Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Germany : Love at first drive Chapter 14

Germany : Love at first drive Chapter 14

Published by Ou' Bookshop, 2021-09-24 04:53:11

Description: Chapter 14 : Various destinations in one day

Search

Read the Text Version

Germany : Love at first drive Chapter 14 : Varios destinations in one day หนูเล็ก

วนั เดยี วเทยี่ วหลายรส วนั นคี้ ุณปาอารมณด์ ี ตน่ื ลงไปจัดการกับอาหารมือ้ เช้าให้พวกเราต้ังแต่ฟ้าเพ่งิ เปิ ดคง เพราะได้นอนเต็มอ่มิ ซ่ึงก็เป็นเรื่องดี เพราะจะทาํ ใหพ้ วกเราซ่ึงมีเวลานอ้ ยเหลือเกินจะไดม้ ีเวลา เพิ่มขึน้ อีกสักหน่อยสาํ หรับการเดินเท่ียวเวิรซ์ บวรก์ ไดม้ ากขึน้ ดังน้ัน เมื่อเราจัดการกับตัวเองกัน เรยี บรอ้ ยก็พากันไปจดั การกบั ฝีมือของคณุ ปา และเมื่ออ่ิมอรอ่ ยกนั เตม็ คราบกบั ขา้ วผดั ไสก้ รอกฝีมือ เยี่ยมของเชฟปาแลว้ เรากเ็ ก็บขา้ วของรอไวใ้ หพ้ รอ้ มสาํ หรบั การกลบั เขา้ มาขนยา้ ยไดท้ ันทีแลว้ ก็พากัน ออกไปเดินเท่ียวเขตเมอื งเก่ากนั อาหารมือ้ เชา้ แสนอรอ่ ย อาหารกลอ่ งสาํ หรบั การเดนิ ทางวนั นี้ ระหวา่ งที่พวกเราไปเตรยี มตวั พี่ใหญก่ ็เกบ็ ลา้ ง

เวริ ซ์ บวรก์ (Würzburg) เป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งซึ่งเป็นประตสู ่ถู นนสายโรแมนติก เมืองนี้ เป็นอีกเมอื งหนงึ่ ที่ไดช้ ่ือวา่ เป็นเมอื งสไตลบ์ ารอคท่ีสวยท่ีสดุ ในเยอรมนี อีกทง้ั ยงั เป็นศนู ยก์ ลางการผลิต ไวนข์ าวท่ีมีชื่อเสยี งในเขตฟรงั โคเนียน น่นั เป็นเพราะเวิรซ์ บวรก์ ตงั้ อยใู่ นท่ีราบล่มุ ของแม่นา้ํ ไมน์ (Main) แตเ่ ดิมพวกเซลท์ (The Celt) ไดเ้ ป็นผคู้ น้ พบเวิรซ์ บวรก์ ประมาณ 650 ปีก่อนคริสตกาล และไดก้ ่อสรา้ ง ป้อมปราการไวบ้ ริเวณท่ีเป็นป้อมและปราสาทมาเรียนแบรก์ (Marienberg) ในปัจจุบนั จนกระท่ัง ประมาณปี ค.ศ.686 ไดม้ ีนกั บวชชาวไอรสิ จาํ นวน 3 คน นาํ ศาสนาคริสตเ์ ขา้ มาเผยแพร่ จากน้นั เวิรซ์ บ วรก์ ตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของฝ่ ายศาสนามาโดยตลอด จนกระท่งั ในปี ค.ศ.1631 กษัตริยก์ ุสตาฟ อดอลฟ์ แห่งสวีเดน (Gustav Adolf of Sweden) ไดบ้ กุ รุกเขา้ มายึดครองไดส้ าํ เรจ็ จนกระท่ังในปี ค.ศ. 1945 เวิรซ์ บวรก์ ไดต้ กเป็นเปา้ หมายหน่ึงในสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 โดยถูกโจมตีทางอากาศ (air raid) ทาํ ใหโ้ บสถ์ มหาวหิ าร และสงิ่ ปลกู สรา้ งจาํ นวนมากถกู ทาํ ลายจนไดร้ บั ความเสียหายมาก มีผคู้ นเสียชีวิต หลายพนั คน หลงั จากผา่ นพน้ เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วชาวเมืองไดร้ ว่ มกนั บรู ณะ และสรา้ งเมืองขึน้ มาใหมซ่ ึ่ง แรงงานสาํ คญั กค็ อื พลเมอื งที่เป็นหญิง เนื่องจากผชู้ ายถา้ ไมเ่ สยี ชวี ติ จากสงครามก็จะถกู จบั ไปเป็นเชลย หากจะเปรียบเทียบความเสยี หายจากสงครามครง้ั นน้ั เวิรซ์ บวรก์ ไดร้ บั ความเสียหายยิ่งไปกวา่ เดรสเดน (Dresden) เสยี อกี ในปี ค.ศ.1814 เวิรซ์ บวรก์ ไดถ้ กู รวมเขา้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของบาวาเรยี บารบ์ ารอสซาพลาทซ์ (Barbarossa platz) จากโฮสเทลพวกเราพากนั เดินโตล้ มหนาวไปตามถนนไกเซอร์ (Kaiserstraße) ถนนเสน้ นีเ้ ป็น ถนนคนเดนิ ท่ีจะนาํ เราไปสบู่ รเิ วณบารบ์ ารอสซาพลาทซ์ (Barbarossa platz) เป็นจดุ ท่ีรถรางหลายสาย มาวงิ่ วนรบั – ส่งผโู้ ดยสาร เขาทาํ พืน้ ท่ีรอรถไวอ้ ย่างทันสมยั เม่ือเทียบกบั อาคารที่อย่รู ายรอบท้ังหมด เลยจากจุดนีจ้ ะมีอาคารบารอคขนาดใหญ่ต้ังอยู่ อาคารนีค้ ือจูเลียสสปิทาล (Juliusspital) สรา้ งขึน้ ต้งั แต่ปี ค.ศ.1576 โดยพรินซบ์ ิชอปจูเลียส เอคช์เทอร์ ฟอน เมสเพลบรุนน์ (Julius Echter Von Mespelbrunn) ผปู้ กครองเวิรซ์ บวรก์ ระหวา่ งปี ค.ศ.1573 – 1617 รูปร่างหนา้ ตาเป็นอย่างไรสามารถดู

ไดท้ ี่รูปป้ันซ่ึงตงั้ อย่รู ิมถนนจูเลียสพรอเมเนดซึ่งสรา้ งขึน้ ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 (Juliuspromenade) อาคารเดิมเป็นแบบเรอเนสซองสท์ ี่ถูกไฟไหมจ้ นทรุดตัวลงเมื่อปี ค.ศ.1699 สถานท่ีแห่งนี้เป็ น โรงพยาบาล ดา้ นหนา้ อาคารมีการแกะสลกั ภาพเหตกุ ารณห์ นึ่งไวด้ ว้ ยซ่ึงภาพดงั กล่าวเป็นการแสดงถึง ท่ีมาของสถานท่ีแห่งนี้ ดา้ นบนมีตราประจาํ ตระกูล โรงพยาบาลนีใ้ หบ้ ริการกบั คนเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยทกุ ชน ช้ันไม่มีแบ่งแยก และในขณะเดียวกันที่นี่ก็เป็นท่ีพาํ นักสาํ หรับคนจน คนแก่ และเด็กกาํ พรา้ หรือถูก ทอดทิ้ง อย่างไรก็ตาม ที่น่ีก็เป็นเหมือนโรงพยาบาลเก่าหลายๆ แห่งซึ่งมีทรพั ยส์ ินมากเพียงพอท่ีจะ ดาํ เนินกิจการสาธารณกศุ ลนี้โดยมที ่ีดนิ ท่ีปลกู ไรอ่ งนุ่ สาํ หรบั การทาํ ไวน์ ซง่ึ ท่ีดนิ กจ็ ดั ไดว้ า่ อยใู่ นทาํ เลท่ีดี ท่ีสดุ ในเขตฟรงั โคเนีย โรงกล่นั ไวนข์ องท่ีน่ียงั ไดร้ บั การจดั อนั ดบั วา่ ดีท่ีสดุ ของเมือง และเป็นโรงกล่นั ที่ดี ท่ีสดุ หนง่ึ ในรอ้ ยแหง่ ของโรงกล่นั ไวนท์ ัง้ หมดของประเทศ ในขณะเดียวกันบางสว่ นของท่ีดินไดแ้ บ่งให้ เชา่ ดว้ ย ปัจจบุ นั ตวั อาคารสว่ นกลางและสว่ นตะวนั ตกยงั ใชเ้ ป็นโรงพยาบาลอยู่ โดยดา้ นตะวนั ตกเป็น สว่ นท่ีสรา้ งขนึ้ เพ่ิมเติมภายหลงั สงคราม ส่วนดา้ นตะวนั ออกประกอบดว้ ยหอ้ งเก็บและชิมไวน์ รา้ นคา้ รวมทั้งรา้ นอาหารท่ีมีไวนส์ ารพัดชนิดไวพ้ รอ้ มเสริฟ ดา้ นหลงั ของอาคารเขาบอกว่ามีส่วนท่ีจดั ไวเ้ ป็น สวนบารอคท่ีควรคา่ แกก่ ารไปเยี่ยมชม จเู ลยี สสปิทาล (Juliusspital) พรินซบ์ ิชอปจเู ลียส เมื่อมองระยะไกลเห็นยอดแหลมของโบสถม์ าเรียนคาเปลลา (Marienkapelle) หรือเซนตม์ ารี ชาเปล (St.Mary’s Chapel) อย่ลู ิบๆ โบสถน์ ีม้ ีเอกลกั ษณโ์ ดดเดน่ เน่ืองจากเป็นโบสถส์ ขี าวตดั ขอบดว้ ยสี แดง เราเลยใชโ้ บสถแ์ ห่งนีเ้ ป็นจุดหมายท่ีจะเดินไปใหถ้ ึง เดินลดั เลาะวินโดวช์ อปปิ้งไปเรื่อยๆ จนถึง บริเวณมาเรยี นพลาทซ์ (Marienplatz) จตั รุ สั กลางเมอื งซ่ึงเป็นที่ตง้ั ของโบสถด์ งั กลา่ ว

ยอดแหลมคอื เปา้ หมายของเรา สสี นั ขา้ งทาง มาเรียนคาเปลลาเป็นโบสถโ์ กธิคตอนปลายที่ใชส้ ีแปลกตากวา่ ท่ีเคยเหน็ เรมิ่ สรา้ งตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1377 มาเสรจ็ สนิ้ เอาเม่อื ปี ค.ศ.1480 เมื่อครง้ั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ถกู ไฟไหมจ้ นภายในเสียหายอย่าง หนกั ตรงประตทู างเขา้ จะมีรูปสลกั ที่ตกแต่งไวท้ ี่จ่วั เป็นรูปสาวกของพระเยซูคริสตผ์ เู้ ผยแพร่ศาสนา

จาํ นวน 12 คน และรูปสลกั ของอดมั และอีฟ (Adam and Eve) สรรคส์ รา้ งโดยทิลมนั ไรนม์ นั ชไนเดอร์ (Tilman Reimanschneider) ศิลปินและช่างฝีมือเอกในยคุ กลาง แตร่ ูปสลกั พวกนีจ้ ริงๆ แลว้ ทาํ จาํ ลอง ขึน้ มาติดตง้ั ทดแทน ส่วนของจริงฝีมือทิลมนั นน้ั เขาเอาไปเก็บรกั ษาไวท้ ่ีพิพิธภัณฑแ์ ลว้ ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1975 ซ่งึ หากไปชมที่พิพิธภณั ฑจ์ ะไดเ้ ห็นกนั แบบใกลช้ ิดเลยทเี ดยี วหากเทียบวา่ ถา้ ยงั ติดตงั้ ไวท้ ี่จ่วั ประตู ทางเขา้ ก็คงไม่ไดเ้ ห็นแบบใกลช้ ิด เหตทุ ี่สถานท่ีแห่งนีใ้ ชค้ าํ วา่ Kapelle หรือ Chapel นน้ั มีท่ีมาจาก ขนาดตลอดจนการตกแตง่ ตา่ งๆ อีกทง้ั เป็นสถานท่ีแบบกึ่งสาธารณะ คือมีผทู้ ี่จะเขา้ ใชง้ านเฉพาะกลมุ่ คือมีความเป็นสว่ นตวั มากกว่าโบสถท์ ่ัวๆ ไป ดา้ นในมีสสุ านของอศั วินและพลเมืองของเวิรซ์ บวรก์ รวมท้ังสสุ านของสถาปนิกศิลปะบารอคผยู้ ่ิงใหญ่อย่างบลั ทฮ์ าซาร์ นิวมนั น์ (Balthasar Neumann) ตลอดจนหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรต์ า่ งๆ ท่ีจะทาํ ใหท้ ราบว่าคนยคุ ก่อนใชช้ ิวิตอย่างไร นุ่งห่มอย่างไร ทกุ อยา่ งภายในถกู ทาํ ขนึ้ ใหมท่ ง้ั สิน้ ที่โดดเดน่ คอื บริเวณแท่นบชู าท่ีมีภาพวาดท่ีมีชื่อเสียงคือ Beautiful Madonna มอี ายตุ งั้ แตป่ ี ค.ศ.1420 และภาพวาด Silver Madonna คริสตศ์ ตวรรษที่ 17 โบสถม์ าเรียนคาเปลลา (Marienkapelle) จดุ ท่ีตรงนีเ้ ป็นลานกวา้ งของมารค์ พลาทซ์ (MarktPlatz) เป็นจดุ ซือ้ ขายสนิ คา้ ตา่ งๆ มากมายทั้ง ผกั ผลไม้ ชีส ไสก้ รอก ดอกไม้ มผี คู้ นเดินเลือกซือ้ ขา้ วของกนั ขวกั ไขว่ ตรงกลางมารค์ พลาทซม์ ีเสาหิน ตงั้ อยู่ 1 ตน้ นอกจากนนั้ ยงั มีรูปป้ันต่างๆ ประดบั อย่บู ริเวณดา้ นหนา้ อาคารต่างๆ อีก 2 - 3 แห่ง สม แลว้ ท่ีวา่ กนั วา่ ยโุ รปเป็นบ่อเกิดแหง่ ศลิ ปะวิทยาการ ผคู้ นในอดีตดจู ะรุ่มรวยอารมณศ์ ิลป์ จนตอ้ งแสดง ความหมายตา่ งๆ ผา่ นทางศิลปะทงั้ รูปป้ัน รูปวาด รูปแกะสลกั มากมายเหลอื คณานบั

มารค์ พลาทซ์ (MarktPlatz) เราพากนั เดินลดั เลาะชมบา้ นเมืองเรื่อยมาจนพบกับศาลาวา่ การเมือง (Rathaus) ซ่ึงมีนา้ํ พุ แบบบารอคซึ่งสรา้ งตัง้ แต่ปี ค.ศ.1765 ต้ังอย่ตู รงหน้า ตวั อาคารมีสว่ นท่ีเป็นหอคอยโรมาเนสก์ท่ีมี นาฬิกาดา้ นบน กบั อาคารสาํ นกั งานศิลปะเรอเนสซองสต์ อนปลาย ท้งั สามศิลปะแมจ้ ะมาสรา้ งรวมกนั ไวเ้ ป็นจดุ เดียวกนั แตก่ ็ไมไ่ ดร้ ูส้ กึ ถึงความแปลกแยกแตกตา่ งกลบั แลดเู ขา้ กนั เป็นอยา่ งดเี สยี อีก ศาลาวา่ การเมอื ง (Rathaus)

จากศาลาวา่ การเมอื งเราพากนั เดินตอ่ ไปยงั สะพานขา้ มแมน่ า้ํ ไมนท์ ี่ชื่อวา่ อลั เทอไมนบ์ รคึ (Alte Mainbrücke) หรือแปลงา่ ยๆ วา่ สะพานเก่าขา้ มแมน่ า้ํ ไมน์ จดุ เดน่ ที่สะดดุ ตาเมือ่ แรกเจอกค็ งเป็นรูปปั้น นกั บญุ ที่เรียงรายอย่สู องขา้ งทาง สะพานแห่งนีท้ าํ ใหห้ นเู ลก็ อดหวนนึกไปถึงสะพานชารล์ ส์ (Charles Bridge) ท่ีกรุงปราก สาธารณรฐั เชค ที่เคยไปเดินเหยียบย่างมาแลว้ ไม่ได้ ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เสีย แต่ว่าไม่อลงั การเท่า สะพานสัน้ กว่า แคบกว่า มีขนาดย่อมกว่ามาก ก็เลยเป็นไดแ้ ค่สะพานชารล์ ส์ จาํ ลองเทา่ นน้ั เอง ไปเดินเลน่ ที่ อลั เทอไมนบ์ รคึ (Alte Mainbrücke) กนั รูปลกั ษณท์ าํ ใหอ้ ดคดิ ถึง สะพานชารล์ สท์ ี่กรุงปรากไมไ่ ด้ สะพานหินแห่งนีส้ รา้ งในปี ค.ศ.1473 – 1543 ซึ่งเป็นการสรา้ งทดแทนของเดิมที่เป็นศิลปะโร มาเนสกเ์ ม่อื ปี ค.ศ.1133 รูปป้ันท่ีเรียงรายอย่รู วม 12 องคน์ น้ั เป็นการตกแตง่ เพิ่มเติมตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1730 เป็นทง้ั รูปปั้นนกั บญุ และบคุ คลที่มีชื่อเสียง สะพานนีเ้ ป็นตวั เชื่อมระหวา่ งเขตเมืองเก่า (Old Town) ป้อม มาเรยี นแบรก์ (Fortress Marienberg) และย่านชานเมืองอีกฝ่ังแมน่ า้ํ ตอม่อสะพานดา้ นล่างเป็นการ ออกแบบไวเ้ พ่ือป้องกนั การรุกรานจากผบู้ กุ รุกทางเรอื ในปัจจบุ นั มีการดแู ลและควบคมุ การไหลของนา้ํ

โดยมีการจดั ทาํ เขอ่ื นไวด้ ว้ ย เนื่องจากแมน่ า้ํ ไมนจ์ ัดเป็นเสน้ ทางคมนาคมขนส่งทางการคา้ ที่สาํ คญั อีก เสน้ ทางหน่งึ ของยโุ รปจากทะเลเหนือไปยงั ทะเลดาํ ซึ่งจะผา่ นทางแมน่ า้ํ ไรน์ แมน่ า้ํ ไมน์ ลงสคู่ คู ลองเพื่อ ไปยงั แมน่ า้ํ โดเนา หากจะระลึกประวตั ิศาสตรแ์ ลว้ สะพานชารล์ สส์ รา้ งขึน้ ในปี ค.ศ.1357 ในขณะที่ สะพานแหง่ นีส้ รา้ งขนึ้ ทีหลงั ประมาณ 116 ปี ก็มีความเป็นไปไดท้ ง้ั นนั้ วา่ อาจจะเป็นช่วงทศี่ ิลปะลกั ษณะ นีก้ าํ ลงั รุง่ เรอื งจงึ มรี ูปลกั ษณท์ ี่คลา้ ยคลงึ กนั หรอื เป็นการสรา้ งลอกเลียนแบบแตไ่ ม่ไดย้ ิ่งใหญ่เท่าเทียม กนั ในความคิดของหนเู ลก็ ความงามของสะพานอาจจะเปลง่ รศั มีเทียบสะพานชารล์ สไ์ ดอ้ ย่เู หมือนกนั แตต่ อ้ งอาศยั ตวั ชว่ ยอย่างปราสาทและปอ้ มที่โดดเดน่ อย่บู นเนินเขาปลายสะพานอีกดา้ นหนึ่ง ปราสาท มาเรียนแบรก์ (Schloss Marienberg) และป้อมมาเรียนแบรก์ (Festung Marienberg) สะพาน ปราสาท และป้อม เมอ่ื มาอยรู่ วมกนั จดั ไดว้ า่ เป็นแลนดม์ ารก์ ท่ีสาํ คญั ของเวริ ซ์ บวรก์ เลยทีเดยี ว เขาบอก วา่ ถา้ มาเวริ ซ์ บวรก์ แลว้ ไมไ่ ดภ้ าพมมุ นีก้ ลบั ไป น่าจะยงั มาไมถ่ ึง พ่ีใหญ่คนไมค่ อ่ ยชอบเขา้ กลอ้ งไดย้ ิน อย่างนีเ้ ลยขอเกบ็ ภาพกลบั ไปเป็นหลกั ฐานกบั เขาเสียหนอ่ ย แตเ่ ธอหารูไ้ มว่ า่ หนเู ลก็ ช่วยผนวกโบสถเ์ กา่ สเี หลอื งท่ีช่ือซงั คเ์ บอรก์ ารด์ (St.Burkard) แทรกไวใ้ หเ้ ธอดว้ ยในภาพ โบสถแ์ ห่งนีเ้ ป็นโบสถเ์ ก่าที่สรา้ ง ตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1042 เชียวนะน่นั สะพาน ปราสาท และปอ้ มมาเรียนแบรก์ แลนดม์ ารก์ สาํ คญั ของเวิรซ์ บวรก์ ป้อมมาเรียนแบร์กสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษท่ี 13 บนพื้นที่เดิมของมาเรียนเคียเชอ (Marienkirche) ที่เป็นโบสถ์แห่งแรกของเมืองที่สรา้ งไวต้ ้งั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี 8 โดยปรินซ์บิชอป ผปู้ กครองเวิรซ์ บวรก์ เพ่ือใชเ้ ป็นท่ีประทบั เนื่องจากมชี ยั ภมู ิที่ดี เพราะตงั้ อยู่บนเนินเขา อศั วินที่มีหนา้ ที่

ดแู ลปกป้องปราสาทสามารถมองเห็นขา้ ศึกไดง้ ่าย ประมาณปี ค.ศ.1600 จูเลียส เอชเตอร์ (Julius Echter) ไดป้ รบั ปรุงลกั ษณะของป้อมปราการใหเ้ ป็นปราสาทแบบเรอเนสซองส์ ตลอดระยะเวลาที่ใช้ เป็นท่ีประทบั กไ็ ดม้ กี ารก่อสรา้ ง ตกแตง่ และตอ่ เติมมาเรื่อยๆ จนกระท่งั ปี ค.ศ.1719 ไดส้ รา้ งที่ประทับ ใหม่เป็นท่ีเดอะ เรสซิเดนท์ (The Residenz) ท่ีน่ีจึงไดก้ ลายเป็นอดีตที่ประทบั ไป ภายหลงั ที่ไดต้ กอยู่ ภายใตอ้ าํ นาจของกษัตรยิ ก์ สุ ตาฟแห่งสวเี ดน ในปี ค.ศ.1631 ไดม้ ีการปรบั ปรุงใหมจ่ ากเรอเนสซองสใ์ ห้ เป็นสไตลบ์ ารอค และเพิ่มเติมบ่อเก็บนา้ํ (Deep Well) ความลึกถึง 100 เมตรและส่วนท่ีเป็นสวน ปราสาทเขา้ ไปดว้ ย แตอ่ ย่างไรก็ตาม ตอ่ ใหท้ ี่นี่ชยั ภมู ดิ อี ยา่ งไร เมอ่ื ครงั้ สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 เม่ือปี ค.ศ. 1945 ก็ไมส่ ามารถป้องกนั การรุกรานจากกองทพั ทหารอเมริกนั ได้ ปัจจบุ นั บางสว่ นของปราสาทไดเ้ ปิด ใหน้ ักท่องเที่ยวไดเ้ ขา้ ชม สาํ หรบั สว่ นท่ีเคยเป็นคลงั แสงไดป้ รบั เปล่ียนใหเ้ ป็นพิพิธภณั ฑท์ ี่ช่ือว่า ไมน์ เฟรนคสิ เชสมเู ซอมุ (Mainfränkisches Museum) รวบรวมผลงานศิลปะแบบฟรงั โคเนียนทงั้ รูปปั้นและ งานฝีมอื ของทิลมนั ไรนเ์ มนชไนเดอร์ (Tilman Riemenschneider) และยงั มีแผน่ หินจารึกหนา้ หลมุ ศพ ของเขาซง่ึ เสียชีวิตเมอ่ื ปี ค.ศ.1531 แสดงไวด้ ว้ ย และสว่ นท่ีเป็นปอ้ มปราการทางปีกซา้ ยก็จะเป็นเฟื อส เทนเบามเู ซอมุ (Fürstenbau Museum) พิพิธภณั ฑเ์ กี่ยวกบั ประวตั ิศาสตรข์ องเวิรซ์ บวรก์ จัดแสดงไวใ้ น รูปแบบสามมิติ โดยจัดแสดงเป็นสองสว่ นคือเมืองเมื่อสมยั ยุคกลางและเมืองภายหลังจากการถูก ทาํ ลายลา้ งดว้ ยระเบิดในชว่ งสงครามโลก การเที่ยวชมปราสาทมาเรียนแบรก์ และพิพิธภณั ฑท์ ง้ั สองแห่ง จะมีไกดพ์ าชมเสียคา่ ธรรมเนียมเลก็ นอ้ ย ใชเ้ วลาประมาณ 30 – 45 นาที ที่นกั ท่องเที่ยวสว่ นใหญ่สนใจ มกั จะเป็นรา้ นอาหารและลานเบียรท์ ่ีเขาจดั เอาไวด้ า้ นริมแม่นา้ํ เพราะใหบ้ รรยากาศท่ีดี เห็นวิวแม่นา้ํ สะพาน และตวั เมืองเก่าไดอ้ ยา่ งชดั เจน และหากกวาดสายตาใหท้ ่วั บริเวณจะพบวา่ ภเู ขาทัง้ ลกู น้ันเต็ม ไปดว้ ยไรอ่ ง่นุ ท่ีเตรยี มเอามาทาํ ไวนท์ งั้ นนั้ แลว้ อยา่ งนีจ้ ะไมใ่ หเ้ วริ ซ์ บวรก์ เป็นเมอื งที่มีไวนเ์ ป็นสินคา้ หลกั ไดอ้ ยา่ งไรกนั เบือ้ งหลงั ภาพมที ่ีมาแบบนีล้ ะ

พวกเราเก็บเก่ียวบรรยากาศบริเวณนีก้ นั อยนู่ านพอควร แมน่ า้ํ ไมนว์ นั นีส้ งบน่ิงไหลริน เสียงนา้ํ ตรงเขอื่ นดงั พอใหร้ ูส้ กึ แช่มช่ืนหวั ใจ สรา้ งบรรยากาศชวนฝันใหเ้ สยี เหลอื เกิน ประหน่ึงวา่ วนั นีเ้ ราพากนั เดนิ ยอ้ นเขา้ สยู่ คุ กลาง วนั ที่เวริ ซ์ บวรก์ ไรฟ้ ื นไฟแห่งสงคราม เต็มไปดว้ ยความสขุ สงบ ของผคู้ น บางที เมือ่ คิดขนึ้ มากอ็ ดสงสารสง่ิ ปลกู สรา้ งตา่ งๆ ไมไ่ ด้ เวลาที่ผคู้ นเกลยี ดชงั กนั ตอ้ งการทาํ ลายลา้ งกนั ความ สวยงามที่ศิลปินไดส้ รรคส์ รา้ งขนึ้ จากอารมณแ์ หง่ ความสขุ ความสนุ ทรีย์ กลบั ถกู ทาํ ลายลา้ งใหย้ ่อยยบั ลงไปดว้ ยนา้ํ มอื มนษุ ย์ หากไม่มีสงคราม ความสวยงามและความย่ิงใหญ่ทางศิลปะคงจะดาํ รงอย่ใู ห้ ลกู หลานเราไดเ้ ห็นกนั อกี มาก เราพากนั เดนิ ยอ้ นกลบั เขา้ เขตเมืองเก่าอีกครง้ั หนึ่ง มองไปลิบๆ เห็นยอดแหลมของมหาวิหาร ซงั คก์ ิเลยี น (Dom St.Kilian) ซง่ึ จะเป็นจุดหมายถดั ไปของเรา ระหว่างการเดินทางไปยังมหาวิหารเรา ผา่ นรา้ นรวงตา่ งๆ พอใหไ้ ดแ้ วะเขา้ ออกใหพ้ อไดเ้ พลิดเพลนิ ถนนเสน้ นีเ้ ป็นเขตเมืองเก่าจึงปดู ว้ ยหินพอ ใหไ้ ดบ้ รรยากาศคลาสสิค ขณะเดียวกันก็เป็นเสน้ ทางที่มีรถรางวิ่งผา่ นสวนไปมา ภาพท่ีเห็นจึงเป็น เสมือนจดุ เช่ือมตอ่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตท่ีแจ่มชัด ระหว่างท่ีพี่ใหญ่ คณุ ปา และคณุ สดุ พยายาม ละลายเงินยโู รในรา้ นขา้ งทางกนั หนเู ลก็ ผไู้ มค่ อ่ ยนิยมการชอปปิ้งจงึ ไดแ้ ตน่ ่ังมองผคู้ นชาวเยอรมนั เดิน จบั จ่ายสินคา้ รา้ นเบเกอร่ี (Bäckerei) ท่ีรอตอ้ นรบั ลกู คา้ จดั วางแซนวิชสารพดั แบบท่ีหนา้ ตาลว้ นน่ากิน ทง้ั นนั้ แตเ่ ท่าที่ดขู นาดของแตล่ ะอนั ใหญ่มากๆ สาวเอเชียอย่างหนเู ลก็ คงตอ้ งเอามาหารสองกับพี่ใหญ่ คนละครง่ึ จึงจะหมด อีกดา้ นหนึ่งเป็นรา้ นขายไมด้ อกไมป้ ระดบั ที่มีลกู คา้ แวะเวียนมาไม่ไดข้ าด เท่าท่ี สงั เกตดกู ารซือ้ ดอกไมไ้ ปประดบั ตกแตง่ บา้ นเป็นงานอดิเรกที่พวกเขาดจู ะโปรดปราน สว่ นอีกดา้ นหน่ึง เป็นลานกวา้ งท่ีมเี กา้ อีเ้ รยี งรายซอ้ นๆ กนั อยู่ คงเป็นบรเิ วณของรา้ นอาหารที่ยงั ไมเ่ ปิดทาํ การ กิจการคง จะเร่ิมในตอนเย็นไปถึงค่าํ แบบท่ีพวกฝร่งั นิยมมาน่ังกินกัน ใกลๆ้ กนั มีนา้ํ พุท่ีเป็นศิลปะแปลกๆ ท่ีคง พยายามจะส่ืออะไรบางอย่าง ศิลปะแบบนีม้ ีใหเ้ ห็นท่วั ไปตลอดการเดินทางหลายวนั ที่ผ่านมา อารย ธรรมตะวนั ตกน่ีชา่ งมีรากเหงา้ อนั ยาวนานและมอี ิทธิพลตอ่ โลกมากจรงิ ๆ

มรี า้ นขายสนิ คา้ พอใหไ้ ดแ้ วะเขา้ ออกแบบเพลนิ ๆ เมือ่ ทง้ั สามเพ่ือนรว่ มทางของหนเู ลก็ ไดใ้ ชจ้ า่ ยเงินยโู รออกจากกระเป๋ าใหไ้ ดก้ ระปรีก้ ระเปร่ากนั บา้ งแลว้ หนเู ลก็ กน็ าํ สมาชิกทงั้ สามเดนิ ตอ่ ไปยงั มหาวิหารท่ีอย่ตู รงหนา้ มหาวิหารซงั คก์ ิเลียนเป็นการ สะทอ้ นสถาปัตยกรรมเยอรมนั ในช่วงศตวรรษที่ 11 – 12 ซ่ึงเป็นแบบโรมาเนสกท์ ่ีคอ่ นขา้ งสมบูรณ์ วา่ กนั วา่ ติดอนั ดบั หนงึ่ ในส่ีท่ีใหญ่ที่สดุ ในเยอรมนีเลยทีเดียว มหาวิหารแห่งนีเ้ ริ่มสรา้ งขนึ้ ในปี ค.ศ.1040 เพ่ืออทุ ิศใหแ้ กน่ กั บญุ ทอ้ งถ่ิน แมว้ า่ หลมุ ศพของนกั บญุ ซงั คก์ ิเลียนไมไ่ ดฝ้ ังอย่ทู ี่นี่ แตอ่ ยทู่ ่ีโบสถน์ อยมนึ ส์ เตอร์ (Neumünster) ท่ีอยใู่ กลๆ้ กนั นี้ สว่ นภายในตกแตง่ เป็นปนู เปียกสตคั โคอย่างหรูหราตามแบบบา รอคในระหวา่ งปี ค.ศ.1701 – 1704 โดยศลิ ปินท่ีช่ือมกั โน (Magno) แตก่ เ็ ชน่ กนั กบั ส่ิงก่อสรา้ งอ่นื ๆ ที่ถกู ทาํ ลายลงเมื่อครงั้ สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 และไดถ้ กู บูรณะขึน้ ใหมต่ ง้ั แตป่ ี ค.ศ.1960 – 1967 โดยยึดรูป แบบเดมิ สว่ นสตคั โคภายในบางสว่ นเช่นบริเวณดา้ นปีกของมหาวหิ ารและบริเวณแท่นบชู าไมเ่ สียหาย มากนกั จึงแคซ่ อ่ มแซม สว่ นหอ้ งใตด้ นิ ที่เป็นที่ฝังศพปรนิ ซบ์ ิชอปจาํ นวนมากมายไม่ถูกทาํ ลายแต่อย่าง ใด รูปป้ันและอนสุ รณต์ า่ งๆ จึงยงั คงอยอู่ ย่างสมบรู ณ์ จดุ เดน่ ของท่ีนี่เขาบอกวา่ คือกระจกสี เพราะโบสถ์ ท่วั ไปกระจกสจี ะเป็นเร่อื งราวหรือฉากในคริสตศ์ าสนา แตท่ ี่นี่จะเป็นลวดลายแบบเรขาคณิต ซึ่งถือว่า แปลกตากวา่ ที่อ่นื ๆ การเขา้ ชมไมเ่ สยี คา่ ธรรมเนียมและสามารถถา่ ยรูปไดเ้ ตม็ ที่ เราไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปดา้ นในเพราะเวลากบั เวริ ซ์ บวรก์ นอ้ ยลงทกุ ที ขณะที่หนเู ล็กเรง่ ฝีเทา้ เพ่ือจะเก็บ เกี่ยวความเป็นเวิรซ์ บวร์ก คุณปาและคณุ สุดเองก็เร่งกวาดสายตาเพื่อหาซื้อของฝากญาติมิตร ขณะเดียวกนั คณุ ปากต็ อ้ งการหาซือ้ กระเป๋ าใบใหมส่ กั ใบ เพราะตอนนีข้ า้ วของเร่ิมเพิ่มปริมาณขึน้ บา้ ง แลว้ รา้ นรวงขา้ งทางจึงเป็นเปา้ หมายสาํ คญั ระหวา่ งท่ีคณุ ปาถกู สะกดดว้ ยกระเป๋ าใบสวยที่วางลดราคา อย่หู นา้ รา้ น หนเู ลก็ เหลือบไปเหน็ วา่ โบสถน์ อยมนึ สเ์ ตอรท์ ่ีฝังศพของนักบญุ ซงั คก์ ิเลียนท่ีแทก้ ็อยู่ตรงนี้ เอง ใกลก้ บั มหาวิหารอยา่ งที่เขาวา่ จริงๆ

โบสถน์ อยมนึ สเ์ ตอร์ (Neumünster) ซ่ึงเป็นอาคารสีแดงสรา้ งในเวลาไลเ่ รี่ยกันกบั มหาวิหาร ก่อสรา้ งในสไตลโ์ รมาเนสกต์ ามยคุ สมยั คริสตศ์ ตวรรษที่ 11 – 12 คือเป็นแบบโรมนั และไบแซนไทน์ ประกอบกนั ดา้ นหนา้ โบสถต์ กแตง่ ไวอ้ ย่างเตม็ ท่ี หนา้ จ่วั แบบบารอคมีการตอ่ เติมในภายหลงั ในช่วงปี ค.ศ.1710 – 1716 ภายในเป็นท่ีบรรจศุ พของนกั บุญซังคก์ ิเลียนและเพื่อนนกั บุญอีก 2 คนคือ ซงั ค์ โคโลนทั (St.Kolonat) และซงั คโ์ ททนนั (St.Totnan) ผซู้ งึ่ เป็นมิชชนั นารีชาวไอริชท่ีนาํ คริสตศ์ าสนามาสู่ เขตฟรงั โคเนีย ท่ีถกู ฆาตรกรรมท่ีนี่เม่ือปี ค.ศ.689 ซง่ึ ภายในไดม้ ีการทาํ สญั ลกั ษณไ์ วท้ ่ีพืน้ บริเวณที่เกิด เหตุ หลมุ ศพทงั้ หมดอย่ทู ี่หอ้ งใตด้ นิ ของโบสถซ์ ่งึ สามารถลงไปเย่ียมชมได้ บริเวณแท่นบูชามีรูปป้ันครง่ึ ตวั ของบุคคลท้ังสามซ่ึงปั้นโดยฝีมือของทิลมนั ไรเมนชไนเดอร์ ซ่ึงปัจจุบันเป็นของท่ีทาํ จาํ ลองขึน้ นอกจากนนั้ ยงั มรี ูปปั้นอ่ืนๆ ประดบั ตกแตง่ ไวด้ ว้ ย วา่ แตว่ า่ จะลงไปเย่ียมทาํ ไมนะหลมุ ฝังศพนะ่ จริงไหม ระหวา่ งยืนรอคณุ ปาที่ยงั พยายามจะละลายเงินยูโรโดยการซือ้ กระเป๋ าสกั ใบใหส้ าํ เรจ็ หนเู ล็ก ฆา่ เวลาดว้ ยการสอดสา่ ยสายตาเฝา้ ดวู ิถีผคู้ น แมว้ า่ เวริ ซ์ บวรก์ จะเป็นเมอื งใหญ่อีกเมอื งหนึง่ แต่วิถีชีวิต ดกู ไ็ มไ่ ดเ้ รง่ รอ้ นเรง่ รีบอะไรนัก ผคู้ นไมห่ นาแน่น ออกจะบางตาเสียดว้ ยซา้ํ ทงั้ ๆ ที่วนั นีก้ ็เป็นวนั ทาํ งาน ความเพลิดเพลนิ ตามาสะดดุ ตรงเสยี งสาวๆ ตวั เลก็ ตวั นอ้ ยท่ีคณุ ครูพาออกมาทศั นศกึ ษา แตล่ ะคนแย่ง กนั พดู จนไมร่ ูว้ ่าคณุ ครูควรจะฟังใคร แตล่ ะนางแตง่ ตวั ตอ้ นรบั ฤดใู บไมร้ ว่ งกนั ไดน้ ่ารกั น่าชัง ขา้ งหลงั สะพายเปใ้ บนอ้ ยท่ีไมน่ ่าจะมหี นงั สือหนงั หาอะไรมากมาย ภาพของเดก็ นกั เรียนไทยที่พากนั หิว้ กระเป๋ า นกั เรียนตวั เอยี งหรือแบกเป้จนหลงั จะหกั แลน่ เขา้ มาในหวั ดเู หมือนวา่ ประเทศเราจะใหค้ วามสาํ คญั กับ เรอ่ื งของความรูม้ ากเหลอื เกิน เดก็ ๆ จึงพากันหอบหนังสือเรียนกนั จนตวั เอียง หลงั แอ่น ร่าํ เรียนกันตง้ั หลายช่วั โมงในหอ้ งเรยี นขนาดส่เี หล่ียมผนื ผา้ มีโรงเรยี นเกรดเอมากมายท่ีพ่อแม่ต่างใฝ่ ฝันใหล้ กู ไปเขา้ มีโรงเรียนกวดวิชาต้งั แต่จะเขา้ อนบุ าลหรือประถมหนึ่ง แตท่ าํ ไมนะ ประเทศเราจึงมีผรู้ ูห้ นังสือนอ้ ย ประชาชนยงั ดอ้ ยคณุ ภาพ ความกา้ วหนา้ ทางการศกึ ษายงั คงลา้ หลงั หรอื บางทีอาจจะยงั คงย่าํ อยทู่ ี่เดมิ ประเทศชาตเิ องก็ยงั คงเดินย่าํ อย่กู บั การเป็นประเทศกาํ ลงั พฒั นา และกาํ ลงั พัฒนา เป็นเช่นนีม้ าตง้ั แต่ จาํ ความได้ ยงั คงกา้ วขา้ มไมพ่ น้ ไปสปู่ ระเทศพฒั นาแลว้ เสียที ในขณะที่นกั เรียนตวั นอ้ ยเหลา่ นีท้ ่ีไม่ได้ อย่ใู นหอ้ งสีเ่ หล่ยี มเชน่ นนั้ น่งั วาดรูป ป้ันดนิ นา้ํ มนั หรอื อา่ น ก ไก่ ข ไข่ แบบท่ีเคยเห็น กลบั มาเดนิ อยบู่ น ทอ้ งถนนกบั ครูสาว ชีช้ วนกนั ดอู าคารบา้ นเรอื น สงิ่ ปลกู สรา้ งที่เป็นมรดกจากอดตี แบบที่หนเู ลก็ กาํ ลงั ทาํ อยู่ กาํ ลงั จะเติบโตเป็นเยาวชน และพลเมอื งของประเทศที่ผา่ นสงครามอนั แสนสาหัสของมนษุ ยชาติท่ี ในวนั นีก้ ลายเป็นมหาอาํ นาจที่ทรงอิทธิพลมากแหง่ หนง่ึ ของยโุ รป ภาพเหล่านีเ้ ป็นเหมือนภาพสะทอ้ น คณุ ภาพชีวิต คุณภาพการศึกษา คณุ ภาพการจัดการและการวางแผน ที่สามารถสรา้ งคนอันเป็น ทรพั ยากรสาํ คญั ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสงู สดุ จนนาํ มาสกู่ ารเป็นประเทศอนั เขม้ แขง็ และต่นื จากฝันรา้ ยครง้ั นน้ั ไดอ้ ย่างสมบรู ณแ์ บบในวนั นี้

นกั เรยี นตวั นอ้ ยท่ีช่างพดู ชา่ งเจรจา ความคิดกระเจิดกระเจิงหยุดลงเม่ือคณุ ปาไดก้ ระเป๋ าแสนสวยสมความตง้ั ใจ พวกเราจึงเร่ิม ออกเดนิ เทา้ ไปตามเสน้ ทางที่จะกลบั สทู่ ่ีพกั เพื่ออาํ ลาเวิรซ์ บวรก์ กันอย่างเป็นทางการ เดินเลาะกลบั มา ทาํ ใหพ้ บกบั อาคารที่ช่ือวา่ ฟอลเคนเฮาส์ (Falkenhaus) เป็นอาคารบารอคสเี หลอื งออ่ น หนา้ จ่วั ตกแตง่ ไวเ้ หมือนลายก้นหอย คดโคง้ อ่อนช้อย แต่เดิมเป็นบา้ นของเศรษฐีผูม้ ่งั ค่งั แตป่ ัจจุบนั ไดก้ ลายเป็น สาํ นกั งานบริการขอ้ มลู ท่องเท่ียวและหอ้ งสมดุ ทาํ ใหม้ นี กั ทอ่ งเท่ียวแวะเวียนเขา้ ไปใชบ้ รกิ ารไมไ่ ดข้ าด อกี มมุ หน่งึ ชองเวิรซ์ บวรก์ สถานท่ีอีกแห่งท่ีเรายังไม่ไดไ้ ปและคงไม่มีโอกาสแลว้ สาํ หรบั ทริปตะลอนทัวรห์ นนี้ ก็คือ เดอะเรสซิเดนท์ (The Residenz) อย่ใู นเขตเมืองเก่าเป็นส่ิงปลกู สรา้ งที่ขนึ้ ทะเบียนเป็นมรดกโลกแลว้ ท่ีน่ีไดช้ ่ือวา่ เป็นปราสาทที่เหนือกวา่ ปราสาททงั้ ปวง (The Castle above all Castles) เป็นวงั ขนาดใหญ่ แบบบารอค เดิมเป็นวงั ของปรินซบ์ ิชอป 2 คนพี่นอ้ ง น่ันคือ โจฮนั น์ ฟิ ลิปป์ ฟรานซ์ (Johann Philipp Franz) และเฟรดรชิ คารล์ ฟอน เชินบอรน์ ( Friedrich Karl Von schönborn) ออกแบบโดยบัลทาซาร์ นิวมนั น์ (Blthasar Neumann) ในระหว่างปี ค.ศ.1720 – 1744 โดยมีศิลปินร่วมทาํ งานอีก 2 คน คือ ลคู สั ฟอน ฮิลเดบรนั ดท์ จากเวียนนา (Lukas von Hildebrandt of Vienna) และ แมกซิมิเลียน ฟอน เวลสช์ จากไมนซ์ (Maximilian von Welsch of Mainz) ไฮไลทข์ องท่ีนี่อยทู่ ่ีภาพเขียนเฟรสโกบนเพดาน โคง้ ตรงบนั ไดทางขึน้ ฝีมือศิลปินชาวเวนิสที่ชื่อวา่ จิโอวานนิ แบททิสตา ทิเอโปโล (Giovanni Battista

Tiepolo) วา่ กนั วา่ เป็นงานเฟรสโกชิน้ เดยี วท่ีใหญ่ท่ีสดุ และสวยท่ีสดุ ในยุโรปเลยทีเดียว สวยงามขนาด ท่ีว่าเคยปรากฏอยู่บนธนบัตรดอยช์มาร์ก (Deutschmark Bill) อยู่หลายปี ความงดงามอ่ืนๆ นอกจากนนั้ ก็เป็นทอ้ งพระโรง (Imperial Hall) ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธอ์ นั แน่นแฟ้นระหว่างเวิร์ ซบวรก์ กบั จกั รวรรดิโ์ รมนั อนั ศกั ดิส์ ิทธิ์ในอดีต และหอ้ งโถงกระจก (Hall of Mirrors) ที่น่ีมีหอ้ งแบบบา รอคและรอคโคโคกวา่ 300 หอ้ ง การเขา้ ชมจะตอ้ งมีไกดพ์ าชมไม่สามารถเดินชมเองตามใจไดเ้ พราะ สถานที่แห่งนีเ้ ขาหา้ มถา่ ยรูป (อีกแลว้ ) ซึ่งความอลงั การของพระราชวงั แห่งนีค้ งเป็นเพราะการจัดวาง แปลนท่ีดี ดา้ นหนา้ จะเป็นลานกวา้ ง ทาํ ใหต้ วั พระราชวงั ที่สรา้ งไวอ้ ย่างใหญ่โตดเู ดน่ ใหญ่โต หรูหรา นอกจากสว่ นที่เป็นหอ้ งโถง ทอ้ งพระโรง สว่ นท่ีประทบั ท่ีตอ้ งเสียคา่ เขา้ ชมอย่างท่ีหนูเล็กไดเ้ ลา่ ไปแลว้ ยังมีสวนบารอคขนาดใหญ่ (Hofgarten) ซ่ึงเปิ ดใหเ้ ขา้ ชมได้ฟรีต้งั แต่เช้าจนถึงหัวค่าํ แต่ก็จะมี ปรบั เปล่ยี นไปตามฤดกู าลดว้ ยตอ้ งตรวจสอบท่ีบรเิ วณหนา้ ประตทู างเขา้ พืน้ ท่ีของสวนแมว้ ่าจะมีขนาด พืน้ ที่จาํ กดั อนั เนื่องมาจากตวั พระราชวงั อยู่บริเวณขอบของเมืองจึงไดใ้ ชพ้ ืน้ ท่ีในการเป็นป้อมปราการ เมืองดว้ ย สว่ นของสวนจึงเป็นเสมอื นแนวปราการของเมอื งไปดว้ ย บริเวณสวนมีการตกแต่งรูปปั้นตาม แบบสวนบารอคไวอ้ ย่างสวยงาม และท่ีควรไปชมอีกแห่งก็คือโฮฟเคียเชอ (Hofkirche) โบสถท์ ี่อยู่ ทางดา้ นปีกขวาของพระราชวงั ภายในก็จะตกแตง่ ไวอ้ ยา่ งอลงั การเชน่ เดียวกนั กบั โบสถห์ ลายๆ แห่งใน เยอรมนีท่ีหนเู ลก็ พาไปมาแลว้ ทงั้ รูปวาด ทงั้ รูปปั้นปนู เปียก อย่างว่าละนะเป็นความนิยมตามยคุ สมยั แตห่ ากใหห้ นูเล็กมองก็คงคิดวา่ บางที่ก็รกรุงรงั เกินไป เหมือนพยายามท่มุ เทกันสดุ ฝีมือเสียจนมนั รก ผสมปนเปกนั จนเกินไป สว่ นของโบสถเ์ ขา้ ชมฟรี ความใหญ่โตอลงั การของพระราชวงั ทาํ ใหห้ นเู ลก็ อด สงสยั ไมไ่ ดว้ า่ ทาํ ไมหนอพวกบิชอปจงึ ไดม้ ีพระราชวงั ใหญ่โตเชน่ นีไ้ ด้ แตพ่ อไดอ้ า่ นขอ้ มลู จึงทาํ ใหท้ ราบ วา่ ในยคุ สมยั นนั้ ศาสนจกั รเป็นใหญ่น่นั เองจึงทาํ ใหพ้ วกบิชอปจึงมวี งั ใหญ่โตกนั ไดเ้ ตม็ ที่เลย เดนิ ดขู า้ วของกนั จนแทบลืมเวลา

ไดเ้ วลาอาํ ลาเวิรซ์ บวรก์ กนั แลว้ เดินดขู า้ วของกนั เพลิน เพียงช่วั ครูเ่ ดยี วสองเทา้ กพ็ าพวกเราทกุ คนมาถึงบริเวณถนนฮอคเกอร์ ร่ิง ตรงหนา้ สถานีรถไฟกลางแลว้ หนเู ลก็ กับพ่ีใหญ่แยกไปเอารถที่จอดไวร้ ิมถนนเพ่ือโฉบมารบั คณุ ปา และคณุ สดุ ท่ีจะเป็นผไู้ ปยกกระเป๋ าทง้ั หมดลงมาหนา้ โฮสเทล หนเู ลก็ กบั พ่ีใหญ่พากันเดินไปจนถึงจุดท่ี เราจอดรถไว้ ตรวจสอบสภาพรถแลว้ ทกุ อยา่ งเรียบรอ้ ยดี ไมม่ บี บุ สลาย รอ่ งรอยงดั แงะแตอ่ ย่างใด ถือได้ วา่ เรารอดจากสถานการณท์ ่ีอาจเกิดขึน้ กับรถไปไดอ้ ีกครงั้ หนึ่ง เพราะแมว้ า่ บา้ นเมืองเขาจะค่อนขา้ ง ปลอดภยั เพียงใด การมาตา่ งบา้ นตา่ งเมอื งแบบนีก้ ็คงตอ้ งระมดั ระวงั เอาไวบ้ า้ ง ตอนไปถึงสถานที่ที่เรา จอดรถเอาไวใ้ หน้ กึ ขาํ ๆ กนั เพราะรมิ ถนนท่ีเราจอดถือไดว้ า่ เป็นพืน้ ที่ท่ีไมน่ ่าจะมีรถอีกคนั มาจอดต่อได้ เพราะถา้ มาตอ่ ทา้ ยเม่ือใดอาจจะเลยไปขวางทางเขา้ – ออกอาคารท่ีตง้ั อยตู่ รงนีเ้ ป็นแน่ แตผ่ ลปรากฏว่า มีรถกระป๋ องคนั จอ้ ยซึ่งเป็นรุน่ ยอดนิยมของเยอรมนั อย่างสมารท์ (Smart) มาตอ่ ทา้ ยรถเราเขา้ ใหอ้ ีก และดว้ ยขนาดกไ็ มไ่ ดไ้ ปกีดขวางทางเขา้ – ออกแตอ่ ยา่ งใด เมอ่ื เหลอื บสายตาไปมองอาคารที่เรามาจอด ทาํ ใหเ้ ห็นวา่ มีสว่ นท่ีเป็นพิพธิ ภณั ฑข์ องผคู้ น้ พบรงั สีเอกซเรยด์ ว้ ย น่นั คอื วิลเฮลม์ คอนราด เรินทเ์ กน้ ที่นี่ คือ เรินเก้น เมโมเรียล (Röntgen Memorial) หรือ เรินเกน เกแดคท์นิชชเตทท์ (Röntgen Gedächtnisstätte) พิพิธภณั ฑจ์ ะอยู่ในช้นั 2 ของอาคารเรียนของสถาบันฟิ สิกสแ์ ห่งมหาวิทยาลยั เวิร์

ซบวรก์ ซ่งึ ตรงนีถ้ ือเป็นสถานที่เดิมท่ีเขาคน้ พบรงั สีเอก็ ซเรย์ ที่นี่จดั แสดงขา้ วของสาํ คญั หลายอย่าง ท้ัง เครอื่ งเอก็ ซเรยย์ คุ แรก ฟิ ลม์ เอก็ ซเรยแ์ ผน่ แรก รางวลั โนเบลที่เขาไดร้ บั สมดุ บันทึกส่วนตวั โดยการจัด แสดงทาํ ไวต้ ามแบบหอ้ งทดลองดง้ั เดิมของเขา จดุ เดน่ จะอยู่ท่ีแผ่นฟิ ลม์ เอ็กซเรยแ์ ผ่นแรก เพราะเป็น ภาพมอื ของภรรยาเขาท่ีสวมแหวนแตง่ งานไวท้ ่ีนิว้ นางดว้ ย รถ smart คนั จอ้ ยที่แอบมาตอ่ ทา้ ยรถของเรา เมอื่ วนั ที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1895 โปรเฟสเซอรเ์ รินเกน นักฟิ สิกสช์ าวเวิรซ์ บวรก์ ทาํ งานอยู่ใน หอ้ งมืดของหอ้ งปฏบิ ตั ิการซง่ึ อยใู่ ตอ้ พารท์ เมนตด์ า้ นบนที่เขาใชพ้ กั อาศยั ในมหาวทิ ยาลยั เพ่ือศึกษาใน เร่อื งปรากฏการณข์ องแสงและสิง่ ท่ีปลดปลอ่ ยออกมาจากการคายประจไุ ฟฟ้าภายในหลอดสญู ญากาศ โดยเขาสนใจเก่ียวกับรงั สีแคธโทด (Cathode rays) และรงั สีภายในหลอดแกว้ เขาพบความผิดปกติ เกิดขนึ้ เมื่อเงาของวตั ถไุ ปปรากฏบนแผน่ เรอื งแสงอกี ดา้ นหนง่ึ ของหอ้ งเพราะจริงๆ แลว้ รงั สีแคธโทดจะ ไมส่ ามารถไปไดไ้ กลขนาดนน้ั หลงั จากนนั้ จึงไดท้ ดลองวางวตั ถชุ นิดอ่ืนระหว่างหลอดแกว้ กับแผ่นเรือง แสงเพ่ือทดสอบรงั สที ี่คน้ พบนี้ ทาํ ใหเ้ ขาสามารถมองเห็นกระดกู ท่ีอยู่ภายในกลา้ มเนือ้ ไดอ้ ย่างชัดเจน การคน้ พบนีถ้ ือเป็นเร่ืองที่พลกิ ประวตั ศิ าสตรใ์ นยคุ นน้ั เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่คงทาํ ใหผ้ คู้ นในยุคนั้นเช่ือ ไดย้ าก เรินเกนจงึ ใชเ้ วลากวา่ 7 สปั ดาหใ์ นหอ้ งทดลองเพียงลาํ พงั ในการศกึ ษา คน้ ควา้ เพ่ือใหไ้ ดค้ วาม ชดั เจนก่อนการเตรยี มการสาธิตใหแ้ กบ่ คุ คลอืน่ ไดร้ บั รูแ้ ละยอมรบั จนกระท่งั วนั ท่ี 28 ธนั วาคม ค.ศ.1895 เขาจงึ ไดเ้ สนอรายงานเบือ้ งตน้ แก่ประธานสมาคมฟิสกิ ส์ การแพทยแ์ ห่งเวริ ซ์ บวรก์ พรอ้ มภาพถ่ายดว้ ยรงั สีจากการทดลองรวมทง้ั รูปมือของภรรยา เมื่อถึงวนั ปี ใหมเ่ ขาไดส้ ง่ สาํ เนาของรายงานดงั กลา่ วไปใหแ้ ก่เพ่ือนนกั ฟิ สิกสท์ ่วั ยุโรป ทาํ ใหใ้ นเดือนมกราคม ค.ศ. 1896 ท่ัวโลกจึงอยู่ในภาวะแห่งการแตกต่ืนและบา้ คล่งั กับการคน้ พบดงั กล่าว เรินเกนจึงไดร้ ับการ ประกาศวา่ เป็นผคู้ น้ พบรงั สีเอ็กซซ์ ึ่งไดก้ ลายมาเป็นเคร่ืองมืออนั สาํ คญั ในทางการแพทยใ์ นการรกั ษา คนไข้ เขาจึงไดร้ บั รางวลั โนเบลสาขาฟิ สกิ สเ์ ป็นคนแรกในปี ค.ศ.1901 แตอ่ ย่างไรกต็ าม เขาปฏิเสธท่ีจะ จดสิทธิบตั รเก่ียวกบั รงั สีเอก็ ซแ์ ละเลย่ี งท่ีจะอธิบายรายละเอยี ดการคน้ พบและการนาํ ไปใชง้ าน เรินเกน ไมช่ อบการทาํ ตวั เดน่ ดงั เขาไมช่ อบการถา่ ยรูป หลงั การคน้ พบดงั กลา่ ว จะมรี ูปของเขาเพียงไมก่ ่ีรูป และ

รูปส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่มีหน้าตาขึงขงั จริงจัง การคน้ พบถือเป็นการปลกุ กระแสความสนใจของ สาธารณชน วงการแพทยไ์ ดน้ าํ ไปใช้งานในทันที หนึ่งเดือนภายหลังการคน้ พบไดน้ าํ ไปใชใ้ นการ ถ่ายภาพรา่ งกาย การตรวจสอบกระดกู ท่ีหกั ตรวจสอบลกู กระสนุ ปืนที่ฝังใน ตรวจสอบกอ้ นหินปนู ของ น่ิวในไต จากนน้ั ไดพ้ ฒั นาไปสกู่ ารนาํ ไปใชง้ านรว่ มกบั เทคนิคอ่ืนเช่นในการสอดแท่งโลหะหรือวตั ถุทึบ รงั สเี ขา้ ไปในรา่ งกายหรือเสน้ เลือด เรินเกนไดป้ ลอ่ ยใหม้ กี ารพฒั นาการใชง้ านอย่างแพร่หลาย และก็มี อายยุ ืนมากพอที่จะไดเ้ ห็นวา่ การคน้ พบรงั สีเอก็ ซไ์ ดน้ าํ มาซึ่งประโยชนใ์ นทางการแพทย์ เขาเสียชีวิตลง ในปี ค.ศ.1923 แตไ่ ดท้ ิง้ ผลงานอนั สาํ คญั ไวใ้ หแ้ ก่มนษุ ยชาติจริงๆ หลงั จากไดพ้ บสถานที่ทอ่ งเท่ยี วอีกแหง่ ท่ีสาํ คญั ของเวริ ซ์ บวรก์ โดยบงั เอญิ ไปแลว้ คราวนีค้ งตอ้ ง เริม่ ตน้ จรลีเสียที หนเู ลก็ จงึ ไดค้ วบพี่ดีโ้ ฉบไปรบั คณุ ปาและคณุ สดุ ท่ีขนสมั ภาระมารอท่าอย่แู ลว้ ส่วนพ่ี ใหญ่ก็รีบใหน้ อ้ งจีคน้ หาเสน้ ทางสาํ หรบั ปลายทางถัดไปคือ บาด ฮอมบวรก์ (Bad Homburg)เพียงช่วั ประเด๋ียวเดยี วพี่ดีก้ ็ออกจากเวริ ซ์ บวรก์ ตามเสน้ ทางที่นอ้ งจีแนะนาํ ไปโดยพลนั เราออกจากท่ีนี่โดยใชเ้ สน้ ทาง B27 จากนนั้ กเ็ ลีย้ วออกไปยงั ถนนสาย B468 ตามป้ายบอกทาง ท่ีจะไปแฟรงคเ์ ฟรติ์ จากนน้ั เราจะตอ้ งเปลย่ี นไปใชอ้ อโตบาหน์ สาย A3 วง่ิ ไป 100 กวา่ กิโลเมตร จะเห็น ป้ายบอกทางไปออฟเฟนบชั อมั ไมน์ (Offenbach am Main) ก็ใหเ้ ลีย้ วไปตามถนนเสน้ นีส้ าย A661 จากนนั้ ก็ขบั ตรงตอ่ ไปเร่อื ยๆ อีกประมาณ 20 กวา่ กิโลเมตรกจ็ ะเริ่มเห็นปา้ ยชื่อเมืองบาด ฮอมบวรก์ ซ่ึง บางป้ายก็จะเขียนย่อๆ วา่ B.Homburg จากนัน้ ไมน่ านเราก็เขา้ สถู่ นนสาย L3003 ส่เู ขตเมืองที่มีชื่อ เต็มๆ วา่ บาด ฮอมบวรก์ วอร์ เดอร์ เออเฮ (Bad Homburg vor der Höhe) ซึ่งแปลไดว้ า่ เมืองบาด ฮอมบวรก์ ที่ตั้งอยู่ขา้ งหน้าท่ีสงู เน่ืองจากเมืองนีต้ ัง้ อยู่เชิงเขาเทานุส (Taunus) เพ่ือใหเ้ กิดความ แตกตา่ งจากเมืองท่ีมชี ่ือเดียวกนั บางครง้ั กจ็ ะย่อวา่ Bad Homburg v.d.Höhe เดนิ ทางสู่ Bad Homburg การแวะเมอื งนีเ้ ป็นความประสงคข์ องพวกเราทกุ คน การจากบา้ นเกิดเมืองนอนมาหลายๆ วนั แบบนี้ ส่ิงท่ีพวกเราโหยหาก็คอื อะไรกไ็ ดท้ ี่จะช่วยใหพ้ วกเราคลายความคิดถึงบา้ นลงไดบ้ า้ ง ก็จริงอยู่ที่ พวกเรามาเท่ียว ความสนกุ ความสขุ ตลอดเสน้ ทางยงั คงเตม็ พิกดั แตภ่ ายในลกึ ๆ แลว้ ไมม่ ีใครแมห้ นึ่ง คนในพวกเราที่ไมค่ ิดถงึ บา้ น การไดล้ ิม้ รสอาหารไทย เจอคนไทย พบรา้ นคา้ ท่ีขายอาหารไทย หรือแมแ้ ต่ อะไรที่แสดงความเป็นไทย ถือเป็นยาทาํ ใจอยา่ งดที ี่ทาํ ใหเ้ ราไดเ้ ตมิ เตม็ ความรูส้ กึ นีท้ ่ีตกหลน่ อยใู่ นหวั ใจ

บาด ฮอมบวรก์ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตรส์ าํ คญั เก่ียวเน่ืองกับประเทศไทย เนื่องจากเป็นเมืองท่ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั หรอื พระปิยะมหาราชของชาวไทยเคยเสดจ็ ประพาส กเ็ พราะ เมืองนีเ้ ป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีบ่อนา้ํ แร่ซึ่งชาวเยอรมันนิยมสาํ หรบั การรักษาโรคภัยไขเ้ จ็บต่างๆ ซ่ึง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวก็ทรงมีบ่อนา้ํ แรข่ องพระองคเ์ องเช่นกัน และที่นี่ก็มี “ศาลา ไทย” ตงั้ อย่ทู ี่สวนสาธารณะควั รพ์ ารค์ (Kurpark) สวนขนาดใหญ่ของเมืองพืน้ ที่ประมาณ 44 เฮกตาร์ สญั ลกั ษณแ์ ห่งความเป็นไทยใหพ้ วกเราไดม้ าเยือนเพ่ือคลายความคดิ ถงึ บา้ นไดช้ ่วั คราว บาด ฮอมบวรก์ (Bad Homburg) เป็นเมืองท่ีอยู่ในแควน้ เฮสเซน (Hessen) คือบริเวณทาง เหนือคอ่ นไปทางตะวนั ตกของแฟรงคเ์ ฟิ รต์ แตเ่ ดิมเป็นเขตป่ าที่ผปู้ กครองปรสั เซียในอดตี นิยมการมาล่า สตั วก์ ีฬายอดนิยมในยคุ กอ่ น มาเป็นที่รูจ้ กั ก็เม่ือคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 เม่ือมีการคน้ พบส่ิงที่เรียกวา่ “ตา นา้ํ ” หรอื นา้ํ ใตบ้ าดาลซ่งึ มคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษในการรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ไดเ้ ป็นอย่างดี ช่ือเสียงของเมอื งโดง่ ดงั ขนึ้ เม่อื ครงั้ ท่ีกษัตรยิ เ์ อด็ เวริ ด์ ท่ี 7 ขององั กฤษไดเ้ คยมาประทบั สรงนา้ํ แรเ่ ม่ือปี ค.ศ.1834 จนกระท่งั พระเจา้ ไกเซอรเ์ ฟรเดอริกที่ 1 เมื่อครงั้ ยงั คงเป็นมกฏุ ราชกมุ ารและพระวรชายาผซู้ ึ่งเป็นพระธิดาของพระ นางเจา้ วิกตอเรียแหง่ องั กฤษไดเ้ สดจ็ มาที่เมืองนีแ้ ละไดม้ ีดาํ รทิ ่ีจะสรา้ งใหเ้ มอื งนีเ้ ป็นเมอื งแหง่ สปาหลวง เพื่อใหเ้ จา้ นายปรสั เซียไดแ้ ปรพระราชฐานมาประทบั พกั ผอ่ นและสรงนา้ํ แรเ่ พ่ือใหพ้ ระวรกายแขง็ แรง จึง เป็นจดุ กาํ เนิดใหเ้ จา้ นายปรสั เซียองคอ์ ืน่ ๆ และพระสหายอีกหลายพระองคแ์ ปรพระราชฐานมาท่ีนี่ แต่ ละพระองคไ์ ดส้ รา้ งอนสุ รณป์ ระจาํ รชั กาลเพื่อครอบบอ่ นา้ํ แรน่ ีไ้ วเ้ ป็นท่ีระลกึ ความนีท้ รงทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว แพทยป์ ระจาํ พระองคเ์ องก็ กราบทลู เสนอใหพ้ ระองคเ์ สดจ็ ไปเยือน เนื่องจากเห็นวา่ พระองคม์ ีพระอาการประชวรมานานแลว้ เม่ือ เสดจ็ ไปพกั ผอ่ นตามหวั เมอื งพระอาการก็จะดีขนึ้ ทรงพระสาํ ราญดี แตเ่ มอื่ กลบั มาปฏิบตั พิ ระราชกรณีย กิจใหมห่ รอื ฤดกู าลแปรเปลี่ยนก็กลบั ไปทรงประชวรอีก เป็นอย่หู ลายครง้ั หลายคราว และครง้ั น้นั พระ อาการกาํ เริบหนกั แพทยป์ ระจาํ พระองคส์ นั นิษฐานวา่ น่าจะมผี ลมาจากพระโรคท่ีเป็นอยู่น้นั เกิดมาแต่ อากาศรอ้ นชืน้ จึงควรเสดจ็ แปรพระราชฐานไปรกั ษาในพืน้ ที่ที่อากาศที่เหมาะกบั พระโรคในขณะนนั้ ซ่ึง กม็ แี ตเ่ พียงประเทศแถบยโุ รปเทา่ นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ไดเ้ สดจ็ แปรพระราชฐานในเดอื นมีนาคม ค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) และเสดจ็ นิวตั พิ ระนครในเดอื นพฤศจิกายน ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) รวมระยะเวลา 7 เดือน (แตเ่ ดิมถือเอาวนั ที่ 1 เมษายน เป็นวนั ขึน้ ปีใหม)่ โดยพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ประทบั รกั ษาพระวรกายท่ีบาด ฮอมบวรก์ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดอื น คอื ตง้ั แตว่ นั ท่ี 23 สงิ หาคม ถึง 22 กันยายน ค.ศ.1907 ดว้ ย วิธีการรว่ มสมยั คือการรกั ษาดว้ ยนา้ํ ท่ีสมยั นีเ้ ราเรียกกันจนติดปากวา่ สปา คาํ ๆ นีม้ ีท่ีมาจากภาษา ลาติน Saitas Per Aqua : SPA ซ่ึงแปลว่า การเสริมสขุ ภาพดว้ ยนา้ํ ท่ีชาวโรมนั ใชก้ นั มากว่า 5,000 ปี โดยแอนโตนิโอ มสุ ซา (Antonio Mussa) ชาวโรมนั ไดร้ ับการยกย่องใหเ้ ป็นบิดาแห่งไฮโดรเธอราพี

(Hydrotherapy) เนื่องจากใชน้ า้ํ รกั ษาอาการจากโรคตบั ของจกั รพรรดิอ์ อกสุ ตสุ (Augustus) จนหาย นี่ เป็นท่ีมาของคาํ วา่ โรมนั บาธ (Roman Bath) หรอื การอาบนา้ํ แบบชาวโรมนั กลบั มาเขา้ เรอื่ งกนั ตอ่ จากพระราชนิพนธ์ “ไกลบา้ น” พระองคไ์ ดท้ รงเล่าไวว้ ่า เมื่อพระองคไ์ ด้ เสดจ็ ไปที่บาด ฮอมบวรก์ พระองคไ์ ดม้ ีพระราชหัตถเลขาถึงสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟ้านิภานภดลฯ เลา่ ถึงทศั นียภาพและประวตั ิความเป็นมาของเมอื งนี้ ตลอดจนการใหก้ ารตอ้ นรบั เป็นอยา่ งดีจากไกเซอร์ วิลเลยี มท่ี 2 โดยจดั แพทยช์ าวเยอรมนั รวม 4 คนรว่ มกนั ดแู ลถวายการรกั ษา ซ่ึงยงั ทรงเลา่ ดว้ ยวา่ นา้ํ ท่ีใช้ ในการรกั ษานนั้ มคี วามรอ้ นถงึ 33 องศา ใหแ้ ชเ่ พียงคอ หา้ มใชล้ า้ งหนา้ แช่นานประมาณ 12 นาที และ เมอ่ื ขนึ้ มาแลว้ หา้ มเชด็ ตวั ใหเ้ อาผา้ ห่อคลมุ พระองคไ์ วแ้ ลว้ ใหป้ ระทบั บนเกา้ อยี้ าวเพ่ือใหพ้ ระวรกายแหง้ จากนนั้ จึงฉลองพระองคแ์ ละออกไปประทบั ตากแดดตอ่ อีกประมาณ 5 นาที โดยพระองคย์ งั ทรงเลา่ ดว้ ย วา่ จากการท่ีแพทยป์ ระจาํ พระองคใ์ หป้ ฏิบัติเช่นนีพ้ ระอาการโดยรวมดีขึน้ มาก แตแ่ พทยก์ ็ใหป้ ระทับ ตอ่ ไปจนครบตามกาํ หนดและสามารถใชอ้ ณุ หภมู ิใหร้ อ้ นขนึ้ ไดอ้ ีกเลก็ นอ้ ย การที่พระองคเ์ สดจ็ ประทบั รกั ษาพระวรกายอยนู่ านประมาณ 1 เดือน จึงลว่ งเขา้ สวู่ นั เฉลิมพระ ชนมพรรษาคือวนั ที่ 20 กนั ยายน ขา้ ราชบรพิ ารจึงไดจ้ ดั งานเฉลิมพระชนมพรรษาขนึ้ ที่วิลลาเฟื อสเตน รูหเ์ ฮ (Fürstenruhe) ซ่งึ ครงั้ นน้ั พระราชโอรสทกุ พระองคท์ ่ีทรงศกึ ษาในยุโรปไดเ้ สดจ็ มาเขา้ เฝ้ากันโดย พรอ้ มเพรยี งรวมถึงสมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้ามหิดลอดลุ ยเดช กรมขนุ สงขลานครินทรห์ รือพระ บรมราชชนกของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั องคป์ ัจจุบนั และในวนั ที่ 21 กนั ยายน ชาวเมืองบาด ฮอมบวรก์ ก็ไดถ้ วายบ่อนา้ํ แรเ่ ป็นที่ระลกึ พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ พระราชดาํ เนินไปเปิดดว้ ยพระองคเ์ องและตงั้ ชื่อบอ่ นา้ํ แรน่ ีว้ า่ เคอนิกจฬุ าลงกรณ์ (Konig Chulalongkorn) ภายหลงั จากท่ีรชั กาลที่ 5 เสดจ็ นิวตั ิพระ นครไดป้ ระมาณ 2 ปี พระองคท์ รงมีพระราชดาํ รทิ ี่จะสรา้ งศาลาครอบบ่อนา้ํ เคอนิกจฬุ าลงกรณเ์ พื่อมอบ ใหเ้ ป็นท่ีระลกึ ถงึ ความสาํ ราญที่พระองคท์ รงไดร้ บั และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของกษัตริย์ เชือ้ พระวงศ์ และราชนิกลู ชาตอิ น่ื ๆ ในการสรา้ งสถาปัตยกรรมครอบบอ่ นา้ํ ในชื่อของแตล่ ะพระองค์ รชั กาลท่ี 5 จึงได้ พระราชทานแบบศาลาและสงิ่ ของที่ใชใ้ นการกอ่ สรา้ งไป พระองคใ์ สพ่ ระราชหฤทยั ในการออกแบบศาลาครอบบ่อนา้ํ เป็นอย่างมาก แตก่ ารดาํ เนินการ สรา้ งศาลาไทยก็ไมไ่ ดแ้ ลว้ เสรจ็ ในรชั สมยั ของพระองค์ ความลา่ ชา้ เกิดจากกระเบือ้ งมงุ หลงั คากว่าสอง ในสามที่ขนสง่ ไปทางเรือเกิดการแตกหกั เสยี หาย ชิน้ สว่ นหลายชิน้ ชาํ รุดไม่สามารถใชง้ านได้ พระองค์ เสดจ็ สวรรคตเสียก่อนในปี ค.ศ.1910 เมื่อพระชนมายุ 58 พรรษา ในขณะท่ีศาลาไทยมาแลว้ เสร็จเอา เมื่อกลางปี ค.ศ.1914 โดยผทู้ ่ีเสดจ็ ไปทรงทาํ พิธีเปิดคอื สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอเจา้ ฟ้ามหิดลอดลุ ยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทรงศึกษาอยู่ท่ีประเทศเยอรมนีอยู่แลว้ และศาลาไทย ดงั กลา่ วก็ไมไ่ ดส้ รา้ งครอบบอ่ นา้ํ เคอนิกจฬุ าลงกรณต์ ามพระราชประสงคแ์ ต่เดิม แตไ่ ดถ้ ูกยา้ ยไปสรา้ ง ใหอ้ ยใู่ กลก้ บั บ่อนา้ํ ของไกเซอรว์ ิลเฮลม์ ที่ 2 ที่ดาํ รใิ หน้ าํ มาตง้ั ไวบ้ ริเวณที่ใกลก้ บั บ่อนา้ํ ของพระองคแ์ ทน เพ่ือใหเ้ ห็นเดน่ ชดั หา่ งจากบริเวณบ่อนา้ํ เคอนิกจฬุ าลงกรณซ์ ่งึ คอ่ นขา้ งเป็นบรเิ วณรกชฏั ประมาณ 500

เมตร แตท่ างเยอรมนียงั ไดเ้ ทิดพระเกยี รตขิ องพระองคท์ า่ นดว้ ยการสรา้ งถนนเช่อื มระหวา่ งบ่อนา้ํ ไกเซอร์ วิลเฮลม์ กบั ศาลาไทยและใหช้ ่ือวา่ จฬุ าลงกรณเ์ วค (Chulalongkornweg) เพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แดพ่ ระองค์ ตามประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ พระบรมราชชนกทรงเคยเสดจ็ ไปรกั ษาพระสขุ ภาพเก่ียวกับพระโรค บิดดว้ ยนา้ํ แรเ่ ช่นเดยี วกนั กบั พระบรมชนกนาถรชั กาลท่ี 5 จะวา่ ไปในสมยั รชั กาลที่ 5 พระองคไ์ ดส้ ง่ พระโอรสไปศึกษาในประเทศเยอรมนีหลายพระองค์ อาทิ สมเดจ็ เจา้ ฟ้าบรพิ ตั รสขุ มุ พนั ธ์ ซึง่ ครงั้ สดุ ทา้ ยไดร้ บั การสถาปนาเป็นกรมพระนครสวรรคว์ รพินิตผู้ เป็นตน้ ราชสกลุ บรพิ ตั ร ทรงรบั การศกึ ษาชน้ั ตน้ ท่ีประเทศองั กฤษ จากนั้นไดเ้ สดจ็ ไปศกึ ษาตอ่ วิชาการ ทหารบกท่ีเยอรมนี จนกระท่งั ศกึ ษาจบและเขา้ รบั ราชการท่ีกองทัพบกเยอรมนีดว้ ย พระองคเ์ จา้ ดิลก นพรฐั ก็ทรงรับการศึกษาช้ันตน้ ที่ประเทศองั กฤษ จากน้ันเสด็จไปศึกษาจนจบปริญญาเอกดา้ น เศรษฐศาสตรท์ ี่มหาวิทยาลยั ทอื บิงเกน (Universität Tübingen) ในรฐั บาเดน-เวอรท์ เทมแบรก์ พระองค์ เจา้ รงั สิตประยูรศกั ดิ์ ตน้ ราชสกลุ รงั สิต ทรงรบั การศึกษาตงั้ แต่ชน้ั มธั ยมศกึ ษาท่ีเยอรมนีจากนัน้ ทรง ศกึ ษาทางการแพทยต์ อ่ ท่ีมหาวทิ ยาลยั ไฮเดลแบรก์ (Universität Heidelberg) และสมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหิดล อดลุ ยเดช หรือพระราชบิดา ตน้ ราชสกุลมหิดล ก็ทรงรบั การศึกษาชัน้ ตน้ ที่ประเทศองั กฤษ จากน้ันก็ เสดจ็ ไปทรงศกึ ษาตอ่ ในโรงเรยี นนายเรอื ในเยอรมนีเช่นกนั ศาลาไทยหลงั นน้ั จงึ เป็นหลงั แรกที่ตง้ั โดดเดน่ เป็นสง่าอย่ทู างตะวนั ตกของสวน มีพระบรมรูป ปั้นนนู ต่าํ ของรชั กาลที่ 5 ประดิษฐานไวด้ ว้ ย ในวนั ที่ 23 ตลุ าคมของทุกปี หน่วยงานราชการ เอกชน และคนไทยในเยอรมนีมกั จะมาถวายสกั การะที่น่ี แต่เน่ืองจากพระราชประสงคเ์ ดิมคือการสรา้ งศาลา ไทยครอบบอ่ นา้ํ ของพระองค์ ซงึ่ ยงั คงไมเ่ ป็นไปตามพระราชประสงค์ ดงั นัน้ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี การเสดจ็ พระพาสยุโรปครงั้ ที่ 2 ของรชั กาลที่ 5 ภาครฐั ของไทยและของเมืองบาด ฮอมบวรก์ จึงได้ รว่ มกนั สรา้ งศาลาไทยหลงั ใหม่ ครอบบอ่ นา้ํ จฬุ าลงกรณด์ งั พระราชประสงค์ สถานเอกอคั รราชทูตไทย ณ กรุงเบอรล์ ิน ไดจ้ ัดใหม้ ีพิธีมอบศาลาไทยแก่เทศบาลเมืองบาด ฮอมบวรก์ ในวนั คลา้ ยวนั พระราช สมภพวนั ที่ 20 กนั ยายน พ.ศ.2550 การจดั สรา้ งใชง้ บประมาณของกระทรวงการตา่ งประเทศ ออกแบบ โดยกรมศลิ ปากร บาด ฮอมบวรก์ จงึ เป็นเมอื งที่อยนู่ อกประเทศไทยที่มศี าลาไทยถึง 2 หลงั แห่งเดียวใน โลก เวลาท่ีพระบรมวงศานุวงศเ์ สดจ็ ไปเยือนเยอรมนีก็มกั จะแวะไปท่ีศาลาไทยทง้ั สองแห่งนีก้ ันเป็น ประจาํ และท่ีน่ีกจ็ ะกลายเป็นสถานที่จดั งานวฒั นธรรมไทยเป็นประจาํ ทกุ ปี จดั ไดว้ า่ เป็นงานท่ีใหญ่ที่สดุ ในเยอรมนี มีการออกรา้ นขายอาหาร เครื่องดื่ม และสินคา้ นานาชนิด อีกท้ังยังมีการจัดการแสดง วฒั นธรรมไทยทัง้ การราํ ไทย โขน มวยไทย ถือเป็นงานใหญ่ท่ีคนไทยในเยอรมนีจะมารวมตวั กนั มาก ท่ีสดุ และสามารถเรียกชาวตา่ งชาตทิ ี่สนใจในวฒั นธรรมไทยใหม้ ารว่ มงานไดม้ ากเช่นกนั เราจงึ พากนั ไปยงั ควั รพ์ ารค์ เมอื่ หาที่จอดรถริมสวนและจดั การเรอื่ งคา่ จอดเป็นที่เรียบรอ้ ย พวก เรากพ็ ากันเดินทะลผุ า่ นสวนเพ่ือไปหาศาลาไทยท่ีว่า ระหวา่ งทางก็จะเจอป้ายบอกทางท่ีจะพาไปยงั พืน้ ที่ที่เคยเป็นบ่อนา้ํ รอ้ นของจักรพรรดิ์และผปู้ กครองในอดีตของเยอรมนีหลายป้าย แตเ่ ราไม่สนใจ

เพราะเป้าหมายของเรามีแคเ่ พียงศาลาไทยเทา่ นนั้ สวนสาธารณะแห่งนีก้ วา้ งขวางสดุ ลกู หลู กู ตา ร่มรื่น มีชาวเยอรมนั มาเดนิ เลน่ ออกกาํ ลงั น่งั พกั ผอ่ นหย่อนใจ และพาสนุ ัขมาเดินออกกาํ ลงั กนั อย่ปู ระปราย แมว้ า่ แดดวนั นีจ้ ะคอ่ นขา้ งแรง แตอ่ ากาศที่รายลอ้ มตวั เราอยู่ก็ยังคงเย็นจนไม่อาจถอดเสือ้ กันหนาวได้ เรากเ็ ลยเดนิ เท่ียวสวนสาธารณะกนั แบบเตม็ ยศ เดนิ เร่อื ยไปจนไปพบสถานท่ีตง้ั ศาลาไทยแห่งแรกโดย บังเอิญ ศาลาไทยแห่งนีส้ รา้ งขึน้ เป็นแห่งแรก มีรวั้ ปูนกั้นบริเวณไวแ้ ละท่ีรั้วน้ันมีรูปปั้นนูนต่าํ พรอ้ ม ขอ้ ความจารกึ เป็นอนสุ รณแ์ หง่ การเสดจ็ พระพาสยโุ รปของลน้ เกลา้ รชั กาลท่ี 5 นอกจากนีย้ งั มปี า้ ยโลหะ จารึกพระนามาภิไธยบนกาํ แพงแก้วภายในศาลาไทยเป็นอนุสรณ์การเสด็จประพาสของสมเด็จ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั และพระนางราํ ไพพรรณี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวและพระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า สยามบรมราชกมุ ารี สมเดจ็ เจา้ ฟา้ หญิงจฬุ าภรณว์ ลยั ลกั ษณอ์ คั รราชกมุ ารี วา่ ไดเ้ สดจ็ มา ณ สถานที่แหง่ นีเ้ ม่ือใดบา้ งใหไ้ ดถ้ วายความเคารพดว้ ย จดั การเรอ่ื งคา่ จอดใหเ้ รียบรอ้ ย ก่อนจะไปเดนิ เที่ยว ปัจจบุ นั บาด ฮอมบวรก์ จดั เป็นเมืองท่ีมีฐานะรา่ํ รวยอีกเมืองหนงึ่ ของเยอรมนี สว่ นหน่ึงคงเป็น เพราะการอยใู่ กลก้ บั เมอื งใหญ่อยา่ งแฟรงคเ์ ฟิ รต์ การคมนาคมขนสง่ จึงสะดวก คนที่ทาํ งานในแฟรงค์ เฟิ รต์ สว่ นใหญ่พกั อาศยั อย่ทู ี่เมอื งนีแ้ ลว้ เดนิ ทางเขา้ ไปทาํ งาน เดิมเคยเป็นเมืองแห่งคาสิโนขวญั ใจนกั ชอบเสยี่ ง แตเ่ มอ่ื มีการคน้ พบนา้ํ แรเ่ มื่อกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 ธรุ กิจของเมืองจงึ ไดเ้ ปลี่ยนเป็นเมืองส ปาแทน โดยธรุ กิจสปาและคาสิโนแหง่ แรกถือกาํ เนิดโดยฟรงั ซวั ส์ (François) และหลยุ ส์ บลงั ค์ (Louis Blanc) ท่ีจากน้นั ท้ังสองไดน้ าํ ธุรกิจคาสิโนไปยังกรุงมอนเต คารโ์ ล (Monte Carlo) ประเทศโมนาโก (Monaco) จนกระท่งั เคยมคี าํ พดู กลา่ ววา่ ฮอมบวรก์ เป็นเมืองแมข่ องมอนเต คารโ์ ล

สวนสาธารณะควั พารค์ ท่กี วา้ งใหญ่ ศาลาไทย พระบรมรูปป้ันนนู ตา่ํ ของรชั กาลท่ี 5 แผน่ จารกึ เหลา่ นีท้ าํ ใหช้ ่วยคลายความคิดถงึ บา้ นไดเ้ ป็นอยา่ งดี พวกเราเดนิ กนั ประสาอะไรไมร่ ู้ พบเจอแตศ่ าลาไทยแห่งแรก พยายามคน้ หาศาลาไทยแหง่ ท่ี สองแตไ่ มเ่ จอ ควั รพ์ ารค์ รกึ ก็ วา้ งขวางเหลอื เกิน สดุ ทา้ ยพวกเรากก็ ินแหว้ ไปตามระเบียบ ตอ้ งยอม ยกเลกิ การคน้ หาเพราะปลายทางของวนั นีไ้ มใ่ ชท่ ี่น่ี หากแตเ่ ป็นเมืองโคโลญจน์ (Cologne) ดงั นนั้ เราจงึ จาํ ตอ้ งอาํ ลาทงั้ ท่ีภารกิจยงั ไมส่ าํ เรจ็ ไดแ้ ตพ่ ากนั อาฆาตแคน้ ในใจ หากเป็นไปไดข้ ากลบั คอ่ ยแวะมาหา กนั อกี รอบแลว้ กนั

ไมว่ า่ จะมองมมุ ใด กง็ ดงาม เดน่ เป็นสง่า ควั พารค์ ในวนั ใบไมเ้ ปลีย่ นสที าํ ใหท้ ง้ั สวนดเู หงาๆ เศรา้ ๆ เหมือนกนั นะ เตรียมวางแผนออกเดินทางสเู่ ปา้ หมายตอ่ ไป จากถนนสาย L3003 ของบาด ฮอมบวรก์ เราวิ่งออกมาไมไ่ กลนกั เจอกบั รา้ นดิสเคานส์ โตรแ์ ห่ง หนึ่งที่พวกเรามาดม่นั กนั มาหลายวนั ท่ีจะแวะ แตเ่ พ่ิงจะสบโอกาสวนั นีเ้ อง ดิสเคานส์ โตรแ์ ห่งนีค้ ือ อลั ดิ (ALDI) ท่ีวา่ อยากจะแวะน่ันเป็นเพราะไดร้ บั ขอ้ มลู มาวา่ รา้ นขายปลีกรายใหญ่ย่ีหอ้ นีม้ ีของดีราคาไม่ แพง เพราะเขาไมไ่ ดเ้ นน้ ที่ยี่หอ้ สินคา้ อาจไมม่ ากมายหลากหลายชนิด แตจ่ ะคณุ ภาพดี เนน้ สินคา้ ที่ใช้ ในชีวติ ประจาํ วนั เป็นหลกั และยงั มขี อ้ มลู อีกวา่ เจา้ ของนน้ั จดั เป็นมหาเศรษฐีอนั ดบั ตน้ ๆ ของเยอรมนี

เลยทีเดยี ว หนเู ลก็ จึงจดั การพานอ้ งดเี้ ขา้ ลานจอดรถของอลั ดิเพือ่ ใหพ้ วกเราไดเ้ ขา้ ไปทาํ ความรูจ้ กั ใกลๆ้ กนั มีดิสเคานส์ โตรท์ ่ีช่ือ เรเว่ (REWE) ซึง่ เป็นอีกเจา้ หน่ึงท่ีเป็นคแู่ ขง่ ตง้ั ประจนั หนา้ กนั แตว่ นั นีเ้ ราขอแวะ ท่ีอลั ดกิ นั ก่อน รา้ นมีขนาดไม่ใหญ่นกั จัดวางสินคา้ ไวอ้ ย่างเป็นระเบียบ สินคา้ มีไม่มากย่ีหอ้ อย่างท่ีเขาว่า เอาไวจ้ ริงๆ แตก่ ม็ คี รบครนั ตามความตอ้ งการ ทงั้ ของกิน ของใช้ ผกั สด ผลไมข้ นม นา้ํ อดั ลม นา้ํ ผลไม้ ไวน์ หรอื แมแ้ ตข่ องใชท้ ง้ั เสอื้ กางเกง รองเทา้ ขาดเหลอื อะไรมาหาซือ้ ได้ พวกเราอดุ หนนุ สินคา้ ของอลั ดิ กนั เลก็ นอ้ ย เป็นพวกวตั ถดุ ิบในการทาํ อาหารมอื้ เยน็ วนั นีก้ บั สินคา้ ตามความอยากลองของแตล่ ะคน ทงั้ แอปเปิ้ลไวน์ (Apfelwein) โยเกิรต์ ผลไม้ ขนมขบเคีย้ วตา่ งๆ และท่ีขาดไมไ่ ดก้ ่อนท่ีเราจะกลบั จาก เยอรมนี น่นั คือ ตอ้ งหาทางลิม้ ลองนา้ํ แอปเปิ้ลผสมนา้ํ แร่ (Apfelschorle) ท่ีวา่ กันว่ามีรสชาติหวานปน ซา่ น่าลิม้ ลอง พวกเราหากนั มาหลายวนั แลว้ เพิ่งจะเจองา่ ยๆ ก็วนั นีเ้ อง ใชเ้ วลาไปกบั รา้ นดิสเคานส์ โตรท์ ่ีอยากแวะมานาน สงิ่ สาํ คญั สาํ หรบั ผทู้ ี่มาอดุ หนนุ อลั ดิควรทราบก็คอื พนกั งานที่นี่จะคิดเงินเรว็ มาก เนื่องมาจาก การทาํ บารโ์ คด้ ของสินคา้ ที่ชัดเจนและเครื่องอา่ นบารโ์ คด้ ที่เคานเ์ ตอรม์ ีคณุ ภาพดีมาก นยั ว่าเพ่ือให้ ลกู คา้ ไดร้ บั การบริการท่ีรวดเรว็ ทนั ใจ ซึ่งจะเหมาะกบั ลกู คา้ ท่ีมคี วามไวสอดรบั กัน เมื่อพนกั งานคิดเงิน เรยี บรอ้ ย ลกู คา้ ก็จะตอ้ งรบี เกบ็ สินคา้ ใสถ่ งุ ที่เตรยี มมา หรือเก็บลงรถเขน็ โดยเรว็ พรอ้ มกบั สามารถชาํ ระ เงินไดอ้ ย่างรวดเรว็ วา่ กนั วา่ เม่อื สนิ คา้ ท่ีผา่ นการคิดเงินแลว้ ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนเคานเ์ ตอร์ และลกู คา้ ยังคงงกๆ เง่ินๆ หยิบเงิน หยิบของใส่ถงุ ชา้ มกั จะถกู พนกั งานมองดว้ ยสายตาตาํ หนิเลก็ ๆ ใหไ้ ดร้ ูส้ ึก

เพราะพวกเขาและพวกหลอ่ นจะพรอ้ มสาํ หรบั การคิดเงินใหล้ กู คา้ คนถดั ไปแลว้ ดงั นนั้ เมือ่ พวกเราไดย้ ิน กิตติศพั ทน์ ้นั มา จึงพากนั กุลีกุจอช่วยกันเก็บขา้ วของใสค่ ืนในรถเข็นก่อน แลว้ คอ่ ยเอาไปใสถ่ ุงผา้ ท่ี เตรียมไวใ้ นภายหลงั จะไดไ้ มต่ อ้ งถกู มองดว้ ยสายตาตาํ หนิใหเ้ สียช่ือชาวเอเชียหวั ดาํ อลั ดิ เป็นรา้ นขายปลีกลกู โซ่ที่เกิดขึน้ จากสองพ่ีนอ้ ง ธีโอดอร์ พอล อลั เบรชท์ (Theodor Paul Albrecht) ผนู้ อ้ งและคารล์ ฮนั ส์ อลั เบรชท์ (Karl Hans Albrecht) ผพู้ ่ี ทง้ั สองคนเติบโตและถูกเลีย้ งดู ในเอสเซน (Essen) พอ่ เคยทาํ งานในเหมอื งแรม่ าก่อน สว่ นแมม่ รี า้ นขายของชาํ เลก็ ๆ ธีโอเคยฝึกงานกบั แมใ่ นรา้ นขายของชาํ สว่ นคารล์ ทาํ งานในรา้ นขายอาหารสาํ เรจ็ รูป ทง้ั สองเคยรว่ มรบในกองทพั เยอรมนี ในช่วงสงครามโลกครงั้ ที่ 2 เมื่อกลบั มายังบา้ นเกิดที่เอสเซน (Essen) ซ่ึงถูกพิษของสงครามทาํ ลาย บา้ นเมอื งจนย่อยยบั เขามองเหน็ วา่ ผคู้ นในเมืองตอ้ งการอาหารและของใชจ้ าํ เป็นแบบวนั ตอ่ วนั ในราคา ถกู เขาสองคนไดด้ าํ เนินกิจการรา้ นขายของชาํ เลก็ ๆ ของครอบครวั ตอ่ จากมารดาในปี ค.ศ.1946 และ ขยายกิจการออกไปอกี โดยใชห้ ลกั คือพยายามคดั เลือกสินคา้ ไม่ใหม้ ีมากเกินไป สินคา้ ตอ้ งมีคณุ ภาพ และราคาตอ้ งไมแ่ พง ในปี ค.ศ.1950 พวกเขามีสาขาของรา้ นกวา่ 13 แหง่ เขาขยายกิจการเขา้ ไปในเขต อตุ สาหกรรมดา้ นตะวนั ตกของเยอรมนี ช่ือของรา้ นนนั้ เขาคิดแบบง่ายๆ คือ การตงั้ ตามช่ือย่อ น่ันคือ รา้ นดิสเคาน์สโตรข์ องอลั เบรชท์ (Albrecht Discount : ALDI) เขามีคาํ ขวัญประจาํ รา้ นว่า มุ่ง ปัจจัยพืน้ ฐาน ขายเฉพาะสินคา้ ที่จาํ เป็นประจาํ วนั (Concentrating on the basics : a limited selection of goods for daily needs) ในปัจจบุ ันรา้ นอลั ดิมีอยู่มากกวา่ 4,000 แห่งในเยอรมนี แตถ่ า้ ท่วั โลกมีมากกวา่ 7,500 รา้ น ภายในรา้ นจะเนน้ การจัดวางสินคา้ แบบง่ายๆ ไม่หรูหรา มีสินคา้ ไม่มาก อย่างแตร่ าคาถกู สนิ คา้ สว่ นใหญ่คณุ ภาพดี แตเ่ ป็นย่ีหอ้ ท่ีไมเ่ ป็นท่ีรูจ้ กั ในช่วงปี ค.ศ.1960 พ่ีนอ้ งสองคนแยกกนั บริหารกิจการ โดยธีโอ บรหิ ารกิจการในทางตอนเหนือ (ALDI Nord) สว่ นคารล์ บรหิ ารกิจการในตอนใต้ (ALDI Süd) อย่างไรก็ตาม ในการจดั ซือ้ สินคา้ ยงั คง ทาํ รว่ มกนั ทั้งหมด นยั วา่ เพื่อสรา้ งอาํ นาจการตอ่ รองและสามารถสรา้ งส่วนตา่ งกาํ ไรไดส้ งู ในขณะที่ ราคาขายยงั คงต่าํ อยู่ เมื่อกิจการรุ่งเรืองย่อมแสดงว่าพวกเขามากนั ถกู ทางแลว้ จึงมีการขยายกิจการ ออกไปท่วั โลกทงั้ ฝร่งั เศส สเปน โปรตเุ กส โปแลนด์ ไมเ่ วน้ แมก้ ระท่งั สหรฐั อเมรกิ า โดยในสหรฐั อเมริกา มีกวา่ 1,000 แหง่ ซ่ึงรวมถงึ รา้ นเทรดเดอร์ โจส์ (Trader Joe’s) ที่ธีโอก่อตงั้ ขนึ้ ในสหรฐั ฯ ดว้ ย อลั ดิ ไมเ่ คยเปิดเผยถึงตวั เลขยอดขายหรอื กาํ ไร แตก่ ็มีประมาณการกนั ว่า มียอดการจาํ หน่าย ไมน่ อ้ ยกว่า 25,000 ลา้ นยโู ร เฉพาะ ALDI Nord ก็มีการจา้ งงานกว่า 50,000 คนท่วั โลก ธีโอบริหาร ALDI Nord อยจู่ นถึงปี ค.ศ.1993 จึงกา้ วลงมาจากการบริหารงานเอง เป็นแตเ่ พียงผถู้ ือหนุ้ สงู สดุ ของ บริษัท ธีโอเคยถูกลักพาตวั ไปเรียกค่าไถ่เมื่อปี ค.ศ.1971 ภายหลังจากจ่ายเงินคา่ ไถ่จาํ นวน 7 ลา้ น ดอยชม์ ารค์ เขาจึงไดร้ บั การปลอ่ ยตวั หลงั จากถกู กกั ขงั ไวน้ าน 17 วนั จากนน้ั ทง้ั สองคนก็พยายามปกปิด ชีวิตสว่ นตวั เกบ็ ตวั เงียบตอ่ สาธารณชน รูปถ่ายของธีโอครง้ั สดุ ทา้ ยเป็นรูปในปี ค.ศ.1971 ส่วนรูปค่ขู อง พ่ีนอ้ งที่ส่อื มีก็เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อปี ค.ศ.1987 สว่ นคารล์ เริ่มเลิกยุ่งเก่ียวกบั การบริหารงานของบริษัท

ตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1994 เป็นแตเ่ พียงประธานบอรด์ แตเ่ มื่อปี ค.ศ.2002 เขาก็ลาออกจากตาํ แหน่งนีแ้ ละไม่มี อาํ นาจใดๆ ในบรษิ ัท คารล์ เองกพ็ ยายามปกปิดเรอ่ื งราวสว่ นตวั เช่นกนั ส่ือรูแ้ ตเ่ พียงว่าเขาแต่งงานแลว้ มีลกู สองคน ไมม่ ีลกู คนใดทาํ งานในอลั ดิเลย และทกุ วนั นีก้ ็ไมม่ ีสมาชิกคนใดในครอบครวั บริหารงาน ของอลั ดเิ ลย แตก่ ระนน้ั พวกเขาก็ถกู จดั ใหอ้ ยใู่ นรายชื่อของผทู้ ี่รา่ํ รวยที่สดุ ในเยอรมนีและ 1 ใน 10 ผทู้ ่ีร่าํ รวยท่ีสดุ ในโลกของนิตยสารฟอรบ์ ส์ (Forbes) เพราะพวกเขามีทรพั ยส์ ินคนละประมาณ 20 ลา้ นเหรียญสหรฐั แบรนดอ์ ลั ดิจดั ไดว้ า่ ไดร้ บั ความนิยมจากคนเยอรมนั มากพอควร เป็นรองก็แต่ ซีเมนส์ (Siemens) และ เบ เอม็ เว (BMW) เท่านน้ั ธีโอ ผนู้ อ้ งเพ่ิงเสยี ชีวิตไปในขณะท่ีอายุ 88 ปี เมื่อวนั ท่ี 24 กรกฎาคม ค.ศ.2010 ท่ีผา่ นมา ทาง บรษิ ัทอลั ดิ ไมไ่ ดแ้ ถลงถงึ สาเหตกุ ารเสียชีวติ ของเขา คงเหลือแต่คารล์ ผพู้ ี่ที่ ณ วนั นีว้ างมือจากธรุ กิจนี้ แลว้ ในขณะที่ธรุ กิจที่เขาวางไวไ้ ดก้ ลายเป็นดิสเคานส์ โตรข์ นาดยักษ์ใหญ่และทรงอิทธิพลเทียบไดก้ ับ หา้ งวอลมารท์ (Walmart) ธรุ กิจคา้ ปลีกขนาดใหญ่ในสหรฐั อเมริกา ซ่ึงแมว้ า่ ยอดขายหรือส่วนแบ่ง การตลาดจะยงั สไู้ มไ่ ด้ แตด่ ว้ ยพืน้ ฐานที่ม่นั คงและอตั ราการเตบิ โตที่ตอ่ เนื่อง ทาํ ใหอ้ ลั ดิมีศกั ยภาพเพียง พอที่จะกลายเป็นหา้ งคา้ ปลกี ขนาดใหญ่ไดใ้ นไมช่ า้ อาวธุ สาํ คัญของอลั ดิคือ การแข่งขนั ดา้ นราคา ที่นี่ลดราคาไดต้ ่าํ มากจนค่แู ข่งทุกรายขยาด เพราะแมว้ า่ เยอรมนีจะเป็นแหลง่ รวมรถยนตร์ าคาหลายลา้ นเตม็ ไปหมด แตป่ ระชากรเยอรมนั ก็ไมไ่ ดม้ ี รายไดม้ ากมาย และพวกท่ีมีฐานะดีก็มีนิสยั ประหยดั อลั ดิจงึ เป็นรา้ นคา้ ปลีกที่ไดร้ บั ความนิยมจากคน ทกุ ระดบั ก็อย่างที่หนเู ลก็ เลา่ ไปแลว้ วา่ อลั ดมิ ปี รชั ญาอยทู่ ี่การขายของดีราคาถกู เคล็ดลบั ก็คือ จาํ นวน รายการสินคา้ ที่มีนอ้ ยรายการเม่ือเทียบกับหา้ งอื่นๆ แมว้ ่าจะมีสินคา้ จาํ เป็นครบครนั แตก่ ็จะมีสินคา้ นอ้ ยแบรนดใ์ หเ้ ลอื ก เชน่ กระดาษทิชชอู าจมีเพียงแค่ 2 ย่ีหอ้ พวกเขาเห็นวา่ ลกู คา้ ยอมรบั ไดก้ ับการมี สนิ คา้ ใหเ้ ลอื กนอ้ ยลง แตไ่ ดส้ ินคา้ ราถกู มากเป็นการทดแทน การมีสินคา้ นอ้ ยแบรนดท์ าํ ใหพ้ วกเขามี ตน้ ทนุ การจดั การสินคา้ คงคลงั ต่าํ ลดคา่ ขนสง่ และคา่ จดั การลง สินคา้ จงึ ตงั้ ราคาใหต้ า่ํ ได้ อีกเคลด็ ลบั คือการมแี บรนดข์ องตนเองแทบทกุ ประเภทของสนิ คา้ ซง่ึ จริงๆ แลว้ หา้ งอ่ืนๆ ก็มีแบ รนดข์ องตนเองเช่นกนั แตส่ ิง่ ที่อลั ดมิ ีเหนือกวา่ ก็คอื คณุ ภาพ อลั ดิเนน้ การควบคมุ คณุ ภาพสินคา้ เพราะ ในเมอื่ จะขายสนิ คา้ ราคาถกู แตเ่ ขากจ็ ะตอ้ งทาํ ใหส้ นิ คา้ มีคณุ ภาพดเี พียงพอท่ีจะแข่งขนั กับหา้ งอ่ืนๆ ได้ และเคลด็ ลบั สดุ ทา้ ยก็คือ การใชเ้ งินสดในการขยายธรุ กิจ เพื่อหลกี เล่ียงการเป็นหนี้ และลดความเสี่ยง ในการดาํ เนินธรุ กิจ ก่อนจะเปิดสาขาท่ีใดก็จะเขา้ ไปศึกษาขอ้ มลู ใหม้ ่นั ใจก่อน เมื่อเขา้ ไปบุกเบิกและ สรา้ งฐานม่นั คงแลว้ จงึ คอ่ ยเรง่ สปีดอกี ครง้ั นบั เป็นขอ้ ดีอยา่ งหนึ่งที่ทั้งสองพ่ีนอ้ งนิยมการเก็บตวั ทาํ ให้ ไมค่ อ่ ยมีใครรูจ้ กั ตวั ตนของพวกเขา เมื่อเขาเขา้ ไปบกุ เบิกท่ีใดคแู่ ขง่ จะไมท่ นั รูต้ วั ทาํ ใหไ้ มท่ นั ในเกมธรุ กิจ ของเขา เทรดเดอร์ โจส์ (Trader Joe’s) เป็นตวั อย่างของการบกุ เบิกที่เหน็ ไดช้ ดั เป็นธรุ กิจในเครืออลั ดิท่ี ดาํ เนินงานโดยกองทนุ ของธีโอท่ีตงั้ ขนึ้ มาใหก้ ับลกู ชาย เป็นการขยายธรุ กิจเขา้ ไปในสหรฐั ฯ ซึ่งเนน้ กล

ยทุ ธด์ า้ นราคาเชน่ กนั แตจ่ ะมีกลมุ่ ลกู คา้ เป้าหมายที่สงู กว่า เนน้ ขายสินคา้ ระดบั บนอย่างไวนห์ รือชีสอ ย่างดีแต่ราคาถูก ไม่ใช่สินคา้ จาํ เป็นแบบพืน้ ๆ เช่นเดิม รายการสินคา้ มีไม่มากและเนน้ แบรนดข์ อง ตนเอง และก็ดเู หมือนจะถกู ใจลกู คา้ ชาวอเมริกาเพราะไดส้ ินคา้ แบรนดใ์ หม่ๆ ท่ีมีราคาย่อมเยา ใน ขณะเดียวกนั อลั ดยิ งั ไดข้ ยายธรุ กิจเขา้ ไปในออสเตรเลยี ทาํ ใหเ้ จา้ ถิ่นอย่างโคลส์ (Coles) และวลู เวิรธ์ ส์ (Woolworths) ซง่ึ ผกู ขาดธรุ กิจคา้ ปลกี มาหลายช่วั อายคุ นตอ้ งส่นั สะเทือน เพราะนอกจากอลั ดิจะราคา ถกู กวา่ แลว้ ยงั เนน้ ทาํ เลขนาดเลก็ ๆ ใกลช้ มุ ชน ทาํ ใหล้ กู คา้ ไปมาสะดวกไมป่ ระสบปัญหาที่จอดรถอย่าง ท่ีผา่ นๆ มา ชาวออสซี่จึงตอบรบั การเขา้ มาของอลั ดิเป็นอยา่ งมาก จริงๆ แลว้ ยังมีรา้ นดิสเคาน์สโตรท์ ่ีเป็นคู่แข่งของอลั ดิอีกหลายแบรนดซ์ ึ่งเราไดพ้ บรา้ นรวง เหลา่ นีม้ ากมาย แตบ่ งั เอิญวา่ หนเู ลก็ ไดม้ ีโอกาสรบั รูเ้ รื่องดๆี ของอลั ดิ จงึ ไดน้ าํ มาแบง่ ปันกนั เม่ือออกจากอลั ดิเราเดนิ ทางกนั ตอ่ โดยใชอ้ อโตบ้ าหน์ สาย A661 จากนั้นนอ้ งจีก็กาํ หนดใหเ้ รา ออกทางแยกขวาไปตามถนนสาย A5 วิ่งไปไม่นานก็เปลี่ยนไปใชถ้ นนสาย A66 จากนนั้ เปล่ียนไปเขา้ ถนนสาย A3 จากนนั้ ตดั ออกไปยงั A560 เมื่อเจอปา้ ยทางแยกสถู่ นนสาย A59 ว่ิงออกไปตามเสน้ ทางนี้ ถนนจะพาเราเขา้ สใู่ จกลางเมอื งเคิลน์ (Köln) หรือโคโลญจน์ (Cologne) ท่ีเป็นปลายทางของวนั นี้ แต่ เราจะไปยังท่ีพักน้องจีจึงให้เราขับไปตามถนนสาย B55 จากนั้นว่ิงเข้าสู่ถนนลักเซมเบอรเ์ กอร์ (Luxemburger Straße) หรือถนนสาย B265 จากน้ันเขา้ สู่ถนนเทรียเออร์ (Trierer Straße) ซึ่ง เจา้ หนา้ ที่ของที่พกั บอกวา่ ใหส้ งั เกตรา้ นแมคโดนลั ดใ์ หด้ ี เพราะทางเขา้ จะอย่ตู รงหัวมมุ ของรา้ นแมค โดนลั ดบ์ รเิ วณบารบ์ ารอสซาพลาทซ์ (Barbarossaplatz) ติดกบั ทางรถไฟ Köln หรือโคโลญจน์ (Cologne) ปลายทางของวนั นี้ ในท่ีสดุ เราก็มาถงึ ท่ีพกั ท่ีจองไว้แบลค็ ชีพโฮสเทล (Black Sheep Hostel) ท่ีพกั แหง่ นีม้ ีที่จอดรถ ไวบ้ ริการดว้ ย แตเ่ ทา่ ท่ีเหน็ มอี ยปู่ ระมาณ 3 – 4 ท่ีเอง แตอ่ ย่างวา่ ละนะ นกั ทอ่ งเที่ยวสว่ นใหญ่มกั ใชก้ าร เดินทางดว้ ยรถไฟมากกวา่ เพราะคอ่ นขา้ งสะดวก ที่จอดรถคงไมจ่ าํ เป็นมากนกั แตส่ าํ หรบั พวกเราผนู้ ิยม การเดินทางแบบแวะนนู่ แวะน่ีรถจึงเป็นสิ่งจาํ เป็นมาก

หลงั จากเจา้ หนา้ ท่ีสาวทราบวา่ เราไดจ้ องที่พกั ไวแ้ ลว้ ก็ใหพ้ วกเรากรอกขอ้ มลู ในแบบฟอรม์ การ เขา้ พกั ตามแบบฉบบั ของโฮสเทลที่ดีไวเ้ ป็นหลกั ฐาน จากนน้ั เธอก็จดั ผา้ ปทู ี่นอน ปลอกหมอน ปลอกผา้ หม่ ใหเ้ รา 4 ชดุ ใหไ้ ปจดั การกนั เองพรอ้ มกาํ ชบั ใหเ้ อามาคืนเม่อื เชค็ เอาทแ์ ละจะไดเ้ งินคา่ มดั จาํ คืน เธอ พาเราไปยงั หอ้ งพกั ท่ีสาํ รองไวใ้ ห้ หอ้ งนีม้ ีชื่อวา่ หอ้ งโคโลญจน์ (Cologne Room) ภายในเป็นเตียงสอง ชนั้ 2 เตียง พอดิบพอดีกบั พวกเรา 4 คน มีโต๊ะเลก็ ๆ หน่ึงตวั ใหน้ ่งั เล่น พรอ้ มล็อคเกอรเ์ ก็บของ 4 ช่อง หอ้ งสะอาดสะอา้ น กวา้ งขวาง หนา้ ตา่ งอยดู่ า้ นรมิ ถนนที่เราผ่านมาเมื่อกีน้ ี้ ในระดบั ราคาย่อมเยาแลว้ ไดห้ อ้ งโลง่ ๆ แบบนีถ้ ือวา่ ถกู ใจมาก เทียบไมไ่ ดก้ บั ที่ไปพกั ท่ีมิวนิคท่ีแสนจะอดึ อดั ทงั้ ๆ ที่กเ็ ป็นเมอื งขนาด ใหญ่ไมแ่ พก้ นั หอ้ งพกั ของเราในคนื นี้ หนเู ลก็ ออกเดินสาํ รวจท่ีพกั ทาํ ใหพ้ บวา่ ทกุ หอ้ งเขาจะมีการตง้ั ช่ือไว้ มีท้ัง หอ้ งเบดอู ิน (Beduin Room) ตรงประตวู าดไวใ้ หเ้ ป็นทางเขา้ กระโจมกลางทะเลทราย มีอฐู ยื่นหนา้ อย่ดู า้ นขา้ ง หอ้ งอินเดียน (Indian Room) วาดลวดลายแบบแขกๆ ลอ้ มประตไู ว้ หอ้ งมหาสมทุ ร (Ocean Room) มีนอ้ งโลมา กระโดดเลน่ เหนือคลื่นที่กาํ ลงั ซัดสาด หอ้ งแกะ (Sheep Room) ท่ีวาดรูปแกะดาํ และแกะขาวเรียงราย อย่รู อบประตู หอ้ งแอฟริกา (Africa Room) วาดเป็นรูปแผนท่ีทวีปแอฟริกา มีท่งุ หญา้ และยีราฟเป็นตวั ประกอบ และหอ้ งมงั กร (Dragon Room) ท่ีมีมงั กรพ่นไฟอยู่เหนือประตทู างเขา้ จัดไดว้ า่ มีอารมณ์ สนุ ทรียด์ ีเหลือเกิน ซึง่ กท็ าํ ใหเ้ ป็นสีสนั ของที่พกั แห่งนีด้ ีเหมือนกัน หอ้ งนา้ํ ท่ีนี่เป็นหอ้ งนา้ํ หอ้ งสว้ มรวม แบ่งแยกชายหญิง บรรยากาศโดยท่วั ไปสะอาดสะอา้ นเป็นระเบียบดี สว่ นหอ้ งสดุ ทา้ ยคือสถานทท่ี ี่เราคง ไดใ้ ชง้ านแนน่ อน น่นั คือ หอ้ งครวั ขนาดของหอ้ งไมก่ วา้ งเกินไป แตก่ ็ไมเ่ ลก็ จนดคู บั แคบ มีเคร่ืองครวั ไว้ ใหใ้ ชค้ อ่ นขา้ งครบครนั จดั โตะ๊ เกา้ อีไ้ วแ้ ยกเป็นมมุ ๆ เก๋ๆ ที่สะดดุ ตาคือขา้ วของทุกอย่างที่ตกแต่งไวใ้ น หอ้ ง ทง้ั ที่ผนงั บนโตะ๊ บนตู้ บนชนั้ บนเพดาน รวมถงึ แกว้ นา้ํ เนน้ รูปแกะเป็นหลกั โดยเฉพาะแกะดาํ ท่ี เป็นชื่อที่พัก นึกจินตนาการไปวา่ เจา้ ของที่น่ีตอ้ งมีความพยายามอย่างย่ิงในการสรรหาแกะสารพัด รูปแบบใหม้ ารวมกนั อย่ใู นท่ีแหง่ นี้ จึงไดม้ ีสารพดั เวอรช์ ่นั ของแกะไดม้ ากมายขนาดนี้ ถือเป็นเสน่หท์ ี่ชวน ใหห้ ลงรกั แบบไมร่ ูต้ วั จริงๆ ใครคิดจะมาท่ีโคโลญจน์ โฮสเทลแห่งนีก้ ็เป็นอีกตวั เลือกที่น่าสนใจทีเดียว และท่ีสาํ คญั ชื่อนีด้ จู ะเหมาะกบั พวกเราเสียเหลือเกิน เพราะจะวา่ ไปคงไมค่ ่อยมีนักท่องเที่ยวคนไหน

เท่ียวไดบ้ า้ ๆ บอๆ แบบพวกเราอีกแลว้ ดเู หมือนจะมแี ผน แตก่ ็ดมู ่วั ๆ อย่างไรบอกไมถ่ กู จะเอาสาระนัก กไ็ มไ่ ด้ แตจ่ ะวา่ ไรส้ าระเสียเลยก็ไมเ่ ชิง กถ็ ือเสียวา่ เป็นแกะดาํ ในหมนู่ กั ทอ่ งเท่ียวก็แลว้ กนั Black sheep Hostel เมือ่ เอาขา้ วของเก็บเขา้ ท่ี หนเู ลก็ ชวนพวกเราไปชมมหาวิหารอนั ลือช่ือของเมืองนีใ้ นยามค่าํ กัน เพื่อเป็นการเรยี กนา้ํ ย่อย ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แลว้ ขอชมมหาวิหารทั้งยามค่าํ และยามเชา้ สองเวลาหลงั อาหารหน่อยแลว้ กนั เอาใหค้ มุ้ ใหส้ มกบั ที่อตุ สา่ หบ์ ากบ่นั มา พวกเราใชก้ ารเดินเทา้ จากบริเวณท่ีพกั ไป เร่อื ยๆ แทนการน่งั รถราง เพื่อคอ่ ยๆ ทาํ ความรูจ้ กั กบั โคโลญจนใ์ นยามเยน็ ลดั เลาะไปตามถนนเสน้ นั้น เสน้ นีเ้ ร่ือยไปจนไปถึงถนนริชมอนด์ (Richmond Straße) ท่ีสะดดุ ตาก็คงเป็นโคนไอศกรีมหวั ท่ิมหก เลอะอย่บู นหลงั คานอยมารค์ ทก์ ลั เลอรี่ (Neumarkt Galerie) ที่นี่คือจดุ เร่มิ ตน้ ของการชอปปิ้งท่ีจะเขา้ สู่ ถนนคนเดิน ศนู ยก์ ารคา้ แหง่ นีม้ รี า้ นคา้ มากมายเกือบรอ้ ยรา้ นมีของขายสารพดั พวกเราไดแ้ คเ่ ดินผ่าน ยงั ไมม่ ีใครสมคั รใจจะเสยี เงินกนั ในเวลานี้ ถดั ไปเป็น ถนนเสน้ นีเ้ ตม็ ไปดว้ ยผคู้ นมากมาย บรรยากาศ

คกึ คกั ผคู้ นท่ีเดินส่วนใหญ่คงจะเป็นนกั ท่องเท่ียว รา้ นคา้ แถวนีม้ ีใหเ้ ลือกชอปปิ้งกันทุกประเภท ทั้ง เสอื้ ผา้ รองเทา้ กระเป๋ า เครื่องหนงั นาฬิกา เคร่อื งประดบั นา้ํ หอม มากมายจาระไนไมถ่ กู ขณะเดียวกนั ก็มีพวกนกั ดนตรแี บบเปิดหมวก มารอ้ งราํ ทาํ เพลงกนั อย่ตู ลอดทาง ทงั้ แบบเดี่ยว แบบกลมุ่ ทง้ั เลน่ กีตาร์ ทง้ั ตีเกราะ เคาะไม้ ตกี ลอง สารพดั จะสรรสรา้ งเสียงดนตรเี พื่อแลกกับเงินของผทู้ ี่สญั จรผ่านไปมา ซึ่งก็ เรียกความสนใจจากนกั ทอ่ งเที่ยวอยา่ งพวกเราไดท้ กุ กลมุ่ จนตอ้ งหยดุ ดหู ยดุ ฟังกนั เป็นระยะๆ และแมว้ า่ สองมือของหนูเล็กจะลว้ งกระเป๋ ากางเกงท่ีมีเศษเหรียญเงินยูโรอยู่จาํ นวนหน่ึง แต่เมื่อคิดถึงอตั รา แลกเปลี่ยนแวบขนึ้ มาในหวั กย็ งั ไมย่ อมใจออ่ นโยนเศษเหรียญใหน้ กั ดนตรีริมทางแมส้ กั กลมุ่ เดียว ดทู ่า คงตอ้ งขอเวลาทาํ ใจอีกสกั พกั เดินตอ่ เน่ืองไปเร่ือยๆ จากถนนนีก้ ็จะเป็นถนนคนเดินอีกเสน้ คือ ถนนโฮ เฮอ (Hohe Straße) ที่มีลกั ษณะไมแ่ ตกตา่ งกนั แมพ้ ระอาทิตยจ์ ะตกดินแลว้ แต่ดเู หมือนนกั ท่องเท่ียว จะไมไ่ ดล้ ดลงเลยกลบั หนาตาขนึ้ อีกตา่ งหาก การเดินเท่ียวยามนีอ้ อกจะวิบากเพราะผคู้ นรกึ ็เดินกันเตม็ ถนน อากาศก็เยน็ ลงเร่ือยๆ ลมรกึ ็แรงจนพากนั ปากซีดตวั ส่นั จนเรม่ิ เกิดคาํ ถามวา่ พวกเราบา้ กนั หรือไง มาเดินโตล้ มหนาวกนั ในยามคา่ํ เชน่ นี้ ถนนคนเดนิ ชิลเดอรก์ าสเซ (Schildergasse) ระหว่างการเดินไปยงั จุดหมาย เราผ่านรา้ นขายของท่ีระลึกท่ีมีสินคา้ สะดดุ ตาหลายอย่างทง้ั กระเป๋ า เสือ้ ยืด แมเ่ หลก็ ตดิ ตเู้ ยน็ พวงกญุ แจ แกว้ นา้ํ ที่นา่ สนใจก็เพราะมดี ีไซนส์ วย และส่วนใหญ่เป็น

รูปโดมสญั ลกั ษณข์ องเมือง และท่ีขาดไมไ่ ดก้ ็คือนา้ํ หอมโคโลญจน์ 4711(Eau de Cologne 4711) นา้ํ หอมกลิ่นออ่ นๆ เย็นๆ ท่ีคนรุน่ เกา่ ๆ จะรูจ้ กั กนั เป็นอย่างดี มกั จะใชห้ ลงั จากอาบนา้ํ เสรจ็ เพราะเมอ่ื ใช้ แลว้ นอกจากจะหอม กจ็ ะรูส้ กึ เยน็ สดช่ืนอกี ดว้ ย ซง่ึ เมอื งนีล้ ะเป็นตน้ กาํ เนิดนา้ํ หอมชนิดนี้ แมจ้ ะเร่มิ ย่าํ ค่าํ แตผ่ คู้ นคกึ คกั มาก การแสดงริมทางที่เรยี กผชู้ มไดไ้ มน่ อ้ ย ของที่ระลกึ ท่ีวางขายกนั ตลอดทาง โดยเฉพาะโคโลญจน์ 4711 โอ เดอ โคโลญจน์ (Eau de Cologne : German Kölnisch Wasser, Water of Cologne) มีตน้ กาํ เนิดที่เมอื งนีเ้ มื่อปี ค.ศ.1709 โดย จิโอวานนิ มารอี า ฟารีนา (1685 – 1766) ผชู้ าํ นาญการทาํ นา้ํ หอม จากซานตา มาเรีย มกั จิโอเร แวลเล วิเกซโซ ประเทศอิตาลี ซึ่งเมื่อปี ค.ศ.1708 ฟารนี าไดเ้ ขยี นจดหมาย ถงึ พี่ชายวา่ เขาไดค้ น้ พบสตู รนา้ํ หอมท่ีทาํ ใหเ้ ขารูส้ กึ ระลกึ ถึงฤดใู บไมผ้ ลทิ ่ีอติ าลที ี่มกี ลน่ิ อ่อนๆ ของดอก

แดฟโฟดิลส์ (daffodils) และกล่ินดอกสม้ หลงั ฝนตก และเขาไดต้ ง้ั ช่ือนา้ํ หอมนีว้ ่า โอ เดอ โคโลญจน์ ตามชื่อของเมืองนีซ้ ่ึงเป็นเสมือนบา้ นแหง่ ใหมข่ องเขา นา้ํ หอมนีไ้ ดม้ ีการใชอ้ ย่างแพรห่ ลายในหม่ขู นุ นาง และสงั คมชั้นสูง เนื่องจากเป็นหัวน้าํ หอมท่ีมีความเขม้ ขน้ จากส่วนผสมของน้าํ มันท่ีสกัดจากพืช ประมาณ 2 – 5 % แตส่ ตู รปัจจบุ นั จะมีสว่ นผสมทง้ั จากแอลกอฮอลแ์ ละนา้ํ ดว้ ย เมื่อถึงยคุ ท่ีการคา้ เสรี ขนึ้ ฟารีนาก็ไดผ้ ลติ นา้ํ หอมนีเ้ ป็นอตุ สาหกรรมและตง้ั ชื่อนา้ํ หอมของเขาวา่ โอ เดอ โคโลญจน์ นบั แตบ่ ดั นน้ั สว่ นเลข 4711 นนั้ เป็นเลขที่บา้ นของเขาบนถนนกลอคเคนกาสเซ (Glockengasse) ปรากฏวา่ กลิ่น หอมออ่ นๆ เจือจาง และคณุ สมบตั เิ ย็น สดชื่น ทาํ ใหน้ า้ํ หอมของเขาไดร้ บั ความนิยมอย่างมาก จากนน้ั 40 ปีใหห้ ลงั จากท่ีเขาเสยี ชีวติ ไป ลกู ชายของหลานของหลาน หรือเหลนของหลานของเขาไดห้ ันไปทาํ ธรุ กิจนา้ํ หอมนีอ้ ยา่ งจริงจงั ที่กรุงปารีส แตภ่ ายหลงั ก็ไดม้ ีการขายกิจการต่อไปยงั ผอู้ ่ืนในธุรกิจท่ีช่ือวา่ Eau de Cologne extra vieille เพื่อใหเ้ กิดความแตกตา่ งกบั นา้ํ หอมโคโลญจนใ์ นเมืองโคโลญจนแ์ ห่งนี้ ที่ใชช้ ่ือวา่ Original Eau de Cologne แตอ่ ย่างไรก็ตาม เม่ือพดู คาํ ว่าโคโลญจน์ คนท่วั ไปก็จะนึกถึง นา้ํ หอมชนิดนีท้ ่ีใชไ้ ดท้ งั้ หญิงและชาย แตส่ ว่ นใหญ่แลว้ จะไดร้ บั ความนิยมจากผชู้ ายมากกว่า เนื่องจาก เป็นทางเลือกใหมข่ องนา้ํ หอมสาํ หรบั ผชู้ ายท่ีไมช่ อบกล่นิ ที่รุนแรงเกินไปและยงั ไดค้ วามเย็นสดช่ืน วนั นีเ้ ราไมไ่ ดส้ นใจดสู นิ คา้ อะไรกันมากนักเพราะค่าํ มากแลว้ แคอ่ ยากไดไ้ ปชมมหาวิหารแห่ง โคโลญจนใ์ นยามค่าํ สกั ครงั้ เท่าน้นั เอง ไม่นานนักเราก็เห็นสิ่งก่อสรา้ งขนาดมหึมาตง้ั ตระหง่านอย่ใู น ความมืด ความใหญ่โตอลงั การที่อยู่ตรงหนา้ เลน่ เอาพวกเราจังงงั ไปช่วั ขณะ แมว้ า่ ความมืดจะบดบัง และทาํ ใหเ้ ราเหน็ ความสงู ใหญ่เสียดฟา้ ไมช่ ดั นกั แตก่ ็พอจะอนมุ านไดว้ า่ สงิ่ ก่อสรา้ งแห่งนีก้ ว่าจะสาํ เร็จ มาเป็นมรดกโลกไดเ้ ช่นนีต้ อ้ งผ่านหยาดเหง่ือและแรงงานมหาศาลเพียงใดกว่าจะมีวันนี้ คงเหมือน คาํ พดู ที่วา่ กรุงโรมไมไ่ ดส้ รา้ งในวนั เดียว ที่นี่ก็ไมต่ า่ งกนั แต่ไม่มีอะไรหนีพน้ ความพยายามของมนุษย์ ความยิ่งใหญ่งดงามจงึ ปรากฏอยตู่ รงหนา้ เชน่ นี้ มหาวิหารแหง่ โคโลญจนใ์ นยามค่าํ นอกจากพวกเราจะใช้เวลาแหงนมองความยิ่งใหญ่ของโดมแห่งนี้แลว้ เรายังพากันเดินไป บริเวณสะพานเหลก็ โคง้ โฮเฮนโซลแลรน์ บรคึ (Hohenzollernbrücke) ที่เป็นทางว่ิงรถไฟ ชมแม่นา้ํ ไรน์

ในยามค่าํ คืน บนสะพานเหล็กโคง้ นี้มีหนุ่มสาวครู่ ักพากันมาคลอ้ งกุญแจแห่งความรักกันไวอ้ ย่าง หนาแนน่ เช่นเดยี วกบั ท่ีไปเจอมาที่สะพานมาเรียนบรคึ ที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ ตอนแรกมองไกลๆ นึก วา่ ท่ีตาขา่ ยนีม้ โี ลหะอะไรตดิ ประดบั ไวเ้ พราะเมอ่ื ตอ้ งแสงไฟทาํ ใหแ้ ลเหน็ เป็นเงาวบั ๆ ไปทง้ั หมด พอไปดู ใกลๆ้ จึงไดเ้ ห็นวา่ กญุ แจสารพดั รูปแบบท่ีครู่ กั จะพากนั สรรหามาเกี่ยวคลอ้ งกันไว้ ก็ไมร่ ูว้ า่ ทกุ ค่ทู ่ีพากนั มาประกาศความรกั วา่ จะไมพ่ รากจากกนั นีย้ งั รกั กนั ดอี ยทู่ กุ คหู่ รือเปลา่ หนเู ลก็ อยากแนะนาํ ว่า หากพอมีเวลาก็ลองมาเดินเล่นบนสะพานแห่งนีใ้ นยามค่าํ คืน เพราะ เมื่อมองกลบั ไปท่ีโดมขนาดมหึมา เขาจะเปิดไฟสอ่ งสวา่ งเรอื งๆ ดงู ดงามไปอีกแบบ ยิ่งหากเก็บภาพจาก บนสะพานจะติดอนสุ าวรียบ์ รอนซข์ องเหลา่ กษัตริยเ์ ยอรมนั เขา้ ไปในภาพดว้ ย ทาํ ใหด้ ขู ลงั ดีเหมือนกนั หลงั จากเดินเก็บภาพมหาวิหารท่ามกลางความมืดและความหนาวกนั เต็มท่ีแลว้ เราทัง้ สี่คนก็พากัน กลบั ที่พกั ขอกลับไปพกั ผ่อนเอาแรงกันก่อนดีกว่า เพราะเรายงั มีนดั กับมรดกโลกแห่งนีก้ ันอีกในวนั พรุง่ นี้ โคโลญจนแ์ ละโดมคงไมไ่ ดง้ ามแคเ่ พียงใตแ้ สงจนั ทร์ ในวนั ท่ีทอ้ งฟ้าสดใสเคิลน์ น่ารโ์ ดมคงรอที่จะ ตอ้ นรบั ผมู้ าเยือนอยา่ งใจจดใจจอ่ นยั วา่ เพ่ือประกาศความย่ิงใหญ่วา่ ท่ีแหง่ นีไ้ มไ่ ดด้ อ้ ยไปกวา่ มหาวิหาร ทง้ั ปวง ทง้ั ท่ีอย่ใู นเยอรมนีและที่อยใู่ นประเทศอื่นๆ ในทวีปยโุ รปแหง่ นี้ มีคนแนะนาํ ว่าหากอยากจะซื้อของท่ีระลึกที่โคโลญจน์ใหเ้ ดินเลยจากศูนย์บริการขอ้ มูล ท่องเที่ยวของโคโลญจนไ์ ปเล็กนอ้ ย เพียงแค่ลบั มมุ ตกึ ไปก็จะเจอรา้ นเล็กๆ แคบๆ ขายของท่ีระลึก มากมายอยา่ งที่เห็นผา่ นๆ ตามาเม่อื ตอนหวั คา่ํ แตร่ าคาจะย่อมเยากวา่ เช่น พวกของชิน้ เลก็ ๆ ถา้ รา้ น อ่ืนขาย 2 อัน 10 ยูโร รา้ นนี้อาจจะกลายเป็น 3 อัน 10 ยูโร เหมาะกับผทู้ ่ีตอ้ งการซื้อจาํ นวนมาก คนขายเป็นชายหน่มุ ท่ีนา่ จะเป็นชาวเอเชีย หากใหเ้ ดาก็น่าจะไมพ่ น้ เวียดนามหรอื จีนเพราะหนา้ ตาออก

แนวๆ นนั้ อธั ยาศยั ดที ีเดียว สภุ าพออ่ นนอ้ ม คณุ ปาและคณุ สดุ พากนั เลือกของท่ีระลกึ ชิน้ เลก็ ชิน้ นอ้ ยตดิ ไมต้ ดิ มอื ย่ิงใกลว้ นั จะกลบั ดเู หมอื นพวกเราพยายามท่ีจะหาทางใชเ้ งินยโู รกนั เป็นระยะๆ เพราะหากไม่ ซือ้ กนั ไวบ้ า้ ง เมอื่ ไปเมืองขา้ งหนา้ แลว้ ไมม่ อี ะไรใหซ้ ือ้ ขนึ้ มาจะยงุ่ แลว้ มาเท่ียวถึงนี่จะไมม่ ีอะไรติดไมต้ ิด มือกลบั ไปบา้ งกเ็ ป็นเรื่องนา่ เสยี ดาย ระหวา่ งท่ีพวกเรากาํ ลงั ดสู ินคา้ ตา่ งๆ ก็ไดย้ ินเสียงของตกจากที่สงู ดงั “เพลง้ ” กลายเป็นวา่ คณุ ลกู สาวตวั เลก็ ๆ ของครอบครวั พวกแขกขาวที่ยืนเลือกสนิ คา้ อยู่กับเราไปปัด จานนาฬิกาหลน่ ลงพืน้ คณุ แมเ่ องก็ไมไ่ ดม้ องเพราะมากนั เป็นครอบครวั ใหญ่มวั แตส่ าละวนกับขา้ วของ และลกู คนอนื่ ดงั นน้ั เมอื่ คนขายเขา้ ไปพดู อยา่ งสภุ าพใหเ้ ธอรบั ผดิ ชอบ เธอแสดงทา่ ทีงงๆ พอหนั ไปถาม ลูกสาวตัวดี ก็กลับบอกว่าไม่รูเ้ รื่อง ไม่ได้ทาํ มิใยท่ีพ่อหนุ่มจะพูดอย่างไรก็ไม่รับฟัง พวกเรา ผเู้ ห็นเหตกุ ารณน์ ึกเห็นใจ แตก่ ็ไม่อยากเขา้ ไปรว่ มในสถานการณย์ ุ่งๆ แบบนีจ้ ึงไดแ้ ตย่ ืนรีรอ หากพ่อ หน่มุ ตอ้ งการพยานกค็ อ่ ยเปิดปาก แตส่ ดุ ทา้ ยกลบั ลงเอยตรงที่คณุ แมไ่ มย่ อมรบั รูเ้ รือ่ งท่ีเกิดขนึ้ แลว้ ก็รีบ ตอ้ นพวกลกู ๆ และกล่มุ ของเธอออกไปจากพื้นท่ีบริเวณน้ันโดยเร็ว โดยไม่ฟังเสียงเรียกรอ้ งความ รบั ผิดชอบของพ่อหน่มุ คนขายแสนสภุ าพแมแ้ ตน่ อ้ ย หน่มุ จึงไดแ้ ตค่ อตก จาํ ใจเกบ็ สินคา้ ท่ีชาํ รุดเสยี หาย ชิน้ นน้ั กลบั เขา้ หลงั รา้ นไปโดยไมไ่ ดม้ ีปฏิกิริยากา้ วรา้ วอะไร และสกั พกั ก็หนั มาดแู ลพวกเราเหมือนไม่มี เหตกุ ารณอ์ ะไรเกิดขนึ้ พวกเราไดแ้ ตน่ กึ สงสารจึงพากนั อดุ หนนุ ของที่ระลึกชิน้ เลก็ ชิน้ นอ้ ยเป็นกาํ ลงั ใจ นบั เป็นเหตกุ ารณเ์ ลก็ ๆ ท่ีสะเทือนใจหนเู ลก็ พอดู หรอื เป็นเพราะพ่อหน่มุ เป็นเพียงชาวเอเชียตวั เลก็ ๆ ท่ี ไปพาํ นกั ในเมืองนี้ ประเทศนี้ หากมีเร่ืองราวอะไรไปอาจจะเดือดรอ้ นว่นุ วายหรืออาจไม่มีเสียงดัง พอที่จะเรียกรอ้ งอะไรได้ เหตกุ ารณจ์ งึ ไดจ้ บลงแบบแย่ๆ อยา่ งนี้ รา้ นขายของที่ระลกึ ราคาย่อมเยาว์ จะว่าไปแลว้ วนั นีด้ จู ะเป็นวนั แห่งความอ่อนลา้ มากที่สดุ ทัง้ ๆ ท่ีระยะทางจากเวิรซ์ บวรก์ จน มาถงึ โคโลญจนจ์ ะเพียงไมก่ ่ีกิโลเมตร อาจเป็นเพราะวนั นีห้ นูเล็กไดพ้ าพวกเราผ่านเสน้ ทางแห่งอารย ธรรมอนั หลากหลาย ครบทุกรสชาติ นับแต่ประวัติศาสตร์ วฒั นธรรม ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาการ ทางการแพทย์ ความสมั พนั ธท์ างการทตู กบั ประเทศไทย รวมท้งั เร่ืองราวทางเศรษฐกิจ ธรุ กิจ การคา้ การลงทนุ มาจนถงึ ศลิ ปะอนั ย่ิงใหญ่จากนา้ํ มือมนษุ ยท์ ี่โคโลญจนแ์ ห่งนี้ และยงั ไดม้ าจบลงตรงท่ีไดม้ า พานพบเหตกุ ารณเ์ ลก็ ๆ ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ถงึ อะไรบางอย่างที่เกดิ ขนึ้ ในสงั คม ทาํ ใหเ้ ห็นสจั ธรรมขอ้ หนึ่งท่ีว่า

ชีวิตคนเราจากเกิดจนตายย่อมตอ้ งผา่ นรอ้ น ผา่ นหนาว ผา่ นส่ิงตา่ งๆ ที่เขา้ มากระทบอย่างไมอ่ าจ หลกี เล่ียงได้ เราทาํ ไดแ้ ตเ่ พียงการเตรยี มตวั และเตรียมใจใหพ้ รอ้ มท่ีจะยอมรบั และดาํ รงอยกู่ บั มนั ใหไ้ ด้ เท่านน้ั เอง มเี ทา่ นนั้ จรงิ ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook