Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Germany : Love at first drive Chapter 12

Germany : Love at first drive Chapter 12

Published by Ou' Bookshop, 2021-09-24 04:47:28

Description: Chapter 12 : On the way of World Heritage Ep.1

Search

Read the Text Version

Germany : Love at first drive Chapter 12 : On the way of World Heritage Ep.1 หนูเล็ก

บนเส้นทางมรดกโลก 1 จัดได้วา่ เชา้ วนั นเี้ ป็ นเช้าทส่ี ดใสมากวนั หน่งึ หลังจากทพ่ี วกเราต้องผจญกับฝนทม่ี ิวนิค มาสองสามวันเล่นเอาหมดสนุก แลว้ ก็รูส้ กึ บรรยากาศมนั เศรา้ ๆ ยงั ไงพิกล เพิ่งวนั นีล้ ะที่ฟ้าเปิด เห็น ฟา้ เป็นฟา้ มแี สงแดดออ่ นๆ แยงเขา้ มาทางหนา้ ตา่ ง ทาํ ใหร้ ูส้ ึกสดชื่นขึน้ หากเป็นคนท่ีกาํ ลงั หดหู่ หมด อาลยั ตายอยากในชีวิต ก็คงรูส้ กึ วา่ ชีวิตมนั เริม่ มีความหวงั ขนึ้ มาบา้ งอะไรทาํ นองนี้ หนเู ล็กนึกแปลกใจ อยเู่ หมอื นกนั เพราะเพิ่งจะรูส้ กึ วา่ อากาศมนั มผี ลทางจิตใจกบั คนเราแบบนีน้ ี่เอง เมือ่ พวกเราจดั การกบั อาหารเชา้ กนั เรยี บรอ้ ย เราถือโอกาสเช็คเอาทก์ นั เลย เพราะแผนท่ีตกลง กนั ไวเ้ มื่อคนื กอ่ นที่จะผลอยหลบั กนั ไปกค็ อื การไปเดินเท่ียวเขตเมืองเก่าซ่ึงไดร้ บั การจดทะเบียนเป็น มรดกโลกจากองคก์ ารยเู นสโกกนั เป็นบญุ ตา มาถึงแลว้ จะปลอ่ ยผา่ นไปโดยไมช่ มเสียหน่อยดจู ะกระไร อยู่ ซ่งึ เราคงไปใชเ้ วลาแถวนน้ั กนั อีกนาน หากตอ้ งว่ิงกลบั มาเชค็ เอาทน์ ่าจะเสียเวลาเดินเท่ียวไปเปล่าๆ ก็เลยจดั การขนขา้ วของใสร่ ถใหพ้ รอ้ มสาํ หรบั การเดนิ ทางตอ่ ไดเ้ ลยทนั ที หนเู ลก็ พาพวกเราเดนิ ทางเขา้ เขตเมอื งเกา่ โดยขบั รถขา้ มสะพานไอแซนเนอร์ (Eiserne Brücke) ไป จากน้ันวนไปมาจนไปถึงบริเวณมหาวิหารซังทเ์ พเตอร์ (St. Peter Cathedral) ใกลๆ้ มหาวิหาร บรเิ วณตลาดเมลด็ พนั ธุ์ (Kornmarkt) มีลานจอดรถแบบหยอดเหรียญที่พอมีที่ว่างอยู่ หนูเล็กก็เลยเอา รถเขา้ จอดบริเวณนีพ้ วกเราจะไดเ้ ดินกันไม่ไกลมากนัก เราหยอดเงินให้เพียงพอสาํ หรับการจอด ประมาณ 3 ช่วั โมง ซึง่ คดิ วา่ น่าจะพอกับเวลาที่เราควรจะอาํ ลาที่นี่และออกเดินทางตอ่ ไปยังจดุ หมาย ถดั ไปโดยไมล่ ืมวางกระดาษคา่ จอดรถไวท้ ี่หนา้ รถเพ่ือยืนยนั ใหค้ ณุ เจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจไดเ้ ห็นชัดๆ ว่าฉัน จา่ ยคา่ จอดแลว้ นะจ๊ะ มหาวหิ ารซงั ทเ์ พเตอร์ (St. Peter Cathedral) เราเดินผ่านประตเู มืองและหอคอยเขา้ ไป แมว้ า่ จะเดินไปยังไมถ่ ึง แต่มหาวิหารซังท์เพเตอร์ ขนาดมหึมาก็ตงั้ ตระหง่านสงู เสียดฟ้าให้เห็นแลว้ ดยู ิ่งใหญ่อลงั การเสียเหลือเกิน ก่อนถึงมหาวิหาร

ทางดา้ นขวามอื จะมีโบสถเ์ กา่ แหง่ หน่ึง สว่ นดา้ นตรงขา้ มมหาวิหารมีรูปป้ันขนาดใหญ่นัยวา่ เป็นรูปปั้น ของกษัตริยพ์ ระองคห์ นง่ึ ทรงมา้ แตค่ น้ หาในหนงั สอื นาํ เที่ยวไมม่ รี ายละเอยี ดเขยี นไวก้ ็เลยไมร่ ูว้ า่ ท้ังสอง สง่ิ ปลกู สรา้ งนีม้ คี วามสาํ คญั อย่างไร อกี ทงั้ มหาวหิ ารที่อย่ตู รงหนา้ ย่วั ยวนเชิญชวนใหไ้ ปสมั ผสั พวกเรา จึงพากนั เดนิ ไปยืนหนา้ มหาวิหารแทน พวกเราไปยืนแหงนหนา้ คอตง้ั บ่าชมความย่ิงใหญ่ของมหาวิหาร แหง่ นี้ น่ีขนาดเป็นมหาวิหารแคเ่ มอื งนีเ้ องนะ ยงั รูส้ กึ เลยวา่ ชา่ งใหญ่โตอลงั การเหลือเกิน เขาบอกวา่ อยู่ สว่ นไหนของเมืองกย็ งั มองเหน็ ยงั ไมร่ ูเ้ ลยวา่ ถา้ เราไดไ้ ปเห็นมหาวิหารแห่งโคโลญจน์ หรือมหาวหิ ารแห่ง อลู ม์ จะใหญ่โตปานใด มหาวิหารแห่งนีเ้ ป็นรูปแบบโกธิคจึงเตม็ ไปดว้ ยยอดแหลม ท่ีปลายยอดตกแตง่ ไว้ สวยงาม มีรางนา้ํ ฝนเป็นรูปสลกั ที่เรยี กวา่ การก์ อยส์ (gargoyles) ยื่นออกมาเตม็ ไปหมดมีทั้งท่ีหนา้ ตา เป็นมนษุ ยแ์ ละเป็นสตั วช์ นิดตา่ งๆ มากมาย มาทาํ ความรูจ้ กั กบั การก์ อยส์ กนั หน่อยแลว้ กนั วา่ ทาํ ไมตอ้ งเรียกวา่ การก์ อยส์ คาํ นีส้ นั นิษฐาน ว่ามาจากคาํ ว่า ลา การก์ ุยย์ (La Gargouille) ในภาษาฝร่งั เศส อนั มีรากศพั ทม์ าจาก เกอรก์ ูลิโอ (Gurgulio) ในภาษาละตนิ หมายถึง คอ และ พอ้ งกบั เสียงของนา้ํ ที่ไหลผา่ นรางนา้ํ ฝนบนตวั อาคาร มี ตาํ นานกลา่ วถงึ ท่ีมาของช่ือ การก์ อยล์ หรือ ลา การก์ ยุ ย์ นี้ อย่หู ลายตาํ นาน แตต่ าํ นานท่ีเป็นท่ีรูจ้ กั กัน อย่างแพรห่ ลาย คือ ของฝร่งั เศส ท่ีเลา่ ขานกนั วา่ ประมาณ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 7 ท่ีหมบู่ า้ นรูออง (Rouen) ทางตอนเหนือของประเทศฝร่งั เศส มีมงั กรไฟตวั หน่ึงซ่ึงมีนิสยั ดรุ า้ ยอาศยั อยู่ในถา้ํ ใกลร้ ิมแมน่ า้ํ แซน (Seine) เจา้ มงั กรตวั นีย้ ื่นคาํ ขาดใหผ้ คู้ นในหมบู่ า้ นสง่ หญิงพรหมจรรยม์ าสงั เวยมนั ทกุ ปี มเิ ชน่ นนั้ มนั จะ พน่ ไฟใหท้ งั้ หมบู่ า้ นจมอยใู่ นกองเพลงิ ภายในพรบิ ตา ดว้ ยความกลวั คาํ ขชู่ าวบา้ นจงึ จาํ ตอ้ งส่งหญิงสาว ไปใหม้ นั ทกุ ปี หากปีใดไมส่ ามารถหาสาวบริสทุ ธไ์ ด้ ก็ไดส้ ง่ นักโทษไปแทน แน่นอนว่าเจา้ มงั กรตวั นีไ้ ม่ พอใจอย่างย่ิง มนั จะเทียบกันไดอ้ ย่างไรระหว่างสาวพรหมจรรย์กับนักโทษ มันจะมาบินวนรอบ ๆ หมบู่ า้ นพรอ้ มกบั พ่นไฟ และสง่ เสียงขคู่ าํ รามในลาํ คอ อนั เป็นเหตใุ หช้ าวบา้ นเรียกเจา้ มงั กรตวั นีว้ า่ ลา การก์ ยุ ย์ จนกระท่งั วนั หนึ่ง นกั บวชช่ือแซงท์ รูมานีส์ (Saint Romanis) ไดเ้ ดินทางเยือนหม่บู า้ นแห่งนี้ เมอ่ื ไดร้ บั รูช้ ะตากรรมของชาวบา้ น กไ็ ดเ้ สนอตวั เขา้ ช่วยเหลือ โดยมีขอ้ แมว้ ่า หากท่านปราบมงั กรตวั นี้ ได้ ชาวบา้ นจะตอ้ งสรา้ งโบสถใ์ หท้ ่านหนึ่งหลงั ซึ่งชาวบา้ นก็ตกลงรบั เงื่อนไขนีโ้ ดยดี นักบวชจึงได้ เดนิ ทางไปยงั ถา้ํ มงั กรโดยไม่มีอาวธุ ใดๆ มีเพียงไมก้ างเขนและศรทั ธาตอ่ พระเจา้ เท่านัน้ แตส่ ดุ ทา้ ยก็ สามารถสยบเจา้ มงั กรรา้ ยตวั นีไ้ ด้ และนาํ มนั กลบั มายังหม่บู า้ น ชาวบา้ นรูอองรูส้ ึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ พวกเขาจะไดอ้ ย่อู ย่างสงบสขุ เสียที หลงั จากตอ้ งหวาดกลวั มงั กรรา้ ยมาตลอดเวลา และเพ่ือใหแ้ น่ใจว่า มงั กรพ่นไฟ ลา การก์ ยุ ย์ นีจ้ ะไมส่ ามารถกลบั มาทาํ รา้ ยใครไดอ้ ีก ชาวบา้ นจึงช่วยกนั จบั มงั กรมดั และ เผามนั ทง้ั เป็น แตเ่ นื่องจาก ลา การก์ ยุ ย์ เป็นมงั กรพ่นไฟ เพลิงจึงเผาผลาญทกุ ส่วนของมนั ยกเวน้ สว่ น หวั และคอ ซง่ึ ไมว่ า่ ใชว้ ธิ ีใดก็ไมส่ ามารถทาํ ลายมนั ได้ ดงั นนั้ เมื่อชาวบา้ นสรา้ งโบสถใ์ หน้ กั บวชแซงท์ รู มานีส์ ตามสญั ญา นกั บวชเลยแนะนาํ ใหเ้ อาหวั มงั กรไปประดบั ไวก้ บั ตวั โบสถ์ เพราะเจา้ มงั กรตวั นีม้ ี

อาํ นาจศกั ดส์ ิทธิ์ ดงั นนั้ มนั จะสามารถขบั ไลม่ ิใหภ้ ตู ผิ ปี ีศาจหรือส่งิ ช่วั รา้ ยตา่ งๆ เขา้ มาในตวั โบสถไ์ ด้ ชาว ยโุ รปในยุคกลางเชื่อว่า ตอนกลางวนั การก์ อยสจ์ ะเป็นเพียงรูปสลัก แต่ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็น มงั กรบินไปท่วั หมบู่ า้ นหรือเมืองที่อาศยั เพ่ือปกป้องดแู ลมใิ หม้ สี ่งิ ช่วั รา้ ยตา่ ง ๆ เขา้ มารงั ควาน นบั ตงั้ แต่ นน้ั เป็นตน้ มาการนาํ เอารูปสลกั สตั วห์ นา้ ตาประหลาดตา่ ง ๆ มาประดบั โบสถว์ หิ ารกก็ ลายเป็นประเพณี ท่ีปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มาในยโุ รป และเมอ่ื ชาวยโุ รปไดอ้ พยพไปตงั้ ถิ่นฐานในท่ีตา่ งๆ กไ็ ดน้ าํ ประติมากรรมนี้ ไปดว้ ย กลบั มาเขา้ เร่อื งกนั ตอ่ ตวั มหาวหิ ารตง้ั อยใู่ จกลางของเขตเมืองเก่า บริเวณดา้ นขา้ งจะมีรถราง นาํ เท่ียว (City Tour) ให้บริการ อาจเป็นเพราะยังเชา้ ไป อีกท้ังวนั นีเ้ ป็นวนั ธรรมดากระมงั จึงไม่มี นกั ทอ่ งเท่ียวมาใชบ้ ริการเลย กอ่ นจะเขา้ ไปชมดา้ นในโบสถพ์ วกเราพากันยืนชมรูปสลกั ปนู ปั้นต่างๆ ที่ ตกแตง่ ไวท้ ่ีประตทู างเขา้ หนเู ลก็ ชอบที่การตกแตง่ ภายนอกเพราะมีความงดงามมาก มีรูปสลกั ปนู ป้ันรูป นกั บญุ ตา่ งๆ มากมาย บรรยายเทา่ ไรกค็ งไมส่ ามารถส่ือถงึ รายละเอยี ดความงดงามที่ตาเหน็ นน้ั ได้ สว่ น ภายในการก่อสรา้ งเป็นแบบเรียบๆ สไตลโ์ กธิค จะสะดุดตาก็คงเป็นที่กระจกสี (stained glass) มากมายหลายบาน สว่ นใหญ่สรา้ งขนึ้ ระหวา่ งปี ค.ศ.1320 – 1370 เป็นภาพเรื่องราวทางคริสตศ์ าสนา และรูปนกั บญุ ตา่ งๆ รวมทงั้ แทน่ บชู าที่ตรงกลางโบสถท์ ่ีมีความสมบรู ณอ์ ยมู่ าก รถรางนาํ เทีย่ ว (City Tour) ใหบ้ ริการ ความงามภายในมหาวหิ าร

งดงามทง้ั กระจกสแี ละแทน่ บชู าหลกั รูปสลกั ปนู ป้ันท่ีแสนวจิ ิตรท่ีดา้ นนอก พวกเราเดนิ ชมมหาวหิ ารกนั สกั พกั ก็พากนั เดนิ ลดั เลาะชมอาคารบา้ นเรือนเขตเมืองเก่าไปตาม ตรอกซอกซอยเลก็ ๆ จนไปถึงบรเิ วณท่ีเขาเรียกวา่ ตลาดขายถ่าน (Kohlen Markt) เพราะในอดตี บริเวณ นีเ้ ป็นบรเิ วณที่มกี ารขายถา่ นกนั บรเิ วณนีถ้ กู ลอ้ มรอบดว้ ยอาคารตา่ งๆ ที่มคี วามสวยงาม แตล่ ะอาคาร มีการตกแต่งจ่ัวไวเ้ ป็นแบบต่างๆ พื้นที่บนลานนี้ปัจจุบันเป็นพื้นท่ีของรา้ นอาหารแทรงควิล คาเฟ่ (Tranquil Café) ซง่ึ มที ี่น่งั เปิดโลง่ แบบอลั เฟรสโก ไดนน์ ่ิง (Alfresco dining) อยา่ งท่ีพวกฝร่งั เขานิยม พืน้ ท่ีตลาดขายถา่ น (Kohlen Markt) เดมิ

เดนิ ทะลไุ ปอีกเลก็ นอ้ ยเป็นบริเวณของศาลาว่าการเมืองเก่า (Alte Rathaus) ตวั อาคารเป็นสี เหลอื งอมสม้ ตรงผนงั ดา้ นนอกมีลกั ษณะเหมือนระเบียงหรอื หนา้ มขุ สาํ หรบั ใหผ้ ปู้ กครองออกมาพบกับ ชาวเมอื ง หากกวาดสายตาไปทางดา้ นขวามือจะพบรูปป้ันสรา้ งตดิ ไวท้ ี่ผนงั อาคาร รูปป้ันนีเ้ รียกวา่ ชทู ซ์ อนุ ด์ ทรูทซ์ (Schutz und Trutz) หรอื มคี วามหมายวา่ ป้องกันและปกป้อง (Protection and Defence) เป็นสญั ลกั ษณเ์ สมือนการด์ คอยดูแลเมือง เมื่อเดินต่อมาเร่ือยๆ ตามตรอกเลก็ ๆ ท่ีช่ือ ฟิ สชเ์ กสเซล (Fischgässel) จะมาทะลทุ ่ีถนนโกลดแ์ บรเ์ รน (Gold Bärren straße) ซึ่งบริเวณนีเ้ คยเป็นที่ตง้ั ของ ตลาดปลา (Fischmarkt) ซ่ึงปัจจบุ นั คงไมม่ กี ารขายปลาแลว้ หนั กลบั ไปมองท่ีผนงั ตกึ มีภาพเขียนสีไวท้ ี่ ผนงั อีกแลว้ บงั เอญิ เหลือเกินท่ีมกี ลมุ่ นกั ท่องเท่ียวมายืนชมผนงั เดยี วกนั กบั เราอยู่ เราเลยม่วั ๆ ไปยืนฟัง ไกดอ์ ธิบายภาพวาดท่ีผนงั วา่ เป็นภาพอะไร ทาํ ใหท้ ราบวา่ นี่เป็นภาพของโกไลแอธ (Goliath) ยกั ษ์ใน คมั ภีรใ์ บเบิลที่มีความสามารถในการรบมาก แตต่ อ้ งมาตายดว้ ยการถูกตดั ศีรษะโดยเด็กหนุ่มชาว อิสราเอลท่ีชื่อเดวิด และถนนเสน้ ท่ีเรายืนอยู่นีก้ ็คือ ถนนโกไลแอธ (Goliathstraße) น่ันเอง ตลอด เสน้ ทางท่ีเดินมาจนถึงจดุ นี้ มขี า้ วของวางขายสารพดั หากไมต่ ดิ เรื่องคา่ ของเงินท่ีแพงโขและอปุ สรรคใน การหอบหิว้ กลบั บา้ น ดทู า่ คงไดอ้ ะไรติดไมต้ ิดมือกลบั ไปมากมาย เพราะสว่ นใหญ่เป็นงานฝีมือสวยๆ ทงั้ นนั้ ศาลาวา่ การเมอื งเกา่ (Alte Rathaus) ภาพของโกไลแอธ (Goliath) ยกั ษ์ในคมั ภรี ใ์ บเบิล

จากจดุ นีเ้ รามองเหน็ สะพานหินอยไู่ มไ่ กลแลว้ กเ็ ลยพากนั ไปเดินกินลมชมสะพานกนั เสียหนอ่ ย แลว้ ก็จะไดช้ มความงามของแม่นา้ํ โดเนา หรือดานบู อันลือช่ือไปดว้ ย สะพานนีม้ ีส่วนเก่ียวขอ้ งกับ ประวตั ิศาสตรต์ รงท่ีพวกอศั วินใชเ้ ป็นทางสัญจรขา้ มแม่นา้ํ โดเนาในช่วงสงครามครูเสด (Crusade) สงครามระหวา่ งชาวครสิ ตแ์ ละชาวมสุ ลิม ซึ่งฐานของสะพานสรา้ งเป็นทรงโคง้ 16 ชอ่ ง เช่ือมระหวา่ งเขต เมอื งเก่าและสว่ นท่ีเรยี กว่า สตดั ทอ์ มั โฮฟ (Stadtamhof) ที่ไดร้ บั การจดทะเบียนใหเ้ ป็นมรดกโลกจาก องคก์ ารยเู นสโก สะพานนีม้ คี วามเก่าแก่มากเพราะสรา้ งตงั้ แตค่ ริสตศ์ ตวรรษที่ 12 การก่อสรา้ งใชเ้ วลา ราว 11 ปี ไดท้ นุ กอ่ สรา้ งจากพอ่ คา้ ชาวเรเกนสบ์ วรก์ เป็นยคุ สมยั ของกษัตริยค์ อนราดที่ 3 ซึ่งมีบทบาท มากท่ีทาํ ใหส้ ะพานแห่งนีแ้ ลว้ เสร็จสมบูรณ์ ซ่ึงเมื่อแลว้ เสรจ็ ก็ช่วยใหก้ ารขนส่งสินคา้ และบริการขา้ ม แมน่ า้ํ โดเนาเป็นไปดว้ ยความคล่องตวั มากขนึ้ ซึ่งความสาํ เรจ็ ในการก่อสรา้ งและผลพวงท่ีไดร้ บั จาก สะพานแห่งนี้ ทาํ ใหจ้ ุดประกายใหแ้ ก่เมืองอื่นๆ อีกหลายเมืองท่ีจะสรา้ งสะพานลกั ษณะนีเ้ พื่อใหก้ าร ขนสง่ สินคา้ ต่างๆ เป็นไปดว้ ยความคลอ่ งตวั มากขนึ้ เช่น สะพานขา้ มแมน่ า้ํ เอลเบ (Elbe) ท่ีเดรสเดน ของเยอรมนี สะพานขา้ มแมน่ า้ํ วลั ตาวา (Valtava) ที่กรุงปราก สาธารณรฐั เชค หรือสะพานขา้ มแม่นา้ํ เทมส์ (Thames) ที่กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ สะพานหิน ที่เช่ือมระหวา่ ง เขตเมืองเก่าและ Stadtamhof สะพานแหง่ นีเ้ ป็นศิลปะโรมาเนสก์ สรา้ งโดยการใชห้ ินธรรมชาติผสมกบั ปนู ขาว มีตอมอ่ สะพาน ลกั ษณะเป็นเหมอื นเกาะซง่ึ เป็นการออกแบบเพื่อเป็นการกาํ หนดทิศทางและแรงของแมน่ า้ํ ที่จะไหลผา่ น ผนวกกบั ฐานสะพานทาํ เป็นทรงโคง้ เพ่ือใหเ้ รอื สามารถผา่ นได้ ถือเป็นความกา้ วหนา้ ทางทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมการกอ่ สรา้ งในยคุ นนั้ เลยทีเดียว ความยาวของสะพานท้ังหมดประมาณ 315 เมตร เดิมมีหอคอยที่เป็นเสมือนป้อมปราการอย่ทู ้ังหมด 3 แห่ง แต่ภายหลงั คงเหลือหอคอยเพียง 1 แห่ง เท่าน้ัน เพราะหอคอยสีดาํ ทางทิศเหนือถกู ทาํ ลายเม่ือครง้ั สงครามนโปเลียนและหอคอยตรงกลาง สะพานถกู รอื้ ออกเมอื่ ปี ค.ศ.1784 ตรงปลายสะพานดา้ นทิศใตม้ คี ลงั เก็บเกลือ (salzstadel) ซง่ึ สรา้ งขนึ้ ระหวา่ งปี ค.ศ.1616 – 1620 ใชเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของการขนสง่ เกลือในยคุ นน้ั

สะพานหินกบั แมน่ า้ํ ดานบู เสน้ เลอื ดใหญ่ทห่ี ลอ่ เลีย้ งเมอื งนี้ เราเดินเลน่ กนั บนสะพานหินเพื่อชมความงามของแมน่ า้ํ โดเนาหรือดานบู อนั เลื่องชื่อ แมน่ า้ํ นี้ เองถือเป็นเสน้ เลือดใหญ่ที่หล่อเลีย้ งเมืองนีใ้ หค้ งความเจริญรุ่งเรืองมาจากอดีต จากตาเห็นสภาพ บา้ นเรือนของเรเกนสบ์ วรก์ ยงั คงสภาพเดิมๆ ไวค้ ่อนขา้ งมาก เขาคงพยายามอนรุ กั ษ์กนั ไวเ้ ป็นอย่างดี ใหส้ มกบั ท่ีไดร้ บั การยกใหเ้ ป็นมรดกโลกกระมงั บรรยากาศโดยรวมของเรเกนสบ์ วรก์ ในสายตาของหนู เลก็ จดั ไดว้ า่ เป็นเมอื งท่ีน่าอย่เู มืองหนึง่ ชีวิตผคู้ นเมืองนีท้ ี่มเี พียงประมาณ 150,000 คนท่ีคอ่ ยๆ ดาํ เนิน ไปอย่างไมเ่ รง่ รบี มีสายนา้ํ สวยๆ ไหลเออื่ ยๆ ใหร้ ูส้ กึ เย็นชมุ่ ฉ่าํ ในหวั ใจ จะวา่ ไปยงั ดอี ยู่อย่างวา่ วนั นีไ้ ม่มี ฝนโปรยปรายมาใหเ้ ราตอ้ งหงุดหงิด ก็ช่ือเมืองนีแ้ ปลไดว้ า่ “เมืองแห่งสายฝน” ถา้ มีฝนมาเราก็คงอด ไดม้ าชื่นชมบรรยากาศน่ิงๆ งามๆ แบบนีเ้ ป็นแน่ พวกเราแตล่ ะคนจึงไดแ้ ตย่ ืนปลอ่ ยใจใหล้ อ่ งลอยไปกบั สายนา้ํ อย่เู งียบๆ กนั อยนู่ านพอควร กวา่ จะไดร้ ูส้ กึ ตวั วา่ เราปลอ่ ยเวลาล่วงเลยไปนานมากแลว้ และคง จาํ ตอ้ งจากลากนั เสียที

พวกเราพากนั เดินลดั เลาะตรอกซอกซอยเลก็ ๆ เพ่ือกลบั มายงั รถท่ีจอดไว้ ดจู ากนาฬิกาขอ้ มือ ทาํ ใหพ้ บวา่ เราใชเ้ วลาเกินจากท่ีเสยี คา่ ที่จอดรถเอาไว้ ไดแ้ ตห่ วงั วา่ จะยงั ไมม่ ีเจา้ หนา้ ที่ตาํ รวจมาตรวจ พบ ฝีเทา้ ไวเทา่ กบั ความคิด หนเู ลก็ กบั พ่ีใหญ่เดินจา้ํ ไปยงั รถท่ีจอดไว้ ดทู ่าลางสงั หรณจ์ ะเป็นจริงเสีย แลว้ คณุ ตาํ รวจหญิงนายหน่ึงกาํ ลงั เดินกม้ ๆ เงยๆ อย่ทู ่ีรถคนั หนึ่งในลานจอด ซ่ึงก็ไมไ่ ดไ้ กลไปจากพ่ีดี้ ของพวกเราเท่าไรนกั หนเู ลก็ จงึ ก่งึ เดนิ กิ่งวิ่งรีบไปท่ีรถโดยเรว็ รบี บิดกญุ แจสตารท์ เครื่องทาํ ทีจะออกรถ ระหวา่ งรอคณุ ปากบั คณุ สดุ ซ่ึง ณ ตอนนีย้ ังมองไม่เห็นตวั พ่ีใหญ่รีบไปยืนกวกั มือเรียกใหว้ ่ิงมาโดยไว กอ่ นท่ีคณุ ตาํ รวจหญิงเธอจะมาประชิดเรา คณุ ปากบั คณุ สดุ มวั แตเ่ ดินคยุ กนั ดงั นน้ั กวา่ จะรูเ้ รื่องแลว้ ว่ิง กลบั มาท่ีรถก็เลน่ เอาหนเู ลก็ กบั พี่ใหญ่ลนุ้ กนั ตวั โกง่ และแลว้ เรากพ็ าพ่ีดที้ ะยานออกจากลานจอดอย่าง รวดเรว็ เฮอ้ ....ในท่ีสดุ กร็ อดปากกาของคณุ ตาํ รวจท่ีจะเขียนใบส่งั ไดส้ าํ เรจ็ สถานการณเ์ รา้ ใจแบบนีข้ อ อย่าไดเ้ จออกี เลย มนั ตื่นเตน้ เกินไป วนั ดีๆ ของพวกเราใน Regenburg

รา้ นรวงตา่ งๆ ในเมือง จ าก เ รเ ก น ส์บ วร์ก จุด ห มาย ถัด ไ ป ขอ ง เ ร าเ ป็ น เ มื อ ง มร ด ก โ ลก อี ก ห นึ่ ง เ มื อง คื อบัม แบ ร์ก (Bamberg) นอ้ งจีใหเ้ ราใชเ้ สน้ ทางออโตบาหน์ สาย A93 วงิ่ ไปประมาณ 5 กิโลเมตรก็ใหเ้ ลีย้ วออกทาง แยกขวาไปทางสาย A3 จากนน้ั กว็ งิ่ ไปจนกระท่งั เจอทางแยกใหไ้ ปทางสาย A73 ซึ่งจะมีป้ายบอกทาง เพ่ือไปสบู่ มั แบรก์ เมอ่ื เขา้ เขตเมืองใหเ้ ลยี้ วไปทางถนนสาย B22 ก็จะพาเราเขา้ สตู่ วั เมอื ง บัมแบรก์ ตอ้ นรบั เราดว้ ยบรรยากาศชุ่มฉ่าํ ฝนตกพราํ ๆ พอให้ไดเ้ ปียกๆ ชืน้ ๆ เมื่อคร้งั วาง แผนการเดนิ ทางหนเู ลก็ ตง้ั ใจวา่ เราจะใชบ้ มั แบรก์ เป็นจุดหมายของวนั นี้ เพราะคาํ นวณจากระยะทาง แลว้ ท่ีน่ีน่าจะเหมาะท่ีจะหยดุ พกั และใชเ้ วลาชมเมืองสกั คืนหนึ่งกบั ครง่ึ วนั พรุง่ นี้ จากนนั้ จงึ คอ่ ยเดินทาง ตอ่ แตห่ ลังจากพยายามหาที่พักที่น่าจะเหมาะกับเราแลว้ กลบั หาไม่ไดเ้ อาเสียเลย ทาํ ให้แผนการ เดินทางตอ้ งเปลี่ยนเป็นการมาแวะเที่ยวสกั สองสามช่วั โมงแทน ซึ่งเป็นเร่ืองน่าเสียดายอย่เู หมือนกนั พวกเราทาํ ไดแ้ คเ่ พียงไปจอดรถริมถนนแห่งหน่ึงท่ีพอจะใหจ้ อดได้ และใชเ้ วลาเท่าที่พอมเี ดินสาํ รวจเขต เมืองเกา่ กนั แคพ่ อหอมปากหอมคอ บมั แบรก์ (Bamberg) ถกู กลา่ วถึงเป็นครง้ั แรกในปี ค.ศ.902 ตวั เมืองอยใู่ กลก้ บั ปราสาทบาเบน เบิรช์ (Babenberch) ซึ่งภายหลงั แผลงมาเป็นช่ือของตระกูลบาเบนแบรก์ (babenberg) เม่ือสิน้ สดุ ตระกูลนี้ บัมแบรก์ ไดต้ กไปเป็นของตระกูลแซกซอน (saxon) นักบวชเบเนดิคไดใ้ ชบ้ ัมแบรก์ เป็น ศนู ยก์ ลางการเผยแพร่ศาสนา ทาํ ใหบ้ ัมแบรก์ จดั ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสงั ฆมณฑล มีการก่อสรา้ งมหา วิหารบัมแบรก์ ขึน้ เม่ือปี ค.ศ.1012 จนกระท่ังภายหลังสมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกท่ี 8 ไดม้ ีการ

ยกระดบั ใหบ้ มั แบรก์ เป็นสงั ฆมณฑลท่ีขนึ้ ตรงตอ่ สงั ฆมณฑลภายใตก้ ารปกครองของจกั รวรรดิโรมนั อนั ศกั ดิ์สิทธิ์ปกครองโดยสมเด็จพระสงั ฆราช ต่อมาภายหลงั เหตกุ ารณป์ ฏิรูปศาสนาบัมแบรก์ จึงไดล้ ด ระดบั ความสาํ คญั ลง และเขา้ มารวมอย่ใู นรฐั บาวาเรียในปี ค.ศ.1802 ซ่ึงถือเป็นเขตบาวาเรียตอนบน หรอื เป็นสว่ นเขตปกครองที่เรียกวา่ ฟรงั เคน (Franken) หรือฟรงั โคเนีย (Franconia) จึงไมค่ อ่ ยมีความ เป็นบาวาเรียเท่าไรนกั ตวั เมืองตง้ั อยู่บนฝ่ังแม่นา้ํ เรกนิทซ์ (Regnitz) ไมไ่ กลจากจดุ ที่บรรจบกบั แมน่ า้ํ ไมน์ (Main) บมั แบรก์ เป็นหน่งึ ในไมก่ ี่เมืองของเยอรมนีท่ีไมไ่ ดถ้ ูกทาํ ลายโดยการทิง้ ระเบิดในสงคราม โลกครง้ั ที่ 2 ตวั เมอื งจึงยงั คงความสมบรู ณอ์ ยมู่ าก ดงั นน้ั ในปี ค.ศ.1993 จึงไดร้ บั การขึน้ ทะเบียนเป็น มรดกโลกจากองคก์ ารยเู นสโก เน่ืองจากสามารถถา่ ยทอดมรดกทางวฒั นธรรมในยุคกลางของเยอรมนี ไดเ้ ป็นอย่างดี ทุกวนั นีบ้ มั แบรก์ มีชื่อเสียงในฐานะท่ีเป็น “A beer drinker’s Eden” น่นั เป็นเพราะบมั แบรก์ เป็นที่รูจ้ กั กนั ดีในเรอ่ื งของเบียรร์ มควนั (Rauchbier) และมโี รงเบียรถ์ ึง 9 แห่ง ทงั้ ๆ ท่ีบมั แบรก์ เป็น เพียงเมืองเลก็ ๆ ท่ีมีประชากรแค่ 70,000 กว่าคนเท่านั้น และเคยมีการบันทึกสถิติไวเ้ ลยว่า เฉล่ียแลว้ คนบมั แบรก์ ดม่ื เบียรถ์ งึ ปีละ 190 ลติ ร บมั แบรก์ มีลกั ษณะคลา้ ยๆ กรุงโรมของอติ าลี “Franconian Rome” เน่ืองจากเป็นเมืองที่มีเนิน เขาถงึ เจด็ ลกู จนไดร้ บั ฉายาวา่ “Seven Hills City” แตช่ าวบมั แบรก์ ไมค่ อ่ ยชอบที่มาเรียกเมืองเขาเช่นนี้ จึงเกิดคาํ พดู แบบลอ้ เลียนขึน้ ว่า จริงๆ แลว้ ตอ้ งเรียกกรุงโรมของอิตาลีว่า “Italian Bamberg” เสีย มากกวา่ และในขณะเดยี วกนั ก็ยงั ไดร้ บั ฉายาอยา่ งไมเ่ ป็นทางการอีกวา่ เป็น “Little Venice” เพราะจะมี บา้ นชาวประมงตง้ั รกรากอย่บู รเิ วณริมแมน่ า้ํ เรกนิทซ์ บา้ นของชาวประมงพวกนีใ้ ชก้ ารก่อสรา้ งแบบก่ึง ไมซ้ ุง (half timber) ซ่ึงเป็นบา้ นแบบเกา่ ท่ีเขาพยายามอนรุ กั ษไ์ ว้ บางหลงั มอี ายรุ าวๆ 400 ปีเลยทีเดียว พวกเราไมม่ ีขอ้ มลู เกี่ยวกบั บมั แบรก์ มากนกั เพราะเป็นเพียงเมอื งบนทางผา่ น แตเ่ น่ืองจากมีคาํ วา่ “มรดกโลก” จึงทาํ ใหเ้ รายงั อยากท่ีจะแวะสมั ผสั กล่ินอายกนั สกั เล็กนอ้ ย เราพากันเดินลดั เลาะตาม ตรอกซอกซอยเลก็ ๆ ไปเร่ือยๆ ทา่ มกลางสายฝนที่พรมลงมาใหไ้ ดพ้ อราํ คาญ แตด่ ๆู แลว้ ชาวเมืองคงจะ ชินกบั บรรยากาศแบบนีเ้ ห็นเดนิ กนั เป็นปกติ ไมไ่ ดใ้ สใ่ จกบั ฝนและความเฉอะแฉะกนั เท่าไรนกั เราเดิน ไปจนถึงบริเวณท่ีเขาเรียกว่า กรนึ เออรม์ ารค์ ท์ (Grüner Markt) หรือในภาษาองั กฤษว่า กรีน มารเ์ ก็ต (Green Market) ลานนีค้ อ่ นขา้ งกวา้ งขวางเป็นศนู ยก์ ลางของพวกชนชน้ั กลางและพ่อคา้ วาณิชยต์ า่ งๆ มาตงั้ รกรากกันโดยรอบ ตลอดเสน้ ทางมีรา้ นคา้ มาวางแผงขายของเป็นระยะๆ สว่ นใหญ่เป็นพวกผกั ผลไม้ และดอกไมส้ วยๆ สาํ หรบั ตกแต่งบา้ น แผงขายอาหารการกินแบบง่ายๆ พวกไสก้ รอก ขนมปัง เบียร์ แลว้ ช่วงนีใ้ กลก้ บั วนั ฮาโลวนี ดว้ ยเลยทาํ ใหม้ ผี ลฟักทองขนาดตา่ งๆ วางจาํ หนา่ ยดว้ ย อาจจดั ไดว้ า่ บรเิ วณนีเ้ ป็นบริเวณท่ีดมู ีชีวิตชีวามากแห่งหนึ่ง เพราะจะมีผคู้ นเดินไปมา จับจ่ายซือ้ ของ นัดพบปะกัน เดนิ พดู คยุ กนั โดยเฉพาะบริเวณหนา้ รูปป้ันเทพเนปจนู ที่เป็นเสมือนจดุ นดั พบ จึงทาํ ใหม้ ีผคู้ นมาน่ังกนั บรเิ วณนีม้ ากเป็นพิเศษ ใกลๆ้ กนั นีม้ โี บสถเ์ ก่าแกแ่ หง่ หนงึ่ คอื โบสถซ์ งั คม์ ารต์ ิน (St.Martin) สรา้ งตง้ั แต่ ปี ค.ศ.1693 เป็นโบสถส์ ไตลบ์ ารอคท่ีดเู ครง่ ขรมึ ดา้ นหนา้ โบสถต์ กแตง่ ดว้ ยรูปปนู ป้ันฝังไวต้ ามผนังของ

ตวั ตกึ แตค่ ราวนีเ้ ราไมไ่ ดแ้ วะเขา้ ไปชม เพราะมีเวลากบั ท่ีน่ีคอ่ นขา้ งนอ้ ย คงตอ้ งเอาเวลาไปเดินตรวจ ตราบรเิ วณรอบๆ แทน ตลาดนดั กลางเมือง พวกเราพากนั เดนิ ลดั ไปยงั บรเิ วณริมแมน่ า้ํ เรกนิทซต์ รงสะพานอนุ เทอร์ (Untere Brücke) หรือ สะพานล่าง (Lower Bridge) ตรงนี้มีประติมากรรมหน้าคนท่ีแหว่งหายไปเสีย้ วหน่ึง จะว่าไป ประตมิ ากรรมนีเ้ ป็นสง่ิ ที่ทาํ ใหห้ นเู ลก็ รูส้ กึ วา่ อยากมาบมั แบรก์ เพราะตอนหาขอ้ มลู ของเมืองนี้ เปิดไป เจอภาพนีแ้ ลว้ นึกอยากจะมาเห็นของจรงิ กบั ตา ดแู ลว้ ก็เหมือนฝันที่วนั นีไ้ ดม้ ายืนอยู่ตรงจดุ นี้ เบือ้ งล่าง เป็นแมน่ า้ํ เรกนิทซ์ เป็นแม่นา้ํ ท่ีรบั นา้ํ มาจากคลองลดุ วิก-โดเนา-ไมน์ นา้ํ ในแมน่ า้ํ ไหลคอ่ นขา้ งแรง คง เป็นเพราะช่วงนีเ้ ป็นช่วงมีมรสมุ เขา้ กระมงั ฟ้าเองก็ยังคงฉ่าํ พรอ้ มจะโปรยปรายฝนมาตลอด ริมนา้ํ มี บา้ นเก่าๆ ทอดตวั เรียงรายอยู่ มีท่าเทียบเรือสาํ หรบั การขนถ่ายสินคา้ เขตเมืองเก่านี้จะมีบ้านเก่า คอ่ นขา้ งเยอะ ผปู้ กครองและชาวบา้ นพยายามช่วยกนั รกั ษาเอาไว้ ไม่ทุบทิง้ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร มากมาย บางหลงั อายเุ กือบ 400 ปี และแมว้ า่ การมองดว้ ยสายตาบา้ นทกุ หลงั ดจู ะเหมือนๆ กนั แตห่ าก พิจารณาโดยละเอยี ดแลว้ แตล่ ะหลงั ก็จะมีอายทุ ี่แตกตา่ ง เขาบอกวา่ ใหด้ ทู ี่ลายของโครงสรา้ ง เพราะแต่ ละสมยั ลายของตวั บา้ นจะไมเ่ หมือนกนั เช่น ถา้ ตวั บา้ นเป็นลายกากบาทจะสรา้ งในสมยั บารอค หรือ ประมาณกลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 หรือบางบา้ นท่ีใชก้ ารนาํ แผน่ หินบางๆ มาแปะท่ีตวั บา้ น จะเป็นบา้ น ที่พบเห็นไดม้ ากแถวตะเขบ็ ชายแดนเยอรมนีตะวนั ออกเดมิ

ประติมากรรมบรเิ วณ สะพานอนุ เทอร์ (Untere Brücke) เขาวา่ กนั วา่ การเดนิ ทางภายในบมั แบรก์ ดว้ ยรถยนตค์ อ่ นขา้ งลาํ บาก เป็นเพราะบมั แบรก์ ตงั้ อยู่ บนพืน้ ที่ที่เป็นเนินเขาถงึ 7 เนิน บางถนนใชก้ ารว่ิงรถแบบวนั เวย์ บริเวณใจกลางเมืองจะหา้ มไมใ่ หร้ ถ เขา้ ไป เพราะจะทาํ ใหเ้ กิดปัญหาดา้ นการจราจรพอสมควร อนั เนื่องมาจากถนนหนทางที่คอ่ นขา้ งแคบ เลก็ และเป็นเนิน และกเ็ ชน่ เดียวกนั กบั ตวั เมืองทงั้ หลายที่หากคิดจะจอดรถกจ็ ะเป็นเร่ืองยากพอสมควร ที่จอดรถหาไดค้ อ่ นขา้ งยาก และสว่ นใหญ่อยไู่ กลออกไปตอ้ งใชก้ ารเดินเทา้ เขา้ มายงั ใจกลางเมือง การ คมนาคมขนสง่ สว่ นใหญ่จงึ พึ่งการเดินทางโดยเรือเป็นหลกั และไดร้ บั ความนิยมคอ่ นขา้ งมาก นอกนนั้ ก็ จะใชร้ ะบบขนสง่ สาธารณะซ่ึงจะไดร้ บั ความสะดวกมากกว่า เราพากนั เดินไปตามสะพานหินริมนา้ํ สะพานนีเ้ ป็นหนึ่งในสองสะพานท่ีเป็นทางคนเดิน บนสะพานมีรูปปั้นคลา้ ยๆ กับที่เราเคยไปเดินบน สะพานชารล์ สท์ ี่กรุงปรากดว้ ย แตก่ ็มเี พียงรูปปั้นเดียวที่ก็ไมร่ ูท้ ี่มาท่ีไปวา่ เป็นรูปป้ันใคร ขณะเดียวกันท่ี ตวั อาคารศาลาวา่ การเมืองเก่า (Alte Rathaus) ที่อยู่ชิดติดสะพานก็มีการภาพเขียนสีศิลปะบารอคไว้ บนผนังแบบที่เห็นในเมืองทางใตเ้ ม่ือหลายวันก่อน สีสนั จัดจา้ นเสียเหลือเกิน บางภาพมีมขุ ขาํ ๆ สอดแทรกไว้ อย่างรูปวาดกามเทพดา้ นบนกลบั มีปนู ป้ันรูปขามาโผล่ท่ีดา้ นลา่ ง ศิลปินมกั มีอารมณ์ สนุ ทรียอ์ ย่างนีเ้ สมอ ร่องรอยที่เห็นโดยท่วั ไปทาํ ใหเ้ ห็นถึงความเป็นมาอนั ยาวนานของบัมแบรก์ ไดด้ ี พอควร แมน่ า้ํ เรกนิทซท์ ่ามกลางฝนพราํ

สะพานอนุ เทอร์ หนึ่งในสองสะพานคนเดิน รูปป้ันหนึง่ เดียวบนสะพาน สะพานโอเบอร์ (Obere brücke) อาคารศาลาวา่ การเมอื งเกา่ (Alte Rathaus) เราเดนิ ไปตามถนนเสน้ เลก็ ๆ ที่ปดู ว้ ยหินดนู ่าจะเรยี กวา่ ตรอก ซอกซอยเสียมากกวา่ รา้ นรวงริม ทางส่วนใหญ่เป็นรา้ นอาหาร แอบมองเขา้ ไปภายในเขาจัดบรรยากาศรา้ นกนั ไวไ้ ดน้ ่าน่งั น่ากินเชียว ขณะเดยี วกนั กม็ ีโต๊ะดา้ นนอกไวส้ าํ หรบั พวกชอบน่งั ในบรรยากาศกลางแจง้ ดว้ ย นอกนนั้ สว่ นใหญ่เป็น สนิ คา้ อปุ โภค ของตกแตง่ บา้ น รวมทงั้ รา้ นขายของที่ระลกึ ต่างๆ ระหวา่ งการเดินมองเห็นยอดแหลมๆ แทงเสียดฟา้ อยไู่ กลๆ ตรงนนั้ เป็นโบสถซ์ งั ทไ์ มเคิล (St.Michael)

เราพากนั เดนิ ไปยงั สะพานอีกอนั หนึ่งซึ่งเป็นทางเขา้ สศู่ าลาวา่ การเมืองเก่าของบมั แบรก์ หรือ สะพานโอเบอร์ (Obere brücke) หรืออปั เปอรบ์ ริดจ์ (Upper Bridge) ที่ตง้ั อย่ตู รงกลางของแม่นา้ํ เรก นิทซ์ ดา้ นบนทาํ เป็นทรงโคง้ ตกแตง่ จ่วั แบบบารอค บนยอดจ่วั มนี าฬิกาติดตง้ั ไว้ ตวั อาคารสรา้ งบนคาน ไมข้ นาดใหญ่ท่ีมรี อ่ งนา้ํ ไหลผา่ น อย่ตู รงกลางระหวา่ งตล่ิงฝ่ังตะวนั ตกเฉียงใตซ้ ่ึงเป็นเขตวดั ปกครองโดย บิชอป (Bishop) และดา้ นตะวนั ออกเฉียงเหนือซ่งึ เป็นเขตเมอื งท่ีพาํ นกั ของพวกพอ่ คา้ วาณิชยแ์ ละชนชน้ั กลางอาชีพตา่ งๆ เน่ืองจากสมยั ก่อนยงั มีส่วนของบิชอปท่ีปกครองเมืองอยู่ ตามตาํ นานกล่าวไวว้ ่าบิช อปผปู้ กครองบมั แบรก์ ไมต่ อ้ งการแบ่งพืน้ ท่ีแมแ้ ตเ่ พียงหนง่ึ ตารางมิลลิเมตรใหก้ บั ประชาชน ชาวบา้ นจึง ช่วยกนั ปักเสาเขม็ ลงกลางแมน่ า้ํ เพ่ือสรา้ งศาลาวา่ การเมืองของเขา ส่ิงนีจ้ ึงเป็นสญั ลกั ษณท์ ่ีแสดงให้ เหน็ ถึงพลงั ประชาชนท่ีตอ้ งการใหไ้ ดม้ าซง่ึ อาํ นาจ ทางเดนิ สสู่ ะพานโอเบอร์ (Obere brücke) สงั เกตดๆี จะเห็นสว่ นหน่ึงท่ีสรา้ งแบบกง่ึ ไม้ ซงุ ย่ืนลอยๆ ไวเ้ หนือแมน่ า้ํ ตวั อาคารเก่านีถ้ ือเป็นจดุ ท่ีนกั ถ่ายภาพที่มาเยือนบมั แบรก์ มกั จะมาเก็บภาพตรงนี้ เพราะส่วน หนึ่งของอาคารจะเช่ือมระหว่างสะพานสองสะพานคือ อปั เปอรบ์ ริดจ์ (Upper Bridge) และโลเวอร์ บริดจ์ (Lower bridge) ในขณะเดียวกนั กจ็ ะมีสว่ นหน่ึงท่ีสรา้ งแบบก่ึงไมซ้ ุงย่ืนลอยๆ ไวเ้ หนือแม่นา้ํ เรก

นิทซท์ ี่ไหลผา่ น ท่ีน่ีใชเ้ วลากอ่ สรา้ งประมาณ 6 ปี คอื ระหว่าง ค.ศ.1461- 1467 หรือประมาณ 500 กวา่ ปีมาแลว้ จากนนั้ กม็ ีการปรบั ปรุงในชว่ งปี ค.ศ.1744 – 1756 ทาํ ใหน้ อกจากจะเป็นศิลปะแบบบารอคอ ย่างเดยี วกไ็ ดม้ ีการเตมิ ศิลปะแบบรอคโคโค เขา้ ไปดว้ ย มินา่ เลา่ ถึงไดส้ วยสดเสยี ขนาดนนั้ เก็บภาพบรเิ วณริมแมน่ า้ํ และศาลาวา่ การเมืองเก่ากนั จนหนาํ ใจแลว้ กพ็ ากันเดินขา้ มสะพานนี้ กลบั เขา้ มายงั เขตเมืองอีกครงั้ เสน้ ทางนีพ้ าเราไปยงั ตลาดผลไม้ (Obstmarkt) จากน้ันก็จะทะลไุ ปยัง พืน้ ท่ีบริเวณจัตุรัสแมกซิมิเลียนพลาทซ์ (Maximilianplatz) หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า แมกซพ์ ลาทซ์ (Maxplatz) ตง้ั ชื่อตามชื่อกษัตริยแ์ มกซิมิเลียนที่ 1 ของบาวาเรีย ตรงกลางลานมีรูปป้ันบรอนซข์ องพระ เจา้ แมกซิมเิ ลยี นในท่ายกมอื ใหพ้ รท่ีลอ้ มไวด้ ว้ ยรวั้ เหลก็ ฐานของรูปปั้นมรี ูปป้ันอศั วินยืนพิทกั ษ์อย่ทู ัง้ 4 ดา้ น ในวนั นีท้ ่ีลานเตม็ ไปดว้ ยตลาดนัดท่ีมาเปิดขายสินคา้ สารพัดชนิด เช่น กระเป๋ าจกั สาน ผา้ ม่าน ปลอกหมอน ของเลน่ งานฝีมือตา่ งๆ รวมทงั้ ของกินจาํ พวกดว่ นๆ ทง้ั ไสก้ รอก ฮอทดอก ขา้ วโพด กาแฟ รวมทงั้ ผกั ผลไม้ และผลฟักทองขนาดตา่ งๆ เพ่ือรอรบั วนั ฮาโลวีนที่จะมาถึง พวกเราเลยถือโอกาสเดิน ชมสนิ คา้ เผ่ือไดอ้ ะไรตดิ ไมต้ ดิ มือเป็นของขวญั ของฝากกนั บา้ ง ลานนีน้ อกจากจะเป็นสถานท่ีสาํ หรบั มา วางขายสินคา้ ตา่ งๆ ใหช้ าวเมอื งไดม้ าจบั จ่ายซือ้ ของแลว้ ยงั เป็นพืน้ ที่สาํ หรบั การจดั กิจกรรมต่างๆ ของ เมอื งดว้ ย

ตลาดนดั ที่เตม็ ไปดว้ ยสนิ คา้ มากมายบริเวณจตั รุ สั แมกซิมเิ ลียนพลาทซ์ (Maximilianplatz) เดินเลน่ ไปมาฝนเรม่ิ หนาเมด็ ขนึ้ เรื่อยๆ ไมย่ อมเป็นใจใหเ้ ราเดนิ เท่ียวบมั แบรก์ กนั ตอ่ เอาเลย ทัง้ ที่ตงั้ ใจวา่ จะเดนิ ไปยงั มหาวิหารบมั แบรก์ หรอื ท่ีรูจ้ กั กันในชื่อ ไกเซอรโ์ ดม (Kaiserdom) หรือมหาวิหาร จกั รพรรดิ์ (Emperor Cathedral) ท่ีก่อสรา้ งตงั้ แต่ปี ค.ศ.1012 และมาแลว้ เสรจ็ เมื่อปี ค.ศ.1237 ดว้ ย ศิลปะแบบโรมาเนสกแ์ ละโกธิค ภายในเป็นท่ีตงั้ ของอนุสรณไ์ วอ้ าลัยต่อพระจักรพรรดิ์ไฮนร์ ิชที่ 2 (Emperor Heirich II) แห่งจักรวรรดิ์โรมันอันศักดิ์ และพระอคั รมเหสี และบริเวณโดมพลาทซ์ (Domplatz) ใกลๆ้ กบั มหาวิหารซ่งึ เป็นท่ีรวมของอาคารเกา่ แกท่ ่ีสรา้ งดว้ ยหินทราย แตแ่ มว้ า่ เลื่องลือวา่ งดงามมากเพียงใด คงจะไปตอ่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ คงตอ้ งใชเ้ วลาที่เหลอื ในการเดินทางตอ่ ไปยังที่พักของคืนนีท้ ่ี เนิรน์ แบรก์ (Nürnberg) แทนเพราะฝนเรม่ิ หนาเมด็ แบบนี้ ดทู ่าเราคงตอ้ งใชเ้ วลาในการเดนิ ทางมากขนึ้ แลว้ เพราะแมว้ า่ จะมีออโตบ้ าหน์ แตค่ งไมก่ ลา้ ทาํ ความเรว็ ทา่ มกลางฝนพราํ อย่างนีเ้ ป็นแน่ คิดไดด้ งั นั้น หนเู ลก็ จึงเสนอใหพ้ วกเราออกเดนิ ทางกนั ตอ่ จะดกี วา่ เพราะ ณ เวลานี้ หนูเล็กจะตอ้ งเป็นผนู้ าํ พาพวก เราทกุ คนใหไ้ ปถึงจุดหมายโดยสวสั ดิภาพ การคาํ นึงถึงการปลอดภยั ในการขบั รถบนถนนที่ไม่จาํ กัด ความเรว็ บนออโตบ้ าหน์ ของเยอรมนีน่าจะเป็นเรอ่ื งดี และจะทาํ ใหพ้ วกเราสามารถท่องเที่ยวเยอรมนีได้ ตามแผนจนวนั สดุ ทา้ ยที่จะลาจาก จากบมั แบรก์ ผชู้ ว่ ยคนสาํ คญั อย่างนอ้ งจีไดเ้ ลือกเสน้ ทางใหเ้ ราไปใชอ้ อโตบ้ าหน์ สาย A73 ดีว่า ระยะทางจากบมั แบรก์ ไปสตู่ วั เมืองเนิรน์ แบรก์ ไมไ่ กลนกั เพียงแค่ 60 กวา่ กิโลเมตรเท่านั้น หนูเลก็ จึงไม่

ตอ้ งทาํ ความเรว็ มากนกั เพราะในความเรว็ ปกติแค่เพียง 50 นาทีก็น่าจะถึงจุดหมาย หลงั จากวิ่งผา่ น เมืองเลก็ ๆ ไป 4 – 5 เมือง ก็เขา้ เขตของเนิรน์ แบรก์ แลว้ แตก่ เ็ พราะยา่ งเขา้ ฤดหู นาวและฟ้าฉ่าํ ฝน จึงทาํ ใหฟ้ ้าวนั นีค้ อ่ นขา้ งมดื เรว็ ดงั นน้ั เราจงึ จาํ เป็นตอ้ งเร่งหาท่ีพกั ที่จองไวใ้ หเ้ ร็วท่ีสดุ ก่อนท่ีฟ้าจะมืดค่าํ ไป กวา่ นีแ้ ลว้ จะหาไดย้ ากเย็น การเดินทางสู่ Nurnberg ทา่ มกลางฝนพราํ ตลอดทาง คืนนีห้ นูเล็กเลือกที่พกั สไตลฮ์ ิปๆ อย่าง Lette’m Sleep Hostel เพราะตอนที่คน้ หาท่ีพกั ของ เมอื งนี้ Lette’m Sleep มที าํ เลท่ีตงั้ ไมไ่ กลจากเขตเมืองเกา่ ซึ่งกน็ ่าจะดสี าํ หรบั เราท่ีจะเดินไปเท่ียวเลน่ ได้ อกี ทงั้ หอ้ งหบั ที่เขาโชวไ์ วค้ อ่ นขา้ งสะดดุ ตา เขาบอกวา่ มีหอ้ งแบบส่คี น และมีครวั ในตวั ดว้ ย เขา้ ทางพวก เราซึ่งนิยมการทาํ กบั ขา้ วกินกนั พอดิบพอดี ที่น่ีจึงเป็นท่ีพกั ที่นา่ สนใจท่ีสดุ สาํ หรบั คณะของเรา หนเู ลก็ จึง จดั การจองผา่ นทางอนิ เตอรเ์ นต็ ไว้ และเอาลายแทงท่ีเขาส่งมาพรอ้ มกบั การยืนยนั การจองมาแกะรอย จนมาถงึ จนได้ การเดินทางครงั้ นีไ้ มเ่ หงาเพราะสายฝนยังคงพรา่ งพรมเดินทางมาเป็นเพ่ือนตลอดทาง เมือ่ เรามาถงึ ท่ีพกั จงึ มาในลกั ษณะฉ่าํ เปียก แฉะ เอาเลยทีเดียว Lette’m Sleep ตงั้ อยู่ในเขตเมืองเก่า ติดริมกาํ แพงเมืองเลยทีเดียว ใหบ้ รรยากาศครึม้ ๆ ดี เหมือนกนั เมื่อเขา้ ไปตดิ ตอ่ ดา้ นในปรากฏวา่ พ่อหนมุ่ สเตฟานคนท่ีเขียนเมลต์ ิดต่อกบั หนูเลก็ เป็นหนุ่ม วยั กลางคนแตง่ ตวั แบบฮิปๆ บคุ ลกิ เป็นกนั เอง ดงู ่ายๆ สบายๆ เมื่อนาํ เอกสารยืนยันการจองพ่อหน่มุ ก็ ถึงบางออ้ แลว้ ก็แนะนาํ ทางใหห้ นเู ลก็ ไปนาํ รถเขา้ จอดท่ีดา้ นหลงั อาคารท่ีเธอเองเคยบอกเราไวว้ า่ เป็นท่ี จอดของโฮสเทลซง่ึ มีอย่เู พียง 6 ท่ี เมื่อจดั การจอดเขา้ ท่ีเรียบรอ้ ยก็แจง้ ใหเ้ ราทราบวา่ หอ้ งท่ีเธอจดั ไวใ้ ห้ อยชู่ น้ั บน ซง่ึ เราจองหอ้ งแบบดอรม์ ทิ อรแ่ี บบ 4 เตียงไว้ เม่ือเปิดเขา้ ไปเป็นอนั ตอ้ งตะลึง เพราะผิดคาด กบั สิ่งท่ีอย่ตู รงหนา้ ก็ภาพท่ีปรากฏตรงหนา้ เป็นหอ้ งขนาดใหญ่พอควร มีเตียงสองชัน้ กบั เกา้ อีท้ ี่ใชเ้ ป็น เตียงได้ หอ้ งที่ตกแตง่ ไวเ้ ก๋ไกส๋ ดุ บรรยาย จดั ไดว้ า่ เป็นหอ้ งพกั ที่มีสไตลท์ ีเดียว โคมไฟกลางหอ้ งสีสดใส หอ้ ยระยา้ เดนิ ไปดา้ นในมีครวั เลก็ ๆ ท่ีมีอปุ กรณใ์ หค้ รบครนั พ่อครวั หวั ป่ ากข์ องเราเขา้ ไปสาํ รวจตรวจ ตราแลว้ คอ่ นขา้ งพอใจกบั ครวั ที่นี่ จะมีเสียอย่อู ย่างก็คงเป็นหอ้ งนา้ํ ที่แมว้ ่ามีขนาดใหญ่ แต่ก็ค่อนขา้ ง เก่า มีดีวา่ หอ้ งสว้ มแยกไวต้ า่ งหาก เวลาจะใชห้ อ้ งนา้ํ หอ้ งสว้ มจะไดไ้ มต่ อ้ งรอกนั

Lette’m Sleep ดอรม์ ทิ อรี่ของที่น่ีถือเป็นการแหกกฎจากทีเ่ คยเห็นแบบหนา้ มือเป็นหลงั มอื ใครมีโอกาสมาที่ เนิรน์ แบรก์ อยา่ รีรอที่จะมาใชบ้ รกิ ารก็แลว้ กนั จดั ไดว้ า่ เป็นที่พกั อกี แห่งที่ถกู ใจสดุ ๆ ราคากไ็ มแ่ พง ถือ เป็นตวั เลอื กท่ีวเิ ศษสาํ หรบั นกั เดนิ ทางแนวประหยดั แบบพวกเราเสียจรงิ ๆ ออกไปทกั ทายกบั Nurnberg กนั พอหอมปากหอมคอ

ยามเยน็ กบั ตลาดนดั ท่เี นิรน์ แบรก์ หลงั จากที่ออกไปสาํ รวจเมืองยามคา่ํ กนั พอหอมปากหอมคอ เราก็กลบั เขา้ ท่ีพกั เพื่อมาจดั การ กบั ตวั เองและปากทอ้ ง จากนนั้ กเ็ ร่ิมแยกยา้ ยไปพกั ผอ่ น เบือ้ งหลงั ความอรอ่ ย เชฟจดั เตม็ ทกุ มือ้ ระหวา่ งรออร่อยฝีมอื เชฟ แมก้ ารเดนิ ทางจะเหนด็ เหน่ือย แตส่ หี นา้ ของพวกเราคงบง่ บอกถงึ ความสขุ ท่ีไดร้ บั เป็นอยา่ งดี

วนั นีจ้ ะวา่ เหนด็ เหน่ือยกค็ งไม่ สาํ หรบั หนเู ลก็ แคร่ ูส้ กึ ว่ามนั เต็มอ่ิมจนแทบลน้ ก็หลายสิ่งหลาย อย่างที่ไดพ้ บเห็นมาในวันนีล้ ว้ นเป็นมรดกจากอดีตท่ีคนยุคก่อนไดส้ รรคส์ รา้ งไว้ ทุกสิ่งลว้ นมีคา่ และ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความพิเศษของมนษุ ยท์ ี่มีเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ผลงานที่สรา้ งสรรคไ์ วบ้ นโลกแห่งนี้ เป็น หลกั ฐานยืนยนั ไดเ้ ป็นอย่างดีวา่ มนษุ ยเ์ ป็นสตั วป์ ระเสริฐเหนือกวา่ สตั วอ์ น่ื น่นั เพราะมนษุ ยม์ คี วามคดิ มี จินตนาการ และไมเ่ กบ็ จินตนาการนน้ั ไวเ้ ฉยๆ มนษุ ยไ์ ดส้ รา้ งสิ่งปลกู สรา้ งตา่ งๆ ใหเ้ กิดขึน้ เป็นรูปธรรม สรา้ งจินตนาการนนั้ ใหส้ ามารถจบั ตอ้ งได้ และไดก้ ลายมาเป็นมรดกทางวฒั นธรรมอย่างท่ีหนเู ลก็ ไดไ้ ป เห็นมาตลอดวนั นี้ สาํ หรบั หนเู ลก็ แลว้ ไมว่ า่ สง่ิ ปลกู สรา้ งทงั้ หลายท่ีไดเ้ หน็ มาทง้ั หมดจะไดร้ บั การบนั ทึก หรือจดทะเบียนใหเ้ ป็นมรดกโลกหรือไม่ คงไมใ่ ชส่ งิ่ ที่หนเู ลก็ สนใจ เพราะอย่างไรกต็ าม สิง่ เหลา่ นีถ้ ือเป็น มรดกทางวัฒนธรรมจากอดีต จากบรรพบุรุษของมนุษย์ ทําให้ประจักษ์ชัดว่า ไม่มีอะไรเกิน ความสามารถของมนุษยอ์ ย่างเราๆ หากเรามีความพยายามและร่วมมือรว่ มแรงกัน นีต้ ่างหากที่คือ มรดกที่คนรุน่ กอ่ นไดม้ อบใหก้ บั คนรุน่ หลงั และนี่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เรยี กวา่ “มรดกโลก” อย่างแทจ้ ริง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook