าใครต้อง อันแก้มนอ้ งช้าเพราะชม ปลาทกุ ทกุ ข์อตรม เหมอื นทุกข์พ่ีท่จี ากนาง\" ปลาแก้มชา้ ชอื่ ของปลาชนิด นีฟ้ ังดูแล้ว ก็ตอ้ งนึกถึง หญงิ สาวหรอื คนท่ีถูก หอมแก้มจนชา้ เพราะช่ือของปลาชนดิ นี้ ชอื่ วา่ ปลาแก้มช้า และ เอกลกั ษณ์ของปลาชนดิ นี้ กอ็ ยู่ทีแ่ ก้ม เพราะแกม้ ของปลาชนดิ นีจ้ ะเป็น รอยแดงๆ

๒๒ ปลาน้าเงิน มลู ะเห่ “น้าเงนิ คือเงนิ ยวง ไมเ่ ทยี บเปรียบโฉมนาง เนื้อออ่ นออ่ นแตช่ อ่ื ใครต้องข้องจติ ชาย ขาวพรายช่วงสสี าอาง งามเรอื งเรอื่ เนอื้ สองสี เนอ้ื นอ้ งหรือออ่ นทั้งกาย ไมว่ ายนึกตรกึ ตรงึ ทรวง” มีรูปร่างคล้ายปลาเนอ้ื ออ่ นชนิดอนื่ ที่ อยู่ในวงศ์เดียวกัน คือลาตวั เรียวยาว และแบนข้าง ไม่มเี กลด็ พ้ืนลาตวั สขี าวเงนิ สว่ นหลงั มสี ีดาอมเขยี ว หัวแบนส้ันและตาเลก็

๒๓ ปลากราย ชา้ ลวะเห่ “ ปลากรายว่ายเคียงคู่ เคลา้ กนั อยูด่ ูงามดี แต่นางหา่ งเหินพี่ เหน็ ปลาเคล้าเศร้าใจจร” มปี ากกว้างมาก มมุ ปากอยเู่ ลยขอบ หลังลูกตา ในตวั เตม็ วยั ส่วนหน้าผาก จะหกั โคง้ สว่ นหลังโก่งสูง ในปลาวยั ออ่ นมีสเี ปน็ ลายเสอื ค แต่จะเปลย่ี น เปน็ สีเทาเงินและมีจดุ กลมใหญ่สีดา ขอบขาวท่ีฐานครบี ก้นตัง้ แต่ ๑-๒๐ ดวง

๒๔ ปลาหางไก่ ช้าลวะเห่ “หางไก่วา่ ยแหวกว่าย หางไก่คล้ายไมม่ หี งอน คดิ อนงค์องคเ์ อวอร ผมประบ่าอา่ เอีย่ มไร” เป็นปลาทะเลท่มี ีขนาดเลก็ มาก ท่เี ข้ามาอาศัยอยู่ ในน้าจืด มองดูผิวเผินเหมอื นลกู ปลา ลาตัวยาว เรียว ท้องเป็นสันคม หวั ค่อนขา้ งโต ปากกวา้ ง และเฉยี งขึน้ เล็กน้อย ครีบหลังสงู ครบี หมู กี า้ นครบี สว่ นบนแยกเป็นเส้นยาว ครีบท้องมขี นาดเลก็ ครบี ก้นเชอื่ มติดกับครีบหาง ชอบอยเู่ ป็นกลมุ่ จานวนมาก

๒๕ ปลาสรอ้ ย ช้าลวะเห่ “ปลาสรอ้ ยลอยล่องชล วา่ ยเวียนวนปนกนั ไป เหมือนสร้อยทรงทรามวัย ไม่เห็นเจา้ เศรา้ บ่วาย” มีลกั ษณะลาตวั เพรยี วยาว หัวโต และกลมมน ปากเล็กอยเู่ กอื บจะ สดุ จะงอยปาก กงึ่ กลางของรมิ ฝปี ากมีปมุ่ กระดกู ยืน่ ออกมา ไม่มีหนวด เกล็ดมีขนาดใหญ่ ลาตวั สเี งินอมเทา เหนือครบี อก มจี ุดสีคล้า ครีบหลงั เลก็ ครบี หางเวา้ ลึกและมีจดุ ประสคี ลา้ โคนครบี หางมีจดุ สจี าง

๒๖ ปลาเนือ้ อ่อน ชา้ ลวะเห่ “เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชือ่ เนื้อน้องฤาออ่ นท้ังกาย ใครต้องข้องจิตชาย ไมว่ ายนึกตรึกตรงึ ทรวง” ลักษณะเด่นของปลาเน้ือออ่ น ไมม่ ีครีบหลงั

๒๗ ปลาเสอื ช้าลวะเห่ “ปลาเสอื เหลอื ท่ตี า เลอื่ มแหลมกว่าปลาทั้งปวง เหมอื นตาสดุ าดวง ดูแหลมลา้ ขาเพราะคม” เป็นปลาน้าจืด ๑. ปลาเสอื พน่ น้า (ขมังธนู) เหมอื นเสือพน่ นา้ ได้ ตวั ลาย ๒. ปลาเสอื สมุ าตรา ในเมอื งไทย (ขา้ งลาย) พบอยู่ ๓ ชนิด มแี ถบดา ๕ แถบลาตัว มลี ักษณะ ๓. ปลาเสือตอ (ลาด) ตวั สีเหลอื ง มีแถบเพียงลาตัว ๕ แถบ ลายดา

๒๘ ปลาแมลงผู้ ช้าลวะเห่ “แมลงภู่คู่เคยี งวา่ ย เหน็ คลา้ ยคลา้ ยนา่ เชยชม คดิ ความยามเม่อื สม สนิทเคล้าเจา้ เอวบาง\" ลักษณะท่วั ไป เปน็ ปลาน้า จืดคอ่ นขา้ งดุ ลาตวั เรียวยาว เปน็ รปู ทรงกระบอก ลกั ษณะครบี ตา่ ง ๆ คลา้ ยๆ ปลาช่อน แตเ่ มื่อเตบิ โตเตม็ วยั จะมขี นาดใหญ่กวา่ ขณะยงั เปน็ ปลาเล็กลาตวั จะมแี ถบสีเหลืองอมสม้ สดใส มแี ถบสีแดงหรือสม้ พาดตามความยาวลาตวั

๒๙ ปลาหวีเกศ ช้าลวะเห่ “หวีเกศเพศชือ่ ปลา คิดสดุ าอา่ องค์นาง หวเี กล้าเจ้าสระสาง เสน้ เกศสลวยรวยกลนิ่ หอม” หวเี กศเปน็ ชอ่ื ปลาน้าจดื ไมม่ เี กลด็ มีรปู ร่างคล้ายปลาสงั กะวาดและปลาเน้อื ออ่ น ผสมรวมกันตวั เรยี วยาวมคี รบี หลงั ๒ ตอน มหี นวดยาว ๔ เสน้ คล้ายกบั เส้นผมของผหู้ ญงิ จงึ เปน็ ทมี่ าของช่ือ พบอาศัยอยู่เฉพาะแม่น้าเจา้ พระยาเท่าน้นั แต่ ปัจจุบนั คาดวา่ น่าจะสญู พนั ธไุ์ ปแลว้

๓๐ ปลาชะวาด เป็นปลาน้าจืดมรี ปู ร่างยาวลาตวั แบนขา้ งมากปากเลก็ ตาโต ทอ้ งเปน็ สันคมด้านท้องค่อนข้างกวา้ งออก ครีบอกยาวครบี หางเว้าลึกเกล็ดเล็กละเอยี ดสีเงนิ แวววาว “ชะแวงแฝงฝั่งแนบ ชะวาดแอบแปบปนปลอม เหมือนพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฏบงั อร” ช้าลวะเห่ เป็นชอ่ื ปลาน้าจืด หวั สั้นตาโตปากแคบหนวดส้ัน ลาตัวแบนขา้ งกว่าชนดิ อื่น ๆ ท้องเปน็ สนั คม มีรปู ร่างเพรยี วยาว ปลาแปป

๓๑ ชมนก ชา้ ลวะเห่ “นกยูงฝูงราฟอ้ น คิดบังอรร่อนรากราบ สรอ้ ยทองย่องเยื้องชาย เหมอื นสายสวาทนาดนวยจร” นกยูง มีขนาดใหญ่ ขนงามเปน็ สีเล่อื ม ขนเปน็ แวว นกสรอ้ ยทอง นกทีม่ คี อเป็นสตี ่าง ๆ “สาลกิ ามาตามคู่ ชมกนั อยสู่ สู่ มสมร แต่พี่นอี้ าวรณ์ ห่อนเหน็ เจ้าเศร้าใจครวญ นางนวลนวลนา่ รัก ไมน่ วลพักตร์เหมอื นทรามสงวน แก้วพ่ีนีส้ ดุ นวล ด่ังนางฟา้ หน้าใยยอง นกแก้วแจ้วแจ่มเสียง จับไม้เรยี งเคียงคู่สอง เหมอื นพน่ี ้ปี ระคอง รับขวัญน้องต้องมอื เรา” นกสาลิกา นกจาพวกนกเอ้ยี ง หวั สดี า ตัวสีนา้ ตาลแกมดา หนังของตาจัดเหลอื ง นกนางนวล ช่ือนกกินปลาชนดิ หนึ่ง อยตู่ ามชายหาด นกแกว้ ช่ือนกขนเขียว ปากแดงและงมุ้ มีหลายชนดิ

๓๒ ชมนก มลู ะเห่ “ไก่ฟ้ามาตวั เดยี ว เดนิ ทอ่ งเทีย่ วเล้ยี วเหล่ยี มเขา เหมอื นพรากจากนงเยาว์ เปลา่ ใจเปลยี่ วเหลยี วหานาง” ไก่ฟ้า เปน็ นกสีสวยงามชอบอยเู่ ป็นฝูงอยา่ งไก่บ้าน ตวั ขนาดไก่แจ้ บินเก่งมาก “แขกเตา้ เคลา้ ค่เู คยี ง เรยี งจับไม้ไซ้ปกี หาง เรยี มคะนึงถงึ เอวบาง เคยแนบข้างร้างแรมนาน ดุเหวา่ เจ่าจับรอ้ ง สนัน่ กอ้ งซอ้ งเสียงหวาน ไพเราะเพราะกงั วาน ปานเสียงน้องรอ้ งส่ังชาย โนรสี ปี านชาด เหมอื นช่างฉลาดวาดแต้มกาย ไม่เท่าเจ้าโฉมฉาย หม่ ตาดพรายกรายกรมา สัตวานา่ เอน็ ดู คอยหาคู่อย่เู อกา เหมือนพ่ีท่ีจากมา ครวญหาเจ้าเศรา้ เสยี ใจ ปักษมี ีหลายพรรณ บา้ งชมกันขันเพรียกไพร ยง่ิ ฟงั วังเวงใจ ลว้ นหลายหลากมากภาษา” แขกเตา้ เปน็ นกในตระกลู นกแก้ว แตต่ ัวเลก็ กวา่ ดุเหวา่ ตวั สีดา เลก็ กว่ากาเล็กนอ้ ย ร้องไพเราะ มักเรยี กวา่ กาเหวา่ โนรี เป็นนกจาพวกนกแกว้ โดยมากมขี นเปน็ สแี ดงลว้ น บางชนิดมีสีอ่ืนแซม เรียกเบญจพรรณ สัตวน์ กใน เป็นนกจาพวกนกแก้ว ตัวโต สเี ขียวเกือบเปน็ สคี ราม

๓๓ ชมไม้ “เรอื ชายชมม่ิงไม้ ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ เพลด็ ดอกออกแกมกนั ส่งกลนิ่ เกลย้ี งเพยี งกล่นิ สมร ชมดวงพวงนางแย้ม บานแสลม้ แย้มเกสร คดิ ความยามบังอร แย้มโอษฐย์ ิม้ พริ้มพรายงาม จาปาหนาแน่นเนอ่ื ง คลีก่ ลีบเหลอื งเรืองอร่าม คิดคนงึ ถงึ นงราม ผวิ เหลืองกวา่ จาปาทอง ประยงคท์ รงพวงหอ้ ย ระย้ายอ้ ยหอ้ ยพวงกรอง เหมือนอบุ ะนวลลออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม พดุ จีบกลีบแสลม้ พกิ ุลแกมแซมสุกรม หอมชวยรวยตามลม เหมือนกลนิ่ นอ้ งต้องตดิ ใจ สาวหยดุ พุดทชาด บานเกล่ือนกลาดดาษดาไป นึกน้องกรองมาไลย วางใหพ้ ขี่ ้างท่ีนอน” พรรณนาถึงดอกไม้ ได้แก่ 1.ดอกนางแยม้ 2.ดอกจาปา 3.ดอกประยงค์ 4.ดอกพดุ จีบ 5.ดอกพกิ ุล 6.ดอกสุกรม 7.ดอกสายหยุด 8.ดอกพุทธชาด ช้าลวะเห่

๓๔ ชมไม้ “พิกุลบนุ นาคบาน กลิ่นหอมหวานซา่ นขจร แม้นนุชสดุ สายสมร เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย เต็งแต้วแกว้ กาหลง บานบษุ บงสง่ กลิ่นอาย หอมอยู่ไม่ร้หู าย คล้ายกล่นิ ผ้าเจ้าตราตรู 9.ดอกบนุ นาค 1.ดอกเตง็ 1.ดอกแตว้ 1.ดอกแก้ว 3.ดอกกาหลง มลิวนั พันจิกจวง ดอกเป็นพวงรว่ งเรณู หอมมานา่ เอ็นดู ชชู น่ื จติ ตค์ ดิ วนดิ า ลาดวนหวนหอมตระหลบ กลน่ิ อายอบสบนาสา นึกถวิลกล่นิ บหุ งา ราไปเจ้าเศรา้ ถึงนาง 1.ดอกมะลิวลั ย์ 1.ดอกลาดวน รวยรินกล่นิ ราเพย คิดพเี่ ชยเคยกลนิ่ ปราง นงั่ แนบแอบเอวบาง หอ่ นแหหา่ งวา่ งเวน้ วนั ชมดวงพวงมาลี ศรีเสาวภาคยห์ ลากหลายพรรณี วนิดามาด้วยกนั จะอ้อนพีช่ ีช้ มเชย” มลู ะเห่

๓๕ บทเหค่ รวญ โคลง เสียงใด เสียงสรวลระร่นี ้ี ใคร่รู้ นุชพ่ี มาแม่ เสยี งนชุ พฤ่ี าใคร อน่ื นั้นฤามี เสียงสรวลเสยี งทรามวัย เสยี งบังอรสมรผู้ กาพย์ เสยี งสรวลระรนี่ ้ี เสยี งแก้วพหี่ รอื เสียงใคร เสยี งสรวลเสยี งทรามวยั สุดสายใจพีต่ ามมา ลมชวยรวยกล่ินนอ้ ง หอมเร่อื ยต้องคลองนาสา เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา เหลียวหาเจา้ เปลา่ วังเวง

๓๖ บทเห่ครวญ กาพย์ ยามสองฆ้องยามย่า ทุกคนื คา่ ย่าอกเอง เสียงป่มี ีครวญเครง เหมือนเรยี มคร่าร่าครวญนาน ล่วงสามยามไปแล้ว จนไก่แก้วแว่วขันขาน ม่อยหลับกลบั บันดาล ฝนั เหน็ น้องต้องตดิ ตา เพรางายวานเสพรส แสนกาสรดอดโอชา อม่ิ ทกุ ข์อิ่มชลนา อม่ิ โศกาหน้านองชล เวรามาทันแลว้ จึงจาแคล้วแก้วโกมล ใหแ้ คน้ แสนสดุ ทน ทกุ ข์ถึงเจา้ เศร้าเสยี ดาย งามทรงวงด่งั วาด งามมารยาทนาดกรกราย งามพร้มิ ยมิ้ แย้มพราย งามคาหวานลานใจถวลิ แต่เชา้ เทา่ ถึงเย็น กลา้ กลืนเขญ็ เปน็ อาจิณ ชายใดในแผน่ ดิน ไม่เหมอื นพี่ที่ตรอมใจ

๓๗ บทเห่ครวญ โคลง ถึงเยน็ เรียมทนทกุ ขแ์ ตเ่ ชา้ หม่นไหม้ ทุกข์เทา่ เรียมเลย มาสสู่ ขุ คนื เข็ญ ทกุ ข์ป้ิมปานปี ชายใดจากสมรเป็น จากคู่วนั เดยี วได้

๓๘ ดา้ นวรรณศิลป์ ๑.๑ ลกั ษณะการแต่ง แตง่ ถูกตอ้ งตามฉันทลกั ษณ์ มีสมั ผัสในทาใหไ้ พเราะ ใชค้ างา่ ย ถงึ แม้จะเป็น ภาษาอื่นก็เปน็ ท่ีรจู้ ักคุ้นเคย เช่น “ลาดวนหวนหอมตรลบ กลน่ิ อายอบสบนาสา นึกถวลิ กล่นิ บุหงา ราไปเจ้าเศร้าถงึ นาง” (บุหงาราไป”เปน็ ภาษาชวา) ๑.๒ การใช้คา รู้จักสรรคาทีม่ คี วามหมายเด่นชดั คาทุกคามคี วามไพเราะรน่ื หู มีการสัมผสั แพรว พราวท้งั สัมผสั ใน สมั ผสั นอก สัมผสั สระ และสัมผัสอกั ษร สานวนท่ใี ช้กะทัดรดั เข้าใจง่าย วางไว้ในทเี่ หมาะสม เชน่ “เร่ือยเรื่อยมาเรียงเรยี ง นกบนิ เฉียงไปทงั้ หมู่ ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพีอ่ ยูผ่ เู้ ดยี วดาย”

๓๙ ด้านวรรณศลิ ป์ ๑.๓ใจความทกุ วรรคตอนทาให้ผอู้ ่านเกิดภาพพจน์ มเี ชงิ พรรณนาแยบคายล้าลึก ใจความเป็นไปอยา่ ง มชี วี ิตจติ ใจ สมเป็นบทเห่เรอื ซ่ึงมีจดุ มุ่งหมาย ไม่ให้เหนด็ เหนอ่ื ย เชน่ “เนอ้ื ออ่ นอ่อนแตช่ ่ือ เนอ้ื น้องฤๅอ่อนทง้ั กาย ใครตอ้ งขอ้ งจิตชาย ไม่วายนึกตรกึ ตรงึ ทรวง” ๑.๔ แทรกความคิดเชงิ สร้างสรรค์เกยี่ วกบั ความงามไว้อยา่ งเหมาะสม เชน่ ค่านิยม เกยี่ วกับความงามของหญงิ ไทย คอื ต้องงามพร้อง ทง้ั คุณลักษณะและคุณสมบตั ิ กล่าวคอื ดพี รอ้ ม ทัง้ รปู รา้ ง หนา้ ตา คาพูด แล กิรยิ ามารยาท เช่น “งามทรงวงด่ังวาด งามมารยาทนาดกรกราย งามพริ้มยมิ้ แย้มพราย งามคาหวานลานใจถวิล”

๔๐ ด้านวรรณศลิ ป์ ๑.๕ ใชเ้ สียงประกอบในคาประพนั ธ์ทาให้เกดิ ความ งามและจนิ ตภาพ (สทั พจน์) เช่น “เรอื ครฑุ ยดุ นาคหิ้ว ลิ่วลอยมาพาผันผยอง พลพายกรายพายทอง ร้องโห่เห่โอ้เหม่ า” ๑.๖ ใชโ้ วหารเปรียบเทียบทาใหเ้ กดิ ภาพพจน์ (อปุ มาโวหาร) เช่น “สวุ รรณหงสท์ รงพู่หอ้ ย งามชดช้อยลอยหลังสินธ์ุ เพยี งหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเล่ือนเตอื นตาชม” ๑.๗ ใช้ความเปรยี บตรงตัว (อุปลกั ษณ์) เช่น “นา้ เงินคือเงนิ ยวง ขาวพรายช่วงสีลาอาง ไม่เทยี บเปรยี บโฉมนาง งามเรือ่ เนอ้ื สองสี”

๔๑ ดา้ นสงั คม สะทอ้ นใหเ้ ห็นให้เก็บชวี ิตคิ วามเป็นอยู่ วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมของคนไทยในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ตอนปลายหลายดา้ น ดังน้ี ๒.๑ การคมนาคม เมอื งไทยมแี มน่ ้าลาคลองมาก ในสมยั นั้นจงึ ใช้การคมนาคมทางน้าเปน็ สาคญั ยงั ไมเ่ กิดถนนหนทางมากนกั ๒.๒ การบอกเวลานิยมใชฆ้ ้อง กลอง เปน็ เครอื่ งบอกเวลา เช่น “ยามสองฆ้องยามย่า ทุกคนื ค่าย่าอกเอง เสียงปม่ี ่คี รวญเครง เหมือนเรยี มครา่ ร่าครวญนาน”

๔๒ ดา้ นสงั คม ๒.๓ ขนบธรรมเนียมประเพณี สะท้อนให้เหน็ วัฒนธรรมในการแต่งกายของหญงิ ชาววงั ในสมยั กรงุ ศรีอยุธยาตอนปลาย และ ขนบธรรมเนียมประเพณขี องไทย เชน่ “เพียนทองงามดัง่ ทอง ไมเ่ หมอื นน้องห่มตาดพราย กระแหแหกหา่ งชาย ดัง่ สายสวาทคลาดจาดสม” “หวเี กศเพศซื่อปลา คดิ สุดาอ่าองค์นาง หวเี กลา้ เจ้าสระสาง เสน้ เกศสลวยรงยกลิ่นหอม” “ประยงค์ทรงพวงห้อย ระย้าย้อยหอ้ ยพวงกรอง เหมอื นอุบะนวลละออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียนชม” ๒.๔ ความเช่อื ในกฎแห่งกรรม เช่น “เวรามาทนั แลว้ จงึ จาแคลว้ แกว้ โกมล ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ถึงเจ้าเศรา้ เสียดาย”

๔๓ ความรูท้ ีไ่ ด้รับ ๑. วรรณคดีช่วยทาใหจ้ ติ ใจของมนุษย์ออ่ นโยน ความงดงามของภาษาจะช่วยขดั เกลาทาใหส้ งบ และมคี วามสขุ ๒. การเดินทาง ทางน้า เปน็ ชวี ิตของคนไทย ในอดตี ๓. ในนา้ มปี ลา เปน็ ภาพสะท้อนของระบบนิเวศท่ี ดเี ยยี่ ม สมควรท่ีคนรุ่นปจั จุบันจะต้องฟ้ืนฟู ธรรมชาตใิ หก้ ลับคนื มาให้ได้ ๔. ระบบนเิ วศท่อี ยูร่ วมกนั ได้อยา่ งเป็นสุขทง้ั คน ปลา ไม้ นก และสัตวต์ า่ งๆ เป็นเมืองในอุดมคติที่ สวยงาม ๕. ใช้ฆ้องหรือกลองเปน็ ตวั บอกเวลา ๖. ภาพสะทอ้ นของชนบทประเพณคี วามคิด ภูมปิ ญั ญาบรรพบุรุษ จะบันทึกไว้ในวรรณกรรม อันเป็นสิ่งที่นา่ ศกึ ษา

๔๔ เกร็ดความรู้ วิธกี าร การนบั เวลาแบบโบราณ เวลาเรยี กว่า ยาม ยามของไทยมคี า่ ประมาณ ๓ ช่วั โมงหลกั การนับยามตามบาลี ๑ ชั่วโมง มี ๑๐ บาท ๖๐ นาที ๕ บาท ๓๐ นาที ๑ บาท ๖ นาที ยาม เป็นคาภาษาบาลที ีเ่ รานามาใช้ในภาษาไทย เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ คาวา่ “ยาม” ในภาษาบาลีจะออกเสียงว่า “ยา-มะ” “แขกยาม” ซ่งึ ได้แกแ่ ขกชาวอินเดีย น่งุ ผา้ ขาวโจงกระเบน จ้างให้มาอยู่ ยามเฉพาะในเวลากลางคนื แขกพวกน้มี ักจะถอื กระบองอนั โต ๆ น่าเกรงขาม และมักจะตีเหล็กแผ่น เปน็ สัญญาณบอกเวลาทุกช่ัวโมง

๔๕ เกร็ดความรู้ ต้งั แต่ย่าคา่ คือ ๑๘ นาฬิกา ๔ ยาม ถึง ๓ ท่มุ (๒๑ นาฬกิ า) ยามละ เปน็ ยามท่ี ๑ หลังจาก ๒๑ นาฬกิ า หรือ ๓ ชั่วโมง ๓ ทุ่ม ไปถงึ ๒๔ นาฬิกา หรอื เทีย่ งคืน เราเรยี กวา่ ยาม ๒ หรือ ๒ ยาม หลงั ๒๔ นาฬกิ า ไปถึงตี ๓ (๓ นาฬกิ า) เราเรยี กว่า ยาม ๓ และหลงั จากตี ๓ ไปจนยา่ รงุ่ หรือ ๖ นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม ๔ ซึ่งเปน็ ยามสุดท้ายของคนื ยามตามคตบิ าลี คติท่ีปรากฏในวรรณคดีบาลรี วมถึงวรรณคดีบาลีท่แี ปลแตง่ เปน็ ภาษาไทยวา่ ไว้ต่างกนั คือกาหนดวา่ คืนหน่งึ มี ๓ ยาม ยามหนง่ึ มี ๔ ชั่วโมง ปฐมยาม หรอื ยามแรก คืนหนง่ึ มี ชว่ งเวลา ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น. ๓ ยาม ทุตยิ ยาม หรอื ยามที่ ๒ ยามหนงึ่ มี ช่วงเวลา ๒๒.๐๐-๐๒.๐๐ น. ๔ ช่ัวโมง ปจั ฉมิ ยาม หรอื ยามสดุ ท้าย ชว่ งเวลา ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น.

หนงั สือเรยี นอิเล็กทรอนกิ ส์ สาหรบั ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ เรอื่ ง กาพยเ์ หเ่ รอื สมาชกิ นายสนั ต์ทัศน์ ขาวจันทร์ รหัสนกั ศึกษา ๖๒๑๑๒๐๗๐๒ นายธรรมนศิ ย์ แกว้ มณี รหสั นักศกึ ษา ๖๒๑๑๒๐๗๐๔ นางสาววชิรญาณ์ กระเทศ รหสั นักศกึ ษา ๖๒๑๑๒๐๗๑๒ นางสาวบรรณสาร ติ๊บปะระ รหสั นกั ศึกษา ๖๒๑๑๒๐๗๒๒ นายวารุตน์ ทะสะวะดี รหัสนักศึกษา ๖๒๑๑๒๐๗๒๙ โปรแกรมสังคมศึกษา เสนอ อาจารยร์ าเชนทร์ เขตวทิ ย์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎกาแพงเพชร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook