“ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” เป็นชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ี ๙ อำเภอ ของจังหวัดพะเยา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพะเยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมลู “ชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา” จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า ด้านชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา และส่งเสริมให้แต่ละชาติพันธุ์เห็นคุณค่า ในเอกลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจ มีความรัก หวงแหน ในชาติพันธุ์ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง ร่วมกันอนุรักษ์วิถีชีวิต และสืบสาน ใหเ้ ป็นมรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละชาติพันธุ์อยา่ งย่งั ยืนตอ่ ไป
ไทยจีน เกรยี งศักด์ิ ชยั ดรุณ1 ถ่ินไทยจีนในพะเยา ยา่ นหนองระบู “ระบู” คำนีม้ ีทมี่ า เช่ือกันว่ามาจากคำว่า “ลำบ”ู หมายถึง “ปืนใหญ่” จากเหตุการณ์ตอนหน่ึง ในตำนานพงศาวดารโยนกฉบับของพระยาประชากิจกรจักร์(แช่ม บุนนาค) กล่าวถึง ท้าวยี่กุมกาม เจ้าเมืองเชียงราย ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เพื่อชิงราชสมบัติจากพระเจ้าสามฝั่งแกน ซึ่งเป็น พระอนุชา เพราะพระเจ้าแสนเมืองมา ผู้เป็นบิดาไม่ยอมยกราชสมบัติให้ แต่กระทำการไม่สำเร็จ จึงหนีไปพึ่งพระยาไสลือไท กษัตริย์สุโขทัยเพื่อขอให้ทรงช่วยเหลือ พญาไสลือไทจึงยกทัพ ไปช่วย ชิงเมืองเชียงใหม่ ระหว่างการเดินทัพใช้เส้นทางเดินทัพมาตามลำน้ำแม่ยมและผ่านเมืองพะเยา ขณะนั้นเป็นประเทศราชของเชียงใหม่ พญาไสลือไทจึงได้ตัดสินพระทัยจะยึดเมืองพะเยา คร้ันเมื่อ ทัพมาถึงได้เข้าประชิดตัวเมืองเพื่อเตรียมการโจมตี พระองค์ทรงรับสั่งให้ทหารสร้างหอเรือกสูง ๑๒ วา ที่บ้านหนองเต่า ใช้เป็นฐานสำหรับปืนใหญ่ยิงโจมตีเข้าไปในตัวเมืองพะเยาได้สะดวก ส่วนชาวเมือง พะเยาเมื่อทราบเรื่องก็ช่วยกันไปรื้อเอากระเบื้องมุงหลังคาทำด้วยทองเหลืองจากวิหารวัดมหาพน มาหล่อละบู (ปืนใหญ่) เมื่อหล่อเสร็จได้ทำพิธีเซ่นสรวงพลี แล้วบรรจุกระสุนปืนยิงใส่หอเรือกสูงจน พังทลายลงมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พญาไสลือไททรงคิดว่าเป็นลางร้าย จึงได้ถอยทัพออกจาก เมืองพะเยาไป ในปัจจุบันวัดมหาพน ยังมีร่องรอยหลักฐานปรากฏให้เห็นเป็นซากโบราณสถาน อยู่ใกล้กับ ที่ทำการไปรษณีย์หนองระบู และบริเวณใกล้ๆกัน ซึ่งเป็นลานโล่งหลังโรงรับจำนำเทศบาลเมือง พะเยา คอื ลานหนองระบู ในอดีตบริเวณแห่งนี้เคยเป็นหนองน้ำโบราณมาก่อนมีชื่อเรียกกันมาแต่ดั้งเดิมว่า“หนอง ระบู” นักประวตั ศิ าสตร์ล้านนาไดใ้ ห้ข้อสนั นิษฐานว่า ท่นี น่ี ่าจะเปน็ จดุ ทีต่ ง้ั ปืนใหญ่ของฝ่ายชาวเมือง พะเยาที่ยงิ เขา้ ใสท่ ัพสุโขทัย เพราะระยะทางไมห่ า่ งจากบา้ นหนองเตา่ แต่ก่อนย่านหนองระบู สภาพยังเป็นป่าละเมาะ ป่าไผ่ และมีหนองน้ำธรรมชาติคือ หนองระบู ไมห่ ่างไกลจากหนองน้ำแห่งนี้จะมีถนนสายเลก็ ๆ ซง่ึ เปน็ เสน้ ทางโบราณที่คนสมัยก่อนใช้สัญจรไปมา ระหว่างแถบบ้านร่องไฮ บ้านแม่ใส จะเข้ามาตัวเมืองพะเยา โดยข้ามลำน้ำแม่อิงแล้วเดินตัดเข้ามา แถวย่านหนองระบู สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีผูค้ นอยู่อาศัยเพราะห่างไกลจากชุมชน แหล่งชุมชนหรือย่าน การค้าใหญข่ องพะเยาจะอยูท่ ีบ่ ้านสบต๋ำหรือบ้านหลา่ ยอิง ซึ่งเป็นพวกไทใหญ่(เง้ียว) และพม่าอาศัย อยู่อีกย่านหนึง่ อยู่ในตัวเมืองปจั จุบันซึ่งพวกชาวพื้นเมอื งและพวกคนจีนอาศัยอยู่ สมัยทีย่ งั ไม่มรี ถไฟ มาถึงลำปางภาพ๑ การค้าในเมืองพะเยาส่วนใหญ่เป็นของพวกพ่อค้าชาวไทใหญ่(เงี้ยว) และพม่า ซ่งึ เป็นกลุม่ ทุนที่มีความเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกิจมากทสี่ ดุ 1 เกรียงศักด์ิ ชยั ดรณุ นักวชิ าการอสิ ระ ผู้เรียบเรียงย่านเกา่ เมืองพะเยา
2 ภายหลังการสร้างทางรถไฟสายเหนือมาถึงลำปาง ในปี พ.ศ. 2459ภาพ๑ เริ่มมีพวกคนจีน อพยพจากภาคกลางเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานในภาคเหนือมากขึ้น โดยเฉพาะที่ลำปางซึ่งเป็น ศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้าทางรถไฟของภาคเหนือตอนบน เมื่อมีคนจีนเข้ามาในลำปาง มากขึ้นการแข่งขันการค้าในหมู่คนจีนด้วยกันก็มากขึ้นตาม ทำให้คนจีนในลำปางบางส่วนเร่ิมขยับ ขยายหาลู่ทางไปทำมาหากินนอกทอ้ งถิน่ ห่างไกลทีร่ ถไฟยังเขา้ ไมถ่ ึงหรือตามชนบทห่างไกล ซ่ึงคู่แข่ง ทางการค้ายังไมม่ หี รือยังไม่มาก เชน่ แถบจงั หวัดเชียงราย พะเยาและนา่ น ภาพที่ 1 สถานีรถไฟสบตยุ๋ ลำปาง หลงั การสรา้ งทางรถไฟสายเหนอื มาถึงลำปาง เมื่อ พ.ศ. 2459 ที่มา : เกรยี งศักด์ิ ชยั ดรณุ “ย่านเกา่ เมอื งเกา่ ในพะเยา” ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสายเหนือ ช่วงระหว่าง อุตรดิตถ์-ลำปาง ไดเ้ ริม่ สร้างในปี พ.ศ. 2448 ต้องพบกับอุปสรรคความยากลำบากในการก่อสร้างเพราะช่วงเขาพลึง ซึ่งอยเู่ ขตรอยตอ่ ระหว่างอุตรดิตถ์กบั แพร่ พืน้ ทเ่ี ขาส่วนใหญเ่ ป็นหินทำให้การทำงานต้องลา่ ช้า กอปร กับสภาพบริเวณนั้นเป็นป่าทึบ มียุงชุกชุมมาก ทำให้พวกกรรมกรสร้างทางเป็นไข้ป่า กรรมกรจีน ที่มาสรา้ งทางรถไฟจำนวน ไมน่ ้อยต้องมาจบชีวิตลงท่ีนี่ คงเหลือแต่พวกกรรมกรจีนแต้จ๋วิ กับจนี แคะ ที่ยังคงทำงานอยู่ ส่วนพวกกรรมกรจีนไหหลำได้พากันละทิ้งหนี ไปแสวงหางานและตั้งหลักแหล่ง ใหมต่ ามเมืองต่างๆ ทีพ่ วกคนจนี กลุ่มอ่นื ๆ ยงั ไมเ่ คยเข้าไป สว่ นมากจะเป็นท้องถ่นิ ที่อยหู่ า่ งไกลความ เจริญจากข้อมูลที่สกินเนอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้สรุปไว้ว่า “โดยทั่วไปคนจีนไหหลำเปน็ พวกแรกๆ ทไ่ี ปอยตู่ ามจังหวัดตา่ งๆ โดยเฉพาะทอ้ งถ่นิ ทอ่ี ยหู่ า่ งไกลออกไป พวกจีนไหหลำมักไมน่ ิยม ค้าขายในเมืองใหญ่ๆ เพราะต้องแขง่ ขันกับพวกจีนแต้จ๋ิวและจีนแคะ ซึ่งค้าขายเกง่ กว่า เพราะเหตุน้ี ทำให้พวกจีนไหหลำจึงตอ้ งโยกย้ายเขา้ ไปอยตู่ ามเมืองเลก็ ๆ ลู่ทางในการทำมาหากินจะง่ายกว่าเมือง ใหญ่ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยพวกจีนแตจ้ ๋ิวและจนี แคะ” ด้วยเหตุผลน้ีทำให้เมอื งเชียงราย พะเยา และน่าน ซึ่งยังไมม่ ีเส้นทางรถไฟไปถึง จึงเป็นเมือง เป้าหมายสำหรับพวกจนี ไหหลำที่จะเข้าไปบุกเบกิ ตั้งถ่นิ ฐาน และสันนษิ ฐานวา่ นา่ จะเป็นกล่มุ จีนโพน้
3 ทะเลกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบเชียงราย พะเยา น่าน ช่วงก่อนเส้นทางรถไฟสายเหนือ จะสร้างมาถึงลำปางเมื่อปี พ.ศ. 2459 เป็นอย่างช้า เพราะช่วงประมาณปี พ.ศ. 2462-2463 พวกพ่อค้าจีนแต้จิ๋วและจีนแคะ เริ่มเข้ามาทำธุรกิจการค้าในเชียงรายและพะเยาแล้ว โดยเฉพาะ ธรุ กิจสมั ปทานโรงตม้ กล่นั สุราและคา้ ฝ่นิ ซ่งึ เปน็ ธรุ กิจทสี่ รา้ งรายไดม้ หาศาล การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของพวกจีนไหหลำในย่านหนองระบูภาพ๒ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลตลาดสบต๋ำ และตลาดสดพะเยาช่วงแรกๆ ยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่ภายหลังเมื่อมีการสร้างถนนสายลำปาง- เชียงราย ปี พ.ศ. 2460 เป็นต้นมาจำนวนเพิ่มขึ้น การทำมาหากินของพวกจีนไหหลำในย่านหนอง ระบู ส่วนใหญ่ยึดอาชีพเลี้ยงสุกรและชำแหละเนื้อสุกรขาย บางส่วนก็ปลูกผักเสริม ภายหลังมีการ รับซือ้ ขายของป่ารวมทงั้ พชื ผลการเกษตร เช่น จำพวกข้าวเปลอื ก ถว่ั เหลือง ถวั่ ลิสง เป็นต้น ภาพที่ ๒ พวกคนจีนไหหลำในพะเยา ขณะไปเท่ียวพักผอ่ นหย่อนใจที่กวา๊ นพะเยา ที่มา : เกรยี งศกั ด์ิ ชยั ดรณุ “ยา่ นเกา่ เมอื งเก่าในพะเยา” ผลพวงหลังจากมีเส้นทางรถไฟสายเหนือมาถึงลำปางและเชียงใหม่ ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภาคเหนืออย่างพลิกโฉม การผลิตสินค้าทางการเกษตรจากเดิมเพื่อ เล้ียงตนเองหรอื บรโิ ภคภายในท้องถ่นิ ได้เพมิ่ การผลิตเพือ่ การสง่ ออกไปตามเมืองต่างๆ ซ่ึงปริมาณจะ มากและจำเป็นต้องใช้การขนส่งสินค้าทางรถไฟ เพราะสามารถส่งจำนวนปริมาณมากๆได้ อีกทั้ง ชว่ ยประหยัดเวลาและลดคา่ ใชจ้ า่ ย ย่านหนองระบู ได้กลายเป็นถิ่นอาศัยของพวกจีนไหหลำพวกท่ีอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ส่วนหนง่ึ มาเพราะชกั ชวนกันมาไมว่ ่าจะเปน็ เครอื ญาตหิ รือคนที่อย่ใู นหมูบ่ า้ นเดยี วกัน พวกจนี ไหหลำทีอ่ พยพ
4 เข้ามาอยู่ในพะเยา ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเหมือนๆกัน คือการเลี้ยงสุกร ทำให้ย่านหนองระบู กลายเป็นแหล่งเลี้ยงสุกรขนาดใหญ่ ทำให้มีคำเปรียบเปรยหรือล้อเลียนที่ชาวบ้านมักพูดติดปาก ต่อๆกันมาวา่ “หนองระบขู ห้ี มเู หม็น” เพราะทุกครงั้ ถ้าผ่านยา่ นนม้ี ักจะไดก้ ล่ินเหมน็ ขหี้ มูเปน็ ประจำ ในรายงานของสมหุ เทศาภิบาลมณฑลมหาราษฎรร์ ะบวุ า่ “ปี พ.ศ. 2464 ความต้องการสกุ ร จากภาคเหนือมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากราคาสุกรกรุงเทพฯ แพงกว่าราคาซื้อขายกันใน พ้นื เมอื ง (ตามต่างจังหวดั )” เพราะเหตุน้ีทำให้กิจการเล้ยี งสกุ รในภาคเหนือเฟอ่ื งฟเู ปน็ อย่างมากและ สร้างรายได้ให้กับพวกจีนไหหลำที่เลี้ยงสุกรในพะเยา เดิมทีพวกจีนไหหลำเป็นผู้เพาะพันธุ์เลี้ยงสุกรเอง แต่เมื่อตลาดมีความต้องการสุกรสูง แต่ไม่สามารถจะส่งขายในปริมาณมากๆ ได้พวกจีนไหหลำ ในพะเยาจึงใช้วิธีออกไปกว้านซื้อสุกรตามชนบทต่างๆ ในราคาที่ไม่สูงอีกวิธีหนึ่งคือชาวบ้านนำสุกร มาขายเอง แต่มักจะถูกกดราคาจากพ่อค้าจีนไหหลำ วิธีการดังกล่าวทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการ ส่งออกสุกรได้มากกว่าเดิม รายงานของการรถไฟได้แสดงตัวเลขปริมาณจำนวนสุกรที่ส่งออกจาก สถานีรถไฟลำปาง ในปี พ.ศ. 2464 มีจำนวนสูงถึง 22,965 ตัว จากจำนวนสุกรทั้งหมดที่ส่งออก จากสถานีรถไฟภาคเหนือทกุ สถานรี ถไฟลำปาง สว่ นหนึง่ มาจากสุกรทม่ี าจากพะเยา ความมั่งคั่งของการค้าสุกรทำให้พวกพ่อค้าจีนไหหลำย่านหนองระบูมีเงินทุนที่จะข ยาย การค้าอย่างอื่น เช่น เปิดร้านขายสินค้าอุปโภค ซึ่งสินค้าส่วนหนึง่ มาจากส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) โดย ซื้อผ่านจากเอเย่นต์ในลำปางแล้วนำมาขาย อีกส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น นอกจากน้ัน จะเป็นร้านรับซ้ือขายพืชผลการเกษตรหรือสินคา้ ของป่า เช่น เขาสัตว์ หนังสัตว์ ครั่ง น้ำผึ้ง รัก เป็น ต้น สินค้าของป่าเหล่านี้พ่อค้าจีนไหหลำได้รับซื้อจากชาวบ้านแล้วส่งต่อไปขายให้เอเย่นต์ที่ลำปาง อกี ทอดหนง่ึ ก่อนจะส่งเขา้ ไปท่ตี ลาดกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ อย่างไรกต็ ามสินค้าสำคญั อีกชนิดหนึง่ ที่สร้างทีส่ ร้างรายได้ใหก้ ับพวกพ่อค้าจีนไหหลำไม่น้อย กว่าการส่งออกสุกรคือการส่งข้าวเปลือกเป็นสินค้าออกไปยังตลาดกรุงเทพฯ พบว่าหลังปี พ.ศ. 2464 เป็นต้นมา ปริมาณการซื้อขายข้าวเปลือกได้ขยายตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภาวะ ตลาดโลกขณะนั้นมีความต้องการขา้ วสูง และการขนส่งสินค้าโดยทางรถไฟทำให้สะดวกขึ้นสามารถ ส่งสินค้าในปริมาณมากๆ ได้ เมื่อการค้าขายข้าวได้ผลตอบแทนดี ทำให้พ่อค้าจีนไหหลำในพะเยา หันมาค้าขายข้าวมากขึ้น แต่ในขณะนัน้ พะเยายงั ไมม่ โี รงสีข้าวการซือ้ ขายจึงเป็นข้าวเปลือก พ่อค้า จีนไหหลำจะนำข้าวเปลือกที่รับซื้อขายข้าวเปลือกที่รับซื้อจากชาวนาแล้วบรรทุกไปขายที่โรงสี ในลำปางซ่ึงส่วนใหญเ่ จา้ ของกิจการโรงสีจะเปน็ พวกไหหลำทั้งสิ้น การดำเนินธุรกิจค้าข้าวดำเนินไปได้ไม่กี่ปีนักก็เกิดวิกฤติการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2472 – 2477 ทำให้เศรษฐกิจการค้าทั่วโลกต้องชะงักงัน ส่วนไทยซึ่งมีเค้าลาง เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2469 ขณะนั้นรัฐบาลไทยมีปัญหาการคลัง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 6 เม่อื ต้องมาประสบกับวิกฤตการณเ์ ศรษฐกิจตกต่ำทัว่ โลกในสมัยรัชกาลท่ี 7 ยิ่งทำให้ไทย ต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ไม่ว่าการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ตลาดค้าข้าวซบเซาราคา ตกต่ำ การส่งออกข้าวไม่สามารถทำได้ ส่งผลทำให้โรงสีข้าวหลายแห่งในลำปางต้องปิดตัวลง ชาวนาในภาคเหนือต่างได้รับความเดอื ดร้อนไมส่ ามารถขายข้าวได้ การตอ้ งเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ
5 ฝืดเคืองหลายปีกว่าประเทศจะฟืน้ ตัวได้ก็ย่างเข้าปี พ.ศ. 2478 เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกระเตื้องขนึ้ ตลาดการคา้ ขา้ วกลับมาคกึ คกั อกี คร้งั จะเหน็ ว่า ปริมาณขา้ วเปลอื กจากพะเยาท่สี ่งไปขายในลำปาง เพิ่มสูงขึ้นมาก อำเภอเชียงคำ และพะเยาเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือที่มี ปริมาณการส่งออกข้าวเปลือกไปลำปางมากทีส่ ุด Mr. W.W. Coulter กงสุลอังกฤษที่เชียงใหม่ได้ให้ ทัศนะในรายงาน Report on Official tour made (January – February 1936) ว่า “อำเภอ พะเยาเขตจังหวัดเชียงรายซึ่งมีความสมบูรณ์ในการเพาะปลูกข้าว กำลังเจริญเติบโตและมี ความสำคัญมากขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าพะเยาจะทำลายความเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวของลำปาง เพราะเมืองลำปาง มีความสำคัญเฉพาะเป็นเมืองชุมทางรถไฟ....ลำปางยังไม่อุดมสมบูรณ์และการ ผลิตขา้ วก็ไมเ่ พียงพอสำหรบั เลยี้ งดปู ระชากรได้จึงขยายตวั แตข่ นาดเทา่ นั้น” การเจริญเติบโตทางดา้ นเศรษฐกิจในภาคเหนือกระเตือ้ งขึ้นได้ไม่ถงึ สิบปี ก็ต้องหยุดชะงักลง ไปอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2484 และไทยต้องเข้ารว่ มรบกับญี่ป่นุ ต่อสู้ ฝ่ายสัมพันธมิตร สงครามได้ลุกลามไปทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงมากกว่าสงครามโลก ครั้งที่ 1 ภาวะสงครามทำให้สินค้าขาดแคลนไปทั่วทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค การส่งออกข้าวเปลือก ต้องหยุดชะงักเพราะผลผลิตเกือบทั้งหมดถูกขายให้กับกองทัพญ่ีปุ่นทีอ่ ยู่ในภาคเหนือ การส่งสินคา้ ทางรถไฟไม่สามารถทำได้ เนื่องจากทางรถไฟถูกทิ้งระเบิดทำลายเสียหายไปเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะสถานีรถไฟสำคัญๆ รัฐบาลไทยสมัยนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายเขตปลอดคนต่างด้าวในทางภาคเหนือช่วงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2486 เขตหวงหา้ มครอบคลุม 6 จังหวัดคอื เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แพร่ และอุตรดิตถ์ คนต่าง ด้าวส่วนใหญ่เป็นคนจีนต้องอพยพออกจากพื้นที่ภายในเดือนเมษายน เจตนาที่แท้จริงของรัฐบาล ในการออกประกาศฉบับนี้ ก็เพื่อจะกีดกันคนจีนโดยเฉพาะ และสร้างกระแสความเกลียดชังทาง ชนชาติในหมปู่ ระชาชน การอพยพของพวกคนจีนต่างดา้ วในพะเยา สว่ นใหญ่จะอพยพไปอาศัยอยทู่ ่ี อำเภอปง เพราะ ขณะนั้นอำเภอปง ขึ้นอยู่กับจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นจังหวัดที่ไม่ได้ถูกประกาศให้เป็นเขตหวงห้าม จงึ ได้รับการยกเว้น สว่ นผมู้ ีฐานะดีจะอพยพไปอยูก่ รุงเทพฯ อยา่ งไรก็ตาม มีคนจนี หลายคนที่ไม่ยอม อพยพไปเพราะเป็นหว่ งทรพั ย์สินและหลายรายได้รบั การช่วยเหลือจากคนพ้นื เมอื งในการหลบซ่อนตัว การขับไล่คนต่างด้าวโดยเฉพาะคนจีนทำให้เศรษฐกิจในพะเยาได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะ การค้าขายส่วนใหญ่เป็นของคนจีน เมื่อกิจการต้องปิดตวั ลง ทำให้สินค้าเกิดการขาดแคลนอย่างหนกั และมีการกักตุนสินค้าไปท่ัวทางการใช้วิธีจัดสรรโควตาสำหรับสนิ ค้าจำเป็น อาทิ น้ำมัน น้ำตาลทราย เป็นตน้ ยามภาวะสงครามการดำเนินชีวิตของผู้คนต้องยากลำบากขาดแคลนทั้งอาหาร ของใช้และ เวชภัณฑ์ ส่วนคนจีนต่างด้าวที่ถูกขับไล่แทบสิ้นเนื้อประดาตัว การใช้ชีวิตต้องระแวดระวังกลัว ทางการจะจับกุม ย่านหนองระบูแทบจะร้างคนจีน สถานการณ์กลับเลวร้ายลงเมื่อมีข่าวลือสะพัด ไปว่าภรรยาของคนต่างด้าว แม้จะเป็นพลเมืองไทยก็ตาม จะต้องอพยพไปพร้อมกับสามี ดังนั้นคน จนี ตา่ งด้าวทมี่ ภี รรยาเป็นคนไทย จงึ ตอ้ งจัดการหย่าขาดกบั ภรรยาเพื่อรกั ษาทรัพยส์ นิ และหลกี เล่ียง
6 การถูกกดราคาขายทรัพย์สินที่เป็นร้านค้าในราคาถูก โดยให้ภรรยาคนไทยที่หย่าขาดจากกันเป็น ผดู้ ูแลทรพั ย์สินแทน อยา่ งไรกต็ ามนโยบายการขับไล่คนต่างดา้ ว (โดยเฉพาะคนจีน) ไม่ค่อยเข้มงวด มากนักเพราะยงั มีการผ่อนปรนในบางกรณี ภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และให้หลังหนึ่งสัปดาห์ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศยกเลิกเขตหวงห้าม ทงั้ หมดในไทยเปน็ ผลทำให้คนจนี ตา่ งด้าวสามารถกลับมาถิน่ ฐานเดิมได้ เมื่อบ้านเมืองปกตสิ ขุ ประชาชนสามารถใช้ชวี ิตได้ตามปกติ ย่านหนองระบูจงึ กลับมาคึกคัก อีกคร้งั มีการขยายตวั ทางเศรษฐกิจและสังคม ชุมชนยา่ นหนองระบูมีผู้คนมาอาศัยอยู่มากขึน้ พวก คนจนี ไหหลำจากลำปางหลายกลุ่มได้เขา้ มาลงทนุ ธุรกจิ การค้าในยา่ นหนองระบู เช่น เถา้ แกเ่ ก็ดต้น แซ่ห่าน ได้มาสร้างห้องแถวไม้ให้คนเช่าและเปิดร้านชื่อ “ศิวาลัย” เป็นร้านขายสินค้าสังฆภัณฑ์ และรบั ตดั เย็บเสอื้ ผ้าภาพ๓นอกเหนือจากกจิ การโรงฟอกหนงั ที่เถ้าแก่เก็ดตน้ ไปเปดิ อยู่ท่ีย่านหน้าโรงสี อีกคนหนึง่ คือ เถา้ แก่ฮ่งต๊ก แซเ่ หล่ียม คนจนี ไหหลำท่ีย้ายถิ่นฐานจากอำเภอเชียงคำมาเปิดร้านรับ ซือ้ พืชผลทางการเกษตรและสรา้ งโกดงั (ไซโล) เก็บข้าวเปลอื กส่งออกไปกรงุ เทพฯภาพ๔ ในปีพ.ศ. 2489 กลุ่มคนจีนไหหลำในพะเยาและคนจีนในย่านตลาดสดพะเยา ร่วมกัน ก่อตั้งโรงเรียนจีนขึ้นมาแห่งแรกในพะเยาชื่อ “โรงเรียนยกเฉียว”ตั้งอยู่ที่ย่านหนองระบูบริเวณ โรงไฟฟ้าหลังเก่าเยื้องๆ กับวัดราชคฤห์ กรรมการร่วมก่อตั้งส่วนใหญ่เป็นคหบดีจีนไหหลำ เช่น เถ้า แกข่ ีพ่ง เจา้ ของโรงสยี ุ่ย พง่ หลง เถ้าแก่เก็ดตน้ เจ้าของโรงฟอกหนงั และร้านศิวาลัย เถ้าแก่ส่วนต้น เจ้าของโรงแรมไทยประคอง เถ้าแก่คนเยา อดีตครูโรงเรียนยกเฉียวและเจ้าของร้านคนเยาพานิช ขายอะไหล่รถ และเถ้าแก่ฮ่งต๊ก เจ้าของร้านล่วนไฮเ้ ทียน หรือร้านเหลีย่ มศิริวัฒนา ซึ่งรับซือ้ ขาย พืชไร่และขา้ วเปลือกเป็นต้น ภายหลังโรงเรยี นได้เปลย่ี นชื่อมาเป็น “โรงเรยี นพะเยาศึกษา” เพราะ เหตุผลทางการเมอื งอกี กระท่ังมาเปลย่ี นช่ือ อกี ครง้ั เป็น “โรงเรยี นประชาบำรุง” จนถงึ ปจั จบุ นั ยา่ นหนองระบภู าพ๕ ตงั้ แตป่ ี 2490 เป็นตน้ มา ไมเ่ คยร้างผคู้ น มีผู้คนมาอยู่อาศัยหนาแน่น ทั้งที่เป็นคนจีนไหหลำอพยพเข้ามาและคนพื้นเมือง ย่านหนองระบูได้กลายเป็นย่านธุรกิจการค้า แห่งใหม่ของพะเยา การทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงสุกรของคนจีนไหหลำย่านหนองระบูดำเนิน กิจการอยู่ได้หลายทศวรรษ และจึงค่อยๆลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีลูกหลานสืบต่อ ปัจจุบันเหลือเพียง ไมก่ ่คี รอบครัวทีย่ ังประกอบอาชีพนอ้ี ยู่ คนจนี ไหหลำมคี วามถนัดดา้ นในงานดา้ นเกษตรกรรม การใช้ ชีวิตค่อนข้างสมถะเรียบง่าย แต่ก็มีคนจีนไหหลำบางส่วนที่ไปทำธุรกิจขนาดใหญ่เช่น แม่เลี้ยง ทองคำ ฮั่นตระกูล ไปเปิดกิจการโรงเลื่อยไม้ที่ตำบลแม่ต๋ำ หรือเถ้าแกฮ่งต๊ก แซ่เหลี่ยม ไปทำ ธุรกิจสัมปทานโรงต้มกล่ันสุราที่เชียงราย นอกจากนั้นเป็นกิจการโรงสีข้าวที่กลุ่มพ่อค้าไหหลำจาก ลำปาง ไปเปิดอย่แู ถวยา่ นหนา้ โรงสี
7 ภาพท่ี ๓ ร้านศวิ าลยั หอ้ งแถวไมส้ องชัน้ อยูใ่ นยา่ นหนองระบู เถา้ แกเ่ กด็ ตน้ แซ่หา่ น เป็นเจา้ ของ ที่มา : เกรยี งศักดิ์ ชัยดรณุ “ย่านเกา่ เมอื งเกา่ ในพะเยา” ภาพที่ ๔ รา้ นเหล่ียมศริ วิ ัฒนา เป็นร้านรบั ซอ้ื ขายพชื ผลทางการเกษตรเถ้าแกฮ่ ่งต๊ก แซเ่ หล่ียม เปน็ เจา้ ของ ท่มี า : เกรียงศกั ดิ์ ชัยดรณุ “ย่านเกา่ เมอื งเก่าในพะเยา”
8 ภาพท่ี ๕ ยา่ นหนองระบู ชว่ งถนนดอนสนามจะมาทางสถานตี ำรวจภธู ร เมอื งพะเยา ท่ีมา : เกรยี งศักดิ์ ชัยดรณุ “ยา่ นเกา่ เมืองเกา่ ในพะเยา” ในปัจจุบัน ย่านหนองระบูดูเงียบเหงา กิจการร้านค้าที่เคยคึกคักผู้คนมาซื้อขายพืชไร่หรือ จับจ่าย ใช้สอยซื้อสินค้าตอนน้ีเหลืออยู่ไมก่ ี่หลงั ต่างค่อยๆ ทยอยปิดตัวลงกลายเป็นเพียงแค่ทีพ่ ัก อาศัย บ้านเก่าเรือนเกา่ ในยา่ นน้ีที่เคยสวยงาม ได้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา และถูกรื้อถอนไปทีละ หลังสองหลังแล้วมีบ้านตึกเข้ามาแทน สำหรับย่านหนองระบูได้กลายเป็นอดีตที่ร่วงโรยยากจะ กลับคนื มาใหม้ ีชีวิตชีวาเหมอื นเดมิ (เกรยี งศักดิ์ ชัยดรณุ , 2558, หน้า 6๔-70) กลุ่มยทุ ธศาสตร์และเฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม สำนกั งานวฒั นธรรมจังหวดั พะเยา 73/1 ถนนดอนสนาม ตำบลเวยี ง อำเภอเมืองพะเยา จังหวดั พะเยา โทร. 054 485781 โทรสาร 054 485783
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: