Germany : Love at first drive Chapter 5 : Warming Landsberg am Lech หนูเล็ก
เล็กๆ สงบ และอบอ่นุ อาจเป็ นเพราะความเหน่ือยจากความเร่งรีบในการเดินทางของพวกเรา ทาํ ให้ทุกคน หลับรวดเดยี วถงึ เช้าเวน้ แต่คณุ ปาท่ีเจอฤทธิ์ของท่ีนอนท่ีจมไปหน่อยเลยนอนปวดหลงั ทงั้ คืน แมว้ ่า ปกติไมเ่ คยมอี ะไรเป็นอปุ สรรคในการนอนของเธอเลย ตน่ื มาเลยบน่ อบุ เพราะทกุ ทีจะหลบั สนิทอย่างมี ความสขุ แตไ่ มม่ ใี ครสงสาร เพราะระหวา่ งทางเธอสามารถเก็บสะสมแตม้ ไปไดเ้ สมอ เพราะพอขนึ้ รถที ไรเธอจะหลบั แตพ่ อรถจอดเธอก็จะตื่นลงมาเดินเที่ยวไดอ้ ย่างสดช่ืนทกุ ที และวนั นีเ้ ธอก็ยังโชคดีที่ไม่ ตอ้ งตน่ื มาทาํ อาหารเชา้ ใหพ้ วกเราเพราะทางเกสทเ์ ฮาสไ์ ดค้ ิดรวมไวใ้ นราคาที่พกั แลว้ อาหารเชา้ วนั นีเ้ ป็นเมนทู ี่คนไทยอย่างพวกเราไมป่ ลมื้ เทา่ ไรนกั รวมทง้ั คณุ ปาซง่ึ ปกติจะทานง่าย เพราะมนั ออกจะเล่ียนๆ ไมค่ นุ้ เคย มอื้ เชา้ แบบเยอรมนั จะประกอบดว้ ยขนมปัง (Brötchen) กอ้ นกลมๆ มาให้คนละ 2 กอ้ น ขนมปังแบบเยอรมนั คือดา้ นนอกจะกรอบ ดา้ นในจะน่มุ วิธีกินคือใช้มีดผ่าตาม แนวนอนของตวั ขนมปัง แลว้ ทาเนยหรอื แยม โดยเชา้ นีเ้ ป็นขนมปังแบบที่เรียกว่า ไกเซอร์ โรล (Kaiser Roll) แตก่ ็มกั จะรวมเรียกวา่ Brötchen ขนมปังแบบนีไ้ ดร้ บั อิทธิพลมาจากประเทศออสเตรียเน่ืองจาก เคยเป็นประเทศเดียวกนั มาก่อน สว่ นเนือ้ สตั วจ์ ะมแี ฮม ซาลามี คนละ 2 แผ่น เนยสด ชีส แยม และชา กาแฟ ใหเ้ ลือกตามชอบ แตช่ าของเขาจะเป็นแบบชาผลไมเ้ สียเป็นสว่ นมากหรือไมก่ ช็ าเขยี ว ประเภทชา รอ้ น ชาใสน่ มแบบที่เราชอบๆ น่ะไมม่ ี แตถ่ า้ เตม็ รูปแบบจรงิ ๆ จะมไี ขต่ ม้ ซีเรยี ล มสู ลี ตบั บด อกี ดว้ ย ทุก คนทานกนั เต็มท่ี อิ่มแต่ไมอ่ ร่อย แมว้ า่ ขนมปังจะอรอ่ ยแบบกรอบนอกนุ่มในและอยู่ทอ้ ง แต่ก็คงทาน แบบนีบ้ อ่ ยๆ ไมไ่ หว ที่สาํ คญั ซาลามีมนั เคม็ เสียเหลือเกิน คณุ ปาท่ีปกติกินอยู่ง่ายยังไมน่ ิยมเลย น่ีคง เป็นอีกเหตผุ ลหนงึ่ ที่ทาํ ใหเ้ รายงั สมคั รใจจะเป็นคนไทยไปตลอดชีวิต เพราะถา้ ตอ้ งไปเป็นคนยโุ รปแลว้ ตอ้ งทานอาหารเชา้ แบบนีท้ กุ วนั ท่าจะอดตายเป็นแน่ อาหารเชา้ ฟรี ท่ไี มถ่ กู ปากคนไทยอยา่ งเราเท่าไร
พรอ้ มไปทาํ ความรูจ้ กั Landsberg am Lech กนั แลว้ หลงั จากเกบ็ ขา้ วของกันเรียบรอ้ ย เราเช็คเอาทอ์ อกจากท่ีพกั กันเลย เพราะตง้ั ใจว่าจะไปเดิน เท่ียวตวั เมืองลนั สแ์ บรก์ กนั ก่อนออกเดินทางอย่างจริงจงั เอารถไปจอดใกลๆ้ แลว้ เดินเท่ียวจะไดไ้ มต่ อ้ ง เรง่ รบี กลบั มาจดั การเร่ืองขา้ วของกบั ที่พกั กนั อีก ดงั นนั้ เม่ือหนเู ลก็ ขบั รถกลบั เขา้ ไปท่ีตวั เมืองอกี ครงั้ เรา จึงเอารถไปจอดท่ีที่จอดรถมีหลงั คาตรงถนนนิวเบิรก์ (Neue Berg Straße) ซึ่งจัดไดว้ า่ ไมไ่ กลจากกับ โฮพทพ์ ลาทซ์ (Hauptplatz) หรือจัตรุ สั กลางเมืองเลย เพราะเพียงแคเ่ ดินมดุ อโุ มงคใ์ นลานจอดขึน้ มาแลว้ เดินต่อมาอีกนิดเดียวก็ถึงแลว้ ระหว่างเดินในอโุ มงคย์ ังมีตโู้ ฆษณาเก๋ๆ ใหเ้ ราเดินชมดว้ ย ที่ เรียกวา่ ตโู้ ฆษณาเป็นเพราะไมใ่ ช่แคป่ ้ายโฆษณาสนิ คา้ แตเ่ ขาทาํ ตกู้ ระจกแลว้ เอาสินคา้ เขา้ มาใส่ไวใ้ ห้ แบบเหน็ จรงิ ดว้ ยเลย มองอะไรกนั จนเหลยี วหลงั ไมใ่ ช่อะไร..กต็ โู้ ฆษณาที่ทาํ ใหถ้ กู ใจนีเ่ อง
ดา่ นแรกท่ีเราเจอก่อนเขา้ เขตเมืองเก่าคือ ชมาลซท์ ูรม์ (Schmalzturm) ถือเป็นส่วนหน่ึงของ กาํ แพงเมืองที่เก่าแก่ที่สดุ เนื่องจากสรา้ งตงั้ แตค่ ริสตศตวรรษท่ี 13 แตก่ ็มกี ารปรบั ปรุงมาบา้ งในระหว่าง เวลาท่ีผา่ นมา เดมิ ใชเ้ ป็นหอคอยสาํ หรบั ผดู้ แู ลความปลอดภยั ของเมืองขึน้ ไประแวดระวงั ภยั แตเ่ ม่ือมี การปรบั ปรุงกาํ แพงเมอื งในภายหลงั กไ็ มไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนเ์ พื่อการนีอ้ ีก สว่ นของนาฬิกาและระฆงั น้นั มา เพ่ิมในภายหลงั ที่มกี ารปรบั ปรุง จดั ไดว้ า่ เป็นหอคอยท่ีสวยท่ีสดุ ชื่อของหอคอยมาจากชื่อของตลาดซึ่งมี การจาํ หนา่ ยนา้ํ มนั หมู ไม่รูเ้ กี่ยวกนั ตรงไหน และหากสงั เกตดีๆ บริเวณเหนือประตจู ะมีลกู กระสนุ ปืน ใหญ่ติดอยู่ 1 ลกู ซึ่งเขาเจตนาเอาเก็บไวเ้ ป็นเครื่องเตือนใจที่ครงั้ หนึ่งเมื่อปี ค.ศ.1796 โดนบุกโดย กองทพั ของนโปเลยี น บา้ นที่วาดลวดลายไวง้ ดงาม Schmalzturm เมื่อเราเดนิ ผา่ นออกมาจะพบกบั บริเวณโฮพทพ์ ลาสซ์ ซึ่งเป็นลานกวา้ ง ตรงกลางลานมีจุดเด่น คือ นา้ํ พุมาเรียน (Marianbrunnen) ซ่ึงเป็นรูปปั้นมาดอนน่าซึ่งสรา้ งโดยโจเซฟ สไตรเตอร์ (Joseph Streiter) ตงั้ แต่ปี ค.ศ.1783 มีฉากหลังเป็นศาลาว่าการเมือง(Rathaus) พอดิบพอดี ซึ่งศาลาว่า การเมืองตกแต่งอาคารแบบสตัคโค (Stucco) ฝี มือของโดมินิคุส ซิมเมอร์มันน์ (Dominikus Zimmermann) ตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1719 ถือเป็นจดุ เดน่ ท่ีเหน็ ไดแ้ ตไ่ กลเพราะแปลกแยกจากอาคารอื่นๆ ที่อยู่ ใกลช้ ิดตดิ กนั ศาลาวา่ การเมือง (Rathaus)
ลนั สแ์ บรก์ เป็นเมืองเลก็ ๆ ที่อยู่ห่างจากมิวนิคเมืองหลวงเพียงแค่ 65 กิโลเมตรเท่านนั้ ดว้ ย ความเล็กของตวั เมืองอาจจะไมเ่ ป็นท่ีรูจ้ ัก แต่เป็นเพราะที่นี่เคยเป็นท่ีกักขงั อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ในปี ค.ศ.1924 ที่เขาพยายามจะปฏวิ ตั แิ ตไ่ มส่ าํ เรจ็ กอ่ นท่ีเขาจะเรืองอาํ นาจ และฮิตเลอรใ์ ชเ้ วลา ขณะถกู จองจาํ เขยี นหนงั สือช่ือ Mein Kampf ซึง่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการตอ่ สขู้ องเขา เร่ืองของเร่ืองก็ คือ แคมป์ แรกของพวกลัทธินาซีอยู่ห่างออกจากลนั สแ์ บรก์ ไปไม่ไกลนัก แคมป์ นี้เคยใชเ้ ป็นที่กกั ขัง นกั โทษทางการเมอื งกวา่ 5,000 คน ในชว่ งนนั้ มผี คู้ นท่ีเล่ือมใสศรทั ธาในลทั ธินาซีและตวั เขาแวะเวียน มาเย่ียมเยียนไมข่ าดสาย อย่างไรก็ตาม แคมป์ นีถ้ ูกทาํ ลายลงเมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1945 โดย กองทพั อากาศของอเมริกา ในภายหลงั ไดม้ ีการเปิดใหส้ ื่อมวลชนไดเ้ ขา้ มาชมถึงความทารุณโหดรา้ ย ภายในแคมป์ ซึ่งไดม้ ีการนาํ เร่ืองราวไปจัดทาํ เป็นหนงั ในตอนที่ 9 ของมินิซีรียเ์ รื่อง The Band of Brothers ชื่อ Why we fight สว่ นแคมป์ นีภ้ ายหลงั ท่ีฮิตเลอรถ์ กู กาํ จดั ไปไดใ้ ชเ้ ป็นสถานทพ่ี กั อาศยั ของผู้ อพยพชาวยิวที่มาจากสหภาพโซเวียตและรฐั ตา่ งๆ ในคาบสมทุ รบอลติก และไดก้ ลายเป็นศนู ยก์ ลาง ของการศกึ ษาและองคก์ ารกลางตา่ งๆ ของชาวยิวจนกระท่งั แคมป์ ไดป้ ิดตวั ลงเม่ือเดือนตลุ าคม ปี ค.ศ. 1950 พวกเราเดนิ ลดั เลาะชมบา้ นเมืองและสินคา้ ริมทางเดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงโบสถพ์ าริช (Parish Church) บริเวณจอรจ์ เฮลไมร์ พลาสซ์ (Georg Hellmair Platz) ซ่ึงรูปลกั ษณภ์ ายนอกของโบสถจ์ ะ แตกตา่ งจากท่ีเคยเหน็ มาในวนั กอ่ นหนา้ ตวั โบสถเ์ ป็นสีขาวแตต่ กแตง่ ขอบของตวั โบสถด์ ว้ ยสแี ดงเขา้ กนั กบั หลงั คา ทาํ ใหโ้ บสถโ์ กธิคแหง่ นีด้ โู ดดเดน่ ทา่ มกลางอาคารรา้ นคา้ สพี าสเทล
โบสถ์นี้สร้างต้ังแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็ นสถานท่ียึดเหน่ียวจิตใจของศาสนิกชนนิกาย โรมนั คาทอลิกโดยฝีมือของมทั ทฮ์ อย ฟอน เอ็นซิงเง่น (Matthäus Von Ensingen) คนเดียวกนั กับท่ี สรา้ งมหาวิหารแห่งอลู ม์ (Ulmer Münster) ซึ่งมีหอคอยท่ีสงู ที่สดุ ในโลก ภายในตกแตง่ ดว้ ยศิลปะบา รอค และแบบสตคั โค โบสถพ์ าริชโดง่ ดงั ในเรือ่ งของแทน่ บชู าและกระจกสีที่งดงามมาก ซึ่งหนูเล็กก็เห็น เป็นจริงตามนน้ั ภาพกระจกสเี ป็นเรือ่ งราวเกี่ยวกบั องคพ์ ระเยซคู ริสต์ เพดานโบสถเ์ องกง็ ดงามไมแ่ พก้ นั แรงศรทั ธาทาํ ใหเ้ กิดศลิ ปะไดถ้ ึงเพียงนีเ้ ชียว เม่อื ออกมาดา้ นนอกเดนิ สาํ รวจเมอื งตอ่ ไปเรือ่ ยๆ ไดไ้ ปพบกบั บริเวณที่เคยเป็นโรงเก็บเกลือใน สมยั โบราณสรา้ งในปี ค.ศ.1754 เรียกว่า ซอลทส์ ตทั เดิล (Salzstadl) ลนั สแ์ บรก์ เป็นเมืองท่ีอยู่บน เสน้ ทางการขนสง่ เกลอื ซึง่ ระหวา่ งการเดนิ ทางจะนาํ มาเก็บรกั ษาที่นี่ ธุรกิจคา้ เกลือเป็นอีกธรุ กิจหน่ึงที่ สรา้ งรายไดใ้ หแ้ กล่ นั สแ์ บรก์ นอกเหนือไปจากธุรกิจส่ิงทอ แตป่ ัจจุบันโรงเก็บเกลือเหล่านีใ้ ชเ้ ป็นท่ีพกั อาศยั หมดแลว้ หนา้ บา้ นแต่ละหลงั มีแต่กองฟื นตง้ั เอาไวใ้ ชง้ าน ระหวา่ งท่ีเดินสาํ รวจอย่นู ้ัน สายตา เหลือบไปเห็นหอคอยเก่าตงั้ โดดเดน่ อยู่ ที่สะดดุ ตาหนเู ลก็ คงเป็นตน้ ไมท้ ี่เลือ้ ยอยทู่ ่ีผนงั อาคารใกลๆ้ กนั หอคอยเฮเซนทรู ม์ (Hexenturm) นีไ้ มใ่ ชห่ อคอยธรรมดา เพราะจากเดิมท่ีเป็นสว่ นหน่งึ ของกาํ แพงเมือง ใชใ้ นการระแวดระวงั ภยั แตห่ ลงั จากนนั้ ใชเ้ ป็นท่ีกกั ขงั หญิงผมแดงท่ีถกู สงสยั วา่ เป็นแมม่ ดจนถึง คริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 จึงกลายเป็นที่รูจ้ ักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวว่าน่ีคือ วิทเชส ทาวเวอร์ (Witches Tower) ไปโดยปริยาย บรเิ วณจตั รุ สั กลางเมอื ง รา้ นคา้ รมิ ทาง โรงเกบ็ เกลอื ท่ีกลายเป็นบา้ นพกั บรรยากาศในเมือง อาคารบา้ นเรอื นตกแตง่ ไวส้ วยงาม ระหวา่ งการเดินเลน่
พวกเราสนกุ กบั การชอปปิ้งดว้ ยสายตา แบบท่ีเรยี กวา่ วนิ โดวช์ อปปิ้ง (window shopping) ไป ตลอดเสน้ ทาง ถนนหนทางท่ีนี่กเ็ หมอื นกนั กบั เมืองเก่าอื่นๆ แมร้ า้ นรวงจะทนั สมยั อย่างไร ถนนก็ยงั คง เป็นของเดิมที่ปูดว้ ยหิน พวกเราจึงเดินไปตามถนนหินนี้ไปเร่ือยๆ เขา้ รา้ นนู้นออกรา้ นนีเ้ ป็นว่าเล่น รวมทง้ั รา้ นขายอาหารแหง้ ทางเอเชีย ทงั้ เครอ่ื งแกง ซอส ผงปรุงรสตา่ งๆ แตค่ นขายที่แลดเู หมือนจะเป็น คนไทยแตก่ ไ็ มใ่ ชค่ นไทย แมว้ า่ เราจะพยายามเดินคยุ กนั ในรา้ นเผอ่ื วา่ เธอจะทกั ทายพวกเราบา้ ง ไม่เห็น เธอจะสนใจใยดเี ลย สงสยั เป็นพวกเวยี ดนาม หรอื จีนอะไรอย่างนีม้ ากกวา่ และแมว้ า่ จะไมไ่ ดอ้ ะไรติดไม้ ติดมือออกมาจากรา้ นไหนเลยก็ตาม แต่ก็ต่ืนตาต่ืนใจกบั สินคา้ สารพัดชนิด พวกสินคา้ ประเภทของ ตกแตง่ บ้าน เซรามิก เห็นแลว้ น่าซื้อเป็นที่สดุ ราคาก็ไม่ไดแ้ พงนัก แต่คิดแลว้ ดูจะเป็นภาระในการ นาํ กลบั บา้ นมากกวา่ เราจึงเดินกนั เร่ือยเป่ือยไรจ้ ุดหมายไปจนถึงประตเู มืองอีกประตหู น่ึง คือ ซนั เดา เออรต์ อร์ (Sandauertor) ซึ่งเป็นประตเู มืองทางเหนือ ช่ือของประตเู มืองตงั้ ตามสถานท่ีตงั้ ถ่ินฐานของ ชาวบา้ นบริเวณริมนา้ํ ท่ีถกู ทาํ ลายจากสงครามแลว้ พากนั อพยพมาตง้ั รกรากใหมท่ ่ีลนั สแ์ บรก์ ซึ่งปัจจุบัน กค็ อื บรเิ วณทางใตข้ องประตซู นั เดาเออร์ ความสนกุ ระหว่าง window shopping สกั พกั เราเดินกลบั มาจนถงึ บริเวณโฮพทพ์ ลาสซซ์ ่งึ เมอื่ ดเู วลาแลว้ เราคงตอ้ งออกเดินทางตอ่ กนั เสยี ทีเพราะจดุ หมายปลายทางของวนั นอี้ ย่ทู ่ีเมอื งฟื สเซน (Füssen) แตก่ ่อนจะจากลนั สแ์ บรก์ ไป หนเู ลก็
ขอพาพวกเราไปชมแมน่ า้ํ เลคชก์ บั หอคอยคลา้ ยปราสาทดิสนียก์ อ่ น ทง้ั ที่จริงๆ ยงั เหลือสถานที่นา่ สนใจ และถือเป็น “a must” อีกอย่างท่ีควรจะไปชม น่ันคือ บาเยอรต์ อร์ (Bayertor) ประตเู มืองที่ไดร้ บั คาํ ชม ว่างดงามและสมบรู ณม์ ากอีกแห่งหนึ่งของแควน้ บาวาเรีย แต่เป็นเพราะเป็นคนละทางกับท่ีเราจะ เดินทางตอ่ กเ็ ลยไมอ่ ยากวนรถไปใหเ้ สยี เวลา บาเยอรต์ อร์ เป็นประตเู มืองศิลปะโกธิคท่ีเก่าแกม่ าก สรา้ ง ตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1425 มีความสงู ถงึ 36 เมตรหรือ 118 ฟตุ ออกแบบใหเ้ หมอื นกบั เป็นป้อมปราการ ตกแต่ง ดว้ ยสีสนั ที่แสดงถึงความม่งั ค่งั และเตม็ ไปดว้ ยอาํ นาจ มีรูปป้ันหินพระเยซูถกู ตรงึ ไมก้ างเขนและตรา ประจาํ ราชวงศ์ ดว้ ยรูปแบบท่ีวางองคป์ ระกอบของแตล่ ะสว่ นอย่างลงตวั บาเยอรต์ อร์ จึงเป็นประตเู มอื ง ท่ีไดร้ บั คาํ ร่าํ ลือวา่ งดงามมากอกี แห่งหนึง่ ดงั ท่ีกลา่ วแลว้ วา่ แลว้ พวกเรากก็ ลบั ไปเอารถที่จอดไวโ้ ดยชาํ ระคา่ จอดท่ีตอู้ ตั โนมตั ิ ซ่ึงถือไดว้ ่าไมใ่ ช่เร่ืองยาก สาํ หรบั พวกเราอีกแลว้ คนุ้ กนั มาแลว้ ตงั้ แต่วนั ท่ีไปจอดท่ีไฮเดลแบรก์ น่ันปะไร ขบั รถออกมาทางโฮพท์ พลาสตม์ าตง้ั ตน้ ยังจดุ แรกท่ีเราเขา้ เมืองผา่ นสะพานคาโรลีเนน (Karolinenbrücke) ใหไ้ ดเ้ ห็นวิวของ เขื่อนกน้ั แมน่ า้ํ เลชที่เป็นช่วงชนั้ กนั อกี หน อาจเป็นเพราะเชา้ นีอ้ ากาศค่อนขา้ งเย็น หมอกลงหนา ทาํ ให้ เกิดเป็นไอจางๆ เหนือผิวนา้ํ ละอองแตกเป็นฝอยฟฟู ่ องลอยในอากาศอย่างเคย หนเู ลก็ คลบั คลา้ ยคลบั คลาวา่ หอคอยมทุ เทอรท์ รู ม์ (Mutterturm) ตงั้ อยใู่ กลๆ้ นีด้ ว้ ย เราก็เลยพากันเลีย้ วไปหาที่จอดละแวกนี้ เพื่อเดนิ เที่ยวกนั ไปชมธรรมชาติกนั บา้ ง เมือ่ ไดท้ ี่จอดเป็นที่เรียบรอ้ ย เราเดินไปชมความงามของกระแสนา้ํ เลชโดยมีตวั เมืองเป็นฉาก หลงั มีดีตรงที่เขาจดั ใหม้ ีท่ีน่งั รมิ นา้ํ ไวใ้ หน้ ่งั ชมววิ ทิวทศั นด์ ว้ ย หนเู ลก็ เลยขออนุญาตใชโ้ อกาสนีน้ ่ังทอด อารมณส์ กั พัก เท่าท่ีสงั เกตดชู าวเมืองนิยมพาสนุ ัขมาเดินเท่ียว เดินออกกาํ ลงั บริเวณนีเ้ หมือนกนั ก็ อากาศดี มีสวนหยอ่ มเลก็ ๆ แบบนีน้ ี่นา ขอน่งั ทอดอารมณก์ บั ววิ งามๆ สกั พกั
บรรยากาศแบบนมี้ องไดไ้ ม่เบ่อื เลย บา้ นเรอื นสพี าสเทลสวยๆ ทาํ ใหภ้ าพย่งิ ชวนฝัน ใกลๆ้ กันนีเ้ องเป็นที่ตง้ั ของหอคอยมทุ เทอรท์ รู ม์ หรือจริงๆ ก็คือ มาเธอรท์ าวเวอร์ () ซึ่งสรา้ ง ระหวา่ งปี ค.ศ.1884 – 1887 หอคอยนีไ้ มไ่ ดม้ สี ว่ นเกี่ยวขอ้ งหรือสมั พนั ธอ์ ะไรกบั ประวตั ศิ าสตรข์ องเมือง เพราะจรงิ ๆ เป็นเพียงท่ีพกั ในฤดรู อ้ นและสตดู โิ อของนกั วาดภาพและนกั เขียนบทละครช่ือ ฮเู บิรท์ ฟอน เฮอรโ์ คเมอร์ (Hubert Von Herkomer) ผซู้ ่งึ สรา้ งขนึ้ เพื่อเป็นของขวญั แก่มารดาของเขา โดยสรา้ งใหม้ ี รูปแบบเหมอื นปราสาทนอรม์ นั (Norman Castle) Mother Tower หนา้ ตาคลา้ ยปราสาทดิสนยี ์
ผิวเป็นหินแลดตู ะป่ ุมตะป่ํ า แลดนู ่ากลัว หลงั คามีสีเหลือง มีทางเดินเป็นสะพานไมไ้ ปยงั อีก อาคารหนง่ึ ภายในหอคอยมหี อ้ งสาํ หรบั จดั งานแตง่ งาน ความสงู ของหอคอยประมาณ 30 เมตร หรือ 98 ฟตุ หลงั จากที่เขาเสยี ชีวติ ลงเมือ่ ปี ค.ศ.1914 อาคารท่ีติดกับหอคอยไดก้ ลายเป็นพิพิธภณั ฑแ์ สดง ภาพวาดและภาพแกะสลกั ของเขา และยังมีประวตั ิและผลงานอ่ืนๆ ของเขาแสดงไวโ้ ดยเปิดใหเ้ ขา้ ชม ทกุ วนั ยกเวน้ วนั จนั ทร์ แตด่ ๆู แลว้ กค็ ลา้ ยปราสาทดสิ นีย์ เลก็ ๆ นา่ รกั ดี และแลว้ เราก็หมดเวลากับเมืองนี้ จาํ ใจตอ้ งอาํ ลาเมืองเล็กๆ เงียบๆ ไปดว้ ยความเสียดาย เพราะจรงิ ๆ เราเองก็อยากใชเ้ วลากบั เมืองแบบนี้ และอีกหลายๆ เมืองใหน้ านกว่านี้ แต่อีกใจหน่ึง เรา อยากรูจ้ กั เยอรมนีใหม้ ากกวา่ การรูจ้ ักผ่านเมืองท่องเที่ยว หรือเมืองท่ีเป็นที่รูจ้ กั เพราะหนูเลก็ เช่ือว่า เยอรมนีตอ้ งมอี ะไรมากกวา่ ท่ีไดฟ้ ัง ไดอ้ า่ น เป็นแน่ การเดินทางวนั นีม้ ีอปุ สรรคเล็กนอ้ ย เพราะหมอกลงจัดมาก มาคิดๆ แลว้ หากขบั รถบนออโต้ บาหน์ คงตอ้ งเพ่ิมความระมดั ระวงั เป็นพิเศษ เราจึงใชเ้ สน้ ทางสายโรแมนติกหรือ B17 เป็นหลัก ผล พลอยไดก้ ็คอื จะไดเ้ กบ็ เมอื งเลก็ ๆ บนเสน้ ทางอยา่ งโชนเกา (Schongau) และ ไพทิง (Peiting) ท่ีฝร่งั นัก แบกเป้มกั กลา่ วถึงตามเวบ็ บอรด์ ท่องเที่ยวอย่าง Tripadvisor หรือ lonely Planet แนะนาํ ไวว้ ่ามีเสน่ห์ ไม่แพ้กัน และหากมีเวลาก็ไม่ควรพลาดไปสัมผสั กลิ่นอายแห่งความศรทั ธาตามเมืองเล็กๆ เหล่านี้ เพราะทั้งสองเมืองนี้อยู่ในกลุ่มที่มีชื่อเรียกเฉพาะตามภาษาท้องถ่ินว่า พฟลัฟเฟ่ นวิงเคล (Pfaffenwinkel) หรอื ในภาษาองั กฤษวา่ พารส์ นั ส์ คอรเ์ นอร์ (Parson’s corner) ซึ่งหมายถึง เป็นพืน้ ท่ีที่ เตม็ ไปดว้ ยวดั แสดงใหเ้ ห็นถึงแรงศรทั ธาในศาสนาอย่างแรงกลา้ และแต่ละท่ีจัดไดว้ า่ มีความงดงาม สวยสมคา่ อย่างแทจ้ ริง การลดั เลาะเท่ียวเมืองเล็กๆ แบบนี้ ถือไดว้ ่าเป็นคาํ แนะนาํ ท่ีถูกใจนักเที่ยว เรยี่ ราดแบบพวกเราเป็นท่ีสดุ การเดนิ ทางท่ามกลางหมอกหนา ระยะทางจากลนั สแ์ บรก์ มายังโชนเกาไม่ไกลมากนัก เป็นการขบั รถเลาะเลียบแมน่ า้ํ เลคชม์ า เรื่อยๆ ไม่นานนักเราก็เขา้ เขตเมืองโชนเกา ใกลต้ วั เมืองเก่ามีซุปเปอรส์ โตรอ์ ีกย่ีหอ้ หน่ึงที่เราผา่ นมา หลายหนแตย่ งั ไมไ่ ดแ้ วะไปชมบรรยากาศกนั เราก็เลยเอารถไปจอดกันท่ี ลิเดิล (Lidl) กะไวว้ ่าหลงั จาก
เดินเที่ยวเมืองกนั แลว้ ก็มาเดนิ ชมสนิ คา้ ในซปุ เปอรส์ โตรแ์ ห่งนีก้ นั ดงั นน้ั เม่ือจอดรถเสรจ็ จึงหักหา้ มใจ การชอปปิ้งไวก้ ่อน แลว้ พากนั เดนิ ไปยงั ตวั เมืองเก่ากนั ก่อน โชนเกาเป็นเมืองเลก็ ๆ อีกเมอื งหนึง่ ท่ีอยบู่ นเสน้ ทางสายโรแมนติกติดเทือกเขาแอลป์ ตวั เมือง ถูกลอ้ มไวด้ ว้ ยกาํ แพงเมืองไดร้ ับการอนุรกั ษ์ไวอ้ ย่างสมบูรณ์มากๆ โดยกาํ แพงเมืองนีส้ รา้ งตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 14 และมกี ารบรู ณะอีกครง้ั เม่อื คริสตศตวรรษที่ 17 บนกาํ แพงเมืองยงั คงมีทางเดินไม้ (wooden walkways) ท่ีสามารถขึน้ ไปเดินชมได้ ที่กาํ แพงใกลป้ ระตทู างเขา้ เมืองโดยรถยนตม์ ีปนู ปั้น สญั ลกั ษณป์ ระเทศอย่างนกอนิ ทรขี นาดใหญ่ตดิ อยู่ เม่ือเดินผ่านกาํ แพงเมืองเขา้ มาจะพบถนนมึนเซน (Münzenstraße) ท่ีตดั ผ่านกลางเมืองเป็นถนนสายหลกั จุดหยุดสายตาเป็นโบสถข์ นาดใหญ่ที่ต้ัง ตระหงา่ นมองเห็นไดท้ นั ทีเม่อื กา้ วเขา้ มา ระหวา่ งการเดนิ สาํ รวจเมอื ง Schongau เท่าที่เดนิ สาํ รวจไปรอบๆ ทาํ ใหพ้ บวา่ อาจเป็นเพราะความเลก็ ของตวั เมืองกระมงั ท่ีทาํ ใหแ้ มว้ ่า จะมีผคู้ นเดนิ ใชช้ ีวติ ประจาํ วนั กนั ตามปกติ มนี กั เรียน นกั ศกึ ษาเดนิ พดู คยุ เฮฮากนั ท่วั แตก่ ็ยงั ซึมซบั ได้ แต่เพียงความเงียบ สงบ ไม่ว่นุ วายอยู่ดี เสน่หเ์ มืองเล็กก็คงเป็นแบบนี้ บางทีไดม้ าเดินมาน่ังทอด อารมณส์ งบจิตใจในเมอื งท่ีไมม่ ีความวนุ่ วายบา้ ง ก็ช่วยทาํ ใหเ้ ราไดม้ ีแรงไปลยุ กับความสบั สนวนุ่ วาย ของเมืองใหญ่ๆ ไดใ้ หม่ ถ้าจะถูกใจหนูเล็กก็คงเป็นสินคา้ ในรา้ นซุปเปอรเ์ ล็กๆ ของท่ีนี่ พวกขนม และชอคโกแลตราคาถกู จนน่าใจหาย แบบท่ีเหน็ วา่ บา้ นเราขายอนั หนง่ึ ประมาณ 80 บาท ในเมืองใหญ่ ขายอย่เู กือบๆ จะ 1 ออยโร ท่ีนี่ขายเพียง 80 เซนต์ จตั รุ สั กลางเมืองเป็นท่ีตงั้ ของนา้ํ พทุ ี่มีรูปปั้นพระแม่มารีตงั้ ตระหง่านอยู่ จึงเป็นที่มาของจตั รุ สั กลางเมืองวา่ มาเรยี นพลาทซ์ (Marianplatz) ใกลก้ ันเป็นโบสถโ์ กธิคท่ีชื่อมาเรีย ฮิมเมลฟารท์ (Mariä Himmelfahrt) สรา้ งโดยโดมนิ ิคสุ ซิมเมอรม์ นั ส์ (Dominikus Zimmermann) ในระหวา่ งปี ค.ศ.1751 – 1753 ช่ือของโบสถต์ ง้ั ตามวนั สาํ คญั ทางศาสนาที่พระมารดาของพระเยซูเสด็จส่สู วรรคท์ ัง้ ร่างกายและ จิตใจ เพดานภายในโบสถไ์ ดร้ บั การตกแตง่ ไวง้ ดงามไมแ่ พท้ ี่ไหนๆ เชน่ กนั แตอ่ าจจะเป็นเพราะหลายวนั
มานีเ้ ราไดช้ มโบสถก์ นั เกือบทกุ วนั เลยทาํ ใหเ้ ม่ือไดม้ าเห็นความตื่นตาตื่นใจจึงลดนอ้ ยลงไป หากจะมี อะไรที่สะดดุ ตาและตื่นเตน้ ของหนเู ลก็ ในระหวา่ งการเดินเที่ยวเล่นในเมือง คงเป็นอปุ กรณบ์ อกสภาพ อากาศและอณุ หภมู ิท่ีติดเอาไวต้ ามผนงั ตกึ ที่เขาเขียนไวว้ ่า Wetter Station ทาํ ใหเ้ ราไดร้ ูว้ า่ ท่ีเราเดิน หนาวยะเยือกกันอย่นู ี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือขีห้ นาวอะไร ก็อณุ หภมู ิวนั นี้น่ะแค่ 7 - 8 องศา เซลเซียสเท่านน้ั เอง บร๋ือ เหน็ แลว้ เลยทาํ ใหร้ ูส้ กึ หนาวหนกั เขา้ ไปอีก สถาปัตยกรรมท่ีเห็นแลว้ อดอมยิม้ และเกบ็ ภาพมาไมไ่ ด้ คงเป็นแม่หมตู วั หนึ่งทาํ ดว้ ยบรอนซท์ ี่ ตง้ั อยใู่ กลๆ้ ศนู ยบ์ ริการนกั ท่องเท่ียว ท่ีม่นั ใจเลยวา่ เป็นตวั แม่ ก็เพราะมีเตา้ นมขนาดใหญ่บวมเป่ งเตม็ ไปดว้ ยนา้ํ นมรอการดดู กินของลกู ๆ ใหเ้ หน็ ชดั เจน ไม่รูเ้ หมือนกนั วา่ สถาปัตยกรรมนีม้ ีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะแผน่ บรอนซท์ ี่จารกึ ตดิ ไวน้ อกจากจะเป็นภาษาเยอรมนั แลว้ ยังรางเลือนเสียเหลือเกิน แต่เจา้ รูป ปั้นนีม้ องนานไมไ่ ด้ เหน็ แลว้ พาลสงสารแมห่ มตู วั นีจ้ บั จิตเพราะดทู า่ เตา้ นมคงหนกั แสนหนกั แบกแบบนี้ มานานหลายศตวรรษอกี ตา่ งหาก จนเตา้ นมเกือบจะระกบั พืน้ ปนู ที่หลอ่ นยืนอย่เู ตม็ ทีแลว้ สวย สงบ ในแบบของ Peiting พวกเราเตรด็ เตรก่ ันอยู่ไม่นานนกั ก็พากันอาํ ลาเมืองโชนเกาไป ออกจากประตเู มืองเพ่ือเดิน กลบั ไปที่รถเพิ่งจะสงั เกตเหน็ วา่ ท่ีสนามหนา้ ประตเู มืองมีเสาไมส้ ีฟ้า-ขาวตงั้ ตระหง่านอยู่ เสานีเ้ ป็นที่ รูจ้ ักกันดีในประเทศแถบยุโรป เรียกว่า ไมบาวม์ (Maibaum) หรือในภาษาองั กฤษว่า เมย์โพล (Maypole) เป็นวฒั นธรรมท่ีแพรห่ ลายมากในหมบู่ า้ นตา่ งๆ บรเิ วณแควน้ ตอนใตข้ องเยอรมนีทั้งบาเดน เวอรท์ เทมแบรก์ และแควน้ บาวาเรยี และประเทศแถบเทือกเขาแอลป์ แตก่ ็ไมม่ ปี ระวตั วิ า่ มีจดุ กาํ เนิดจาก ที่ใดแนช่ ดั ซง่ึ เสานีจ้ ะทาํ กนั ในวนั ที่ 30 เมษายน โดยหนมุ่ ๆ ในหมบู่ า้ นจะพากนั ไปหาไมจ้ ากตน้ ไมข้ นาด ใหญ่จาํ พวกตน้ เบิรช์ ตน้ เมเปิ้ล หรือตน้ สน เนื่องจากเป็นไมเ้ นือ้ แขง็ มีลาํ ตน้ ตรง ตอ้ งคดั หาตน้ ท่ีมีความ สงู ประมาณ 30 เมตร จากนนั้ นาํ มาใหห้ ญิงสาวในหมบู่ า้ นช่วยกนั ตกแต่งดว้ ยริบบิน้ ดอกไม้ และงาน แกะสลกั เป็นสญั ลกั ษณแ์ สดงอาชีพ งานฝีมือ และผลผลิตของชาวเมอื ง แลว้ กจ็ ะมีประเพณีตง้ั เสากนั ใน วนั ที่ 1 พฤษภาคม ซ่งึ เป็นวนั แรงงานแหง่ ชาตหิ รือเมยเ์ ดย์ (May Day) ท่ีแตเ่ ดมิ เรียกวนั กรรมกร (Labor
day) โดยจะตง้ั ท่ีบริเวณพืน้ ที่โลง่ ใจกลางหมบู่ า้ น ในวนั นน้ั จะมีการเตน้ ราํ รอบเสา การละเลน่ พืน้ เมือง โดยทกุ คนจะแตง่ ชดุ พืน้ เมืองออกมารว่ มงานกนั อยา่ งสนกุ สนาน Maibuam หรือ Maypole ตามประเพณีดงั้ เดิม เม่ือทาํ เสาเตรียมไวเ้ รียบรอ้ ยแลว้ ในวนั ที่ 30 เมษายน จะตอ้ งมีการจัดเวร ยามเฝา้ เสานีไ้ วไ้ มใ่ หค้ นที่หมบู่ า้ นอ่ืนมาขโมยได้ หากถกู ขโมยไปก็ตอ้ งเอาเบียรห์ ลายถงั และอาหารคาว หวานไปไถเ่ อาคนื มา โดยในการขโมยมีกฎหา้ มทาํ รา้ ย หา้ มใชก้ าํ ลงั หา้ มทาํ เสาเสียหาย และขโมยได้ เฉพาะเสาเทา่ นนั้ สง่ิ ประดบั ประดาอืน่ ๆ หา้ มโดยเดด็ ขาด หากผา่ นพน้ คนื นน้ั ไปไดพ้ ิธีตงั้ เสากจ็ ะเริ่มตน้ ขนึ้ โดยหนมุ่ ๆ ทกุ คนในหมบู่ า้ นจะมาชว่ ยกนั ตง้ั เสา เม่ือตง้ั เสาสาํ เรจ็ งานรื่นเรงิ เตน้ ราํ รอบเสาก็จะเริม่ ขนึ้ อยา่ งสนกุ สนาน มีการกินด่ืมกันอย่างเตม็ ที่ใหส้ มกับที่เหน็ดเหน่ือยกับการทาํ งานมาตลอดทงั้ ปี ปกติ เสานีจ้ ะตงั้ ไวป้ ระมาณ 1 เดือน จากน้นั ก็จะเอาเสาลง แรกๆ ก็จะมีการหาตน้ ไมท้ าํ เสากนั ทกุ ปี ตอ่ มา เปลี่ยนเป็นเก็บเสาเก่าไวเ้ พ่ือใชใ้ นปีตอ่ ๆ ไป โดยในการเกบ็ จะเอาสิ่งของประดบั ออกจากตวั เสา แตใ่ น ปัจจบุ นั วฒั นธรรมนีเ้ ริ่มกลายแลว้ เพราะบางแห่งจะตง้ั ไวเ้ ป็นการถาวรตลอดปี อย่างเสาท่ีเราเห็นน่ีก็ เหมอื นกนั ดจู ะเป็นการทาํ ไวแ้ บบถาวร ตงั้ ไวอ้ ยา่ งนีต้ ลอดปีตลอดไป สาํ หรบั สฟี ้า-ขาวท่ีทาท่ีตวั เสาเป็น สญั ลกั ษณข์ องแควน้ บาวาเรีย ถา้ ไปเที่ยวเมืองแถบเทือกเขาแอลป์ ในช่วงเวลาน้ันก็จะมีโอกาสไดช้ ม เป็นขวญั ตา แต่ในยุคนีท้ ่ีมีเคร่ืองมือเครื่องจกั รมาช่วยแรงงานคนแลว้ การยกเสาจะมีตวั ช่วยเป็นรถ แทรกเตอร์ รถฟอลก์ ลฟิ ท์ หรอื แมก้ ระท่งั รถเครน เราเดินเขา้ ไปเที่ยวเลน่ ใน “ลิเดิล” กันแค่พอใหไ้ ดร้ บั ไออ่นุ คลายความหนาวเย็น พอรูส้ ึกดีขนึ้ แลว้ ก็เริ่มตน้ เดนิ ทางกนั ตอ่ จดุ หมายถัดไปก็เป็นเมืองเลก็ ๆ อีกแห่งคือ ไพทิง (Peiting) เพราะไหนๆ ก็ เป็นเมืองทางผ่านอย่แู ลว้ ไปวิ่งวนๆ ดเู สียหน่อยก็คงไม่เสียเวลาเท่าไรนัก และระยะทางจากโชนเกา มายงั ไพทิงก็แคร่ ะยะทางสนั้ ๆ ท่ีเผลอนิดเดียวหนเู ลก็ ก็ควบพ่ีดีเ้ ขา้ มาในตวั เมืองแลว้
ในตวั เมอื งกาํ ลงั อยู่ระหว่างการซ่อมแซมถนน ทาํ ใหเ้ ราไม่สามารถขบั ไปตามเสน้ ทางแนะนาํ ของนอ้ งจีได้ ที่สาํ คญั การเดนิ ทางในฤดแู บบนีพ้ วกเราจะตอ้ งคอยมองหาหอ้ งนา้ํ เพื่อปลดทุกขเ์ บากนั เป็นระยะ หนเู ลก็ จึงจอดรถที่ริมถนนแหง่ หน่ึงใกลๆ้ กบั โบสถท์ ่ีแลดจู ะเรยี บงา่ ยมากท่ีสดุ ตงั้ แตไ่ ดเ้ หน็ มา ในรอบหลายวนั นีจ้ นอดรูส้ กึ ไมไ่ ดว้ า่ โบสถแ์ ห่งนีด้ แู ข็งๆ อย่างไรพิกล เม่ือลองเขา้ ไปสาํ รวจทาํ ใหพ้ บว่า โบสถเ์ ซนตไ์ มเคลิ (St.Michaelkirche) แห่งนีเ้ ป็นโบสถท์ ี่สรา้ งดว้ ยหินขนาดใหญ่ศลิ ปะโกธิค เป็นศิลปะ ในยคุ ตน้ ท่ีคอ่ นขา้ งเคร่งขรึม เรียบง่าย ไม่มีการตกแตง่ ท่ีหรูหราท้ังภายนอกและภายใน นี่อาจเป็น เหตผุ ลหนงึ่ ที่ทาํ ใหเ้ มอื งนีไ้ มม่ จี ดุ ขายท่ีโดดเดน่ ไพทิงจึงเป็นแต่เพียงเมืองขนาดเลก็ ท่ีเป็นใจกลางของ บริเวณท่ีเรียกวา่ พฟลฟั เฟ่ นวิงเคล อย่างที่หนเู ลก็ เลา่ ไปแลว้ จึงไมม่ ีอะไรดงึ ดดู เราใหใ้ ชเ้ วลาท่ีน่ีใหเ้ นิ่น นานนกั St.Michaelkirche อาคารสเี หลอื งโดดเดน่ กอ่ นอาํ ลา Peiting หนเู ลก็ คอ่ ยๆ ควบพี่ดีเ้ ดินทางตอ่ ไปตามเสน้ ทางสายโรแมนติก ทิวทศั นร์ ะหวา่ งทางบนถนนเสน้ นีโ้ รแมนตกิ สมชื่อ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแตค่ วามเขียวขจีของท่งุ หญา้ เนินเขา มีไอหมอกเร่ียไล่ เหนือเทือกเขาแอลป์ เป็นฉากหลงั ตลอดทางจะมสี วนเกษตรของชาวบา้ นท่ีกาํ ลงั ขะมกั เขมน้ ทาํ งานกนั อย่างจริงจงั ความอดุ มสมบรู ณข์ องพืน้ ท่ี อากาศดๆี แบบนีก้ ระมงั จึงทาํ ใหว้ วั ที่ชาวบา้ นเลีย้ งดตู ามริม ทางแตล่ ะตวั ดอู ว้ นพี สมบรู ณก์ นั เสียเหลือเกิน
อกี เมอื งท่ีอย่บู นทางผ่านและเขาแนะนาํ ใหแ้ วะก็คือ รอทเท่นบุช (Rottenbuch) ซึ่งจะมีโบสถ์ สไตลโ์ กธิคที่แสนอลงั การ โบสถท์ ่ีวา่ นีค้ ือ โบสถโ์ มนาสเทอรี (Monastery Church) เป็นโบสถเ์ ก่าศิลปะ โกธิคท่ีถกู พบตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1073 และการปรบั ปรุงใหมใ่ นช่วงคริสตศตวรรษที่ 15 และ 17 ตวั โบสถด์ า้ น นอกวา่ กนั วา่ หนา้ ตาแสนจะธรรมดา แตภ่ ายในมีการตกแต่งอย่างเลิศหรูอลงั การเป็นศิลปะบารอก ท้งั ผนงั ทง้ั เพดาน เพราะมีศลิ ปินเอกของเยอรมนั ท่ีช่ือวา่ มทั เทาส์ กือเธอร์ (Matthäus Güther) เป็นผวู้ าด ภาพแบบเฟรสโกไวจ้ นเตม็ เพดาน แลว้ ยงั มพี วกรูปป้ันของนางฟ้า นกั บญุ ตามจดุ ตา่ งๆ อีกมากมาย แต่ แลว้ เราก็ตอ้ งผดิ หวงั เพราะเม่อื เลยี้ วเขา้ เมอื งไป โบสถก์ าํ ลงั มีการซ่อมแซม ทาํ ใหเ้ ราไม่สามารถเขา้ ไป ชมภายในได้ ตอ้ งขบั รถกลบั ออกมาดว้ ยความผดิ หวงั ใบไมเ้ ปลยี่ นสีสวยๆ ระหวา่ งการเดนิ ทาง สายหมอกระลอกไลย่ ่ิงทาํ ใหง้ ดงามจบั ใจ ก่อนท่ีจะเดินทางถึงฟื สเซน (Füssen) จุดหมายปลายทางของคืนนี้ ทางขวามือจะเป็น ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อวา่ ฟอรก์ เกน (Forggensee) ทะเลสาบแหง่ นีเ้ ป็นทะเลสาบท่ีเกิดขนึ้ โดยฝีมือ คน (man-made lake) ขดุ ขนึ้ เพ่ือป้องกนั นา้ํ ท่วม เนื่องจากเวลาที่หิมะจากเทือกเขาแอลป์ ละลายในฤดู ใบไมผ้ ลิจะใชเ้ ก็บกักนา้ํ ไว้ พอในช่วงเดือนตลุ าคมก็จะมีการระบายนา้ํ ออกเพื่อรอเวลาท่ีหิมะจาก เทือกเขาจะละลายไหลมาใหมใ่ นชว่ งฤดใู บไมผ้ ลอิ ีกครงั้ หนงึ่ ทะเลสาบจะทอดตวั คขู่ นานไปกบั เสน้ ทาง
ที่เราจะวง่ิ เขา้ สเู่ มอื งชวานเกา (Schwangau) ซึ่งเป็นท่ีตง้ั ของปราสาทเทพนิยายอนั ลอื ชื่อ ปราสาทนอย ชวานสไตน์ (Neushwanstein) ตน้ แบบของปราสาทในการต์ นู ของวอลท์ ดสิ นีย์ แวะพกั บนเสน้ ทาง ระหวา่ งการเดนิ ทางไป Füssen เห็นวา่ ยงั ไมเ่ ยน็ ย่าํ นกั พ่ีใหญ่เลยใหเ้ ลยี้ วรถเขา้ ไปตามปา้ ยบอกทางไปสปู่ ราสาทเทพนิยาย ตน้ ทางสังเกตได้ง่ายเพราะมีโบสถ์หน่ึงที่ต้ังโดดเด่นและโดดเดี่ยว น่ันคือ โบสถ์เซนตโ์ คโลแมน (St.Kolomankirche) ที่ภายในวา่ กนั วา่ ก็งดงามไมแ่ พโ้ บสถไ์ หนๆ เหมือน กนั เรียกวา่ หากใครอยากแวะ ชมก็ถือว่าคมุ้ ที่จะจอด โบสถแ์ ห่งนีจ้ ะเปิดใหเ้ ขา้ ชมไดเ้ ฉพาะตอนบ่าย แต่เรายังมีโอกาสชมโบสถอ์ ีก เยอะกวา่ จะกลบั เมืองไทย บางแห่งคงตอ้ งเวน้ ๆ ไม่แวะบา้ ง เพราะสาํ หรบั หนูเล็กแลว้ โบสถท์ ุกแห่งถกู สรา้ งจากแรงศรทั ธาของผคู้ นท่ีมีตอ่ พระเจา้ ดงั นนั้ จงึ งดงามไปทงั้ หมดทง้ั สิน้ และแลว้ ปราสาทแสนสวย ก็มาอย่ใู นสายตา
สีขาวโดดเดน่ ท่ามกลางป่ าเปล่ยี นสี เราว่งิ เลยโบสถไ์ ปจอดรถริมทางเพื่อเก็บภาพปราสาทบนเขาในยามเย็นกนั แตค่ งยงั ไมเ่ ขา้ ไป ชมกนั วนั นเี้ พราะสวยงามออกขนาดนนั้ เวลาแคส่ องช่วั โมงที่เหลอื คงจะทาํ ใหเ้ ราเกบ็ รายละเอียดไดไ้ ม่ หมด และเราจะตอ้ งไปหาที่พกั กนั อกี ปราสาทนอยชวานสไตนใ์ นเยน็ วนั นีด้ หู มน่ หมองพิกล อาจเป็น เพราะวนั นหี้ มอกลงจดั เลยทาํ ใหร้ ูส้ กึ ไปเชน่ นนั้ ทต่ี งั้ ของปราสาทจดั ไดว้ า่ อย่ใู นทาํ เลที่ดี เพราะตง้ั อยบู่ น เขาสงู ชนั ตวั ปราสาทสขี าวจึงดโู ดดเดน่ ทา่ มกลางป่ าเปลย่ี นสี ย่ิงแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความงดงามเป็นอมตะ อย่างที่เขาร่าํ ลอื กนั และยงั ทาํ ใหจ้ นิ ตนาการตอ่ ไปไดว้ า่ หากอย่ทู ่ีปราสาทแลว้ มองลงมา ทิวทศั นค์ ง งดงามมาก เอาไวพ้ รุง่ นีก้ อ่ นเถอะ เราคงจะไดช้ มวิวจากมมุ สงู ลงมากนั ดงั นนั้ เม่ือจอดรถขา้ งทางเกบ็ ภาพปราสาทในฝันกนั จนจใุ จแลว้ เราก็ว่งิ เขา้ ฟื สเซนกนั ทนั ที เมืองชวานเกาเป็นเพียงเมอื งเลก็ ๆ ดงั นั้น เม่ือรถเราก็ว่ิงผ่านสะพานขา้ มแม่นา้ํ เลคชก์ ็เขา้ เขต เมอื งฟื สเซนแลว้ เราใหน้ อ้ งจีพาไปยงั ท่ีพกั ที่จองไวซ้ ่ึงหาไม่ยากนัก เม่ือไปถึงหนเู ลก็ ไดไ้ ปเจอตวั เป็นๆ ของหน่มุ ที่ช่ือ ลาโด้ (Lahdo)ที่ติดต่อจองท่ีพกั กันทางอินเตอรเ์ น็ต ตวั จริงอัธยาศยั ดี คยุ สนกุ สนาน เหมือนกบั ที่เขียนคยุ กนั ตอนจองที่พกั ยิ่งพอเราบอกว่ามาจากไทยแลนดแ์ ดนสไมล์ เธอก็อวดภมู ิดว้ ย การทกั ทายเราเป็นภาษาไทย ทาํ ใหบ้ รรยากาศการพบกนั ครง้ั แรกของพวกเราน่าประทับใจเขา้ ไปใหญ่ ความจริงสถานที่ท่ีเราไปติดตอ่ เป็นโฮสเทลที่ดกู ็น่าสนใจดี แต่เนื่องจากท่ีเราจองไวเ้ ป็นอพารท์ เมนต์ ดงั นนั้ จึงไมใ่ ชท่ ี่น่ี ลาโดใ้ หเ้ ราขนึ้ รถขบั ตามไป เพื่อจะไดพ้ าเราเดินทางไปยังที่อพารท์ เมนตซ์ ่ึงอย่อู ีกที่ หนึ่งซึง่ เขาบอกวา่ อย่หู า่ งจากตวั เมอื งนิดเดยี ว สะดวกกวา่ ที่นี่ดว้ ยซา้ํ ไป โอเคเอาไงเอากัน ลาโดน้ าํ ทาง เราไปยงั ท่ีพกั ท่ีจดั ไวใ้ หว้ ิ่งเลยออกจากตวั เมอื งเก่าไปไมไ่ กลนกั
ท่ีพกั แสนสบายของ Lahdo เมือ่ มาถงึ ไดพ้ บว่าท่ีพักที่จองไวก้ วา้ งขวางเหมาะกับครอบครวั เราเป็นอย่างย่ิง มีครวั หอ้ งนา้ํ หอ้ งนอน 2 หอ้ ง และหอ้ งน่งั เลน่ อกี หนงึ่ หอ้ ง เครอื่ งครวั ตา่ งๆ ครบครนั จนแทบจะเกินความตอ้ งการใช้ งาน เม่ือแนะนาํ ใหข้ อ้ มลู ตา่ งๆ เรียบรอ้ ย ลาโดก้ ็ขอตัวกลบั โดยบอกวา่ จะมาพบกับเราอีกทีวนั ท่ีเรา เช็คเอาท์ไม่ตอ้ งใจรอ้ นชาํ ระเงิน แหมช่างไวใ้ จพวกเรากันเสียจริง หลงั จากท่ีเราเก็บขา้ วของเขา้ ท่ี เรยี บรอ้ ย ก็ไดเ้ วลาออกไปเดนิ เท่ียวเลน่ ในเมือง หาซือ้ ของสดมาทาํ กบั ขา้ วมือ้ เยน็ กนั การท่ีฟื สเซนเป็นทร่ี ูจ้ กั ของนกั ทอ่ งเท่ียวน่าจะเป็นเพราะเป็นเมอื งสดุ ทา้ ยบนเสน้ ทางสายโรแมน ตกิ และหลายคนก็เขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เมืองนีเ้ ป็นที่ตง้ั ของปราสาทนอยชวานสไตนอ์ นั แสนสวย ท้ังที่ที่จริง แลว้ ตวั ปราสาทนอยชวานสไตนต์ งั้ อยใู่ นเขตเมืองชวานเกา แตเ่ นื่องจากชวานเกาเป็นเมืองขนาดเลก็ ท่ี พักมีน้อยและอาจจะแพงเกินไป ในขณะที่ฟื สเซนมีที่พักให้เลือกมากกว่า ราคาจึงย่อมเยากว่า ระยะทางกไ็ มไ่ ดไ้ กลจากปราสาทนอยชวานสไตนแ์ ละโฮเฮนชวานเกาเท่าไรนัก นักท่องเที่ยวจึงมาพัก ที่น่ีกนั เป็นหลกั ดงั นน้ั เมือ่ เราเขา้ ไปในเขตเมืองเก่าจงึ เจอแตน่ กั ท่องเที่ยวเดินกนั ใหข้ วกั ไขว่ ท่ีคอ่ นขา้ ง ม่นั ใจว่าผคู้ นที่เราพบเจอเป็นนักท่องเที่ยว เป็นเพราะแตล่ ะคนมีกิจกรรมไมต่ ่างกับหนเู ลก็ น่ันคือยก กลอ้ งเก็บภาพบา้ นเรือนสหี วานๆ กบั ป้ายชื่อรา้ นท่ีแตล่ ะรา้ นทาํ ไวเ้ ป็นเอกลกั ษณใ์ หเ้ ห็นชัดเจน ไมเ่ วน้ แตน่ กั ทอ่ งเที่ยวชาวไทยท่ีมากนั เป็นครอบครวั ท่ีเราประสบพบเจออีกหลายคน
แมว้ า่ เราจะซือ้ ขา้ วของสาํ หรบั ไปจดั การกบั มอื้ เย็นกนั เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ แต่ก็ยงั คงออ้ ยอิ่งเดิน ลดั เลาะแวะชมน่นู น่ีอยู่ในเขตเมืองเก่าจนฟ้าเร่ิมมืด ซึ่งเป็นสญั ญาณบอกให้เราตอ้ งกลบั ท่ีพักไป พกั ผอ่ นกนั ไดแ้ ลว้ Füssen ท่ีตกหลมุ รกั
อาคารมสี สี นั สวยหวานไปทงั้ เมอื ง ตามถนนหนทางตกแตง่ ดว้ ยดอกไม้ ยงั คงคราคร่าํ ไปดว้ ยนกั ทอ่ งเท่ยี วแทบทกุ รา้ น
ฟื สเซนที่คกึ คกั คราครา่ํ ไปดว้ ยนกั ทอ่ งเท่ียวเร่มิ กลบั เขา้ สคู่ วามเงียบสงบอกี ครง้ั เมอ่ื พระอาทิตย์ ตกดินอากาศที่เย็นอยแู่ ลว้ ยิ่งเย็นยะเยือกขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ พวกเราพากนั กระชบั เสือ้ หนาวใหม้ ิดชิดปิด กนั้ ลมหนาวท่ีโชยมาเป็นระยะๆ ในขณะเดยี วกนั ก็พากนั เรง่ ฝีเทา้ เดินกลบั บา้ นไปหาไออนุ่ ที่รออยู่ พรุง่ นี้ ยงั มีเวลากบั ฟื สเซนอีกหนง่ึ วนั ไวว้ นั พรุง่ กอ่ นเถอะเราคงไดพ้ บกนั
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: