Germany : Love at first drive Chapter 10 : Rainy day in Munich หนูเล็ก
มิวนิค.....วันฟ้าหม่น วนั นเี้ ราตน่ื กันค่อนข้างเร็ว อาจจะเป็ นเพราะเม่ือคนื ไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่ท่ไี หน เขา้ นอนกนั เรว็ กวา่ ท่ีเคย อกี สาเหตหุ นึ่งก็คอื การมานอนแบบดอรม์ แบบนี้ เราตอ้ งรีบชิงหลบั ใหไ้ ดก้ ่อน ถา้ มวั แตร่ อใหค้ นอ่ืนหลบั แลว้ สง่ เสยี งกรนสน่นั หนเู ลก็ คนนึงละท่ีจะพาลนอนไมห่ ลบั เอา สาํ หรบั ตอนเชา้ เราก็ตอ้ งรีบลกุ แต่เชา้ เพราะพวกฝร่งั นิยมกลบั มาดึกๆ แลว้ ต่ืนสายหน่อย ฉะนั้นก็ตอ้ งรีบต่ืนไปแย่ง หอ้ งนา้ํ จรงิ ๆ แลว้ ที่นี่เขามอี าหารเชา้ บรกิ ารดว้ ย แตต่ อ้ งจา่ ยเงินเพ่ิม พวกเรามเี สบียงมาเต็มอตั รา และ ทกุ คนกเ็ บื่ออาหารเชา้ แบบเยอรมนั กนั จะแย่ ก็เลยพากนั หอบขา้ วของไปปรุงกนั เองท่ีครวั ดกี วา่ เมอ่ื อ่มิ หมพี ีมนั กนั แลว้ คงไดเ้ วลาทาํ ความรูจ้ กั กับมิวนิคกนั เสียที เรามีเวลากับท่ีน่ีไม่มากนกั แมว้ า่ จะพกั คา้ งท่ีน่ี 2 คืน กย็ งั นบั วา่ นอ้ ยมากสาํ หรบั การชมสิ่งตา่ งๆ ท่ีงดงามและมอี ยมู่ ากมายในเมือง นี้ แต่ทาํ อย่างไรได้ แมจ้ ะอยากทาํ ความรูจ้ ักสนิทสนมกับมิวนิคมากเพียงใด เราก็ยังเป็นพวกรักพ่ี เสยี ดายนอ้ ง กลวั วา่ จะไมไ่ ดไ้ ปทาํ ความรูจ้ กั กบั เมืองอ่ืนๆ ท่ีเป็นจดุ หมายในวนั ถดั ๆ ไป เคยอา่ นหนังสือ เล่มหนึ่งเขาบอกวา่ ถา้ คิดจะเที่ยวมิวนิควนั เดียวใหเ้ ลิกคิดไปเลย แมว้ ่าจะใชว้ ิธีข่ีมา้ ชมเมืองก็เถอะ อย่างนอ้ ยๆ จะตอ้ งใหเ้ วลามิวนิคประมาณ 3 วนั ยงั พอจะสาํ รวจตรวจตราไดพ้ อสมควร กเ็ อาน่ะ มีเวลา เท่านีก้ ็พยายามตกั ตวงใหไ้ ดม้ ากที่สดุ กแ็ ลว้ กนั พวกเรารูจ้ กั เมืองนีใ้ นช่ือ มิวนิค (Munich) แต่คนเยอรมนั เรียกกนั วา่ มนึ เช่น (München) ตวั เมืองตงั้ อยบู่ นแมน่ า้ํ อซิ าร์ (Isar) เหนือเทือกเขาแอลป์ เป็นเมืองหลวงของรฐั บาวาเรยี (Bavaria) หรอื ใน ภาษาเยอรมนั ที่เรยี กวา่ บาเยิรน์ (Bayern) มิวนิคจดั ไดว้ า่ เป็นเมอื งใหมเ่ พราะแตเ่ ดิมเป็นเพียงชมุ ชนที่ ถกู สรา้ งขนึ้ โดยนกั บวชเบเนดคิ กลมุ่ หนึ่งที่พากันมาสรา้ งอารามขนึ้ บริเวณแม่นา้ํ อิซาร์ ถูกสถาปนาขนึ้ เป็นเมืองโดยดยคุ เฮนร่ี เดอะ ลอี อง (Henry the Lion) ซึง่ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากกลมุ่ ตา่ งๆ ในแควน้ บา วาเรีย โดยมีช่ือปรากฏเป็นเอกสารหลกั ฐานจากการบนั ทึกการประชมุ สภาแหง่ จกั รวรรดิโรมนั ของเมือง เอาสบ์ ูรก์ ที่จกั รพรรดิฟรีดริช บารบ์ ารอสซา (Friedrich Barbarossa) ลงพระนามไวเ้ มื่อปี ค.ศ.1158 ต่อมาในภายหลงั ราชวงศว์ ิทเทลบาคสไ์ ดเ้ ขา้ มาขบั ไล่ดยุคเฮนรี่ไป และเขา้ ครอบครองตง้ั แตป่ ี ค.ศ. 1180 ราชวงคว์ ทิ เทลบาคส์ นาํ ความเจรญิ ตา่ งๆ มาสมู่ วิ นิคเป็นอย่างมาก และไดส้ ถาปนาใหเ้ ป็นเมือง หลวงของราชอาณาจักรเยอรมนั ระยะหนึ่งดว้ ย ความรุ่งเรืองของมิวนิคเกิดจากธุรกิจการคา้ เกลือ เนื่องจากมกี ารขนสง่ เกลือมาตามแมน่ า้ํ อิซาร์ ความเจรญิ ในดา้ นตา่ งๆ จึงเขา้ มาไมว่ า่ จะเป็นศิลปะหรือ วฒั นธรรม มกี ารสรา้ งศาลาวา่ การเมืองศิลปะโกธิค โบสถโ์ กธิคเฟราเอนเคียเชอ (Frauenkirche) ซ่ึงมี ความงดงามและยิ่งใหญ่มาก ใช้เวลาสรา้ งประมาณ 20 ปี โบสถ์มิคาเอลเคียเชอ (Michaelkirche) รวมทั้งโรงเบียรอ์ ย่างฮอฟเบราเฮาส์ (Hofbräuhaus) ก็ถือกาํ เนิดมาตงั้ แต่น้ัน มิวนิคจึงกลายเป็นจุด ศนู ยก์ ลางของอารยธรรมและศลิ ปะตา่ งๆ มากมาย แตเ่ ม่อื เกิดสงคราม 30 ปีกษัตรยิ ก์ สุ ตาฟแหง่ สวีเดน กเ็ ขา้ มายดึ ครองเมอ่ื ปี ค.ศ.1632 ตอ่ มาดยคุ แห่งบาวาเรยี แมกซิมิลเลียน
ท่ี 1 ไดร้ บั ความช่วยเหลอื จากฝร่งั เศส กไ็ ดด้ นิ แดนนีก้ ลบั คืนมา ภายหลงั เกิดการปฏวิ ตั ิฝร่งั เศส บาวาเรียกไ็ ดก้ ลบั มาเป็นดนิ แดนที่รุง่ เรืองอกี ครงั้ สวนสาธารณะแหง่ แรกของเมอื งถือกาํ เนิดขนึ้ ในปี ค.ศ.1789 โดยเจา้ ชายคารล์ ธีโอดอร์ (Karl Theodor) เพ่ือหวงั ใหเ้ ป็นที่พกั ผอ่ นหย่อนใจของชาวเมือง ในชื่อองิ ลิชการเ์ ดน (English Garden) ตอ่ มา ในปี ค.ศ.1806 บาวาเรียไดร้ ับการสถาปนาเป็นอาณาจักรกษัตริย์ พอมาในปี ค.ศ.1810 สมัยของ จกั รพรรดิแ์ มกซโ์ จเซฟที่ 1 (Max Joseph I) ไดจ้ ดั ใหม้ งี านออคโทเบอรเ์ ฟส (Oktoberfest) เพื่อเป็นการ ฉลองสมรสของพระเจา้ ลดุ วิกท่ี 1 พระโอรส กบั เจา้ หญิงแห่งซาเชน (Sachsen) จนนาํ มาสกู่ ารจัดเป็น ประเพณีการเฉลิมฉลองตอ่ เนื่องตลอดมา จดั เป็นเทศกาลประจาํ ปีท่ีจะมอี าหารบาวาเรยี ดนตรีแบบบา วาเรีย และเบียรส์ ดท่ีรนิ กนั ไมม่ ีหยดุ ตลอดเทศกาล เมอ่ื พระเจา้ ลดุ วกิ ที่ 1 ขนึ้ ครองราชย์ พระองคไ์ ดใ้ หก้ ารสนับสนุนที่จะใหม้ ิวนิคเป็นศนู ยก์ ลาง แห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง สรา้ งมิวนิคใหเ้ ตม็ ไปดว้ ยสถาปัตยกรรมโมเดิรน์ คลาสสิค ไม่ว่าจะเป็น พระราชวงั (Residence) พิพิธภณั ฑพ์ ินาโกเตกทงั้ เก่าและใหม่ (Old and New Pinakotheks) และอ่ืนๆ อกี มากมายมวิ นิคจึงกลายเป็นศนู ยก์ ลางทางวฒั นธรรมท่ีสาํ คญั ของยโุ รป โดยพระองคท์ รงปรารถนาให้ มวิ นิคเป็น “มหานครเอเธนสบ์ นฝ่ังแมน่ า้ํ อิซาร”์ ตอ่ มาในรชั สมยั ของกษัตริยแ์ มกซโ์ จเซฟที่ 2 ก็พยายาม สรา้ งสิ่งตา่ งๆ เพ่ิมขนึ้ ไปอีก โดยเฉพาะบริเวณถนนแมกซิมิลเลียน รวมทงั้ อาคารรฐั สภาแห่งบาวาเรีย (Maximilianeum) แตเ่ มอ่ื มาสสู่ มยั พระเจา้ ลดุ วกิ ที่ 2 มิวนิคไมไ่ ดร้ บั การทุ่มเทใดๆ จากพระองค์ เพราะ พระองคท์ รงโปรดการใชช้ ีวิตลาํ พัง และการไดอ้ ยู่ในโลกแห่งจินตนาการ พระองคจ์ ึงไปทุ่มเทกบั การ สรา้ งปราสาทตามเมืองตา่ งๆ ในแควน้ แทนที่จะเป็นเมืองหลวง ชว่ งก่อนปี ค.ศ.1900 นกั คิดนกั เขียนจากท่วั ทุกมมุ โลกไดเ้ ดินทางมารวมตวั กนั อยู่ในย่านชวา บิง (Schwabing) เพ่ือสรรคส์ รา้ งงานศิลปะและแลกเปล่ยี นทศั นคติ ความรูก้ นั ทาํ ใหม้ ิวนิคเป็นเมืองท่ี รุม่ รวยดว้ ยศิลปะแขนงตา่ งๆ อย่างมาก อดอลฟ์ ฮิตเลอรเ์ องกเ็ คยอาศยั อยใู่ นยา่ นนี้ ในช่วงสงครามโลก ครั้งท่ี 1 เยอรมนีถูกโจมตี ราชวงศท์ ่ีปกครองอยู่ในขณะนั้นต้องหลบหนีไปอยู่ที่อ่ืน ทําให้ลัทธิ คอมมิวนิสตเ์ รมิ่ เขา้ มาสมู่ วิ นิคตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1919 เลนินซ่ึงเขา้ มาอาศยั อย่ใู นย่านชวาบิงก่อนหนา้ นน้ั ไม่ นานถึงกบั มีโทรเลขแสดงความยินดีตอ่ ความสาํ เรจ็ กลบั ไปยงั สหภาพโซเวยี ต แตล่ ทั ธินีอ้ ย่ไู ดไ้ มน่ านนัก ก็ถกู กลมุ่ ทหารที่เรยี กตวั เองวา่ ไฟรค์ อรบ์ ส์ (Freikorps) โค่นลม้ ลง จนกระท่ังปี ค.ศ.1923 อดอลฟ์ ฮิต เลอร์ และพรรคพวกพยายามยึดอาํ นาจการปกครอง แตไ่ ม่สาํ เร็จ ส่งผลใหฮ้ ิตเลอรต์ อ้ งถกู จับกุมไป กิจกรรมของพรรคนาซีตอ้ งหยุดลง จนกระท่ังฮิตเลอรก์ ลบั มามีอาํ นาจอีกครงั้ ในปี ค.ศ.1933 และ ประกาศใหม้ ิวนิคเป็นศนู ยก์ ลางแห่งการเคลื่อนไหวของกองทพั นาซี แต่เม่ือฮิตเลอรน์ าํ เยอรมนีเขา้ สู่ สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 มิวนิคเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกทิ้งระเบิดถึง 71 ครั้งในช่วง 5 ปี นับเป็น ชว่ งเวลาท่ีเลวรา้ ยที่สดุ ของเยอรมนี จนกระท่งั สหรฐั อเมริกาสามารถยึดครองมิวนิคไดส้ าํ เรจ็ ในปี ค.ศ. 1945 หลงั จากเวลานนั้ เยอรมนีไดถ้ ูกแบ่งแยกออกเป็นเยอรมนีตะวนั ตกและเยอรมนีตะวนั ออก ดา้ น
ตะวนั ตกไดก้ ลายมาเป็นสาธารณรฐั เยอรมนี บาวาเรียมีฐานะเป็นรฐั หนงึ่ ของประเทศ และถกู กาํ หนดให้ เป็นเมอื งหลวงของบาวาเรยี เช่นเดิมในปี ค.ศ.946 ภายหลงั สงครามมิวนิคไดบ้ รู ณะสงิ่ กอ่ สรา้ งต่างๆ ท้ังพระราชวงั โรงละครแห่งชาติ พิพิธภณั ฑ์ ลว้ นไดร้ บั การบูรณะจนกลับมางดงามดังเดิม และในปี ค.ศ.1972 มิวนิคไดร้ บั เกียรติเป็นเจา้ ภาพ มหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดรู อ้ น ทาํ ใหเ้ กิดสิ่งปลกู สรา้ งที่เป็นมรดกทิง้ ไวภ้ ายหลงั การเป็นเจา้ ภาพกีฬา ทง้ั สวนสาธารณะ สนามกีฬา สระว่ายนา้ํ หอคอยโอลิมปิก ใหก้ ลายเป็นโอลิมปิกพารค์ (Olympic Park) หรือแมแ้ ต่รถไฟใตด้ ินจากสายแรกจนปัจจุบันท่ีมีเพิ่มอีกหลายสาย ทาํ ใหช้ าวเยอรมนีไดร้ ับความ สะดวกสบายและสวสั ดิการที่ดีไปดว้ ย แตก่ ารจดั กีฬาโอลิมปิกครงั้ นน้ั กไ็ ดม้ ีเหตกุ ารณอ์ นั น่าโศกสลด ถา้ ใครเคยดหู นงั เรื่อง “มวิ นิค” (Munich) กค็ งจะคนุ้ ๆ กบั เรอื่ งเศรา้ ๆ นี้ เรือ่ งนีส้ รา้ งโดยมีเคา้ โครงจากเรื่อง จรงิ บางสว่ นก็แตง่ แตม้ เขา้ มา ถา้ อยากเศรา้ มากๆ เขาบอกว่าตอ้ งไปดเู รื่องนี้ Ein Tag im September เป็นหนงั สารคดีที่เป็นเรื่องของเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขนึ้ ในเดือนกนั ยายน ปี ค.ศ.1972 ที่นกั กีฬาชาวอิสราเอล จาํ นวน 11 คน ถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มปาเลสไตน์ท่ีแอบลักลอบเข้าไปในหอพักนักกีฬา จดุ ประสงคก์ ค็ ือ เพ่ือเรยี กรอ้ งใหม้ ีการปลอ่ ยชาวปาเลสไตนใ์ นอสิ ราเอล สาเหตทุ ี่เลือกที่น่ีก็เพราะใครๆ กร็ ูว้ า่ เวลามกี ีฬาระดบั นีส้ อ่ื มวลชนมมี ากมายกา่ ยกองขนาดไหน ตวั ประกันถกู จบั เป็นเวลา 1 วนั 2 คืน ก่อนการปลอ่ ยตวั ประกนั ตวั ประกนั ถกู ฆา่ ตายอนั เน่ืองมาจากความผิดพลาดในดา้ นการประสานงาน ของตาํ รวจ สว่ นกลมุ่ ปาเลสไตนจ์ าํ นวน 8 คน เหลือรอด 3 คน การสง่ นกั กีฬาเขา้ รว่ มการแขง่ ขนั ในกีฬา โอลิมปิคของอสิ ราเอลถือเป็นสญั ญาณครงั้ แรกที่อิสราเอลประกาศตวั แบบกลายๆ วา่ ยอมรบั เยอรมนี ทงั้ ๆ ท่ีขอ้ ขดั แยง้ ของสงครามโลกครงั้ ที่ 2 เริ่มจากความไมพ่ อใจของยิวที่ถกู คนเยอรมนั กดขี่และเหยียด หยาม การเกิดเหตกุ ารณค์ รงั้ นีเ้ ลยกลบั ทาํ ใหต้ อกยา้ํ ความเจ็บปวดของชาวยิวขนึ้ มาอีกรอบ ความ พยายามในการฟื้นฟเู พียงไมก่ ่ีปี มิวนิคกฟ็ ื้นกลบั มาย่ิงใหญ่และงดงามดงั เดมิ และกลายเป็นหนึ่งในสิบ เมอื งที่ประชากรมคี ณุ ภาพชีวติ ดมี ากเมอื งหนงึ่ ของโลก ระดบั ภาวะมลพิษอย่ใู นเกณฑต์ ่าํ ซึ่งน่นั ก็เป็น ที่มาที่ทาํ ใหค้ า่ ครองชีพในมวิ นิคคอ่ นขา้ งสงู ใครมคี วามคดิ จะไปพาํ นกั อย่ทู ี่มวิ นิคนานๆ คงตอ้ งคิดมาก หนอ่ ยแลว้ เรม่ิ ออกเดนิ สาํ รวจเมือง
การไปเที่ยวมวิ นิคคงจะดีถา้ เราจะฝากรถไวท้ ี่โฮสเทล เพราะการไปเดนิ เที่ยวกนั ในเขตเมืองเก่า เอารถไปดจู ะเป็นภาระเสียมากกว่า เมื่อโผล่หนา้ ออกไปดา้ นนอก ทาํ ใหพ้ บวา่ ฟ้ายงั คงฉ่าํ ฝน สายฝน ยงั คงโปรยปรายไมห่ ยดุ และดไู มม่ ที ีท่าวา่ จะหยดุ ง่ายๆ คงจะตกไปเรื่อยๆ แบบนีท้ ัง้ วนั แมว้ า่ จะไมไ่ ด้ หนกั อะไร แตก่ ็โปรยใหห้ นาวๆ ชืน้ ๆ แฉะๆ อยอู่ ย่างนน้ั พวกเราพากันเดินไปตามถนนลนั ดส์ เบอรเ์ กอร์ (Landsberger) ดา้ นหนา้ โฮสเทล จนไปเจอกบั ถนนบาเยอร์ (Bayerstraße) ซ่ึงไม่ไกลนกั จะเป็นสถานี รถไฟ (Hauptbahnhof Central Station) ขนาดวา่ มองจากภายนอกยงั รูส้ กึ เลยวา่ ดา้ นในคงพลกุ พล่าน นา่ ดู เพราะเป็นชมุ ทางท่ีรถไฟสารพดั ขบวนจะมาท่ีน่ี ก็มิวนิคเป็นเมอื งท่องเที่ยวที่นกั เดนิ ทางไมพ่ ลาดที่ จะมาแวะอยแู่ ลว้ เราเดินตอ่ มาเรือ่ ยๆ จนถงึ คารล์ สพ์ ลาทส์ (Karlsplatz) จากนน้ั กเ็ ดนิ ลงทางลอดใตด้ นิ เพ่ือขา้ มถนนซอนเนน (Sonnenstraße) เพื่อเข้าสู่ประตูเมืองทางทิศตะวนั ตกที่ชื่อ คารล์ สต์ อร์ (Karlstor) ซึ่งเป็ นหน่ึงในสามประตูโบราณเพ่ือเข้าสู่ตัวเมืองช้ันในทางถนนนอยเฮาเซอร์ (Neuhauserstraße) และถนนเคาทิงเงอร์ (Kautingerstraße) ซ่ึงเป็นถนนคนเดิน เมื่อโผล่ขึน้ มา ดา้ นบน ทาํ ใหพ้ บวา่ เราไดล้ อดผา่ นนา้ํ พรุ ิชารท์ สเตราส์ (Richart Strauss) ขนาดใหญ่บริเวณคารล์ พลาทสม์ า และมายืนอย่ทู ี่หนา้ ประตเู มืองเป็นท่ีเรยี บรอ้ ย Hauptbahnhof Central Station ประตเู มอื งทางทิศตะวนั ตก และนา้ํ พรุ ชิ ารท์ สเตราส์ (Richart Strauss)
คารล์ สต์ อร์ (Karlstor) ถือเป็นสว่ นหน่ึงของป้อมปราการท่ีสรา้ งขึน้ ตง้ั แต่ยคุ กลาง เป็นประตู ทางเขา้ เขตเมืองเก่าทางทิศตะวนั ตก เดิมเรียกวา่ นอยเฮาเซอรต์ อร์ (Neuhauser Tor) มาเรียกกนั ใหม่ เม่อื ปี ค.ศ.1791 เพ่ือเป็นเกียรติแกเ่ จา้ ชายคารล์ ส์ ทีโอดอร์ (Prince Karl Theodor) ผซู้ ึ่งทาํ ลายกาํ แพง เมืองเก่าเพ่ือขยายเขตเมืองใหก้ วา้ งขวางขึน้ ครองราชยร์ ะหว่างปี ค.ศ.1777 – 1779 เดิมประตนู ีม้ ี หอคอยอยู่ 3 หลงั หอคอยท่ีสงู กวา่ ใครเพื่อนนน้ั ถกู ทาํ ลายไปเม่ือปี ค.ศ.1861 เน่ืองจากดินปืนที่เก็บไว้ บรเิ วณนนั้ เกิดระเบิดขนึ้ จึงไดม้ กี ารบรู ณะขนึ้ มาใหม่โดยช่างฝีมือที่ช่ือ โดเมนิโก ซาเนตติ (Domenico Zanetti) เป็นศลิ ปะแบบนีโอโกธิค รูปปั้นบรอนซท์ ี่ตกแตง่ ไวบ้ ริเวณดา้ นขา้ งนาํ มาจากนา้ํ พเุ ก่าบรเิ วณมา เรยี นพลาทซ์ ตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1865 ถือเป็นจดุ ปลายดา้ นทิศตะวนั ตกของถนนคนเดนิ ตลอดสองขา้ งทางของถนนเตม็ ไปดว้ ยรา้ นรวงท่ีขายสินคา้ สารพัด ท้ังเครื่องสาํ อาง เสือ้ ผา้ กระเป๋ า รองเทา้ นาฬิกา พวกเราผถู้ นดั การชอปปิ้งผา่ นทางช่องกระจกรา้ น สนกุ สนานกบั การไดเ้ ดินชม ไปเรอ่ื ยๆ แตม่ าสะดดุ ตรงท่ีอาคารหลงั หนง่ึ ท่ีเห็นคนเปิดประตเู ดินเขา้ – ออกกัน พวกเราจึงพากันเปิด ประตตู ามเขา้ ไป ปรากฏวา่ อาคารนีก้ ค็ อื เบิรก์ เกอรซ์ าล ( ซึ่งเป็นแขนงหนึง่ ของนิกายเยซอู ติ ท่ีตงั้ ขึน้ เม่ือ ปี ค.ศ. 1563) มารวมกลมุ่ กนั สรา้ งขึน้ ตอนตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 จึงไดต้ งั้ ชื่อนีข้ ึน้ เพื่อเป็นสญั ลกั ษณ์ โบสถแ์ ห่งนีอ้ อกแบบโดยจิโอวานนี อนั โตนิโอ วิสคารด์ ี (Giovanni Antonio Viscardi) ภายในแบ่งเป็น สองชน้ั โดยชนั้ ลา่ งเป็นสถานท่ีเก็บศพของบาทหลวง รูเพิรท์ เมเยอร์ (Rupert Mayer) นักเคล่ือนไหว ตอ่ ตา้ นลทั ธินาซีคนสาํ คญั จนถกู สง่ ตวั ไปยงั คา่ ยกกั กันจนเสียชีวิตในปี ค.ศ.1945 และท่านไดร้ บั การ แตง่ ตงั้ เป็นนกั บญุ ในปี ค.ศ.1987 เขาตกแตง่ สถานท่ีเก็บศพไวอ้ ย่างงดงาม มีต๊กุ ตาปูนปั้นทาํ ดว้ ยหิน อ่อนตามจดุ ต่างๆ เพื่อบอกเลา่ เร่ืองราวทางคริสตศาสนา ส่วนชั้นบนเป็นโบสถท์ ่ีไดร้ ับการตกแตง่ ไว้ อยา่ งงดงาม ตกแตง่ ดว้ ยปนู เปียกสตคั โค ฝีมอื ของโจเซฟ จอรจ์ บาเดอร์ (Joseph Georg Bader) สลบั ดว้ ยภาพวาดฝีมอื ของแอนตนั ฟอน กมั พ์ (Anton von Gumpp) ชว่ งสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ภายในโบสถน์ ี้ ถกู ไฟไหมไ้ ดร้ บั ความเสยี หายตอ้ งทาํ การบรู ณะใหมเ่ ป็นการใหญ่
Bürgersaal สถานท่ีที่ผเู้ ลอ่ื มใสในศาสนาคริสต์ กลมุ่ มาเรียนคอนกรเี กรชนั (Marian Congregation) มารวมกลมุ่ กนั เมอ่ื เดินชมภายในกนั พอหอมปากหอมคอ เราก็พากนั ออกเดนิ เที่ยวตอ่ สายฝนท่ียงั คงโปรยมา เร่อื ยๆ ไมไ่ ดท้ าํ ใหเ้ ราสะทกสะทา้ นเชน่ เดยี วกนั กบั นกั ท่องเที่ยวหรือชาวเยอรมนั ท่ีเดินกนั ขวกั ไขวไ่ ปมา ราวกบั วา่ ไมไ่ ดร้ ูส้ กึ รูส้ าอะไรกบั เมด็ ฝน โปรยมาไมห่ ยดุ เดนิ มาไดเ้ พียงนิดเดียวก็สะดดุ ตากับรูปป้ันหมู ป่ าที่ตงั้ อย่กู ลางทาง ที่รูปป้ันตวั นีห้ ากสงั เกตจะพบวา่ บริเวณจมกู จะขนึ้ เงาสที องวาววบั ไมใ่ ชอ่ ะไรหรอก เขามคี วามเช่ือกนั วา่ หากไดล้ บู จมกู ของเจา้ หมปู ่ าตวั นี้ จะไดส้ ามที ่ีดี พวกสาวๆ จึงมกั จะมาลบู จมกู จน ขนึ้ เงา คณุ สดุ ไดย้ ินดงั นน้ั จงึ ไมร่ อชา้ ลบู ไปมาเสยี หลายทีเชียว รูปปั้นนีจ้ ะตง้ั อย่ขู า้ งหนา้ พิพิธภณั ฑก์ าร ล่าสตั วแ์ ละตกปลาของเยอรมนี (Deutsches Jagd-und Fischerei museum) หากพิจารณาจาก รูปลกั ษณข์ องอาคารจะพบวา่ เดิมเป็นโบสถท์ ี่สรา้ งตงั้ แตค่ รสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 แตม่ ีการบรู ณะสรา้ งใหม่ หลายตอ่ หลายครงั้ ปรบั ปรุงเปล่ียนแปลงไปมา ใชเ้ ป็นสถานท่ีจดั คอนเสิรต์ ก็เคย แต่ตอ่ มาในปี ค.ศ. 1966 กไ็ ดเ้ ปล่ียนมาใชเ้ ป็นพิพิธภณั ฑก์ ารลา่ สตั วแ์ ละตกปลาของเยอรมนีแทน ของที่จดั แสดงอยภู่ ายใน ยา้ ยมาจากพระราชวงั นิมเฟนบรู ก์ (Schloße Nymphenburg) มีทง้ั อปุ กรณใ์ นการล่าสตั ว์ รถเลื่อนบน หิมะ ถุงผา้ และสัตวส์ ตาฟกว่า 500 ชนิด รวมท้ังการแสดงศิลปะในการตกปลา การเขา้ ชมจะเสีย คา่ ธรรมเนียมเลก็ นอ้ ย ถา้ ใครสนใจหรอื พอมีเวลากส็ ามารถไปชมได้
พิพิธภณั ฑก์ ารลา่ สตั วแ์ ละตกปลา วา่ กนั วา่ หากลบู จมกู หมปู ่ าตวั นี้ จะไดส้ ามที ่ีดี จดุ หมายของเราตอนนีไ้ ม่ใช่ท่ีน่ี แต่เป็นโบสถ์เก่าแก่อย่างเฟราเอนเคียเชอ (Frauenkirche) โบสถห์ วั หอมคสู่ ญั ลกั ษณข์ องมิวนิค ซึ่งเมื่อเดินอย่บู ริเวณนีก้ ็จะเห็นยอดโดม 2 ยอดสงู ตระหง่าน แต่ หอคอยหนง่ึ ถกู หอ่ หมุ้ เอาไว้ คาดวา่ น่าจะอยู่หว่างการซ่อมแซมบรู ณะ มีเร่ืองเลา่ ขาํ ๆ วา่ เคยอา่ นรีวิว ของนกั ทอ่ งเที่ยวท่ีเคยมาเยือนโบสถแ์ หง่ นี้ แตล่ ะคนบอกวา่ จะมีใครบา้ งไหมที่มาแลว้ ไมเ่ จอว่าโบสถน์ ี้ อยรู่ ะหวา่ งการบรู ณะ เพราะถา่ ยรูปกลบั ไปทีไรไมห่ อคอยอนั ใดอนั หนึ่งมอี นั ตอ้ งปิดซอ่ มใหไ้ ดร้ ูปไม่คอ่ ย งามกนั เสยี ทกุ ที โบสถห์ วั หอมคู่ เฟราเอนเคียเชอ เฟราเอนเคียเชอ (Frauenkirche) หรือโบสถพ์ ระแมม่ ารี (Church of Our Lady) เป็นโบสถ์ โกธิคที่มีขนาดใหญ่ที่สดุ ในเยอรมนีตอนใต้ ใชเ้ วลาก่อสรา้ งประมาณ 20 ปี คือตงั้ แต่ ปี ค.ศ.1468 – 1488 สรา้ งขึน้ เพ่ือทดแทนโบสถ์หลังเก่าที่เป็นแบบโรมาเนสก์ (Romanesque) ท่ีสรา้ งมาต้ังแต่ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 12 ผรู้ บั ผดิ ชอบในการกอ่ สรา้ งคือ เยิรก์ ฟอน ฮลั สบ์ คั ช์ (Jörg Von Halsbach) แตก่ ็มา
เสียชีวติ ไปก่อนท่ีจะแลว้ เสรจ็ มีการดาํ เนินการตอ่ โดยลคู สั รอททาเลอร์ (Lukas Rottaler) เป็นโบสถท์ ่ี สรา้ งดว้ ยอิฐสีแดงแทนท่ีจะเป็นหินเช่นเดียวกบั โบสถท์ ่วั ๆ ไป ส่วนท่ีเป็นหอคอยมาสรา้ งเพ่ิมเติมใน ภายหลัง ความสงู ของหอคอยประมาณ 100 เมตร หรือ 330 ฟุต การก่อสรา้ งหอคอยและยอดโดม มาแลว้ เสรจ็ ในปี ค.ศ.1525 แตก่ ็เป็นเรื่องท่ีน่าเศรา้ เม่ือครงั้ เกิดสงครามโลกครงั้ ที่ 2 โบสถแ์ ห่งนีไ้ ดร้ บั ความเสียหายมาก สว่ นของหลงั คาพงั ทลายลงมาเลยทีเดียว หอคอยดา้ นหนึ่งไดร้ บั ความเสียหายและ ไดร้ บั การบรู ณะใหมเ่ ม่อื ปี ค.ศ.1953 และเพ่ิงผา่ นการซอ่ มใหญ่ไปเมอื่ ปี ค.ศ.1994 นีเ้ อง โบสถส์ ามารถ บรรจคุ นไดม้ ากถึง 20,000 คน สว่ นท่ีเป็นยอดหัวหอมท่ีเราเห็นเป็นสีเขียวเป็นเพราะทาํ ดว้ ยทองแดง เมอ่ื นานวนั เขา้ กเ็ กิดเป็นสนมิ ก็เลยกลายเป็นสีเขียวอยา่ งท่ีเห็นโบสถแ์ หง่ นีแ้ บง่ ออกเป็น 2 สว่ น สว่ นแรก คือ อาคารดา้ นลา่ งสรา้ งดว้ ยอฐิ สีแดง มีความยาว 109 เมตร กวา้ ง 40 เมตร และสงู 37 เมตร และอีก สว่ นคือสว่ นท่ีเป็นจดุ เดน่ ของโบสถแ์ หง่ นี้ น่นั คือ หอคอยทงั้ สองที่มหี ลงั คาเป็นรูปทรงหวั หอม จรงิ ๆ แลว้ หอคอยจะมีความสงู ไมเ่ ท่ากัน หอคอยดา้ นทิศเหนือสงู 98.57 เมตร สว่ นหอคอยดา้ นทิศใตส้ งู 98.45 เมตร แลว้ การที่ยอดของหอคอยกลายเป็นโดมหวั หอมก็เป็นเพราะขาดแคลนทนุ ทรพั ยใ์ นการก่อสรา้ ง เลยตอ่ เติมเป็นแบบนีแ้ ทน แตก่ ท็ าํ ใหก้ ลายเป็นสญั ลกั ษณข์ องเมอื งมิวนิคที่ท่วั โลกรูจ้ กั ดี ท่ีมีชื่อเสียงคือแทน่ บชู าดา้ นในที่ไดร้ บั การตกแต่งอย่างหรูหรา ภายในโบสถต์ กแตง่ แบบเรียบ งา่ ย ภายในดสู งู โปรง่ คงเป็นเพราะทาดว้ ยสขี าวเป็นหลกั และไดร้ บั แสงจากหนา้ ตา่ งทรงสงู จาํ นวนมาก ที่ทาํ จากกระเบือ้ งและโมเสก และดว้ ยความที่เป็นส่งิ กอ่ สรา้ งสาํ คญั กฎหมายไดก้ าํ หนดไวว้ ่า หา้ มส่ิงปลกู สรา้ งใหมๆ่ ที่จะ เกิดขนึ้ มคี วามสงู มาบดบงั ยอดหอคอยคแู่ หง่ นีโ้ ดยเดด็ ขาด ชมดา้ นนอกกนั แลว้ เขา้ ไปชมดา้ นในกนั บา้ ง แคก่ า้ วเทา้ เขา้ ไปท่ีโถงดา้ นในเพียงนิดเดียว หากกม้ มองท่ีพืน้ จะเห็นรอยสีดาํ ท่ีพืน้ กระเบือ้ งแผน่ หน่ึง เขาบอกวา่ น่ีคือ รอยเทา้ นีม้ ขี นาดพอๆ กบั รอยเทา้ มนษุ ย์ แตต่ รงทา้ ยมีเหมอื นหางยาวๆ ออกไป เร่ืองนี้ มตี าํ นานเล่าเอาไวว้ า่ ในสมยั ก่อนปีศาจจะคอยจอ้ งมาทาํ ลายโบสถ์ เพราะพวกปีศาจจะไมช่ อบแสง สวา่ ง ช่างท่ีก่อสรา้ งโบสถน์ ีต้ อ้ งการสรา้ งโบสถใ์ หส้ าํ เรจ็ จึงขอใหป้ ีศาจช่วย โดยสญั ญาวา่ จะไมส่ รา้ ง หนา้ ตา่ งเพ่ือไมใ่ หม้ แี สงสวา่ งเขา้ มาตามท่ีปีศาจตอ้ งการ ปีศาจจึงไมข่ ดั ขวางการสรา้ ง เพราะคิดวา่ หาก โบสถแ์ ห่งนีไ้ ม่มีหนา้ ต่าง ผคู้ นก็คงไมเ่ ขา้ มาสวดมนตเ์ ป็นแน่ และปีศาจก็จะสามารถครอบครองจิต วิญญาณผคู้ นไวไ้ ดท้ ง้ั หมด แตจ่ ริงๆ แลว้ ช่างใชว้ ิธีการสรา้ งใหเ้ สาบังหนา้ ต่างเอาไว้ เม่ือโบสถน์ ีส้ รา้ ง เสร็จปีศาจก็เขา้ มาเหมือนเคย แต่เม่ือกา้ วเขา้ มากลบั มองเห็นแสงสว่างจากหนา้ ตา่ งเต็มไปหมด จึง กระทืบเทา้ ดว้ ยความโกรธที่ถกู มนษุ ยห์ ลอกจนสรา้ งโบสถส์ าํ เร็จ จึงปรากฏเป็นร่องรอยเทา้ ของปีศาจ นบั แตน่ นั้ ดแู ลว้ กเ็ ห็นจรงิ เพราะหากยืนตรงตาํ แหนง่ ท่ีมรี อยเทา้ ปีศาจ จะมองไมเ่ ห็นหนา้ ตา่ งดา้ นขา้ งที่ มีมากมาย เพราะเสาขนาดมหมึ าจาํ นวนมากบดบังไวเ้ สียหมด ตอ้ งยอมรบั เลยวา่ เทคนิคการก่อสรา้ ง ยอดเย่ียมจริงๆ
รอยเทา้ ปีศาจ (Devil’s Footprint) เม่อื ผา่ นสว่ นท่ีเป็นโถงทางเขา้ ไปยงั ดา้ นใน จะพบอนุสาวรียซ์ ่ึงทาํ ดว้ ยหินออ่ นสีดาํ สนิทตง้ั ปิด หลมุ พระศพของจกั รพรรดิล์ ดุ วิกท่ี 4 โดยรอบทงั้ สมี่ มุ เป็นรูปป้ันของอศั วินน่งั คกุ เขา่ คอยพิทกั ษ์ปกป้อง ตวั อาคารดา้ นในเมื่อเปรียบเทียบกับที่เห็นๆ ในหลายวนั ที่ผ่านมา จดั ไดว้ ่าเป็นแบบเรียบง่ายมาก มี เพียงเสาสีขาวเรียงรายเต็มไปหมด รอบๆ มีการตกแตง่ ดว้ ยรูปป้ันต่างๆ ส่วนดา้ นในสดุ จะมีกระจกสี ตามแบบของโบสถท์ ่ัวไป แตถ่ า้ ใหพ้ ูดโดยรวมๆ แลว้ จดั ไดว้ า่ โบสถแ์ ห่งนีเ้ หมาะสมท่ีจะเป็นสถานที่ สาํ คญั ทางศาสนาอยา่ งแทจ้ ริง เพราะไมม่ กี ารตกแตง่ อะไรที่วจิ ิตรมากมายจนรูส้ กึ วา่ สถานท่ีสาํ คญั ทาง ศาสนาตอ้ งอลงั การขนาดนนั้ เชียวหรอื อนสุ าวรียป์ ิดหลมุ พระศพของจกั รพรรดิล์ ดุ วกิ ที่ 4 พวกเราไมม่ ีใครสนใจจะขนึ้ หอคอยดา้ นบน ก็เลยพากันออกเดินกนั ต่อ โดยมีเป้าหมายถัดไป เป็นศาลาวา่ การเมอื งใหม่ (Neues Rathaus) ที่บรเิ วณมาเรยี นพลาตซเ์ พราะน่ีก็ใกลเ้ วลาจะสิบเอ็ดโมง แลว้ ก็ในเวลาประมาณ 11 โมง ท่ีหอนาฬิกาจะมีตกุ๊ ตาออกมาเตน้ ระบาํ ใหช้ มดว้ ย นกั ท่องเที่ยวหลาย คนก็คงจะคิดเหมอื นเราเพราะพากนั เรง่ ฝีเทา้ เดนิ ไปกนั ใหญ่ เมอื่ เดินไปถงึ เราพบนกั ทอ่ งเท่ียวยืนกนั เตม็ ลาน แมฝ้ นจะเรม่ิ ตกหนาเมด็ กไ็ มม่ ใี ครย่อทอ้ ไดแ้ ตย่ ืนแหงนหนา้ รอกนั เป็นแถว อาจเป็นเพราะฟ้าฝน ตกกระมงั ต๊กุ ตาเหลา่ นีจ้ งึ จาํ เวลาพลาด กวา่ จะออกมาปาเขา้ ไป 11.15 น. แตก่ ย็ งั ดที ี่ไมเ่ บีย้ วยงั ออกมา ใหไ้ ดด้ กู นั เป็นขวญั ตา
ผคู้ นยืนรอกนั เตม็ ลานกวา้ ง แมว้ า่ ฝนจะตกกต็ าม มาเรียนพลาตซ์ (Marienplatz) ถือเป็นหัวใจสาํ คัญของเมือง ช่ือของจัตรุ สั นี้เกิดขึน้ จาก ชาวเมืองตอ้ งการใหพ้ ระแมม่ ารีช่วยปกป้องพวกเขาจากการระบาดของโรคอหิวาตเ์ มอ่ื ปี ค.ศ.1845 ตรง กลางลานมีรูปป้ันพระแม่มารีทองคาํ (Madonna) ซึ่งเป็นผลงานของฮูเบิรต์ เกอรฮ์ ารด์ (Hubert Gerhard) ในปี ค.ศ.1590 ตง้ั อยบู่ นเสาสงู (Mariensäule) ที่ถกู สรา้ งขนึ้ โดยพระเจา้ อเิ ลก็ เตอรแ์ มกซิ มเิ ลยี นที่ 1 (Elector Maximilion I) ภายหลงั จากท่ีเป็นอสิ ระจากการบกุ รุกของกองทพั สวีเดน ตวั เสาทาํ จากหินออ่ นสีแดง พระแมม่ ารปี ระทบั ยืนบนจนั ทรเ์ สีย้ วและอมุ้ พระบตุ รไวใ้ นออ้ มแขน รายรอบดว้ ยรูป ป้ันท่ีฐานทงั้ สท่ี ิศสรา้ งขนึ้ ในปี ค.ศ.1638 เป็นรูปเดก็ ชายยืนถือโลแ่ ละดาบตอ่ สกู้ บั สตั วร์ า้ ยตา่ งๆ ซึ่งเป็น ตวั แทนของการเอาชนะซ่ึงสงคราม ความหิวโหย โรคระบาด และความเห็นนอกรีตต่างๆ จัตรุ สั นีเ้ ป็น สถานที่จัดกิจกรรมทกุ อย่างของเมือง ทงั้ การประกาศข่าวสาร การชมุ นมุ แสดงความคิดเห็นทางการ เมือง ตอ้ นรบั แขกเมือง รวมทงั้ การจดั งานตลาดคริสตม์ าสในฤดหู นาว (weihnachtsmarkt) มมุ ตา่ งๆ ของอาคารศาลาวา่ การเมืองหลงั ใหม่ ตวั ศาลาวา่ การเมอื งหลงั ใหม่ (Neues Rathaus) ตง้ั อยบู่ รเิ วณดา้ นใตข้ องมาเรียนพลาตซ์ พระ เจา้ ลดุ วกิ ท่ี 1 มบี ญั ชาใหก้ อ่ สรา้ งเป็นรูปแบบศิลปะนีโอโกธิค การก่อสรา้ งใชเ้ วลาตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1867 – 1919 อาคารนีเ้ ป็นตัวอย่างของการสรา้ งอาคารใหด้ เู หมือนอาคารเก่า หนา้ จ่วั มีรูปป้ันแกะสลกั เป็น
บคุ คลสาํ คญั และนกั บญุ ตา่ งๆ ท่ีอย่ใู นประวตั ิศาสตรข์ องบาวาเรีย ประตโู คง้ ทางเขา้ มีตราประจาํ เมือง มวิ นิคสลกั ไว้ บนยอดสงู สดุ ของหอนาฬิกาเป็นรูปปั้นเดก็ ทาํ ดว้ ยบรอนซ์ นาฬิกามีขนาดใหญ่เป็นที่ส่ีใน ยโุ รปโดยมีความสงู ถึง 85 เมตร ทกุ วนั ระฆงั ทงั้ 43 ใบจะตใี นเวลา 11 โมง และเวลาเที่ยง แตจ่ ะตีเพิ่มใน เวลา 5 โมงเย็นและ 3 ทมุ่ ในฤดรู อ้ น ตกุ๊ ตา 32 ตวั ที่ผคู้ นแหก่ นั มาดู ผคู้ นจะพากนั มายงั จตั รุ สั นีท้ กุ วนั เพื่อจะดตู กุ๊ ตา 32 ตวั ขนาดเกือบเทา่ คนจริงออกมาเตน้ ระบาํ ต๊กุ ตาเตน้ ระบาํ เรียกในภาษาเยอรมนั วา่ กลอกเคนชปีล (Glockenspiel) การแสดงเตน้ ระบาํ นน้ั จะ แสดง 2 แถว โดยแถวแรกจะแสดงการประลองยุทธข์ องอศั วินบนหลังมา้ ในพิธีมงคลสมรสของดยุค วิลเฮลม์ ที่ 5 กบั ดชั เชสแห่งลอรเ์ รน (Renata of Lorraine) ซ่งึ ทาํ เหมือนจรงิ มาก เพราะเม่อื มา้ วงิ่ มาสวน กนั อศั วินนายหนงึ่ ก็จะยกดาบฟัน อกี นายหนึ่งก็จะหงายลงไปบนหลงั มา้ สว่ นแถวลา่ งจะเป็นการเตน้ ราํ โบราณที่มชี ื่อเสยี งของมิวนิคท่ีเรียกวา่ เชฟเฟลอรท์ านซ์ (Schäfflertanz) หรือการเตน้ ราํ ของช่างทาํ ถงั ไมบ้ นทอ้ งถนนในมิวนิค เพื่อฉลองการสิน้ สดุ การระบาดของโรคอหิวาตซ์ ่ึงทาํ ใหม้ ีคนตายเป็นจาํ นวน มากในปี ค.ศ.1515 – 1517 การแสดงทง้ั หมดนีจ้ ะใชเ้ วลาประมาณ 10 นาที เม่ือสิน้ สดุ ลงนักท่องเท่ียว กพ็ ากนั แยกยา้ ยทางใครทางมนั ดา้ นลา่ งของอาคารนี้ เป็นศนู ยบ์ ริการขอ้ มลู นักท่องเท่ียวดว้ ย เห็นมี นักท่องเท่ียวเขา้ ไปติดตอ่ สอบถามขอ้ มลู กนั เนืองแน่นเชียว หรือใครสนใจจะขึน้ หอคอยของศาลาว่า การเมืองชมวิวก็ไดเ้ หมอื นกนั ใกลๆ้ กบั ศาลาวา่ การเมืองใหม่ เป็นอาคารศาลาว่าการเมืองเก่า (Altes Rathaus) หลงั เดิม สรา้ งในปี ค.ศ.1310 ถูกแทนท่ีดว้ ยอาคารหลงั ใหมท่ ี่เห็นอย่ใู นปัจจุบันเม่ือปี ค.ศ.1480 เป็นฝีมือการ ก่อสรา้ งของ เยิรก์ ฟอน ฮัลสบ์ ัคช์ (Jörg Von Halsbach) แตก่ ็มีการปรบั ปรุงตอ่ เติมเรื่อยมาจนเป็น รูปแบบนีโอโกธิคอยา่ งท่ีเห็นในปัจจุบัน สว่ นประตโู คง้ ใตอ้ าคารนั้นถกู เจาะขนึ้ มาในปี ค.ศ.1934 เพื่อ ช่วยใหก้ ารสัญจรไปมาของรถเป็นไปดว้ ยความสะดวกขนึ้ ในส่วนของหอคอยซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของ กาํ แพงเมืองไดด้ ดั แปลงเป็นพิพิธภัณฑข์ องเล่น (Spielzeugmuseum) ที่จัดแสดงของเล่นต่างๆ ท่ี รวบรวมโดยอฟี าน ชไตเกอร์ (Ivan Steiger) มขี องเลน่ สารพดั แบบทงั้ ของยโุ รปและอเมริกา
ศาลาวา่ การเมืองหลงั เกา่ กบั พิพิธภณั ฑข์ องเลน่ ท่ีอย่ตู ดิ กนั ใกลๆ้ กนั นีม้ โี บสถอ์ ีกแห่งท่ีน่าสนใจ โบสถเ์ พเทอรส์ เคยี เชอ (Peterskirche) ซ่ึงมหี อคอยสงู ยอด แหลมมีนาฬิกาติดอยรู่ อบๆ ถึงแปดเรอื น ชาวเมืองมกั เรียกหอคอยนีว้ า่ อลั ทา เพเทอร์ (Alter Peter) หรอื จริงๆ ก็คือ โอลด์ เพเทอร์ (Old Peter) น่ันเอง หากจะขึน้ ชมก็ไดม้ ีค่าธรรมเนียมเล็กนอ้ ย แต่ตอ้ งปีน บนั ไดถึง 303 ขนั้ ผา่ นทางเดินแคบๆ ที่ตอ้ งระมดั ระวงั เป็นพิเศษทงั้ ขาขึน้ และขาลง แตเ่ ขาวา่ การขึน้ หอคอยโบสถเ์ พเทอรส์ จะไดว้ ิวของมวิ นิคที่สวยมาก เพราะจะไดท้ งั้ ศาลาว่าการหลงั ใหม่ หลงั เก่า และ โบสถเ์ ฟราเอนสญั ลกั ษณข์ องมิวนิคครบครนั โบสถน์ ีเ้ ป็นโบสถแ์ หง่ แรกของมวิ นิค สรา้ งขนึ้ ครง้ั แรกใชไ้ ม้ ในการก่อสรา้ ง แตต่ ่อมาตวั โบสถถ์ ูกไฟไหมจ้ ึงไดม้ ีการก่อสรา้ งขนึ้ ใหมเ่ ป็นแบบโรมาเนสกผ์ สมโกธิค ส่วนยอดแหลมแบบเรอเนสซองสน์ ้ันสรา้ งเพิ่มเติมในศตวรรษที่ 17 หลงั จากนั้นอีกประมาณหนึ่ง ศตวรรษโบสถไ์ ดส้ รา้ งขนึ้ มาใหมใ่ นแบบรอคโคโค แตก่ ถ็ กู ทาํ ลายไปอกี ก่อนที่สงครามโลกครงั้ ที่ 2 จะจบ ลง ดว้ ยความรกั ความศรทั ธาของชาวเมือง จึงเกิดการร่วมแรงรว่ มใจกันสรา้ งขนึ้ มาใหมจ่ นแลว้ เสรจ็ สมบรู ณเ์ ม่ือปี ค.ศ.2000 เม่ือเขา้ ไปในตวั โบสถ์ ภาพชินตาอย่างท่ีไดเ้ คยเห็นเริ่มกลบั มาอีกรอบ บน เพดานเตม็ ไปดว้ ยภาพวาดอนั วิจิตรอลงั การฝีมือของโจฮนั น์ แบบติส ซิมเมอรม์ นั น์ (Johann Baptist Zimmermann) เหนือเสาแตล่ ะตน้ มีรูปปั้นสีทองของเทพและนกั บุญ แท่นบูชาดา้ นหนา้ มีรูปปั้นของ นกั บญุ เซนตเ์ พเทอร์ (St.Peter) ฝีมือของเอราสมสุ กราซาร์ (Erasmus Grasser)
ดา้ นในท่ีแสนงดงามของโบสถเ์ พเทอรส์ เคียเชอ (Peterskirche) เดินจากจดุ นีไ้ ปอีกไมไ่ กลนกั เป็นตลาดนดั ช่ือดงั วิคทูอาเลียนมารค์ ท์ (Viktualiemarkt) ถือเป็น ปากทอ้ งของมิวนิคมานานแสนนาน รูจ้ ักกันมาตง้ั แต่ปี ค.ศ.1807 เป็นตลาดผกั และผลไมก้ ลางแจง้ ท่ี ใหญ่ที่สดุ ของเมือง เหมาะสาํ หรบั การมาหาของกินประเภทผกั ผลไมส้ ดๆ จากฟารม์ ไปจนถึงที่นาํ เขา้ มา จากประเทศเพื่อนบา้ น นอกนนั้ ก็จะเป็นอาหารจาํ พวกไสก้ รอก ของแหง้ เคร่ืองเทศ สมนุ ไพร ขนม ชีส เนย และดอกไมส้ วยๆ และในฤดรู อ้ นตลาดก็จะย่ิงคึกคกั เขา้ ไปอีกเพราะบริเวณนีจ้ ะเต็มไปดว้ ยลาน เบียรแ์ ละรา้ นอาหารซีฟดู้ ท่ีส่งั แลว้ ปรุงใหร้ บั ประทานไดท้ นั ที สาํ หรบั พวกเราขอไมไ่ ปก็แลว้ กนั เพราะเป้าหมายถัดไปคือสิ่งท่ีเรารอกนั อย่างใจจดใจจ่อและ ต้องใช้เวลามากพอดู จากมาเรียนพลาตซ์ หนูเล็กนําพวกเราเดินต่อไปตามถนนเรสิเดนซ์ (Residenzstraße) เพ่ือจะไปยงั เรสิเดนซ์ มนึ เช่น (Residenz München) เป็นพระราชวงั ที่กษัตริยแ์ ละ ขนุ นางแห่งบาเยิรน์ ใชใ้ นการบริหารกิจการบา้ นเมืองกว่า 500 ปี เรสิเดนซจ์ ะตง้ั อย่ใู กลๆ้ กับแมกซ-์ โจเซฟ-พลาตซ์ (Max-Joseph-Platz) ซึ่งเป็นลานกวา้ งและมีอนสุ าวรียข์ องกษัตริยแ์ มกซิมิเลียนที่ 1 โจเซฟซึง่ ถกู สรา้ งขนึ้ เป็นอนสุ รณห์ ลงั จากพระองคส์ ิน้ พระชนมไ์ ปแลว้ 10 ปี พระองคเ์ ป็นกษัตริยอ์ งค์ แรกแหง่ บาเยิรน์ ท่ีปกครองระหวา่ งปี ค.ศ.1799 – 1825 และเป็นผรู้ ิเรมิ่ ก่อตง้ั รฐั ธรรมนญู ของรฐั รูปป้ันนี้ ออกแบบโดยคริสเตียน แดเนียล เราช์ (Christian Daniel Rauch) และลีโอ ฟอน เคลนเซ่ (Leo Von Klenze)และผูส้ รา้ งใหส้ าํ เรจ็ ออกมาเป็นอย่างที่เห็นก็คือ โจฮัน แบบติสท์ สติกเกิลไมเออร์ (Johan Baptist Stiglmaier) จริงๆ แลว้ พระองคป์ ระสงคจ์ ะใหส้ รา้ งอนุสาวรียข์ องพระองคใ์ นขณะทรงมา้ แต่ พระองคส์ นิ้ พระชนมอ์ ย่างกระทนั หนั ในปี ค.ศ.1825 จงึ ไดน้ าํ รูปแบบเดิมซึ่งเป็นรูปขณะพระองคป์ ระทบั บนพระเกา้ อีแ้ ละยกมอื เหมอื นอวยชยั ใหพ้ รมาสรา้ งแทน ดา้ นลา่ งมีรูปป้ันสงิ โตทาํ ดว้ ยบรอนซอ์ ยู่ 4 ทิศ เหมือนเป็นสัญลกั ษณ์แสดงเหตุการณใ์ นรชั สมัยของพระองค์ ทั้งการพัฒนาดา้ นการเกษตร การ
สนับสนุนส่งเสริมศิลปะวิทยาการ การสถาปนารูปแบบการปกครองแบบรฐั ธรรมนญู และการสรา้ ง สนั ติภาพใหเ้ กิดขนึ้ อนสุ าวรยี ข์ องกษัตริยแ์ มกซิมเิ ลียนท่ี 1 ดา้ นหลงั อนสุ าวรียเ์ ป็นโรงละครแห่งชาติของมิวนิค (The National Theatre Munich) ซึ่งเปิด ใหบ้ ริการมาตง้ั แต่ปี ค.ศ.1818 ดา้ นในมีอาคารท่ีทาํ การโอเปราแห่งชาติดว้ ย รูปแบบภายนอกที่เห็น สรา้ งตามแบบวดั กรีก ภายในตกแต่งอย่างคลาสสิคตามรูปแบบของโบสถท์ างคริสตศาสนา ที่น่งั ชม สรา้ งไวอ้ ยา่ งงดงามโดยการเลน่ สสี นั ทง้ั สมี ว่ ง สที อง สงี าชา้ ง และสีฟา้ ใส ท่ีน่งั จดั ทาํ ไวถ้ งึ 5 ชน้ั โดยตรง กลางจะจดั สถานที่เฉพาะไวส้ าํ หรบั กษัตริยแ์ ละพระบรมวงศานวุ งศ์ โรงละครนีม้ ีชื่อเสียงจากการจดั การ แสดงละครโอเปราของริชารด์ วากเนอร์ คีตกวีคนโปรดของพระเจา้ ลดุ วิกที่ 2 เม่ือสมยั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ถกู ทาํ ลายไปบางสว่ น แตก่ ็ไดร้ บั การบรู ณะขนึ้ มาใหม้ ีรูปแบบเดมิ อยา่ งที่เห็น มาเปิดใหบ้ ริการอีกครงั้ เม่อื ปี ค.ศ.1963 ถือเป็นจดุ เริม่ ตน้ และจดุ สิน้ สดุ ของถนนแมกซิมิเลียน (Maximilianstraße) ถนนนีถ้ ือ เป็นผลงานของกษัตริยแ์ มกซิมิเลียนท่ี 2 ถือเป็นถนนเสน้ ท่ีสวยงามมากที่สดุ สายหน่ึงของมิวนิค เป็น ถนนท่ีรวมสนิ คา้ แบรนดเ์ นมมากมาย เขาบอกวา่ ใหเ้ ดนิ เลน่ ไปเถิดแมว้ า่ จะซือ้ อะไรไม่ได้ เพราะอาจได้ กระทบไหลค่ นดงั ทงั้ พวกขนุ นางเก่าๆ คนเดน่ คนดงั แมก้ ระท่ังดาราฮอลลีวดู้ แต่พวกเราคนเอเชียคง กระทบไหลใ่ ครไมถ่ งึ คงไมเ่ หมาะที่จะมาเดินถนนนีเ้ ป็นแน่ สถานท่ีท่ีเราตง้ั ใจจะมาวนั นีค้ ือเรซิเดนท์ มนึ เช่น (Residenz München) สถานที่ท่ีกษัตริยแ์ ละ ขนุ นางใชใ้ นการบรหิ ารกิจการบา้ นเมือง ไฮไลทส์ าํ คญั ก่อนเขา้ ไปชมดา้ นในก็คือ ก่อนจะเดินผ่านเขา้ ประตดู า้ นถนนเรสเิ ดนซ์ จะเห็นสิงโตขนาดใหญ่ถือโล่น่งั เฝ้าทางเขา้ อยู่ 2 ตวั สงั เกตใหด้ ีจะเห็นว่าหวั สิงโตท่ีโล่นั้นขึน้ มันเป็ นเงา ก็เพราะมีความเช่ือกันว่า หากได้ลูบหัวสิงโตที่โล่นี้จะทําให้โชคดี นกั ท่องเที่ยวกเ็ ลยพากนั ลบู จนขนึ้ เงาอย่างท่ีเห็น
บริเวณทางเขา้ เรซิเดนท์ มนึ เชน่ เมือ่ ผา่ นจดุ นีไ้ ปแลว้ กจ็ ะเขา้ สบู่ รเิ วณจดุ จาํ หนา่ ยต๋วั ก่อนเขา้ เขาจะใหฝ้ ากสมั ภาระพวกเป้ เสือ้ โคท้ หนาๆ และรม่ เพราะมนั จะรุม่ รา่ มเสียจนอาจจะไปปัด ไปเกี่ยวสิ่งท่ีจดั แสดงจนเกิดความเสียหายได้ แตห่ นเู ลก็ คิดวา่ คงจะเป็นการป้องกนั พวกมจิ ฉาชพี แอบลกั เลก็ ขโมยนอ้ ยอะไรใสเ่ ป้หรอื ซกุ ซอ่ นมาใน เสอื้ หนาวดว้ ยกระมงั แตง่ านนีก้ ลอ้ งเอาเขา้ ไปได้ นบั เป็นเร่อื งดที ่ีสดุ เพราะโอกาสที่จะไดม้ าชมคงไมไ่ ด้ มบี ่อยๆ ถา้ ไดเ้ ก็บภาพความงดงามอลงั การไปเป็นที่ระลกึ ไดก้ ็ถือเป็นเรือ่ งวิเศษสดุ แตเ่ ขามีกฎไวว้ า่ ถ่ายภาพไดแ้ ตห่ า้ มใชแ้ ฟลชโดยเดด็ ขาด ถา้ ใครเผลอเปิดแฟลชขนึ้ มาละกเ็ จา้ หนา้ ทจ่ี ะเขา้ ประชิดตวั ทนั ที จดุ จาํ หน่ายต๋วั เขา้ ชม เรสซิเดนท์ (Residenz) เป็นที่ประทบั ของกษัตริยบ์ าวาเรียมาทุกยุคทกุ สมยั ถือเป็นบา้ นของ ตระกลู วิทเทลบาคสจ์ นถึงปี ค.ศ.1918 จากน้นั ไดเ้ ปิดเป็นพิพิธภณั ฑใ์ นปี ค.ศ.1920 สรา้ งขึน้ ตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1385 เพ่ือใชเ้ ป็นที่ประทบั ของดยุคแห่งวิทเทลบาคสเ์ ม่ือครงั้ เกิดเหตปุ ฏิวตั ิ แทนพระราชวงั เดิม (Alter Hof) ท่ีอยไู่ มไ่ กลนี้ จดั ไดว้ า่ เป็นพระราชวงั เก่าแก่และสง่างามท่ีสดุ ของมิวนิค การเที่ยวชมเพียง แคไ่ มก่ ี่ช่วั โมงคงไมเ่ พียงพอสาํ หรบั ที่แห่งนี้ เพราะเขาเปิดใหเ้ ขา้ ชมถึง 3 สว่ น แบ่งเป็น สว่ นที่ประทบั ของกษัตรยิ ซ์ ่งึ อยทู่ างดา้ นทิศใต้ (Konigbau) สรา้ งในสมยั พระเจา้ ลดุ วกิ ท่ี 1 ซงึ่ จะเขา้ ทางจัตรุ สั แมกซ-์ โจเซฟ-พลาทซ์ สว่ นท่ีเป็นพระราชวงั เก่าซ่ึงอย่ทู างทิศตะวนั ตก (Alte Residenz) สรา้ งในสมยั พระเจา้
แมกซิมเิ ลียนท่ี 1 เขา้ ทางถนนเรสซิเดนท์ และสดุ ทา้ ยคือหอ้ งสาํ หรบั งานเลีย้ ง (Festsaalbau) มีความ ยาวถงึ 250 เมตร ซง่ึ อย่ทู างดา้ นทิศเหนือ สรา้ งในสมยั พระเจา้ ลดุ วิกที่ 1 เช่นกนั ซึ่งจะอย่ทู างถนนโฮฟ การเ์ ทน (Hofgartenstraße) บางสว่ นมีเปิดใหเ้ ขา้ ชมภาคเชา้ บางสว่ นใหเ้ ขา้ ชมภาคบ่าย จะมีคา่ ต๋วั ท้ัง แยกสว่ น และแบบเหมาดทู กุ อยา่ ง ไมน่ บั สวนปราสาทอกี 10 ลานท่ีควรคา่ แกก่ ารไปเย่ียมชม ดา้ นหนา้ ของพิพิธภณั ฑม์ ีสว่ นแสดงรายละเอียดการบรู ณะ สภาพหอ้ งท่ีถลม่ ลงมาหลงั ถูกระเบิด และภาพถ่าย เปรียบเทียบสภาพปัจจบุ นั กบั สภาพก่อนไดร้ บั ความเสยี หาย เมื่อฝากขา้ วของอนั แสนพะรุงพะรงั เรยี บรอ้ ยกไ็ ดเ้ วลาเดนิ ชมกนั แลว้ การชมพระราชวงั แหง่ นีจ้ ะ ไม่มีไกดน์ าํ ชม แต่ถ้าใครตอ้ งการทราบประวัติศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมาไปพรอ้ มๆ กับการเดินชม พระราชวงั เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถ่องแท้ เขากม็ ีหฟู ังที่อธิบายความเป็นมาและบอกเลา่ รายละเอียดสิ่งท่ี ตง้ั อยใู่ นหอ้ งตา่ งๆ โดยเสียคา่ ธรรมเนียมเลก็ นอ้ ย ปัจจบุ นั เรสซิเดนทถ์ กู จดั เป็นพิพิธภณั ฑซ์ ่งึ มคี วามโดดเดน่ เร่ืองการตกแตง่ ภายใน ผปู้ กครองแต่ ละยคุ แตล่ ะสมยั ตา่ งกต็ กแตง่ ตามความชอบ ไม่นบั รวมสมบตั ิลา้ํ ค่าํ ท่ีสะสมกันมาหลายยคุ หลายสมยั ดงั นน้ั จึงเป็นแหลง่ รวมศลิ ปะจากแตล่ ะยคุ มารวมกนั ทงั้ เรอเนสซองส์ บารอค รอคโคโค คลาสสิค นีโอ คลาสสคิ พิพิธภณั ฑแ์ ห่งนีจ้ งึ เป็นพิพิธภณั ฑท์ ี่ควรค่าแก่การมาเยือนมากแห่งหน่ึง แต่ตอ้ งบอกก่อนวา่ ตวั อาคารท่ีเห็นสวยงามขนาดนี้ ไมใ่ ช่ของเดิมทง้ั หมด เพราะอาคารสว่ นใหญ่เสยี หายจากแรงระเบิดใน สงครามโลกครง้ั ที่ 2 หลงั เหตกุ ารณไ์ ดม้ ีการบรู ณะครงั้ ใหญ่ทัง้ ตวั อาคาร เฟอรน์ ิเจอร์ และสิ่งประดบั ตกแต่งไม่ว่าจะเป็นภาพวาดหรือต๊กุ ตาปูนป้ันที่แมม้ ีไมม่ ากนกั ทาํ ใหท้ ุกอย่างกลบั มาสวยดงั เดิมได้ อยา่ งท่ีเหน็ พระราชวงั แห่งนีม้ ีเนือ้ ที่ประมาณ 15 ไร่ หรือประมาณ 23,500 ตารางเมตร ถูกทาํ ลายเสียหาย ยบั เยินในช่วงสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ว่ากันว่าส่วนที่ไมถ่ ูกทาํ ลายมีเพียง 50 ตารางเมตรเท่านนั้ มีหอ้ ง มากมายถงึ 130 หอ้ ง อะไรมนั จะมากมายขนาดนีก้ ไ็ มร่ ู้ แตท่ ่ีหนเู ลก็ จะเลา่ ก็คงเฉพาะที่เขาเปิดใหเ้ ขา้ ชม และก็คงจะเลือกเฉพาะหอ้ งสาํ คญั ๆ กแ็ ลว้ กนั เพราะถา้ เยอะขนาดนน้ั คงจาํ ไดไ้ มห่ มด จากโถงทางเขา้ เราพากนั เดินทะลอุ อกไปทางกรอทเทนโฮฟ (Grottenhof) สวนปราสาทหนึ่งใน สิบที่เขาแนะนาํ ใหม้ าชม เป็นสวนท่ีสรา้ งไวใ้ นพระราชวงั ฤดรู อ้ นของดยกุ วิลเฮลม์ ที่ 5 ตรงกลางเป็นนา้ํ พุ เพอรซ์ ิอสุ (Perseus) แตว่ นั นีน้ าํ ไมม้ าปิดป้องไว้ ไมแ่ น่ใจวา่ เพื่อป้องกันอะไรหรือวา่ มีการซ่อมแซมอยู่ แต่จะเป็นเพราะในบริเวณใกลก้ ันนี้เป็นกรอตโต (Grotto) ถา้ํ เทียมที่ตกแต่งดว้ ยหินภเู ขาไฟ รูปป้ัน มากมายท่ีประดบั ดว้ ยเปลือกหอยหลากสสี นั จึงทาํ ใหก้ รอทเทนโฮฟดจู ะเป็นอะไรที่เรียบๆ ไปเลย ไม่รู้ คนท่ีไดม้ าเหน็ ถา้ํ เทียมนีร้ ูส้ กึ ยงั ไงกนั บา้ ง หนเู ลก็ เป็นพวกไมม่ ีหวั ศิลป์ หรอื เปลา่ กไ็ มร่ ู้ พอไดม้ าเห็นใกลๆ้ แบบนีร้ ูส้ กึ วา่ ดนู า่ กลวั ยงั ไงบอกไมถ่ กู ยิ่งดนู า่ กลวั เขา้ ไปอีกเม่ือมองจอ้ งไปท่ีรูปปั้นท่ีตกแตง่ ไว้ หรือเป็น เพราะพาลนกึ ไปถงึ อายขุ องสถานที่ท่ีตกทอดมาจากอดตี ก็ไมร่ ูเ้ ลยรูส้ กึ เหมอื นมนั มีชีวติ อย่นู นั้ เลยไดแ้ ต่
มองแบบกลวั ๆ กลา้ ๆ แลว้ ก็ไมก่ ลา้ เขา้ ไปเพ่งพินิจใกลๆ้ ถา้ ใหเ้ ปรยี บเทียบกนั หนเู ล็กขอเลือกชมอะไรท่ี เรยี บๆ แบบกรอทเทนโฮฟน่นั ดีกวา่ Grottenhof สวนปราสาทหนงึ่ ในสิบ ท่ีเขาแนะนาํ ใหม้ าชม ถา้ํ เทยี ม Venus Grotto หนเู ลก็ ผละจากถา้ํ เทียมกอ่ นใครเพ่ือนเพราะรูส้ กึ กลวั ๆ อยา่ งไรบอกไมถ่ กู เลยขอล่วงหนา้ เดิน ไปยังห้องถัดไปปรากฏว่าเป็นอันทริควาริอุม (Antiquarium) หรือห้องสมบัติโบราณ (Hall of Antiquities) ภายในเป็นศิลปะแบบเรอเนสซองสท์ ี่ดหู รูหราที่สดุ ของส่ิงก่อสรา้ งในเขตเทือกเขาแอลป์ ตอนเหนือ ห้องนี้เป็นห้องที่หนูเล็กอยากมาเห็นมากที่สุด เพราะแค่ดจู ากภาพก็ดูมลังมเลืองเสีย เหลือเกิน จดั เป็นหอ้ งโถงท่ีสวยที่สดุ และเก่าแก่ที่สดุ ของพระราชวงั หอ้ งโถงนีม้ ีความยาวถึง 66 เมตร สรา้ งตงั้ แตส่ มยั ดยคุ อลั เบรชทท์ ี่ 5 (Albrecht V) แหง่ ออสเตรยี หรอื ระหวา่ งปี ค.ศ.1568 – 1571 ใชเ้ พื่อ การเก็บรูปปั้นโบราณท่ีสะสมไว้ ซงึ่ เทา่ ท่ีเหน็ สว่ นใหญ่จะเป็นรูปปั้นครงึ่ ตวั ซง่ึ ตงั้ เรียงรายอยู่เตม็ ไปหมด แตก่ ม็ ีมาเพ่ิมเติมดว้ ยในช่วงคริสตศตวรรษท่ี 17 และ 18 ในช่วงปี ค.ศ.1568 ถึงปี ค.ศ.1600 ดยคุ วิล เฮลม์ ท่ี 5 และพระเจา้ แมกซิมเิ ลยี นท่ี 1 ซ่ึงขณะนน้ั เป็นผสู้ าํ เรจ็ ราชการแทนดยคุ อลั เบรชท่ี 5 ไดเ้ ปลี่ยน ใหห้ อ้ งนีเ้ ป็นหอ้ งโถงสาํ หรบั การจดั เลีย้ ง โดยทาํ ใหพ้ ืน้ ลดระดบั ลง เพิ่มเติมเวทีและระเบียงที่ดา้ นหนึง่ มี การต้ังโต๊ะเสวยในโอกาสพิเศษ ภาพวาดท่ีผนังและเพดานเพ่ิงเพ่ิมเติมมาเมื่อครงั้ ท่ีมีการปรบั ปรุง
ภาพวาด 16 ภาพบนเพดานหลงั คาโคง้ ท่ีเราเดินแหงนชมเป็นงานของจิตรกรชาวมิวนิคท่ีช่ือ เพเทอร์ แคนดิด (Peter Candid) ซ่ึงภาพเหล่านีจ้ ะแฝงความหมายเกี่ยวกับหญิงสาวบริสทุ ธิ์ ส่วนบริเวณ หนา้ ตา่ งเป็นภาพวิวสว่ นตา่ งๆ ของเมือง เชน่ ตวั เมอื ง ตลาด พระราชวงั ประมาณ 102 ภาพ วนั ท่ีเราไป เหมอื นเขาจดั ไวเ้ พื่องานอะไรสกั อย่างจงึ มีการจดั เกา้ อนี้ ่งั เรียงรายไวเ้ ตม็ พืน้ ท่ี หอ้ งโถงท่ีเคยเห็นในภาพ วา่ กวา้ งขวางเลยดแู น่นๆ พิกล พวกเราออ้ ยอิ่งอยใู่ นหอ้ งนีก้ นั นานพอควรเพราะไหนๆ มาแลว้ ก็อยากใช้ เวลาใหค้ มุ้ คา่ อย่างท่ีสดุ Antiquarium หรือหอ้ งสมบตั ิโบราณ Hall of Antiquities หอ้ งถดั ไปที่เราไปดคู ือ ชวาเซอรซ์ าล (Schwarzer Saal หรือ Black Hall) หอ้ งนีน้ ่าจะสรา้ ง ประมาณปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16 หรือสมยั ของดยุควิลเฮลม์ ที่ 5 แตช่ ื่อของหอ้ งที่วา่ หอ้ งโถงสีดาํ มา เรียกกเ็ มือ่ ภายหลงั จากที่ดยคุ แมกซิมิเลียนไดน้ าํ หินออ่ นสีดาํ เขา้ มาตอ่ เติมในหอ้ งเมื่อปี ค.ศ.1623 ตาม เอกสารมหี ลกั ฐานปรากฏวา่ แตเ่ ดิมเรยี กวา่ เพอรส์ เพคทีฟซาล (Perspektiv Saal) ซึง่ มที ่ีมาจากเพดาน ของหอ้ งท่ีใชเ้ ทคนิคการวาดจนทาํ ใหร้ ูส้ ึกถึงความมีมิติซ่ึงเป็นฝีมือของ ฮนั ส์ แวรล์ (Hans Werl) ที่ พยายามจะสรา้ งมิติใหด้ เู หมือนวา่ เมื่อยืนอยตู่ รงกลางของหอ้ งเพดานหอ้ งมีความลกึ และสงู นบั เป็นครงั้ แรกของเยอรมนีที่มีการนาํ เทคนิคนีม้ าใชใ้ นการวาดภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หอ้ งนีถ้ กู ทาํ ลายเมื่อครั้ง
สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 คารล์ มนั นิงเงอร์ (Karl Manninger) ไดบ้ รู ณะขึน้ มาใหมโ่ ดยใชเ้ ทคนิคเฟรสโก (fresco) เขา้ มาชว่ ย ทาํ ใหห้ อ้ งนีม้ ีเพดานสวยอยา่ งท่ีเห็น เพดานใชเ้ ทคนิคใหแ้ ลดมู ีมิติ จากหอ้ งนีเ้ ราเดินขนึ้ บนั ไดสีเหลืองเพ่ือไปยงั ชน้ั ถดั ไป ซ่ึงจะผา่ นรูปป้ันเทพีวีนสั (a statue of Venus Italica) ฝีมือของอนั โตนิโอ คาโนวา (Antonio Canova) ซึ่งหอ้ งแรกท่ีจะเจอเป็นหอ้ งที่จัดแสดง ขา้ วของเครอ่ื งใชจ้ าํ พวกพอรซ์ เลนเอาไวจ้ าํ นวนมาก ทง้ั เชิงเทียน ถว้ ย ชาม โถขนาดใหญ่ จดั แสดงเคร่ืองใชพ้ อรซ์ เลนจาํ นวนมาก ถดั ไปเป็นหอ้ งชดุ สาํ หรบั พวกควั เฟื อสท์ (Kurfürstenzimmer) ตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1599 หอ้ งชุดนีจ้ ดั ไวส้ าํ หรบั พวกดยคุ ที่เตรยี มจะไดร้ บั เลือกไปเป็นควั เฟื อสทจ์ นกระท่งั ดยคุ เหลา่ นีไ้ ดร้ บั ตาํ แหน่งก็จะยา้ ย ไปยงั ที่พกั อกี สว่ นหนึ่ง ผทู้ ี่แหกกฎกติกานีก้ ็คอื แมกซิมิเลียนที่ 3 โจเซฟ (Maximilian III Joseph) เพราะ แมจ้ ะไดร้ บั ตาํ แหน่งควั เฟื อสทใ์ นปี ค.ศ.1745 แลว้ ก็ยังคงพาํ นักอยู่ที่นี่กบั นางมาเรีย แอนนา ผูเ้ ป็น ภรรยาต่อไปโดยไมไ่ ดย้ า้ ยไปไหน และพอปี ค.ศ.1746 ก็ไดม้ ีการตอ่ ขยายและปรบั ปรุงหอ้ งชุดนีใ้ ห้มี ความทนั สมยั ขนึ้ โดยปรบั ปรุงใหก้ ลายเป็นหอ้ งสาํ หรบั การเฉลิมฉลองตาํ แหน่งควั เฟื อสท์ จากนั้นอีก ประมาณ 15 ปีให้หลังหอ้ งนีก้ ็ไดม้ ีการปรบั ปรุงอีกครง้ั โดยมอบหมายใหฟ้ รองซัว กูวีลีส์ (François Cuvilliés) ออกแบบปรบั ปรุงใหมใ่ นแบบรอคโคโค หอ้ งนีก้ ็ถกู ทาํ ลายลงสมยั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 เช่นกนั
แต่ก็มีบางส่วนท่ีเหลือรอดจากการถูกทาํ ลายคร้ังนน้ั แต่อย่างไรก็ตาม สภาพห้อง การตกแต่งและ เฟอรน์ ิเจอรท์ ี่แสดงไวเ้ ป็นของท่ีทาํ ขนึ้ ใหม่ตามโครงสรา้ งเดิมแตไ่ มใ่ ช่ของดงั้ เดิม ใกลๆ้ กันจะเป็นหอ้ ง สาํ หรบั ภรรยาของพวกควั เฟื อซท์ (Audienzzimmer der Furfürst) ซ่ึงถกู สรา้ งขนึ้ ใหมห่ ลงั สงครามโลก ครง้ั ที่ 2 เชน่ กนั หอ้ งชดุ สาํ หรบั พวก Kurfürstenzimmer มีทางแยกใหเ้ ดนิ ไปยงั บริเวณที่ดโู ครงสรา้ งแลว้ เหมอื นจะเคยเป็นโบสถ์ แต่ภาพที่เห็นเป็นการ ก่ออิฐแดงเปลือยๆ อย่างนน้ั ยงั ไมไ่ ดฉ้ าบหรือไดร้ บั การตกแตง่ ใดๆ เม่ือไปอ่านป้ายทาํ ใหร้ ูว้ า่ บริเวณนี้ เคยเป็นโบสถม์ าก่อนจริงๆ นี่คือ อลั เลอรไ์ ฮลิเกน-ฮอฟเคียเชอ (Allerheiligen-Hofkirche) หรือ คอรท์ ออฟ ออล เซนต์ (Court of All Saint) ซ่ึงพระเจา้ ลดุ วิกท่ี 1 โปรดใหล้ ีโอ ฟอน เคลนเซ (Leo Von Klenze) เป็นผสู้ รา้ งในระหวา่ งปี ค.ศ.1826 – 1837 ดจู ากภาพท่ีจดั แสดงไวท้ าํ ใหเ้ ห็นวา่ โบสถห์ ลงั เดิมมี การตกแต่งวาดภาพเฟรสโกหลากสีสนั ไวอ้ ย่างสวยงาม โดยศิลปินที่ช่ือ ไฮน์ริช มาเรีย ฟอน เฮส (Heinrich Maria Von Hess) แตไ่ ดร้ บั ความเสียหายเกือบหมดในช่วงสงครามโลกครง้ั ที่ 2 จนตอ้ งทาํ การบรู ณะครง้ั ใหญ่จนถงึ ปี ค.ศ.2003 จงึ ไดเ้ ปิดใหเ้ ขา้ ชม และใชเ้ ป็นสถานท่ีแสดงคอนเสิรต์ หรอื การจดั กิจกรรมตา่ งๆ
แนวความคดิ ในการสรา้ งโบสถแ์ ห่งนีเ้ กิดจากการท่ีพระเจา้ ลดุ วกิ ท่ี 1 ไดเ้ คยไปเยือนพารเ์ ลอรโ์ ม (Parlermo) ท่ีซิซิลี (Sicily) ของอติ าลใี นปี ค.ศ.1823 เม่ือครง้ั ท่ียงั เป็นเจา้ ชาย พระองคไ์ ดไ้ ปใชเ้ วลาท่ี น่นั ในตอนเที่ยงคนื ทาํ ใหป้ ระทบั ใจกบั การกอ่ สรา้ งท่ีผสมผสานระหวา่ งสไตลน์ อรม์ นั (Norman) และไบ แซนไทน์ (Byzantine) ทาํ ใหพ้ ระองคถ์ ึงกับอทุ านออกมาเลยวา่ น่ีคือรูปแบบของโบสถแ์ บบที่พระองค์ ตอ้ งการ ดงั นน้ั เพ่ือใหเ้ ป็นไปตามพระประสงคข์ องพระองค์ ลโี อ ฟอน เคลนเซ จึงไดใ้ ชโ้ บสถเ์ ซนตม์ ารค์ (St.Mark) ท่ีเวนิสเป็นตน้ แบบในการก่อสรา้ ง เพราะเขามองว่าโบสถเ์ ซนตม์ ารค์ น่าจะเป็นตน้ แบบของ อาคารกอ่ สรา้ งแบบไบแซนไทนท์ ี่ดีที่สดุ พืน้ ของโบสถค์ รงั้ หนึ่งเคยเป็นพืน้ หินอ่อนสีสวยงาม ในขณะท่ี ผนงั ก็ใชป้ นู พลาสเตอรต์ กแตง่ ใหเ้ หมือนวา่ เป็นหินออ่ น พระเจา้ ลดุ วิกที่ 1 จะสามารถเดนิ ทะลจุ ากเรสซิ เดนท์สู่โบสถน์ ี้ไดเ้ ลย ในขณะท่ีบุคคลท่ัวไปสามารถเขา้ มายังโบสถ์แห่งนี้ไดท้ างประตทู างด้าน ตะวนั ออกหรือบริเวณมารส์ ทลั ลพ์ ลาตส์ (Marstallplatz) ซึ่งเคลนเซไดอ้ อกแบบผสมผสานระหว่างโร มาเนสก์ (Romanesque) และโกธิค (Gothic) เมื่อเดนิ ตอ่ มาจะเป็นสว่ นท่ีเรยี กวา่ ฮอฟการเ์ ทนซิมเมอร์ (Hofgartenzimmer) ซ่งึ เม่อื แรกสรา้ ง ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 เป็นเพียงระเบียงทางเดินท่ีสรา้ งเพิ่มเติมขนึ้ มาเพ่ือเชื่อมตอ่ สว่ นเดิมของเรสซิ เดนท์ ตอ่ มาในปี ค.ศ.1615 สมยั ของดยคุ แมกซิมิเลียนท่ี 1 ไดป้ รบั ปรุงใหเ้ ป็นส่วนสาํ หรบั การพบปะ และรบั รองพวกนกั ปกครองและแขกบา้ นแขกเมือง แต่ใหห้ ลงั มาประมาณ 200 ปี เจา้ หญิงคารโ์ ลลีน ชารล์ อตเต เอากสุ เต้ (Princess Karoline Charlotte Auguste) บุตรสาวของพระเจา้ แมกซิมิเลียนที่ 1 โจเซฟ กษัตริย์องคแ์ รกของบาวาเรียไดป้ รับปรุงพืน้ ท่ีบางส่วนเพื่อใหเ้ ป็นพื้นท่ีสว่ นพระองค์ ดงั น้ัน บรเิ วณดงั กลา่ วบางสว่ นจงึ ถกู เรียกวา่ ชารล์ อตเทนซิมเมอร์ (Charlottenzimmer) ผนงั บางจดุ ท่ีเดนิ ผา่ นมีภาพแขวนไว้ ตอนแรกก็คิดวา่ เป็นภาพวาด เขา้ ไปดใู กลๆ้ ถึงไดร้ ูว้ ่าเป็น การทอพรมใหเ้ ป็นภาพศิลปะ ภาพเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ทง้ั ผนื คนสมยั กอ่ นน่ีช่างมีฝีมือเสยี เหลือเกิน เพราะ เกบ็ รายละเอยี ดเลก็ นอ้ ยไวไ้ ดห้ มด
ชารล์ อตเทนซิมเมอร์ (Charlottenzimmer) บริเวณที่เห็นถัดมาผนงั เป็นไหมเจนวั สีแดงลวดลายงดงามทง้ั ผืน แมจ้ ะหลดุ ลอกร่อนไปบา้ ง ตามกาลเวลา แตถ่ า้ ถามวา่ ยงั คงความงดงามอลงั การไหม ตอ้ งบอกวา่ เกินจะบรรยาย นบั เป็นโอกาสที่ วิเศษจรงิ ๆ ที่ไดม้ ีโอกาสมาเห็น คา่ เขา้ ชมที่จา่ ยไปสาํ หรบั หนูเล็กแลว้ ถือว่าคมุ้ เกินคมุ้ หอ้ งนีเ้ นน้ สีแดง และสีทองเป็นหลกั เป็นหอ้ งคอนเฟอรเ์ รนซซ์ ิมเมอร์ (Konferrenzzimmer) ใช้สาํ หรบั การหารือทาง การเมืองหรือเร่ืองส่วนตวั ผทู้ ี่จะมีสิทธิเขา้ ห้องนี้จะตอ้ งเป็นระดบั ขนุ นางช้ันสูงหรือคนสนิทเท่าน้ัน ลวดลายท่ีตกแตง่ ไวท้ ่ีผนงั และที่เกา้ อที้ ่ีเป็นสแี ดงทงั้ หมดเมื่อถูกขบั ดว้ ยสีทองอรา่ ม ทาํ ใหห้ อ้ งนีด้ สู ว่าง สดใสนา่ ดชู มทีเดียว เกา้ อที้ ่ีจดั ไวส้ าํ หรบั ใหแ้ ขกที่มาพบน่งั คอย ผนงั โดยรอบมีภาพวาดเหตกุ ารณ์ หอ้ งคอนเฟอรเ์ รนซซ์ ิมเมอร์ (Konferrenzzimmer) หอ้ งถดั ไปเป็นกรุนเนอะ กลั เลอร่ี (Grüner Galerie) มาจากการใชส้ ีเขียวเป็นผนงั หอ้ งหรืออาจ เรียกวา่ Green Gallery กไ็ ด้ ผนงั หอ้ งตกแตง่ ดว้ ยภาพวาดบคุ คล และเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ที่ลอ้ มกรอบรูป ดว้ ยสีทองเป็นหลกั และมีการติดตงั้ กระจกสลบั ไปมาระหว่างรูปภาพ เมื่อกระจกสะทอ้ นกับโคมไฟ คริสตลั ที่แขวนเรียงอยู่ จึงทาํ ให้หอ้ งนีด้ สู ว่างไสว ภาพที่ประดับไวน้ ีจ้ ะเป็นภาพที่ค่อนขา้ งแพงของ ตระกลู วิทเทลบาคส์ แตก่ เ็ ป็นเพียงภาพบางสว่ น เพราะอกี สว่ นหนึ่งนาํ ไปจดั แสดงที่พิพิธภณั ฑอ์ ลั เทอ พิ นาโกเตค็ (Alte Pinakothek)
กรุนเนอะ กลั เลอรี่ (Grüner Galerie) หอ้ งพาราเดอชลาฟซิมเมอร์ (Paradeschlafzimmer) หรือสเตท เบดรูม (State Bedroom) จัด แสดงเตียงนอนสแี ดงสดและมีไมก้ น้ั ลอ้ มรอบเตียงนอนท่ีประดบั ไวด้ ว้ ยโคมไฟเลก็ ๆ สภาพที่อย่ตู รงหนา้ ทาํ ให้เห็นไดเ้ ลยว่าเป็นของเก่าแก่โบราณ เพราะฉากหลังที่เป็นกาํ มะหย่ีสีแดงเร่ิมลอกร่อนไปตาม กาลเวลา หอ้ งนีเ้ ขาวา่ จดั แสดงเอาไวเ้ ฉยๆ ไมไ่ ดม้ กี ารใชง้ านแตอ่ ย่างใด หอ้ งพาราเดอชลาฟซมิ เมอร์ (Paradeschlafzimmer) หอ้ งถดั มาเป็นหอ้ งโกลเดนเนอรซ์ าลล์ (Goldener Saal) ใชส้ าํ หรบั เขา้ เฝ้าพระชายาของควั เฟื อสทเ์ ฟอรด์ ินานด์ มาเรีย (Kurfürst Ferdinand Maria) ช่ือหอ้ งเรียกตามลกั ษณะของการตกแตง่ ที่ เนน้ สที องเป็นหลกั ลวดลายตามผนงั และตามเฟอรน์ ิเจอรต์ า่ งๆ ใชไ้ มแ้ กะสลกั ปิดทองทง้ั หมด ตามผนงั มีการตดิ กระจกสลบั ไวด้ ว้ ย ทาํ ใหเ้ กิดแสงสะทอ้ น และทาํ ใหห้ อ้ งดสู วา่ งเขา้ ไปอกี เดนิ ตอ่ ไปอกี เลก็ นอ้ ยจะเป็นหอ้ งมนิ ิอาทเู รนคาบิเนท (Miniaturenkabinett) ที่ไดช้ ื่อเช่นนีเ้ พราะ ท่ีผนังหอ้ งตกแตง่ ไวด้ ว้ ยรูปภาพขนาดเล็กๆ เรียงรายเตม็ ไปหมด รูปที่ฝังอยู่บนผนังสีแดงสดและมี ลวดลายสีทองประดบั มีทง้ั หมดถึง 129 รูป รูปเหล่านีเ้ ขียนโดยจิตรกรชาวดชั ต์ ฝร่งั เศส และเยอรมนี หอ้ งนีจ้ ริงๆ แลว้ ขนาดไมใ่ หญ่เท่าไรนกั แตเ่ ป็นเพราะมีการติดกระจกเงาบานใหญ่เอาไวส้ องบานตรง ขา้ มกนั เลยทาํ ใหห้ อ้ งดกู วา้ งออกไปอีกหลายเทา่ ตวั เลย เดินทะลุต่อไปเป็นห้องโถงขนาดใหญ่มีตูก้ ระจกที่เก็บรักษาขา้ วของเคร่ืองใช้ที่ทาํ ด้วย ทองเหลืองจดั แสดงเรียงรายไว้ ในพืน้ ที่เดียวกันมีชุดโต๊ะเก้าอีเ้ สวยขนาดใหญ่ตงั้ โชวไ์ วด้ ว้ ย หอ้ งนี้
ค่อนขา้ งมืดทึบ ไปสกั หน่อย ส่วนของเสาและผนังมีการนาํ หินอ่อนสีแดงมาเป็นส่วนประกอบ ซา้ํ สี ผา้ มา่ นและการประดบั ตกแตง่ เนน้ สีนา้ํ เงินเป็นหลกั เลยยิ่งทาํ ใหห้ อ้ งดทู มึ ๆ หนกั ๆ พิกล บรเิ วณถดั มาเป็นการจัดแสดงขา้ วของเครื่องใชจ้ าํ พวกกระเบือ้ งเคลือบ พอรซ์ เลน ท่ีเป็นของ สะสมจากแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมยั จดั แสดงไวใ้ หช้ ม อยา่ งชดุ เครอื่ งเขียนของมาดามปอมปาดวั ร์ (Madame de Pompadour) ซ่ึงกษัตรยิ บ์ าวาเรียไดร้ บั เป็นของขวญั จากพระนางมารอี งั ตวั เนต (Maria Antoinette) พระชายาของพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 16 มาดามปอมปาดวั ร์ ถือเป็นหญิงดงั แห่งฝร่งั เศสในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 เพราะตามประวตั ิเธอ เป็นหญิงที่มาจากครอบครวั คนสามญั ธรรมดา เธอไต่เตา้ สอู่ าํ นาจจากงานแฟนซีสวมหนา้ กากกลาง อทุ ยานพระราชวงั แวรซ์ ายสเ์ มือ่ ปี ค.ศ.1745 ที่บิดาผเู้ ป็นคหบดีที่กาํ ลงั ลม้ ละลายไดร้ บั เชิญใหร้ ่วมงาน ปอมปาดวั รอ์ ายุ 24 ปี ไดม้ ีโอกาสไปรว่ มงานนีก้ บั บิดา โดยแตง่ แฟนซีเป็นชดุ สาวเลยี้ งแกะ สว่ นพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 15 ไดแ้ ตง่ องคโ์ ดยการไปเอาก่ิงไมม้ าประดบั พระวรกาย เมื่อประสบพบพักตรพ์ ระองคก์ ็เกิดรกั แรกพบในทนั ใด จากนนั้ ความสมั พนั ธก์ ็พฒั นาจนเธอไดก้ ลายมาเป็นพระสนมเอกของพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 15 เนื่องจากในยคุ นนั้ การท่ีกษัตรยิ จ์ ะมสี นมเลก็ สนมนอ้ ยถือเป็นส่งิ ที่ยอมรบั กนั วา่ เป็นเรื่องปกติ แตใ่ ห้ หลงั มา 5 ปี สขุ ภาพของเธอแย่ลง ความสมั พันธใ์ นฐานะนางบาํ เรอเริ่มลดลง แตเ่ ธอก็มีวิธีท่ีจะทาํ ให้ พระองคย์ งั คงลมุ่ หลงในตวั เธอตอ่ ไป โดยการใหจ้ ิตรกรวาดภาพเธอติดไวต้ ามผนงั แทบจะทกุ จุด คอย จดั หาเครอื่ งใชไ้ มส้ อยต่างๆ เขา้ มาสาํ หรบั การใชใ้ นพระราชวงั ทกุ อย่างทาํ ไวเ้ พื่อใหก้ ลิ่นอายของเธอ ยงั คงอบอวลไปท่วั ไมว่ า่ พระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 15 จะอย่ทู ี่ไหนหรือทาํ อะไร ก็จะทอดพระเนตรเห็นแตภ่ าพของ เธอ หรือสิง่ ของที่เธอสรรหามาจดั วางหรือตกแตง่ ไว้ จากนนั้ ไมน่ านเธอกเ็ ริม่ บทบาทในทางการเมอื งและ การทหารโดยการเขียนจดหมายถึงนายพลเพื่อนาํ ไปส่กู ารกาํ หนดนโยบายต่างประเทศ และเร่ิมใช้ อาํ นาจในทางการบรหิ าร แตก่ ็ตอ้ งยอมรบั ในความสามารถของเธอ เพราะทั้งหมดที่เกิดขนึ้ ปราศจาก การกระทาํ ในลกั ษณะแมย่ ่วั เมอื ง คือไมม่ ีการงดั เสนห่ เ์ ลห่ เ์ พทบุ ายแบบมารยาหญิงมาเก่ียวขอ้ ง มาดาม ปอมปาดวั รจ์ ึงไดช้ ื่อวา่ เป็นหญิงผทู้ รงอิทธิพลมากคนหนึ่งในราชสาํ นักฝร่งั เศสในยุคสมยั ของพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 15
กลบั เขา้ เรื่องของเราดีกว่า นอกจากของมาดามปอมปาดวั ร์ ก็ยังมีของอื่นๆ อีกมากมาย ทั้ง ตกุ๊ ตากระเบือ้ งเคลือบ รูปปั้น แจกนั จากหอ้ งเก็บของสะสมเม่อื เดนิ ออกไปยงั โถงทางเดิน สามารถมอง ออกไปนอกหนา้ ตา่ งจะเหน็ โบสถธ์ ีอาทิเนอเคยี เชอ (Theatinerkirche) สีเหลืองอรา่ มตง้ั ตระหง่าน และ สถานท่ีที่เรียกวา่ เฟลทแ์ ฮรเ์ รนฮลั เลอร์ (Feldherrnhalle) ซึง่ น่นั เป็นเปา้ หมายถดั ไปหลงั จากเราใชเ้ วลา ท่ีน่ีเรยี บรอ้ ยแลว้ บริเวณโถงทางเดนิ หากเดินแหงนมองเพดานก็จะเห็นวา่ ใชเ้ ทคนิคปูนเปียกตกแต่งไว้ เป็นลวดลาย แมจ้ ะไมเ่ ลน่ สีสนั แตก่ ็ทาํ ลวดลายไวอ้ ย่างนา่ มอง โบสถธ์ ีอาทิเนอเคียเชอ (Theatinerkirche) เมอ่ื เดินทะลถุ ดั มาเป็นสว่ นจดั แสดงโลท่ ี่มีสญั ลกั ษณต์ ราประจาํ ราชวงศเ์ รียงรายอยใู่ นตกู้ ระจก ใหเ้ ดนิ ชม แตล่ ะอนั จะมสี ญั ลกั ษณท์ ่ีแตกตา่ งกนั ออกไป ความโดดเดน่ ของโลแ่ ต่ละอนั ก็คงเป็นเพราะสี ทองอรา่ มท่ีเคลอื บไวย้ งั คงไดร้ บั การดแู ลใหม้ นั เป็นเงากระมงั จากที่สงั เกตเหน็ โลแ่ ตล่ ะอนั จะมีตวั อกั ษร จารกึ ขอ้ ความเป็นภาษาเยอรมนั ไวด้ ว้ ย โลแ่ บบตา่ งๆ เมอ่ื เดนิ ตอ่ มาอกี ดา้ นหนึ่งเป็นสว่ นที่จดั แสดงรูปป้ันขนาดเท่าคนจริงจดั แสดงไว้ ท้ังเทพเนปจูน และเพอรซ์ ิอสุ ผพู้ ิชิตเมดซู ่า ในมือยังถือศีรษะของเมดซู ่าคา้ งเอาไวอ้ ยู่เลย รูปป้ันพวกนีม้ ีท้ังทาํ ดว้ ย
บรอนซเ์ คลอื บดว้ ยทอง ทาํ ดว้ ยทองแดงเพราะเมื่อผา่ นกาลเวลาไดก้ ลายเป็นสนิมสีเขียว รวมท้งั ทาํ ดว้ ย หินอ่อน แต่ไม่ว่าจะทาํ จากวสั ดอุ ะไรก็แลว้ แต่ ช่างมีฝีมือเป็นเลิศ เพราะมองยังไงกลา้ มเนือ้ ก็เป็น กลา้ มเนือ้ รวิ้ รอยแห่งวนั วยั มีใหเ้ หน็ ชดั เจน ผมเผา้ หนวดเครามีรายละเอียดเหมือนจะพลิว้ ไหวไดเ้ มื่อ ตอ้ งแรงลม เพอรซ์ ิอสุ ผพู้ ิชติ เมดซู ่า หอ้ งถดั มาจริงๆ เราสามารถผา่ นไดต้ งั้ แตร่ อบแรกแตเ่ ผลอไผลเดนิ ไปทางอ่ืนเสียก่อน เราจึงเพิ่ง มาแวะกนั รอบหลงั เป็นหอ้ งที่แสดงภาพกวา่ 100 ภาพ ซึ่งเป็นบคุ คลในตระกลู วิทเทลบาคส์ หอ้ งนีจ้ ดั ได้ วา่ อลงั การหรูหราอยา่ งที่สดุ เพราะภาพทกุ ภาพถกู ประดบั ดว้ ยลวดลายสที องอรา่ ม เป็นการตกแตง่ ดว้ ย ไมแ้ กะสลักปิดทองศิลปะรอคโคโค สรา้ งโดยคารล์ อลั เบรช เมื่อคร้งั ไดร้ ับแต่งตง้ั เป็นควั เฟื อสท์ (Kürfurst) ในปี ค.ศ.1726 ซง่ึ เป็นตาํ แหน่งท่ีไดร้ บั จากการคดั เลือกของประชาชนเพ่ือเป็นตวั แทนเขา้ ไป คดั เลือกจกั รพรรดอิ์ ีกทีหนง่ึ หอ้ งอาเนนกลั เลอร่ี (Ahnengalerie)
คารล์ อลั เบรชมงุ่ หวงั ใหห้ อ้ งนีเ้ ป็นสถานที่จดั แสดงภาพของบรรพบุรุษ และวงศว์ านว่านเครือ จากการแตง่ งานและการสืบสนั ตติวงศ์ ซึ่งจะเป็นการยืนยันถึงการไดม้ าซึ่งราชบัลลงั กท์ ี่ถูกตอ้ งอย่าง แทจ้ ริง ซึ่งส่งิ ท่ีทาํ นีอ้ าจจะมสี ว่ นช่วยใหค้ ารล์ อลั เบรชบรรลสุ ่ิงท่ีม่งุ หวงั ก็เป็นได้ เพราะในปี ค.ศ.1742 ในเมอื งแฟรงคเ์ ฟิ รต์ อมั ไมน์ คารล์ อลั เบรชไดค้ รองราชบลั ลงั กเ์ ป็นจกั รพรรดิ์คารล์ ที่ 7 (Kaiser Karl VII) แหง่ จกั รวรรดิโ์ รมนั อนั ศกั ดิส์ ิทธิ์ หอ้ งนีถ้ ือเป็นหอ้ งสดุ ทา้ ยสาํ หรบั การเดินชมของพวกเราท่ีถือไดว้ ่า ทิง้ ทวนในความรูส้ กึ มาก ช่างจะสรา้ งอะไรไดห้ รูหราอยา่ งเกินจาํ เป็นเชน่ นี้ ลวดลายสีทองท่ีตกแต่งดจู ะ รกรุงรงั เกินจาํ เป็นไปหรอื เปลา่ เพราะนอกจากรูปบรรพบรุ ุษที่มากมายละลานตาแลว้ สีทองท่ีตกแต่งไป ทงั้ ผนื ผนงั ทง้ั บนเพดาน ทาํ ใหร้ ูซ้ งึ้ เลยวา่ ศลิ ปะรอคโคโคน่ีมนั ช่างฟ่ มุ เฟื อยเกินจาํ เป็นจรงิ ๆ จรงิ ๆ แลว้ คงมีอีกหลายจดุ ที่เราไมไ่ ดไ้ ปดู เพราะอย่างวา่ หอ้ งมีตงั้ เป็นรอ้ ยหอ้ ง แลว้ ท่ีนี่ก็ใหเ้ รา เดินชมกนั เอง เลยี้ วไปทางหนง่ึ ก็อาจจะพลาดอกี หลายๆ หอ้ งที่ยงั เปิดใหช้ มอีก และบางหอ้ งที่เคยอ่าน มาว่าเปิดให้เขา้ มาครงั้ นีบ้ างห้องก็ปิดไม่ใหเ้ ขา้ อย่างโรงละครของพระราชวงั ท่ีช่ือ กูวิลีส์ ธีอาเตอร์ (Cuvilliés Theater) ซึ่งครงั้ หนึ่งเคยเป็นสถานท่ีแสดงดนตรีของโมสารท์ ท่ีต้งั ชื่อตามผอู้ อกแบบคือ ฟรองซวั กวู ิลสี ์ (François Guvilliés) น่นั เห็นป้ายหนา้ หอ้ งอยเู่ หมือนกนั แตว่ นั นีเ้ ขาปิดไมใ่ หเ้ ขา้ ชม โรง ละครแห่งนีถ้ ือเป็นโรงละครศิลปะรอคโคโคท่ียังคงสภาพสมบรู ณม์ ากท่ีสดุ แห่งหน่ึงในยุโรป เพราะ กอ่ นท่ีจะเกิดสงครามโลกครงั้ ที่สอง มีการยา้ ยคอกท่ีน่งั ออกไปจากมิวนิคก่อนท่ีระเบิดลง เมื่อสงบศึก สงครามไดม้ กี ารนาํ กลบั เขา้ มาตดิ ตงั้ ใหม่ จงึ ยงั เป็นของเดมิ ท่ีมีความสมบรู ณม์ าก หรอื แมแ้ ตโ่ บสถค์ าทอลกิ สว่ นพระองคฮ์ อฟคาเพลเลอ (Hofkapelle) และหอ้ งบชู าไรเชอ คาเพล เลอ (Reiche Kapelle) ท่ีมขี นาดไมใ่ หญ่นกั และตกแตง่ ดว้ ยหินสี ท่ีประตปู ิดอยู่ ลองแงม้ ดแู ลว้ แตไ่ มเ่ หน็ มใี ครเขาเขา้ ไปก็เลยไมก่ ลา้ เขา้ ไป จงึ ไดแ้ ตแ่ อบๆ มอง อกี ดา้ นหนึง่ เป็นสว่ นท่ีจะเขา้ ไปชมพระคลงั มหาสมบตั ิ หรือท่ีเรียกในภาษาเยอรมนั ว่า ชาทซ์ คามเมอะ (Schatzkammer) สว่ นนีต้ อ้ งซือ้ บตั รเขา้ ชมตา่ งหาก ซึ่งพวกเราไมไ่ ดซ้ ือ้ บัตรส่วนนีก้ ัน ส่วนนี้ จะแบ่งเป็นหอ้ งยอ่ ยๆ ประมาณ 10 หอ้ ง ใชจ้ ดั แสดงเคร่อื งประดบั งานแกะสลกั ทอง เคร่ืองแกว้ เครื่อง เคลือบ งานท่ีทาํ จากครสิ ตลั และงานแกะสลกั งาชา้ ง แตจ่ ะมีแคบ่ างหอ้ งที่น่าสนใจจริงๆ และน่าเขา้ ชม เป็นบญุ ตา กพ็ วกหอ้ งท่ีจดั แสดงมงกฎุ แหง่ บาเยิรน์ เพราะมงกฎุ เหลา่ นีจ้ ะทาํ ดว้ ยทองคาํ แท้ เงิน เพชร ทบั ทิม มรกต และเพชรสีฟ้าที่รูจ้ ักกันดีว่า บลไู ดมอนด์ (Blue Diamond) มงกฎุ นีท้ าํ ท่ีกรุงปารีสใน ระหวา่ งปี 1806 – 1807 ซ่งึ สวมครงั้ แรกใหแ้ ก่กษัตริยแ์ มกซิมเิ ลยี นท่ี 1 โจเซฟ นอกจากนีย้ งั มีมงกฎุ ของ รา ชิ นี แ ห่ง บ าว าเ รี ยซึ่ ง ทํา ใ นปี เดี ย วกัน ด้ว ย น อก จ าก นี้ยัง มีพ ว กต ร าป ระ จําตํา แห น่ ง เคร่ืองราชอิสริยาภรณข์ องกษัตริยบ์ าวาเรียจัดแสดงไวด้ ว้ ยขา้ วของทั้งหมดในนีแ้ สดงใหเ้ ห็นถึงของ สะสมของผปู้ กครองแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมยั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี เดินกนั จนเรม่ิ รูส้ กึ วา่ พืน้ ท่ีชา่ งกวา้ งขวางมากมายเหลอื เกิน จะเสียดายก็ตรงที่ภาพที่ถ่ายจาก ภายในเรสซิเดนทไ์ มค่ ่อยสวย ไม่คอ่ ยชัดนัก บางภาพเบลอเสียอีก เพราะแสงภายในไมพ่ อ ก็เขาไม่
อนญุ าตใหใ้ ชแ้ ฟลช ซา้ํ รา้ ยมีหอ้ งจาํ นวนมากมายเสียขนาดนี้ เกรงว่าจะดไู ดไ้ ม่ท่วั มนั ก็เลยเหมือนก่ึง เดนิ กง่ึ วิง่ ในการชมยงั ไงพิกล ฝีมือถา่ ยภาพแบบคนเขียนหนงั สือกเ็ ลยไดม้ าแคน่ ีเ้ อง ไอจ้ ะเดินยอ้ นกลบั ไปอีกรอบก็ไมไ่ หว กเ็ ลยตอ้ งเลยตามเลยไป ภาพบางภาพก็เลยไมช่ ดั นา่ เสียดายจริง เราเดินออกไปยงั ประตฝู ่ังถนนเรสซิเดนซ์ (Residenzstraße) แลว้ เขา้ ไปทางประตเู ลก็ ไดพ้ บกบั ไกเซอรโ์ ฮฟ (Kaiserhof) เป็นลานปราสาทที่โดดเดน่ ดว้ ยผนงั ตกึ โดยรอบที่วาดลวดลายไวอ้ ยา่ งสวยงาม อาคารโดยรอบนีส้ รา้ งระหวา่ งปี ค.ศ.1612 – 1618 ในสมยั ของดยคุ แมกซิมเิ ลียนท่ี 1 ทางเขา้ อาคารจะ อยทู่ างตอนเหนือ ซ่ึงจะมีหอ้ งสาํ หรบั รบั รองแขกก่อนที่จะเดินตอ่ ไปสบู่ ันไดจักรพรรดิ์ที่จะเขา้ ส่ไู กเซอร์ ซาลล์ หรอื หอ้ งบลั ลงั กท์ ี่จะออกวา่ ราชการ ลานไกเซอรโ์ ฮฟจะใชง้ านเมอ่ื มกี ารเฉลิมฉลองในโอกาสหรือ วาระพิเศษๆ เทา่ นน้ั บงั เอญิ ฝนเรมิ่ ตกปรอยๆ ลงมาอกี ทาํ ใหเ้ ราไดแ้ ต่ยืนแอบชมความงามอย่ทู ี่มมุ ตกึ อยชู่ ่วั ครู่ จากนน้ั กเ็ ดินทะลไุ ปอกี ทางจะไปโผลท่ างโฮฟการเ์ ทน (Hofgarten) ซง่ึ เป็นดา้ นหนา้ สดุ ของเรส ซิเดนท์ เป็นอทุ ยานภายในกาํ แพงท่ีลอ้ มรอบอย่ตู กแตง่ ดอกไมไ้ วน้ ิดๆ หน่อยๆ แคพ่ อใหส้ วยงามไม่มาก และไมน่ อ้ ยไป หากสงั เกตใหด้ ีกาํ แพงดา้ นในของเรสซิเดนทจ์ ะมภี าพวาดไวด้ ว้ ยทกุ ชอ่ งสามารถเดนิ ดไู ป ไดเ้ ร่อื ยๆ เหน็ แลว้ ทาํ ใหอ้ ดคดิ ไมไ่ ดว้ า่ คนสมยั โบราณน่ีเขาละเอยี ดรอบคอบดีจรงิ ๆ ทกุ ๆ จดุ ตกแตง่ เก็บ เลก็ เก็บนอ้ ยหมด ชา่ งมีคา่ ควรแกก่ ารมาเยือนเสียจริง ไกเซอรโ์ ฮฟ (Kaiserhof) โฮฟการเ์ ทน (Hofgarten) เราคงตอ้ งจบการทวั รเ์ รสซิเดนทแ์ ตเ่ พียงนี้ เฮอ้ ...รูแ้ ลว้ วา่ ทาํ ไมเมืองนีจ้ ึงเรียกวา่ มนึ เช่น ก็มี สรรพสง่ิ ใหเ้ ที่ยวมากมายจนมนึ เช่นนีน้ ี่เอง ตอนนีก้ ็บา่ ยกวา่ แลว้ คงไดเ้ วลาที่เราตอ้ งไปท่ีอ่นื บา้ งแลว้ ยงั เหลอื สถานที่นา่ สนใจอีกหลายแหง่ กอ่ นจะเดินไปโบสถส์ ีเหลืองอรา่ มที่เลง็ ไว้ เราตอ้ งผา่ นบริเวณท่ีเรียกวา่ เฟลดแ์ ฮรเ์ รนฮลั เลอร์ (Feldherrnhalle) หรือ ฟี ลมารแ์ ชลสฮ์ อลล์ (Field Marshals’ Hall) ตัง้ อยู่บนโอเดียนพลาตส์ (Odeonplatz) สรา้ งขนึ้ ระหวา่ งปี ค.ศ.1841 – 1844 โดยไดร้ ูปแบบมาจาก Loggia dei Lanzi ในเมือง ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี พระเจา้ ลดุ วิกที่ 1 สรา้ งขึน้ เพ่ือเป็นเกียรติแก่แม่ทัพบาวาเรีย โดยรูปปั้น ทางซา้ ยเป็นของนายพลเคานท์ โจฮนั น์ ทิลล่ี (Count Johann Tilly) ผบู้ ัญชาการกองทพั สมยั สงคราม สามสิบปี ทางดา้ นขวาเป็นรูปป้ันของนายพลคารล์ ฟิ ลลิปป์ ฟอน เวรเด (Karl Philipp Von Wrede)
จากสงครามกับฝร่ังเศสเมื่อปี ค.ศ.1814 ส่วนตรงกลางเป็นรูปสลกั อุทิศใหก้ ับทหารบาวาเรียนใน สงครามฝร่งั เศส - ปรสั เซียน (Franco – Prussian War) เมอื่ ปี ค.ศ.1870 – 1871 ในช่วงก่อนที่ฮิตเลอร์ จะมอี าํ นาจ บริเวณนีเ้ ป็นท่ีปะทะระหวา่ งตาํ รวจและกองกาํ ลงั นาซขี องฮิตเลอรใ์ นปี ค.ศ.1923 ตาํ รวจได้ เขา้ สลายการเดินขบวนครงั้ นนั้ จนทาํ ใหม้ ีผเู้ สียชีวิตหลายคน ภายหลงั เหตกุ ารณน์ องเลือดครง้ั นน้ั ฮิต เลอรถ์ กู จบั กมุ และคมุ ขงั จนกระท่งั วนั หน่งึ ท่ีฮิตเลอรเ์ รืองอาํ นาจ ฮิตเลอรไ์ ดก้ าํ หนดไวว้ ่า ใครเดินผา่ น บริเวณเฟลดแ์ ฮรเ์ รนฮลั เลอรน์ ี้ ตอ้ งหยดุ ทาํ ความเคารพ เพ่ือเป็นการระลึกถึงผเู้ สียชีวิตทกุ คนจากเหตุ ปะทะครง้ั นนั้ ทาํ ใหเ้ กิดเรือ่ งขึน้ กับถนนเสน้ หนึ่งที่ดา้ นหลงั สถานที่แห่งนี้ น่ันเป็นเพราะบางคนไม่เห็น ดว้ ยกบั ความคดิ ของฮิตเลอร์ ไมต่ อ้ งการทาํ ความเคารพ จึงใชว้ ิธีเดินเลี่ยงไปทางถนนเสน้ เลก็ ๆ ดรกึ เก เบอรเ์ กอรก์ ราสเซ (Drückebergergasse) หากไปเดินชมยงั พอมรี อ่ งรอยทางเลก็ ๆ ท่ีวา่ ใหเ้ หน็ เฟลดแ์ ฮรเ์ รนฮัลเลอร์ (Feldherrnhalle) คราวนีเ้ ราไดเ้ ดินไปยงั โบสถส์ ีเหลอื งอร่ามที่เลง็ กันไวเ้ สียที ตะแรกมองเห็นไมค่ ิดเลยว่าที่น่ีคือ โบสถ์ รูแ้ ต่ว่าอาคารนีช้ ่างสวยเหลือเกิน แลว้ ทาสีเหลืองอร่ามอย่างนีเ้ ลยทาํ ใหย้ ิ่งโดดเดน่ เมื่อมาอยู่ ท่ามกลางอาคารอนื่ ๆ ท่ีเป็นสอี ฐิ เก่าๆ ทึมๆ โบสถธ์ ีอาทิเนอรเ์ คียเชอ (Theatinerkirche) เร่ิมสรา้ งเม่ือปี ค.ศ.1662 เพ่ือเป็นที่ระลกึ หลงั จากที่เฮนเรยี ตตา้ อเดเลด ออฟ ซาวอย (Henrietta Adelaide of Savoy) พระชายาของควั เฟื อสทห์ รืออเี ลก็ เตอรเ์ ฟอรด์ นิ านด์ มารีอา (Kurfürst Ferdinand Maria) ซึง่ ครองราชย์ ระหวา่ งปี ค.ศ.1651 – 1679) ประสตู ิพระโอรส ซ่ึงต่อมาคือ ควั เฟื อสท์ แมกซิมิเลียนท่ี 2 เอม็ มานเู อล็ (Kurfürst Maximilian II Emanuel) ซึ่งครองราชยร์ ะหวา่ งปี ค.ศ.1679 – 1726 โบสถแ์ ห่งนีใ้ ชเ้ วลาสรา้ ง ราว 30 ปี โดยตวั โบสถส์ รา้ งเสร็จในปี ค.ศ.1690 ไดแ้ บบมาจากโบสถเ์ ซนตแ์ อนเดรีย เดลลา วาลเล (St.Andrea della Valle) ที่กรุงโรม แตส่ ว่ นที่เป็นหอคอยไดแ้ บบมาจากโบสถซ์ านตามาเรีย เดลลา ซาลู เต (Santa Maria Della Salute) ท่ีกรุงเวนิส แตร่ ูปที่ประดบั ดา้ นหนา้ โบสถม์ าสรา้ งเพิ่มเติมในภายหลงั ในช่วงปี ค.ศ.1765 – 1768 ผอู้ อกแบบคือ อนั โตนิโอ บาเรลลี จากโบโลญ่า (Antonio Barelli of Bologna) เราพากนั เปิดประตโู บสถเ์ ขา้ ไปดา้ นใน แรกเห็นอดทง่ึ ไมไ่ ด้ ดา้ นนอกและดา้ นในสวยงามไม่แพ้ กนั เลย ตา่ งมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ถา้ ดจู ากดา้ นนอกไมค่ ิดเลยวา่ ดา้ นในจะมีรูปแบบอย่างที่เห็น ภายใน ตกแตง่ ใหเ้ ป็นบาซลิ กิ า (Basilica)แบบไฮบารอค โดยตงั้ ใจใหม้ คี วามงดงามท่ีสดุ ในมวิ นิค เนื่องจากกวา่
จะไดพ้ ระโอรสองคน์ อ้ ยนี้ ทง้ั ครู่ อคอยมาเป็นเวลานานมาก จงึ เป็นเสมือนแทนคาํ ขอบคณุ ต่อพระเจา้ ที่ ไดป้ ระทานมา ท่ีโดดเดน่ คอื โครงสรา้ งเสาหินท่ีเหน็ ไดช้ ดั วา่ ศิลปะอติ าลมี ีสว่ นอย่างมากในการออกแบบ ตามเสาหินจะประดบั รูปปั้นของนกั บญุ อปุ ถมั ภท์ ง้ั ส่ขี องตระกลู บนยอดเสาแต่ละตน้ จะมีต๊กุ ตาปนู ป้ัน อริ ิยาบทตา่ งๆ นอกจากน้นั ยงั มีปนู ป้ันรูปดอกไมท้ ี่แสดงใหเ้ ห็นถึงการเก็บรายละเอียดและความออ่ น ชอ้ ยตามแบบฉบบั โบราณไดเ้ ป็นอยา่ งดี หนเู ลก็ เหน็ แลว้ ชอบมาก เพราะรูปแบบและการตกแตง่ ที่โดด เดน่ แตกตา่ งจากโบสถแ์ ห่งอืน่ ๆ ที่พบเจอในรอบหลายวนั นีท้ ่ีสว่ นใหญ่มกั เป็นการวาดภาพเฟรสโก จน ทาํ ใหเ้ พดานทง้ั ผนื ราวกบั สวรรคช์ นั้ ฟา้ ในขณะท่ีโบสถแ์ ห่งนีม้ ีความเรียบ สง่า และขรึมในที หนูเล็กว่า โบสถ์แห่งนี้ไม่เพียงงดงามและสวยท่ีสุดในมิวนิค แต่สวยที่สุดในสายตาของหนูเล็กเม่ือเทียบกับ หลากหลายแหง่ ที่ไดพ้ บเจอมา บริเวณชน้ั ใตด้ ินของโบสถย์ งั เป็นที่เก็บหีบพระศพของกษัตริยแ์ มกซิมิ เลียนท่ี 2 ที่ทาํ ดว้ ยหินขนาดมหมึ า หีบศพของตระกูลผสู้ รา้ ง และโลงศพบรอนซข์ องบุคคลในตระกลู วิ ทเทลบาคส์ เช่น กษัตริยแ์ มกซิมิเลียนที่ 1 โจเซฟ ความงดงามดา้ นในของโบสถธ์ ีอาทิเนอรเ์ คยี เชอ
หลงั จากดมื่ ดา่ํ กบั ความงามภายในกนั จนพอใจแลว้ คงไดเ้ วลาพกั ผอ่ นหย่อนใจดว้ ยการไปเดิน ดขู องสวยๆ งามๆ หาซือ้ อะไรติดไมต้ ิดมือกลบั บา้ นกันบา้ งแลว้ อยู่แต่กบั ของเก่าๆ สถานที่ท่ีมีประวตั ิ มากๆ บางทีกน็ กึ ขนลกุ ขนึ้ มาเหมอื นกนั เพราะไมร่ ูว้ า่ ระหวา่ งท่ีเดินเล่นอย่ใู นปราสาท มีวิญญาณของ ผคู้ นท่ีเคยใชช้ ีวติ ในสถานที่เหลา่ นน้ั มาวนเวียนอย่บู า้ งหรอื เปลา่ ก็ไมร่ ู้ เอ...หรอื วา่ มาพดู มาทกั อะไรบา้ ง แลว้ กไ็ มร่ ูแ้ ตบ่ งั เอญิ เราไมร่ ูภ้ าษาเยอรมนั กเ็ ลยฟังไมร่ ูเ้ ร่อื ง.....บร๋ือ เราเดินกลบั มากนั ท่ีถนนคนเดินกนั อกี รอบ เพราะพี่ใหญ่กบั คณุ ปาอยากดพู วกรา้ นขายกระเป๋ า เป้ อะไรทาํ นองนี้ เพราะตอนท่ีเดินผ่านรอบแรกเห็นมีติดป้ายลดราคากันไว้ ท่ีหมายม่นั กนั ก็ตอ้ งเป้ สญั ชาตเิ ยอรมนั อย่างดอยชเ์ ตอร์ (Deuter) เพราะเห็นแขวนอย่หู นา้ รา้ นหลายรุ่น แลว้ มาถึงที่น่ีแลว้ จะ ไมห่ าตดิ มือกลบั ไปซกั ใบพี่ใหญ่วา่ เหมือนจะมาไมถ่ ึง เทา่ ท่ีสาํ รวจราคาดใู นรอบหลายวนั ท่ีผ่านมาก็ถือ วา่ โอเคอยู่ ดงั นนั้ พวกเราจงึ พากนั เดินชมสนิ คา้ จาํ พวกนีก้ นั อยพู่ กั ใหญ่ แถมยงั มพี วกกระเป๋ าสะพายเบ เนตอง (Benetton) ขนาดเลก็ ๆ ใหไ้ ดซ้ ือ้ กลบั ไปเป็นของฝากอกี หลายรุน่ บรเิ วณถนนคนเดิน ถนนเคาทิงเงอร์ (Kautingerstraße) ออกจากรา้ นกนั ตวั ปลวิ เพราะหมดกนั ไปหลายยโู ร แตก่ ถ็ ือวา่ คอ่ นขา้ งถูกสาํ หรบั ราคาท่ีเขาลด แลว้ สว่ นใหญ่จะเป็นสินคา้ ตกรุน่ แลว้ เขาเลยเอามาลดราคา แตพ่ วกเราประเภทไมส่ นใจเรอื่ งรุน่ เทรนด์ แคม่ ีของดีๆ ถือกพ็ อแลว้ ก่อนจะกลบั หนูเล็กขอแวะไปโบสถ์ตรงใกลๆ้ นีอ้ ีกโบสถ์หนึ่ง คือ โบสถ์มิคาเอลสเ์ คียเชอ (Michaelskirche) เทา่ ที่อา่ นในหนงั สือทอ่ งเท่ียวมาดา้ นนอกของตวั โบสถจ์ ดั ไดว้ ่างดงามมากเพราะจะ แบ่งเป็นสามชนั้ ประดบั ดว้ ยรูปป้ันนักปกครองชาวบาเยิรน์ 16 คน สว่ นดา้ นลา่ งช่วงประตทู างเขา้ จะ เป็นรูปป้ันของนักบุญมิคาเอล (St.Michael) ท่ีตอ่ สกู้ ับปีศาจที่แปลงร่างมาในรูปมงั กร แต่วนั นีท้ ่ีดา้ น นอกปิดซ่อมทาํ ใหถ้ า่ ยภาพอะไรไมไ่ ดเ้ ลยนา่ เสียดายจงั กเ็ ลยไดแ้ ตเ่ ดินเขา้ ไปดดู า้ นในแทน โบสถเ์ ยซูอิตแหง่ นีเ้ ป็นโบสถแ์ บบเรอเนสซองสท์ ี่มีขนาดใหญ่ท่ีสดุ ทางตอนเหนือของเทือกเขา แอลป์ สรา้ งขนึ้ ในสมยั ของดยคุ วลิ เฮลม์ ท่ี 5 ในระหวา่ งปี ค.ศ.1583 – 1597 เพื่อใหเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของ การปฏิรูปนิกายคาทอลิก รูปแบบของตัวอาคารค่อนขา้ งมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมสมัยบารอค
คอ่ นขา้ งมาก เมอ่ื เปิดเขา้ ไปดา้ นใน ก็ชวนใหต้ ะลงึ ถงึ ความงาม โดยเฉพาะแทน่ บชู าท่ีดา้ นหนา้ ท่ีมีสที อง อรา่ มสะดดุ ตา เหนือแท่นบชู าเป็นเพดานโคง้ ขนาดใหญ่ถึงขนาดมีคนเอาไปเทียบเคียงกบั มหาวิหาร เซนตป์ ีเตอรใ์ นกรุงโรม ในช่วงสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ถกู ทาํ ลายเสียยอ่ ยยบั กวา่ จะบรู ณะจนมีสภาพอย่าง ที่เหน็ กใ็ ชเ้ วลามากพอสมควรกวา่ จะแลว้ เสร็จก็ปี ค.ศ.1948 โบสถแ์ ห่งนีม้ ีความสาํ คญั เพราะบริเวณ หอ้ งใตด้ นิ เป็นที่ตงั้ พระศพของสมาชิกราชวงศว์ ทิ เทลบาคสไ์ มว่ า่ จะเป็นดยคุ วลิ เฮลม์ ท่ี 5 กษัตริยแ์ มกซมิ ิ เลียนที่ 1 พระเจา้ ออตโตที่ 1 รวมทงั้ พระเจา้ ลดุ วิกที่ 2 อนั ลือชื่อ ทางโบสถก์ ลวั จะไม่รูม้ ีป้ายตงั้ บอกไว้ ใหเ้ หน็ เลยทเี ดยี ว แตก่ ็ไมเ่ หน็ มีใครประสงคจ์ ะลงซกั คน อย่างวา่ นะไมร่ ูจ้ ะลงไปดทู าํ ไมพวกหีบศพ แคไ่ ป เดนิ ในปราสาทของเขาก็ขนลกุ แลว้ ไมร่ ูจ้ ะไปเย่ียมถงึ โลงศพทาํ ไมกนั โบสถม์ คิ าเอลสเ์ คยี เชอ (Michaelskirche) เราเดินเท่ียวกนั มาทง้ั วนั ฝนไมไ่ ดป้ รานีเลย ตกพราํ ๆ อยอู่ ย่างนี้ กลอ้ งท่ีถือตอ้ งคอยหยิบเขา้ - ออกจากกระเป๋ าเพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หช้ ืน้ แฉะ ไมอ่ ย่างน้ันเกิดใชง้ านไม่ไดข้ ึน้ มาอีกหลายวนั ท่ีเหลือก็คงจะ หมดชีวิตชีวาเป็นแน่ เพราะเราจะเก็บความประทบั ใจใสภ่ าพถ่ายไปไดอ้ ย่างไรกัน แต่ดเู หมือนชาว
เยอรมนั คงจะชินกวา่ เรา เพราะก็ใชช้ ีวติ กนั ปกติ เหน็ เดนิ พดู คยุ กนั เตม็ ถนน ไมเ่ หมอื นเราทง้ั ราํ คาญ ท้ัง รูส้ กึ เฉอะแฉะ แลว้ กท็ ่ีสาํ คญั คอื พอเรม่ิ ตกเย็น อากาศยิ่งหนาวเยน็ เขา้ ไปอกี พวกเราทาํ ไดแ้ คก่ ารกระชับ เสือ้ หนาวใหม้ ดิ ชิดขนึ้ หนเู ลก็ จดั ผา้ พนั คอใหเ้ ขา้ ที่เขา้ ทางใหม้ ากขนึ้ ตอ้ งพยายามทาํ ร่างกายใหอ้ นุ่ เขา้ ไว้ อากาศอย่างนีต้ วั ดีนกั ละที่จะทาํ ใหเ้ ราเจ็บป่ วยขนึ้ มาได้ ถา้ เจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยขนึ้ มาดทู ่าทริปนีค้ งหมด สนกุ เป็นแน่ แลว้ ย่ิงถา้ เป็นหนเู ลก็ มอื ขบั อีกหลายวนั ท่ีเหลอื จะทาํ อยา่ งไรกนั ไหนๆ กเ็ ดนิ ชมไปเรอื่ ยแลว้ หนเู ลก็ เสนอใหพ้ วกเราเดนิ เขา้ ไปเที่ยวชมบรรยากาศในสถานีรถไฟ กลางของมิวนิคซ่ึงอยู่ระหว่างทางกันหน่อย ก็พวกเราไม่ไดเ้ ดินทางดว้ ยรถไฟ ดังน้ัน คงไม่ไดเ้ ห็น บรรยากาศความวนุ่ วายอย่างนีก้ ันซักวนั ถา้ ไม่แวะเขา้ มาดู เมื่อโผล่หนา้ เขา้ ไป บรรยากาศก็ประมาณ สถานีรถไฟหวั ลาํ โพงน่นั ละ ดวู นุ่ วายดีแท้ ถา้ จะถกู ใจก็คงเป็นพวกรา้ นรวงในสถานีมากกวา่ เขาถึงบอก วา่ ถา้ ในวนั อาทิตยท์ ่ีรา้ นคา้ ตา่ งๆ พากนั ปิด สถานีรถไฟจะเป็นที่พึ่งที่ดที ่ีสดุ อยา่ งนอ้ ยกจ็ ะมอี าหารขาย ยิ่งถา้ เมืองใหญ่อย่างมวิ นิคน่ีมีเป็นรา้ นอาหารเลยทีเดยี วไมต่ อ้ งกลวั อดตาย เท่าที่เห็นรา้ นส่วนใหญ่จะ เป็นพวกแซนวิช เบเกอรี่ เพราะสะดวกสาํ หรบั นักเดินทางที่ใชร้ ถไฟเป็นหลกั ซือ้ ง่าย พกง่าย กินง่าย คลอ่ งตวั ที่น่ีมรี า้ นอาหารขนาดใหญ่ดว้ ย คณุ ปาคงจะหิวเห็นไปยืนมองไก่หมนุ ตวั อว้ นพีสีเหลืองอร่าม ตาเป็นมนั เชียว พวกเราเดนิ สาํ รวจรา้ นตา่ งๆ จนท่วั ตา่ งคนตา่ งซือ้ อาหารการกินท่ีตอ้ งตาตอ้ งใจติดมือ กลบั มาเลก็ น้อย และเม่ือมีของกินที่คาดว่าจะถกู ปากติดไมต้ ิดมือมาแลว้ แขง้ ขาที่อ่อนลา้ จากการ ตะลอนเดินมาทง้ั วนั ไฉนมนั เกิดมีเร่ียวมีแรงขนึ้ มาเสียเฉยๆ เพียงไม่นานเราก็มาถึงโฮสเทล อะไรไม่ อะไรสิพากนั ดิ่งไปครวั แบบไมม่ ีใครหา้ มใครเอาเลย ลองเขา้ มาเดินสาํ รวจภายในสถานีรถไฟกลาง
สสี นั ภายในสถานีรถไฟกลาง ไมร่ ูเ้ ป็นเพราะมวิ นิควนั นีม้ ีฝนพราํ ทง้ั วนั หรอื วา่ เป็นเพราะพวกเราพากนั เดินผา่ นกาลเวลากลบั ไปสอู่ ดีตอนั รุง่ เรอื งของมิวนิคและวนั ที่มวิ นิคย่อยยบั เพราะสงครามอนั เลวรา้ ยกไ็ มร่ ู้ จึงทาํ ใหม้ วิ นิคท่ีหนู เลก็ รูจ้ กั ในวนั นี้ ท่ีแมว้ า่ จะมองเหน็ ความเรืองรองอย่างท่ีเขาวา่ เคยเป็นเตม็ สองตา แต่ทวา่ ภายใตค้ วาม งดงามอลงั การท่ีเหน็ มนั เป็นการกลบและเกลอ่ื นความบอบชา้ํ แสนสาหัสในช่วงหนึ่งของอดีตท่ีหนเู ล็ก มองว่า อย่างไรก็คงซ่อนไม่มิด เพราะความบอบชา้ํ น้ันมันฝังอยู่ในประวัติศาสตรข์ องมิวนิคที่ชาว เยอรมันไม่ว่ารุ่นพ่อแม่หรือรุ่นลกู ทกุ คนคงตระหนักดีและก็คงไม่สามารถลบมนั ออกจากความจริงที่ เกิดขึน้ ได้ จริงๆ แลว้ โลกสรา้ งมนุษยใ์ หม้ าอยู่รว่ มกัน เพราะลว้ นมายืนบนผิวโลกเหมือนๆ กัน เขต ประเทศกไ็ มไ่ ดถ้ กู แบ่ง แตม่ นษุ ยเ์ ราพากนั แบ่งพืน้ ผวิ โลกออกเป็นประเทศ ออกเป็นพรมแดน แบง่ คนที่มี สีผิวไมเ่ หมือนเราออกไป เชือ้ ชาติที่ไม่เหมือนเราออกไป เผา่ พันธทุ์ ่ีไม่เหมือนเราออกไป และเม่ือเกิด ความคิดท่ีแตกต่างเราก็ยิ่งแบ่งพวกเรากันออกไป ส่ิงเหล่านีน้ าํ มาซึ่งความขดั แย้ง และเม่ือมีความ รุนแรงขึน้ ก็นาํ มาส่กู ารทาํ รา้ ยกนั ต่อสกู้ ัน สงั หารกัน สงครามระหว่างมนษุ ยจ์ ึงเกิดขึน้ มา และไมไ่ ด้ ทาํ ลายเพียงมนษุ ย์ แตก่ ลบั ทาํ ลายโลกจนราบพณาสรู กลบั กลายเป็นวา่ มนษุ ยอ์ ย่างเราๆ ที่ถูกสรา้ งมา ดว้ ยกนั มาประหตั ประหารกนั เอง สิง่ ท่ีเกิดขนึ้ ในอดตี อนั แสนเลวรา้ ยเหลา่ นี้ นา่ จะเป็นบทเรยี นสอนพวก เราไดแ้ ลว้ วา่ ความขดั แยง้ ไมไ่ ดท้ าํ ใหเ้ กิดประ.โยชนอ์ นั ใดเลย สรา้ งแตค่ วามเสียหายและความสญู เสีย อย่างที่แมว้ า่ จะบรู ณะเพียงใด หนเู ลก็ เช่ือวา่ บาดแผลที่ซ่อนอย่ใู นใจ มนั ยากเกินกว่าจะมียาวิเศษใดๆ
เยียวยาได้ เชื่อเถิดวา่ ไมม่ ชี าวเยอรมนั คนใดไม่เจ็บปวดกับอดีตของพวกเขา แมไ้ มบ่ อกเล่าผ่านวาจา แต่หนเู ลก็ เชื่อวา่ เบื้องหลงั แววตาอนั ม่งุ ม่นั ในการสรา้ งชาติเยอรมนีในวนั นี้ มนั มาจากรอ่ งรอยความ เจ็บปวดในอดีตท่ีพวกเขาอยากลบเลือนมันกันทุกคน คงเป็นเช่นฝนท่ีตกพราํ ในใจพวกเขาอยู่ ตลอดเวลากระมงั เพราะแคห่ นเู ลก็ ตอ้ งมาใชช้ วี ติ หนงึ่ วนั ในมวิ นิคทฝ่ี นพราํ ฟา้ หมน่ มวั อย่างวนั นี้ หนเู ลก็ ยงั ซมึ ซบั ถงึ ความเศรา้ และเจ็บปวดไดถ้ ึงเพียงนี้
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: