Germany : Love at first drive Chapter 7 : Fabulous time in bavaria หนูเล็ก
อ่มิ ตาอ่ิมใจ….ในบาวาเรยี เช้านี้เรารีบตื่นกันแต่เช้า เพราะไฮไลต์บนเส้นทางก่อนท่ีจะไปถึงท่ีพักในคืนนี้เป็ น ปราสาทของพระเจ้าลุดวกิ ท่ี 2 อกี หนง่ึ แห่ง และแห่งนีเ้ ป็นแหง่ ท่ีหนูเลก็ อยากจะมาเห็นมาก เพราะได้ ยินไดฟ้ ังมาวา่ แมจ้ ะเป็นปราสาทแหง่ ที่เลก็ ที่สดุ เพราะจะมาประทบั เวลามาลา่ สตั วเ์ ท่าน้นั แต่ความงดงาม ภายในไมไ่ ดด้ อ้ ยไปกวา่ นอยชวานสไตนเ์ ลย ดงั นนั้ คนที่คกึ คกั ท่ีสดุ สาํ หรบั เชา้ วนั นีจ้ ึงเป็นหนเู ลก็ ท่ีรีบตืน่ แต่ เชา้ แลว้ กเ็ ที่ยวเรียกใครตอ่ ใครใหล้ กุ โดยไว โดยเฉพาะพอ่ ครวั หวั ป่ ากค์ นสาํ คญั อยา่ งคณุ ปาที่ตอ้ งมาเตรยี ม อาหารเชา้ และอาหารกลางวนั ท่ีเราจะจดั เตรียมใส่กล่องไปเลย เพราะวนั นีเ้ วลาสว่ นใหญ่ของเราคงอย่ทู ี่ ปราสาทเป็นแน่ จดั การกบั อาหารเชา้ กนั อยา่ งเรง่ รบี กอ่ นท่ีเราจะจากฟื สเซนไป หนเู ลก็ ใหพ้ ่ีดพี้ าพวกเราไปร่าํ ลาพระเจา้ ลดุ วิกเจา้ ของปราสาทแสนสวย กนั ก่อน และตง้ั ใจจะไปแวะบอกพระองคด์ ว้ ยวา่ เราจะขอติดตามไปชมปราสาทอีกแห่งท่ีพระองคร์ งั สรรค์ ไวใ้ หโ้ ลกใบนี้ หนูเล็กขบั รถเขา้ ไปตามเสน้ ทางเดิมท่ีเรามากันเมื่อวานนี้ วิ่งรถผ่านโบสถเ์ ซนตโ์ คโลแมน (St.Kolomankirche) ท่ียงั คงตงั้ ตระหง่านอย่างเดียวดาย โดยไมไ่ ดแ้ วะอีกเชน่ เดมิ ปราสาทนอยชวานสไตน์ จากมมุ เดมิ ที่เราไดม้ าชมเม่ือแรกมาถึง ยังคงถูกหมอกหนาบดบงั ความงดงามไม่ใหอ้ วดโฉมเช่นเดียวกบั สองวนั ที่ผา่ นมา แลเผนิ ๆ บรรยากาศชวนเศรา้ อยเู่ หมอื นกนั
พี่ใหญ่จัดการให้ “นอ้ งจี” นาํ พาเราเดินทางออกจากฟื สเซนเพ่ือไปยังปราสาทลินเดอรฮ์ อฟ (Linderhof) โดยใชถ้ นนสายรอง B16 จากนน้ั เปลี่ยนไปใช้ B17 ทางท่ีจะไปยงั มิวนิคและชวานเกา ว่ิงผา่ น เมืองชไตนก์ าเดน้ ไปจนกระท่ังถึงถนน ST2059 ซ่ึงเป็นทางท่ีจะพาเราไปยังการม์ ิช-พารเ์ ทนเคอเช่น (Garmisch-Partenkirchen) จากน้ันจะพบสาย B23 ซึ่งเป็ นทางที่จะไปยังโอเบอร์รัมเมอร์เกา (Oberammergau) จากน้ันเม่ือพบป้ายบอกทางใหเ้ ลีย้ วไปยงั ถนนสาย ST2060 จะผ่านเมืองกราสแวง (Graswang) ว่ิงไปอีกประมาณคร่ึงช่ัวโมงก็จะพบป้ายบอกทางใหโ้ คง้ เขา้ ไปยังทางเขา้ ปราสาทลินเดอร์ ฮอฟ ระยะทางที่นอ้ งจีใหเ้ ราเดินทางใชเ้ วลาแคช่ ่วั โมงเดียว รวมระยะทางก็เพียง 61 กิโลเมตรเท่าน้นั เอง ทนั ใจคนอยากเที่ยวอย่างหนเู ลก็ เสียเหลือเกิน และชมวิวงามๆ ระหวา่ งทาง สู่ Garmisch-Partenkirchen จากปากทางว่งิ เขา้ ไปไมไ่ กลนกั รถเราก็ไปจอดรวมอย่กู บั นกั ทอ่ งเที่ยวจาํ นวนไม่นอ้ ยท่ีมาเยี่ยมชม ในวนั นีเ้ ช่นกนั อากาศวนั นีค้ อ่ นขา้ งเยน็ อณุ หภมู ปิ ระมาณ 12-13 องศา และคงเป็นเพราะบรรยากาศของ สถานท่ีท่องเที่ยวเป็นใจดว้ ยกระมงั กบ็ ริเวณโดยรอบรม่ ครมึ้ ไปดว้ ยแมกไมน้ านาพนั ธทุ์ ่ีคงลาํ ตน้ สงู ใหญเ่ ลย ย่ิงทาํ ใหอ้ ากาศเย็นชืน้ เพ่ิมขนึ้ ไปอีก ขนาดวา่ ลมพดั พาความเย็นมาออ่ นๆ พวกเราที่ใสเ่ สือ้ หนาวกนั จนตวั กลมแลว้ ยงั รูส้ กึ เย็นยะเยือกเอาเหมือนกนั ใกลล้ านจอดรถมที ง้ั หอ้ งนา้ํ สาธารณะ รา้ นขายของที่ระลกึ สวยๆ
แถมมีขนมเพรสเซลกับโคก้ และตโู้ ทรศพั ทส์ าธารณะดว้ ย ใครคิดถึงบา้ นใชบ้ ริการไดเ้ ลย ออ้ ...แต่ตอ้ ง เตรยี มบตั รโทรศพั ทไ์ ทยการด์ มาดว้ ยละ่ บรเิ วณลานจอดรถ รา้ นขายของท่ีระลกึ ที่มีแตข่ องนา่ ซือ้ เราเดินเทา้ ตอ่ ไปอกี ประมาณ 500 เมตรเพื่อซือ้ บตั รเขา้ ชมที่จดุ จาํ หน่ายบตั รในราคา 4 คน รวม 32 ยโู ร โดยเราไดช้ มในรอบเวลา 11.00 น. ซ่ึงยงั มีเวลาให้เราคอ่ ยๆ เดินเก็บบรรยากาศรอบๆ ไปพลางๆ ระหวา่ งรอเวลา ใกลก้ บั จุดจาํ หน่ายบตั รเป็นรา้ นขายของท่ีระลึกของปราสาท หอ้ งนา้ํ สาธารณะ โรงแรม และรา้ นอาหาร จากจดุ นีเ้ ราตอ้ งเดนิ เทา้ ตอ่ ไปยงั ปราสาทและสวนปราสาทอีก อาณาบริเวณของปราสาท
ลนิ เดอรฮ์ อฟคอ่ นขา้ งกวา้ งขวาง ระหวา่ งทางเดินมีแอ่งนา้ํ ขนาดย่อมท่ีมีหงสข์ าวลอยตวั ไปมาเป็นเหมือน ฝ่ายตอ้ นรบั นกั ท่องเที่ยวระหวา่ งทางเดนิ สตู่ วั ปราสาท ไดต้ ๋วั กนั มาละ่ เดนิ เทา้ สตู่ วั ปราสาท ประมาณ 10 นาทีเราก็เดินถึงจดุ หมาย ปราสาทสีขาวแสนสวยตงั้ ตระหง่านอยู่ตรงหนา้ ดา้ นหนา้ ปราสาทเป็นบ่อน้าํ ขนาดกาํ ลงั ดีที่มีรูปป้ันสีทองรูปผูห้ ญิงและเด็กเอกเขนกกนั อย่กู ลางนา้ํ ที่รูปปั้นมีการ ติดตง้ั นา้ํ พไุ วด้ ว้ ย นา้ํ พนุ ีจ้ ะพวยพงุ่ ขนึ้ ทกุ ๆ ครง่ึ ช่วั โมงเร่ิมจากตา่ํ ๆ แลว้ ก็คอ่ ยๆ พุ่งขนึ้ สงู สดุ ราวๆ 25 เมตร อย่สู กั ครูห่ นง่ึ จากนน้ั กจ็ ะคอ่ ยๆ ลดระดบั ลงและหยดุ ไปในที่สดุ
นา้ํ พสุ ีทองดา้ นหนา้ ทางเขา้ ปราสาทลินเดอรฮ์ อฟ ปราสาทลินเดอรฮ์ อฟเป็นปราสาทหลงั ที่ 2 ที่พระองคท์ รงสรา้ งหลงั จากเสดจ็ กลบั จากการเยือน ฝร่งั เศสเมอ่ื ปี ค.ศ.1867 ดว้ ยความประทบั ใจพระราชวงั ของฝร่งั เศส และจากทาํ เลที่ตงั้ แหง่ นีท้ ี่อยู่กลางหุบ เขากราสแวง เรมิ่ จากการท่ีพระเจา้ ลดุ วิกท่ี 2 ไดเ้ ดินทางไปลา่ สตั วใ์ นบริเวณเทือกเขาบาวาเรียแอลป์ กับ พระราชบิดาเมื่อทรงพระเยาวอ์ ยู่บ่อยครงั้ เม่ือขึน้ ครองราชยต์ อ่ จากพระบิดาเมื่อปี ค.ศ.1869 พระองค์ ไดร้ บั สง่ิ ปลกู สรา้ งที่เรยี กวา่ ตาํ หนกั เคอนิกเฮาเชน (Königshäuschen) ในระยะแรกพระองคจ์ ึงทรงขยาย ตาํ หนกั เดิม แตเ่ มือ่ กลบั จากการไปเยือนราชสาํ นกั ฝร่งั เศส พระองคก์ ็ทรงส่งั ใหย้ า้ ยตาํ หนักเคอนิกเฮาเชน ไปตงั้ ในบริเวณอ่ืน และบนสิง่ ก่อสรา้ งรูปตวั “U” ที่ยงั เหลืออยู่น้ันก็ทรงมีบัญชาใหส้ รา้ งหอ้ งสามหอ้ งและ บนั ได ดา้ นหนา้ ท่ีเคยตกแตง่ เป็นไมก้ ็ใหห้ มุ้ ดว้ ยหิน อาคารสิ่งก่อสรา้ งเป็นแบบรอคโคโค ภายในมีรูปพระ อาทิตยซ์ ึ่งถือเป็นสญั ลกั ษณข์ องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยข์ องพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 อยู่ท่ัวไป น่นั เป็น เพราะพระองคท์ รงมคี วามเชื่อวา่ อาํ นาจของพระเจา้ แผน่ ดินเป็นอาํ นาจที่มาจากพระเจา้ ซึง่ ไดร้ บั การวพิ าก์ วจิ ารณใ์ นภายหลงั วา่ เป็นความคิดท่ีลา้ สมยั ท่ีสดุ ของพระองคใ์ นคริสตศ์ ตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว ดๆู แลว้ พระองคก์ ด็ ขู ดั แยง้ ในตวั เองอย่างประหลาด บางเรื่องกด็ ทู นั สมยั ลา้ํ หนา้ เช่นเรื่องระบบประปา ระบบไฟฟ้า แตท่ าํ ไมถงึ มีความคดิ เชน่ นีไ้ ดก้ ็ไมร่ ู้ พระองคจ์ งึ มพี ระประสงคท์ ่ีจะใหใ้ ชเ้ ป็นสถานที่พกั ผอ่ นยามท่ีออกลา่ สตั ว์ ดงั นน้ั ปราสาทแห่งนีจ้ ึงมีขนาดเลก็ ที่สดุ ในบรรดาปราสาทท้ัง 3 หลงั และเป็นหลงั เดียวท่ีสรา้ งเสร็จ สมบรู ณเ์ มือ่ ปี ค.ศ.1878 โดยใชเ้ วลาสรา้ งทงั้ หมด 4 ปี ปราสาทแห่งนีเ้ ป็นศิลปะบารอคแบบฝร่งั เศส การ ตกแตง่ ภายในเป็นไปอยา่ งหรูหราทงั้ ผา้ มา่ น เครื่องแกว้ และโคมไฟระยา้ คริสตลั จากโบฮีเมีย ว่ากันว่าการ ออกแบบตกแต่งแสดงใหเ้ ห็นถึงความหลงใหลในความเป็นฝร่งั เศสเอามากๆ พระองคท์ รงถือวา่ พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 แหง่ ราชวงศบ์ รู บ์ อง (Bourbon) เป็นนกั บญุ ประจาํ พระองค์ สว่ นสวนดา้ นนอกปราสาทเป็นการ ผสมผสานระหวา่ งความเป็นทางการของสวนสไตลฝ์ ร่งั เศส และการจัดสวนท่ีมีระเบียงนา้ํ ตกลดหล่นั เป็น ชนั้ ๆ สไตลส์ วนอิตาลี
บริเวณทางเขา้ ชมดา้ นหนา้ ปราสาท ระหวา่ งรอชมกเ็ ก็บภาพกนั ไป พวกเราเดินเก็บภาพไปรอบๆ บริเวณระหวา่ งรอการเขา้ ชม นกั ท่องเที่ยววันนีจ้ าํ นวนไม่มากนัก หรอื เป็นเพราะเราไปเจอผคู้ นจาํ นวนมหาศาลท่ีปราสาทนอยชวานสไตนม์ าแลว้ กไ็ มร่ ูจ้ ึงเห็นว่าท่ีน่ีคอ่ นขา้ ง
บางตา รอบๆ บริเวณมกี ารตกแตง่ ประดบั ประดาดว้ ยรูปปั้นทงั้ สีทองอรา่ ม ทาํ ดว้ ยบรอนซแ์ ละทาํ ดว้ ยปูน หลากหลายรูปแบบ รูปปั้นบางตวั แลใหเ้ หน็ ถึงรอ่ งรอยของการเดินทางผา่ นเวลามาเน่ินนาน ดา้ นตะวนั ตก ของปราสาทเป็นสวนปราสาทท่ีสรา้ งเสรจ็ เป็นแหง่ แรกเม่อื ปี ค.ศ.1872 สรา้ งเป็นแปลงไมด้ อกสีสนั สดใส มี รูปป้ันนา้ํ พเุ คลอื บทองที่ช่ือ ฟามา (Fama) ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งชื่อเสยี งและอมวั ร์ (Amor) เทพแห่งความรกั ทั้งสองน่ังอยู่กับปลาโลมา ใกลๆ้ กันมีรูปปั้นหินที่เป็นตัวแทนของฤดูท้ังส่ี มีแจกันเคลือบจากอิตาลี (majolica vases) ซึง่ นาํ มาจากโรงงานในนิมเฟนบรู ก์ (Nymphenburg Manufactory) ท่ีซุม้ ปลายสวนมีรูป ปั้นครงึ่ พระองคข์ องพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 14 ส่วนดา้ นตะวันออกของปราสาท จัดเป็นสวนดอกไมส้ ีสด มีรูปป้ันปูนต้ังอยู่ 4 มุม เพ่ือเป็น สญั ลกั ษณแ์ ทนธาตทุ ัง้ ส่ี ส่วนรูปปั้นตรงกลางแปลงไมด้ อกเป็นรูปป้ันของวีนสั และอโดนิส (Venus and Adonis) เมอื่ เดินเลยไปจะพบรูปปั้นนา้ํ พเุ คลอื บทองรูปเทพอมวั ร์ (Amor) ที่กาํ ลงั แผลงศรกามเทพ และก็ เช่นกนั ที่ซมุ้ ปลายสวนกจ็ ะมีรูปปั้นครง่ึ พระองคข์ องพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 14 เหมือนอีกดา้ นหนึ่งแสดงใหเ้ ห็นได้ อย่างชดั เจนวา่ ทกุ ส่งิ ที่สรา้ งจะเป็นลกั ษณะสมมาตรทงั้ ภายในและภายนอก สอดรบั กนั ทงั้ หมด สวนแบบสมมาตรบรเิ วณสวนปราสาท
เมื่อถึงเวลา 11.00 น. การเขา้ ชมก็จะเป็นแบบเดียวกนั กับที่ปราสาทนอยชวานสไตนค์ ือ กล่อง เลก็ ๆ ที่ใหเ้ ราสอดบัตรเขา้ ชมจะขนึ้ เวลาและหมายเลขประจาํ รอบน้ันๆ เราก็เพียงไปตอ่ คิวสอดบตั รผ่าน เครอ่ื งแลว้ กร็ อใหไ้ กดม์ ารบั กติกาก็เช่นเคยคือใหป้ ิดโทรศพั ทม์ ือถือ หา้ มถ่ายภาพ หา้ มถ่ายวีดีโอท้ังปวง ผบู้ รรยายรอบนีเ้ ป็นหญิงกลางคนรูปรา่ งปราดเปรียว ใสก่ างเกงทะมดั ทะแมง สวมรองเทา้ บทู้ ดคู ลอ่ งแคล่ว ดี เธอจดั ไดว้ า่ พดู ภาษาองั กฤษชดั เจน ชดั ถอ้ ยชดั คาํ ฟังไดง้ า่ ยอีกคนหนง่ึ เวน้ จงั หวะจะโคนดที ีเดียวเลยทาํ ใหเ้ ราฟังไดเ้ ขา้ ใจกวา่ ทกุ ท่ีที่ผา่ นมา เมือ่ ถงึ หมายเลขควิ เขา้ ชมกไ็ ปตอ่ แถว หอ้ งที่เธอยืนแนะนาํ ตวั และเลา่ ประวตั คิ วามเป็นมาเป็นสถานที่แรกท่ีการทวั รป์ ราสาทเริ่มขนึ้ ตรง หอ้ งนีเ้ ป็นบริเวณโถงทางเขา้ (Vestibule)ตรงกลางที่ไกดใ์ หน้ ักท่องเท่ียวยืนลอ้ มรอบอย่นู ้ันเป็นรูปป้ัน จาํ ลองของพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ทาํ ดว้ ยหินออ่ นสีดาํ ที่กาํ ลงั ทรงมา้ โดดเดน่ ดว้ ยเสาหินออ่ นสีแดงเลือดหมู สะดดุ ตา บนเพดานมสี ญั ลกั ษณข์ อง Sun King ซึ่งพระองคห์ มายถึงพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 อนั เปรยี บไดก้ บั สรุ ิ ยกษัตรยิ ์ และพระองคถ์ ือวา่ พระองคเ์ ป็นเสมือนเงาของพระเจา้ หลยุ สห์ รือเป็น Moon King อีกท้ังยงั มีคาํ ขวญั ประจาํ ตวั พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ติดไวท้ ี่หนา้ ประตทู ่ีแปลแลว้ ไดค้ วามประมาณวา่ “ขา้ คือผทู้ ่ียิ่งใหญ่กว่า ผใู้ ด” ติดไวด้ ว้ ย ปราสาทแห่งนีจ้ าํ ลองแบบมาจาก\"พระที่น่งั เบอรต์ ี ตริอาน็อง\" ของฝร่งั เศส สรา้ งในสไตล์ บารอค ส่วนบันไดที่จะขึน้ ไปยังชั้นต่อไปจะแยกเป็นสองทางเป็นส่วนท่ีจาํ ลองมาจากบันไดทูตของ พระราชวงั แวรซ์ ายส์ (Ambassador’s Staircase) ซึ่งต่อมามีการสรา้ งแบบเต็มสดั ส่วนท่ีปราสาทแฮรเ์ รน คมี เซ่ (Herrenchiemsee) ตรงกลางหอ้ งมีแท่นตงั้ แจกนั สีนา้ํ เงินขนาดใหญ่ตง้ั อยู่ แจกนั คงเป็นส่งิ ที่พระองค์ โปรดปราน เพราะมองไปมกั จะเจอแจกนั วางประดบั ไว้ แมแ้ ตท่ ่ีขา้ งบนั ไดทางขนึ้ เดินทะลถุ ัดไปเป็นหอ้ งส่วนพระองคท์ ี่เรียกช่ือเป็นทางการว่า เวสเทิรน์ แทเพสทรี แชมเบอร์ (Western Tapestry Chamber) หรือเรียกแบบเขา้ ใจง่ายคือ หอ้ งดนตรี (Music Room) เพราะหอ้ งนีม้ ี เคร่ืองดนตรีพิเศษชนิดหน่ึงตง้ั อยู่ เคร่ืองดนตรีนีเ้ รียกว่า Pianino Aeolodion เป็นเคร่ืองดนตรีที่รวมเอา เปียโนและฮารโ์ มนีไวด้ ว้ ยกนั ภายในเนน้ การตกแตง่ ที่ออกไปทางสที องรวมทงั้ เครือ่ งดนตรีท่ีวา่ นน้ั ดว้ ย สว่ น ผา้ มา่ นใชผ้ า้ ไหมสแี ดงสด เกา้ อผี้ า้ ไหมสีแดงตกแตง่ บดุ ว้ ยผา้ ปักที่เป็นภาพเรือ่ งราวอะไรสกั อย่าง ไกดบ์ อก
วา่ เป็นฝีมือชา่ งปักจากปารีสซง่ึ เป็นศลิ ปะแบบรอคโคโคอยา่ งแทจ้ ริง ขา้ งๆ เครือ่ งดนตรปี ระดบั ไวด้ ว้ ยสตั วท์ ี่ พระองคท์ รงโปรดอีกชนิดหนึ่งคือ นกยงู สีนา้ํ เงินม่วงที่มีขนาดเท่าของจริง ซึ่งจากขอ้ มลู ที่คน้ พบในสมดุ บนั ทึกสว่ นพระองคน์ กยงู เป็นสตั วท์ ่ีพระองคท์ รงโปรดมากกว่าหงสเ์ สียอีก ท่ีอลงั การท่ีสดุ ของหอ้ งนอกไป จากสีทองอร่าม คงเป็นภาพวาดที่ผนังและเพดานซึ่งเป็นฝีมือของไฮนร์ ิช ฟอน เพชมนั น์ (Heinrich Von Pechmann) เพราะภาพวาดที่เห็นดมู ีมิติมีความลมุ่ ลึกจนดแู ลว้ ไมเ่ หมือนภาพวาด แตด่ เู หมือนภาพปัก ละเอียดอย่างไรอยา่ งนน้ั หอ้ งถดั ไปเป็นหอ้ งที่เรียกวา่ เยลโลว์ คารบ์ ิเนท (Yellow Cabinet) เป็นหอ้ งเลก็ ๆ ท่ีตกแต่งดว้ ยสี เหลอื งเป็นหลกั ประดบั ดว้ ยสเี งิน สีเทา และสนี า้ํ เงิน ท่ีผนงั ประตู เพดานประดบั ดว้ ยลวดลายแกะสลกั ที่ ออ่ นชอ้ ยงดงาม ท่ีฝาผนงั ประดบั ดว้ ยภาพพระราชวงศฝ์ ร่งั เศส จากนน้ั ไกดพ์ าเราไปยังหอ้ งสาํ หรบั เขา้ เฝา้ (Audience Chamber) หอ้ งนีถ้ ือเป็นหอ้ งสาํ คญั หอ้ ง หนง่ึ เน่ืองจากออกแบบโดยคริสเตียน จงั ค์ (Christian Jank) ผทู้ ่ีออกแบบปราสาทนอยชวานสไตน์ แต่เดิม หอ้ งนีพ้ ระองคต์ งั้ พระทยั จะใชเ้ ป็นหอ้ งบัลลงั ก์ (Throne Room) เน่ืองจากโต๊ะ เกา้ อีท้ ี่ดา้ นบนที่เป็นไม้ แกะสลกั ประดบั ดว้ ยสีทองอรา่ มมีลกั ษณะเหมอื นบลั ลงั ก์ แตเ่ พราะเหตใุ ดไมผ่ ใู้ ดทราบพระองคท์ รงเปลี่ยน เพ่ือใหใ้ ชเ้ พ่ือการทรงหนงั สือและตอ้ นรบั แขกคนสาํ คญั ที่จะมาเขา้ เฝา้ แตก่ ็ไมเ่ ป็นดงั พระประสงคเ์ พราะไม่ เคยไดม้ โี อกาสรบั แขกคนสาํ คญั คนใดเลย โคมไฟในหอ้ งเป็นเชิงเทียนหอ้ ยระยา้ อยกู่ ลางหอ้ ง ดา้ นในมีเตา ผิงเป็นหินออ่ น 2 เตาขา้ งโตะ๊ ทรงหนงั สือ สว่ นลวดลายท่ีประดบั ตกแตง่ ใชส้ ีทองเป็นหลกั หอ้ งท้ังหอ้ งจึงดู สวา่ งอลงั การมาก ถดั ไปเป็นหอ้ ง ไลแลค็ คารบ์ ิเนท (Lilac Cabinet) ลกั ษณะจะเหมือนกนั กบั หอ้ งเยลโลว์ คารบ์ ิเนท เพียงแตเ่ ปล่ียนสีหอ้ งเป็นสีโทนมว่ งเท่าน้ันเอง หอ้ งเล็กๆ แบบนีเ้ ป็นเหมือนหอ้ งท่ีเช่ือมต่อระหว่างหอ้ ง ใหญ่ๆ มีเกา้ อีใ้ หน้ ่งั และมีตคู้ ลา้ ยๆ ตเู้ สอื้ ผา้ ตง้ั ไว้ ประดบั ผนงั ดว้ ยพระราชวงศข์ องฝร่งั เศสอกี เช่นกนั ท่ีไกดก์ ็ บอกใหฟ้ ังเหมอื นกนั แตจ่ าํ ไมห่ วาดไหว หอ้ งท่ีพลาดไมไ่ ดอ้ กี หอ้ งกค็ ือหอ้ งนี้ หอ้ งบรรทม (Bed Chamber) เป็นหอ้ งที่ใหญ่ที่สดุ และอย่ตู รง กลางของปราสาท ถือเป็นหอ้ งท่ีสาํ คญั ที่สดุ ในระบอบกษัตริยแ์ บบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ เนื่องจากพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 14 ทรงรบั การถวายราชการหนแรกและหนสดุ ทา้ ยของวนั ภายในหอ้ งบรรทม เตียงบรรทมเป็นสีนา้ํ เงินสดขนาดกวา้ ง 2 เมตร ยาว 2.5 เมตร น่ันเป็นเพราะพระองคม์ ีสว่ นสงู ถึง 1.9 เมตร เตียงถกู ลอ้ มรอบ ดว้ ยราวระเบียงสีทอง กรอบของเตียงก็เป็นสีทอง ผนงั ตกแต่งดว้ ยผา้ สีม่วงออ่ น มีรูปป้ันนางฟ้าสีทองอยู่ ดา้ นบน บนเพดานมีภาพวาดราชรถและเหลา่ เทพตา่ งๆ ในตาํ นาน ตรงกลางหอ้ งมโี คมไฟระยา้ ทาํ ดว้ ยแกว้ เจียระไนที่สามารถใสเ่ ทียนไดถ้ ึง 108 เล่ม ลองนึกว่าถา้ จุดเทียนครบทง้ั หมดหอ้ งนีค้ งสว่างไสวน่าดู และ เมื่อแสงตกกระทบกบั ลวดลายสที องที่ประดบั ไวท้ ี่ผนงั และเพดาน หอ้ งท้ังหอ้ งคงงดงามอลงั การราวกับวา่ พระองคไ์ ดบ้ รรทมอยบู่ นสวรรคช์ น้ั เจ็ดอะไรน่นั เลยทีเดยี ว ตวั หอ้ งบรรทมจะหันหนา้ ไปทางทิศเหนือ ซ่ึงถือ เป็นการกลบั สญั ลกั ษณข์ องแวรซ์ ายส์เพื่อแทนเงาของพระองคก์ บั พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ในฐานะที่เป็น Moon
King จดุ เดน่ สาํ คญั ท่ีไกดเ์ ฉลยใหเ้ ราทราบเพิ่มเติมก็คือ การจดั หอ้ งและวางเตียงเช่นนีม้ ีความหมายแอบ แฝง เพราะเตียงจะตั้งตรงกับหน้าต่างห้องพอดิบพอดี หากพระองค์บรรทมอยู่บนเตียงบรรทม ทอดพระเนตรผา่ นโคมระยา้ ออกไปยงั ดา้ นนอกหนา้ ตา่ ง กจ็ ะเห็นนา้ํ ตกไหลผา่ นบนั ไดหินออ่ น 30 ขน้ั ลงมา จากสวนท่ีเรียกวา่ พลบั พลาดนตรี (Music Pavilion) ไหลลงสสู่ ระนา้ํ ขนาดเลก็ ที่มีรูปป้ันพระสมทุ รหรอื เทพ เจา้ เนปจนู (Neptune Fountain) ดๆู ไปกจ็ ะเหมือนกบั ว่าพระองคไ์ ดบ้ รรทมอยู่ในออ้ มกอดของธรรมชาติ อะไรอยา่ งนน้ั เลย ช่างออกแบบไดเ้ ยี่ยมจรงิ ๆ หอ้ งถัดไปเป็น พิงค์ คารบ์ ิเนท (Pink Cabinet) แตเ่ ดิมส่วนนีใ้ ช้เป็นเหมือนหอ้ งแต่งพระองค์ ลกั ษณะหอ้ งเหมอื นกนั กับหอ้ งไลแลค็ และเยลโลวแ์ ต่ใชโ้ ทนหอ้ งเป็นสีชมพทู ้ังหมด ฝาผนงั ก็ตกแตง่ ดว้ ย ภาพพระราชวงศข์ องฝร่งั เศสอกี เชน่ เคย แสดงใหเ้ หน็ ถึงความหลงใหลของพระองคท์ ี่มตี อ่ ความเป็นฝร่งั เศส เสียเหลือเกิน หอ้ งเสวย (Dining Room) เป็นหอ้ งถัดไปท่ีไกดพ์ าไปชม หอ้ งนีเ้ ป็นอีกหอ้ งที่สวยงามมากใน ความรูส้ กึ ของหนูเล็ก เพราะตกแตง่ ดว้ ยสีแดงสด ประดบั ดว้ ยเตาผิงหินอ่อนที่มีต๊กุ ตาหินอ่อนประดบั ไว้ ดา้ นบน ตรงกลางเป็นโคมระยา้ เชิงเทียนอีกเช่นเคย บนโต๊ะเสวยตกแต่งดว้ ยเครื่องป้ันดินเผาจากเมืองไม เซน (Meißen) เมอื งท่ีมีช่ือเสยี งในดา้ นการทาํ เคร่อื งปั้นดินเผาของเยอรมนีอยไู่ มไ่ กลจากมิวนิค นอกจากนี้ ตามประสากษัตริยไ์ ฮเทคอย่างพระเจา้ ลดุ วกิ ท่ี 2 โตะ๊ เสวยมกี ารตดิ ตง้ั กลไกพิเศษเอาไวเ้ ชน่ เคย ถา้ ยงั ไมถ่ ึง เวลาเสวยโต๊ะจะถกู จดั เกบ็ ลงไปดา้ นลา่ งท่ีหอ้ งครวั พอถึงเวลาเสวยคนรบั ใชก้ ็จะจดั เรียงพระกระยาหารไว้ บนโต๊ะ แลว้ กจ็ ะใชล้ ฟิ ทด์ งึ โตะ๊ ขนึ้ มาที่หนา้ พระพกั ตรใ์ นทนั ที และเม่ือเสวยเสรจ็ ก็จะส่นั กระดิ่งเพ่ือใหก้ ลไก ที่พืน้ เปิดออกดงึ โต๊ะกลบั ลงไปดา้ นลา่ งใหม่ เป็นการถวายพระกระยาหารโดยท่ีพระองคไ์ ม่ตอ้ งเห็นหนา้ คน รบั ใชแ้ ละไมต่ อ้ งใหค้ นรบั ใชข้ นึ้ มาเดนิ เพน่ พา่ นในบรเิ วณที่เป็นสว่ นพระองคใ์ หเ้ กะกะราํ คาญตา กลไกที่วา่ นีส้ ามารถดไู ดท้ ่ีช่องหนา้ ตา่ งดา้ นล่างเม่ือออกจากตวั ปราสาทไป โต๊ะตวั นีม้ ีชื่อเรียกว่า “Tischlein deck dich” ไกดเ์ ลา่ วา่ พระองคโ์ ปรดใหพ้ อ่ ครวั จดั อาหารทง้ั หมด 4 ท่ีทกุ ครง้ั เพ่ือใหพ้ ระองคไ์ ดจ้ ินตนาการไปวา่ พระองคน์ ่งั เสวยอย่กู บั พระสหายที่สนิทสนม แมว้ า่ จริงๆ แลว้ พระองคจ์ ะเสวยเพียงลาํ พงั พระองคเ์ ดียวทกุ ครงั้ คดิ ๆ ดแู ลว้ ก็น่าสงสารพระองคท์ ่านอย่เู หมือนกนั ช่างมชี ีวิตท่ีเดียวดาย อา้ งวา้ ง โดดเด่ียวเสียเหลือเกิน สิง่ เหลา่ นีเ้ องจงึ ทาํ ใหพ้ ระองคต์ อ้ งใชช้ ีวติ อย่ใู นโลกแหง่ จินตนาการ นยั วา่ เพ่ือหลอกตนเองใหม้ ีความสขุ มี ผคู้ นรายลอ้ ม หนเู ลก็ ไดร้ บั ฟังอยา่ งนีก้ ็องึ้ ๆ ไปเหมอื นกนั เดนิ ตอ่ ไปดว้ ยความองึ้ เป็นหอ้ งบลู คารบ์ ิเนท (Blue Cabinet) เป็นหอ้ งเลก็ ๆ เชน่ เดยี วกบั ที่ผา่ นมา แตใ่ ชโ้ ทนสีฟ้าเป็นหลกั ถดั ไปไกดพ์ าเราเดินมายงั ดา้ นตะวนั ออกของปราสาทมายงั หอ้ งที่เรยี กวา่ อสี เทิรน์ แทแพสทรี แชม เบอร์ (Eastern Tapestry Chamber) แสดงใหเ้ ห็นถึงผงั การสรา้ งปราสาทท่ีพระองคโ์ ปรดใหม้ ีความ สมมาตรกนั คอื มหี อ้ งลกั ษณะนีท้ ี่ฝ่ังตะวนั ตก แลว้ ก็จัดใหม้ ีหอ้ งลกั ษณะเดียวกันท่ีฝ่ังตะวนั ออก ดๆู แลว้ เหมือนเป็นหอ้ งน่งั เลน่ เพราะเป็นหอ้ งกวา้ งๆ ที่มีเกา้ อวี้ างไว้ ตกแตง่ ดว้ ยสแี ดงทงั้ ผา้ มา่ นและผา้ บเุ กา้ อี้ ฝา
ผนงั และเพดานเป็นภาพวาดเร่ืองราวตาํ นานกรีกโบราณเรื่องอพอลโลและออโรรา (Apollo and Aurora) ฝีมือของไฮนร์ ิช ฟอน เพชมนั น์ (Heinrich Von Pechmann) ผซู้ ่ึงไดว้ าดภาพท่ีฝ่ังตะวนั ตกไวอ้ ย่างที่หนูเลก็ เลา่ ไปแลว้ ตรงริมหนา้ ตา่ งมรี ูปปั้นนกยงู ตง้ั ตระหงา่ นไวด้ ว้ ย และสดุ ทา้ ยไกดจ์ ะพาเรามายงั หอ้ งที่จดั ไดว้ า่ อลงั การมากอกี หอ้ งหน่งึ สาํ หรบั หนเู ลก็ มองวา่ น่าจะ เป็นไฮไลทส์ าํ คญั ของการชมปราสาทแหง่ นี้ น่ีคือโถงกระจก (Hall of Mirrors) ท่ีไดช้ ่ือนีเ้ ป็นเพราะผนังหอ้ ง ทงั้ หอ้ งตกแตง่ ไวด้ ว้ ยกระจก สว่ นเพดานตกแตง่ ดว้ ยไมแ้ กะสลกั ประดบั ทองอร่ามเรืองรอง หอ้ งนีใ้ ชโ้ ทนสี ฟา้ เป็นหลกั มโี คมระยา้ อย่กู ลางหอ้ งเชน่ เดมิ หากลองนบั ดๆี จะพบวา่ มแี จกนั ประดบั อยใู่ นหอ้ งนีถ้ ึง 94 อนั การติดตงั้ กระจกนยั วา่ เพ่ือสะทอ้ นหอ้ งใหด้ กู วา้ งขนึ้ ประมาณว่ามองแลว้ ไมม่ ีจุดสิน้ สดุ ไกดเ์ ล่าว่าหอ้ งนี้ พระองคโ์ ปรดมาน่งั เลน่ โดยเฉพาะในตอนกลางคืน โดยจดุ เทียนใหส้ ว่างไสวเพื่อเขา้ ส่โู ลกจินตนาการของ พระองค์ แสงเทียนเมอ่ื ตอ้ งกบั กระจกก็จะสะทอ้ นสวา่ งไปทงั้ หอ้ งแบบไมร่ ูจ้ บ แตด่ แู ลว้ กไ็ มใ่ ช่แค่นนั้ เพราะ ทกุ ส่ิงที่อย่ใู นหอ้ งก็ดไู มร่ ูจ้ บทง้ั สนิ้ ดงั นน้ั อะไรตอ่ มอิ ะไรท่ีดไู มน่ อ้ ยอย่แู ลว้ กย็ ิ่งไมน่ อ้ ยเขา้ ไปใหญ่ ไปๆ มาๆ หนเู ลก็ วา่ หอ้ งนีเ้ ลยดแู คบไปถนดั โถงนีพ้ ระองคส์ รา้ งเลียนแบบมาจากพระราชวงั แวรซ์ ายส์ แต่เนื่องจาก หอ้ งมีขนาดเลก็ จึงทาํ ใหไ้ มง่ ดงามอยา่ งท่ีตง้ั พระทยั ไว้ ที่มชี ื่อเสียงวา่ งดงามจึงเป็นท่ีปราสาทแฮรเ์ รนคีมเซท่ี ถึงกบั วา่ กนั วา่ สวยกวา่ ตน้ แบบที่พระราชวงั แวรซ์ ายสเ์ สียอกี เม่ือไดช้ มจนครบทกุ หอ้ งทาํ ใหพ้ บวา่ แตล่ ะหอ้ งของปราสาทแห่งนีต้ กแตง่ ไวอ้ ย่างเลิศหรูมาก การ ประดบั ตกแตง่ ดหู รูหรา ฟ่ มุ เฟื อย สมกบั ท่ีไดร้ บั อิทธิพลมาจากฝร่งั เศสอย่างแทจ้ ริง จะว่าไปแลว้ หนเู ล็กว่า หากจะเทียบความงดงามที่ดอู ่อนหวาน ซาบซึง้ ท่ีปราสาทลินเดอรฮ์ อฟน่าจะชนะใจหนเู ล็กมากกว่า ปราสาทนอยชวานสไตนอ์ นั แสนโดง่ ดงั น่นั เสียอกี ตวั ปราสาทแมจ้ ะมีขนาดเลก็ แต่งดงามซ่อนความหวาน ออ่ นชอ้ ยตงั้ แตร่ ูปลกั ษณภ์ ายนอก ตวั ปราสาทท่ีเป็นสีขาว มีราวระเบียงโลหะท่ีประดบั ตกแต่งดว้ ยสีทอง ประดบั รายรอบดว้ ยรูปปั้นในตาํ แหนง่ ตา่ งๆ ที่ไมม่ ากไปและเหมาะสม ภายในที่อาจจะดอู ลงั การเพราะใชส้ ี ทองคอ่ นขา้ งมากเพื่อเนน้ ความหรูหรา แตก่ ารตกแตง่ ถือวา่ เหมาะสมลงตวั และเขา้ กนั ไดอ้ ย่างดี แต่ละหอ้ ง มภี าพวาดที่ฝาผนงั และเพดานที่ไมม่ ากเกินไป เนือ้ หาไมห่ นกั อย่างที่ปราสาทนอยชวานสไตนท์ ่ีไปรวบรวม เอาอปุ รากรทง้ั 3 เรอ่ื งของวากเนอรม์ าผสมปนเปจนมากมายไปหมด ของประดบั ตกแตง่ ท้งั แจกันและภาพ ตดิ ผนงั ก็ไมม่ ากเกินงาม อยา่ งละนิดละหนอ่ ย สถานที่ตงั้ ก็อยใู่ นหบุ เขา ถกู โอบลอ้ มดว้ ยป่ าอนั รม่ ร่ืน ทาํ ให้ สว่ นตวั แลว้ หนเู ลก็ คดิ วา่ ท่ีน่ีสวยสงา่ กวา่ แลว้ ก็คงเป็นเพราะท่ีน่ีสรา้ งเสรจ็ สมบรู ณแ์ ลว้ และพระองคก์ เ็ สด็จ มาประทบั บอ่ ยๆ ดว้ ยแลว้ กระมงั เลยทาํ ใหท้ กุ สง่ิ จึงสมบรู ณพ์ รอ้ มและสมั ผสั ไดจ้ ริง เม่ือสิน้ สุดการเย่ียมชมทางออกจะอยู่ดา้ นหลังของปราสาท เมื่อออกประตมู าจะพบกับสระนา้ํ ขนาดเลก็ ที่มีรูปป้ันเนปจนู ท่ีมองลงมาเห็นจากหอ้ งบรรทมที่หนเู ลก็ เลา่ ไปแลว้ ซ่ึงเมอ่ื เขาปลอ่ ยนา้ํ ตกมานา้ํ ก็จะไหลผา่ นบนั ได 30 ขนั้ ที่ประดบั ตกแตง่ ดว้ ยแจกนั หินและรูปปั้นหินรูปเดก็ ไหลมาตกลงท่ีสระนา้ํ แห่งนี้ ดา้ นหนา้ ของสระนา้ํ เขาจดั ไวเ้ ป็นแปลงดอกไมเ้ ลก็ ๆ ที่เป็นรูปดอกลิลลี่ของราชวงศบ์ รู บ์ องดา้ นขา้ งซา้ ยขวา
ของธารน้าํ ที่ไต่ระดับลงมาจัดทาํ ไวเ้ ป็นซุม้ ไมเ้ ลือ้ ยคลมุ ทางเดิน ซ่ึงตอนนีด้ ูไม่ค่อยงดงามนกั เพราะอยู่ ระหวา่ งท่ีคนสวนทาํ การตดั แตง่ จนตอนนีเ้ หลอื แตโ่ ครงของลาํ ตน้ แทบไมม่ ใี บไมใ้ หเ้ ห็นเลย ดา้ นหลงั ของปราสาทลนิ เดอรฮ์ อฟ รูปป้ันเนปจนู ไฮไลทท์ ่ีตอ้ งไปชมและรวมอย่ใู นคา่ ต๋วั แลว้ ก็คือ ถา้ํ เทียมวีนสั กรอตโต (Venus Grotto) ซ่ึงอยู่ทาง ทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของปราสาท พวกเราเลือกเดินผา่ นไปทางสวนดา้ นตะวนั ออก ซึ่งจะมีซมุ้ โครงเหลก็ ที่เป็นทางเดินไปสู่บริเวณทางเขา้ ถ้าํ ไดพ้ อดิบพอดี จากนั้นจะมีป้ายบอกทางใหเ้ ดินขึน้ เขาต่อไปอีก ประมาณ 10 นาที เมื่อไปถึงจะมีป้ายดิจิตอลแจง้ ไวว้ า่ รอบตอ่ ไปที่จะใหเ้ ขา้ ชมคือเวลาเท่าใด ท่ีเขาตอ้ ง จาํ กัดการเขา้ ชมเช่นนีก้ ็เพราะทางเขา้ ก็ค่อนขา้ งแคบและเดินในถ้าํ ค่อนขา้ งมืด สถานที่ภายในไม่ได้ กวา้ งขวางมากนกั ไมเ่ หมาะท่ีจะจดั ใหน้ กั ท่องเที่ยวแออดั เขา้ ไป เพราะนอกจากจะไมป่ ลอดภยั แลว้ หนเู ลก็ วา่ จะทาํ ใหข้ าดสนุ ทรยี ใ์ นการเขา้ ชมไปเสียดว้ ย เม่อื ไปถงึ เราพบวา่ ตอ้ งรอรอบที่จะเปิดถดั ไปคือ 11.40 น. ก็ ไมเ่ ป็นไรเพราะอีกเพียง 10 นาทีเทา่ นนั้
ทางเดนิ สถู่ า้ํ เทียม Venus Grotto ไปถึงตอ้ งรอใหถ้ งึ รอบเขา้ ชม ระหวา่ งการรอเขา้ ชมมนั ก็จะเป็นแบบนี้ เม่ือถึงเวลาก็จะมเี จา้ หนา้ ท่ีมาเปิดที่กน้ั ใหเ้ ขา้ ไปชมไดฟ้ รี เพียงแสดงบตั รเขา้ ปราสาทใหเ้ จา้ หนา้ ที่ ดเู ท่านน้ั กจ็ ะไดผ้ า่ นเขา้ ไปแลว้ เมอ่ื เดินผา่ นเขา้ ไปดา้ นในเพียงพน้ โคง้ ปากถา้ํ ก็จะพบทะเลสาบจาํ ลองท่ีมี เรอื ลาํ เลก็ มีลกั ษณะเหมอื นเปลอื กหอยลอยอย่ตู รงกลาง นี่เป็นเรือเปลอื กหอยจากอปุ รากรเร่ืองทนั ฮอยเช่อ ของรชิ ารด์ วากเนอร์ ศิลปินคนโปรดของพระองค์ มกี ารประดบั ประดาไฟแสงสตี า่ งๆ ไวอ้ ย่างงดงาม ไฟฟ้า ภายในนีใ้ ชไ้ ดนาโม 24 ตวั ป่ันไฟมาจากหอ้ งเกบ็ เครื่องยนตท์ ่ีอย่หู ่างถา้ํ ออกไปราวๆ 100 เมตร ซึ่งไฟฟ้านี้ ไมไ่ ดเ้ พ่ิงมาทาํ ขนึ้ ในสมยั ปัจจบุ นั หากแตเ่ ป็นของเกา่ แทแ้ ละดง้ั เดมิ ตงั้ แตส่ มยั พระเจา้ ลดุ วกิ ท่ี 2 ยงั ทรงพระ ชนม์ ที่แห่งนีจ้ ึงถือไดว้ ่าเป็นจุดกาํ เนิดการมีไฟฟ้าแห่งแรกในรฐั บาเยิรน์ เม่ือมองไปที่ผนังถา้ํ ดา้ นหลงั มี
ภาพวาดจากฉากหนงึ่ ในอปุ รากรดงั กลา่ ว สถานที่แห่งนีพ้ ระองคม์ งุ่ หวงั ใหใ้ ชเ้ ป็นสถานที่แสดงโอเปราของ ปราสาท และเวลาที่พระองคต์ อ้ งการมาประทบั เพื่อเขา้ สโู่ ลกแห่งจินตนาการของพระองค์ เรอื เปลือกหอยจากอปุ รากรทนั ฮอยเชอ่ ภาพของริชารด์ วากเนอร์ ศลิ ปินคนโปรดของพระองค์ เมอื่ ชมความงดงามของโลกแห่งจินตนาการของพระองคจ์ นพอใจแลว้ พวกเราก็พากันเดินออกมา ดา้ นนอก ไถ่ถามกนั วา่ จะดอู ะไรกันตอ่ อีกเพราะทางหน่ึงคือการเดินไปชมสถาปัตยกรรมตะวนั ออกอย่าง กระทอ่ มมวั ร์ (Moorish Kiosk) กบั เดินกลบั ไปชมบรเิ วณสวนปราสาทท่ียงั ชมไม่หมด ดจู ากป้ายบอกทาง แลว้ พวกเราพรอ้ มใจกนั เดินกลบั สวนปราสาท จึงไม่ไดไ้ ปชมกระท่อมมวั รซ์ ่ึงเป็นสถาปัตยกรรมที่พระเจา้ ลุดวิกทรงโปรดมาก กระท่อมนีส้ รา้ งตั้งแต่ปี ค.ศ.1867 โดยศิลปินช่ือคารล์ ฟอน ดิบิทช์ (Carl Von Debitsch) เพื่อใชเ้ ป็นส่ิงที่ปรสั เซียจะนาํ ไปแสดงท่ีงานเวิลด์ เอก็ ซิบิช่นั (World Exhibition) ในกรุงปารีส ตอ่ มาในปี ค.ศ.1870 ไดต้ กเป็นของเฮนรี่ สเตราสแ์ บรก์ (Henry Strousberg) เจา้ พอ่ ในวงการรถไฟที่ซือ้ มา ดว้ ยความพอใจ แตภ่ ายหลงั ที่นายเฮนรี่เกิดลม้ ละลาย พระเจา้ ลดุ วกิ ไดไ้ ปรบั ช่วงซือ้ ตอ่ ในปี ค.ศ.1876 เพ่ือ นาํ มาไวท้ ี่ปราสาทลนิ เดอรฮ์ อฟแหง่ นี้ และพระองคไ์ ดม้ ีการตกแตง่ ใหมเ่ พ่ือใหเ้ ป็นไปตามพระประสงค์ จากถา้ํ เทียมวีนสั กรอตโต เราเลือกที่จะไปผ่านบริเวณศาลาดนตรี (Music Pavilion) ซ่ึงก่อสรา้ ง ดว้ ยไมเ้ นือ้ แขง็ ขนาดใหญ่ ศาลาทาดว้ ยสีเขียวเขม้ เม่ือยืนท่ีศาลาจะสามารถมองเห็นบริเวณเบือ้ งล่าง ทง้ั หมด ซ่งึ มีทง้ั นา้ํ ตกท่ีไหลผา่ นบนั ไดหินออ่ น 30 ขนั้ ลงไปยงั บ่อนา้ํ ตรงเทพเนปจูน หรือตวั ปราสาทสีขาว นวลโดดเดน่ และสวนปราสาทซง่ึ มซี ุม้ ของเทพธิดาวนี สั ตง้ั ตระหงา่ นอย่ใู นทิศทางตรงขา้ มกนั ฉากหลงั ของ
ภาพทัง้ หมดนี้งามงดย่ิงนักเพราะถกู แต่งแตม้ ดว้ ยป่ าท่ีกาํ ลงั เร่ิมเปลี่ยนสีทั้งสีสม้ สีเหลือง สีแดง ถือได้ ภาพถ่ายจากมมุ นีเ้ ป็นมมุ ท่ีสวยงามมากอีกมมุ หนึ่งที่นกั ท่องเที่ยวไมค่ วรพลาด จากนัน้ เราพากนั เดินลอด ซุม้ ไมเ้ ลือ้ ยท่ีถูกตัดจนโกร๋นลงไปยังพื้นที่เบื้องล่าง เดินลัดเลาะผา่ นบ่อนา้ํ และรูปป้ันสีทองอร่ามไปยัง บรเิ วณสวนปราสาทท่ีสรา้ งไวอ้ ย่างโรแมนติก Music pavillion สวนปราสาทสรา้ งเสรจ็ ในปี ค.ศ.1880 เป็นลกั ษณะเลน่ ระดบั แบ่งเป็น 3 ช่วงชน้ั ก่อนจะเริ่มเดิน ขนึ้ บันไดไปสาํ รวจนกั ท่องเท่ียวทุกคนจะสะดดุ ตากบั ตน้ ไมข้ นาดใหญ่ท่ีตงั้ อยู่ใกลบ้ ันไดทางขนึ้ ดา้ นขวา ตน้ ไมน้ ีเ้ ป็นตน้ ลนิ เดน (Linden tree) ซ่งึ มีอายกุ ว่า 300 ปี ตน้ ไมน้ ีร้ อดจากการถกู ตดั โค่นก็เพราะพระเจา้ ลดุ วิกที่ 2 ทรงโปรดใหร้ กั ษาไว้ และตน้ ไมต้ น้ นีเ้ องท่ีเป็นท่ีมาของชื่อปราสาท เพราะในภาษาเยอรมนั จะ เรยี กวา่ Linder ตรงกลางระหวา่ งบนั ไดทางขนึ้ มนี า้ํ พบุ รอนซข์ นาดใหญ่รูปนางเงือกท่ีกาํ ลงั ถกู ดงึ รงั้ จากสอง ชายหนมุ่ แหงนหนา้ มองเหนือขึน้ ไปเป็นรูปปั้นผหู้ ญิงถือคนโทประจงเทนา้ํ ลงมายงั นา้ํ พุ เม่ือไตบ่ ันไดช้นั แรกท่ีทาํ ไวส้ องทิศทางซา้ ย-ขวาขนึ้ ไปจะเป็นพืน้ ท่ีโล่งขนาดใหญ่ท่ีมีการจดั แต่งไมด้ อกไมป้ ระดบั ไวเ้ ป็น ลวดลายอย่างเป็นระเบียบเลน่ สเี ขยี ว สีแดง สเี หลอื งใหข้ บั กัน จากนั้นจะมีบนั ไดซา้ ย-ขวาใหเ้ ดินขนึ้ ไปอีก ระดบั หนง่ึ ซึง่ บริเวณตรงกลางทางก่อนกา้ วขนึ้ บนั ไดจะมีรูปป้ันครง่ึ ตวั ทาํ ดว้ ยปูนพลาสเตอรส์ ีขาวของพระ เจา้ หลยุ สท์ ่ี 14 นกั บญุ ประจาํ พระองคป์ ระดบั ไว้ ตน้ ลินเดน นา้ํ พรุ ูปนางเงือก
สวนปราสาทเมอ่ื มองจากอีกช่วงชน้ั หน่ึง ชว่ งชน้ั นีม้ กี ารจดั สวนไวอ้ ย่างเรียบงา่ ย ไมไ่ ดต้ กแตง่ เป็นลวดลายเหมือนชั้นแรก จากนนั้ จะมีบันไดอีก 24 ขน้ั ท่ีทอดตวั ไวใ้ หเ้ ดินขึน้ ไปยังซุม้ เทพธิดาวีนสั ซึ่งถือเป็นระดบั สดุ ทา้ ยของสวนปราสาท รูปป้ันเป็นรูปป้ัน เตม็ ตวั และมเี ทพตวั นอ้ ยยืนอย่ทู ี่ปลายเทา้ วิวจากเทพวีนัสมองยอ้ นกลบั ลงไปเบือ้ งล่างจะมองเห็นพืน้ ที่ โดยรอบท่ีมีตวั ปราสาทสีขาวนวลเป็นจุดศนู ยก์ ลางของทงั้ หมด และทาํ ใหเ้ ห็นวา่ พืน้ ท่ีของปราสาทและ บรเิ วณโดยรอบถกู โอบลอ้ มไวด้ ว้ ยป่ าเปลีย่ นสที ่ีแสนจะโรแมนตกิ และอบอนุ่ เป็นเรอ่ื งดีเชน่ นีน้ ี่เองที่ผดู้ าํ ริใน การสรา้ งปราสาท สวนปราสาท และสิ่งปลกู สรา้ งทั้งหมดเป็นผมู้ ีอารมณศ์ ิลปิน และหลงใหลในโลกแห่ง ศิลปะ ส่ิงก่อสรา้ งทง้ั หมดท่ีอย่ตู รงหน้าจึงงดงามราวกับภาพฝัน สารพนั สีท่ีแต่งแตม้ บนภาพน้นั ราวกับ ศลิ ปินระดบั โลกเป็นผจู้ บั ทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งมาวางจึงไดส้ อดรบั กนั เป็นอย่างดี
ความงดงามของป่ าเปลย่ี นสีท่ีโอบลอ้ มปราสาทไว้ เทพธิดาวนี สั ความงดงามตรงึ ใหห้ นเู ลก็ บนั ทกึ ภาพตรงหนา้ ไวด้ ว้ ยภาพถ่ายและสายตา หากสามารถถ่ายทอด ภาพทกุ ภาพที่สายตาเห็นออกมาไดก้ ็คงดี กวา่ จะรูต้ วั วา่ ตกอยใู่ นภวงั คก์ เ็ ลน่ เอาพ่ีใหญ่ คณุ ปา และคณุ สดุ น่งั คอยบริเวณดา้ นลา่ งเสยี เป็นนาน คงไดเ้ วลาร่าํ ลาที่น่ีอย่างจรงิ จงั เสียที พวกเราเดนิ กลบั ออกไปตามทาง ที่เขา้ มา เพ่ือจะไดเ้ ดนิ ทางกนั ตอ่ ไป จากปราสาทลินเดอรฮ์ อฟเราออกเดินทางต่อไปยงั สถานที่ทางศาสนาท่ีไดช้ ่ือวา่ ยิ่งใหญ่มากแห่ง หนง่ึ น่นั คือ สาํ นกั สงฆน์ ิกายเบเนดคิ แห่งเอท็ ทาล (Ettal Abbey) สาํ นกั สงฆแ์ ห่งนีอ้ ยู่ไมไ่ กลจากปราสาท นกั เมอื่ ออกจากปราสาท “นอ้ งจี” จะพาเรากลบั เขา้ สถู่ นนสาย ST2060 บนเสน้ ทางที่มงุ่ หนา้ สเู่ มอื งโอเบอร์ อมั เมอรเ์ กา (Oberammergau) ว่ิงผา่ นเมืองกราสแวงไปสกั พกั จะไปพบกบั ถนนสาย B23 เราเลีย้ วขวาเขา้ สสู่ าย B23 ไปเพียงแค่ 8 กิโลเมตรกจ็ ะเขา้ สถู่ นนอมั เมอรเ์ กาเออร์ (Ammergauer Straße) ก็จะเห็นสาํ นกั สงฆห์ ลงั คาโดมสีเขียวแบบศลิ ปะบารอ็ คตง้ั โดดเดน่ เห็นแตไ่ กลย่ิงทาํ ใหเ้ ราม่นั ใจวา่ มาถกู ที่แลว้ หนูเล็กเอา รถขบั เขา้ ไปจอดบรเิ วณใกลๆ้ นน้ั ซึง่ มีนกั ทอ่ งเที่ยวคนอื่นๆ จอดอย่เู ช่นกนั จากตรงนีจ้ ะเดินผา่ นบริเวณท่ี ขายของที่ระลกึ และผา่ นรวั้ ศาสนจกั รเขา้ ไปยงั สาํ นกั สงฆไ์ ดง้ า่ ย แมจ้ ะอยากเท่ียว แตด่ ว้ ยสภาพอากาศวนั นี้
ดไู มค่ ่อยน่าเท่ียวเอาเสียเลย ไม่ใช่อะไรหรอก ก็จนเขา้ บ่ายแลว้ พระอาทิตยไ์ มย่ อมแสดงตวั เอาเลย ฟ้า หม่นๆ แบบนีย้ ่ิงทาํ ใหอ้ ากาศขา้ งนอกเย็นฉ่าํ ดีแท้ บางครงั้ มีฝนราํ คาญตกมาเป็นระยะๆ ดว้ ย ยิ่งทาํ ให้ หนาวจบั จิต แตเ่ อาเถอะดว้ ยใจรกั การเที่ยวไมม่ อี ะไรมาหยดุ ยง้ั พวกเราได้ Ettal Abbey สาํ นักสงฆ์เอ็ททาล สรา้ งขึน้ เม่ือวันที่ 28 เมษายน ค.ศ.1330 โดยกษัตริย์ลดุ วิกท่ี 4 (Kaiser Ludwig IV) ตน้ ราชวงศว์ ทิ เทลบาคส์หลงั จากที่พระองคไ์ ดป้ ฏญิ าณไวเ้ ม่อื ครงั้ ท่ีเสดจ็ ไปอติ าลีวา่ หากเสดจ็ กลบั จากอิตาลเี มื่อใดจะกลบั มาสรา้ ง ซ่ึงบริเวณนีใ้ นอดีตเป็นจดุ ยุทธศาสตรก์ ารคา้ สาํ คญั ระหว่างอิตาลี และเมอื งเอากส์ บรู ก์ ตามตาํ นานเลา่ วา่ สาเหตทุ ี่เลอื กจดุ นีเ้ ป็นเพราะมา้ ของพระองคท์ ี่ทรงมานนั้ มาผงกหวั สามครงั้ ตรงจุดนี้ ซ่ึงวนั ท่ีสรา้ งน้ันตรงกบั วนั สมโภชนป์ ระจาํ ปีของนกั บุญวิทาลิสแห่งมิลาน (Vitalis of Milan) ครง้ั แรกของการก่อสรา้ งเป็นแบบโกธิคขนาดไม่ใหญ่นกั มาเกิดความเสียหายขนึ้ ในระหว่างการ ปฏิรูปศาสนา แต่ก็รอดจากการถกู ทาํ ลายในระหวา่ งสงคราม 30 ปี (Thirty Years’ War) คือในระหว่างปี ค.ศ.1618 – 1648 ตอ่ มาในปี ค.ศ.1709 ถือเป็นยคุ ท่ีรุง่ เรืองท่ีสดุ ของสถานท่ีแหง่ นี้ เน่ืองจากไดม้ ีการก่อตงั้ สถานศึกษาที่มีช่ือเสียงขึน้ ภายใตช้ ื่อว่า “Ritter akademie” คือเป็นโรงเรียนของพวกอศั วิน (Knight Acacemy) แตจ่ ากนนั้ ไมน่ าน ในปี ค.ศ.1744 สาํ นกั สงฆแ์ หง่ นีก้ ็ถกู ไฟไหมเ้ สยี หายมากจนแทบไมเ่ หลือเคา้ เดิม จงึ ไดม้ ีการกอ่ สรา้ งสาํ นกั สงฆข์ ึน้ ทดแทนและเปล่ียนมาเป็นอลงั การในแบบบารอค ซ่ึงเห็นไดช้ ดั เจน จากโดมสองชัน้ ที่ออกแบบโดยเอน็ ริโค ซูคคาลลี (Enrico Zuccalli) สถาปนิกชาวสวิส – อิตาลีผเู้ ป็นลกู ศษิ ยข์ องศิลปินหน่มุ ใหญ่เบอรน์ ินี (Bernini) สถาปนิกสไตลบ์ ารอคที่โดดเดน่ แตด่ เู หมือนวิบากกรรมของ สถานท่ีแหง่ นีย้ งั ไมจ่ บสิน้ เพราะในปี ค.ศ.1803 ระหวา่ งการปฏิรูปสถาบนั ครสิ ตศ์ าสนา สาํ นกั สงฆแ์ หง่ นีไ้ ด้ ถกู ขายใหโ้ จเซฟ ฟอน เอลบิง (Josef Von Elbing) ตอ่ มาลกู หลานของเขาก็ขายใหแ้ ก่ผมู้ ีฐานะไปอีก จนกระท่งั วนั หน่ึงไดไ้ ปถึงมือของบารอน ทีโอดอร์ ฟอน เครเมอร-์ เคล็ทท์ (Baron Thedor Von Cramer – Klett) เขาไดย้ กคืนใหก้ บั พระเบเนดคิ ทิน จึงไดท้ าํ ใหส้ าํ นกั สงฆแ์ ห่งนีไ้ ดร้ บั การสถาปนากลบั มาเป็นสาํ นกั สงฆต์ ามเดิม และตามประเพณีของ Ritter akademie เดิม ทางสาํ นักสงฆไ์ ดส้ รา้ งโรงเรียนมธั ยมศึกษา แบบประจํา (secondary school) ซ่ึงเช่ียวชาญทางมนุษยศาสตร์ และภาษาสมัยใหม่ (modern
languages) และยงั ไดจ้ ดั ใหม้ ีโรงงานกล่นั เหลา้ ทาํ เบียรเ์ หมือนกบั สาํ นกั สงฆห์ ลายๆ แห่งในยุโรป คือผลิต เบียร์ และเหลา้ หวาน (Liqueur) อกี ทงั้ ยงั มีรา้ นขายหนงั สอื พิมพ์ โรงพิมพ์ โรงแรม โรงทาํ เนยแขง็ และธรุ กิจ อ่ืนๆ อีก สาํ นกั สงฆแ์ ห่งนีจ้ ดั ไดว้ า่ เป็นสาํ นกั สงฆท์ ี่สาํ คญั ที่สดุ ในภมู ภิ าคนีท้ ี่ถกู ลอ้ มรอบดว้ ยเทือกเขาแอป์ และยงั เป็นสาํ นกั สงฆน์ ิกายเบเนดิกที่ใหญ่ท่ีสดุ แห่งหนงึ่ ดว้ ย ทาํ ใหส้ ถานที่แห่งนีด้ งึ ดดู นกั ท่องเท่ียวใหม้ า เยือนไมใ่ ชน่ อ้ ยเลย ภายในตกแตง่ ไวอ้ ยา่ งงดงามจนตกตะลงึ ในวนั ท่ีเราไปมกี ารซอ่ มแซมบริเวณเทอเรซและบนั ไดทางขนึ้ ดา้ นหนา้ ท่ีตวั อาคารมีการตกแต่งห่นุ ปนู ป้ันของนกั บญุ 12 องคป์ ระดบั ไว้ ขา้ งโดมเป็นหอคอยคทู่ ี่ไมเ่ หมือนกนั น่นั เป็นเพราะสรา้ งคนละยคุ สมยั เราและนกั ทอ่ งเท่ียวอกี บางสว่ นพากนั เขา้ ไปชมภายในกัน เม่ือเปิดเขา้ ไปก็ใหต้ ะลึงงนั ช่ัวขณะ หนูเลก็ ไม่ คาดคิดเลยวา่ จากภายนอกท่ีดแู ขง็ ๆ ทะมนึ ๆ โดยเฉพาะในวนั นีท้ ่ีฟ้ามืดครึม้ พรอ้ มมีฝนแบบนี้ เมื่อกา้ วเขา้ มาดา้ นในกลับทาํ ใหเ้ ราคลา้ ยเขา้ มาในแดนสวรรค์ พวกเราพากันแหงนคอตงั้ บ่า ก็ทง้ั ผนังและเพดาน อลงั การไปดว้ ยภาพเฟรสโก ย่ิงบริเวณเพดานโคง้ ใตโ้ ดมเป็นรูปภาพบุคคลตวั เล็กๆ เต็มไปหมด แสดงให้ เห็นถงึ ฝีมือและการเก็บรายละเอยี ดอย่างเย่ียมยอด ย่ิงใชส้ ีพืน้ เป็นสีขาวย่ิงขบั ใหภ้ าพและห่นุ ปนู ป้ันตาม แบบรอคโคโคทง้ั หลายท่ีประดบั ตกแตง่ ไวโ้ ดดเดน่ อลงั การ วา่ กนั วา่ ถา้ หากนบั ใหค้ รบก็จะพบวา่ ภาพบคุ คล ท่ีอยเู่ หนือศรี ษะเรานีม้ ที ง้ั หมด 431 คนเลยทีเดียว รอบๆ ประดบั ตกแตง่ ดว้ ยรูปปั้นเทพตา่ งๆ และภาพวาด เกี่ยวกบั พระราชประวตั ิ อธิบายถึงความงดงามอย่างไรก็คงไมเ่ ท่าตาเห็น พวกเราเลยถือโอกาสน่งั แหงน หนา้ ชมความงามอย่ภู ายในกนั สกั พกั ก่อนท่ีจะกลบั ออกมาเดินลดั เลาะชมของท่ีระลึกตามรา้ นขา้ งทาง ที่ สะดดุ ตาคงเป็นผา้ ทอท่ีใชก้ ่ิงไมก้ ระหวดั ไปมาแสดงถึงราชสกลุ วิทเทลบาสคต์ ง้ั แตต่ น้ ราชสกลุ วา่ มีท่ีมาท่ีไป อย่างไร สืบสนั ตตวิ งศก์ นั มาอยา่ งไร ใครสนใจอยากศกึ ษาก็ซือ้ หากลบั ไปได้ จากท่ีนี่จุดหมายถัดไปของเราคือการม์ ิช-พารเ์ ทนเคอเช่น (Garmisch-Partenkirchen) ซึ่งเป็น เมืองที่รวมหมบู่ า้ นสองหมบู่ า้ นไวด้ ว้ ยกนั น่นั คือ การม์ ชิ และพารเ์ ทนเคอรเ์ ช่น ค่นั กลางดว้ ยแมน่ า้ํ ลอยซคั (Loisach) และพารท์ นคั ช์ (Partnach) ทั้งสองหมบู่ า้ นมารวมตวั กนั ประมาณก่อนโอลิมปิคฤดหู นาวในปี ค.ศ.1936 โดยการบญั ชาของฮิตเลอร์ เพ่ือหวงั ใหเ้ ป็นศนู ยก์ ลางการจดั การแข่งขนั โอลิมปิคฤดหู นาวโดย
ประเทศเยอรมนีเป็นเจา้ ภาพ เพราะหากใชเ้ ฉพาะการม์ ชิ ซ่งึ เป็นเมืองขนาดเลก็ เมอื งเดียว โรงแรมที่พักก็คง ไมเ่ พียงพอจะรองรบั นกั กีฬาจากท่วั โลก สาเหตทุ ี่เลือกท่ีนี่ก็เพราะภมู ิประเทศเป็นหลกั อีกท้งั การเดินทาง จากมวิ นิคใชเ้ วลาและระยะทางไมม่ ากนกั และหากพิจารณาใหด้ แี ลว้ การม์ ชิ -พารเ์ ทนเคอรเ์ ชน่ ยงั เป็นเมอื ง ปลายทางท่ีเชื่อมตอ่ จากถนนสายโรแมนตกิ อกี ตา่ งหาก เพราะเม่ือเดินทางเริ่มตน้ ที่โรเทนเบิรก์ ออบ เดอร์ เทาบอรไ์ ลล่ งมาจนสนิ้ สดุ ท่ีฟื สเซน่ การเดนิ ทางมาที่การม์ ชิ -พารเ์ ทนเคอรเ์ ช่นก็เป็นเพียงระยะทางสายสนั้ ๆ ซึ่งหากตอ้ งการจะเดนิ ทางตอ่ ไปยงั อนิ สบรู ก์ ของออสเตรยี ท่ีน่ีก็เป็นท่ีพกั คา้ งคืนชั้นดีก่อนการออกเดินทาง ตอ่ อดอลฟ์ ฮิตเลอรจ์ งึ ไดน้ าํ เสนอเมอื งนีต้ อ่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เพ่ือใหเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของ กีฬาฤดหู นาว การม์ ิชเป็นหมบู่ ้านที่เก่าแก่ เน่ืองจากมีการกล่าวถึงมาต้ังแต่ตน้ คริสตศ์ ตวรรษที่ 9 ในขณะท่ี หมบู่ า้ นอยา่ งพารเ์ ทนเคอรเ์ ช่นมาเป็นท่ีรูจ้ ักจริงๆ ประมาณ 300 ปีใหห้ ลงั จดุ เด่นของที่นี่ในความคิดของ หนูเลก็ ก็คงเป็นเพราะท่ีนี่เป็นเมืองเลก็ ๆ ท่ีอยู่ใกลก้ ับเทือกเขาแอลป์ เป็นประตสู ่ยู อดเขาท่ีสงู ที่สุดใน เยอรมนีและเป็นเสน้ แบ่งเขตแดนระหวา่ งเยอรมนีกบั ออสเตรยี น่นั คือ ซกุ สปิตเซ่ (Zugspitzé) ซ่งึ มคี วามสงู จากระดบั นา้ํ ทะเลถึง 2,962 เมตร ท่ีน่ีจึงมีอากาศเย็นสบายตลอด ความสวยงามของตวั เมืองเป็นเพราะ บา้ นแตล่ ะหลงั ลว้ นแลว้ แตม่ ีเอกลกั ษณใ์ นตวั ของตวั เอง น่นั คือ การวาดลวดลายต่างๆ ไวท้ ี่ผนังบา้ นตาม สไตลบ์ าเยิรน์ ศิลปะการวาดภาพแบบนี้ เรียกวา่ ลฟุ เทิลมาลเลไร (Lüftle malerei) เมื่อเราเดินทางมายัง เมืองแถบเทือกเขาแอลป์ หรือแถบบารเ์ ยิรน์ ตอนบนกจ็ ะพบเหน็ ไดท้ ่วั ไปเกือบตลอดทาง ศิลปะนีเ้ กิดขึน้ มา ตง้ั แตส่ มยั คริสตศ์ ตวรรษที่ 17 ไดร้ บั อิทธิพลมาจากการวาดภาพแบบ Italian trompel’oeil นกั วาด ลวดลายบนผนังแบบนีท้ ี่มีช่ือเสียงคือ ฟรานซ์ เซราฟ ซวิงค์ (Franz Seraph Zwinck) ซ่ึงมีชื่อเสียงมาก ในชว่ งปี ค.ศ.1748 – 1792) เขาพาํ นกั อยู่ในเมืองโอเบอรอ์ มั เมอรเ์ กาในบา้ นท่ีเรียกวา่ ซุม ลฟุ เทิล (Zum Lüftle) บางทีอาจเป็นเพราะชื่อของบา้ นเขาน่ีเองกระมงั จึงทาํ ใหม้ าเป็นที่มาของการเรียกช่ือศิลปะการวาด ภาพท่ีผนงั บา้ นแบบเดียวกนั นีว้ า่ ลฟุ เทิลมาลเลไร การวาดภาพบนผนังแบบนีม้ ีคาํ พดู ติดตลกท่ีพดู กนั วา่ เมอื งการม์ ิช-พารเ์ ทนเคอรเ์ ช่น จดั เป็นเมอื งของคนมือบอน เพราะมือไมอ้ ยู่ไมส่ ขุ เที่ยวไปวาดนู่นนี่ไวต้ าม ผนงั ตามกาํ แพง หนเู ลก็ ฟังๆ แลว้ ขาํ ๆ ในการเปรียบเปรยนีอ้ ยเู่ หมอื นกนั จากโบสถเ์ อท็ ทาล นอ้ งจีใหเ้ ราว่ิงไปตามถนนสาย B2 ซึ่งจะว่ิงผ่านโอเบอรเ์ อา (Oberau) ลอด อโุ มงคร์ ะยะทางหลายกิโลเมตรก่อนจะมาพาเราว่งิ มาถึงบริเวณถนนชลู ส์ ตราสเซ่ (Schulstraße) จะเจอกบั จัตุรัสเวอร์เดนเฟลเซอร์ (Werdenfelser Platz) เม่ือเลี้ยวซ้ายมาก็จะเข้าสู่โฮฟสตราสเซ่ (Hauptstraße)ถนนที่เราจองที่พักเอาไว้ วนั นีเ้ ราจึงเดินทางมาถึงการม์ ิช-พารเ์ ทนเคอรเ์ ช่นแต่วนั เพราะ เกรงวา่ อาจจะตอ้ งใชเ้ วลาในการหาท่ีพกั อกี เหมอื นเดมิ และก็ตอ้ งมาดวู า่ ท่ีพักที่น่ีมีอะไรใหเ้ ราแค่ไหน เรา จะกินจะอยู่อย่างไรในเย็นวนั นี้ ที่พักที่น่ีหนูเล็กจองไวช้ ่ือว่า เกสทเ์ ฮาส์ ซอนเนนเชียน (Gästehaus Sonnenschein) น่นั ยิ่งทาํ ใหน้ อ้ งจีชว่ ยเราในการคน้ หาท่ีพักไดง้ ่ายเขา้ ไปใหญ่ อาจเป็นท่ีพักแรกกระมงั ที่ หาง่ายเสียจนแทบไมท่ นั ตงั้ ตวั มองจากภายนอกถือวา่ เป็นที่พกั ที่สวยงามถกู ใจมากแหง่ หนึ่ง และก็เช่นกัน
ที่ผนงั บา้ นไวว้ าดลวดลายไวอ้ ยา่ งสวยงาม นกึ ถงึ ค่าํ นีแ้ ลว้ ดทู ่าวา่ จะนอนหลบั อย่างมีความสขุ ฝันดี เพราะ เราจะไดน้ อนในบา้ นแสนสวยที่เมืองเลก็ ๆ เหนือระดบั นา้ํ ทะเลถงึ 720 เมตร เป็นอยา่ งไรกค็ งไดร้ ูก้ นั มมุ น่ารกั ๆ ของท่ีพกั ของเราในคนื นี้ เราไปกดกริ่งเรียกอย่สู กั พกั เจา้ ของท่ีพักก็ว่ิงออกมาจากบา้ นขา้ งๆ ทาํ ใหห้ นเู ลก็ เพ่ิงไดม้ ีโอกาส สงั เกตเห็นวา่ บา้ นขา้ งๆ นน้ั เป็นสาํ นกั งานท่ีเธอน่งั ทาํ งานอยู่ เมือ่ หนเู ลก็ นาํ เมลท์ ่ีเขยี นติดตอ่ กนั ใหเ้ ธอดู เธอ กถ็ งึ บางออ้ พรอ้ มแนะนาํ ตวั วา่ เธอคือ Miss Rudke ที่เขียนติดตอ่ กบั หนเู ล็กน่ันเอง เธอพาเราเขา้ ตวั บา้ น เพ่ือไปดทู ี่พกั ที่จดั ไวใ้ ห้ แตน่ ่าจะเกิดความผดิ พลาดอะไรสกั อย่าง เธอจัดหอ้ งใตด้ ินไวใ้ หเ้ รา 1 หอ้ งสาํ หรบั คนสองคน และท่ีหอ้ งชนั้ สองอกี 1 หอ้ งสาํ หรบั อีกสองคน หนเู ลก็ จึงเอาเมลใ์ หเ้ ธอดวู า่ ที่เธอยืนยันกลบั มา ใหน้ ้ันเธอบอกว่าจะจดั เป็นอพารท์ เมนทส์ องห้องนอนให้ ซ่ึงจะมีหอ้ งนา้ํ หอ้ งอาบน้าํ ห้องน่ังเล่น พืน้ ที่ เตรยี มอาหารเลก็ ๆ และระเบียง แตไ่ ฉนกลายเป็นเช่นนี้ งานนีเ้ ลน่ เอาเธอองึ้ ไปพกั ใหญ่ เพราะเธอผิดพลาด จรงิ อย่างที่เราบอก เธอสบั สนเองเพราะจรงิ ๆ แลว้ หอ้ งที่เธอพดู ถึงและตอบยืนยนั เราไปนัน้ คือ ท่ีพกั อีกที่ หน่ึงซึ่งตอ้ งวงิ่ รถไปอีก และท่ีสาํ คญั ตอนนีม้ นั ไมว่ า่ งแลว้ เธอขอโทษขอโพย และทาํ ไดด้ ีท่ีสดุ แคจ่ ัดหอ้ งใต้ หลงั คาซงึ่ เป็นหอ้ งที่ใหญ่ที่สดุ ของเกสทเ์ ฮาสแ์ หง่ นีใ้ หไ้ ด้ 1 หอ้ ง ซึ่งหอ้ งนีจ้ ะมีทง้ั หอ้ งนา้ํ หอ้ งอาบนา้ํ พืน้ ท่ี ครวั และโต๊ะอาหาร เพียงแตจ่ ะมีเตยี งคแู่ คเ่ ตียงเดียวไม่สามารถใหพ้ วกเราพักดว้ ยกนั ท้งั หมดได้ เราไมม่ ี ทางเลอื กท่ีดีไปกว่านีใ้ นเวลานี้ อย่างนอ้ ยหอ้ งใตห้ ลงั คาก็มีพืน้ ท่ีเตรียมอาหารและมีพืน้ ท่ีกวา้ งพอใหเ้ รา ไดม้ าน่งั ทานอาหารรว่ มกนั แตเ่ ม่อื ถึงเวลานอนก็คงตอ้ งใหค้ ณุ ปาและคณุ สดุ ลงไปนอนขา้ งลา่ งเช่นเดิมซึ่ง ทง้ั สองไมข่ ดั ขอ้ ง เพราะเราจะพกั ที่น่ีกันก็แค่คืนเดียว ดงั นน้ั เราจึงตกลงตามนีแ้ มว้ ่าหนูเลก็ ในฐานะคน ติดตอ่ จะอดหวั เสยี กบั เรอื่ งนีไ้ มไ่ ดจ้ รงิ ๆ
หอ้ งใตห้ ลงั คาแสนสวย มิสรดั เกท้ าํ ทีไถ่บาปดว้ ยการกลุ ีกจุ อเอาแผนท่ีของเมืองมากางอธิบายเราวา่ เราอยกู่ นั ตาํ แหน่งไหน ของเมือง พรอ้ มทง้ั แนะนาํ สถานท่ีทอ่ งเที่ยวที่น่าสนใจ น่ันเลยทาํ ใหเ้ รารูว้ ่า ที่พกั ของเราอย่บู นถนนกลาง เมืองท่ีหากวา่ เราออกจากโฮฟสตราสเซแ่ ลว้ เลยี้ วซา้ ยจะพาเราไปในสว่ นของพารเ์ ทนเคอรเ์ ช่น และหากเรา เลีย้ วไปทางขวาก็จะพาเราไปยงั สว่ นที่เป็นการม์ ชิ ซง่ึ เธอวา่ ทง้ั สองสว่ นลว้ นมสี ถานที่น่าสนใจทง้ั นนั้ คงตอ้ ง แลว้ แตเ่ ราวา่ อยากจะไปเท่ียวสว่ นไหน อา่ นตาํ รามาเขาวา่ สว่ นท่ีเป็นการม์ ิชค่อนขา้ งจะทนั สมยั มากกว่า เราก็เลยตดั สนิ ใจวา่ บ่ายนีเ้ ราไปเท่ียวทางการม์ ชิ กอ่ นแลว้ กนั จากนนั้ จะอย่างไรก็วา่ กนั อีกที เมื่อเอาขา้ วของเกบ็ เขา้ ที่กนั เรยี บรอ้ ย หนเู ลก็ กใ็ หพ้ ่ีดพี้ าพวกเราไปตามถนนสายหลกั อย่าง ครอทเทนคอพทส์ ตราซเซ่ (Krottenkoptstraße) ไปไดท้ ี่จอดรถตรงหนา้ สถานีวิทยุทอ้ งถิ่นเรดิโอ โอเบอร์ ลนั ด์ (Radio Oberland) มฉี ากหลงั เป็นยอดเขาซุกสปิตเซ่ ซ่ึงหากเดินทางตอ่ ไปอีกตามถนนโอลิมปิกสต ราสเซ่ (Olympicstraße)ก็จะนาํ ไปสสู่ ถานีรถไฟขนึ้ สยู่ อดเขา (Zugspitze Bahnhof) เมื่อจดั การกบั ค่าจอด ไวใ้ หเ้ พียงพอกบั เวลาท่ีเราจะใชใ้ นระหวา่ งการไปเดินสาํ รวจ และเอาสลิปวางโชวค์ ณุ พี่ตาํ รวจไวห้ ราที่หนา้ รถแลว้ กเ็ ร่มิ ออกเดินกนั
และแลว้ กม็ าถงึ เมอื งการม์ ชิ แตแ่ คเ่ ริม่ จะเดินกใ็ หต้ กตะลงึ กบั อาคารบา้ นเรือนตงั้ แตแ่ รกเจอ อาคารแต่ละหลงั สีสนั สดใส วาด ลวดลายบนผนงั ไวอ้ ยา่ งงดงามมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั หากจะเกบ็ ภาพลวดลายบนผนงั คงไมอ่ าจเก็บภาพ ไดห้ มด แลว้ ไหนยงั จะตกแตง่ ดว้ ยปนู ป้ันรูปต๊กุ ตนุ่ ตกุ๊ ตาตา่ งๆ ไวต้ ามตวั ตกึ สีของอาคารกม็ ที ง้ั หวาน สดใส แต่ละอาคารไม่มีซา้ํ ไม่มีเหมือน ไม่ว่าจะเป็นรา้ นอาหาร รา้ นขายของ รา้ นขายยา ธนาคาร ลว้ นวาด ลวดลายไวท้ ง้ั นน้ั มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง แตก่ ง็ ดงามไมแ่ พก้ นั เมอ่ื ประกอบกบั การตกแตง่ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ไวท้ ี่ ริมหนา้ ต่าง หนา้ รา้ น หนา้ ประตู ริมทางเดิน ยิ่งทาํ ใหถ้ นนเสน้ นีท้ างเสน้ ดหู วาน โรแมนติกเสียเหลือเกิน อยากจะบอกว่าหลงรกั ก็ดจู ะเป็นคนใจง่าย เพราะจะว่าไปหลายๆ เมืองท่ีผ่านมาก็ติดจะหลงรกั หรือถึง ขนาดวา่ หลงไหลเลยก็วา่ ได้ เฮอ้ ......มาตกหลมุ รกั อย่างโงหัวไมข่ ึน้ อย่างนี้ ดทู ่าจะตอ้ งกลบั มาอีกเป็นแน่ ครงั้ เดยี วท่าจะไมพ่ อเสียแลว้ ซิ เดนิ สาํ รวจบา้ นเมอื งกนั นกั ทอ่ งเที่ยวที่เดนิ อย่บู นทอ้ งถนนหากไมถ่ ือกลอ้ งคอยเกบ็ ภาพอาคารบา้ นเรือนสวยๆ ที่เหน็ ชัดอีก อย่างกค็ ือพวกอปุ กรณใ์ นการเลน่ สกีทง้ั หลาย นกั ท่องเที่ยวกลมุ่ หลงั นีจ้ ะใชเ้ มอื งนีเ้ ป็นที่พาํ นกั ก่อนท่ีจะขนึ้ เขากนั ทงั้ การขนึ้ ไปชมเอาบรรยากาศเฉยๆ หรอื การไปเลน่ สกี หรือแมแ้ ตก่ ารเดินเขาในแถบนี้ เพราะจริงๆ แลว้ นอกจากซกุ สปิตเซ่ ทง้ั การม์ ิชและพารเ์ ทนเคอรเ์ ชน่ ยงั มเี ขาอีกหลายลกู ที่นกั เดินเขาแบบท่ีเรียกวา่ เท รกกิง้ (Trekking) นิยมชมชอบ ซ่ึงสามารถจะน่ังกระเชา้ (cable car) ขนึ้ ไปก็ได้ อย่างการม์ ิชจะมีครา เมอรส์ ปิตซ์ (Kramerspitz) เขาขนาดใหญ่ท่ีมีความสงู ถึง 1,985 เมตรเป็นจดุ ขายโดยเฉพาะในฤดรู อ้ น ไม่
นิยมเดินขึน้ เขากันในฤดหู นาวเพราะมกั มีหิมะถล่มบ่อยครงั้ ในขณะท่ีพารเ์ ทนเคอรเ์ ช่นจะมีเขาแวงค์ (Wank) เป็นยอดเขาสงู ของเมืองที่ระดบั ความสงู 1,780 เมตร ทง้ั สองแห่งนีเ้ ป็นขวญั ใจของนกั เทรกกิ้ง ในขณะที่หากตอ้ งการพิชิตยอดความสงู ตอ้ งไปที่ซกุ สปิตเซ่ จะเลน่ สกีตอ้ งไปที่ธารนา้ํ แข็งซุกสปิตเซ่พลาท (Zugspitzplatt) ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ เมืองทงั้ เมืองถกู เขาโอบลอ้ มไวท้ ง้ั หมด เป็นเมอื งในหบุ เขาอย่างแทจ้ ริง เมืองในหบุ เขา ประตสู ยู่ อดเขาซุกสปิต พวกเราชีช้ วนกนั ชมอาคารบา้ นเรือนระหวา่ งการเดนิ เทา้ ดว้ ยความเพลดิ เพลนิ เขา้ ใจว่ามีทง้ั ท่ีเป็น เร่ืองราวทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละเร่ืองราวทางศาสนา บางหลงั ทาสีพืน้ ของอาคารเป็นสีฟ้านา้ํ ทะเลจากนนั้ วาดลวดลายเป็นรูปพระจนั ทร์ ดวงดาว บางหลงั วาดเป็นภาพชาวนาชาวไร่ทาํ กิจกรรมภายในโรงนา บาง หลังเป็นภาพหนุ่มสาวเล่นดนตรี เตน้ ราํ ภาพหญิงสาวอมุ้ บุตร ภาพพระเยซู ภาพเทพบนสวรรค์ ภาพ นายพรานลา่ สตั ว์ บางหลงั วาดเป็นเร่อื งราวเลยทีเดียว บางหลงั ยงั ตกแตง่ เพ่ิมเติมดว้ ยตกุ๊ ตาปนู ปั้น และหัว สตั ว์ แมแ้ ตห่ นา้ ตา่ งกย็ งั วาดภาพตกแตง่ ไวด้ ว้ ยนอกจากรา้ นอาหารและที่พกั ท่ีมีคอ่ นขา้ งมากมายแลว้ หนู เลก็ สงั เกตวา่ มีรา้ นขายยาจาํ นวนมากทีเดยี ว รา้ นขายยาที่นี่จะเรียกว่า อโพทีเคอ (Apotheke) แต่ก็ไม่เชิง ขายยาเทา่ ไรนกั มีพวกผลิตภณั ฑค์ วามงามและพวกอาหารเสริมดว้ ย ถา้ จะเปรียบเทียบกับบา้ นเราก็คง เป็นพวกรา้ นบทู ส์ (Boots) กระมงั
ลวดลายบนอาคารแตล่ ะหลงั ชวนใหเ้ ดนิ ชมไมม่ ีเบ่ือ จดุ เดน่ ของเมืองคงเป็นโบสถป์ ระจาํ เมืองสีชมพโู ดมสีเขียวอยา่ งโบสถเ์ ซนตม์ ารต์ นิ ความโดดเดน่ นี้ ถือเป็นจุดนัดพบที่ดีไมน่ อ้ ยเลย โบสถเ์ ซนตม์ ารต์ ิน (St.Martinkirche) หลงั นีส้ รา้ งขึน้ ในระหว่างปี ค.ศ. 1730 – 1734 ในแบบบารอคโดยโจโซฟ ชมเู ซอร์ (Joseph Schmuzer) ภายในตกแตง่ ดว้ ยจิตรกรรมฝา ผนังฝีมือมทั ทอส กึนเธอร์ (Matthäus Günther) และงานปนู ป้ันมากมายโดยเฉพาะรูปปั้นนกั บุญและ เทวดาที่ใชส้ ีทองตกแต่งเป็นหลกั จึงทาํ ใหม้ ีความอลงั การเพ่ิมมากขนึ้ ไปอีก ช่ือของโบสถม์ าจากชื่อของ นกั บญุ มารต์ ิน นกั บญุ อปุ ถมั ภข์ องการม์ ชิ -พารเ์ ทนเคอรเ์ ช่น เมอื่ ครงั้ ที่ยงั เป็นทหารโรมนั เขาเคยตดั แบ่งเสือ้ คลมุ ของเขาออกเพ่ือใหข้ อทานคร่ึงหน่ึง เมตตาจิตครงั้ นน้ั ทาํ ใหเ้ ขาไดเ้ ห็นภาพนิมิตขององคพ์ ระเยซูดว้ ย พวกเราไมส่ มคั รใจเขา้ ไปแวะชมภายในโบสถเ์ พราะหลายวนั มานี่เขา้ ชมโบสถจ์ นมนึ ไปหมดแลว้ เราเดินลดั เลาะชมเมืองไปเรอื่ ยๆ ตามถนนคนเดิน วนั นีจ้ ัดไดว้ า่ นักท่องเท่ียวไม่มากนักเลยทาํ ให้ เราสามารถเดนิ ชมบรรยากาศไดส้ บายๆ ถนนคนเดินหากมองไปจนสดุ ทางจะมองเห็นภเู ขาแวงคเ์ ป็นฉาก หลัง พ่ีใหญ่ คณุ ปา และคุณสุด ค่อนขา้ งเพลิดเพลินกับการเดินชมสินคา้ ที่มาวางขายไว้หน้ารา้ น โดยเฉพาะเมืองท่องเท่ียวฤดหู นาวแบบนี้ สินคา้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสือ้ กนั หนาวแบบต่างๆ ที่แขง่ กัน บรรยายสรรพคุณว่าเหมาะกับการใชใ้ นการใส่ขึน้ เขาอย่างไร นอกนั้นก็เป็นของจาํ พวกหมวก ถุงมือ ผา้ พนั คอ เรียกวา่ มีครบเคร่อื ง มาถึงกเ็ ลอื กซือ้ แลว้ แตง่ ตวั ขนึ้ เขาไดเ้ ลย
ตามแผนการทอ่ งเท่ียว พวกเรากแ็ คอ่ ยากมานอนเมืองแห่งนี้ ไอท้ ี่จะขนึ้ ยอดเขาซุกสปิตเซ่นี่ไม่ได้ อยใู่ นความคิดกนั เลย เพราะเรายงั มีโปรแกรมอีกยาวเหยียด และเราก็ไมม่ ีความพรอ้ มมากพอท่ีจะขนึ้ ไปยงั พืน้ ที่เหนือระดบั นา้ํ ทะเลปานนัน้ อย่างดีท่ีสดุ สาํ หรบั ท่ีน่ีก็คงแคก่ ารเดินเท่ียวตวั เมืองเอาบรรยากาศ ชม ภาพวาดบนผนงั บา้ นลวดลายต่างๆ อย่างที่ทาํ อยู่นี่กระมงั ดงั นั้น แมว้ ่าเราจะเดินไปจนถึงศนู ยบ์ ริการ นกั ทอ่ งเที่ยวเรากไ็ มค่ ดิ จะแวะเขา้ ไปสอบถามขอ้ มลู ท่องเที่ยวอะไรเพิ่มเตมิ อีกทง้ั ยงั เริ่มเดินยอ้ นกลบั ไปเอา รถที่จอดไวเ้ พราะยงั มที ่ีหมายถดั ไปรออย่อู ีก นึกๆ แลว้ ก็นา่ เสียดายท่ีเรามีโปรแกรมการเดินทางท่ีค่อนขา้ ง ตอ้ งใชเ้ วลา บางเมอื งจงึ กลายเป็นทางผา่ นไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะแถบบาวาเรียนีเ้ มืองทุกเมืองมี ความสวยงาม โรแมนตกิ เสยี เหลอื เกิน อยากใหเ้ วลาในช่วงสามสี่วนั นีเ้ ดินชา้ ลงสกั หน่อยเราจะไดม้ ีเวลา ออ้ ยอิง่ กบั แตล่ ะเมืองใหม้ ากขนึ้ ในเม่ือเวลายังพอมีเหลือและใกลๆ้ กันนีม้ ีเมืองเลก็ ๆ ท่ีพลาดการไปเท่ียวชมไมไ่ ดอ้ ีกเมืองหนึ่ง อย่างมทิ เทนวาลด์ (Mittenwald) ดงั นั้น เวลาท่ีเหลือของวนั นีเ้ ราจึงจะดอดไปเดินเลน่ ที่น่นั กันเสียหน่อย อย่างไรกค็ งพอเดนิ ไดท้ ่วั เพราะเขาบอกวา่ ถนนคนเดนิ ในมทิ เทนวาลดถ์ ือเป็นอีกแห่งท่ีไมค่ วรพลาดสาํ หรบั การเดนิ ทางในแถบบาวาเรีย มทิ เทนวาลดไ์ มอ่ าจจดั ไดว้ า่ เป็นเมอื ง ดจู ะคลา้ ยๆ เป็นหมบู่ า้ นเลก็ ๆ เสยี มากกวา่ เพราะขนาดเล็ก จนแผนที่ที่ไมล่ ะเอยี ดจะไมป่ รากฏใหเ้ หน็ ท่ีหมบู่ า้ นนีเ้ ป็นที่รูจ้ กั อาจจะเป็นเพราะความเป็นธรรมชาตทิ ี่แลดู สดุ สวีท โรแมนติก จึงทาํ ใหเ้ กิดการบอกเล่าจากปากต่อปาก เลยทาํ ใหเ้ ป็นแหลง่ ท่องเที่ยวอีกแห่งท่ีผมู้ า เยือนแควน้ บาวาเรียไมค่ วรพลาด อย่างไรกต็ ามหนเู ลก็ จะขอพาไปพิสจู นด์ ว้ ยตวั เองก่อน ดทู ีว่าจะเป็นจริง ตามคาํ ร่าํ ลือหรือไม่ พี่ดีพ้ าเราออกจากการม์ ิชไปตามถนน B2 ทางเดียวกนั กบั ที่จะเดนิ ทางไปยงั อนิ สบ์ รู ก์ ของออสเตรยี จากนนั้ วิ่งเขา้ ถนนหมายเลข ST2542 เมอื่ ว่ิงมาสกั พักจะพบถนนหมายเลข ST2042 ก็จะเลีย้ วขวาเขา้ ตวั เมอื ง รวมระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรก็เขา้ สตู่ วั เมอื งมทิ เทนวาลดแ์ ลว้ เราถือโอกาสไปจอดท่ีแถวสถานี รถไฟเพราะมที ่ีจอดเหลอื เฟื อ อาจเดินไกลหนอ่ ยแตก่ ็สบายใจกวา่ คา่ จอดกไ็ มเ่ สยี จากนนั้ ก็เดินเขา้ เมอื งไป เพ่ือชมรา้ นรวงขา้ งทางท่ีขายสินคา้ สารพัดชนิดทัง้ ของใช้ ของแต่งบา้ น กระเป๋ า เสือ้ ผา้ ว่ากนั วา่ หากนบั เฉพาะประชากรของเมอื ง ไมร่ วมนกั ท่องเท่ียวท่ีมาเยือน คงมจี าํ นวนแคห่ ลกั พนั เท่านนั้ แตใ่ นวนั ที่เรามาถึง นี้ นกั ทอ่ งเที่ยวบางตา กด็ ีแลว้ หนเู ลก็ เบื่อเป็นท่ีสดุ หากวา่ ไปเมืองไหนมีแตน่ กั ทอ่ งเที่ยวเต็มไปหมด จะชม จะเลอื กซือ้ อะไร ดจู ะไมส่ ะดวกไปเสยี หมด อาคารบา้ นเรือนแถบนีก้ ็เป็นเหมือนที่การม์ ิช-พารเ์ ทนเคอรเ์ ช่นท่ีมีการวาดภาพบนผนังไวอ้ ย่าง งดงาม ดเู หมอื นจะบอกเลา่ เรอื่ งราวตา่ งๆ ในอดตี ไวม้ ากมายก่ายกอง เสน่หข์ องถนนในเมืองคงเป็นท่ีเขา ทาํ ทางระบายนา้ํ ไวโ้ ดยรอบ ระหวา่ งทางเดนิ ที่เป็นหินฝังสองฝ่ังของถนนจงึ มีทางนา้ํ ไหลไปตลอดทาง ทาํ ให้ เมืองนีด้ จู ะโรแมนตกิ เพิ่มขนึ้ ไปอีกเพราะเสยี งนา้ํ ไหลท่ีคลอเคลียไปกบั ใบไมท้ ี่เร่มิ เปลี่ยนสีเป็นเหลอื งๆ ทอง ทาํ ใหบ้ รรยากาศดอู บอนุ่ ขนึ้ เมือ่ มาประกอบกบั อาคารบา้ นเรือนสีหวาน และวิถีผคู้ นท่ีดจู ะดาํ เนินไปอย่าง
ออ้ ยอ่งิ ภาพท่ีเหน็ และบรรยากาศที่ประทบั ใจเช่นนีห้ นเู ลก็ ไดแ้ ตเ่ สยี ดายที่เราเก็บกลบั ไปไดเ้ พียงภาพถ่าย หากจาํ ลองทกุ สิ่งกลบั ไปไดก้ ็คงจะดี มิทเทนวาลดท์ ี่แสนเงยี บสงบ จุดสะดุดตาของมิทเทนวาลด์คงเป็นหอคอยสีชมพูสดใสท่ีมีลวดลายฝี มือมัททอส กึนเธอร์ (Matthäus Günther) วาดไวเ้ ป็นรูปนกั บญุ ของโบสถค์ าทอลิกเซนตป์ ีเตอรแ์ อนดพ์ อล (St.Peter und Paul Kirche) ท่ีอย่ใู จกลางเมือง โบสถส์ รา้ งในระหว่างปี ค.ศ.1738 – 1740 โดยโจโซฟ ชมูซเออร์ (Joseph Schmuzer) แตห่ อคอยแลว้ เสรจ็ ในปี ค.ศ.1746 จากโบสถเ์ มอื่ เดนิ ตอ่ มาเรอ่ื ยๆ จะพบแตอ่ าคารบา้ นเรือนสี ต่างๆ ท่ีลว้ นวาดภาพบอกเล่าเร่ืองราวและวิถีชีวิตผคู้ นไว้ ขอบหน้าต่างก็ลอ้ มกรอบไวด้ ว้ ยสีสนั และ ลวดลายตา่ งๆ นาๆ ยิ่งมดี อกไมไ้ วท้ ่ีหนา้ ตา่ งบา้ นก็ย่ิงขบั ใหบ้ รรยากาศของถนนเสน้ นีท้ งั้ เสน้ หวานฉ่าํ เขา้ ไป อีก ไมโ่ รแมนติกตอนนีจ้ ะโรแมนติกกันตอนไหน เห็นแลว้ อยากสตาฟบรรยากาศนีก้ ลบั ไปเมืองไทยดว้ ย เหลอื เกิน
หอคอยสชี มพทู ี่สามารถมองเห็นไดเ้ กือบทกุ จดุ ของเมอื ง มิทเทนวาลดเ์ ป็นเมืองท่ีตง้ั อยู่ดา้ นล่างของเทือกเขาคารเ์ วนเดล (Karwendel) ซ่ึงมีความสงู ถึง 2,244 เมตร เป็นเมืองเล็กๆ บนเสน้ ทางการคา้ ขายระหว่างเมืองเวโรนา (Verona) ของอิตาลี และเอาก์ สบูรก์ (Augsburg) มีชื่อเสียงในเร่ืองการทาํ ไวโอลินมาหลายรอ้ ยปี ในเมืองจึงมีพิพิธภณั ฑ์ไวโอลิน (Geigenbau und Heimatmuseum) ท่ีสรา้ งขึน้ ท่ีบา้ นของมทั เทียส โคลทซ์ (Matthias Klotz) ผมู้ ีชีวิต ระหว่างปี ค.ศ.1653 – 1743 ช่างทาํ ไวโอลินคนสาํ คญั ผไู้ ดม้ ีโอกาสศึกษาการทาํ ไวโอลินจากช่างมือฉมงั อย่างนิโคโล อมาติ (Nicolo Amati) ผเู้ ป็นรุน่ หลานของแอนเดรีย อมาติ (Andrea Amati) ช่างไวโอลินชาว อติ าลียคุ ใหมค่ นแรกที่การออกแบบของเขาเป็นท่ีนิยมในหมนู่ กั ดนตรีมาก จึงทาํ ใหไ้ วโอลนิ ของ มิทเทนวาลดจ์ ดั ไดว้ า่ เป็นไวโอลนิ ที่มชี ่ือเสยี งมากแหง่ หนึง่ ของเยอรมนี ถงึ จะเป็นเมอื งเลก็ ๆ แตล่ วดลายที่ผนงั ไมไ่ ดน้ อ้ ยหนา้ เลย เมอ่ื กวา่ สองรอ้ ยปีก่อน เกอเธ่ (Gothé) ศิลปินช่ือดงั ไดบ้ นั ทึกขอ้ ความเก่ียวกับมิทเทนวาลดไ์ วว้ ่า ที่นี่คือหนงั สอื ภาพที่มีชีวิต (A living picture book) น่นั เป็นเพราะลวดลายบนผนงั ท่ีบอกเลา่ เรอ่ื งราวต่างๆ มากมายทั้งเก่ียวกับศาสนา ความเช่ือ เหตุการณท์ างประวตั ิศาสตร์ วิถีของผคู้ น หากมีเวลาเขามีทัวร์ ทอ้ งถิ่นพานาํ เท่ียวเพื่อนาํ ชมพรอ้ มอธิบายท่ีมาท่ีไป ตลอดจนความหมายใหฟ้ ัง ซ่ึงทวั รน์ ีจ้ ดั ใหฟ้ รีในทกุ วนั องั คารในเดอื นกรกฎาคมถงึ เดือนกนั ยายนใชเ้ วลาประมาณหนง่ึ ช่วั โมง เสน่หอ์ ีกอย่างกค็ อื เมืองนีไ้ ม่มีหา้ ง ขนาดใหญ่ ทกุ รา้ นเป็นของคนทอ้ งถ่ิน ขายอาหาร ขายกาแฟ ขายของท่ีระลกึ ท่ีเป็นฝีมือลว้ นๆ ต๊กุ ตาถกั ทอ
แกว้ กาแฟเพนทส์ วยๆ เหยือกเบียร์ ทกุ อยา่ งที่จดั วางไวด้ กู ระจมุ๋ กระจ๋มิ นา่ ซือ้ นา่ หาไปเสยี หมดหากไมต่ ิดใน เรื่องของราคาที่เร่ิมตน้ หลายยโู รก็คงไดค้ วกั เงินออกจากกระเป๋ าไมม่ ยี ง้ั เป็นแน่ ตามรา้ นอาหารกว็ าดภาพไวเ้ ป็นเรอ่ื งราว ความมืดค่าํ ท่ีเร่ิมมาเยี่ยมเยือนทาํ ใหเ้ ราจาํ ใจตอ้ งอาํ ลาจากมิทเทนวาลดด์ ว้ ยความเสียดาย หมู่บา้ นเล็กๆ แห่งนีช้ ่างโรแมนติก หวาน สมคาํ ร่าํ ลือเสียจริงๆ หากเวลาเดินชา้ ลงอีกนิดเราคงไดเ้ ดิน ทอดนอ่ ง อิ่มเอมกบั บรรยากาศที่งดงามแห่งนีไ้ ดอ้ ีกสกั พกั แตก่ ารไดพ้ บและการจากพรากถือเป็นสจั ธรรมท่ี เราต้องยอมรับ หนูเล็กได้แต่คิดว่าการได้มาพบ และซึมซับบรรยากาศแห่งนี้ด้วยตนเองถือเป็ น ประสบการณห์ นึ่งที่นกั เดินทางทุกคนลว้ นแสวงหา ความสขุ ของนักเดินทางอย่างเราๆ ก็มีเพียงเท่านีเ้ อง หนเู ลก็ คอ่ ยๆ พาพ่ีดอี้ อกเดนิ ทางจากมทิ เทนวาลดอ์ ย่างชา้ ๆ อย่างนอ้ ยกใ็ หภ้ าพประทบั ใจนีต้ ิดตาตรงึ ใจไว้ ใหน้ านมากท่ีสดุ ค่าํ นีพ้ วกเราช่วยกันทาํ อาหารเย็นแบบง่ายๆ มีไวนร์ สดีเป็นเครื่องด่ืมช่วยย่อย และอาหารหวาน เป็นไอศกรีมแซนวิชยี่หอ้ คินเดอร์ พิงกุย (Kinder Pingui) ชอคโกแลตบารย์ อดนิยมในออสเตรีย เยอรมนี และสวติ เซอรแ์ ลนด์ ถือเป็นมอื้ อรอ่ ยในบรรยากาศเยี่ยม เม่อื อิ่มกนั ไดท้ ่ีก็ไดเ้ วลาแยกกนั นอนคนละชั้น คณุ ปาและคณุ สดุ จงึ ตอ้ งระเห็ดลงไปชน้ั ใตด้ ิน ในขณะท่ีพี่ใหญ่กบั หนเู ลก็ เพียงแคค่ บื ก็ถงึ เตยี งนอนแลว้ การได้ นอนรบั อากาศดีๆ ในหอ้ งนอนสวยๆ และอย่ใู นบา้ นแสนน่ารกั แบบนี้ เอาอะไรมาแลกกค็ งไมย่ อมแลว้
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: