Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุบาสิกา ฉบับราชนิกูล-พระเถรี

อุบาสิกา ฉบับราชนิกูล-พระเถรี

Description: อุบาสิกา ฉบับราชนิกูล-พระเถรี

Search

Read the Text Version

เมื่อคนเหล่านั้น พรรณนาคุณของพระตถาคตอยู่ ไมข่ าดปาก. พระนางรูปนันทาได้สดับค�ำพรรณนาคุณของพระ- ตถาคต จากส�ำนักพวกภิกษุณีและพวกอุบาสิกา จึงทรง ด�ำริว่า ‘คนท้ังหลายย่อมกล่าวชมเจ้าพี่ของเรานักหนา ทเี ดยี ว แมใ้ นวนั หนง่ึ พระองคเ์ มอื่ จะตรสั โทษในรปู ของเรา จะตรสั ไดส้ กั เท่าไร? ถา้ อยา่ งไร เราพงึ ไปกบั พวกภิกษณุ ี ไม่แสดงตนเลย เฝา้ พระตถาคตฟงั ธรรมแลว้ พงึ กลับมา.’ พระนางจึงตรัสบอกแกพ่ วกภิกษณุ วี า่ “วันนี้ ฉันจะ ไปฟังธรรม.” พวกภกิ ษณุ มี ใี จยนิ ดวี า่ “นานนกั หนา การทพี่ ระนาง รปู นนั ทาทรงมพี ระประสงคจ์ ะเสดจ็ ไปสทู่ บี่ ำ� รงุ พระศาสดา เกดิ ขึ้นแล้ว, วนั นี้ พระศาสดาทรงอาศัยพระนางรปู นันทา นี้แล้ว จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันวิจิตร” ดังน้ีแล้ว พาพระนางออกไปแลว้ . ตง้ั แตเ่ วลาทอ่ี อกไป พระนางทรง ดำ� ริว่า ‘เราจะไมแ่ สดงตนเลย.’ พระศาสดาทรงด�ำรวิ า่ ‘วนั นี้ รูปนนั ทาจะมาท่บี ำ� รุง ของเรา ธรรมเทศนาเชน่ ไรหนอแล? จะเปน็ ทส่ี บายของเธอ’ ทรงตกลงพระหฤทัยว่า ‘รูปนันทานั่น หนักในรูปมคี วาม หว่ งใยในรา่ งกายอยา่ งรนุ แรง การบรรเทาความเมาในรูป 101 พระนางรูปนนั ทาเถรี www.kalyanamitra.org

ด้วยรูปน่ันแล เป็นท่ีสบายของเธอ ดุจการบ่งหนามด้วย หนามฉะน้นั .’ ในเวลาทพี่ ระนางเขา้ ไปสวู่ หิ าร ทรงนริ มติ หญงิ มรี ปู สวยพร้งิ ผหู้ นง่ึ อายุราว ๑๖ ปี นุ่งผา้ แดง ประดบั แล้วด้วย อาภรณ์ทุกอย่าง ถือพัด ยืนถวายงานพัดอยู่ในท่ีใกล้ พระองค์ ด้วยก�ำลังพระฤทธ์ิ, พระศาสดาและพระนาง รูปนนั ทาเทา่ นัน้ ทรงเห็นรปู หญงิ น้นั . พระนางเสดจ็ เขา้ ไปวหิ ารพรอ้ มกบั ภกิ ษณุ ที งั้ หลาย ทรงยืนข้างหลังพวกภิกษุณี ถวายบังคมพระศาสดาด้วย เบญจางคประดิษฐ์ นั่งในระหว่างพวกภิกษุณี ทรงแลดู พระศาสดาตง้ั แตพ่ ระบาท ทรงเหน็ พระสรรี ะของพระศาสดา วิจิตรแล้วด้วยพระลักษณะ รุ่งเรืองด้วยอนุพยัญชนะ อันพระรัศมีหนึ่งวาแผ่โดยรอบแล้ว ทรงแลดูพระพักตร์ อันมีสิริดุจพระจันทร์เพ็ญ ได้ทรงเห็นรูปหญิงยืนอยู่ในท่ี ใกลแ้ ล้ว. พระนางทรงแลดูหญิงนั้นแล้ว ทรงแลดูร่างกาย (ของตน รู้สึกว่าตนเหมือนนางกา ซึ่งอยู่ข้างหน้านาง พระยาหงส์ทอง. ต้ังแต่พระนางทรงเห็นรูปที่ส�ำเร็จด้วย ฤทธ์ิทีเดียว พระเนตรท้ังสองของพระนางก็วิงเวียน. 102 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

พระนางมจี ติ อนั สริ โิ ฉมของรา่ งนนั้ ทง้ั หมดดงึ ดดู ไปแลว้ วา่ ‘โอ ผมของหญิงนี้ ก็งาม, โอ หน้าผากก็งาม’ ดังน้ี ได้ หลงใหลในรปู น้ันอย่างแรงกล้า. พระศาสดาทรงทราบความยนิ ดอี ยา่ งสดุ ซง้ึ ในรปู นน้ั ของพระนาง เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงทรงแสดงรูปน้ัน ใหล้ ว่ งภาวะของผมู้ ีอายุ ๑๖ ปี มีอายุราว ๒๐ ปี. พระนางรูปนันทาได้ทอดพระเนตร มีจิตเบ่ือหน่าย หนอ่ ยหน่งึ วา่ “รปู นีไ้ ม่เหมอื น รปู เมือ่ กอ่ นหนอ.” พระศาสดาทรงแสดงความแปรเปล่ียนเพศของ หญงิ นนั้ ตามลำ� ดบั เทยี ว คอื เพศหญงิ คลอดบตุ รครง้ั เดยี ว เพศหญิงกลางคน เพศหญงิ แก่ เพศหญิงแกค่ ร่�ำคร่าแล้ว เพราะชรา. พระนางกท็ รงเบ่อื หน่ายรูปน้ัน ในเวลาทท่ี รุดโทรม เพราะชรา ตามลำ� ดบั เหมอื นกนั วา่ ‘โอ รปู นหี้ ายไปแลว้ ๆ’ เมอ่ื ทรงเหน็ รปู นน้ั มฟี นั หกั ผมหงอก หลงั โกง มซี โ่ี ครงขนึ้ ดุจกลอน มีไม้เทา้ ยนั ขา้ งหน้า งกงนั อยู่ ก็ทรงเบ่อื หนา่ ย เหลอื เกิน. พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นให้เป็นรูปท่ีความ เจ็บป่วยครอบง�ำ ขณะนั้นเอง หญิงน้ันทิ้งไม้เท้าและพัด ใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงท่ีภาคพ้ืน จมลงในมูตรและ 103 พระนางรปู นันทาเถรี www.kalyanamitra.org

กรีสของตน กลง้ิ เกลือกไปมา. พระนางรูปนนั ทาทรงเหน็ หญิงน้นั แล้ว ทรงเบอ่ื หน่ายเต็มที. พระศาสดาทรงแสดงมรณะของหญงิ นน้ั แลว้ . หญงิ นนั้ ถงึ ความเปน็ ศพพองขนึ้ ในขณะนนั้ เอง สายแหง่ หนองและ หมู่หนอนไหลออกจากปากแผล๒๔ ท้ัง ๙. ฝูงสัตว์มีกา เปน็ ต้นรมุ แยง่ กันกินแล้ว. พระนางรูปนันทาทรงพจิ ารณาซากศพนน้ั แล้ว ทรง เห็นร่างกาย ตามสภาพไม่เที่ยงว่า ‘หญิงน้ีถึงความแก่ ถึงความเจ็บ ถงึ ความตาย ในทนี่ ้เี อง, ความแก่ ความเจบ็ และความตาย จะมาถึงแก่ร่างกายแม้น้ีอย่างนั้นเหมือน กัน.’ และเพราะความที่ร่างกายเป็นสภาพท่ีพระนางทรง เห็นแล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงน่ันเอง ร่างกายน้ัน จึงเป็นอันทรงเห็นแล้วโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น อนัตตาทเี ดยี ว. ภพทั้งสามปรากฏแก่พระนางดุจถูกไฟเผาลนแล้ว และดจุ ซากศพอนั เขาผกู ไวท้ พี่ ระศอ จติ มงุ่ ตรงตอ่ กรรมฐาน แล้ว. พระศาสดาทรงทราบวา่ ‘พระนางทรงคดิ เหน็ อตั ภาพ โดยความเป็นสภาพไม่เท่ียงแล้ว’ จึงทรงพิจารณาดูว่า ๒๔ ที. มหาวรรค ชนวสภสตู ร ขอ้ ๑๙๘. 104 อุบาสกิ า ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

‘พระนางจะสามารถท�ำท่ีพึ่งแก่ตนได้เองทีเดียวหรือไม่ หนอแล?’ ทรงเหน็ ว่า ‘จะไม่อาจ การที่พระนางได้ปจั จัย ภายนอก เสียกอ่ นจึงจะเหมาะ’ ดงั นี้แลว้ เมอ่ื จะทรงแสดงธรรม ดว้ ยอ�ำนาจธรรมเปน็ ทสี่ บาย แหง่ พระนาง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านวี้ ่า นนั ทา เธอจงดกู ายอันกรรมยกขึน้ อันอาดรู ไม่สะอาด เป่ือยเนา่ ไหลออกอยขู่ ้างบน ไหลออกอยขู่ ้างล่าง ทพี่ าลชน ท้งั หลายปรารถนากนั นกั ; สรีระของเธอน้ี ฉันใด สรรี ะของหญิงนั่น ก็ฉันนน้ั , สรีระของหญิงนัน่ ฉันใด สรีระของเธอนี้ ก็ฉนั น้นั เธอจงเหน็ ธาตทุ ้งั หลายโดยความเปน็ ของสญู , อย่ากลบั มาสูโ่ ลกนีอ้ กี , เธอคลค่ี ลายความพอใจ ในภพเสียแลว้ จกั เปน็ บคุ คลผสู้ งบเทยี่ วไป. ไดท้ ราบวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงปรารภพระนาง นนั ทาภกิ ษณุ ี ไดต้ รสั พระคาถาเหลา่ น้ี ดว้ ยประการฉะนแ้ี ล. พระนางนันทาทรงส่งญาณไปตามกระแสเทศนา บรรลโุ สดาปัตตผิ ลแลว้ . 105 พระนางรูปนันทาเถรี www.kalyanamitra.org

พระศาสดา เพื่อจะตรัสสุญญตกรรมฐาน๒๕ เพื่อ ต้องการอบรมวิปัสสนา เพ่ือมรรคผลท้ังสามยิ่งข้ึนไปแก่ พระนาง จงึ ตรสั วา่ “นนั ทา เธออยา่ ทำ� ความเขา้ ใจวา่ ‘สาระ ในสรีระนี้ มีอยู่’ เพราะสาระในสรีระน้ีแม้เพียงเล็กน้อย กไ็ ม่มี, สรรี ะน้ี อนั กรรมยกกระดูก ๓๐๐ ทอ่ นขึน้ สรา้ งให้ เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย” ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถาน้ี วา่ สรีระอันกรรมทำ� ใหเ้ ปน็ นครแห่งกระดูก ทัง้ หลาย ฉาบดว้ ย เน้อื และโลหติ เปน็ ทต่ี ้ังลงแหง่ ชรา มรณะ มานะและมกั ขะ. เม่ือจบเทศนา พระนางรูปนันทาเถรีได้บรรลุพระ อรหัตผล.พระธรรมเทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์แก่ มหาชนแล้ว ดงั นแ้ี ล. เรอ่ื งพระนางรูปนนั ทาเถรี จบ. ๒๕ พิจารณาถึงความว่างความไร้สาระแหง่ อตั ภาพร่างกาย 106 อุบาสกิ า ฉบับราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

๘ เร่ืองพระนางเขมา๒๖ สถานทต่ี รสั พระเวฬุวัน เล่ากันว่า พระนางเขมาน้ันตั้งความปรารถนาไว้ แทบบาทมลู ของพระปทุมุตตรพุทธเจา้ ได้เป็นผมู้ พี ระรูป งดงาม น่าดูนา่ เล่ือมใสอย่างมาก. พระนางไดท้ รงสดับวา่ ‘ทราบว่า พระศาสดาตรัสติโทษของรูป’ จึงไม่ปรารถนา จะเสด็จไปยงั สำ� นกั ของพระศาสดา. พระราชาทรงทราบความทพี่ ระอคั รมเหสนี นั้ มวั เมา อยใู่ นรปู จงึ ตรสั ใหพ้ วกนกั กวแี ตง่ เพลงขบั เกย่ี วไปในทาง พรรณนาพระเวฬุวัน แล้วก็รับสั่งให้พระราชทานแก่พวก นักฟอ้ นเปน็ ตน้ . ๒๖ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, ชราวรรควรรณนา, ล.๔๒,น.๑๕๘,มมร. 107 พระนางเขมา www.kalyanamitra.org

108 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

เมื่อนักฟ้อนเหล่าน้ันขับเพลงเหล่าน้ันอยู่ พระนาง ทรงสดับแล้ว พระเวฬุวันได้เป็นประหนึ่ง ไม่เคยทอด พระเนตรและทรงสดบั แล้ว. พระนางตรัสถามว่า “พวกท่านขับหมายถึงอุทยาน แหง่ ไหน ?” เมอื่ พวกนักขบั ทลู วา่ “หมายถงึ อทุ ยานเวฬุวันของ พระองค”์ พระเทวี จงึ ไดท้ รงปรารถนาจะเสดจ็ ไปพระอทุ ยาน. พระศาสดาทรงทราบการเสดจ็ มาของพระนาง เมอื่ ประทบั นงั่ แสดงธรรมอยใู่ นทา่ มกลางบรษิ ทั แล จงึ ทรงนริ มติ หญงิ รปู งาม ยนื ถอื พัดกา้ นตาลพดั อยู่ท่ขี า้ งพระองค์. ฝ่ายพระนางเขมาเทวี เสด็จเข้าไปทอดพระเนตร เห็นหญิงน้ัน จึงทรงด�ำริว่า ‘คนท้ังหลาย ย่อมพูดกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสโทษของรูป, ก็หญิงน้ียืนพัด อยู่ในส�ำนักของพระองค์, เราไม่เข้าถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ของหญิงน้ี, รูปหญิงเช่นน้ีเราไม่เคยเห็น, ชนทั้งหลาย เห็นจะกล่าวตู่พระศาสดา ด้วยค�ำไม่จริง’ ดังน้ีแล้ว ก็ มิใส่ใจถึงเสียงพระด�ำรัสของพระตถาคต ได้ประทับยืน ทอดพระเนตรดูหญิงน้นั น่นั แล. 109 พระนางเขมา www.kalyanamitra.org

พระศาสดาทรงทราบเรอื่ งทพี่ ระนางมมี านะจดั เกดิ ขน้ึ ในรูปนั้น เมื่อจะทรงแสดงรูปน้ันด้วยอ�ำนาจวัยมีปฐมวัย เปน็ ตน้ จงึ ทรงแสดงทำ� ใหเ้ หลอื เพยี งกระดกู ในทสี่ ดุ โดยนยั ท่เี คยกล่าวแลว้ ในเร่อื งก่อนนน้ั แล. พระนางเขมาพอทอดพระเนตรเห็นรูปนั้น จึงทรง ด�ำริว่า ‘รูปน้ันแม้เห็นปานนี้ ก็ถึงความสิ้นความเสื่อมไป โดยครเู่ ดยี วเทา่ นั้น, สาระในรูปน้ี ไมม่ ีหนอ?’ พระศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของพระนางเขมา น้ันแล้ว จึงตรัสว่า “เขมา เธอคิดว่า ‘สาระมีอยู่ในรูปน้ี หรือ ?’ เธอจงดูความท่ีรูปน้ันหาสาระมิได้ในบัดนี้” แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :- เขมา เธอจงดรู า่ งกายอันอาดูร ไม่สะอาดเนา่ เป่ือย ไหลออกท้งั ขา้ งบน ไหลออกทงั้ ขา้ งลา่ ง อนั คนพาลท้ังหลาย ปรารถนายิง่ นัก. เมอ่ื จบพระคาถา พระนางด�ำรงอยใู่ นโสดาปัตตผิ ล. พระศาสดาตรัสกับพระนางว่า “เขมา สัตว์เหล่านี้ เอิบอาบอยู่ด้วยราคะ ร้อนอยู่ด้วยโทสะ งงงวยอยู่ด้วย โมหะ จึงไม่อาจเพื่อก้าวล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ 110 อบุ าสิกา ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานั้นนั่นเอง” ดังนี้แล้ว เม่ือจะ ทรงแสดงธรรม จงึ ตรัสพระคาถานี้วา่ :- สัตวผ์ ู้ก�ำหนดั แล้วด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่กระแสตัณหา เหมือนแมงมมุ ๒๗ ตกไปยงั ใยทีต่ วั ทำ� ไว้เองฉะนั้น. ธรี ชนทงั้ หลาย ตัดกระแสตัณหาแมน้ ้ันแลว้ เป็นผ้หู มดห่วงใย ละเว้นทกุ ขท์ ง้ั ปวงไป. เมอื่ จบเทศนา พระนางเขมาทรงดำ� รงอยใู่ นพระอรหตั . เทศนาไดม้ ีประโยชน์แม้แก่มหาชนแลว้ . พระศาสดาตรสั กบั พระราชาวา่ “มหาบพติ ร พระนาง เขมาจะบวชหรือปรนิ พิ พาน จึงควร?” พระราชา. “โปรดให้พระนางบวชเถิด พระเจ้าข้า, อย่าเลยด้วยการปรินพิ พาน.” พระนางบรรพชาแลว้ กไ็ ดเ้ ปน็ สาวกิ าผเู้ ลศิ ดงั นแี้ ล. เรอื่ งพระนางเขมา จบ. ๒๗ ต้นฉบับใช้ค�ำว่า แมลงมมุ ปจั จบุ นั ใช้ แมงมมุ 111 พระนางเขมา www.kalyanamitra.org

ความคล้ายทแี่ ตกตา่ ง เร่ืองพระนางรูปนันทาเถรี ออกบวชเพราะติดญาติ ไม่อยากไปฟังธรรม เพราะกลวั ถกู ตำ� หนวิ า่ ตดิ ในรปู พระพทุ ธองคเ์ นรมติ หญงิ ๑๖ ปี ยืนถวายงานพดั , หญงิ นน้ั คอ่ ยๆ ชราลง จนตายอดื ฟงั พระคาถาไดบ้ รรลโุ สดาปตั ตผิ ล, เจรญิ สุญญตกรรมฐานท�ำวิปัสสนา ฟังพระคาถาต่อจน บรรลุพระอรหตั เรื่องพระนางเขมา พระสวามี (พระเจา้ พมิ พสิ าร) แตง่ เพลงหลอก ให้ไปวัดเวฬุวัน, พระพุทธองค์เนรมิตหญิง ๑๖ ปี ยืนถวายงานพัด, หญิงนั้นค่อยๆ ชราลง จนเหลือ โครงกระดูก, ฟังพระคาถา จบบรรลุโสดาปัตติผล, ฟังอีกพระคาถาบรรลุพระอรหตั , ออกบวชในทีส่ ดุ 112 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

๙ เร่ืองพระอบุ ลวรรณาเถร๒ี ๘ สถานทตี่ รสั พระเชตวนั เล่ากันว่า พระเถรีนั้นตั้งความปรารถนาไว้แทบ บาทมูลของพระพทุ ธเจา้ พระนามว่า ‘ปทมุ ุตตระ’ กระท�ำ บุญท้ังหลาย ส้ินแสนกัลป์ ท่องเท่ียวอยู่ ในเทวดา และมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีใน กรุงสาวัตถี ในพทุ ธุปบาทกาลนี.้ ก็มารดาบิดาได้ตั้งช่ือนางว่า ‘อุบลวรรณา’ เพราะ นางมผี วิ พรรณเหมอื นกลีบอบุ ลเขยี ว. ๒๘ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, พาลวรรควรรณนา, ล.๔๑, น.๒๑๓, มมร. อกี แหง่ อยหู่ มวดพราหมณวรรควรรณนา มเี นอื้ เรอื่ งและพระคาถา ท�ำนองเดียวกัน 113 พระอุบลวรรณาเถรี www.kalyanamitra.org

114 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

เมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น พระราชาและเศรษฐีทั้งหลาย ในชมพูทวีป ส่งบรรณาการ๒๙ ไปสู่ส�ำนักของเศรษฐีว่า “ขอเศรษฐจี งใหธ้ ดิ าแกเ่ รา” ไมม่ ใี ครทจี่ ะไมส่ ง่ บรรณาการไป. เศรษฐีจึงคิดว่า ‘เราจะไม่สามารถเอาใจของคน ท้งั หมดได้, แต่เราจะท�ำอุบายสกั อยา่ งหนึ่ง.’ เศรษฐีน้ันเรียกธิดามา แล้วกล่าวว่า “ลูกหญิง เจ้าอยากจะบวชไหม?” ค�ำของบิดาได้เป็นเหมือนน�้ำมัน ที่หุงแล้วต้ัง ๑๐๐ คร้ังท่ีเขารดลงบนศีรษะ เพราะความ ท่ีนางมีภพมีในท่ีสุด ดังน้ัน นางจึงกล่าวกับบิดาว่า “พ่อ ฉนั จะบวช.” เศรษฐนี นั้ ทำ� สกั การะเปน็ อนั มากแกน่ างแลว้ นำ� นางไปสสู่ ำ� นกั นางภกิ ษณุ ี ใหบ้ วชแล้ว. เม่ือนางบวชแล้วไม่นาน ก็ถึงช่วงเวลาที่ดูแลการ เปิด-ปิดประตูของโรงอุโบสถ นางตามประทีป กวาดโรง อุโบสถ ยืนนิมิตแหง่ เปลวประทปี แลดแู ล้วดูเลา่ ยงั ฌาน มเี ตโชกสิณ๓๐ เป็นอารมณ์ใหเ้ กิดแล้ว กระท�ำฌานนั้นแล ให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและ อภิญญาท้ังหลายแลว้ . ๒๙ อา้ งแลว้ ๘ น.๒๓ ๓๐ จติ เพง่ ไฟ คอื การเพง่ เปลวไฟ โดยกำ� หนดวา่ สง่ิ นเ้ี ปน็ ไฟ หายใจ เขา้ ใหภ้ าวนาวา่ “เตโช” หายใจออกภาวนาวา่ “กสณิ งั ” 115 พระอุบลวรรณาเถรี www.kalyanamitra.org

ตอ่ มาพระเถรนี น้ั เทยี่ วจารกิ ไปในชนบท กลบั มาแลว้ เข้าไปสู่ป่าอันธวัน (ป่าทึบ). ในเวลาน้ัน พระศาสดายัง ไมท่ รงห้ามการอยูป่ ่าของพวกนางภกิ ษณุ .ี คร้ังน้ัน ผู้คนได้ท�ำกระท่อม ตั้งเตียงก้ันม่านไว้ ในป่านั้นแก่พระเถรีนั้น. พระเถรีนั้นเข้าไปบิณฑบาตใน กรุงสาวัตถี ออกมาแล้ว. ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นบุตรแห่งลุงของพระเถรีนั้น มีจิตหลงใหลต้ังแต่เมื่อพระเถรียังเป็นคฤหัสถ์ ได้ข่าวว่า พระเถรีมา จึงไปสู่ป่าอันธวัน ก่อนพระเถรีมาทีเดียว เข้าไปสู่กระทอ่ ม ซ่อนอย่ภู ายใตเ้ ตยี ง เมอื่ พระเถรมี าแลว้ เขา้ ไปสกู่ ระทอ่ ม ปดิ ประตู นงั่ ลง บนเตยี ง ความมดื ในคลองจกั ษยุ งั ไมท่ นั หาย เพราะมาจาก กลางแดดภายนอก, เขาจงึ ออกมาจากภายใตเ้ ตยี ง ขนึ้ บน เตียงแล้ว ถูกพระเถรีห้ามอยู่ว่า “คนพาล เธออย่าท�ำให้ ฉบิ หายเลย, คนพาล เธออยา่ ทำ� ใหฉ้ บิ หายเลย” เขาขม่ ขนื กระท�ำกรรมที่ตนปรารถนาแลว้ ก็หนีไป. ครง้ั นน้ั แผน่ ดนิ ใหญป่ ระดจุ วา่ ไมอ่ าจจะรองรับโทษ ของเขาไวไ้ ด้ แยกออกเปน็ ๒ สว่ นแลว้ . เขาเขา้ ไปสแู่ ผน่ ดนิ ไปเกิดในอเวจีมหานรกแล้ว. 116 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

ฝ่ายพระเถรีบอกเนื้อความแก่ภิกษุณีทั้งหลายแล้ว. พวกภกิ ษณุ แี จง้ เนอื้ ความนนั้ แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย. พวกภกิ ษุ กราบทูลแดพ่ ระผู้มีพระภาคเจา้ . พระศาสดาทรงสดับเร่ืองนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุ ทงั้ หลายมา ตรัสวา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย บรรดาภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก อบุ าสกิ า ผู้ใดผหู้ น่งึ เป็นพาล เมอ่ื ทำ� กรรมลามก เป็นผู้ยินดีร่าเริง เป็นประดุจฟูข้ึนๆ ย่อมท�ำได้ ประดุจ บุรุษเคี้ยวกินรสของหวาน มีจ�ำพวกน้�ำผ้ึง และน้�ำตาล กรวดเป็นต้น บางชนดิ ” ดงั นีแ้ ล้ว เม่ือจะทรงสืบอนุสนธิ (สืบเนื่อง) แสดงธรรม ตรัส พระคาถานี้วา่ :- คนพาลยอ่ มสำ� คญั บาปประดุจนำ�้ ผ้ึง ตราบเท่าที่บาปยงั ไมใ่ หผ้ ล, กเ็ มื่อใด บาปใหผ้ ล, เม่อื นัน้ คนพาล ย่อมประสพทุกข์. เมอ่ื จบเทศนา คนเปน็ อนั มากบรรลอุ รยิ ผลทง้ั หลาย มโี สดาปัตติผลเปน็ ตน้ . 117 พระอุบลวรรณาเถรี www.kalyanamitra.org

ต่อมามหาชนสนทนากันในธรรมสภาว่า “แม้พระ- ขีณาสพ๓๑ทัง้ หลาย ชะรอยจะยงั ยินดีกามสุข ยังเสพกาม, ท�ำไมจะไม่ซ่องเสพ, เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นไม่ใช่ ไม้ผุ ไม่ใช่จอมปลวก มีเนื้อและสรีระยังสดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น แม้พระขีณาสพเหล่านั้น ยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม.” พระศาสดาเสดจ็ มา ตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บดั นี้ พวกเธอนงั่ สนทนาด้วยเรอื่ งอะไรกัน?” เม่ือพวกภิกษุกราบทลู ว่า “ดว้ ยเรื่องน้”ี จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระขีณาสพท้ังหลาย ไม่ยินดีกามสุข ไม่เสพกาม, เหมือนอย่างว่า หยาดน�้ำ ตกลงบนใบบวั ยอ่ มไมต่ ดิ ไมต่ งั้ อย,ู่ ยอ่ มกลง้ิ ตกไปทเี ดยี ว และเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ที่ปลาย เหลก็ แหลม, ยอ่ มกลง้ิ ตกไปแนแ่ ท้ ฉนั ใด กามแม้ ๒ อยา่ ง ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ต้ังอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น.” ดงั นแี้ ล้ว เมอื่ จะทรงสบื อนสุ นธแิ สดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถานี้ ในพราหมณวรรคว่า :- ๓๑ (ขณี = หมดสนิ้ + อาสว = กเิ ลส) น. ผหู้ มด สน้ิ กเิ ลส หมายถงึ พระอรหนั ต.์ 118 อบุ าสกิ า ฉบบั ราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

เรากลา่ วบุคคลผู้ไม่ตดิ อยใู่ นกามท้ังหลาย เหมือนนำ�้ ไม่ติดอยใู่ นใบบวั เหมือนเมลด็ พันธุ์ผักกาดไมต่ ิดอยู่ ทป่ี ลายเหลก็ แหลม วา่ เปน็ พราหมณ.์ พระศาสดารบั สงั่ ใหเ้ ชญิ พระเจา้ ปเสนทโิ กศลมาแลว้ ตรัสว่า “มหาบพิตร แมก้ ุลธิดาท้ังหลาย ในพระศาสนานี้ ละหมญู่ าตอิ นั ใหญแ่ ละกองแหง่ โภคะมาก บวชแลว้ ยอ่ มอยู่ ในป่า เหมือนอยา่ งกุลบตุ รท้งั หลายเหมือนกนั , คนลามก ถกู ราคะยอ้ มแลว้ ยอ่ มเบยี ดเบยี นภกิ ษณุ เี หลา่ นน้ั ผอู้ ยใู่ นปา่ ด้วยการดูถูกดูหม่ินบ้าง ให้ถึงอันตรายแห่งพรหมจรรย์ บา้ ง เพราะฉะนน้ั พระองคค์ วรทำ� ทอี่ ยภู่ ายใน พระนครแก่ ภิกษุณสี งฆ์.” พระราชาทรงรบั วา่ “ดแี ลว้ พระเจา้ ขา้ ” ดงั นแี้ ลว้ รบั สงั่ ใหส้ รา้ งที่อย่เู พอ่ื ภิกษณุ ีสงฆ์ ท่ขี า้ งหนึ่งแห่งพระนคร. ตงั้ แตน่ นั้ มา พวกภกิ ษณุ ยี อ่ มอยใู่ นละแวกบา้ นเทา่ นน้ั . เรอื่ งพระอบุ ลวรรณาเถรี จบ. 119 พระอุบลวรรณาเถรี www.kalyanamitra.org

120 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

๑๐ เรอื่ งนางกสิ าโคตม๓ี ๒ สถานทตี่ รัส พระเชตวนั ทรัพย์ ๔๐ โกฏิในเรือนของเศรษฐีคนหน่ึง ในกรุง สาวัตถี ได้กลายเป็นถ่านหมด. เศรษฐีเห็นเหตุน้ันเกิด ความเศร้าโศก จงึ อดอาหารเสีย นอนอยู่บนเตยี งเลก็ . สหายคนหนึ่งของเศรษฐีนั้นถามว่า “ท�ำไมท่าน จึงเศร้าโศกเล่า? เพอ่ื น” ได้ยินดงั นน้ั แล้ว กล่าวว่า “อยา่ เศรา้ โศกเลยเพอ่ื น, ฉนั แนะวธิ ใี หอ้ ยา่ งหนง่ึ , จงทำ� อยา่ งนน้ั เถิด.” เศรษฐ.ี “ท�ำอย่างไรเลา่ ? เพื่อน.” สหาย. “เพื่อน ท่านจงปเู ส่อื ล�ำแพนทีต่ ลาดของตน เอาถ่านทำ� ใหเ้ ปน็ กองไว้ จงนั่งเหมอื นจะขาย, ชาวบา้ นท่ี มาแลว้ ๆ คนเหล่าใดพดู อย่างน้ีว่า ‘คนอ่นื ขายผ้า นำ�้ มัน ๓๒ ต้นฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, สหสั สวรรควรรณนา, ล.๔๑, น.๔๙๙, มมร. 121 นางกิสาโคตมี www.kalyanamitra.org

น�้ำผึ้ง และน้�ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่าน ท�ำไมน่ังขายถ่าน’, ท่านพงึ พดู กบั คนเหลา่ นนั้ วา่ ‘เราไมข่ ายของๆ ตนจะทำ� อะไร?’ สว่ นคนใดพดู กบั ทา่ นอยา่ งนว้ี า่ ‘คนทเี่ หลอื ขายผา้ น้�ำมัน น้�ำผ้ึง และน�้ำอ้อยเป็นต้น, ส่วนท่าน ท�ำไมนั่ง ขายเงินและทอง’, ท่านพึงพูดกับผู้น้ันว่า ‘เงินและทอง ท่ีไหน?’ ก็เมื่อเธอพูดว่า ‘นี้ไง’, ท่านพึงพูดว่า ‘จงน�ำ เงินทองนั้นมาก่อน, แล้วรับด้วยมือทั้งสอง ของท่ีเขาให้ ในมือของท่านอย่างนั้น จะกลายเป็นเงินและทอง; ก็ถ้า ผนู้ น้ั เปน็ หญงิ รนุ่ สาว, ทา่ นจงนำ� นางมาเพอื่ แตง่ งานกบั บตุ ร ของทา่ น มอบทรพั ย์ ๔๐ โกฏใิ หแ้ กน่ าง พงึ ใชส้ อยเงนิ ทอง ทีน่ างให,้ ถ้าเป็นเด็กชาย ท่านพงึ ให้ธดิ าของทา่ นแกเ่ ขา แลว้ มอบทรพั ย์ ๔๐ โกฏิให้แก่เขา ใช้สอยทรัพยท์ ่ีเขาให้.” เศรษฐีน้ันกล่าวว่า “อุบายดี” จึงน�ำถ่านให้กองไว้ ในร้านตลาดของตน นั่งท�ำเหมือนจะขาย. คนเหล่าใด พูดกับเศรษฐีน้ันอย่างนี้ว่า “ชนท่ีเหลือทั้งหลายขายผ้า นำ�้ มัน นำ�้ ผึ้ง และน้�ำออ้ ยเปน็ ต้น, ทำ� ไมท่านนั่งขายถา่ น” ก็ใหค้ �ำตอบแกค่ นเหล่านั้นว่า “ฉนั ไม่ขายของทมี่ ี แล้วฉัน จะท�ำอะไร?” ครัง้ น้ัน หญงิ สาวรุน่ คนหนึ่งชอื่ ‘โคตมี’ ปรากฏช่ือ ว่า ‘กิสาโคตรมี’ เพราะนางมีร่างกายบอบบาง เป็นธิดา 122 อุบาสกิ า ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

ของตระกูลเก่าแก่ ไปยังประตูตลาดด้วยธุระอย่างหน่ึง ของตน เห็นเศรษฐีน้ัน จึงกล่าวอย่างน้ีว่า “นายท่าน คนอน่ื ขายผา้ นำ้� มนั นำ�้ ผง้ึ และนำ้� ออ้ ยเปน็ ตน้ . ทำ� ไมทา่ น จึงนั่งขายเงินและทอง?” เศรษฐ.ี “เงินทองทไี่ หน? แม่หนู.” นางโคตมี. “ทา่ นนง่ั จบั เงนิ ทองนนั้ เอง มใิ ช่หรอื ?” เศรษฐ.ี “จงน�ำเงินทองนัน้ มาก่อน แม่หน.ู ” นางกอบเต็มมือแล้ว วางไว้ในมือของเศรษฐีนั้น. ถ่านนัน้ ไดก้ ลายเป็นเงนิ และทองทนั ที. เศรษฐีถามนางว่า “แม่หนู บา้ นเจา้ อยูไ่ หน.” เมอื่ นางตอบวา่ “ชอื่ โนน้ จะ้ ” เมอ่ื รวู้ า่ นางยงั ไมม่ สี ามี แล้ว จึงเก็บทรัพย์น�ำนางมาเพ่ือแต่งงานกับบุตรของตน ให้รบั ทรัพย์ ๔๐ โกฏไิ ว.้ ทรพั ยท์ ้ังหมดได้กลายเปน็ เงนิ และทองดงั เดมิ . ต่อมานางตั้งครรภ์. เมื่อกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางคลอดบตุ รแลว้ . บตุ รนนั้ ไดต้ ายแลว้ ชว่ งเวลาทเ่ี ดนิ ได.้ นางห้ามพวกคนที่จะน�ำบุตรน้ันไปเผา เพราะนาง ไม่เคยเห็นความตาย อุ้มร่างบุตรผู้ตายแล้วด้วยสะเอว ด้วยหวังว่า ‘จะถามถึงยาเพ่ือบุตรเรา’ เท่ียวเดินถาม ไปตามบา้ นว่า “ทา่ นทงั้ หลายรู้จกั ยาเพ่ือบุตรของฉันบ้าง ไหมหนอ?” 123 นางกิสาโคตมี www.kalyanamitra.org

ชาวบา้ นพดู กบั นางวา่ “แมน่ าง เจา้ เปน็ บา้ แลว้ หรอื ? เจ้าเทยี่ วถามถงึ ยาเพื่อบตุ รทต่ี ายแล้ว.” นางคดิ ว่า ‘จะไดค้ นผ้รู ้จู ักยาเพ่อื บตุ รของเราแน่แท้’ จึงเท่ยี วไป. บัณฑติ คนหนง่ึ เหน็ นางแล้วคิดวา่ ‘ธดิ าคนน้ีคงจะ คลอดบตุ รคนแรก ไมเ่ คยเหน็ ความตาย, เราเปน็ ทพ่ี งึ่ ของ หญิงนี้ย่อมควร’ จงึ กลา่ ววา่ “แม่นาง ฉันไม่รจู้ กั ยา, แตฉ่ นั รจู้ กั คนผู้รูย้ า.” นางโคตม.ี “ใครรู้? พอ่ คุณ.” บณั ฑิต. “แมน่ าง พระศาสดาทรงทราบ, จงไปทลู ถาม พระองค์เถิด.“ นางกล่าวว่า “พอ่ คณุ ฉนั จะไปทูลถาม” ดังนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุด ข้างหนึ่ง ทูลถามว่า “ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยา เพื่อบุตรของหม่อมฉนั หรอื ? พระเจ้าข้า.” พระศาสดา. “ใช่ เรารู้.” นางโคตมี. “ไดส้ ง่ิ อะไร? จึงควร.” พระศาสดา. “ไดเ้ มลด็ พนั ธผ์ุ กั กาดสกั หยบิ มอื หนง่ึ จงึ ควร.” นางโคตม.ี “ได้ พระเจา้ ขา้ , แตไ่ ดจ้ ากเรอื นใคร? จงึ ควร.” พระศาสดา. “บุตรหรือธิดาไรๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคย ตาย. ไดจ้ ากเรือนของผ้นู ัน้ จึงควร.” 124 อบุ าสกิ า ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

นางทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” แล้วถวายบังคม พระศาสดา อมุ้ บตุ รผตู้ ายแลว้ ดว้ ยสะเอวเขา้ ไปภายในบา้ น ยืนท่ีประตูเรือนหลังแรก กล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาด ในเรอื นนี้ มบี า้ งไหม? ทราบวา่ นน่ั เปน็ ยาเพอ่ื บตุ รของฉนั . “เม่อื เขาตอบว่า “มี” จงึ กลา่ วว่า “ถา้ อยา่ งนั้น ขอเถิด” เมอื่ คนเหลา่ นน้ั นำ� เมลด็ พนั ธผ์ุ กั กาดมาให้ จงึ ถามวา่ “ในเรอื นนี้ บตุ รหรอื ธดิ า ไมม่ ใี ครเคยตายเลยใชไ่ ม? แมค่ ณุ ” เมื่อเขาตอบว่า “พูดอะไรอยา่ งน้นั ? แม่นาง เพราะ คนเปน็ มีนอ้ ย, คนตายน้นั แหละมมี าก” จงึ กลา่ ววา่ “ถา้ อยา่ งนน้ั จงรบั เมลด็ พนั ธผ์ุ กั กาดของ ทา่ นคนื ไปเถดิ , นนั่ ไมเ่ ปน็ ยาเพอ่ื บตุ รของฉนั ” แลว้ ใหค้ นื ไป เทยี่ วถามโดยทำ� นองนี้ ตง้ั แตเ่ รอื นหลงั แรก. นางไม่ รบั เมลด็ พันธผ์ุ กั กาด จากเรือนหลังใดหลงั หนงึ่ . ในเวลาเยน็ คิดวา่ ‘โอ กรรมหนกั จรงิ หนอ, เราได้ คดิ วา่ ‘บตุ รของเราเทา่ นนั้ ตาย’ กใ็ นบา้ นทกุ หลงั คนทต่ี าย ลว้ นมากกวา่ คนเป็น.’ นางคดิ อยอู่ ยา่ งน้ี หวั ใจทอี่ อ่ นดว้ ยความรกั บตุ ร ไดถ้ งึ ความแขง็ แลว้ . นางทง้ิ บตุ รไวใ้ นปา่ ไปยงั สำ� นกั พระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ไดย้ นื ณ ทสี่ ุดข้างหน่ึง. พระศาสดาตรสั กบั นางวา่ “เธอไดเ้ มลด็ พนั ธผ์ุ กั กาด ประมาณหยิบมอื หนึง่ แลว้ หรือ?” 125 นางกสิ าโคตมี www.kalyanamitra.org

นางโคตม.ี “ไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ , เพราะในบา้ นทง้ั หลาย คนตายน้ันมากกวา่ คนเป็น.” พระศาสดาตรสั กบั นางวา่ “เธอเขา้ ใจวา่ ‘บตุ รของเรา เท่านั้นตาย’, ความตายน่ันเป็นธรรมย่ังยืนส�ำหรับสัตว์ ทงั้ หลาย, ดว้ ยวา่ มจั จรุ าชฉดุ ครา่ สตั วท์ งั้ หมดผมู้ อี ธั ยาศยั ยงั ไมเ่ ตม็ เปย่ี มนนั่ แล ลงในสมทุ รคอื อบาย ดจุ หว้ งนำ้� ใหญ่ ฉะน้นั ” เมือ่ จะทรงแสดงธรรม จงึ ตรัสพระคาถานีว้ ่า :- มฤตยู ยอ่ มพาชนผมู้ วั เมาในบตุ รและสตั วข์ องเลย้ี ง ผู้มีใจซา่ นไปในอารมณต์ า่ งๆ ไปดจุ ห้วงนำ้� ใหญ่ พดั ชาวบา้ นผหู้ ลบั ไหลไปฉะน้นั . ในกาลจบคาถา นางกสิ าโคตมีดำ� รงอยู่ในโสดาปัต- ติผล, แม้คนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มโี สดาปัตตผิ ลเปน็ ต้นดังน้แี ล. ฝา่ ยนางกสิ าโคตมนี น้ั ทลู ขอบรรพชากบั พระศาสดา แล้ว. พระศาสดาทรงส่งไปยังส�ำนักของนางภิกษุณีให้ บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า ‘กิสา- โคตมเี ถร.ี ’ 126 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

วนั หนงึ่ นางถงึ วาระในโรงอโุ บสถ นงั่ ตามจดุ ประทปี เห็นเปลวประทปี ลกุ โพลงข้นึ และหรี่ลง ได้ถือเปน็ อารมณ์ ว่า ‘สัตว์เหล่าน้ีก็อย่างน้ันเหมือนกัน เกิดข้ึนและดับไป ดังเปลวประทีป, ผถู้ ึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอยา่ งน้ัน.’ พระศาสดาประทับน่ังในพระคนั ธกฎุ ีนนั่ แล ทรงแผ่ พระรศั มไี ป ดงั นง่ั ตรสั ตรงหนา้ นาง ตรสั วา่ “อยา่ งนนั้ แหละ โคตมี สัตว์เหล่าน้ันย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป, ถงึ พระนพิ พานแลว้ ยอ่ มไมป่ รากฏอยา่ งนนั้ , ความเปน็ อยู่ แม้เพียงขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างน้ัน” ดังนี้แลว้ เมอื่ จะทรงสบื อนสุ นธแิ สดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถาน้ี ว่า :- กผ็ ใู้ ด ไม่เห็นบทอันไม่ตายพึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ความเปน็ อยวู่ นั เดยี วของผ้เู หน็ บทอันไม่ตาย ประเสริฐกว่าความเปน็ อยู่ของผู้น้ัน. ในกาลจบเทศนา นางกสิ าโคตมนี ง่ั อยตู่ ามเดมิ นนั่ แล ดำ� รงอยใู่ นพระอรหตั พรอ้ มดว้ ยปฏสิ มั ภทิ าทงั้ หลาย ดงั นแี้ ล. เรื่องนางกสิ าโคตมี จบ. 127 นางกสิ าโคตมี www.kalyanamitra.org

128 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

๑๑ เรื่องนางปฏาจารา๓๓ สถานท่ีตรัส พระเชตวนั เลา่ กนั วา่ นางปฏาจารานนั้ ไดเ้ ปน็ ธดิ าของเศรษฐผี ้มู ี สมบตั ิ ๔๐ โกฏใิ นกรงุ สาวตั ถี มรี ปู งาม. ในเวลานางมอี ายุ ๑๖ ปี มารดา บิดาเม่ือจะรักษา จึงให้นางอยู่บน ชน้ั บนปราสาท ๗ ชนั้ . ถงึ เมอื่ เป็นเชน่ นน้ั นางกย็ งั สมคบ กับคนรับใชค้ นหนง่ึ ของตน. ครั้งน้ันมารดาบิดาของนางจะยกให้แก่ชายหนุ่ม คนหนึ่ง ในสกุลท่ีมีชาติเสมอกันแล้วก�ำหนดวันวิวาหะ. เมอื่ วนั ววิ าหะนน้ั ใกลเ้ ขา้ มา, นางจงึ พดู กบั คนรบั ใชผ้ นู้ นั้ วา่ “ไดย้ นิ วา่ มารดาบดิ าจะยกฉนั ใหแ้ กส่ กลุ โนน้ , ในกาลทฉ่ี นั ไปสู่สกุลผัว ท่านแม้ถือบรรณาการเพ่ือฉันมาแล้ว ก็จะ ๓๓ ตน้ ฉบบั ธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, สหสั สวรรควรรณนา, ล.๔๑, น.๔๘๙, มมร. 129 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

ไมไ่ ด้เขา้ ไปในทีน่ ้นั , ถา้ ทา่ นมคี วามรกั ในฉนั , กจ็ งพาฉนั หนไี ปโดยทางใดทางหน่งึ ในบดั น้ี.” คนรับใช้นั้นรับว่า “ดีละ นางผู้เจริญ” แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างน้ันฉันจะยืนอยู่ในท่ีโน้นแห่งประตูเมืองแต่เวลา เช้าตรู่พรุ่งนี้, หล่อนพึงออกไปด้วยอุบายอย่างหนึ่งแล้ว มาในที่นน้ั ” ในวันที่ ๒ กไ็ ด้ยนื อยู่ในท่ีนดั หมายกันไว.้ ฝา่ ยธดิ า เศรษฐนี นั้ นงุ่ ผา้ ปอนๆ สยายผม เอารำ� ทาสรรี ะถอื หมอ้ นำ้� ออกจากเรือนเหมือนเดินไปกับพวกทาสี ได้ไปยังท่ีนั้น แตเ่ ช้าตร.ู่ ชายคนรับใชน้ ั้นพานางไปไกลแลว้ สำ� เรจ็ การ อาศยั อยใู่ นบา้ นแหง่ หนง่ึ ไถนาในปา่ แลว้ ไดน้ ำ� ฟนื และผกั เป็นต้นมา. ธิดาเศรษฐีน้ีเอาหม้อน้�ำมาแล้ว ท�ำกิจมีการ ต�ำข้าวและหุงต้มเป็นต้นด้วยมือตนเอง เสวยผลแห่ง กรรมชั่วของตน. ครัง้ นนั้ สัตว์เกิดในครรภ์ตัง้ ขึ้นในท้องของนางแลว้ . นางมีครรภ์แก่แล้วจึงอ้อนวอนสามีว่า “ใครๆ ผู้อุปการะ ของเราไมม่ ใี นทนี่ ,้ี ธรรมดามารดาบดิ า เปน็ ผมู้ ใี จออ่ นโยน ในบุตรท้ังหลาย, ท่านจงน�ำฉันไปยังส�ำนักของท่านเถิด, ฉนั จะคลอดบุตรในที่นัน้ .” สามนี น้ั คดั คา้ นวา่ “นางผเู้ จรญิ เจา้ พดู อะไร? มารดา บิดาของเจ้าเห็นฉันแล้วพึงท�ำกรรมกรณ์ (การลงโทษ) 130 อบุ าสกิ า ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

มอี ยา่ งตา่ งๆ ฉนั ไมอ่ าจไปในทน่ี น้ั ได.้ “นางแมอ้ อ้ นวอนแลว้ อ้อนวอนเล่า เมอ่ื ไมไ่ ด้ความยนิ ยอม ในเวลาท่สี ามีนน้ั ไปป่า จงึ เรียกคนผคู้ นุ้ เคยมาสง่ั ว่า “ถ้าเขามา ไม่เห็นฉัน จะถามว่า ‘ฉันไปไหน?’ พวกท่าน พงึ บอกความทฉ่ี นั ไปสเู่ รอื นแห่งตระกลู ของตน” ดงั นีแ้ ลว้ ก็ปดิ ประตูเรอื นหลกี ไป. ฝ่ายสามีนั้นมาแล้ว ไม่เห็นภรรยาน้ันจึงถามคน คุ้นเคย ฟังเร่ืองน้ันแล้ว ก็ติดตามไปด้วยคิดว่า ‘จะให้ นางกลบั ’ พบนางแลว้ แม้จะออ้ นวอนมีประการต่างๆ ก็ มอิ าจใหน้ างกลบั ได.้ ทนี นั้ ลมกมั มชั วาตของนางปน่ั ปว่ นแลว้ ในทแี่ หง่ หนงึ่ . นางเขา้ ไปในระหว่างพุ่มไม้พมุ่ หน่ึง พูดว่า “นาย ลมกัม- มัชวาต (ลมเบ่ง เวลาคลอดลูก) ของฉันปั่นป่วนแล้ว” นอนกล้ิงเกลือกอยู่บนพ้ืนดิน คลอดเด็กโดยยากแล้วคิด วา่ ‘เราพงึ ไปสเู่ รอื นแหง่ ตระกลู เพอ่ื ประโยชนใ์ ด, ประโยชน์ น้นั สำ� เร็จแลว้ ’ จึงกลับมาสู่เรอื นกบั สามี อยู่ร่วมกันอีก. ต่อมา ครรภ์ของนางต้ังข้ึนอีก. นางเป็นผู้มีครรภ์ แก่แล้ว จึงอ้อนวอนสามีโดยนัยก่อน เม่ือไม่ได้ความ ยินยอม จึงอุ้มบุตรด้วยสะเอวหลีกไปอย่างนั้น แม้ถูก สามนี ั้นตดิ ตามไปพบแลว้ กไ็ ม่ปรารถนาจะกลับ. 131 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

ครัง้ น้นั เมือ่ คนเหล่านั้นเดนิ ไปอยู่, มหาเมฆอันมใิ ช่ ฤดูกาลเกิดข้ึน. ท้องฟ้าได้มีท่อธารตกลงมาอย่างหนัก ดงั สายฟา้ แผดเผาอยโู่ ดยรอบดงั จะทำ� ลายลงดว้ ยเสยี งแผด แห่งเมฆ. ในขณะนั้น ลมกัมมัชวาตของนางปั่นป่วนแล้ว. นางเรียกสามีมากล่าวว่า “นาย ลมกัมมัชวาตของฉัน ปั่นป่วนแล้ว, ฉันไม่อาจจะทนได้, ท่านจงรู้สถานที่ฝน ไมส่ าดฉนั เถดิ .” สามนี นั้ มมี ดี อยใู่ นมอื ตรวจดขู า้ งโนน้ ขา้ งนี้ เหน็ พมุ่ ไม้ซ่ึงเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหน่ึง เริ่มจะตัด, อสรพิษ มพี ษิ รา้ ยกาจเลอ้ื ยออกมาจากจอมปลวก กดั เขาในขณะนน้ั น่ันแล สรีระของเขามีสีเขียวดังถูกเปลวไฟอันต้ังขึ้นใน ภายในไหมอ้ ยู่ ล้มลงในท่นี ั้นนนั่ เอง. ฝ่ายภรรยาเสวยทุกข์อย่างมหันต์ แม้มองดูทางมา ของเขาอยู่ ก็มิได้เห็นเขาเลยจึงคลอดบุตรคนอ่ืนอีก. ทารกทั้ง ๒ ทนก�ำลังแห่งลมและฝนไม่ได้ ก็ร้องไห้ล่ัน. นางเอาบุตรทง้ั ๒ คนนน้ั ไว้ทร่ี ะหวา่ งอทุ ร ยนื เทา้ แผน่ ดนิ ด้วยเข่าและมือทั้ง ๒ ให้ราตรีล่วงไปแล้ว. สรีระท้ังสิ้น ได้เป็นดังสีใบไมเ้ หลอื ง เหมอื นไม่มโี ลหิต. เม่ืออรุณข้ึนนางอุ้มทารกคนหน่ึงซึ่งมีสีดังชิ้นเน้ือ ด้วยสะเอว จูงบุตรอีกคนด้วยน้ิวมือกล่าวว่า “มาเถิด 132 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

พ่อหนู, บิดาเจ้าไปโดยทางนี้” ดังนี้แล้ว ก็เดินไปตาม ทางที่สามีไป เห็นสามีน้ันล้มตายบนจอมปลวกมีสีเขียว ตัวกระดา้ ง รอ้ งไห้ร�ำพันว่า “เพราะอาศัยเรา สามีของเรา จงึ ตายที่หนทางเปลย่ี ว” ดังนีแ้ ลว้ กเ็ ดินไป. นางเห็นแม่น�้ำอจิรวดี เต็มเปี่ยมด้วยน�้ำมีประมาณ เพียงหัวเข่า มีประมาณเพียงนม เพราะฝนตกตลอดคืน ยงั รุง่ ไม่อาจลงน้�ำพรอ้ มด้วยทารก ๒ คนได้ เพราะตนมี ความรู้น้อย จึงให้บุตรคนโตไว้ท่ีฝั่งน้ี อุ้มทารกคนเล็ก ไปฝัง่ โนน้ ลาดกิง่ ไม้ไวใ้ ห้ทารกนอนแล้ว คิดว่า ‘จะไปรับ บตุ รอกี คน’ ไมอ่ าจละสายตาจากทารกนอ้ ยได้ กลบั แลดแู ลว้ ดเู ล่า เดินไป. คร้ันในเวลาท่ีนางถึงกลางแม่น�้ำเหยี่ยวตัวหนึ่ง เห็นทารกน้ัน จึงโฉบลงมาจากอากาศ ด้วยส�ำคัญว่า ‘เป็นช้ินเน้อื .’ นางเหน็ มนั โฉบลงเพอ่ื ตอ้ งการทารก จงึ ยกมอื ทงั้ สอง ข้ึน ร้องเสียงดัง ๓ ครั้งว่า “สู สู” เหย่ียวไม่ได้ยินเสียง น้ันเลยเพราะไกลกัน จึงเฉ่ียวทารกบินข้ึนสู่เวหาไปแล้ว. แม้บุตรผู้ยืนอยู่ที่ฝั่งน้ี เห็นมารดายกมือทั้งสองขึ้น ร้อง เสียงดังท่ีท่ามกลางแม่น�้ำ จึงกระโดดลงในแม่น้�ำโดยเร็ว ด้วยส�ำคัญว่า ‘มารดาเรียกเรา.’ เหย่ียวเฉี่ยวทารกน้อย ของนางไป บุตรคนโตถกู นำ�้ พัดไป ดว้ ยประการฉะน้ี. 133 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

นางเดินร้องไห้ร�ำพันว่า “บุตรของเราคนหน่ึงถูก เหยย่ี วเฉี่ยวไป, คนหน่งึ ถกู นำ้� พัดไป, สามีกต็ ายเสยี ในที่ เปล่ยี ว,” พบบุรษุ ผู้หนึง่ เดินมาแต่กรุงสาวัตถี จงึ ถามวา่ “พอ่ คุณ ท่านอยทู่ ไี่ หน?” บุรุษ. “ฉนั อยใู่ นกรงุ สาวัตถี แมน่ าง.” ธิดาเศรษฐี. “ตระกลู ชอื่ โนน้ เหน็ ปานนใี้ กลถ้ นนโนน้ ในกรงุ สาวตั ถมี อี ยู่, ทราบไหม? พอ่ คณุ .” บุรุษ. “ฉันทราบ แม่นาง, แต่อย่าถามถึงตระกูล นน้ั เลย; ถา้ ทา่ นรจู้ กั ตระกลู อนื่ , กจ็ งถามเถดิ .” ธดิ าเศรษฐี. “กิจด้วยตระกูลอื่นของฉันไม่มี, ฉันถามถึง ตระกูลนน้ั เทา่ นัน้ แหละ พอ่ คณุ .” บุรุษ. “แมน่ าง ฉันบอกกไ็ ม่ควร.” ธดิ าเศรษฐ.ี “บอกฉันเถิด พ่อคุณ.” บรุ ษุ . “วันน้ี แมน่ างเหน็ ฝนตกเม่ือคนื ยันรุง่ ไหม?” ธิดาเศรษฐี. “ฉันเห็น พ่อคุณ, ฝนน้ันตกเมื่อคืนยันรุ่ง เพ่ือฉันเท่านั้น ไม่ตกเพ่ือคนอ่ืน, แต่ฉันจะ บอกเหตุท่ีฝนตกเพ่ือฉันแก่ท่านภายหลัง, โปรดบอกความเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้นแก่ ฉนั กอ่ น.” บรุ ษุ . “แม่นาง วานน้ี ในเวลากลางคืน เรือนล้ม ทับคนแมท้ งั้ ๓ คอื เศรษฐี ๑ ภรรยาเศรษฐี ๑ 134 อบุ าสิกา ฉบับราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

บุตรเศรษฐี ๑, คนท้ัง ๓ น้ัน ถูกเผาบน เชิงตะกอนเดียวกัน, แม่นางเอ๋ย ควันนั่น ยังปรากฏอยู.่ ” ในขณะน้ัน นางไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซึ่งได้หลุดลง ถึง ความเป็นคนวิกลจริตยืนตะลึงอยู่ ร้องไห้ร�ำพันบ่นเพ้อ เซซวนไปวา่ :- “บุตร ๒ คน ตายเสยี แลว้ , สามีของเราก็ตายเสียทีท่ างเปล่ยี ว, มารดาบดิ าและพ่ีชายกถ็ ูกเผาบนเชิงตะกอนเดยี วกัน.” คนทง้ั หลายเหน็ นางแลว้ เขา้ ใจวา่ ‘หญงิ บา้ ๆ’ จงึ ถอื เอาหยากเยอื่ กอบฝนุ่ โปรยลงบนศรี ษะ ขวา้ งดว้ ยกอ้ นดนิ . พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลาง บริษัท ๔ ในพระเชตวนั มหาวหิ าร ได้ทอดพระเนตรเหน็ นางผบู้ ำ� เพญ็ บารมมี าแสนกลั ปส์ มบรู ณด์ ว้ ยอภนิ หิ ารเดนิ มาอยู่. ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ‘ปทุมุตตระ’ นางปฏาจาราน้ัน เห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง ที่พระ- ปทมุ ุตตรศาสดาทรงต้ังไว้ในต�ำแหน่งเอตทัคคะ (ดังท้าว 135 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

สักกะจับท่ีแขน ตั้งไว้ในสวนนันทวัน) จึงท�ำคุณความ ดแี ลว้ ตงั้ ความปรารถนาไวว้ า่ ‘แมห้ มอ่ มฉนั พงึ ไดต้ ำ� แหนง่ เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยท้ังหลายในส�ำนักพระพุทธเจ้า เช่นกบั ดว้ ยพระองค.์ ’ พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงเล็งอนาคตังสญาณไป กท็ รงทราบวา่ ความปรารถนาจะสำ� เรจ็ จงึ ทรงพยากรณว์ า่ “ในอนาคตกาล หญิงผู้นี้จะเป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรง วนิ ยั ทง้ั หลาย มนี ามวา่ ‘ปฏาจารา’ ในศาสนาของพระโคดม พทุ ธเจา้ .” พระศาสดา ทรงเหน็ นางผมู้ คี วามปรารถนาตง้ั ไวแ้ ลว้ อยา่ งนนั้ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยอภนิ หิ าร กำ� ลงั เดนิ มาแตท่ ไ่ี กลเทยี ว ทรงดำ� รวิ า่ ‘เวน้ เราเสยี ผอู้ น่ื ชอ่ื วา่ สามารถจะเปน็ ทพ่ี งึ่ ของ หญิงผู้น้ีได้ ไม่มี’ จึงได้ทรงท�ำนางโดยประการท่ีนางจะ บา่ ยหน้าสูว่ หิ ารเดนิ มา. พุทธบริษัทเห็นนางแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย อยา่ ใหห้ ญิงบ้าน้ีมาท่นี ีเ้ ลย.” พระศาสดาตรัสว่า “พวกท่านจงหลีกไป, อย่าห้าม เธอ” ในเวลานางมาใกล้ จึงตรัสว่า “จงกลับได้สติเถิด นอ้ งหญิง.” 136 อุบาสิกา ฉบบั ราชนิกูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะน้ันเอง. ใน เวลานน้ั นางกำ� หนดความท่ผี า้ นุ่งหลุดไดแ้ ลว้ ใหเ้ กดิ หริ ิ โอตตัปปะข้ึน จึงนัง่ กระโหย่ง. ชายผหู้ นงึ่ จงึ โยนผา้ หม่ ไปใหน้ าง. นางนงุ่ ผา้ นนั้ แลว้ เขา้ ไปเฝา้ พระศาสดา ถวายบงั คมดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ แทบพระบาททั้งสองซ่ึงมีวรรณะดังทองค�ำแล้ว ทูลว่า “ขอพระองคจ์ งทรงเป็นท่พี ง่ึ แกห่ มอ่ มฉนั เถิด พระเจ้าข้า, เพราะว่าเหย่ียวเฉ่ียวเอาทารกคนหนึ่งของหม่อมฉันไป; คนหนึ่งถูกน้�ำพัดไป, สามีตายที่ทางเปล่ียว, มารดาบิดา และพชี่ ายถกู เรอื นทบั ตาย เขาเผาบนเชงิ ตะกอนเดยี วกนั .” พระศาสดาทรงสดับค�ำของนางจึงตรัสว่า “อย่าคิด เลยปฏาจารา, เธอมาสู่ส�ำนักของผู้สามารถจะเป็นที่พึ่ง พ�ำนกั อาศยั ของเธอได้แลว้ ; เหมอื นอย่างวา่ บัดน้ี ทารก คนหนึ่งของเธอถูกเหย่ียวเฉ่ียวไป, คนหนึ่งถูกน้�ำพัดไป, สามตี ายแลว้ ทที่ างเปลยี่ ว, มารดาบิดาและพช่ี ายถกู เรือน ทับฉนั ใด; น�ำ้ ตาท่ีไหลออกของเธอผูร้ อ้ งไหอ้ ยใู่ นสงสารน้ี ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรเป็นต้นตาย ยังมากกว่าน้�ำแห่ง มหาสมทุ รทง้ั ๔ กฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั ” แลว้ จงึ ตรสั พระคาถา นวี้ า่ :- 137 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

น้�ำในสมุทรทั้ง ๔ มปี ระมาณน้อย, นำ�้ ตาของคนผ้อู ันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศรา้ โศกไมใ่ ช่น้อย มากกวา่ น�ำ้ ในมหาสมุทรนนั้ ; เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า? แม่นอ้ ง. เมอ่ื พระศาสดาตรสั อนมตคั คปรยิ ายสตู รอยอู่ ยา่ งนน้ั , ความโศกในสรรี ะของนางไดถ้ งึ ความเบาบางแลว้ . ล�ำดับน้ัน พระศาสดาทรงทราบที่นางผู้มีความโศก เบาบางแลว้ ทรงเตอื นอกี แลว้ ตรสั วา่ “ปฏาจารา ขน้ึ ชอ่ื วา่ ปิยชนมีบุตรเปน็ ตน้ ไมอ่ าจเพอ่ื เปน็ ทีต่ า้ นทาน เป็นท่พี ึง่ หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้; เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว, ส่วนบัณฑิตช�ำระศีลแล้ว ควรช�ำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึง นิพพานของตนเท่านั้น” เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัส พระคาถาเหล่าน้วี า่ :- บุตรท้งั หลาย ไมม่ เี พ่อื ต้านทาน, บดิ ากไ็ ม่มี ถงึ พวกพอ้ งกไ็ มม่ ,ี เมอื่ บคุ คลถกู ความตายครอบงำ� แลว้ ความตา้ นทานในญาตทิ งั้ หลาย ยอ่ มไมม่ ;ี บณั ฑิตทราบอ�ำนาจประโยชน์น้นั แล้ว ส�ำรวมในศลี พงึ ช�ำระทางไปพระนพิ พานโดยเรว็ ทเี ดียว. 138 อุบาสิกา ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากเิ ลสมปี ระมาณ เทา่ ฝุน่ ในแผ่นดินใหญแ่ ล้ว ตงั้ อยูใ่ นโสดาปตั ติผล, ชนแม้ เหลา่ อนื่ เปน็ อนั มากบรรลอุ รยิ ผลทงั้ หลาย มโี สดาปตั ตผิ ล เปน็ ตน้ ดงั นีแ้ ล. ฝ่ายนางปฏาจาราน้ันเป็นพระโสดาบันแล้ว ทูลขอ บรรพชากบั พระศาสดา. พระศาสดาทรงสง่ นางไปยงั สำ� นกั ของพวกภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏชอ่ื วา่ “ปฏาจารา” เพราะนางกลบั ความประพฤตไิ ด.้ วันหนึ่ง นางก�ำลังเอาหม้อตักน�้ำล้างเท้า เทน�้ำลง. นำ้� นนั้ ไหลไปหน่อยหนงึ่ แลว้ กข็ าด. ครง้ั ที่ ๒ น�ำ้ ทนี่ างเทลง ไดไ้ หลไปไกลกวา่ นน้ั . ครั้งที่ ๓ น้�ำท่ีนางเทลง ได้ไหลไปไกลแม้กว่าน้ัน ดว้ ยประการฉะนี้. นางถือเอาน�้ำนั้นน่ันแลเป็นอารมณ์ ก�ำหนดวัย ทั้ง ๓ แล้ว คิดว่า ‘สัตว์เหล่านี้ ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้�ำท่ีเราเทลงครั้งแรก, ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมอื นนำ้� ทเ่ี ราเทลงครงั้ ท่ี ๒ ไหลไปไกลกวา่ นนั้ , ตายเสยี ในปัจฉิมวยั กม็ ี เหมือนนำ้� ท่ีเราเทลงครัง้ ท่ี ๓ ไหลไปไกล แมก้ วา่ นน้ั .’ 139 นางปฏาจารา www.kalyanamitra.org

พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมี ไปเป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า “ปฏาจารา ขอ้ นั้นอย่างนน้ั , ดว้ ยว่าความเปน็ อยวู่ ันเดียว ก็ดี ขณะเดียวก็ดีของผู้เห็นความเกิดข้ึนและความเสื่อม แหง่ ปญั จขนั ธเ์ หลา่ นน้ั ประเสรฐิ กวา่ ความเปน็ อยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเส่ือมแห่งปัญจขันธ์” ดงั นแี้ ลว้ เมอ่ื จะทรงสบื อนสุ นธแิ สดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถา นีว้ ่า :- ก็ผูใ้ ด ไมเ่ ห็นความเกดิ ขึ้นและความเส่อื มอยู่ พงึ เปน็ อยู่ ๑๐๐ ป,ี ความเปน็ อยู่วนั เดยี ว ของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสรฐิ กว่า ความเป็นอยขู่ องผนู้ ้นั . เม่อื จบเทศนา นางปฏาจาราบรรลพุ ระอรหัตพร้อม ดว้ ยปฏสิ ัมภทิ าทง้ั หลาย ดงั นแ้ี ล. เร่อื งนางปฏาจารา จบ. 140 อบุ าสิกา ฉบบั ราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

๑๒ เรอื่ งพระกณุ ฑลเกสเี ถร๓ี ๔ สถานท่ีตรสั พระเวฬุวนั เล่ากันวา่ ธดิ าเศรษฐีคนหน่งึ ในกรุงราชคฤห์ มอี ายุ ย่าง ๑๖ ปี มรี ปู สวย น่าดู. ครั้งน้ัน มารดาบิดาให้ธิดาน้ันอยู่ในห้องอันมีสิริ บนพนื้ ชัน้ บนแหง่ ปราสาท ๗ ชั้น, ได้กระทำ� ทาสีคนเดียว เทา่ นั้นใหเ้ ป็นผูบ้ �ำรงุ บ�ำเรอนาง. คร้ังนั้น พวกราชบุรุษจับกุลบุตรคนหน่ึง ผู้กระท�ำ โจรกรรมไดม้ ดั มอื ไพลห่ ลงั โบยดว้ ยหวายครงั้ ละ ๔ เสน้ ๆ แลว้ นำ� ไปสทู่ ส่ี ำ� หรบั ฆา่ . ธดิ าเศรษฐไี ดย้ นิ เสยี งของมหาชน คิดว่า ‘น่ีอะไรกันหนอแล?’ ยืนแลดูอยู่บนพื้นปราสาท เห็นโจรนั้นแล้ว ก็มีจิตปฏิพัทธ์ปรารถนาอยู่ ห้ามอาหาร แล้วนอนบนเตียง. ๓๔ ต้นฉบับธมั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, สหสั สวรรควรรณนา, ล.๔๑, น.๔๓๔, มมร. 141 พระกณุ ฑลเกสีเถรี www.kalyanamitra.org

142 อบุ าสิกา ฉบับราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

ธิดาเศรษฐี. “ถา้ ดฉิ ันจะได้ชายคนทถี่ ูกเขาจบั ไปว่า ‘เป็นโจร’ นั่นไซร้, ดิฉันจะเป็นอยู่ ; ถ้าไม่ได้, ชีวิตดิฉัน กจ็ ะไมม่ ,ี ดฉิ ันจะตายในทนี่ น้ี แี่ หละ.” มารดา เม่ือไม่อาจให้ธิดายินยอมได้ จึงบอกแก่ บิดา. ถึงบิดาน้ันก็ไม่อาจให้ธิดานั้นยินยอมได้ คิดว่า ‘เราอาจจะกระท�ำอย่างไรได้?’ ส่งห่อภัณฑะพันหน่ึง แก่ราชบุรุษ ผู้ให้จับโจรน้ันแล้วเดินไปอยู่ ด้วยค�ำว่า “ท่านจงรับภณั ฑะนี้ไว้แล้ว ใหบ้ ุรุษคนน้ันแก่ฉัน.” ราชบุรุษนั้นรับค�ำว่า “ดีละ” แล้วรับกหาปณะ ปลอ่ ยโจรนั้นไป ฆา่ บุรุษอน่ื แลว้ กราบทลู แดพ่ ระราชาว่า “ขอเดชะ ข้าพระองคฆ์ ่าโจรแล้ว.” แมเ้ ศรษฐไี ดใ้ หธ้ ดิ าแกโ่ จรนน้ั แลว้ . นางคดิ วา่ ‘จะทำ� ให้สามียนิ ด’ี จึงตกแตง่ ดว้ ยเคร่อื งประดบั ทง้ั ปวง จัดแจง ยาคเู ป็นต้นแก่โจรนน้ั เองทีเดยี ว. โดยกาลลว่ งไป ๒-๓ วนั โจรคดิ วา่ ‘ในกาลไรหนอแล? เราจะได้เพ่ือฆ่าหญิงนี้ ถือเอาเครื่องประดับของหญิงนี้ ขายกินในโรงสุราแห่งหน่ึง’ โจรนั้นคิดว่า ‘อุบายนี้มีอยู่’ จงึ หา้ มอาหารเสยี นอนบนเตยี ง. ทนี น้ั นางเขา้ ไปหาโจรนน้ั แลว้ ถามว่า “นาย มีอะไร ไมส่ บายใจหรือ?” 143 พระกณุ ฑลเกสเี ถรี www.kalyanamitra.org

โจร. “ไม่มีอะไรที่ไมส่ บายใจหรอก นางผเู้ จริญ.” ธดิ าเศรษฐี. “กม็ ารดาบดิ าของดิฉัน โกรธท่านแลหรือ?” โจร. “ไมโ่ กรธ นางผเู้ จรญิ .” ธดิ าเศรษฐี. “เม่อื เป็นเชน่ น้นั น่ชี ่ืออะไร?” โจร. “นางผเู้ จรญิ ฉนั ถกู จบั นำ� ไปในวนั นน้ั บนบาน ไว้ต่อเทวดาผู้สถิตอยู่ท่ีภูเขาทิ้งโจรได้ชีวิต แล้ว, แม้หล่อนฉันก็ได้ด้วยอานุภาพแห่ง เทวดานัน้ เหมอื นกนั , นางผเู้ จริญ ฉนั คดิ วา่ ‘ฉันตงั้ พลกี รรมนนั้ ไวต้ อ่ เทพดา.’ ธดิ าเศรษฐี. “นาย อย่าคิดเลย, ดิฉันจะกระท�ำพลีกรรม, ทา่ นจงบอก, ต้องการอะไร?” โจร. “ต้องการข้าวมธุปายาสชนิดมีน้�ำน้อย และ ดอกไม้มขี า้ วตอกเปน็ ที่ ๕.” ธดิ าเศรษฐี. “ดลี ะ นาย, ดฉิ นั จะจัดแจง.” ธดิ าเศรษฐนี นั้ จดั แจงพลกี รรมทกุ อยา่ งแลว้ จงึ กลา่ ว วา่ “มาเถดิ นาย, เราไปกนั .” โจร. “นางผู้เจริญ ถา้ อยา่ งนน้ั หลอ่ นใหพ้ วกญาติ ของหล่อนกลับเสีย ถือเอาผ้าและเคร่ือง ประดับท่ีมีค่ามากแล้วจงตกแต่งตัว, เราจะ หวั เราะเล่นพลางเดนิ ไปอยา่ งสบาย.” 144 อบุ าสกิ า ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

นางได้กระท�ำอย่างนั้นแล้ว. ทันทีนั้น ในเวลาถึง เชงิ เขา โจรนนั้ กลา่ วกบั นางวา่ “นางผเู้ จรญิ เบอ้ื งหนา้ แตน่ ้ี เราจะไปกนั ๒ คน, หลอ่ นจงให้คนทีเ่ หลือกลับพรอ้ มกบั ยาน ยกภาชนะพลกี รรมถอื ไปเอง.” นางไดก้ ระทำ� อยา่ งนนั้ . โจรพานางข้นึ สู่ภูเขาทง้ิ โจร. กม็ นษุ ยท์ งั้ หลายยอ่ มขนึ้ ไปโดยขา้ งๆ หนงึ่ แหง่ ภเู ขา นนั้ . ขา้ งๆหนง่ึ เปน็ โกรกชนั , คนทง้ั หลายยนื อยบู่ นยอดเขา แลว้ ยอ่ มทงิ้ โจรทงั้ หลายโดยทางขา้ งนน้ั , โจรเหลา่ นนั้ เปน็ ท่อนเล็กท่อนน้อยตกลงไปท่ีพ้ืน; เพราะฉะนั้น เขาจึง เรียกว่า ‘เขาท้ิงโจร.’ นางยืนอยู่บนยอดเขานั้นกล่าวว่า “นาย ท่านจงท�ำพลีกรรมของท่าน.” โจรนั้นได้นิง่ แล้ว. เมอ่ื นางกลา่ วอกี วา่ “นาย เหตไุ รทา่ นจงึ นงิ่ เสยี เลา่ ?” จึงบอกกับนางว่า “ฉันไม่ต้องการพลีกรรมดอก, แต่ฉัน ลอ่ ลวงพาหล่อนมา.” ธดิ าเศรษฐี. “เพราะเหตุไร? นาย.” โจร. “เพอื่ ตอ้ งการฆา่ หลอ่ นเสยี แลว้ ถอื เอาเครอ่ื ง ประดับของหลอ่ นหนีไป.” นางถูกมรณภัยคุกคามแล้วกล่าวว่า “นายจ๋า ดิฉัน และเครอ่ื งประดบั ของดฉิ นั กเ็ ปน็ ของๆ ทา่ นทงั้ นนั้ , เหตไุ ร ทา่ นจงึ พดู อยา่ งน?้ี ” โจรนนั้ แมถ้ กู ออ้ นวอนบอ่ ยๆ วา่ “ทา่ น จงอยา่ กระท�ำอยา่ งน”้ี 145 พระกณุ ฑลเกสีเถรี www.kalyanamitra.org

กก็ ลา่ วว่า “ฉันจะฆา่ ใหไ้ ด้.” นางกลา่ ววา่ “เมอื่ เปน็ เชน่ นนั้ ทา่ นจะตอ้ งการอะไร? ดว้ ยความตายของดฉิ ัน, ทา่ นถอื เอาเครอ่ื งประดบั เหลา่ นี้ แล้วให้ชีวิตแก่ดิฉันเถิด, จ�ำเดิมแต่นี้ท่านจงจ�ำดิฉันว่า ‘ตายแล้ว’ หรือว่า ‘ดิฉันจะเป็นทาสีของท่านกระท�ำ การงานให้’ ” ดงั น้ีแล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :- “สายสร้อยทองค�ำเหล่านี้ ล้วนส�ำเรจ็ ดว้ ยแกว้ ไพฑรู ย์, ทา่ นผู้เจรญิ ทา่ นจงถอื เอาทัง้ หมด และจงประกาศว่าดฉิ ันเปน็ ทาสี.” โจรฟังค�ำนนั้ แลว้ กล่าวว่า “เมื่อฉนั กระทำ� อยา่ งน้ัน, หล่อนไปแล้วก็จะบอกแก่มารดาบิดา, ฉันจะฆ่าให้ได้, หล่อนอย่าคร่�ำครวญไปนักเลย” ดังน้ีแล้วกล่าวคาถาน้ี ว่า :- “หล่อนอยา่ ครำ่� ครวญนักเลย, จงรบี หอ่ ส่งิ ของเข้าเถิด, ชวี ิตของหลอ่ นไมม่ ดี อก, ฉนั จะถือเอาสงิ่ ของทงั้ หมด.” นางคดิ วา่ ‘โอ กรรมน้ีหนกั , ช่ือว่าปัญญา ธรรมดา มิได้สร้างมาเพ่ือประโยชน์แกงกิน, ท่ีแท้ สร้างมาเพื่อ ประโยชน์พิจารณา, เราจะร้สู ่ิงทีค่ วรกระท�ำแก่เขา.’ 146 อบุ าสกิ า ฉบบั ราชนิกลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org

ล�ำดบั นนั้ นางกลา่ วกบั โจรนน้ั ว่า “นาย ทา่ นถกู จบั น�ำไปว่า ‘เป็นโจร’ ในกาลใด; ในกาลนั้น ดิฉันบอก แก่มารดาบิดา, ท่านทั้งสองน้ันสละทรัพย์พันหน่ึง ให้น�ำ ท่านมากระท�ำไว้ในเรือน, จ�ำเดิมแต่นั้นดิฉันก็อุปการะ ท่าน, วันน้ีท่านจงให้ดิฉันกระท�ำตัว (ท่าน) ให้เห็นถนัด แล้วไหว้.” โจรนั้นกล่าวว่า “ดีละ นางผู้เจริญ, หล่อนจงท�ำตัว (ฉัน) ให้เห็นได้ถนัด แล้วไหว้เถิด” ดังนี้แล้ว ก็ได้ยืนอยู่ บนยอดเขา. ทนี ้ันนางท�ำประทกั ษิณ ๓ ครง้ั ไหวโ้ จรนน้ั ในที่ ๔ สถานแลว้ กลา่ ววา่ “นาย นเี้ ปน็ การเหน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย ของดฉิ นั , บดั นก้ี ารทท่ี า่ นเหน็ ดฉิ นั หรอื การทด่ี ฉิ นั เหน็ ทา่ น ไม่มีละ” แล้วสวมกอดข้างหน้าข้างหลังยืนที่ข้างหลัง เอามอื ขา้ งหนง่ึ จบั โจรผปู้ ระมาท ยนื อยบู่ นยอดเขาตรงคอ เอามอื ขา้ งหนง่ึ จบั ตรงรกั แรข้ า้ งหลงั ผลกั ลงไปในเหวแหง่ ภเู ขา. โจรนนั้ ถกู กระทบทท่ี อ้ งแหง่ เขา เปน็ ชน้ิ เลก็ ชน้ิ นอ้ ย ตกลงไปแล้วท่ีพื้น. ทิ้งเครื่องประดับไว้ในท่ีนั้นน่ันเอง เขา้ ไปสปู่ า่ เทยี่ วไปโดยลำ� ดบั ถงึ อาศรมของพวกปรพิ าชก แหง่ หนง่ึ ไหวแ้ ลว้ กลา่ ววา่ “ทา่ นผเู้ จรญิ ขอทา่ นทง้ั หลาย จงใหก้ ารบรรพชา ในสำ� นกั ของทา่ นแกด่ ฉิ นั เถดิ .” ลำ� ดบั นน้ั ปริพาชกทงั้ หลายให้นางบรรพชาแล้ว. 147 พระกุณฑลเกสีเถรี www.kalyanamitra.org

ล�ำดับน้ัน ปริพาชกเหล่านั้น ยังนางให้เรียนวาทะ พันหน่ึงแล้วกล่าวว่า “ศลิ ปะ ทา่ นกเ็ รยี นแลว้ , บดั น้ี ทา่ น จงเท่ียวไปบนพื้นชมพูทวีปตรวจดูผู้สามารถจะกล่าว ปญั หากบั ตน” แลว้ ใหก้ ง่ิ หวา้ ในมอื แกน่ าง สง่ ไปดว้ ยสงั่ วา่ “ไปเถิด นางผู้เจริญ; หากใครๆ เป็นคฤหัสถ์อาจกล่าว ปญั หากบั ทา่ นได,้ ทา่ นจงเปน็ บาทปรจิ ารกิ า ของผนู้ น้ั เทยี ว; หากเปน็ บรรพชติ , ท่านจงบรรพชาในส�ำนักผนู้ นั้ เถิด.” นางมีช่ือว่า ชัมพุปริพาชิกา ตามนาม (ของไม้) ออกจากที่น้ัน เที่ยวถามปัญหากับผู้ที่ตนเห็นแล้วๆ. คนชอื่ วา่ ผสู้ ามารถจะกลา่ วกบั นางไมไ่ ดม้ แี ลว้ . คนทงั้ หลาย พอฟงั วา่ ‘นางชัมพปุ รพิ าชิกามาแตท่ น่ี ี้’ ย่อมหนไี ป. นางเข้าไปสู่บ้านหรือต�ำบลเพื่อภิกษา (ขออาหาร) กอ่ กองทรายไวใ้ กลป้ ระตบู า้ น ปกั กง่ิ หวา้ บนกองทรายนนั้ กล่าวว่า “ผู้สามารถจะกล่าวกับเรา จงเหยียบกิ่งหว้า” แลว้ ก็เขา้ ไปสูบ่ ้าน. ใครๆ ชอื่ วา่ สามารถจะเขา้ ไปยงั ทนี่ นั้ มไิ ดม้ .ี แมน้ าง ย่อมถือก่ิงอื่น ในเม่ือก่ิงหว้า (เก่า) เหี่ยวแห้ง, เท่ียวไป โดยท�ำนองน้ี ถึงกรุงสาวัตถี ปักก่ิง (หว้า) ใกล้ประตูบ้าน พูด โดยนัยท่ีกล่าวมาแล้วนั่นแล เข้าไปเพ่ือภิกษา. เด็กเป็น อนั มากไดย้ ืนลอ้ มก่งิ ไมไ้ วแ้ ลว้ . 148 อุบาสิกา ฉบับราชนกิ ูล-พระเถรี www.kalyanamitra.org

ในกาลนน้ั พระสารบี ตุ รเถระเทย่ี วไปเพอื่ บณิ ฑบาต กระท�ำภัตตกิจแล้วออกไปจากเมือง เห็นเด็กเหล่าน้ัน ยืนล้อมกิ่งไม้ จึงถามว่า “น้ีอะไร?” เด็กทั้งหลายบอก เรอื่ งนน้ั แกพ่ ระเถระแลว้ . พระเถระกลา่ ววา่ “เธอทงั้ หลาย ถ้าอย่างนัน้ พวกเจา้ จงเหยียบกิ่งไม้น.้ี ” พวกเดก็ . “พวกกระผมกลวั ขอรบั .” พระเถระ. “เราจะกล่าวปัญหา พวกเจ้าเหยยี บเถดิ .” เดก็ เหลา่ นนั้ เกดิ ความอตุ สาหะดว้ ยคำ� ของพระเถระ กระท�ำอย่างน้นั โหร่ อ้ งอยู่ โปรยธลุ ีข้นึ แล้ว. นางปริพาชิกามาแล้วดุเด็กเหล่านั้น กล่าวว่า “กิจ ด้วยปัญหาของเรากบั พวกเจา้ ไม่มี เหตไุ ร พวกเจา้ จงึ พา กันเหยียบกิ่งไม้ของเรา?” พวกเด็กกล่าวว่า “พวกเรา อนั พระคุณเจ้าใชใ้ หเ้ หยียบ.” นางปรพิ าชิกา. “ทา่ นผเู้ จรญิ ทา่ นใชพ้ วกเดก็ เหยยี บกง่ิ ไม้ ของดฉิ นั หรือ?” พระเถระ. “ใช่ นอ้ งหญิง.” นางปริพาชิกา. “ถา้ อยา่ งนนั้ ทา่ นจงกลา่ วปญั หากบั ดฉิ นั .” พระเถระ. “ดลี ะ, เราจะกล่าว.” นางปรพิ าชกิ านน้ั ไดไ้ ปสสู่ ำ� นกั ของพระเถระเพอื่ ถาม ปญั หาในเวลาบา่ ย. ทวั่ ทง้ั เมอื งลอื กระฉอ่ นกนั วา่ ‘พวกเรา จะฟงั ถอ้ ยค�ำของ ๒ บัณฑติ ’ 149 พระกณุ ฑลเกสีเถรี www.kalyanamitra.org

พวกชาวเมืองไปกับนางปริพาชิกานั้นเหมือนกัน ไหว้พระเถระแลว้ น่ัง ณ ทส่ี ดุ ขา้ งหนึง่ . นางปริพาชิกา กล่าวกับพระเถระว่า “ท่านผู้เจริญ ดิฉนั จะถามปญั หากบั ทา่ น.” พระเถระตอบว่า “ถามเถิด น้องหญงิ .” นางถามวาทะพันหนึ่งแล้ว. พระเถระแก้ปัญหาที่ นางถามแล้วๆ. ล�ำดับน้นั พระเถระกล่าวกับนางว่า “ปัญหาของท่าน มีเท่าน้,ี ปัญหาแมอ้ ื่นมอี ยหู่ รือ?” นางปรพิ าชกิ า. “มีเทา่ นี้แหละ ท่านผ้เู จรญิ .” พระเถระ. “ทา่ นถามปญั หาเปน็ อนั มาก,แมเ้ ราจะถาม สกั ปัญหาหน่ึง, ทา่ นจะแกไ้ ด้หรือไม่?” นางปรพิ าชกิ า. “ดิฉนั รู้ก็จะแก้, จงถามเถิด ท่านผู้เจรญิ .” พระเถระถามปัญหาวา่ “อะไร ชอ่ื วา่ หนึ่ง?.” นางปริพาชิกาน้ัน ไม่รู้ว่าปัญหานี้ ควรแก้อย่างนี้ จึงถามวา่ “นั่นชอื่ วา่ อะไร ทา่ นผูเ้ จรญิ ?” พระเถระ. “ชื่อพทุ ธมนต์ น้องหญิง.” นางปริพาชกิ า. “ทา่ นจงให้พุทธมนต์น้ันแก่ดิฉันบ้าง ท่านผเู้ จรญิ .” พระเถระ. “หากวา่ ทา่ นจะเปน็ เชน่ เรา, เราจะให้.” นางปริพาชิกา. “ถา้ เชน่ นนั้ ขอทา่ นยงั ดฉิ นั ใหบ้ รรพชาเถดิ .” 150 อุบาสิกา ฉบบั ราชนกิ ลู -พระเถรี www.kalyanamitra.org