(อ.มหาชน กลา่ วแล้ว) วา่ แนะ่ พราหมณ์ เออ (อ.เรา ท.) ยอ่ มรู้, “อาม พฺราหฺมณ ชานาม, อสกุ สสฺ นาม พฺราหฺมณสสฺ (อ.มาณพ) นนั้ สาธยายแล้ว ซงึ่ เวท ท. ๓ ในสำ� นกั ของพราหมณ์ สนฺตเิ ก ตโย เวเท สชฺฌายิตฺวา ปพฺพชิตฺวา ชอื่ โน้น บวชแล้ว กระทำ� ให้แจ้งแล้ว ซงึ่ ปัจเจกโพธญิ าณ ปรนิ พิ พานแล้ว, ปจฺเจกโพธึ สจฺฉิกตฺวา ปรินิพฺพายิ, อยมสฺส ถโู ป อ.สถปู นี ้ (ของพระปัจเจกพทุ ธเจ้า) นนั้ (อนั เรา ท.) ให้ตงั้ อยู่ ปตฏิ ฺฐาปิ โตต.ิ เฉพาะแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์) นนั้ ตีแล้ว ซงึ่ แผน่ ดนิ ด้วยมือ ร้องไห้แล้ว โส ภมู ึ หตฺเถน ปหริตฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา คร�่ำครวญแล้ว ไปแล้ว สลู่ านแหง่ เจดีย์ ถอนขนึ ้ แล้ว ซงึ่ หญ้า ท. เจตยิ งฺคณํ คนฺตฺวา ตณิ านิ อทุ ฺธริตฺวา อตุ ฺตรสาฏเกน น�ำมาแล้ว ซงึ่ ทราย ด้วยผ้าหม่ โปรยแล้ว ที่ลานแหง่ เจดีย์ วาลกุ ํ อาหริตวฺ า เจตยิ งคฺ เณ อากริ ิตวฺ า กมณฑฺ ลทู เกน ประพรมแล้ว ด้วยน�ำ้ ในลกั จน่ั กระท�ำแล้ว ซง่ึ การบชู า ด้วยดอกไม้ ปริปโฺ ผสติ ฺวา วนปปุ เฺ ผหิ ปชู ํ กตฺวา สาฏเกน ปตากํ ในป่ า ท. ยกขนึ ้ แล้ว ซงึ่ ธงแผน่ ผ้า ด้วยผ้าสาฏก ผกู แล้ว ซง่ึ ร่ม อาโรเปตฺวา ถปู สสฺ อปุ ริ อตฺตโน ฉตฺตํ พนฺธิตฺวา ของตน ในเบือ้ งบน แหง่ สถปู หลีกไปแล้ว (ดงั นี)้ ฯ ปกฺกามิ. อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงน�ำมาแล้ว ซง่ึ เรื่องอนั ไปลว่ งแล้ว นี ้ สตฺถา อิทํ อตีตํ อาหริตฺวา “ตทา ภิกฺขเว อหํ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.เรา เป็นพราหมณ์ชื่อวา่ สงั ขะ สงฺโข พฺราหฺมโณ อโหส,ึ มยา สสุ มิ สสฺ ปจฺเจกพทุ ฺธสฺส ได้เป็นแล้ว ในกาลนนั้ , อ.หญ้า ท. ที่ลานแหง่ เจดีย์ ของพระปัจเจก เจตยิ งฺคเณ ตณิ านิ อทุ ฺธฏานิ, ตสฺส เม กมมฺ สสฺ พทุ ธเจ้า ชอ่ื วา่ สสุ มิ ะ อนั เรา ถอนขนึ ้ แล้ว. (อ.ชน ท.) กระทำ� แล้ว นสทุิสฺสธฺ ํนสฺเทมนตลอํ ฏกฺฐรโึสย;ุ ชนมมยคาฺคํตวตหิฺถตขวาาณลกุ กุ าณฺฏโอกกํ ิณกฺณตฺวาา, ซงึ่ หนทางมีโยชน์ ๘ เป็นประมาณ ให้เป็นหนทางมีตอและหนาม ตสสฺ เม นิสฺสนฺเทน อปฏชู ฺฐาโยกชตนาม, คตฺเสคฺส อนั ตนน�ำไปปราศแล้ว กระท�ำแล้ว ให้เป็นหนทางหมดจดแล้ว มยา ตตฺถ วนกสุ เุ มหิ วาลกุ ํ โอกิรึส;ุ ให้เป็นหนทางมพี นื ้ อนั เสมอ ด้วยวบิ ากเป็นเครื่องไหลออก แหง่ กรรม เม นิสฺสนฺเทน ของเรา นนั้ , อ.ทราย อนั เรา เกล่ียลงแล้ว (ในท่ี) นนั้ , อเสอฏญกฺฐฺโฉโยยนชชฺนนนํ:มฏมฺคฐยาเฺ คาเนตนคตางฺถนฺคากาวยมณณอณฺ ทฺฑุ ากลนํ ทูิ ปเปญกปุนฺจผฺ วภาณนมู ิฺเิ ณปโอรหิกปิ ณิโฺปผทณฺ สเุ ติามนาห,,ิ ิ (อ.ชน ท.) เกล่ียลงแล้ว ซง่ึ ทราย ในหนทางมีโยชน์ ๘ เป็นประมาณ ด้วยวิบากเป็นเคร่ืองไหลออก (แหง่ กรรม) ของเรา นนั้ , อ.การบชู า ด้วยดอกค�ำในป่ า ท. อนั เรา กระท�ำแล้ว (ที่สถปู ) นนั้ , อ.ดอกไม้ ท. มีสีตา่ งๆ (อนั ชน ท.) โปรยลงแล้ว ในหนทางมีโยชน์ ๘ เป็นประมาณ ด้วยวบิ ากเป็นเคร่ืองไหลออก (แหง่ กรรม) ของเรา นนั้ , อ.น�ำ้ ในแมน่ �ำ้ ช่ือวา่ คงคา ในท่ีมีโยชน์เป็นประมาณ ดาดาษแล้ว ด้วยดอกปทมุ ท. มีสี ๕, อ.แผน่ ดนิ (ท่ีลานแหง่ เจดีย์) นนั้ อนั เรา ประพรมแล้ว ด้วยน�ำ้ ในลกั จน่ั , อ.ฝนโบกขรพรรษ ตกแล้ว ในเมืองช่ือวา่ ไพสาลี ด้วยวบิ าก ตสฺส เม นิสสฺ นฺเทน เวสาลยิ ํ โปกฺขรวสสฺ ํ วสสฺ ;ิ เป็นเครื่องไหลออก (แหง่ กรรม) ของเรา นนั้ , อ.ธงแผน่ ผ้า ท. มยา ตตฺถ ปตากา อาโรปิ ตา ฉตฺตญฺจ พทฺธํ, ตสฺส อนั เรา ยกขนึ ้ แล้ว (บนเจดีย์)นนั้ ด้วย อ.ร่ม (อนั เรา) ผกู แล้ว ตเมฉิ ตนฺติสาฺสทนีหฺเทิ นสกยลาจวกฺกอวกานฬิฏคฺฐพภฺภวํนาเอกธสุชฺสปวตํ ากวิยจฺฉตชฺตาตา-ํ; (บนเจดีย์ นนั้ ) ด้วย, อ.ห้องแหง่ จกั รวาลทงั้ สนิ ้ เป็นราวกะวา่ มมี หรสพอนั เดยี วกนั (ด้วยเคร่ืองประดบั ท.) มธี งชยั และธงแผน่ ผ้า อิติ โข ภิกฺขเว เอส ปูชาสกฺกาโร มยฺหํ เนว และฉตั รและฉตั รซ้อนเป็นต้น เกดิ แล้ว เพยี งใด แตภ่ พชอ่ื วา่ อกนฏิ ฐะ พทุ ธฺ านภุ าเวน นพิ พฺ ตโฺ ต, น นาคเทวพรฺ หมฺ านภุ าเวน, ด้วยวบิ ากเป็นเครื่องไหลออก (แหง่ กรรม) ของเรา นนั้ , ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อตีเต ปน อปปฺ มตฺตกปริจฺจาคานภุ าเวนาติ วตฺวา เพราะเหตนุ ี ้ แล อ.บชู าและสกั การะนน่ั บงั เกิดแล้ว แก่เรา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห ด้วยอานภุ าพของพระพทุ ธเจ้า หามิได้นน่ั เทียว, (อ.บชู าและ สกั การะ นน่ั บงั เกิดแล้ว) ด้วยอานภุ าพของนาคและเทพ และพรหม หามิได้, แตว่ า่ (อ.บชู าและสกั การะ นนั่ บงั เกิดแล้ว) ด้วยอานภุ าพของการบริจาคมปี ระมาณน้อย ในกาลอนั ไปลว่ งแล้ว ดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ 96 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
หากว่า (อ.บุคคล) พึงเห็น ซ่ึงสุข อนั ไพบูลย์ “มตฺตาสขุ ปริจฺจาคา ปสเฺ ส เจ วิปลุ ํ สขุ ํ, เพราะการบริจาคซ่ึงสุขโดยประมาณ ไซร้, จเช มตฺตาสขุ ํ ธีโร สมฺปสสฺ ํ วิปลุ ํ สขุ นตฺ ิ. อ.นกั ปราชญ์ เมือ่ เห็นโดยชอบ ซ่ึงสขุ อนั ไพบูลย์ พึงสละ ซ่ึงสขุ โดยประมาณ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.สขุ อนั นิดหนอ่ ย อนั ควรแล้วแก่ประมาณ ตตฺถ “มตตฺ าสุขปริจจฺ าคาต:ิ มตฺตาสขุ นฺติ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ยอ่ มตรัสเรียก วา่ อ.สขุ โดยประมาณ ปมาณยตุ ฺตกํ ปริตฺตสขุ ํ วจุ ฺจต,ิ ตสฺส ปริจฺจาเคน. ดงั นี,้ เพราะอนั สละรอบ (ซง่ึ สขุ โดยประมาณ) นนั้ (ดงั นี ้ในบท ท.) วปิ ุลํ สุขนฺต:ิ อฬุ ารํ สขุ ํ นิพฺพานสขุ ํ วจุ ฺจต,ิ เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ มตตฺ าสุขปริจจฺ าคา ตญฺเจ ปสฺเสยฺยาติ อตฺโถ. อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “เอกํ หิ ดงั นี ้ ฯ อ.สขุ อนั ย่ิง คือวา่ อ.สขุ คือพระนิพพาน (อนั พระผ้มู ี โภชนปาตึ สชฺชาเปตฺวา ภญุ ฺชนฺตสสฺ มตฺตาสขุ ํ พระภาคเจ้า) ยอ่ มตรสั เรียก วา่ อ.สขุ อนั ไพบลู ย์ ดงั น,ี ้ อ.เนอื ้ ความ วา่ นาม อปุ ปฺ ชฺชต,ิ ตํ ปน ปริจฺจชิตฺวา อโุ ปสถํ วา หากวา่ อ.บคุ คล พงึ เหน็ (ซงึ่ สขุ อนั ไพบลู ย)์ นนั้ ไซร้ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถรูป) กโรนฺตสฺส ทานํ วา เทนฺตสฺส วิปลุ ํ อฬุ ารํ นี ้ วา่ ก็ ช่ือ อ.ความสขุ โดยประมาณ ยอ่ มเกิดขนึ ้ (แก่บคุ คล) นิพฺพานสขุ ํ นาม นิพฺพตฺตต;ิ ตสฺมา สเจ เอวํ ตสสฺ ผู้ (ยงั บคุ คล) ให้จดั แจงแล้ว ซงึ่ ถาดแหง่ โภชนะ ถาดหนง่ึ บริโภคอย,ู่ มตฺตาสขุ สสฺ ปริจฺจาคา วปิ ลุ ํ สขุ ํ ปสสฺ ติ, อเถตํ แตว่ า่ ชื่อ อ.ความสขุ คือพระนิพพาน อนั ไพบลู ย์ คือวา่ อนั ย่ิง วิปลุ ํ สขุ ํ สมมฺ า ปสสฺ นฺโต ปณฺฑิโต ตํ มตฺตาสขุ ํ ยอ่ มบงั เกิด (แก่บคุ คล) ผู้ สละรอบแล้ว (ซงึ่ สขุ โดยประมาณ) นนั้ จเชยฺยาต.ิ กระท�ำอยู่ ซงึ่ อโุ บสถ หรือ หรือวา่ ถวายอยู่ ซงึ่ ทาน, เพราะเหตนุ นั้ ถ้าวา่ อ.บคุ คล ยอ่ มเหน็ ซง่ึ สขุ อนั ไพบลู ย์ เพราะอนั บริจาค ซงึ่ สขุ โดยประมาณ นนั้ อยา่ งนี ้ ไซร้, (ครัน้ เมื่อความเป็น) อยา่ งนนั้ (มีอย)ู่ , อ.บณั ฑิต เม่ือเหน็ โดยชอบ ซง่ึ สขุ นน่ั ช่ือวา่ อันไพบูลย์ พึงสละ ซึ่งสุขโดยประมาณ นัน้ ดังนี ้ เป็ นค�ำอธิบายอนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งบ(จุรบพแกลร้วร)มฯของพระองค์ อตตฺ โนปุพพฺ กมมฺ วตถฺ ุ. ๒. อ.เร่ืองแ(อหัน่งเขด้าก็ พหเจญ้าิงผจู้เะคกีย้ลว่ากวนิ) ซฯ่งึ ไข่แห่งไก่ ๒. กุกกฺ ุฏณฺฑขาทกิ าวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “ปรทกุ ขฺ ูปธาเนนาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา (ซ่ึงเด็กหญิง) ผู้เคีย้ วกินซ่ึงไข่แห่งไก่ คนหนึ่ง ตรัสแล้ว เชตวเน วิหรนฺโต เอกํ กกุ ฺกฏุ ณฺฑขาทิกํ อารพฺภ กเถส.ิ ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ ปรทกุ ขฺ ูปธาเนน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 97 www.kalyanamitra.org
ได้ยินวา่ อ.บ้าน หมหู่ นง่ึ ช่ือวา่ ปัณฑระ (มีอย)ู่ ในท่ีไมไ่ กล สาวตฺถิยา กิร อวิทเู ร ปณฺฑรุ ํ นาม เอโก แหง่ เมืองชื่อวา่ สาวตั ถี, อ.ชาวประมง คนหนง่ึ ยอ่ มอยู่ (ในบ้าน) อคจาโิรมวต, ีตตีเตรฺเกถจโกฺฉปเกณวฺฑฏฺาโฏนิ วสต.ิ โส สาวตฺถึ คจฺฉนฺโต นนั้ ฯ (อ.ชาวประมง) นนั้ ไปอยู่ สเู่ มืองชื่อวา่ สาวตั ถี เหน็ แล้ว ซง่ึ ไข่ ทิสฺวา ตานิ อาทาย สาวตฺถึ แหง่ เตา่ ท. ที่ฝ่ังแหง่ แมน่ �ำ้ ช่ือวา่ อจิรวดี ถือเอา (ซงึ่ ไข่ ท.) เหลา่ นนั้ คนฺตฺวา เอกสฺมึ เคเห ปจาเปตฺวา ขาทนฺโต ตสมฺ ึ ไปแล้ว สเู่ มืองชื่อวา่ สาวตั ถี (ยงั บคุ คล) ให้ต้มแล้ว ในเรือน หลงั หนง่ึ เคเห กมุ าริกาย เอกํ อณฺฑํ อทาส.ิ เคีย้ วกินอยู่ ได้ให้แล้ว ซง่ึ ไข่ ฟองหนง่ึ แก่เดก็ หญิง ในเรือน นนั้ ฯ (อ.เดก็ หญงิ ) นนั้ เคยี ้ วกนิ แล้ว (ซงึ่ ไขแ่ หง่ เตา่ ) นนั้ ไมป่ รารถนาแล้ว อนณอฺฑิจสฺฉํ าิค. ตเอหํถขตสาฺวสฺทาาิตฺวอมาทาาตตสโาต.ิ กสปกุ าฏฺกฺฐฏุตาิยํยาขอาวญทิชิตฺาญฺวตาํ ฏขฺาฐราทสนนตโียณตํ นฺหเอาามกยํ ชอ่ื (ซงึ่ โภชนะ อนั ตน) พงึ เคยี ้ วกนิ อน่ื จำ� เดมิ (แตก่ าล) นนั้ ฯ ครงั้ นนั้ อณฺฑานิ อ.มารดา (ของเดก็ หญิง) นนั้ ถือเอาแล้ว ซงึ่ ไข่ ฟองหนง่ึ จากที่ แหง่ แมไ่ ก่ คลอดแล้ว ได้ให้แล้ว (แก่เดก็ หญิง นนั้ ) ฯ อ.เดก็ หญิง พทฺธา ตโต ปฏฺ ฐาย สยเมว กกุ ฺกฏุ ิยา นนั้ เคีย้ วกินแล้ว (ซงึ่ ไข)่ นนั้ ผ้อู นั ความทะยานอยากในรส ผกู แล้ว คเหตฺวา ขาทิ. ถือเอาแล้ว ซง่ึ ไข่ ท. ของแมไ่ ก่ เองนนั่ เทียว เคีย้ วกินแล้ว จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ฯ อ.แมไ่ ก่ เหน็ แล้ว (ซง่ึ เดก็ หญิง) นนั้ ผ้ถู ือเอาแล้ว ซงึ่ ไข่ ท. กกุ ฺกฏุ ี วชิ าตกาเล ตํ อตฺตโน อณฺฑานิ คเหตฺวา ของตน เคีย้ วกินอยู่ ในกาล (แหง่ ตน) คลอดแล้ว ผู้ (อนั หญิง) นนั้ ขาทนฺตึ ทิสวฺ า ตาย อปุ ทฺทตู า อาฆาตํ พนฺธิตฺวา เข้าไปประทษุ ร้ายแล้ว ผกู แล้ว ซงึ่ ความอาฆาต ตงั้ ไว้แล้ว “อิโตทานิ จตุ า “ยกฺขินี หตุ ฺวา ตว ทารเก ขาทิตํุ ซง่ึ ความปรารถนา วา่ ในกาลนี ้(อ.เรา) เคล่อื นแล้ว (จากอตั ภาพ) นี ้ สมตฺถา หตุ ฺวา นิพฺพตฺเตยฺยนฺติ ปตฺถนํ ฐเปตฺวา พงึ บงั เกดิ เป็นยกั ษิณี เป็น เป็นผ้สู ามารถ เพอ่ื อนั เคยี ้ วกนิ ซง่ึ เดก็ ท. กาลํ กตฺวา ตสมฺ เึ ยว เคเห มชฺชารี หตุ ฺวา นิพฺพตฺติ. ของเจ้า เป็น ดงั นี ้ กระท�ำแล้ว ซงึ่ กาละ บงั เกิดแล้ว เป็นนางแมว ในเรือนนนั้ นนั่ เทียว เป็น ฯ (อ.เดก็ หญิง) แม้นอกนี ้ กระท�ำแล้ว ซง่ึ กาละ บงั เกิดแล้ว เป็น อติ ราปิ กาลํ กตวฺ า ตตเฺ ถว กกุ กฺ ฏุ ี หตุ วฺ า นพิ พฺ ตตฺ .ิ แมไ่ ก่ (ในเรือน) นนั้ นน่ั เทียว เป็น ฯ อ.แมไ่ ก่ ตกแล้ว ซงึ่ ไข่ ท. ฯ กกุ ฺกฏุ ี อณฺฑานิ วิชายิ. มชฺชารี อาคนฺตฺวา ตานิ อ.นางแมว มาแล้ว เคีย้ วกินแล้ว (ซงึ่ ไข่ ท.) เหลา่ นนั้ เคีย้ วกินแล้ว ขาทิตฺวา ทตุ ยิ ํปิ ตตยิ ํปิ ขาทิเยว. กกุ ฺกฏุ ี “ตโย (ในวาระ) แม้ที่ ๒ (ในวาระ) แม้ท่ี ๓ นน่ั เทียว ฯ อ.แมไ่ ก่ กระท�ำแล้ว วาเร มม อณฺฑานิ ขาทิตฺวา อิทานิ มํ ขาทิตกุ ามาส,ิ ซง่ึ ความ ปรารถนา วา่ (อ.เจ้า) เคีย้ วกินแล้ว ซง่ึ ไข่ ท. ของเรา อิโต จตุ า สปตุ ฺตกํ ตํ ขาทิตํุ ลเภยฺยนฺติ ปตฺถนํ สนิ ้ วาระ ท. ๓ เป็น ผ้ใู คร่เพอ่ื อนั เคยี ้ วกนิ ซง่ึ เรา ยอ่ มเป็น ในกาลน,ี ้ กตฺวา ตโต จตุ า ทีปิ นี หตุ ฺวา นิพฺพตฺต.ิ (อ.เรา) เคลอ่ื นแล้ว (จากอตั ภาพ) นี ้ พงึ ได้ เพอ่ื อนั เคยี ้ วกนิ ซง่ึ เจ้า ผ้เู ป็นไปกบั ด้วยลกู น้อย ดงั นี ้ เคลือ่ นแล้ว (จากอตั ภาพ) นนั้ บงั เกิดแล้ว เป็นนางเสอื เหลือง เป็น ฯ (อ.นางแมว) แม้นอกนี ้ กระท�ำแล้ว ซงึ่ กาละ บงั เกิดแล้ว เป็น อิตราปิ กาลํ กตฺวา มิคี หตุ ฺวา นิพฺพตฺต.ิ ตสฺสา นางเนือ้ เป็น ฯ อ.นางเสือเหลอื ง มาแล้ว ในกาล (แหง่ นางเนือ้ ) นนั้ วิชาตกาเล ทีปิ นี อาคนฺตฺวา ตํ สทฺธึ ปตุ ฺเตหิ ขาทิ. คลอดแล้ว เคยี ้ วกนิ แล้ว (ซง่ึ นางเนอื ้ ) นนั้ กบั ด้วยลกู ท. ฯ (อ.สตั ว์ ท. ๒ เอวํ ขาทนฺตา ปญฺจสุ อตฺตภาวสเตสุ อญฺญมญฺญสสฺ เหลา่ นนั้ ) เคีย้ วกินกนั อยู่ อยา่ งนี ้ ยงั ทกุ ข์ ให้เกิดขนึ ้ แล้ว แก่กนั - ทกุ ฺขํ อปุ ปฺ าเทตฺวา อวสาเน เอกา ยกฺขินี หตุ ฺวา และกนั ในร้อยแหง่ อตั ภาพ ท. ๕ ในกาลเป็นที่สดุ ลง (อ.หญิง) นิพฺพตฺต,ิ เอกา สาวตฺถิยํ กลุ ธีตา หตุ ฺวา นิพฺพตฺต.ิ คนหนง่ึ บงั เกดิ แล้ว เป็นนางยกั ษิณี เป็น, อ.หญงิ คนหนงึ่ บงั เกดิ แล้ว เป็นกลุ ธิดา ในเมืองช่ือวา่ สาวตั ถี เป็น ฯ 98 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.ค�ำ) อ่ืน (แตค่ �ำ) นี ้(อนั บณั ฑิต) พงึ ทราบ ตามนยั (อนั ข้าพเจ้า) อิโต ปรํ “น หิ เวเรน เวรานีติ คาถาย วตุ ฺตนเยเนว กลา่ วแล้ว ในพระคาถา วา่ น หิ เวเรน เวรานิ ดงั นีเ้ป็นต้น เวทิตพฺพํ. อิธ ปน สตฺถา “เวรํ หิ อเวเรน อปุ สมมฺ ต,ิ นนั่ เทยี ว ฯ แตว่ า่ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ก็ อ.เวร ยอ่ มเข้าไปสงบ โน เวเรนาติ วตฺวา อภุ ินฺนํปิ ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมํ ด้วยความไมม่ ีเวร, (อ.เวร ยอ่ มเข้าไปสงบ) ด้วยเวร หามิได้ คาถมาห ดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซง่ึ ธรรม (แก่หญิง ท.) แม้ทงั้ ๒ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บุคคล) ใด ย่อมปรารถนา ซึ่งความสุข เพื่อตน “ปรทกุ ฺขูปธาเนน โย อตฺตโน สขุ มิจฺฉติ, ดว้ ยอนั เขา้ ไปตงั้ ไวซ้ ึ่งทกุ ข์ในบคุ คลอืน่ , (อ.บคุ คล) นนั้ เวรสํสคฺคสํสฏฺโฐ เวรา โส น ปริมจุ ฺจตีติ. ผู้เกี่ยวข้องแล้วด้วยธรรมเป็ นเครื่องเกี่ยวข้องคือเวร ย่อมไม่หลดุ พน้ จากเวร ดงั นี้ (ในเรื่อง) นี ้ฯ ปโสรทกุตฺขตปปุ ฺถุคปฺ ฺ“คปาโทรลเทนกุ นขฺ าอูปตกิธฺโกาอสเตนนฺโนปถา.ฺปตจ:ิ ฺเจปวกรรฺโสสกมฺ สํ สึทคนกุคฺปฺขสฺปฏสํ ฺหฐฏปรฺ ณโเนฐปตนฺ-:,ิ (อ.อรรถ) วา่ ด้วยอนั ตงั้ ไว้ซง่ึ ทกุ ข์ (ในบคุ คล) อนื่ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ปรทกุ ขฺ ปู ธาเนน ดงั น,ี ้ อ.อธิบาย วา่ ด้วยอนั ยงั ทกุ ข์ให้เกิดขนึ ้ แก่บคุ คลอื่น ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.บคุ คล นนั้ ผ้เู ก่ียวข้องแล้ว ด้วยธรรมเป็นเคร่ือง ปฏิปฺปหรณาทีนํ วเสน อญฺญมญฺญํ กเตน เกยี่ วข้องคอื เวร อนั (อนั ตน) กระทำ� แล้ว กะกนั และกนั ด้วยสามารถ เวรสสํ คฺเคน สสํ ฏฺโฐ. (แหง่ เวร ท.) มอี นั ดา่ และอนั ดา่ ตอบและอนั ประหารและอนั ประหารตอบ เป็นต้น (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ เวรสสํ คคฺ สสํ ฏฺ โฐ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล นนั้ ) ยอ่ มถงึ ซงึ่ ทกุ ข์ ด้วยสามารถ เวรา โส น ปริมุจจฺ ตตี :ิ นิจฺจกาลํ เวรวเสน แหง่ เวร ตลอดกาลเนืองนิตย์ นนั่ เทียว ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ ทกุ ฺขเมว ปาปณุ าตีติ อตฺโถ. พระคาถา) วา่ เวรา โส น ปริมุจจฺ ติ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.นางยกั ษิณี ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน เวยรกโฺขตินมี จุสจฺ ร.ิ เณอติสรุ าปปิตโฏิ สฺฐตาายปตปตฺ ญผิ เฺลจ ในสรณะ ท. สมาทานแล้ว ซงึ่ ศีล ท. ๕ พ้นแล้ว จากเวร ฯ สลี านิ สมาทยติ วฺ า (อ.กลุ ธิดา) แม้นอกนี ้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ ปตฏิ ฺฐหิ. สมฺปตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งเด(ก็จหบญแลิง้ผว)ู้เคฯีย้ วกนิ ซ่งึ ไข่ไก่ กุกกฺ ุฏณฺฑขาทกิ าวตถฺ ุ. ๓. อ.เร่ืองแ(อหัน่งภข้กาิ พษเุผจู้อ้ายจู่ใะนกเมล่ือาวง)ช่ฯือว่าภทั ทยิ ะ ๓. ภททฺ ยิ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือ ทรงอาศยั ซงึ่ เมืองช่ือวา่ ภทั ทิยะ “ยํ หิ กจิ จฺ นฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา ภทฺทิยํ ประทบั อยู่ ในชาตยิ าวนั ทรงปรารภ ซงึ่ ภิกษุ ท. ผ้อู ยใู่ นเมือง นิสสฺ าย ชาตยิ าวเน วิหรนฺโต ภทฺทิเย ภิกฺขู อารพฺภ ชื่อวา่ ภทั ทิยะ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ยํ หิ กจิ จฺ ํ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ เป็นผ้ขู วนขวายแล้ว ในอนั เต กิร ปาทกุ มณฺฑเน อยุ ฺยตุ ฺตา อเหส.ํุ ตกแตง่ ซงึ่ เขียงเท้า ได้เป็นแล้ว ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 99 www.kalyanamitra.org
(อ.พระธรรมสงั คาหกาจารย์) กลา่ วแล้ว อยา่ งไร ? (อ.พระธรรม- ยถาห? เตน โข ปน สมเยน ภทฺทิยา ภิกฺขู อเนกวหิ ิตํ สงั คาหกาจารย์ กลา่ วแล้ว อยา่ งน)ี ้ วา่ ก็ โดยสมยั นนั้ แล อ.ภกิ ษุ ท. ปาทกุ มณฺฑนานโุ ยคมนยุ ตุ ฺตา วหิ รนฺต:ิ ตณิ ปาทกุ ํ ผ้อู ยใู่ นเมืองชื่อวา่ ภทั ทิยะ เป็นผ้ตู ามประกอบแล้วตามประกอบใน กโรนฺติปิ กาเรนฺติปิ มุญฺชปาทุกํ ปพฺพชปาทุกํ อนั ตกแตง่ ซง่ึ เขียงเท้า อนั มีอยา่ งมิใชห่ นงึ่ (เป็น) ยอ่ มอย:ู่ หินฺตาลปาทุกํ กมฺพลปาทุกํ กโรนฺติปิ กาเรนฺติปิ , ยอ่ มกระท�ำ (เอง) บ้าง ยอ่ ม (ยงั บคุ คลอื่น) ให้กระท�ำ บ้าง ริญฺจนฺติ อุทฺเทสํ ปริปุจฺฉํ อธิสีลํ อธิจิตฺตํ ซง่ึ เขียงเท้าอนั เป็นวกิ ารแหง่ หญ้า (ยอ่ มกระท�ำเอง บ้าง ยอ่ ม อธิปปฺ ญฺญนฺต.ิ ยงั บคุ คลอน่ื ให้กระทำ� บ้าง) ซงึ่ เขยี งเท้าอนั เป็นวกิ ารแหง่ หญ้าปล้อง (ยอ่ มกระท�ำเอง บ้าง ยอ่ มยงั บคุ คลอื่น ให้กระท�ำ บ้าง) ซง่ึ เขียงเท้า อนั เป็นวกิ ารแหง่ หญ้ามงุ กระตา่ ย (ยอ่ มกระท�ำ เอง บ้าง ยอ่ ม ยงั บคุ คลอ่ืน ให้กระท�ำ บ้าง) ซงึ่ เขียงเท้าอนั เป็นวกิ ารแหง่ ต้นเป้ ง ยอ่ มกระท�ำ (เอง) บ้าง ยอ่ ม (ยงั บคุ คลอื่น) ให้กระท�ำ บ้าง ซึ่งเขียงเท้าอันเป็ นวิการแห่งผ้ากัมพล, ย่อมละทิง้ ซึ่งอุเทส ซงึ่ ปริปจุ ฉา ซงึ่ อธิศีล ซงึ่ อธิจิต ซง่ึ อธิปัญญา ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ท. ยกโทษแล้ว ซงึ่ ความเป็นคืออนั กระท�ำอยา่ งนนั้ ภิกฺขู เตสํ ตถากรณภาวํ อชุ ฺฌายิตฺวา สตฺถุ แหง่ ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว แกพ่ ระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา อาโรเจสํ.ุ สตฺถา เต ภิกฺขู ครหิตฺวา “ภิกฺขเว ตมุ เฺ ห ทรงตเิ ตียนแล้ว ซงึ่ ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อญฺเญน กิจฺเจน อาคนฺตฺวา อญฺญสฺมเึ ยว กิจฺเจ อ.เธอ ท. มาแล้ว ด้วยกิจ อ่ืน เป็นผ้ขู วนขวายแล้ว ในกิจ อ่ืน อยุ ฺยตุ ฺตาติ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ ก็ อ.กิจ (ของตน) อนั ใด, (อ.กิจ) อนั นนั้ (อนั ภิกษุ ท. “ยํ หิ กิจฺจํ, ตทปวิทฺธํ, อกิจฺจํ ปน กยีรติ; เหลา่ นี)้ ละท้ิงแลว้ , แตว่ า่ (อ.การงาน) มิใชก่ ิจ (อนั ภิกษุ ท. อนุ นฺ ฬานํ ปมตฺตานํ เตสํ วฑฺฒนตฺ ิ อาสวา; เหลา่ ใด) ยอ่ มกระท�ำ, อ.อาสวะ ท. ยอ่ มเจริญ (แก่ภิกษุ ท.) เยสญฺจ สสุ มารทฺธา นิจฺจํ กายคตา สติ, เหล่าน้ัน ผู้มีมานะเพียงดังไม้อ้ออันยกขึ้นแล้ว อกิจฺจํ เต น เสวนตฺ ิ, กิจฺเจ สาตจฺจการิโน; ผปู้ ระมาทแลว้ , สว่ นวา่ อ.สติ อนั ไปแลว้ ในกาย เนืองนิตย์ สตานํ สมฺปชานานํ อตฺถํ คจฺฉนตฺ ิ อาสวาติ. (อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ ใด ปรารภพร้อมดว้ ยดีแลว้ . (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ผมู้ ีอนั กระทำ� เนอื ง ๆ ในกิจเป็นปกติ ยอ่ มไมเ่ สพ (ซึ่งการงาน) มิใชก่ ิจ. อ.อาสวะ ท. (ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ผูร้ ะลึกได้ ผูร้ ู้ทวั่ โดยชอบ ย่อมถึง ซ่ึงอนั ตงั้ อยู่ไม่ได้ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ก็ (อ.การงาน) อนั เป็นต้นอยา่ งนี ้ คือ อ.อนั ตตฺถ “ยํ หิ กจิ จฺ นฺต:ิ ภิกฺขโุ น หิ ปพฺพชิตกาลโต ค้มุ ครองซงึ่ กองแหง่ ศีลอนั ไมม่ ีปริมาณ อ.อนั อยใู่ นป่ า อ.อนั รักษา ปธตุ ฏงฺ ฐฺคายปริหอรปณรํิมภาาณวนสาีลรกาฺขมนตฺธาตโคเิ อปวนมํ าทอิ รกญิจฺจฺญํ วนาาโมส. ซง่ึ ธดุ งค์ อ.ความเป็นแหง่ บคุ คลผ้มู ีภาวนาเป็นท่ียินดี ชื่อวา่ เป็นกิจ ของภิกษุ (ยอ่ มเป็น) จ�ำเดมิ แตก่ าล (แหง่ ตน) บวชแล้ว ฯ อิเมหิ ปน, ยํ อตฺตโน กิจฺจํ; ตํ อปวิทฺธํ ฉฑฺฑิตํ. แตว่ า่ อ.กิจ ของตน อนั ใด, (อ.กิจ) อนั นนั้ (อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ นี ้ อกจิ จฺ นฺต:ิ ภิกฺขโุ น ปน ฉตฺตมณฺฑนํ อปุ าหนมณฺฑนํ ละทิง้ แล้ว คือวา่ ทอดทิง้ แล้ว (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ปาทกุ ปตฺตถาลกธมกรกกายพนฺธนอํสพนฺธนมณฺฑนํ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ยํ หิ กจิ จฺ ํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ สว่ นวา่ อกิจฺจํ นาม. อ.อนั ตกแตง่ ซง่ึ ร่ม อ.อนั ตกแตง่ ซงึ่ รองเท้า อ.อนั ตกแตง่ ซงึ่ เขยี งเท้า และบาตรและโอน�ำ้ และธมกรกและประคตเอวและผ้าองั สะ ช่ือวา่ เป็นกรรมมิใชก่ ิจ ของภิกษุ (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อกจิ จฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ 100 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.อธิบาย วา่ (อ.การงานมิใชก่ ิจ) นนั้ (อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ ใด เยหิ ตํ กยีรต,ิ เตสํ มานนฬํ อกุ ฺขิปิ ตฺวา จรเณน ยอ่ มกระท�ำ, อ.อาสวะ ท. แม้ ๔ ยอ่ มเจริญ (แก่ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ อนุ ฺนฬานํ สตโิ วสฺสคฺเคน ปมตฺตานํ จตฺตาโรปิ อาสวา ผ้ชู ื่อวา่ มีมานะเพียงดงั ไม้อ้ออนั ยกขนึ ้ แล้ว เพราะอนั ประพฤติ วฑฺฒนฺตีติ อตฺโถ. สุสมารทธฺ าต:ิ สปุ คฺคหิตา. ยกขนึ ้ ซงึ่ มานะเพียงดงั ไม้อ้อ ผ้ชู ื่อวา่ ประมาทแล้ว เพราะอนั สละ ลงซงึ่ สติ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ประคองด้วยดีแล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ สุสมารทธฺ า ดงั นี ้ฯ อ.ภาวนาเป็นเครื่องตามเหน็ ซงึ่ กาย ชื่อวา่ กายคตา สติ ฯ กายคตา สตตี :ิ กายานปุ สสฺ นาภาวนา. อกจิ จฺ นตฺ :ิ อ.อรรถ วา่ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ยอ่ มไมเ่ สพ คือวา่ ยอ่ มไมก่ ระท�ำ เต เอตํ ฉตฺตมณฺฑนาทิกํ อกิจฺจํ น เสวนฺติ น (ซง่ึ การงาน) มีอนั ตกแตง่ ซง่ึ ร่มเป็นต้น นนั่ อนั ชื่อวา่ มิใชก่ ิจ ดงั นี ้ กโรนฺตีติ อตฺโถ. กจิ เฺ จต:ิ ปพฺพชิตกาลโต กปรฏณฺ ฐีเายย. (แหง่ บท) วา่ อกจิ จฺ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (ในการงาน) อนั (อนั ตน) กตฺตพฺเพ อปริมาณสลี กฺขนฺธโคปนาทิเก พงึ กระท�ำ คือวา่ อนั (อนั ตน) ควรกระท�ำ มีอนั ค้มุ ครองซงึ่ กอง สาตจจฺ การิโนต:ิ สตตํ การิโน อฏฺฐติ การิโน. แหง่ ศีลอนั ไมม่ ีปริมาณเป็นต้น จ�ำเดมิ แตก่ าล (แหง่ ตน) บวชแล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ กจิ เฺ จ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้มู ีอนั กระท�ำเนืองๆ เป็นปกติ คือวา่ ผ้มู ีอนั กระท�ำไมห่ ยดุ แล้วเป็นปกติ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ สาตจจฺ กิ าริโน ดงั นี ้ฯ อ.อธิบาย วา่ อ.อาสวะ ท. แม้ ๔ (ของภิกษุท.) เหลา่ นนั้ เตสํ สตยิ า อวิปปฺ วาเสน สตานํ “สาตฺถก- ผ้ชู ื่อวา่ มีสติ เพราะอนั ไมอ่ ยปู่ ราศ จากสติ ผ้ชู ่ือวา่ รู้ทวั่ โดยชอบ สมปฺ ชญฺญํ สปปฺ ายสมปฺ ชญฺญํ โคจรสมปฺ ชญฺญํ เพราะสมั ปชญั ญะ ท. ๔ คือ อ.สาตถกสมั ปชญั ญะ อ.สปั ปาย- อสมฺโมหสมฺปชญฺญนฺติ จตูหิ สมฺปชญฺเญหิ สมั ปชญั ญะ อ.โคจรสมั ปชญั ญะ อ.อสมั โมหสมั ปชญั ญะ สมฺปชานานํ จตฺตาโรปิ อาสวา อตฺถํ คจฺฉนฺติ ยอ่ มถงึ ซงึ่ อนั ตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ คือวา่ ยอ่ มถงึ ซงึ่ ความสนิ ้ ไปรอบ ปริกฺขยํ อภาวํ คจฺฉนฺตีติ อตฺโถ. คือวา่ ซง่ึ ความไมม่ ี ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ตงั้ อยู่ เทสนาวสาเน เต ภิกฺขู อรหตฺเต ปตฏิ ฺฐหสึ .ุ เฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วย สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ วาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษ(ุจผ้บูอยแู่ใลน้วเ)มฯืองช่ือว่าภทั ทยิ ะ ภททฺ ยิ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ๔. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าลกุณฎกภทั ทยิ ะ ๔. ลกุณฺฏกภททฺ ยิ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “มาตรํ ปิ ตรํ หนฺตวฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ พระเถระชื่อวา่ ลกณุ ฏกภทั ทิยะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา เชตวเน วหิ รนฺโต ลกณุ ฺฏกภทฺทิยตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ มาตรํ ปิ ตรํ หนฺตวฺ า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนง่ึ อ.ภิกษุ ท. ผ้จู รมา เอกทิวสํ หิ สมพฺ หลุ า อาคนฺตกุ า ภิกฺขู สตฺถารํ ผ้มู าก เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา ผ้ปู ระทบั นงั่ แล้ว ในที่ ทนิิวสาีทฏสึ ฺฐ.ุ าเน นิสนิ ฺนํ อปุ สงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ เป็นทพี่ กั ในเวลากลางวนั ถวายบงั คมแล้ว นง่ั แล้ว ในสว่ นข้างหนง่ึ ฯ ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 101 www.kalyanamitra.org
ในขณะ นนั้ อ.พระเถระชอื่ วา่ ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ ยอ่ มก้าวลว่ งไป ตสฺมึ ขเณ ลกณุ ฺฏกภทฺทิยตฺเถโร ภควโต อวิทเู ร ในทไ่ี มไ่ กล แหง่ พระผ้มู พี ระภาคเจ้า ฯ อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว อตกิ ฺกมต.ิ สตฺถา เตสํ ภิกฺขนู ํ จิตฺตวารํ ญตฺวา “ปสสฺ ถ ซง่ึ วาระแหง่ จิต ของภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. ภิกฺขเว, อยํ ภิกฺขุ มาตาปิ ตโร หนิตฺวา นิทฺทกุ ฺโข (อ.เธอ ท.) จงดเู ถิด, อ.ภิกษุ นี ้ ฆา่ แล้ว ซงึ่ มารดาและบดิ า ท. หตุ ฺวา ยาตีติ วตฺวา, เตหิ [ภิกฺขหู ิ] “กึ นุ โข สตฺถา เป็นผ้มู ที กุ ขอ์ อกแล้ว เป็น ไปอยู่ ดงั นี ้(ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ (อ.พระองค์ ท.) วทตีติ อญฺญมญฺญํ มขุ านิ โอโลเกตฺวา สสํ ยํ ยอ่ มตรัส (ซง่ึ พระด�ำรัส) นน่ั ซื่ออะไร ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ปกฺขนฺเตหิ “กึ นาเมตํ วทถาติ วตุ ฺเต, เตสํ ธมมฺ ํ ผ้แู ลดแู ล้ว ซง่ึ หน้า ท. กะกนั และกนั แลน่ ไปแล้ว สคู่ วามสงสยั วา่ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห อ.พระศาสดา ยอ่ มตรัส ซง่ึ อะไร หนอ แล ดงั นี ้ กราบทลู แล้ว, เมอื่ ทรงแสดง ซงึ่ ธรรม แกภ่ กิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล ฆ่าแลว้ ) ซึ่งมารดา ดว้ ย ฆ่าแลว้ ซ่ึงบิดา ดว้ ย “มาตรํ ปิ ตรํ หนตฺ ฺวา ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย (ฆ่าแลว้ ) ซ่ึงพระราชา ท. ผูเ้ ป็นกษตั ริย์ ๒ ดว้ ย ฆ่าแลว้ รฏฺฐํ สานจุ รํ หนตฺ ฺวา อนีโฆ ยาติ พรฺ าหฺมโณติ. ซึ่งแว่นแคว้น อันเป็ นไปกับด้วยบุคคลผู้เที่ยวไป- ตามหลงั ด้วย เป็ นผู้ไม่มีทุกข์ เป็ นพราหมณ์ (เป็ น) ย่อมไป ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อนั ไปแล้วกบั ด้วยขนุ สว่ ย ผ้ยู งั สว่ ยให้สำ� เร็จ ตตฺถ “สานุจรนฺต:ิ อายสาธเกน อายตุ ฺตเกน (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สานุจรํ ดงั นี ้ ฯ สหิตํ, เอตฺถ หิ “ตณฺหา ชเนติ ปรุ ิสนฺติ วจนโต ตีสุ ก็ (อ.เนอื ้ ความ) วา่ อ.ตณั หา ชอื่ วา่ เป็นมารดา เพราะอนั ยงั สตั ว์ ท. ภเวสุ สตฺตานํ ชนนโต ตณฺหา มาตา นาม. “อหํ ให้เกดิ ในภพ ท. ๓ โดยพระดำ� รสั วา่ อ.ตณั หา ยงั บรุ ุษ ยอ่ มให้เกดิ อสกุ สสฺ นาม รญฺโญ วา ราชมหามตฺตสสฺ วา ปตุ ฺโตติ ดงั นี ้ (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.อสั มิมานะ ช่ือวา่ เป็นบดิ า เพราะอนั เกิดขนึ ้ ปิ ตรํ นิสฺสาย อสมฺ ิมานสฺส อปุ ปฺ ชฺชนโต อสฺมิมาโน แหง่ อสั มิมานะ วา่ อ.เรา (เป็นโอรส) ของพระราชา ชื่อโน้น ปิ ตา นาม. (ยอ่ มเป็น) หรือ หรือวา่ (อ.เรา) เป็นบตุ ร ของมหาอ�ำมาตย์ของ พระราชา (ชอ่ื โน้น ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้เพราะอาศยั ซงึ่ บดิ า (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.ทฏิ ฐิ ท. ทงั้ ปวง ยอ่ มคบ ซง่ึ สสั สตทฏิ ฐิและอจุ เฉททฏิ ฐิ ท. ๒ อทวเทิตาิฏฺวยฺถฺฐตุตโิโสยลฺตตสโกฺเสฺกถเปทตนรฺุวจุวิโฺเยิสฉรขฏทตฺรฐวทฺตาสยิ ิฏชยิ ทฺฐาริสโิานตยตชํํ ฺตายภนโาสนชิสฺมนฺสรานฺตโิฏตฺาิ;ฐสมํตพ.นนสฺพนฺมาทาฺทมาฺวนิร.าาิสทโอสทสคาฺสิฏายตฺยฐสอจตุคิ นาฺเนตฉธจุ าาทโโนนกร-ิิ ราวกะ อ.ชาวโลก (คบอย)ู่ ซงึ่ พระราชา เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ อ.สสั สตทิฏฐิและอจุ เฉททิฏฐิ ท. ช่ือวา่ เป็นพระราชาผ้กู ษัตริย์ ๒ (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.อายตนะ ๑๒ ท. ชอื่ วา่ เป็นแวน่ แคว้น เพราะความที่ (แหง่ อายตนะ ๑๒ ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นเชน่ กบั ด้วยแวน่ แคว้น ด้วยอรรถวา่ กว้างขวาง (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.ความก�ำหนดั ด้วยอ�ำนาจ นาม. อนีโฆต:ิ นิทฺทกุ ฺโข. พรฺ าหมฺ โณต:ิ ขีณาสโว. แหง่ ความเพลดิ เพลนิ อนั อาศยั แล้ว (ซงึ่ แวน่ แคว้น) นนั้ ชอ่ื วา่ เป็นบคุ คล ผู้เที่ยวไปตามหลัง (ย่อมเป็ น) ราวกะ อ.บุรุษผู้เป็ นขุนส่วย ผ้ยู งั สว่ ยให้สำ� เร็จ (ดงั นี)้ (ในพระคาถา) นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ (อ.อรรถ) วา่ เป็นผ้มู ีทกุ ข์ออกแล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อนีโฆ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ เป็นขีณาสพ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ พรฺ าหมโณ ดงั นี ้ ฯ อ.เนือ้ ความ (ในบาทแหง่ พระคาถา วา่ อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ เอเตสํ ตณฺหาทีนํ อรหตฺตมคฺคญฺญาณาสนิ า ดงั นี)้ นี ้ นี ้ วา่ (อ.บคุ คล) ชื่อวา่ เป็นผ้มู ีอาสวะอนั สนิ ้ แล้ว เพราะ หตตฺตา ขีณาสโว. นิทฺทกุ ฺโข หตุ ฺวา ยาตีติ อยเมตฺถ ความท่ี (แหง่ กิเลส ท.) มีตณั หาเป็นต้น เหลา่ นน่ั เป็นกิเลสอนั ตน อตฺโถ. ก�ำจดั แล้ว ด้วยดาบคืออรหตั มรรคญาณ เป็นผ้มู ีทกุ ข์ออกแล้ว เป็น ไปอยู่ ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ตงั้ อยู่ เทสนาวสาเน เต ภิกฺขู อรหตฺเต ปตฏิ ฺฐหสึ .ุ เฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ฯ อ.เร่ือง แม้ในพระคาถาที่ ๒ เป็นเชน่ กบั ทตุ ยิ คาถายปิ วตฺถุ ปรุ ิมสทิสเมว. ด้วยเรื่องมีในก่อนนน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ 102 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
แม้ในกาลนนั้ อ.พระศาสดา ทรงปรารภ ซงึ่ พระเถระช่ือวา่ ตทาปิ สตฺถา ลกณุ ฺฏกภทฺทิยตฺเถรเมว อารพฺภ ลกณุ ฏกภทั ทิยะนนั่ เทียว เมื่อทรงแสดง ซงึ่ ธรรม (แก่ภิกษุ ท.) เตสํ ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล ฆ่าแลว้ ) ซ่ึงมารดา ดว้ ย ฆ่าแลว้ ซ่ึงบิดา ดว้ ย “มาตรํ ปิ ตรํ หนตฺ ฺวา ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย (ฆ่าแลว้ ) ซ่ึงพระราชา ท. ผูเ้ ป็นพราหมณ์ ๒ ดว้ ย ฆ่าแลว้ เวยยฺ คฆฺ ปญจฺ มํ หนตฺ วฺ า อนโี ฆ ยาติ พรฺ าหมฺ โณติ. (ซ่ึงหมวด ๕ แห่งนิวรณ์) มีวิจิกิจฉานิวรณ์อนั เช่นกบั ดว้ ย- หนทางอนั เสือโคร่งเทีย่ วไปแลว้ โดยล�ำดบั เป็นที่ ๕ ดว้ ย เป็นผูไ้ ม่มีทกุ ข์ เป็นพราหมณ์ (เป็น) ย่อมไป ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้เู ป็นพราหมณ์ ๒ ด้วย (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ ตตฺถ “เทวฺ จ โสตถฺ เิ ยต:ิ เทฺว จ พฺราหฺมเณ. หนา (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ เทวฺ จ โสตถฺ เิ ย ดงั นี ้ ฯ อิมิสฺสา หิ คาถาย สตฺถา อตฺตโน ธมฺมิสฺสรตาย จ ก็ อ.พระศาสดา ยอ่ มตรัสแล้ว ซง่ึ สสั สตทิฏฐิและอจุ เฉททิฏฐิ ท. เทสนาวิธิกุสลตาย จ กสเถสสฺส.ิ ตเุจวฺเยฉยฺ ทคทฆฺ ิฏปฺ ฐญิโยจฺ มเนทฺตฺวิ กระท�ำ ให้เป็นพระราชาผ้เู ป็นพราหมณ์ ๒ ในพระคาถา นี ้ พฺราหฺมณราชาโน กตฺวา เพราะความท่ี (แหง่ พระองค)์ ทรงเป็นใหญใ่ นธรรม ด้วย เพราะความท่ี เอตฺถ พฺยคฺฆานจุ ริโต สปปฺ ฏิภโย ทปุ ปฺ ฏิปนฺโน (แหง่ พระองค์) ทรงเป็ นผู้ฉลาดในวิธีแห่งเทศนา ด้วย ฯ มคฺโค เวยฺยคฺโฆ นาม, วจิ ิกิจฺฉานีวรณํปิ เตน (อ.วิเคราะห์ ในบท) วา่ เวยยฺ คฆฺ ปญจฺ มํ ดงั นี ้ นี ้ (อนั บณั ฑิต สทิสตาย เวยฺยคฺฆํ นาม, ตํ ปญฺจมํ อสฺสาติ พงึ กระท�ำ) อ.หนทาง อนั อนั เสอื โคร่งเท่ียวไปตามหลงั แล้ว นีวรณปญฺจกํ เวยฺยคฺฆปญฺจมํ นาม. อนั เป็นไปกบั ด้วยภยั เฉพาะ อนั อนั บคุ คลด�ำเนินไปแล้วโดยยาก ชอ่ื วา่ ไวยคั ฆะ, แม้ อ.วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ์ ชอื่ วา่ ไวยคั ฆะ เพราะความที่ (แหง่ วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ์ นนั้ ) เป็นเชน่ กบั (ด้วยหนทางอนั เสอื โคร่งเทยี่ วไป ตามหลงั แล้ว) นนั้ , (อ.วิจิกิจฉานิวรณ์ อนั เชน่ กบั ด้วยหนทาง อนั เสอื โคร่งเท่ียวไปตามหลงั แล้ว) นนั้ เป็นท่ี ๕ (แหง่ หมวดห้า แหง่ นิวรณ์) นนั้ เพราะเหตนุ นั้ (อ.หมวด ๕ แหง่ นิวรณ์) ช่ือวา่ ไวยคั ฆปัญจมะ ฯ อ.เนือ้ ความ (ในกงึ่ แหง่ พระคาถา วา่ เวยยฺ คฆฺ ปจฺ มํ หนฺตวฺ า อทิ ญจฺ เวยยฺ คฆฺ ปญจฺ มํ อรหตตฺ มคคฺ ญญฺ าณาสนิ า อนีโฆ ยาติ พรฺ าหมฺ โณ ดงั นี)้ นี ้ นี ้ วา่ ก็ (อ.บคุ คล) ฆา่ แล้ว นิสเฺ สสํ หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณติ อยเมตฺถ ซงึ่ หมวด ๕ แหง่ นิวรณ์มีวจิ ิกิจฉานิวรณ์อนั เชน่ กบั ด้วยหนทาง อตฺโถ. เสสํ ปรุ ิมสทิสเมวาต.ิ อนั เสอื โคร่งเที่ยวไปแล้วโดยล�ำดบั เป็นท่ี ๕ นี ้ (กระท�ำ) ให้เป็น กิเลสชาต มีสว่ นเหลอื ออกแล้ว ด้วยดาบคืออรหตั มรรคญาณ เป็นพราหมณ์ เป็นผ้ไู มม่ ีทกุ ข์ (เป็น) ไปอยู่ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ อ.บทท่ีเหลือ เป็นเชน่ กบั ด้วยบทมีในก่อนนนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระ(เจถบระแชล่ือ้วว)่าฯลกุณฏกภทั ทยิ ะ ลกุณฺฏกภททฺ ยิ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. ๕. อ.เร่ือ(งอแอันหันข่ง้าเบตพุคม็ เคจแล้าลผ้วจู้เดะท้วก่ยี ยลวฟ่าไืวปน)ดฯ้วยเกวียน ๕. ทารุสากฏกิ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “สุปปฺ พุทธฺ นฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เน ซงึ่ บตุ ร (ของบคุ คล) ผ้เู ท่ียวไปด้วยเกวียนอนั เตม็ แล้วด้วยฟื น วิหรนฺโต ทารุสากฏิกสสฺ ปตุ ฺตํ อารพฺภ กเถส.ิ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ สุปปฺ พุทธฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร อ.เดก็ ท. ๒ คือ อ.บตุ รของบคุ คลผ้มู ี ราชคหสฺมึ หิ “ทสามรมฺ กาาทิฏอฺฐภกิ ิกปฺขตุ ณฺโตํ คจฬุ มกิจีฬฺฉํ ากทีฬิฏฺนฐกฺติ -.ิ ความเหน็ ชอบ ด้วย อ.บตุ รของบคุ คลผ้มู คี วามเหน็ ผดิ ด้วย ในเมอื ง ปตุ ฺโต จาติ เทฺว ชื่อวา่ ราชคฤห์ ยอ่ มเลน่ เลน่ ด้วยขลบุ เนืองๆ ฯ ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 103 www.kalyanamitra.org
(ในเดก็ ท. ๒) เหลา่ นนั้ หนา อ.บตุ รของบคุ คลผ้มู ีความเหน็ เอตาสวุชสฺชิตมฺวมฺ าาท“นิฏโฺฐมกิ ปพตุทุ ฺโฺธตสสฺ คาฬุตํิ วขติปฺวมาาคโฬุนํ พทุ ฺธานสุ สฺ ตึ โดยชอบ ทอดอยู่ ซงึ่ ขลบุ นกึ ถงึ แล้ว ซง่ึ พทุ ธานสุ สติ กลา่ วแล้ว วา่ ขิปต.ิ อ.ความนอบน้อม (ขอจงม)ี แกพ่ ระพทุ ธเจ้า ดงั นี ้ยอ่ มทอด ซงึ่ ขลบุ ฯ (อ.บตุ รของบคุ คลผ้มู ีความเหน็ ผิด) นอกนี ้ แสดงขนึ ้ แล้ว อิตโร ติตฺถิยานํ คุเณ อุทฺทิสิตฺวา “นโม ซง่ึ คณุ ท. ของเดยี รถยี ์ ท. กลา่ วแล้ว วา่ อ.ความนอบน้อม (ขอจงม)ี ชออินนรหาสุ นตสฺ ฺต,ิริตาอนฺวิตานโรฺตเอปิ ววรําตวชฺวตยาฺวตา.ิขิปโคสตฬุ .ิตํ สขเติปฺสสนกฺุโิรตสิยมํ มทมฺ ํ ิสาชฺวทินาิฏาฺฐ“ตอกิ ,ิ ยปอํตุ เหอฺโํปตวิํ แกพ่ ระอรหนั ต์ ท. ดงั นี ้ยอ่ มทอด (ซงึ่ ขลบุ ) ฯ (ในเดก็ ท. ๒) เหลา่ นนั้ หนา อ.บตุ รของบคุ คลผ้มู ีความเหน็ โดยชอบ ยอ่ มชนะ, (อ.บตุ ร ของบคุ คลผ้มู ีความเหน็ ผิด) นอกนี ้ ยอ่ มแพ้ ฯ (อ.บตุ รของบคุ คล เอวรูปํ กริสสฺ ามีติ พทุ ฺธานสุ สฺ ตยิ ํ ปริจยมกาส.ิ ผ้มู ีความเหน็ ผิด) นนั้ เหน็ แล้ว ซงึ่ กิริยา ของบตุ ร (ของบคุ คล ผ้มู ีความเหน็ โดยชอบ) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.สหาย ของเรา) นี ้ ตามระลกึ แล้ว อยา่ งนี ้ กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ ทอดอยู่ ซง่ึ ขลบุ ยอ่ มชนะ ซง่ึ เรา, แม้ อ.เรา จกั กระท�ำ (ซง่ึ กิริยา) มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ดงั นี ้ ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ อนั สงั่ สม ในพทุ ธานสุ สติ ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.บดิ า (ของเดก็ ) นนั้ เทียมแล้ว ซงึ่ เกวียน อเถกทิวสํ ตสสฺ ปิ ตา สกฏํ โยเชตฺวา ทารูนํ ไปอยู่ เพื่อต้องการ แก่ฟื น ท. พาเอา ซงึ่ เดก็ แม้นนั้ ไปแล้ว อตฺถาย คจฺฉนฺโต ตํปิ ทารกํ อาทาย คนฺตฺวา ยงั เกวียน ให้เตม็ แล้ว ด้วยฟื น ท. ในป่ า มาอยู่ ปลอ่ ยแล้ว ซงึ่ โค ท. อฏวยิ ํ ทารูนํ สกฏํ ปเู รตฺวา อาคจฺฉนฺโต พหินคเร ในที่อนั ผาสกุ ด้วยน�ำ้ ในที่ใกล้แหง่ ป่ าช้า ในภายนอกแหง่ เมือง ภสสุตาฺตนวสิสาฺสมคนฺคฺเํ ตอกอาทุ สก.ิ ผาอสถกุสฏฺสฺฐาโเคนณาโคเสณายณโมฺหเจสตมฺวเยา ได้กระทำ� แล้ว ซง่ึ การจดั แจงซงึ่ ภตั ร ฯ ครงั้ นนั้ อ.โค ท. (ของบคุ คล) นนั้ เข้าไปแล้ว สเู่ มืองนน่ั เทียว กบั ด้วยฝงู แหง่ โค อนั เข้าไปอยู่ นครํ ปวิสนฺเตน โคคเณน สทฺธึ นครเมว ปวิสสึ .ุ สเู่ มือง ในสมยั คือเวลาเยน็ แหง่ วนั ฯ แม้ อ.บคุ คลผ้เู ท่ียวไปด้วยเกวียน ตดิ ตามอยู่ ซงึ่ โค ท. เข้าไป สากฏิโกปิ โคเณ อนพุ นฺธนฺโต นครํ ปวิสติ ฺวา สายํ แล้ว สเู่ มือง เหน็ แล้ว ซง่ึ โค ท. ในเวลาเยน็ จงู แล้ว ออกไปอยู่ โคเณ ทิสวฺ า อาทาย นิกฺขมนฺโต ทฺวารํ น สมปฺ าปณุ ิ. ไมถ่ งึ พร้อมแล้ว ซง่ึ ประตู ฯ ก็ (ครัน้ เม่ือบคุ คล) นนั้ ไมถ่ งึ พร้อมแล้ว ตสมฺ ึ หิ อสมปฺ ตฺเตเยว, ทฺวารํ ปิ ทหิ. อถสสฺ ปตุ ฺโต นน่ั เทียว (อ.บคุ คลผ้รู ักษาซงึ่ ประต)ู ปิ ดแล้ว ซง่ึ ประตู ฯ ครัง้ นนั้ เนอิทกฺทโกํ วโอกฺกรตมฺติ. ภิ ราาเชคคหํสปกฏนสปสฺ กตเยิ หาฏปฺฐิ าอมนนิปสุ สฺชฺชพิตหฺวลุ าํ. อ.บตุ ร (ของบคุ คล) นนั้ ผ้เู ดียวเทียว นอนแล้ว ในภายใต้ แหง่ เกวียน ในสว่ นแหง่ ราตรี ก้าวลงแล้ว สคู่ วามหลบั ฯ ก็ อ.เมือง ราชคฤห์ เป็นเมืองมากด้วยอมนษุ ย์ แม้ตามปกติ (ยอ่ มเป็น) ฯ อนง่ึ (อ.เดก็ ) นี ้ นอนแล้ว ในท่ีใกล้แหง่ ป่ าช้า ฯ อ.อมนษุ ย์ ท. อยญฺจ สสุ านสนฺตเิ ก นิปนฺโน. ตตฺถ นํ อมนสุ สฺ า (ในป่ าช้า) นนั้ เหน็ แล้ว (ซง่ึ เดก็ ) นนั้ ฯ (อ.อมนษุ ย์) ตนหนงึ่ เป็น ปเโอนสโกฺสภสึ ก.ุสฺโขมเ,อมฺ โอากิมทํิฏสขฺฐาาโิ สทก.นามสเาฺสตตส.ิ ุปอฏมิติิกจโฺฉณราฺฏ“ทอโิฏกลฺฐ,ํ โิ มกมิจาฺฉอเาาตทหิฏรฺุจฐ“โฺิจอกีตย,ํิ เสยี ้ นหนาม ตอ่ พระศาสนา เป็นผ้มู ีความเหน็ ผิด (ยอ่ มเป็น), (อ.อมนษุ ย์) ตนหนง่ึ เป็นผ้มู ีความเหน็ ชอบ (ยอ่ มเป็น) ฯ (ในอมนษุ ย์ ท. ๒) เหลา่ นนั้ หนา (อ.อมนษุ ย์) ผ้มู ีความเหน็ ผิด ตํ นิวาเรส.ิ กลา่ วแล้ว วา่ (อ.เดก็ ) นี ้ เป็นภกั ษา ของเรา ท. (ยอ่ มเป็น), (อ.เรา ท.) จงเคีย้ วกิน (ซงึ่ เดก็ ) นี ้ เถิด ดงั นี ้ ฯ (อ.อมนษุ ย์) นอกนี ้ ห้ามแล้ว (ซงึ่ อมนษุ ย์) นนั้ (ด้วยค�ำ) วา่ อ.อยา่ เลย, (อ.เดก็ นี)้ อนั ทา่ น อยา่ ชอบใจแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.อมนษุ ย์ ผ้มู ีความเหน็ ผิด ) นนั้ แม้ผู้ (อนั อมนษุ ย์ ผ้มู ีความ โส เตน นิวาริยมาโนปิ ตสฺส วจนํ อนาทยิตฺวา เหน็ ชอบ) นนั้ ห้ามอยู่ ไมเ่ อือ้ เฟื อ้ แล้ว ซง่ึ ค�ำ (ของอมนษุ ย์) นนั้ ทารกํ ปาเทสุ คเหตฺวา อากฑฺฒิ. โส พทุ ฺธานสุ ฺสต-ิ จบั แล้ว ซงึ่ เดก็ ท่ีเท้า ท. คร่ามาแล้ว ฯ (อ.เดก็ ) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ ปริจิตตฺตา ตสฺมึ ขเณ “นโม พทุ ฺธสสฺ าติ อาห. อ.ความนอบน้อม (ขอจงมี) แก่พระพทุ ธเจ้า ดงั นี ้ ในขณะ นนั้ อมนสุ โฺ ส มหาภยภีโต กปตฏํ, ทิกฺกณมฺฑิตกฺวมามฺ มอสฏสฺฺฐากสโ.ิรมอาตถิ เพราะความที่ (แห่งตน) เป็ นผู้สั่งสมแล้วในพุทธานุสติ ฯ นํ อิตโร “อมเฺ หหิ อกิจฺจํ อ.อมนษุ ย์ ผ้กู ลวั แล้วแตภ่ ยั ใหญ่ ก้าวกลบั แล้ว ได้ยนื แล้ว ฯ วตฺวา ตํ รกฺขมาโน อฏฺฐาส.ิ ครัง้ นนั้ (อ.อมนษุ ย์) นอกนี ้ กลา่ วแล้ว (กะอมนษุ ย์) นนั้ วา่ อ.กรรมมิใชก่ ิจ อนั เรา ท. กระท�ำแล้ว, (อ.เรา ท.) จงกระท�ำ ซง่ึ ทณั ฑกรรม (แกเ่ ดก็ ) นนั้ เถดิ ดงั นี ้ได้ยนื รกั ษาอยู่ แล้ว (ซงึ่ เดก็ ) นนั้ ฯ 104 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.อมนษุ ย์ผ้มู ีความเหน็ ผิด เข้าไปแล้ว สเู่ มือง ยงั ถาดแหง่ พระ ปเู รตมฺวิจาฺฉโาภทชิฏนฺฐํ โิอกาหนรคิ. รอํ ถปวนสิ ํ ติอฺวโุ ภาปริ ญตสฺโญฺส โภชนปาตึ กระยาหาร ของพระราชา ให้เตม็ แล้ว นำ� มาแล้ว ซงึ่ พระกระยาหาร ฯ มาตาปิ ตโร ครัง้ นนั้ (อ.อมนษุ ย์ ท.) แม้ทงั้ ๒ เป็นราวกะวา่ มารดาและบดิ า รวาิยชหาวตุ ฺวปาสตสฺ ํ ตอ,ุฏุ ฺฐมาาเปอตญฺวาฺโญโภตเิชตตํฺวาปว“ตอฺติมึานปิกอากเสฺขตราฺวนาิ (ของเดก็ ) นนั้ เป็น (ยงั เดก็ ) นนั้ ให้ลกุ ขนึ ้ แล้ว ให้บริโภคแล้ว ประกาศแล้ว ซงึ่ ความเป็นไปทว่ั นนั้ จารึกแล้ว ซง่ึ อกั ษร ท. ยกฺขานภุ าเวน โภชนปาตยิ ํ อกฺขรานิ ฉินฺทิตฺวา คตา. ทถี่ าดแหง่ พระกระยาหาร ด้วยอานภุ าพแหง่ ยกั ษ์ (ด้วยการอธษิ ฐาน) ปนุ ทิวเส “ราชกลุ โต โจเรหิ ภาชนภณฺฑํ อวหฏนฺติ วา่ อ.พระราชาเทียว จงเหน็ ซง่ึ อกั ษร ท. เหลา่ นี ้ เถิด, โกลาหลํ กโรนฺตา ทฺวารานิ ปิ ทหิตฺวา โอโลเกตฺวา (อ.บคุ คล) อน่ื จงอยา่ เหน็ ดงั นี ้ไปแล้ว ฯ ในวนั รุ่งขนึ ้ (อ.ราชบรุ ุษ ท.) ตตฺถ อปสฺสนฺตา นครา นิกฺขมิตฺวา อิโต จิโต จ กระท�ำอยู่ ซง่ึ ความโกลาหล วา่ อ.ภณั ฑะคือภาชนะ อนั โจร ท. โอโลเกนตฺ า ทารุสกเฏ สวุ ณณฺ ปาตึ ทสิ วฺ า “อยํ โจโรติ ลกั ไปแล้ว แตร่ าชตระกลู ดงั นี ้ ปิ ดแล้ว ซงึ่ ประตู ท. ตรวจดแู ล้ว ตํ ทารกํ คเหตฺวา รญฺโญ ทสเฺ สส.ํุ ไมเ่ หน็ อยู่ (ในที่) นนั้ ออกแล้ว จากเมือง ตรวจดอู ยู่ (โดยข้าง) นีด้ ้วย นีด้ ้วย เหน็ แล้ว ซึ่งถาดอันเป็ นวิการแห่งทอง ในเกวียน อันเต็มแล้วด้วยฟื น จบั แล้ว ซง่ึ เดก็ นนั้ (ด้วยความสำ� คญั ) วา่ (อ.เดก็ ) นี ้ เป็นโจร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ แสดงแล้ว แก่พระราชา ฯ อ.พระราชา ทรงเหน็ แล้ว ซงึ่ อกั ษร ท. ตรัสถามแล้ว วา่ ราชา อกฺขรานิ ทิสฺวา “กิเมตํ ตาตาติ ปจุ ฺฉิ. ดกู ่อนพอ่ (อ.เหต)ุ นน่ั อะไร ดงั นี ้ ฯ (อ.เดก็ นนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ “นาหํ เทว ชานามิ, มาตาปิ ตโร เม อาคนฺตฺวา รตฺตึ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.ข้าพระองค์) ยอ่ มไมร่ ู้, อ.มารดา โภเชตฺวา นพิรกภฺ ฺขโยมวานนาทิ ทฺ อํ อฏปฺุฐคสํ โ,ุ ต,อเหอตํ ตฺ `กมําอตหาํ ปชิ ตานโรามมตี ํิ และบดิ า ท. ของข้าพระองค์ มาแล้ว (ยงั ข้าพระองค์) ให้บริโภค รกขฺ นตฺ ตี ิ ในราตรี ได้ยืน รักษาอยู่ แล้ว อ.ข้าพระองค์ (คดิ แล้ว) วา่ อาห. อถสสฺ มาตาปิ ตโรปิ ตํ ฐานํ อคมํส.ุ อ.มารดาและบดิ า ท. รักษาอยู่ ซง่ึ เรา ดงั นี ้ เป็นผ้มู ีภยั ออกแล้วเทียว (เป็น) เป็นผ้เู ข้าถงึ แล้ว ซง่ึ ความหลบั (ยอ่ มเป็น), อ.ข้าพระองค์ ยอ่ มรู้ (ซงึ่ เหต)ุ มีประมาณเทา่ นี ้ ดงั นี ้ ฯ ครงั้ นนั้ แม้ อ.มารดาและบดิ า ท. (ของเดก็ ) นนั้ ได้ไปแล้ว สทู่ นี่ นั้ ฯ อ.พระราชา ทรงทราบแล้ว ซงึ่ ความเป็นไปทวั่ นนั้ ทรงพาเอา ราชา ตํ ปวตฺตึ ญตฺวา เต ตโยปิ ชเน อาทาย ซงึ่ ชน ท. แม้ ๓ เหลา่ นนั้ เสดจ็ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา สพฺพํ อาโรเจตฺวา “กินฺนุ โข ภนฺเต กราบทลู แล้ว (ซงึ่ ความเป็นไปทวั่ ) ทงั้ ปวง ทลู ถามแล้ว วา่ พทุ ฺธานสุ สฺ ตเิ ยว รกฺขา โหติ อทุ าหุ ธมมฺ านสุ สฺ ต-ิ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พทุ ธานสุ สตนิ น่ั เทียว เป็นคณุ ชาติ อาทโยปี ติ ปจุ ฺฉิ. เป็นเครื่องรักษา ยอ่ มเป็น หรือ หนอ แล หรือวา่ แม้ (อ.อนสุ สติ ท.) มีธรรมานสุ สตเิ ป็นต้น (เป็นคณุ ชาตเิ ป็นเครื่องรักษา ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (แก่พระราชา) นนั้ วา่ อถสสฺ สตฺถา “มหาราช น เกวลํ พทุ ฺธานสุ ฺสตเิ ยว ดกู ่อนมหาบพิตร อ.พทุ ธานสุ สตนิ น่ั เทียว เป็นคณุ ชาตเิ ป็นเครื่อง รกฺขา, เยสํ ปน ฉพฺพิเธน จิตฺตํ สภุ าวติ ํ, เตสํ อญฺเญน รักษา (ยอ่ มเป็น) อยา่ งเดียว หามิได้, ก็ อ.จิต (อนั ชน ท.) เหลา่ ใด รกฺขาวรเณน วา มนฺโตสเธหิ วา กิจฺจํ นตฺถีติ วตฺวา ให้เจริญดีแล้ว (โดยฐานะ) อนั มีอยา่ ง ๖, อ.กิจ ด้วยอนั รักษา ฉฏฺฐานานิ ทสเฺ สนฺโต อิมา คาถา อภาสิ และอนั ป้ องกนั อยา่ งอื่น หรือ หรือวา่ ด้วยมนต์และโอสถ ท. (เหลา่ อื่น) ยอ่ มไมม่ ี (แก่ชน ท.) เหลา่ นนั้ ดงั นี ้ ฯ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ฐานะ ๖ ท. ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ อ.สติ อนั ไปแล้วในพระพุทธเจ้า ในกลางวนั ด้วย “สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, ในกลางคืน ดว้ ย (ของชน ท.) เหลา่ ใด (มีอย)ู่ ตลอดกาลเนอื งนิจ, เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ พทุ ฺธคตา สติ. (อ.ชน ท. เหลา่ นน้ั ) เป็นสาวกของพระโคดม (เป็น) ยอ่ มตืน่ ตื่นแล้วด้วยดี ในกาลทุกเมื่อ ฯ ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 105 www.kalyanamitra.org
อ.สติ อนั ไปแลว้ ในพระธรรม ในกลางวนั ดว้ ย ในกลางคืน ดว้ ย สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, (ของชน ท.) เหล่าใด (มีอยู่) ตลอดกาลเนืองนิจ (อ.ชน ท. เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ. เหล่านนั้ ) เป็ นสาวกของพระโคดม (เป็ น) ย่อมตื่น สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, ตืน่ แลว้ ดว้ ยดี ในกาลทกุ เมือ่ ฯ อ.สติ อนั ไปแลว้ ในพระสงฆ์ เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ สงฺฆคตา สติ. ในกลางวนั ดว้ ย ในกลางคืน ดว้ ย (ของชน ท.) เหล่าใด สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, (มีอยู่) ตลอดกาลเนืองนิจ (อ.ชน ท. เหล่านน้ั ) เป็นสาวก- เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ กายคตา สติ. ของพระโคดม (เป็น) ยอ่ มตืน่ ตืน่ แลว้ ดว้ ยดี ในกาลทกุ เมือ่ ฯ สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, อ.สติ อนั ไปแลว้ ในกาย ในกลางวนั ดว้ ย ในกลางคืน ดว้ ย เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ อหึสาย รโต มโน. (ของชน ท.) เหล่าใด (มีอยู่) ตลอดกาลเนืองนิจ (อ.ชน ท. สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา, เหล่านน้ั ) เป็ นสาวกของพระโคดม (เป็ น) ย่อมตื่น เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต มโนติ. ตืน่ แลว้ ดว้ ยดี ในกาลทกุ เมือ่ ฯ อ.ใจ (ของชน ท.) เหล่าใด ยินดีแล้ว ในความไม่เบียดเบียน ในกลางวนั ด้วย ในกลางคืน ดว้ ย (อ.ชน ท. เหลา่ นน้ั ) เป็นสาวกของพระโคดม (เป็น) ย่อมตืน่ ตืน่ แลว้ ดว้ ยดี ในกาลทกุ เมือ่ ฯ อ.ใจ (ของชน ท.) เหลา่ ใด ยินดีแลว้ ในภาวนา ในกลางวนั ดว้ ย ในกลางคืน ดว้ ย (อ.ชน ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นสาวกของพระโคดม (เป็น) ย่อมตืน่ ตืน่ แลว้ ดว้ ยดี ในกาลทกุ เมือ่ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.ชน ท.) ยดึ เอาแล้ว ซง่ึ สติ อนั ไปแล้ว ตตฺถ “สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺตีติ: พุทฺธคตํ สตึ ในพระพทุ ธเจ้า หลบั อยนู่ นั่ เทียว เมื่อตื่น ชื่อวา่ ยอ่ มตื่น ต่ืนแล้ว คเหตฺวา สุปนฺตาเยว ปพุชฺฌนฺตา สุปฺปพุทฺธํ ด้วยดี (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ปพชุ ฌฺ นตฺ ิ นาม. สทา โคตมสาวกาต:ิ โคตมโคตตฺ สสฺ สุปปฺ พุทธฺ ํ ปพุชฌฺ นฺติ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ชื่อวา่ เป็นสาวก พทุ ฺธสฺส สวนนฺเต ชาตตฺตา ตสเฺ สว อนสุ าสนีสวนตาย ของพระโคดม เพราะความเป็นคอื อนั ฟังซง่ึ อนสุ าสนี (ของพระพทุ ธเจ้า) โคตมสาวกา. นนั้ นนั่ เทียว เพราะความท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้เู กิดแล้ว ในที่สดุ แหง่ - อนั ฟัง ตอ่ พระพทุ ธเจ้า ผ้โู คดมโคตร (ดงั นี ้แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ สทา โคตมสาวกา ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ อ.สติ อนั ปรารภ ซง่ึ พระพทุ ธคณุ ท. อนั ตา่ งโดย พุทธฺ คตา สตตี :ิ เยสํ “อิตปิ ิ โส ภควาต-ิ พระคณุ มคี ำ� วา่ อติ ปิ ิโส ภควา ดงั นเี ้ป็นต้น เกดิ ขนึ ้ อยู่ (ของชน ท.) อาทิปปฺ เภเท พทุ ฺธคเุ ณ อารพฺภ อปุ ปฺ ชฺชมานา สติ เหลา่ ใด มีอยู่ สนิ ้ กาลเนืองนิตย์, (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ ยอ่ มตื่น นิจฺจกาลํ อตฺถิ, เต สทาปิ สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนฺตีติ ต่ืนแล้วด้วยดี แม้ในกาลทกุ เม่ือ ดงั นี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ อตฺโถ. พุทธฺ คตา สติ ดงั นีฯ้ แตว่ า่ (อ.ชน ท.) เม่ือไมอ่ าจ อยา่ งนนั้ กระท�ำไว้ในใจอยู่ ตถา อสกฺโกนฺตา ปน เอกทิวสํ ตีสุ กาเลสุ ซง่ึ พทุ ธานสุ สติ ในกาล ท. สาม หนา ในกาล ท. สองหนา ทวฺ สี ุ กาเลสุ เอกสมฺ ปึ ิ กาเล พทุ ธฺ านสุ สฺ ตึ มนสกิ โรนตฺ า แม้ในกาลหนงึ่ ช่ือวา่ ยอ่ มต่ืน ต่ืนแล้วด้วยดี นนั่ เทียว ฯ สปุ ปฺ พทุ ฺธํ ปพชุ ฺฌนฺตเิ ยว นาม. ธมมฺ คตา สตีติ อ.สติ อนั ปรารภ ซง่ึ พระธรรมคณุ ท. อนั ตา่ งโดยพระคณุ มีค�ำวา่ “สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ มตอิ าทิปปฺ เภเท ธมมฺ คเุ ณ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ดังนีเ้ ป็ นต้น เกิดขึน้ อยู่ ช่ือว่า อารพฺภ อปุ ปฺ ชฺชมานา สต.ิ ธมมฺ คตา สติ ฯ 106 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.สติ อนั ปรารภ ซงึ่ พระสงั ฆคณุ ท. อนั ตา่ งโดยพระคณุ มีค�ำวา่ สงฆฺ คตา สตตี ิ “สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆติ สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ดงั นีเ้ป็นต้น เกิดขนึ ้ อยู่ ช่ือวา่ อาทิปปฺ เภเท สงฺฆคเุ ณ อารพฺภ อปุ ปฺ ชฺชมานา สติ. สงฆฺ คตา สติ ฯ อ.สติ อนั เกิดขนึ ้ อยู่ ด้วยอ�ำนาจแหง่ อาการ ๓๒ วรกูปาายชฺฌคจตตาธาุนาวสตเสตวุ นวตี ฏิวฺทฐาวาฺ อตนปตฺุวสเึปฺ สาชนกฺชามรววาาเนสานอสชวตาฺฌ.ิ นอตวฺตหสนสึวิ ีลฏากฺยฐสกิ ราณิ โวตาเสทตนิ-:ิ หรือ หรือวา่ ด้วยอำ� นาจแหง่ การอยใู่ นป่าช้า ๙ ด้วยอำ� นาจแหง่ การ ก�ำหนดธาตุ ๔ หรือ หรือวา่ ด้วยอ�ำนาจแหง่ รูปฌานมีนีลกสณิ อนั เป็นไปในภายในเป็นต้น ชื่อวา่ กายคตา สติ ฯ (อ.อรรถ) วา่ โส กรุณาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตีติ (อ.ใจ) ยินดีแล้ว ในกรุณาภาวนา อนั (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) เอวํ วตุ ฺตาย กรุณาภาวนาย รโต. ภาวนายาต:ิ ตรสั แล้ว อยา่ งนี ้ วา่ (อ.ภกิ ษ)ุ นนั้ มใี จ อนั ไปแล้วกบั ด้วยความกรุณา เมตฺตาภาวนาย. แผไ่ ปแล้ว ตลอดทศิ หนงึ่ ยอ่ มอยู่ ดงั นี ้ (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ อหสึ าย รโต ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ในเมตตาภาวนา (ดงั นี ้ แหง่ บท)วา่ ภาวนา ดงั นี ้ฯ จริงอยู่ อ.ภาวนา อนั เหลอื ลง แม้ทงั้ ปวง (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า สพฺพกาิญปิ ฺจอาวปเิ สหสิ าเหฏภฺฐาาวนการ,ุณอาิธภาปวนนาเยมตวฺตตุ าฺตภตาฺตวานอาิธว ทรงประสงค์เอาแล้ว ในบท วา่ ภาวนาย ดงั นี)้ นี ้ เพราะความท่ี แหง่ กรุณาภาวนา เป็นภาวนาอนั พระองค์ตรัสแล้ว ในภายใต้ อธิปเฺ ปตา. เสสํ ปฐมคาถายํ วตุ ฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ. แม้โดยแท้, ถงึ อยา่ งนนั้ อ.เมตตาภาวนาเทียว (อนั พระผ้มู ีพระภาค เจ้า) ทรงประสงค์เอาแล้ว (ในบท วา่ ภาวนาย ดงั นี)้ นี ้ ฯ (อ.บท) ท่ีเหลือ (อนั บณั ฑิต) พงึ ทราบ ตามนยั (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว ในพระคาถาที่ ๑ นนั่ เทียว ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.เดก็ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส ทารโก มาตาปิ ตหู ิ สทฺธึ ในโสดาปัตตผิ ล กบั ด้วยมารดาและบดิ า ท. ฯ ก็ (อ.ชน ท.) สโสพตฺเาพปปติ ฺตอผิ รเหลตฺตปํ ตปฏิาฺฐปหณุ ิ. สึ .ุ ปจสฺฉมาปฺ ตฺตปานนํปิปพสฺพาตชฺถิติกฺวาา แม้ทงั้ ปวง บวชแล้ว ในภายหลงั บรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว เทสนา อโหสีต.ิ (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งบุคคลผู้เท่ยี วไปด้วยเกวียน ทารุสากฏกิ วตถฺ ุ. อันเตม็ แล้วด้วยฟื น (จบแล้ว) ฯ ๖. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้เป็ นโอรสของเจ้าวัชชี ๖. วชชฺ ีปุตตฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. รูปใดรูปหน่ึง (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ (อ.ค�ำ) วา่ อ.ภิกษุ ผ้เู ป็นโอรสของเจ้าวชั ชี รูปใดรูปหนง่ึ “ทุปฺปพฺพชฺชํ ทุรภิรมนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ ย่อมอยู่ ในชัฏแห่งป่ า แห่งใดแห่งหน่ึง ใกล้เมืองไพสาลี ฯ สตฺถา เวสาลยิ ํ นิสสฺ าย มหาวเน วหิ รนฺโต อญฺญตรํ ก็ โดยสมัย นัน้ แล อ.วาระแห่งมหรสพ ย่อมมี ในเมือง วชฺชีปตุ ฺตกํ ภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส,ิ ยํ สนฺธาย วตุ ฺตํ ไพสาลี ตลอดราตรีทงั้ ปวง ฯ ครัง้ นนั้ แล อ.ภิกษุนนั้ ฟังแล้ว “อญญฺ ตโร วชชฺ ปี ตุ ตฺ โก ภกิ ขฺ ุ เวสาลยิ ํ วหิ รติ อญญฺ ตรสมฺ ึ ซ่ึงเสียงกึกก้ องแห่งดนตรีอันบุคคลตีแล้ วและบรรเลงแล้ ว วนสณฺเฑ. เตน โข ปน สภมิกเยขนุ เวเสวาสลายิลํยิ ตํ รุสิยพตฺพารฬติตฺต-ึ ในเมืองไพสาลี คร่�ำครวญอยู่ กลา่ วแล้ว ซง่ึ คาถา นี ้วา่ ฉณวาโร โหต.ิ อถโข โส วาทิตนิคฺโฆสสทฺทํ สตุ ฺวา ปริเทวมาโน ตายํ เวลายํ อิมํ คาถมาห ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 107 www.kalyanamitra.org
อ.เรา ท. ผู้ผู้เดียว ย่อมอยู่ ในป่ า เพียงดงั อ.ท่อนไม้ “เอกกา มยํ อรญฺเญ วิหราม อนั บคุ คลท้ิงแลว้ ในป่า, ในกาลนี้ อ.ใคร สิ เป็นผูเ้ ลวกว่า อปวิทฺธํว วนสมฺ ึ ทารุกํ, กว่าเรา ท. (ย่อมเป็น) ในราตรี อนั ปรากฏดจุ ราตรีนี้ ดงั นี้ เอตาทิสิกาย รตฺติยา โก สุ ทานิ อมฺเหหิ ปาปิ โยติ. ในเวลา นนั้ ดงั นี ้ (อนั พระธรรมสงั คาหกาจารย์) กลา่ วแล้ว หมายเอา (ซงึ่ ภิกษุ) ใด อ.พระศาสดา เมื่อทรงอาศยั ซงึ่ เมือง ไพสาลี ประทบั อยู่ ในป่ ามหาวนั ทรงปรารภ ซง่ึ ภิกษุ (นนั้ ) ผู้เป็ นโอรสของเจ้าวัชชี รูปใดรูปหน่ึง ตรัสแล้ว ซ่ึงพระ ธรรมเทศนา นี ้วา่ ทปุ ปฺ พพฺ ชฺชํ ทรุ ภริ มํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ) นนั้ เป็นโอรสของพระราชา ในแวน่ แคว้น โส กิร ปวพชฺชฺพีรชฏิโฺ เตฐ, ราชปตุ ฺโต วาเรน สมปฺ ตฺตํ ชอ่ื วา่ วชั ชี (เป็น) ละแล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ พระราชา อนั ถงึ พร้อมแล้ว รชฺชํ ปหาย เวสาลยิ ํ จาตมุ มฺ หาราชิเกหิ ตามวาระ บวชแล้ว, ครัน้ เมื่อพระนครทัง้ สิน้ (อันมหาชน) สทฺธึ เอกาพทฺธํ กตฺวา สกลนคเร ธชปตากาทีหิ ประดบั เฉพาะแล้ว (ด้วยวตั ถุ ท.) มีธงชยั และธงแผน่ ผ้าเป็นต้น ปฏิมณฺฑิเต, โกมทุ ิยา ปณุ ฺณมาย ตสาพฬฺพิตราตนฺตํ ึ ฉณวาเร กระท�ำ ให้เนื่องเป็นอนั เดียวกนั แล้ว กบั (ด้วยเทพ ท.) ผ้อู ยู่ วตฺตมาเน, เภริอาทีนํ ตรุ ิยานํ นิคฺโฆสํ ในสวรรค์ชนั้ จาตมุ หาราช ฯ ครัน้ เมื่อวาระแหง่ มหรสพ เป็นไปอยู่ วีณาทีนญฺจ วาทิตานํ สทฺทํ สตุ ฺวา, ยานิ เวสาลยิ ํ ตลอดราตรีทงั้ ปวง (ในดถิ ี) มีพระจนั ทร์เตม็ ดวงแล้ว อนั เป็นที่- สตฺต ราชสหสฺสานิ สตฺต ราชสตานิ สตฺต จ ราชาโน, บานแหง่ ดอกโกมทุ ฟังแล้ว ซงึ่ เสียงกกึ ก้อง แหง่ ดนตรี ท. ตตฺตกาเยว จ เนสํ อปุ ราชเสนาปตอิ าทโย, เตสุ มีกลองเป็นต้น อนั บคุ คลตีแล้ว ด้วย ซงึ่ เสียง (แหง่ ดนตรี ท.) อลงกฺ ตปฏยิ ตเฺ ตสุ นกขฺ ตตฺ กฬี นตถฺ าย วถี ึ โอตณิ เฺ ณส,ุ มีพิณเป็นต้น อนั บคุ คลบรรเลงแล้ว ด้วย ในเมืองไพสาลี, อ.พนั - สปฏณุ ฺฐฺณหิ ตจฺเนถฺทํ มหาจงฺกเม จงฺกมมาโน คคนมชฺเฌ ติ ํ แหง่ พระราชา ท. ๗ เหลา่ ใด ด้วย, อ.ร้อยแหง่ พระราชา ท. ๗ ทิสวฺ า จงฺกมโกฏิยํ ผลกํ นิสสฺ าย โิ ต (เหลา่ ใด) ด้วย, อ.พระราชา ท. ๗ (เหลา่ ใด) ด้วย (ยอ่ มมี) ในเมือง เวฐนาลงฺการวิรหิตตฺตา วเน ฉฑฺฑิตทารุกํ วยิ ไพสาลี ด้วย. (อ.อิสรชน ท.) มีอปุ ราชและเสนาบดีเป็นต้น อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา “อตฺถิ นุ โข อญฺโญ อมเฺ หหิ (ของพระราชา ท.) เหลา่ นนั้ มีประมาณเทา่ นนั้ นนั่ เทียว (ยอ่ มมี ลามกตโรติ จินฺเตนฺโต ปกตยิ า อปาี ฬรญิโตฺญกเอาวทมิคาณุ ห-. ในเมืองไพสาลี) ด้วย, (ครัน้ เมื่อพระราชาและอิสรชน ท.) เหลา่ นนั้ ยตุ ฺโตปิ ตสมฺ ึ ขเณ อนภิรตยิ า ผ้ปู ระดบั ประดาแล้วและตกแตง่ แล้ว เสดจ็ ข้ามลงแล้ว สถู่ นน โส ตสฺมึ วนสณฺเฑ อธิวตฺถาย เทวตาย “อิมํ เพื่อต้องการแก่อนั เลน่ ด้วยนกั ษัตร, จงกรมอยู่ บนที่เป็นที่จงกรม ภิกฺขํุ สเํ วเชสฺสามีติ อธิปปฺ าเยน อนั ใหญ่ อนั มีศอก ๖๐ เป็นประมาณ เหน็ แล้ว ซงึ่ ดวงจนั ทร์อนั เตม็ ดวงแล้ว อนั ตงั้ อยแู่ ล้ว ในทา่ มกลางแหง่ ท้องฟ้ า ยืน อาศยั แล้ว ซง่ึ แผน่ กระดาน ในท่ีสดุ แหง่ ที่เป็นท่ีจงกรม แลดแู ล้ว ซงึ่ อตั ภาพ อนั ราวกะวา่ ทอ่ นไม้อนั บคุ คลทิง้ แล้ว ในป่ า เพราะความที่ (แห่งอตั ภาพ) เป็ นสภาพเว้นแล้วจากผ้าโพกและเครื่องประดบั คดิ อยู่ วา่ (อ.บคุ คล) อื่น ผ้ลู ามกกวา่ กวา่ เรา ท. มีอยู่ หรือ หนอ แล ดงั นี ้ แม้เป็นผ้ปู ระกอบแล้วด้วยคณุ มีอนั อยใู่ นป่ าเป็นวตั ร เป็นต้น โดยปกติ (เป็น) ผู้ อนั ความไมย่ ินดีย่ิง บีบคนั้ แล้ว ในขณะนนั้ กลา่ วแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ (อ.ภิกษุ) นนั้ ฟังแล้ว ซง่ึ คาถานี ้ อนั อนั เทวดา ผ้สู งิ อยแู่ ล้ว ในชฏั แหง่ ป่ า นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ อ.ท่าน ผูผ้ ูเ้ ดียว ย่อมอยู่ ในป่ า เพียงดงั อ.ท่อนไม้- “เอกโก ตฺวํ อรญฺเญ วิหรสิ อนั บคุ คลทิ้งแลว้ ในป่า, (อ.ชน ท.) มาก ย่อมกระหยิ่ม อปวิทฺธํว วนสฺมึ ทารุกํ, ต่อท่าน นน้ั ราวกะ (อ.สตั ว์ ท.) ผูบ้ งั เกิดแลว้ ในนรก ตสสฺ เต พหกุ า ปิ หยนตฺ ิ (กระหย่ิมอยู่ ต่อสตั ว์ ท.) ผูไ้ ปสู่สวรรค์โดยปกติ ดงั นี้ เนรยิกา วิย สคฺคคามินนตฺ ิ ด้วยความประสงค์ ว่า อ.เรา ยังภิกษุ นี ้ จักให้สลด ดังนี ้ วตุ ฺตํ อิมํ คาถํ สตุ ฺวา ปนุ ทิวเส สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ในวนั รุ่งขนึ ้ ถวายบงั คมแล้ว นง่ั แล้ว ฯ วนฺทิตฺวา นิสีทิ. 108 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซงึ่ ความเป็นไปทวั่ นนั้ เป็นผู้ สตฺถา ตํ ปวตฺตึ ญตฺวา ฆราวาสสฺส ทกุ ฺขตํ ประสงค์เพ่ืออนั ทรงประกาศ ซง่ึ ความท่ีแหง่ การอยคู่ รองซงึ่ เรือน ปกาเสตกุ าโม ปญฺจ ทกุ ฺขานิ สโมธาเนตฺวา อิมํ เป็นทกุ ข์ (เป็น) ทรงยงั ทกุ ข์ ท. ๕ ให้ตงั้ ลงพร้อมแล้ว ตรัสแล้ว คาถมาห ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.การบวชยาก, อ.การยินดีย่ิงยาก, อ.เรือน ท. “ทปุ ปฺ พพฺ ชฺชํ ทรุ ภิรมํ ทรุ าวาสา ฆรา ทกุ ฺขา อนั อนั บคุ คลอยู่ครองยาก เป็นทกุ ข์ (ย่อมเป็น), ทกุ ฺโข สมานสํวาโส ทกุ ฺขานปุ ติตทฺธคู; อ.การอยู่ร่วมดว้ ยบคุ คลผูเ้ สมอกนั เป็นทกุ ข์ (ย่อมเป็น), ตสมฺ า น จทฺธคู สิยา น จ ทกุ ฺขานปุ ติโต สิยาติ. (อ.ชน ท.) ผู้ไปสู่หนทางไกลยืดยาวโดยปกติ เป็นผูอ้ นั ทกุ ข์ตกไปตามแลว้ (ย่อมเป็น), เพราะเหตนุ น้ั (อ.บคุ คล) เป็นผไู้ ปสหู่ นทางไกลยืดยาวโดยปกติ ไมพ่ งึ เป็น ดว้ ย เป็นผอู้ นั ทกุ ข์ตกไปตามแลว้ ไมพ่ งึ เป็น ดว้ ย ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ชื่อ อ.อนั ละแล้ว ซง่ึ กองแหง่ โภคะ อนั น้อย หรือ ตตฺถ ทปุ ปฺ พพฺ ชชฺ นฺติ อปปฺ ํ วา มหนฺตํ วา หรือวา่ อนั มาก ด้วยนนั่ เทียว ซงึ่ ความเป็นไปรอบแหง่ ญาติ โภคกฺขนฺธํ เจว ญปาพตฺพปิ ชรฺชิวํ ฏนฺฏาญมฺจทกุ ปฺขํห. าย อิมสฺมึ ด้วย บวช ถวาย ซง่ึ อก ในพระศาสนานี ้ เป็นทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ สาสเน อรุ ํ ทตฺวา ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ทปุ ปฺ พพฺ ชฺชํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.อนั (อนั บคุ คล) แม้ผ้บู วชแล้ว อยา่ งนี ้ ผ้สู บื ตอ่ อยู่ ทรุ ภริ มนฺต:ิ เอวํ ปพฺพชิเตนาปิ ภิกฺขาจริยาย ซงึ่ ความเป็นไปแหง่ ชีวิต ด้วยการเท่ียวไปเพ่ือภิกษา ยินดีย่ิง ชวี ติ วตุ ตฺ ึ ฆฏนเฺ ตน อปรมิ าณสลี กขฺ นธฺ โคปนธมมฺ านธุ มมฺ - ด้วยสามารถแห่งอนั ค้มุ ครองซึ่งกองแห่งศีลอนั ไม่มีปริมาณและ- ปฏิปตฺตปิ รู ณวเสน อภิรมิตํุ ทกุ ฺขํ. อันยังการปฏิบัติซึ่งธรรมอันสมควรแก่ธรรมให้เต็ม เป็ นทุกข์ (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ทรุ ภริ มํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ก็ อ.ราชกิจ ของพระราชา ท. (อนั บคุ คล) ทรุ าวาสาต:ิ ยสมฺ า ปน ฆรํ อาวสนฺเตน ราชนู ํ ผ้อู ยคู่ รองอยู่ ซง่ึ เรือน (พงึ น�ำไป) อ.อิสรกิจ ของอิสรชน ท. ราชกิจฺจํ อิสฺสรานํ อิสฺสรกิจฺจํ วหิตพฺพํ, ปริชโน เจว (อนั บคุ คล ผ้อู ยคู่ รองอยู่ ซงึ่ เรือน) พงึ น�ำไป, อ.ชนผ้เู ป็นบริวาร ธมมฺ กิ า จ สมณพรฺ าหมฺ ณา สงคฺ หติ พพฺ า, เอวํ สนเฺ ตปิ, ด้วยนนั่ เทียว อ.สมณและพราหมณ์ ท. ผ้ตู งั้ อยใู่ นธรรม ด้วย ฆราวาโส ฉิทฺทฆโฏ วิย มหาสมทุ ฺโท วยิ จ ทปุ ปฺ โู ร; (อนั บคุ คล ผ้อู ยคู่ รองอยู่ ซง่ึ เรือน) พงึ สงเคราะห์, (ครัน้ เมื่อ ตสฺมา ฆรา นาเมเต ทรุ าวาสา ทกุ ฺขา อาวสติ ํุ เตเนว ความเป็น) อยา่ งนนั้ แม้มีอย,ู่ อ.อนั อยคู่ รองซงึ่ เรือน เป็นอาการ การเณน ทกุ ฺขาติ อตฺโถ. เตม็ ได้โดยยาก (ยอ่ มเป็น) ราวกะ อ.หม้ออนั ทะลแุ ล้ว ด้วย ราวกะ อ.มหาสมทุ ร ด้วย, เพราะเหตนุ นั้ ช่ือ อ.เรือน ท. เหลา่ นนั่ อนั อนั บคุ คลอยคู่ รองได้ยาก เป็นทกุ ข์ คือวา่ เป็นความลำ� บาก เพื่ออนั อยคู่ รอง เพราะเหตนุ นั้ นน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ทรุ าวาสา ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ จริงอยู่ อ.คฤหสั ถ์ ท. เหลา่ ใด (แม้เป็นผ้เู สมอกนั ) ทกุ โฺ ข สมานสวํ าโสต:ิ คหิ ิโน หิ เย ชาตโิ คตฺต- ด้วยชาตแิ ละโคตรและตระกลู และโภคะ ท. (เป็น) หรือ หรือวา่ กลุ โภเคหิ ปพฺพชิตา วา สีลาจารพาหสุ จฺจาทีหิ อ.บรรพชิต ท. (เหลา่ ใด) แม้เป็นผ้เู สมอกนั (ด้วยคณุ ท.) มีศีล สมานาปิ หตุ ฺวา “โกสิ ตฺวํ, โก อหนฺตอิ าทีนิ วตฺวา และอาจาระและพาหสุ จั จะเป็นต้น เป็น กลา่ วแล้ว (ซง่ึ ค�ำ ท.) อธิกรณปปฺ สตุ า โหนฺต,ิ เต อสมานา นาม, เตหิ มีค�ำวา่ อ.ทา่ น เป็นใคร ยอ่ มเป็น, อ.เรา เป็นใคร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ สทฺธึ สวํ าโส นาม ทกุ ฺโขติ อตฺโถ. เป็นต้น เป็นผ้ขู วนขวายแล้วในอธิกรณ์ ยอ่ มเป็น, (อ.คฤหสั ถ์ ท. หรือ หรือวา่ อ.บรรพชิต ท.) เหลา่ นนั้ ช่ือวา่ เป็นผ้ไู มเ่ สมอกนั (ยอ่ มเป็น), ชื่อ อ.อนั อยพู่ ร้อม กบั (ด้วยคฤหสั ถ์ ท. หรือ หรือวา่ ด้วยบรรพชิต ท.) เหลา่ นนั้ เป็นทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ ทกุ โฺ ข สมานสวํ าโส ดงั นี ้ฯ ผลิตส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 109 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ) วา่ (อ.ชน ท.) เหลา่ ใด ชื่อวา่ เป็นผ้ไู ปสหู่ นทางไกล ปฏิปทนกฺุนขฺตาฺตนาุปอตทติ ฺธทค;ูธฺ คเตูต:ิทกุ เยฺเขนวฏอฺฏนสปุ งตฺขติ าาตวํ . อทฺธานํ โดยปกติ เพราะความท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้ดู ำ� เนนิ ไปแล้ว สหู่ นทางไกล ตสฺมา อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ วฏั ฏะ (ยอ่ มเป็น), (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ น จทธฺ คูต:ิ ยสมฺ า ทกุ ฺขานปุ ตติ ภาโวปิ ทกุ ฺโข เป็นผ้อู นั ทกุ ข์ ตกไปตามแล้ว เทียว (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ แหง่ บาท อทฺธคภู าโวปิ ทกุ ฺโข; ตสมฺ า ววตุ ฏฺตฺฏปสปฺ งกฺขาาเตรนํ อทฺธานํ แหง่ พระคาถา) วา่ ทกุ ขฺ านุปตติ ทธฺ คู ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ คมนตาย อทฺธคปู ิ น ภเวยฺย ทกุ ฺเขน แม้ อ.ความที่ (แหง่ บคุ คล) เป็นผ้อู นั ทกุ ข์ตกไปตามแล้ว เป็นทกุ ข์ อนปุ ตโิ ตปิ น ภเวยฺยาติ อตฺโถ. (ยอ่ มเป็น), แม้ อ.ความที่ (แหง่ บคุ คล) เป็นผ้ไู ปสหู่ นทางไกลโดยปกติ เป็นทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น) เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ (อ.บคุ คล) แม้เป็นผ้ชู อื่ วา่ ไปสหู่ นทางไกลโดยปกติ เพราะความเป็นคืออนั ไป สหู่ นทางไกล อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ วฏั ฏะ ไมพ่ งึ เป็น แม้เป็นผู้ อนั ทกุ ข์ มีประการอนั ข้าพเจ้ากลา่ วแล้ว ตกไปตามแล้ว ไมพ่ งึ เป็น ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ตสฺมา น จทธฺ คู ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ นนั้ เบ่ือหนา่ ยอยู่ เทสนาวสาเน โส ภิกฺขุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ ในทกุ ข์ อนั (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ทรงแสดงแล้ว ในฐานะท. ๕ ทสสฺ เิ ต ทกุ ฺเข นิพฺพินฺทนฺโต ปญฺโจรมภฺ าคยิ านิ จ ท�ำลายแล้ว ซง่ึ สงั โยชน์ ท. อนั มีในสว่ นเบือ้ งต่�ำ ๕ ด้วย อนั มี ปญฺจุทฺธมฺภาคิยานิ จ สํโยชนานิ ปทาเลตฺวา ในสว่ นเบือ้ งบน ๕ ด้วย ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ดงั นีแ้ ล ฯ อรหตฺเต ปตฏิ ฺฐหีต.ิ อ.เร่ืองแห่งภกิ (ษจุผบู้เแปล็ น้วโ)อฯรสของเจ้าวัชชี วชชฺ ีปุตตฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ๗. อ.(เอรัน่ือขงแ้าพห่งเจค้าฤหจะบกดลชี ่า่ือวว)่าฯจติ ตะ ๗. จติ ตฺ คหปตวิ ตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “สทโฺ ธ สีเลน สมปฺ นฺโนติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ คฤหบดีชื่อวา่ จิตตะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต จิตฺตคหปตึ อารพฺภ กเถส.ิ สทโฺ ธ สีเลน สมปฺ นฺโน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง (อนั ข้าพเจ้า) ให้พิสดารแล้ว ในกถาเป็นเคร่ือง วตฺถุ พาลวคฺเค “อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺยาติ พรรณนาซง่ึ เนือ้ ความแหง่ พระคาถา วา่ อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย ดงั นี ้ คาถาวณฺณนายํ วติ ฺถาริตํ. คาถาปิ ตตฺเถวาคตา. เป็นต้น ในพาลวรรค ฯ แม้ อ.พระคาถา มาแล้ว (ในพาลวรรค) นนั้ วตุ ฺตํ หิ ตตฺถ “กึ ปน ภนฺเต เอตสสฺ ตมุ หฺ ากํ นนั่ เทียว ฯ จริงอยู่ (อ.ค�ำ) วา่ (อ.พระเถระช่ือวา่ อานนท์ สนฺตกิ ํ อาคจฺฉนฺตสเฺ สวายํ สกฺกาโร อปุ ปฺ ชฺชติ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ ก็ อ.สกั การะนี ้ ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ อทุ าหุ อญฺญตฺถ คจฺฉนฺตสฺสาปิ อปุ ปฺ ชฺเชยฺยาต.ิ (แก่คฤหบดีชื่อวา่ จิตตะ) นน่ั ผ้มู าอยู่ สสู่ �ำนกั ของพระองค์ ท. นน่ั เทียว หรือ หรือวา่ (อ.สกั การะ นี)้ พงึ เกิดขนึ ้ (แก่คฤหบดีช่ือวา่ จิตตะ นน่ั ) แม้ผ้ไู ปอยู่ (ในที่) อ่ืน ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอานนท์ (อ.สกั การะ นี)้ “อานนฺท มม สนฺตกิ ํ อาคจฺฉนฺตสสฺ าปิ อญฺญตฺถ ยอ่ มเกิดขนึ ้ นนั่ เทียว (แก่คฤหบดีช่ือวา่ จิตตะ) นนั้ ผ้มู าอยู่ สสู่ ำ� นกั คจฺฉนฺตสฺสาปิ ตสสฺ อปุ ปฺ ชฺชตเิ ยว, อยํ หิ อปุ าสโก ของเรา ก็ดี ผ้ไู ปอยู่ (ในที่) อื่น ก็ดี, เพราะวา่ อ.อบุ าสก นี ้ เป็นผ้มู ี สทฺโธ ปสนฺโน สมปฺ นฺนสโี ล, เอวรูโป ยํ ยํ ปเทสํ ศรัทธา เป็นผ้เู ลอ่ื มใสแล้ว เป็นผ้มู ีศีลอนั ถงึ พร้อมแล้ว (ยอ่ มเป็น), ภชต;ิ ตตฺถ ตตฺเถวสฺส ลาภสกฺกาโร นิพฺพตฺตตีติ (อ.อบุ าสก) ผ้มู ีอยา่ งนีเ้ป็นรูป จะไป สปู่ ระเทศ ใดๆ: อ.ลาภและ วตฺวา อิมํ คาถมาห สกั การะ ยอ่ มบงั เกิด (แก่อบุ าสก) นนั้ (ในประเทศ) นนั้ ๆ นนั่ เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ 110 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.กลุ บตุ ร) ผูม้ ีศรทั ธา ผูถ้ ึงพร้อมแลว้ ดว้ ยศีล “สทฺโธ สีเลน สมฺปนโฺ น ยโสโภคสมปปฺ ิ โต ผู้เพรียบพร้อมแล้วด้วยยศและโภคะ จะไป ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ; ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโตติ. สู่ประเทศใดๆ, (อ.กลุ บตุ ร นน้ั ) เป็นผูอ้ นั มหาชน บชู าแลว้ (ในประเทศ) นน้ั ๆ นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น ดงั น)ี้ ดงั นี้ (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว (ในพาลวรรค) นนั้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้มู าตามพร้อมแล้ว ด้วยศรัทธา อนั เป็นโลกิยะ ตตฺถ “สทฺโธติ: โลกิยโลกุตฺตราย สทฺธาย และโลกตุ ระ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สทโฺ ธ สมนนฺ าคโต. สเี ลนาต:ิ “อาคาริยสลี ํ อนาคาริยสลี นตฺ ิ ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.ศีล มีอยา่ ง ๒ คือ อ.ศีลของบคุ คลผ้อู ยคู่ รอง ทุวิธํ สีลํ, เตสุ อิธ อาคาริยสีลํ อธิปเฺ ปตํ, เตน ซง่ึ เรือน อ.ศีลของบคุ คลมิใชผ่ ้อู ยคู่ รองซง่ึ เรือน, (ในศีล ท. ๒) สมนฺนาคโตติ อตฺโถ. เหลา่ นนั้ หนา อ.ศีลของบคุ คลผ้อู ยคู่ รองซง่ึ เรือน (อนั พระผ้มู ี พระภาคเจ้า) ทรงประสงค์เอาแล้ว (ในท่ี) นี,้ ผ้มู าตามพร้อมแล้ว (ด้วยศีลของบคุ คลผ้อู ยคู่ รองซงึ่ เรือน) นนั้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ สีเลน ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ ว่า ผู้มาตามพร้ อมแล้ว ด้วย- อ.ยศของบุคคล ยโสโภคสมปปฺ ิ โตต:ิ ยาทิโส อนาถปิ ณฺฑิกาทีนํ ผู้อยู่ครองซึ่งเรือน อันบัณฑิตนับพร้ อมแล้วว่าความเป็ น ปญฺจอุปาสกสตปริวารสงฺขาโต อาคาริยยโส ผู้มีร้ อยแหง่ อบุ าสก ๕ เป็นบริวาร (แหง่ ชน ท.) มีเศรษฐีช่ือวา่ ตาทิเสเนว ยเสน ธนธญฺญาทิโก เจว สตฺตวิธอริย- อนาถบณิ ฑิกะเป็นต้น อนั เชน่ ใด -ยศ อนั เชน่ นนั้ นน่ั เทียว ด้วย, ธนสงฺขาโต จ ทวุ โิ ธ โภโค เตน จ สมนฺนาคโตติ ด้วย- อ.โภคะ อนั มีอยา่ ง ๒ อนั มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น อตฺโถ. ยํ ยนฺต:ิ ปรุ ตฺถิมาทีสุ ทิสาสุ เอวรูโป ด้วยนนั่ เทยี ว อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ อริยทรพั ยม์ อี ยา่ ง ๗ ด้วย กลุ ปตุ ฺโต ยํ ยํ ปเทสํ ภชต;ิ ตตฺถ ตตฺถ เอวรูเปน - โภคะนนั้ ด้วย ดงั นี ้(แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ยโสโภคสมปปฺ ิ โต ลาภสกฺกาเรน ปชู ิโต ว โหตีต.ิ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.กลุ บตุ ร ผ้มู ีอยา่ งนีเ้ป็นรูป จะไป สปู่ ระเทศ ใดๆ ในทศิ ท. มปี รุ ตั ถมิ ทศิ เป็นต้น, (อ.กลุ บตุ ร นนั้ ) เป็นผ้อู นั มหาชน บชู าแล้ว ด้วยลาภและสกั การะ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป (ในประเทศ) นนั้ ๆ เทยี ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ยํ ยํ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตตฺ ผิ ลาทนี ิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห(่งจคบฤแหลบ้วด) ชีฯ่ือว่าจติ ตะ จติ ตฺ คหปตวิ ตถฺ ุ. ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 111 www.kalyanamitra.org
๘ (ออ.เันรข่ือ้างพแเหจ่ง้านจาะงจกฬูล่าสวุภ)ทั ฯทา ๘. จฬู สุภททฺ าวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ทเู ร สนฺโต ปกาเสนฺตตี ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ ซงึ่ ธิดา ของเศรษฐีช่ือวา่ อนาถบณิ ฑิกะ ช่ือวา่ จฬู สภุ ทั ทา ตรัสแล้ว สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อนาถปิ ณฺฑิกสฺส ธีตรํ ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ทเู ร สนฺโต ปกาเสนฺติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ จฬู สภุ ทฺทํ นาม อารพฺภ กเถส.ิ ได้ยนิ วา่ อ.บตุ รของเศรษฐี ชอ่ื วา่ อคุ คะ ผ้อู ยใู่ นเมอื งชอ่ื วา่ อคุ คะ เอตคุ ฺคเนออนคการาวถจารปสิยิ ณีกอฺฑเุ คุลิกฺโคสสฺสนปิ าปฺ ํมกอเิรสคุ ฏฺคฺฐณทปิ หฺตหุ รฺโนตกฺตาสาลหโตอายญโฺญกปอมฏโญฺฐหาฺญสย.ิ ํ โดยปกติ เป็นสหาย ของเศรษฐีช่ือวา่ อนาถบณิ ฑิกะ ได้เป็นแล้ว จ�ำเดมิ แตก่ าล แหง่ ตนเป็นหนมุ่ ฯ (อ.เศรษฐี ท. ๒) เหลา่ นนั้ เรียนอยู่ ซงึ่ ศลิ ปะ ในตระกลู แหง่ อาจารย์ ทา่ นเดียวกนั กระท�ำแล้ว กตกิ ํ กรึสุ “อมหฺ ากํ วยปปฺ ตฺตกาเล ปตุ ฺตธีตาสุ ซงึ่ กตกิ า กะกนั และกนั วา่ ครัน้ เมื่อบตุ รและธดิ า ท. เกดิ แล้ว ในกาล ชาตาส,ุ โย ปตุ ฺตสฺส อตฺถาย ธีตรํ วาเรต;ิ เตน แหง่ เรา ท. ถงึ แล้วซงึ่ วยั , (อ.บคุ คล) ใด ยอ่ มขอ ซงึ่ ลกู สาว ตสสฺ ธีตา ทาตพฺพาต.ิ เต อโุ ภปิ วยปปฺ ตฺตา เพ่ือประโยชน์ แก่ลกู ชาย, อ.ลกู สาว (อนั บคุ คล) นนั้ พงึ ให้ อตฺตโน อตฺตโน นคเร เสฏฺฐฏิ ฺฐาเน ปตฏิ ฺฐหสึ .ุ (แก่บคุ คล) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.เศรษฐี ท.) เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ๒ ผ้ถู งึ แล้ว ซง่ึ วยั ตงั้ อยฉู่ พาะแล้ว ในต�ำแหนง่ แหง่ เศรษฐี ในเมือง ของตนๆ ฯ ในสมยั หนงึ่ อ.เศรษฐีชื่อวา่ อคุ คะ ประกอบอยู่ ซงึ่ การค้าขาย เอกสมฺ ึ สมเย สอาวคุ ตฺคฺถเสึ ฏอฺฐคี มาวสณ.ิ ิชอฺชนํ าปถโปยิ ณเชฺฑนฺโิโตก ได้ไปแล้ว สเู่ มอื งสาวตั ถี ด้วยร้อยแหง่ เกวยี น ท. ๕ ฯ อ.เศรษฐี ปญฺจหิ สกฏสเตหิ ช่ือวา่ อนาถบณิ ฑิกะ เรียกมาแล้ว ซง่ึ นางจฬู สภุ ทั ทา ผ้เู ป็นธิดา อตฺตโน ธีตรํ จฬู สภุ ทฺทํ อามนฺเตตฺวา “อมมฺ ปิ ตา เต ของตน สงั่ บงั คบั แล้ว วา่ แนะ่ แม่ อ.บดิ า ของเจ้า ช่ือวา่ อคุ คเศรษฐี ออาคุ ณฺคเาสเฏปฺฐสี .ินาม อาคโต, ตสสฺ กตฺตพฺพกิจฺจํ ตว ภาโรติ มาแล้ว, อ.กิจอนั บคุ คลพงึ กระท�ำ (แก่บดิ า) นนั้ เป็นภาระ ของเจ้า (จงเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ รบั คำ� แล้ว วา่ อ.ดลี ะ ดงั นี ้(ยงั โภชนะ ท.) สา “สาธตู ิ ปฏิสฺสณุ ิตฺวา ตสสฺ อาคตทิวสโต มีแกงและกบั เป็นต้น ยอ่ มให้ถงึ พร้อม ด้วยมืออนั เป็นของตนนน่ั ปมาฏลฺฐาาคยนฺธสวหเิ ลตปฺเถนเานทวีนิ สปู พฺยญฺชนาทีนิ สมปฺ าเทต,ิ เทยี ว จำ� เดมิ แตว่ นั (แหง่ เศรษฐี) นนั้ มาแล้ว, ตกแตง่ อยู่ (ซงึ่ วตั ถุ ท.) อภิสงฺขโรต,ิ โภชนกาเล ตสฺส มรี ะเบยี บและของหอมและวตั ถเุ ป็นเครื่องลบู ไล้เป็นต้น, (ยงั บคุ คล) นหาโนทกํ ปฏิยาทาเปตฺวา นหานกาลโต ปฏฺ ฐาย ให้ตระเตรียมแล้ว ซง่ึ นำ� ้ เป็นเครื่องอาบ (เพอ่ื เศรษฐี) นนั้ ในกาลเป็น สพฺพกิจฺจานิ สาธกุ ํ กโรติ. ท่ีบริโภค ยอ่ มกระท�ำ ซงึ่ กิจทงั้ ปวง ท. ให้เป็นกรรมดี จ�ำเดมิ แตก่ าลเป็นที่อาบ ฯ อ.เศรษฐีช่ือวา่ อคุ คะ เหน็ แล้ว ซง่ึ ความถงึ พร้อมแล้วอาจาระ ปสนอฺนคุ จฺคิตเฺโสตฏฺ ฐี ตสสฺ า อาจารสมปฺ ตฺตึ ทิสวฺ า (ของนางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ มีจิตเลอื่ มใสแล้ว นง่ั แล้ว ด้วยกถาอนั น�ำ เอกทิวสํ อนาถปิ ณฺฑิเกน สทฺธึ มาซง่ึ ความสขุ กบั ด้วยเศรษฐีช่ือวา่ อนาถบณิ ฑิกะ ในวนั หนงึ่ สขุ กถาย นิสนิ ฺโน “มยํ ทหรกาเล เอวํ นาม กตกิ ํ (ยงั เศรษฐีชอื่ วา่ อนาถบณิ ฑกิ ะ) ให้ระลกึ แล้ว (ด้วยคำ� ) วา่ อ.เรา ท. กริมหฺ าติ สาเรตฺวา จฬู สภุ ทฺทํ อตฺตโน ปตุ ฺตสสฺ ตฺถาย กระทำ� แล้ว ซงึ่ กตกิ า ชอื่ อยา่ งนี ้ในกาล (แหง่ เรา ท.) เป็นหนมุ่ ดงั นี ้ วาเรส.ิ ขอแล้ว ซง่ึ นางจฬู สภุ ทั ทา เพ่ือประโยชน์ แก่บตุ ร ของตน ฯ 112 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ก็ (อ.เศรษฐีชื่อวา่ อคุ คะ) นนั้ เป็นผ้มู ีความเหน็ ผิด โดยปกติ ทตมิสวฺตาโฺถสํ ออปนานโญุ รเปฺญจกตาตฺวโิยตาา,สมภติจรฺถิยฺฉาาารยาทิฏอฺสฐคุ โทิ กฺคฺธ;เึสตมฏสฺนฐฺมโิฺเนตาตทอฺวปสุาพนตลิสสสฺสสฺฺสยํ (ยอ่ มเป็น); เพราะเหตนุ นั้ (อ.เศรษฐีชอ่ื วา่ อนาถบณิ ฑกิ ะ) กราบทลู แล้ว ซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ แก่พระทศพล ผู้ อนั พระศาสดา ทรงเหน็ แล้ว ซง่ึ อปุ นสิ ยั ของเศรษฐีชอื่ วา่ อคุ คะ ทรงอนญุ าตแล้ว, ปรกึ ษาแล้ว กบั วจนํ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา ทิวสํ ฐเปตฺวา, ธีตรํ วสิ าขํ ด้วยภรรยา รับพร้อมแล้ว ซงึ่ ค�ำ (ของเศรษฐีชื่อวา่ อคุ คะ) นนั้ ทตฺวา อยุ ฺโยเชนฺโต อธานมญนฺเฺชตยตเฺวสาฏฺฐ“อี มวมฺ ยิ สสสฺมรุหกนเุ ฺตลํ ก�ำหนดแล้ว ซง่ึ วนั , กระท�ำแล้ว ซง่ึ สกั การะ อนั ใหญ่ ราวกะ สกฺการํ กตฺวา สภุ ทฺทํ อ.เศรษฐีชอ่ื วา่ ธนญชยั ผู้ ให้แล้ว ซงึ่ นางวสิ าขา ผ้เู ป็นธดิ า สง่ ไปอยู่ วสนฺตยิ า นาม อนฺโต อคฺคิ พหิ น นีหริตพฺโพติ เรียกมาแล้ว ซง่ึ นางจฬู สภุ ทั ทา ให้แล้ว ซง่ึ โอวาท ท. ๑๐ ตามนยั ปอทธนปุตาญฏปฺวฺ าิโชฺชภฺชยเอตคเสยุ,ิ ฺฏโยฺฐตเนิชมุคานเฺเหหฺโวตหตสิ ิฺวา“าขสโ,าสเจยเธตทเตมพินสฺโฺนพฺสคนาตตเิยฏเฺฐนอาวฏอเนฺฐยุ ทฺโสยธกีชตโฏุ นุอมุ ทวโทพฺาิวโเเิเทสสก อนั เศรษฐีชอ่ื วา่ ธนญชยั ให้แล้ว แกน่ างวสิ าขา นนั่ เทยี ว วา่ แนะ่ แม่ อ.ไฟ ในภายใน (อนั หญิง) ชื่อวา่ ผ้อู ยอู่ ยู่ ในตระกลู แหง่ พอ่ ผวั ไมพ่ งึ น�ำออก ในภายนอก ดงั นีเ้ป็นต้น สง่ ไปอยู่ ยดึ เอาแล้ว จซะงึ่ กเกฎุ ิดมุ ขพนึ ้ ี ท.แ๘ก่ธ(ิดการะทข�ำอ)งใขห้า้เพป็เนจผ้า้รู ับใรนอทง่ี (ด้วยค�ำ) วา่ ถ้าวา่ อ.โทษ พทุ ฺธปปฺ มขุ สสฺ ภิกฺขสุ งฺฆสสฺ มหาทานํ ทตฺวา, (แหง่ ธิดา ของข้าพเจ้า) ปรุ ิมภเว ธีตรา กตานํ สจุ ริตานํ ผลวภิ ตู ึ โลกสสฺ ไปแล้ว ไซร้, (อ.โทษ นนั้ ) อนั ทา่ น ท. พงึ ให้หมดจด ดงั นี,้ ปากฏํ กตฺวา ทสเฺ สนฺโต วยิ มหนฺเตน สกฺกาเรน ถวายแล้ว ซงึ่ ทานใหญ่ แกห่ มแู่ หง่ ภกิ ษุ มพี ระพทุ ธเจ้า เป็นประมขุ ธีตรํ อยุ ฺโยเชส.ิ ในวนั เป็นทส่ี ง่ ไป (ซงึ่ นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ สง่ ไปแล้ว ซงึ่ ธดิ า ด้วยสกั การะ อนั ใหญ่ราวกะวา่ แสดงอยู่ ซง่ึ ความเจริญแหง่ ผล แหง่ สจุ ริต ท. อนั อนั ธิดา กระท�ำแล้ว ในภพมีในก่อน กระท�ำ ให้เป็นคณุ ชาต ปรากฏแล้ว แก่ชาวโลก ฯ อ.มหาชน กบั ด้วยตระกลู แหง่ พอ่ ผวั ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ การ ตสฺสา อนุปุพฺเพน อุคฺคนครํ ปตฺตกาเล ต้อนรับ ในกาล (แหง่ นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ ถงึ แล้ว ซง่ึ เมืองชื่อวา่ สสสฺ รุ กเุ ลน สทฺธึ มหาชโน ปจฺจคุ ฺคมนํ อกาส.ิ สาปิ อคุ คะ ตามลำ� ดบั ฯ (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) แม้นนั้ แสดงอยู่ ซง่ึ ตน อตฺตโน สริ ิวภิ วํ ปากฏํ กาตํุ วสิ าขา วิย สกลนครสสฺ แก่ชาวเมืองทงั้ สนิ ้ เพื่ออนั กระท�ำ ซงึ่ สมบตั ิอนั เป็นสริ ิ ของตน อตฺตานํ ทสเฺ สนฺตี รเถ ฐตฺวา นครํ ปวิสติ ฺวา นาคเรหิ ให้เป็นสภาพปรากฏแล้ว ราวกะ อ.นางวิสาขา ยืนแล้ว บนรถ เปสติ ํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา อนรุ ูปวเสน เตสํ เตสํ เข้าไปแล้ว สเู่ มือง รับแล้ว ซงึ่ เคร่ืองบรรณาการ อนั (อนั ชน ท.) เปเสนฺตี สกลนครํ อตฺตโน คเุ ณหิ เอกพทฺธํ อกาส.ิ ผ้อู ยใู่ นนคร สง่ ไปแล้ว สง่ ไปอยู่ (แกช่ น ท.) เหลา่ นนั้ ๆ ด้วยสามารถ แห่งเคร่ืองบรรณาการอันสมควร ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งชาวเมือง ทงั้ สนิ ้ ให้เป็นผ้เู นื่องเป็นอนั เดียวกนั แล้ว ด้วยคณุ ท. ของตน ฯ ก็ อ.พอ่ ผวั (ของนางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ กระท�ำอยู่ ซงึ่ สกั การะ มงฺคลทิวสาทีสุ ปนสสฺ า สสสฺ โุ ร อเจลกานํ แก่นกั บวชผ้ไู มม่ ีทอ่ นผ้า ท. (ในวนั ท.) มีวนั เป็นท่ีกระท�ำซงึ่ สกฺการํ กโรนฺโต “อาคนฺตฺวา อมหฺ ากํ สมเณ วนฺทตตู ิ มงคลเป็นต้น สง่ ไปแล้ว (ซง่ึ ขา่ วสาส์น) วา่ อ.นางจฬู สภุ ทั ทา เปเสส.ิ สา ลชฺชาย นคฺเค ปสสฺ ติ ํุ อสกฺโกนฺตี คนฺตํุ จง มาแล้ว ไหว้ ซง่ึ สมณะ ท. ของเรา ท. ดงั นี ้ฯ (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) น อิจฺฉติ. โส ปนุ ปปฺ นุ ํ เปเสตฺวาปิ ตาย ปฏิกฺขิตฺโต นนั้ ไมอ่ าจอยู่ เพื่ออนั เหน็ ซงึ่ สมณะเปลอื ย ท. เพราะความอาย กชุ ฺฌิตฺวา “นีหรถ นนฺติ อาห. สา “น สกฺกา มม ยอ่ มไมป่ รารถนา เพื่ออนั ไป ฯ (อ.พอ่ ผวั ) นนั้ แม้สง่ ไปแล้ว อการเณน โทสํ อาโรเปตนุ ฺติ กฏุ มุ พฺ ิเก ปกฺโกสาเปตฺวา (ซง่ึ ขา่ วสาส์น) บอ่ ยๆ ผู้ (อนั นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ ห้ามแล้ว ตมตฺถํ อาโรเจส.ิ โกรธแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) จงน�ำออก ซงึ่ นางจฬู สภุ ทั ทา นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ (อนั ใครๆ) ไมอ่ าจ เพื่ออนั ยกขนึ ้ ซงึ่ โทษ แก่ข้าพเจ้า โดยเหตอุ นั ไมส่ มควร ดงั นี ้ ยงั บคุ คล ให้เรียกมาแล้ว ซง่ึ กฏุ มุ พี ท. บอกแล้ว ซงึ่ เนอื ้ ความ นนั้ ฯ ผลิตสอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 113 www.kalyanamitra.org
เป็นผ(อ้มู .ีโกทฏุ ษมุ อพอี ทก.แ)ลเห้วลาย่ นงั นเั้ศรร้แูษลฐ้วี ซงึ่ ความที่ (แหง่ นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั ้ โส เต ตสฺสา สนมิทเฺโณทสภ`อาหวิรํ ิญกาตตฺวิ านเสวฏนฺฐฺทึ สตญีติฺญภารเิยปาสยํ.ุ ให้รู้พร้อมแล้ว ฯ (อ.เศรษฐี) นนั ้ “อยํ มม บอกแล้ว แกภ่ รรยา วา่ (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) นี ้ยอ่ มไมไ่ หว้ ซงึ่ สมณะ ท. อาโรเจส.ิ สา “กีทิสา นุ โข อิมิสสฺ า สมณา, ของเรา (ด้วยอนั กลา่ ว) วา่ (อ.สมณะ ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นผ้ไู มม่ ี อตวิ ิย เน ปสํสตีติ ตํ ปกฺโกสาเปตฺวา อาห ความละอาย (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ดงั นี ้ ฯ (อ.ภรรยาของเศรษฐี) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ อ.สมณะ ท. (ของนางจฬู สภุ ทั ทา) นี ้ เป็นเชน่ ไร หนอ แล (ยอ่ มเป็น), (อ.นางจฬู สภุ ทั ทา) นี ้ ยอ่ มสรรเสริญ (ซง่ึ สมณะ ท.) เหลา่ นนั้ เกินเปรียบ ดงั นี ้ ยงั บคุ คลให้เรียกมาแล้ว (ซงึ่ นางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ อ.สมณะ ท. ของเธอ เป็นเช่นไร (ย่อมเป็น), (อ.เธอ) “กีทิสา สมณา ตยุ ฺหํ พาฬหฺ ํ โข เน ปสํสสิ. ย่อมสรรเสริญ ซึ่งสมณะ ท. เหล่านนั้ นกั แล, กึสีลา กึสมาจารา ตํ เม อกฺขาหิ ปจุ ฺฉิตาติ. (อ.สมณะ ท. เหล่านนั้ ) เป็ นผู้มีศีลอย่างไร เป็นผูม้ ีความประพฤติดีอย่างไร (ย่อมเป็น), (อ.เธอ) ผูอ้ นั เรา ถามแลว้ จงบอก (ซึ่งเนือ้ ความ) นน้ั แก่เรา ดงั นี้ ฯ ครัง้ นัน้ อ.นางจูฬสุภัททา เมื่อประกาศ ซึ่งคุณ ท. อถสสฺ า สภุ ทฺทา พทุ ฺธานญฺเจว พทุ ฺธสาวกานญฺจ ของพระพทุ ธเจ้า ท. ด้วยนนั่ เทยี ว ของพระสาวกของพระพทุ ธเจ้า ท. คเุ ณ ปกาเสนฺตี ด้วย (แก่ภรรยาของเศรษฐี) นนั้ ยงั แมผ่ วั ให้ยินดีแล้ว (ด้วยค�ำ ท.) มีค�ำอยา่ งนี ้วา่ (อ.สมณะ ท. เหล่านน้ั ) เป็นผูม้ ีอินทรีย์สงบแลว้ เป็นผู้ “สนตฺ ินทฺ ฺริยา สนตฺ มานสา สนตฺ ํ เตสํ คตํ ิตํ, มีใจสงบแลว้ (ยอ่ มเป็น), อ.อนั เดิน อ.อนั ยืน (แหง่ สมณะ ท.) โอกฺขิตฺตจกฺขู มิตภาณี, ตาทิสา สมณา มม. เหล่านนั้ สงบแล้ว,(อ.สมณะ ท. เหล่านน้ั ) เป็นผูม้ ีจกั ษุ- กายกมฺมํ สจุ ิ เตสํ, วาจากมฺมํ อนาวิลํ, ทอดลงแล้ว เป็นผูก้ ล่าวซึ่งค�ำอนั นบั ได้แล้วโดยปกติ มโนกมฺมํ สวุ ิสทุ ฺธํ, ตาทิสา สมณา มม. (ยอ่ มเป็น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็นผเู้ ชน่ นน้ั (ยอ่ มเป็น) ฯ วิมลา สงฺขมตุ ฺตาภา สทุ ฺธา อนตฺ รพาหิรา อ.กายกรรม (ของสมณะ ท.) เหลา่ นน้ั เป็นธรรมชาติสะอาด ปณุ ฺณา สทุ ฺเธหิ ธมฺเมหิ, ตาทิสา สมณา มม. (ยอ่ มเป็น), อ.วจีกรรม (ของสมณะ ท. เหลา่ นน้ั ) เป็นธรรมชาติ ลาเภน อนุ นฺ โต โลโก อลาเภน จ โอนโต, ไมข่ ่นุ มวั (ย่อมเป็น),อ.มโนกรรม (ของสมณะ ท. เหล่านนั้ ) ลยเาสภนาลาอเนภุ นฺนโตเอกโลฏโฺฐกา, ตาทิสา สมณา มม. เป็นธรรมชาติหมดจดวิเศษดีแลว้ (ย่อมเป็น), อ.สมณะ ท. อยเสน จ โอนโต, ของดิฉนั เป็นผเู้ ชน่ นน้ั (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.สมณะ ท. เหลา่ นน้ั ) ปยสสาํสยาเยสนอนุ นฺ เโอตกฏโฺลฐโาก, ตาทิสา สมณา มม. เป็นผมู้ ีมลทินไปปราศแลว้ เป็นผมู้ ีรศั มีเพียงดงั รศั มีแหง่ สงั ข์- นินทฺ ายาปิ จ โอนโต, และแกว้ มกุ ดา เป็นผูห้ มดจดแลว้ ในภายในและภายนอก สมา นินทฺ าปสํสาส,ุ ตาทิสา สมณา มม. เป็นผูเ้ ต็มแล้ว ด้วยธรรม ท. อนั หมดจดแล้ว (ย่อมเป็น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็นผูเ้ ช่นนน้ั (ย่อมเป็น), อ.โลก ฟขู ึ้นแลว้ เพราะลาภ ดว้ ย ฟบุ ลงแลว้ เพราะความไม่มี- ลาภ ด้วย, (อ.สมณะ ท. เหล่านนั้ ) เป็นผูต้ ง้ั อยู่โดยความ เป็ นหนึ่ง เพราะลาภและความไม่มีลาภ (ย่อมเป็ น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็นผูเ้ ช่นนน้ั (ย่อมเป็น) ฯ อ.โลก ฟขู ึ้นแลว้ เพราะยศ ดว้ ย ฟบุ ลงแลว้ เพราะความไมม่ ียศ ดว้ ย, (อ.สมณะ ท. เหล่านน้ั ) เป็ นผู้ตง้ั อยู่โดยความเป็ นหนึ่ง เพราะยศและความไม่มียศ (ย่อมเป็ น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็ นผู้เช่นนน้ั (ย่อมเป็ น) ฯ อ.โลก ฟูข้ึนแล้ว เพราะการสรรเสริญ ดว้ ย ฟบุ ลงแลว้ แมเ้ พราะการนินทา ดว้ ย, (อ.สมณะ ท. เหลา่ นน้ั ) เป็นผเู้ สมอกนั ในเพราะการนินทา และการสรรเสริญ ท. (ย่อมเป็น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็นผูเ้ ช่นนนั้ (ย่อมเป็น) ฯ 114 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.โลก ฟขู ้ึนแลว้ เพราะความสขุ ดว้ ย ฟบุ ลงแลว้ สเุ ขน อนุ นฺ โต โลโก ทกุ ฺเขนาปิ จ โอนโต, แมเ้ พราะความทกุ ข์ ดว้ ย, (อ.สมณะ ท.) เหล่านน้ั อกมฺปา สขุ ทกุ ฺเขส,ุ ตาทิสา สมณา มมาติ เป็นผูไ้ ม่มีความหวน่ั ไหว ในเพราะความสขุ และ เอวมาทีหิ วจเนหิ สสฺสํุ โตเสส.ิ ความทกุ ข์ ท. (ย่อมเป็น), อ.สมณะ ท. ของดิฉนั เป็นผูเ้ ช่นนนั้ (ย่อมเป็น) ดงั นีเ้ ป็นตน้ ฯ ครัง้ นนั้ (อ.แมผ่ วั ) กลา่ วแล้ว (กะนางจฬู สภุ ทั ทา) นนั้ วา่ อถ นํ “สกฺกา ตว สมเณ อมหฺ ากํปิ ทสฺเสตนุ ฺติ (อนั เธอ) อาจ เพื่ออนั แสดง ซง่ึ สมณะ ท. ของเธอ แม้แก่เรา ท. วตฺวา, “สกฺกาติ วตุ ฺเต, “เตนหิ ยถา มยํ เต ปสฺสาม; หรือ ดงั นี ้(ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ (อนั ดฉิ นั ) อาจ ดงั นี ้(อนั นางจฬู สภุ ทั ทา) ตถา กโรหีติ [อาห]. สา “สาธตู ิ พทุ ฺธปปฺ มขุ สฺส กลา่ วแล้ว, (กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.เรา ท.) จะเหน็ ซงึ่ สมณะ ท. ภิกฺขสุ งฺฆสฺส มหาทานํ สชฺเชตฺวา อปุ ริปาสาทตเล เหลา่ นนั้ โดยประการใด; (อ.เธอ) จงกระท�ำ โดยประการนนั้ เถิด ฐพตทุ วฺ ฺธาคเเุ ชณตวนาอภามิวชขุ ีฺชิตสฺวกากฺ จจฺ คํ ปนญฺธวจฺ าปสตปฏิ ปุ ฺฐผฺเิ ตธนเู ปวหนิ ทฺ ติ ปวฺ ชูาํ ดงั นี ้ ฯ อ.นางจฬู สภุ ทั ทานนั้ (รับพร้อมแล้ว) วา่ อ.ดีละ ดงั นี ้ จัดแจงแล้ว ซึ่งทานใหญ่ แก่หมู่แห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้า กตฺวา “ภนฺเต สวฺ าตนาย พทุ ฺธปปฺ มขุ ํ ภิกฺขสุ งฺฆํ เป็ นประมุข ยืนแล้ว ท่ีพืน้ ในเบือ้ งบน แห่งปราสาท นิมนฺเตมิ, อิมินา เม สญฺญาเณน สตฺถา เป็ นผู้มีหน้าเฉพาะต่อพระเชตวัน (เป็ น) ถวายบังคมแล้ว นมธมิมฏุ ฺมฺนฐโิํฺตยเติ ทอภเสาากนวาํฺตเสสชฺสาขนิปสาิ .ตตปตฺูถิโปุุ นผฺ วาตอนฺวปุ ิาคริ นสมฺตมุาฺวลนาาปจวปุ ตติ ผฺ ปุาานรนิสํ ํ มหชอตุ ฺเฏฺวฌฺาฐ ด้วยอนั ตงั้ ไว้เฉพาะแหง่ องค์ ๕ โดยเคารพ นกึ ถงึ แล้ว ซง่ึ พระพทุ ธ สอฏวฺ ฺาฐตสํ น.ุ าตยสฺมสึตขฺถเาณรํ อนาถปิ ณฺฑิโกปิ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา คณุ ท. กระท�ำแล้ว ซง่ึ การบชู า ด้วยของหอมและเคร่ืองอบ นิมนฺเตส.ิ และดอกไม้และธปู ท. กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มนมิ นต์ ซง่ึ หมแู่ หง่ ภกิ ษุ มพี ระพทุ ธเจ้าเป็นประมขุ เพ่ืออนั ฉนั ในวนั พรุ่ง, อ.พระศาสดา ขอจงทรงทราบ ซง่ึ ความที่ (แหง่ พระองค)์ เป็นผู้ (อนั หมอ่ มฉนั ) นมิ นตแ์ ล้ว ด้วยสญั ญาณนี ้ ดงั นี ้ ซดั ไปแล้ว ซง่ึ ก�ำ ท. ๘ แหง่ ดอกมะลิ ท. ในอากาศ ฯ อ.ดอกไม้ ท. ไปแล้ว เป็นเพดานอนั เป็นวกิ ารแหง่ ดอกไม้ เป็น ได้ตงั้ อยแู่ ล้ว ในเบือ้ งบน แหง่ พระศาสดา ผ้ทู รงแสดงอยู่ ซงึ่ ธรรม ในทา่ มกลาง แหง่ บริษัท ๔ ฯ ในขณะ นนั้ แม้ อ.เศรษฐีช่ือวา่ อนาถบณิ ฑิกะ ฟังแล้ว ซงึ่ ธรรมกถา ทลู นิมนต์แล้ว ซงึ่ พระศาสดา เพื่ออนั เสวย ในวนั รุ่งขนึ ้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนคฤหบดี อ.ภตั ร เพ่ืออนั ฉนั สตฺถา “อธิวตุ ฺถํ มยา คหปติ สฺวาตนาย ในวนั พรุ่ง อนั อาตมา ให้อยทู่ บั แล้ว ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ภตฺตนฺติ วตฺวา, “ภนฺเต มยา ปเุ รตรํ อาคโต นตฺถิ, ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.บคุ คล) ผ้มู าแล้ว กอ่ นกวา่ กวา่ ข้าพระองค์ กสสฺ นุ โข โว อธิวตุ ฺถนฺติ วตุ ฺเต, “จฬู สภุ ทฺทาย ยอ่ มไมม่ ี, (อ.ภตั ร) ของใคร หนอ แล อนั พระองค์ ท. ทรงให้อยู่ คหปติ นิมนฺตโิ ตติ วตฺวา, “นนุ ภนฺเต สภุ ทฺทา ทเู ร ทบั แล้ว ดงั นี ้ (อนั เศรษฐีชื่อวา่ อนาถบณิ ฑิกะ) กราบทลู แล้ว, วสติ อิโต วีสตโิ ยชนสตมตฺถเกติ วตุ ฺเต, “อาม คหปติ, ตรัสแล้ววา่ ดกู ่อนคฤหบดี (อ.อาตมา) เป็นผ้อู นั นางจฬู สภุ ทั ทา ทเู ร วสนฺตาปิ หิ สปปฺ รุ ิสา อภิมเุ ข ติ า วิย ปกาเสนฺตีติ นิมนต์แล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ วตฺวา อิมํ คาถมาห อ.นางจฬู สภุ ทั ทา ยอ่ มอยู่ ในที่ไกล ในที่สดุ แหง่ ร้อยแหง่ โยชน์ ๒๐ (แตท่ ่ี) นี ้ มิใชห่ รือ ดงั นี ้ (อนั เศรษฐีชื่อวา่ อนาถบณิ ฑิกะ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนคฤหบดี เออ (อ.อยา่ งนนั้ ) ก็ อ.สตั บรุ ุษ ท. แม้อยอู่ ยู่ ในทไี่ กล ยอ่ มปรากฏ ราวกะวา่ ดำ� รงอยแู่ ล้ว ในทตี่ อ่ หน้า ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 115 www.kalyanamitra.org
อ.สตั บรุ ุษ ท. (แมด้ �ำรงอยู่แลว้ ) ในทีไ่ กล ย่อมปรากฏ, “ทูเร สนโฺ ต ปกาเสนตฺ ิ, หิมวนโฺ ตว ปพพฺ โต; เพยี งดงั อ.ภเู ขา ชือ่ วา่ หิมพานต์ (ปรากฏอย)ู่ , อ.อสตั บรุ ษุ ท. อสนเฺ ตตฺถ น ทิสฺสนตฺ ิ, รตฺตึ ขิตฺตา ยถา สราติ. (แมน้ ง่ั แลว้ ) (ในที)่ นี้ ย่อมไม่ปรากฏ, ราวกะ อ.ลูกศร ท. อนั บคุ คล ยิงไปแลว้ ในกลางคืน (ไมป่ รากฏอย)ู่ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.นกั ปราชญ์ ท.) มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น ชื่อวา่ ตตฺถ “สนฺโตต:ิ ราคาทีนํ สนฺตตาย พทุ ฺธาทโย เป็นสตั บรุ ุษ เพราะความท่ี (แหง่ กิเลส ท.) มีราคะเป็นต้น เป็น สนฺโต นาม. อิธ ปน ปพุ ฺพพทุ ฺเธสุ กตาธิการา กเิ ลสสงบแล้ว (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อสุ สฺ นฺนกสุ ลมลู า ภาวติ ภาวนา สตฺตา “สนฺโตติ สนฺโต ดงั นี ้ ฯ แตว่ า่ อ.สตั ว์ ท. ผ้มู ีอธิการอนั กระท�ำแล้ว อธิปเฺ ปตา. ปกาเสนฺตตี :ิ ทเู ร ติ าปิ พทุ ฺธานํ ในพระพทุ ธเจ้าในกาลกอ่ น ท. ผ้มู กี ศุ ลมลู อนั หนาขนึ ้ แล้ว ผ้มู ภี าวนา ญาณปถํ อาคจฺฉนฺตา ปากฏา โหนฺต.ิ อนั ให้เจริญแล้ว (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ทรงประสงค์เอาแล้ว วา่ อ.สตั บรุ ุษ ท. ดงั นี ้(ในพระคาถา) นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.สตั บรุ ุษ ท.) แม้ด�ำรงอยแู่ ล้ว ในที่ไกล เม่ือมา สคู่ ลองแหง่ พระญาณ ของพระพทุ ธเจ้า ท. ชอื่ วา่ เป็นผ้ปู รากฏแล้ว ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปกาเสนฺติ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ เหมือนอยา่ งวา่ อ.ภเู ขาช่ือวา่ หิมพานต์ อนั กว้าง หมิ วนฺโตวาต:ิ ยถา หิ ตโิ ยชนสหสสฺ วิตฺถโต โดยพนั แหง่ โยชน์ ๓ อนั สงู โดยร้อยแหง่ โยชน์ ๕ อนั ประดบั แล้ว ปญฺจโยชนสตพุ ฺเพโธ จตรุ าสีตยิ า กฏู สหสเฺ สหิ ด้วยพนั แหง่ ยอด ท. ๘๔ ยอ่ มปรากฏ (แก่ชน ท.) แม้ผ้ยู ืนแล้ว ปฏิมณฺฑิโต หิมวนฺตปพฺพโต ทเู ร ติ านํปิ ในทไี่ กล ราวกะวา่ ตงั้ อยแู่ ล้ว ในทตี่ อ่ หน้า ฉนั ใด, (อ.สตั บรุ ุษ ท.) อภิมเุ ข โิ ต วยิ ปกาเสต;ิ เอวํ ปกาเสนฺตีติ อตฺโถ. ยอ่ มปรากฏ ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ หมิ วนฺโตว ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อสนฺเตตถฺ าต:ิ ชีวติ ทติฏฺถฺฐาธยมฺมคปรพุกฺพาชิตาวิตณิ พาฺณลปปรคุ โฺคลลกาา (อ.อรรถ) วา่ อ.บคุ คลผ้พู าล ท. ผ้หู นกั ในธรรมอนั สตั ว์เหน็ แล้ว อามิสจกฺขกุ า ผ้มู ีโลกอื่นอนั ข้ามพ้นแล้ว ผ้เู หน็ แก่อามิส ผ้บู วชแล้ว เพื่อประโยชน์ อสนฺโต นาม, เต เอตฺถ พทุ ฺธานํ ทกฺขิณสสฺ แก่อนั เป็นอยู่ ช่ือวา่ เป็นอสตั บรุ ุษ (ยอ่ มเป็น), (อ.อสตั บรุ ุษ ท.) ชานมุ ณฺฑลสสฺ สนฺตเิ ก นิสนิ ฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ น เหลา่ นนั้ แม้นง่ั แล้ว (ในท่ี) นี ้ คือวา่ ในที่ใกล้ แหง่ มณฑลแหง่ ปญญฺ ายนตฺ .ิ รตตฺ ึ ขติ ตฺ าต:ิ รตตฺ ึ จตรุ งคฺ สมนนฺ าคเต พระชานุ เบือ้ งขวา ของพระพทุ ธเจ้า ท. ยอ่ มไมป่ รากฏ คือวา่ อนธฺ กาเร ขติ ตฺ า สรา วยิ . ตถารูปสสฺ อปุ นสิ สฺ ยภตู สสฺ ยอ่ มไมท่ ราบชดั (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อสนฺเตตถฺ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ปพุ ฺพเหตโุ น อภาเวน น ปญฺญายนฺตีติ อตฺโถ. ราวกะ อ.ลกู ศร ท. อนั (อนั บคุ คล) ยิงไปแล้ว ในกลางคืน คือวา่ ในที่มืด อนั มาตามพร้อมแล้วด้วยองค์ ๔ (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสอง แหง่ บท) วา่ รตตฺ ึ ขติ ตฺ า ดงั นี ้ ฯ อ.อธิบาย วา่ (อ.สตั บรุ ุษ ท. เหลา่ นนั้ ) ช่ือวา่ ยอ่ มไมท่ ราบชดั เพราะความไมม่ ี แหง่ เหตใุ นก่อน อนั เป็นอปุ นิสยั เป็นแล้ว อนั มีรูปอยา่ งนนั้ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึส.ุ ซง่ึ อริยผล ท. มีโสดาปัตตผิ ล เป็นต้น ฯ แม้ อ.ท้าวสกั กะ ผ้พู ระ- สกฺโกปิ โข เทวราชา “สตฺถารา จฬู สภุ ทฺทาย นิมนฺตนํ ราชาแหง่ เทพ แล ทรงทราบแล้ว วา่ อ.อนั นิมนต์ แหง่ นาง อธิวาสติ นฺติ ญตฺวา วสิ สฺ กมมฺ เทวปตุ ฺตํ อาณาเปสิ จฬู สภุ ทั ทา อนั พระศาสดา ทรงให้อยทู่ บั แล้ว ดงั นี ้ ทรงยงั เทพบตุ ร “ปญฺจ กฏู าคารสตานิ นิมมฺ ินิตฺวา เสวฺ พทุ ฺธปปฺ มขุ ํ ชอื่ วา่ วษิ ณกุ รรม ให้รู้ทว่ั แล้ว (ด้วยพระดำ� รัส) วา่ อ.ทา่ น เนรมติ แล้ว ภิกฺขสุ งฺฆํ อคุ ฺคนครํ เนหีต.ิ ซ่ึงร้ อยแห่งเรือนอันประกอบแล้วด้วยยอด ท. ๕ จงน�ำไป ซง่ึ หมแู่ หง่ ภิกษุ มีพระพทุ ธเจ้าเป็นประมขุ สเู่ มืองชื่อวา่ อคุ คะ ในวนั พรุ่ง เถิด ดงั นี ้ฯ ในวนั รุ่งขนึ ้ (อ.เทพบตุ ร) นนั้ เนรมิตแล้ว ซงึ่ เรือนอนั ประกอบ โส ปุนทิวเส ปญฺจสตานิ กูฏาคารานิ แล้วด้วยยอด ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ ได้ยืนแล้ว ใกล้ประตแู หง่ วนิสิมทุมฺ ฺธินขิตีณฺวาาสเวชาตนวํเนยทวฺวปาเญร ฺจอฏสฺฐตาาสน.ิ ิ สตฺถา อจุ ฺจินิตฺวา พระเชตวนั ฯ อ.พระศาสดา ทรงเลอื กแล้ว ทรงพาเอาแล้ว อาทาย สปริวาโร ซงึ่ ร้อย ท. ๕ แหง่ พระขีณาสพผ้หู มดจดวิเศษแล้ว ท. นนั่ เทียว กฏู าคาเรสุ นิสีทิตฺวา อคุ ฺคนครํ อคมาส.ิ ผ้เู ป็นไปกบั ด้วยบริวาร ประทบั นง่ั แล้ว บนเรือนอนั ประกอบแล้ว ด้วยยอด ท. ได้เสดจ็ ไปแล้ว สเู่ มืองชื่อวา่ อคุ คะ ฯ 116 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
แม้อ.เศรษฐีชื่อวา่ อคุ คะ ผ้เู ป็นไปกบั ด้วยบริวาร แลดอู ยู่ ตถาคอตคุ สฺคสฺ เสอฏาฺฐคปี มิ นมสคปคฺริํวโาอโโรลเกสนภุ โฺ ตทฺทสาตยถฺ ารทํ ินมฺนหนนเเฺ ยตนน ซง่ึ หนทางเป็นท่ีเสดจ็ มา แหง่ พระตถาคตเจ้า ตามนยั อนั นาง- จฬู สภุ ทั ทา ให้แล้ว เหน็ แล้ว ซง่ึ พระศาสดา ผ้เู สดจ็ มาอยู่ สริ ิวภิ เวน อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนมนโส หตุ ฺวา ด้วยสมบตั คิ ือพระสริ ิ อนั ใหญ่ เป็นผ้มู ีใจเลือ่ มใสแล้ว เป็น มาลาทีหิ สกฺการํ กโรนฺโต สมปฺ ฏิจฺฉิตฺวา วนฺทิตฺวา กระทำ� อยู่ ซงึ่ สกั การะ (ด้วยวตั ถุ ท.) มรี ะเบยี บเป็นต้น รบั พร้อมแล้ว มหาทานํ ทตฺวา ปนุ ปปฺ นุ ํ นิมนฺเตตฺวา สตฺตาหํ ถวายบงั คมแล้ว ถวายแล้ว ซงึ่ ทานใหญ่ ทลู นิมนต์แล้ว มหาทานํ อทาส.ิ บอ่ ยๆ ได้ถวายแล้ว ซงึ่ ทานใหญ่ ตลอดวนั ๗ ฯ แม้ อ.พระศาสดา ทรงก�ำหนดแล้ว (ซงึ่ ธรรม) อนั เป็นที่สบาย สตฺถาปิ สสฺ สปปฺ ายํ สลลฺ กฺเขตฺวา ธมมฺ ํ เทเสส.ิ ทรงแสดงแล้ว ซง่ึ ธรรม (แกเ่ ศรษฐี) นนั้ ฯ อ.อนั รู้ตลอดเฉพาะซงึ่ ธรรม ตํ อาทึ กตวฺ า จตรุ าสตี ยิ า ปาณสหสสฺ านํ ธมมฺ าภสิ มโย ได้มีแล้ว แก่พนั แหง่ สตั ว์มีปราณ ท. ๘๔ กระท�ำ (ซงึ่ เศรษฐี) นนั้ อโหส.ิ สตฺถา สภุ ทฺทาย อนคุ ฺคหณตฺถํ “อิเธว ให้เป็นต้น ฯ อ.พระศาสดา ทรงยงั พระเถระช่ือวา่ อนรุ ุทธ์ ให้กลบั โหหีติ อนรุ ุทฺธตฺเถรํ นิวตฺตาเปตฺวา สาวตฺถิเมว แล้ว (ด้วยพระด�ำรัส) วา่ อ.เธอ จงมี (ในที่) นีน้ น่ั เทียว ดงั นี ้เพื่ออนั อคมาส.ิ ตโต ปฏฺฐาย ตํ นครํ สทฺธํ ปสนฺนํ อโหสตี .ิ ทรงอนเุ คราะห์ ซงึ่ นางจฬู สภุ ทั ทา ได้เสดจ็ ไปแล้ว สเู่ มืองสาวตั ถี นน่ั เทียว ฯ อ.เมือง นนั้ เป็นเมืองมีศรัทธา เป็นเมืองเลอ่ื มใสแล้ว ได้เป็นแล้ว จ�ำเดมิ แตก่ าลนนั้ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งนางจฬู สุภทั ทา จฬู สุภททฺ าวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๙. อ.เร่(ือองันแขห้า่งพพเรจะ้าเถจระะกชล่ือ่าวว่า)เฯอกวหิ ารี ๙. เอกวหิ าริตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “เอกาสนนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ชื่อซง่ึ พระเถระช่ือว่าเอกวิหารี ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา วิหรนฺโต เอกวิหาริตฺเถรํ นาม อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ เอกาสนํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.พระเถระ นนั้ เป็นผ้ปู รากฏแล้ว ในระหวา่ งแหง่ โส กิร เถโร “เอโกว นิสที ติ เอโกว จงฺกมติ เอโกว บริษัท ๔ วา่ (อ.พระเถระ) ผ้เู ดียวเทียว ยอ่ มนง่ั (อ.พระเถระ) “ตภฏิ นฺฐฺเตตีติเอจวตรปูุโปริสนนาฺตมเรายปํ เาถกโรโฏติ อโหส.ิ อถ นํ ภิกฺขู ผ้เู ดียวเทียว ยอ่ มจงกรม (อ.พระเถระ) ผ้เู ดียวเทียว ยอ่ มยืน ดงั นี ้ ตถาคตสฺส อาโรเจสํ.ุ ได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุ ท. กราบทลู แล้ว (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ สตฺถา “สาธุ สาธตู ิ สาธกุ ารํ ทตฺวา “ภิกฺขนุ า นาม แกพ่ ระตถาคตเจ้า วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ อ.พระเถระนี ้ ชอ่ื เป็นผู้ ววิ ติ ฺเตน ภวติ พฺพนฺติ วิเวเก อานิสํสํ กเถตฺวา อิมํ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ประทานแล้ว คาถมาห ซง่ึ สาธกุ าร วา่ อ.ดลี ะๆ ดงั นี ้ ตรสั แล้ว วา่ ชอื่ อนั ภกิ ษุ เป็นผ้สู งดั แล้ว พงึ เป็น ดงั นี ้ตรสั แล้ว ซง่ึ อานสิ งส์ ในวเิ วก ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.ภิกษุ พึงคบ) ซ่ึงอนั นงั่ แห่งภิกษุรูปเดียว “เอกาสนํ เอกเสยฺยํ เอโก จรมตนทฺ ิโต ซึ่งอันนอนแห่งภิกษุรูปเดียว (อ.ภิกษุ) เอโก ทมยมตฺตานํ วนนเฺ ต รมิโต สิยาติ. เป็นผูไ้ ม่เกียจคร้านแลว้ (เป็น) รูปเดียว(เทียว) เทีย่ วไปอยู่ เป็นผูเ้ ดียว (เป็น) ฝึกอยู่ ซ่ึงตน เป็นผูย้ ินดีแลว้ ในทีส่ ดุ แห่งป่า พึงเป็น ดงั นี้ ฯ ผลติ ส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 117 www.kalyanamitra.org
อ.อรรถ วา่ อ.อนั นง่ั (แหง่ ภิกษุ) ผู้ ไมล่ ะ ซง่ึ กมั มฏั ฐาน ตตฺถ “เอกาสนํ เอกเสยยฺ นฺต:ิ ภิกฺขสุ หสสฺ อนั เป็นมลู นงั่ แล้ว ด้วยอนั กระทำ� ไว้ในใจ นนั้ นนั่ เทยี ว แม้ในทา่ มกลาง มชฺเฌปิ มนลู กิสมินมฺฺนฏสฺฐฺสานํ อวชิ หิตฺวา เตเนว แหง่ พนั แหง่ ภิกษุ ช่ือวา่ เป็นการนง่ั แหง่ ภิกษุรูปเดียว (ยอ่ มเป็น) ฯ มนสิกาเรน อาสนํ เอกาสนํ นาม. สว่ นวา่ อ.อนั นอน แหง่ ภิกษุ ผู้ เข้าไปตงั้ ไว้แล้ว ซง่ึ สติ นอนแล้ว โลหปาสาทสทิเสปิ จ ปาสาเท ภิกฺขุสหสฺสมชฺเฌปิ ด้วยอนั กระท�ำไว้ในใจซงึ่ กมั มฏั ฐานอนั เป็นมลู โดยข้าง เบือ้ งขวา ปญฺญตฺเต วิจิตฺรปจฺจตฺถรณูปธาเน มหารเห บนที่เป็นที่นอน อนั ควรแก่คา่ มาก อนั เป็นท่ีรองรับมน่ั ซงึ่ ผ้าเป็น สเมสยูลยเกฺยนมาฺมฏสเฺ ฐอตากึ นเสมอยนุปฺยสฏาิกฺ ฐาเปเนรตานมฺวา. ทกฺขิเณน ปสฺเสน เคร่ืองปลู าดอนั งดงาม อนั (อนั บคุ คล) ปลู าดแล้ว ในปราสาท แม้อนั นิปนฺนสฺส ภิกฺขุโน เชน่ กบั ด้วยโลหะปราสาท แม้ในทา่ มกลางแหง่ พนั แหง่ ภิกษุ ชื่อวา่ เอวรูปํ เอกาสนญฺจ เป็นการนอนแหง่ ภิกษุรูปเดียว (ยอ่ มเป็น), อ.ภิกษุ พงึ คบ ซง่ึ อนั นงั่ เอกเสยฺยญฺจ ภเชถาติ อตฺโถ. แหง่ ภิกษุรูปเดียว ด้วย ซงึ่ อนั นอนแหง่ ภิกษุรูปเดียว ด้วย มีอยา่ งนี ้ เป็นรูป ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ เอกาสนํ เอกเสยยฺ ํ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ เป็นผ้ไู มจ่ มลงโดยอาการอนั บณั ฑิตเกลยี ดแล้ว อตนฺทโิ ตต:ิ ชงฺฆพลํ นิสสฺ าย ชีวิตกปปฺ เนน ด้วยอนั อาศยั แล้ว ซง่ึ ก�ำลงั แหง่ แข้ง สำ� เร็จซง่ึ ชีวิต เป็น รูปเดียว อกุสีโต หุตฺวา สพฺพิริยาปเถสุ เอโกว จรนฺโตติ เทียว เท่ียวไปอยู่ ในอิริยาบถทงั้ ปวง ท. ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ กอเอตมกฺฺโมโถกฏ.ฺวฐาเนอํหโกุตอฺวนาทุยมุญยอฺชมติตตฺตฺวฺตาานานํ นมทฺคตเฺคิ:มผนรลฺโตาตฺตธติฏิคิ ฺ ฐมานอนวตาเฺโสทถีนส.ุ อตนฺทโิ ต ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ เป็นผ้เู ดียวเทียว ด้วยอ�ำนาจแหง่ อนั ตามประกอบแล้ว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน (ในท่ี ท.) มีท่ีเป็นที่พกั ในเวลา กลางคืนเป็นต้น บรรลซุ ง่ึ มรรคและผล เป็น ฝึกอยู่ ซงึ่ ตน ดงั นี ้ วนนฺเต รมิโต สิยาติ: เอวมตฺตานํ ทเมนฺโต (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ เอโก ทมยมตตฺ านํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ อิตฺถีปรุ ิสสทฺทาทีหิ ววิ ิตฺตวนสณฺเฑเยว อภิรโต (อ.ภิกษุ) เมื่อฝึก ซงึ่ ตน อยา่ งนี ้ เป็นผ้ยู ินดีย่ิงแล้ว ในชฏั แหง่ ป่ า ภเวยฺย. น หิ สกฺกา อากิณฺณวหิ ารินา เอวํ อตฺตานํ อนั สงดั แล้ว (จากเสยี ง ท.) มเี สยี งของหญงิ และชายเป็นต้น นน่ั เทยี ว ทเมตนุ ฺติ อตฺโถ. พงึ เป็น (ดงั นี ้แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ วนนเฺ ต รมโิ ต สยิ า ดงั นี ้ฯ อ.อธิบาย วา่ เพราะวา่ (อนั ภิกษุ) ผ้มู ีอนั อยเู่ กล่อื นกลน่ แล้ว เป็นปกติ ไมอ่ าจ เพ่ืออนั ฝึก ซง่ึ ตน อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ .ุ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ฯ อ.มหาชน ยอ่ มปรารถนา ตโต ปฏฺฐาย มหาชโน เอกวหิ ารเมว ปตฺเถตีต.ิ ซง่ึ อนั อยแู่ หง่ ภิกษุรูปเดียวนนั่ เทียว จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพ(จรบะเแถลร้วะ)ชฯ่ือว่าเอกวหิ ารี เอกวหิ าริตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.กอถันาเบปณั็ นฑเคติ รก่ือำ� งหพนรจดรบณแแลนล้วา้วดซ้วฯ่งึ ยเนวรือ้ รคควเาบมด็ แเหต่งลว็ดรรค ปกณิ ฺณกวคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อ(.จวบรรแคลท้ว่ี)๑ฯ๙ เอกวีสตโิ ม วคโฺ ค. 118 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๒แ๒ห. ่งอว.กรรถค(าออเปันัน็ นขบ้าเณัคพรฑเ่ือจติ ้างกพจำ� ระหรกนณลด่นาแวาล)ซ้วฯ่งึ ดเน้วือย้ คนวรากม ๒๒. นิรยวคคฺ วณฺณนา ๑. อ.เร่ืองแห่งปริพาชกิ าช่ือว่าสุนทรี ๑. สุนฺทรีปริพพฺ าชกิ าวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อภตู วาทตี ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซึ่งปริพาชิกาช่ือว่าสุนทรี ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วหิ รนฺโต สนุ ฺทรีปริพฺพาชิกํ อารพฺภ กเถส.ิ อภตู วาที ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง มาแล้ว ในอทุ าน นน่ั เทียว โดยพิสดาร วา่ ก็ โดยสมยั “เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต นนั้ แล อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า เป็นผ้อู นั มหาชนสกั การะแล้ว มานิโต ปชู ิโตติ วตฺถุ วติ ฺถารโต อทุ าเน อาคตเมว. เป็นผ้อู นั มหาชนกระท�ำให้หนกั แล้ว เป็นผ้อู นั มหาชนนบั ถือแล้ว เป็นผ้อู นั มหาชนบชู าแล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ สว่ นวา่ อ.ความสงั เขป (ในเร่ือง) นี ้ นี:้ ได้ยินวา่ ครัน้ เม่ือลาภ อยํ ปเนตฺถ สงฺเขโป: ภควโต กิร ภิกฺขสุ งฺฆสสฺ และสกั การะ อนั เชน่ กบั ด้วยห้วงน�ำ้ ใหญ่ แหง่ มหานที ท. ๕ จ ปญฺจนฺนํ มหานทีนํ มโหฆสทิเส ลาภสกฺกาเร เกิดขนึ ้ แล้ว แก่พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ด้วย แก่หมแู่ หง่ ภิกษุ ด้วย, อปุ ปฺ นฺเน, หตลาภสกฺการา อญฺญตติ ฺถิยา สรุ ิยคุ ฺ- อ.อญั ญเดียรถีย์ ท. มีลาภและสกั การะอนั เสื่อมแล้ว เป็นผู้ คมนกาเล ขชฺโชปนกา วิย นิปปฺ ภา หตุ ฺวา เอกโต มีรัศมีออกแล้ว เป็น ราวกะ อ.ห่ิงห้อย ท. ในกาลเป็นท่ีขนึ ้ ไป สนฺนิปตติ ฺวา มนฺตยสึ ุ “มยํ สมณสสฺ โคตมสฺส แหง่ พระอาทิตย์ ประชมุ กนั แล้ว โดยความเป็นอนั เดียวกนั อปุ ปฺ นฺนกาลโต ปชฏาฺนฐาายต:ิ หตลาภสกฺการา, น โน ปรึกษากนั แล้ว วา่ อ.เรา ท. เป็นผ้มู ีลาภและสกั การะอนั เสือ่ มแล้ว โกจิ อตฺถิภาวํปิ เกน นุ โข สทฺธึ เอกโต จ�ำเดมิ แตก่ าล แหง่ พระสมณะ ผ้โู คดม เสดจ็ อบุ ตั แิ ล้ว (ยอ่ มเป็น), หตุ ฺวา สมณสสฺ โคตมสฺส อวณฺณํ อปุ ปฺ าเทตฺวา อ.ใครๆ ยอ่ มไมร่ ู้ แม้ซง่ึ ความท่ี แหง่ เรา ท. มีอย,ู่ (อ.เรา ท.) เป็น ลาภสกฺการมสฺส อนฺตรธาเปยฺยามาต.ิ โดยความเป็นอนั เดียวกนั กบั ด้วยใคร หนอ แล ยงั โทษอนั บคุ คล ไมพ่ งึ พรรณนา ให้เกิดขนึ ้ แล้ว แก่พระสมณะ ผ้โู คดม ยงั ลาภและ สกั การะ (ของพระสมณะผ้โู คดม) นนั้ พงึ ให้สญู หายไป ดงั นี ้ ฯ ครัง้ นนั้ (อ.ความคดิ ) นน่ั วา่ (อ.เรา ท.) เป็น โดยความเป็น อถ เนสํ เอตทโหสิ “สนุ ฺทริยา สทฺธึ เอกโต อนั เดยี วกนั กบั ด้วยนางสนุ ทรี จกั อาจ ดงั นี ้ ได้มแี ล้ว แกเ่ ดยี รถยี ์ ท. หตุ ฺวา สกฺกณุ ิสฺสามาต.ิ เต เอกทิวสํ สนุ ฺทรึ เหลา่ นนั้ ฯ ในวนั หนง่ึ (อ.เดียรถีย์ ท.) เหลา่ นนั้ ไมท่ กั ทายแล้ว ตติ ฺถิยารามํ ปวสิ ติ ฺวา วนฺทิตฺวา ติ ํ นาลปึส.ุ สา ซงึ่ นางสนุ ทรี ผู้ เข้าไปแล้ว สอู่ ารามของเดยี รถยี ์ ไหว้แล้ว ยนื แล้ว ฯ ปนุ ปปฺ นุ ํ สมลุ ลฺ ปนฺตีปิ ปฏิวจนํ อลภิตฺวา “อปิ (อ.นางสนุ ทรี) นนั้ แม้เจรจาอยู่ บอ่ ยๆ ไมไ่ ด้แล้ว ซง่ึ ค�ำตอบ อยฺยา เกนจิ วเิ หฐติ าติ ปจุ ฺฉิ. “ภคนิ ิ สมณํ โคตมํ ถามแล้ว วา่ อ.พระผ้เู ป็นเจ้า ท. อนั ใครๆ เบียดเบียนแล้ว บ้างหรือ อมเฺ ห วเิ หเฐตฺวา หตลาภสกฺกาเร กตฺวา วจิ รนฺตํ ดงั นี ้ ฯ (อ.เดียรถีย์ ท. กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนน้องหญิง (อ.เธอ) น ปสฺสสตี .ิ ยอ่ มไมเ่ หน็ ซง่ึ พระสมณะ ผ้โู คดม ผู้ เบียดเบียนแล้ว ซงึ่ เรา ท. เที่ยวกระท�ำอยู่ ให้เป็นผ้มู ีลาภและสกั การะอนั เสื่อมแล้ว หรือ ดงั นี,้ ผลิตสอ่ื การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 119 www.kalyanamitra.org
(อ.นางสนุ ทรี กลา่ วแล้ว) วา่ อ.อนั อนั ดฉิ นั กระทำ� ซง่ึ อะไร (ในเรื่อง) นี ้ “มยา เอตฺถ กึ กาตํุ สวมฏฺณฏตสีตสฺ .ิ “ตฺวํ โข ภคนิ ิ ยอ่ มควร ดงั นี ้ ฯ (อ.เดียรถีย์ ท. กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนน้องหญิง อภิรูปา โสภคฺคปปฺ ตฺตา โคตมสสฺ อยสํ อ.เธอ แล เป็นผ้มู ีรูปงาม เป็นผ้ถู งึ แล้วซง่ึ ความงามอนั เลศิ (เป็น) อาโรเปตฺวา มหาชนํ กถํ คาหาเปตฺวา หตลาภสกฺการํ ยกขนึ ้ แล้ว ซง่ึ โทษมิใชย่ ศ แก่พระสมณะ ผ้โู คดม ยงั มหาชน ให้ถือ กโรหีต.ิ เอาแล้ว ซงึ่ วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว จงกระท�ำ (ซงึ่ พระสมณะ ผ้โู คดม) ให้เป็นผ้มู ีลาภและสกั การะอนั เส่ือมแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.นางสนุ ทรี) นนั้ รับพร้อมแล้ว วา่ อ.ดีละ ดงั นี ้ หลีกไปแล้ว สา “สาธตู ิ สมปฺ ฏิจฺฉิตฺวา ปกฺกนฺตา ตโต ถือเอาแล้ว (ซงึ่ วตั ถุ ท.) มีระเบียบและของหอมและวตั ถเุ ป็นเคร่ือง ปสาฏยฺฐํายมหมาาชลนาคสนฺสฺธวสิเลตปฺถนุ กธปมปฺมฺ รุเทกสฏนกุ ํผลสาตุ ทฺวีนาิ คเหตฺวา ลบู ไล้และการบชู าและผลอนั เผด็ ร้อนเป็นต้น ผ้มู ีหน้าเฉพาะตอ่ นครป-ฺ พระเชตวนั ยอ่ มไป ในกาลเป็นท่ี ฟังแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา ปวสิ นกาเล เชตวนาภิมขุ ี คจฺฉต,ิ “กหํ คจฺฉสีติ ของพระศาสดา เข้าไปสเู่ มือง แหง่ มหาชน ในเวลาเยน็ จ�ำเดมิ เปอฏุ กฺฐคานฺธ“กสฏุมิยณํ วสสสฺ ามโีตคิตวมตสฺวาสฺ สนฺตกิ ํ, อหํ เตน สทฺธึ (แตก่ าล) นนั้ , ผ้อู นั มหาชน ถามแล้ว วา่ (อ.ทา่ น) จะไป (ในท)ี่ ไหน ดงั นี ้ อญฺญตรสมฺ ึ ตติ ฺถิยาราเม กลา่ วแล้ว วา่ (อ.ดฉิ นั จะไป) สสู่ �ำนกั ของพระสมณะ ผ้โู คดม, วสติ ฺวา ปาโตว เชตวนมคฺคํ โอตริตฺวา นคราภิมขุ ี อ.ดฉิ นั ยอ่ มอยู่ ในพระคนั ธกฏุ ีเดียวกนั กบั (ด้วยพระสมณะ คจฺฉต,ิ “สนุ ฺทริ กหํ วคสตติาฺวสาตี ิตปํ ฏุกฺฐิเลาส“รสตมิยเาณรนมโาคเปตตเมฺวนา ผ้โู คดม) นนั้ ดงั นี ้ อยแู่ ล้ว ในอาราม ของเดียรถีย์ แหง่ ใดแหง่ หนง่ึ สทฺธึ เอกคนฺธกฏุ ิยํ ข้ามลงแล้ว สหู่ นทางเป็นทไี่ ปสพู่ ระเชตวนั มหี น้าเฉพาะตอ่ พระนคร อาคตามหฺ ีติ วทต.ิ ยอ่ มไป ในเวลาเช้าเทียว, ผู้ (อนั มหาชน) ถามแล้ว วา่ แนะ่ สนุ ทรี (อ.ทา่ น) เป็นผ้ไู ปแล้ว (ในที่) ไหน ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ ยอ่ มกลา่ ว วา่ (อ.ดฉิ นั ) อยแู่ ล้ว ในพระคนั ธกฏุ ีเดียวกนั กบั ด้วยพระสมณะ ผ้โู คดม (ยงั พระสมณะ ผ้โู คดม) นนั้ ให้ยินดีแล้ว ด้วยความยินดี เพราะกิเลส เป็นผ้มู าแล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ฯ ในลำ� ดบั นนั้ อ.เดยี รถยี ์ ท. ให้แล้ว ซงึ่ กหาปณะ ท. แกน่ กั เลง ท. ตโต ตติ ฺถิยา กตปิ าหจฺจเยน ธตุ ฺตานํ กหาปเณ โดยอนั ลว่ งไปแหง่ วนั เลก็ น้อย กลา่ วแล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) จงไป ทตฺวา “คจฺฉถ, สนุ ฺทรึ มาเรตฺวา สมณสฺส โคตมสสฺ ยงั นางสนุ ทรี ให้ตายแล้ว หมกไว้แล้ว ในระหวา่ งแหง่ หยากเยื่อ คนฺธกฏุ ีสมีเป มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิ ตฺวา เอถาติ แหง่ ระเบียบ ในท่ีใกล้แหง่ พระคนั ธกฎุ ี ของพระสมณะ ผ้โู คดม วทสึ .ุ เต ตถา อกํส.ุ จงมาเถิด ดงั นี ้ฯ (อ.นกั เลง ท.) เหลา่ นนั้ ได้กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ ในลำ� ดบั นนั้ อ.เดียรถีย์ ท. กระท�ำแล้ว ซงึ่ ความโกลาหล วา่ ตโต ตติ ฺถิยา “สนุ ฺทรึ น ปสฺสามาติ โกลาหลํ (อ.เรา ท.) ยอ่ มไมเ่ หน็ ซง่ึ นางสนุ ทรี ดงั นี ้ กราบทลู แล้ว แกพ่ ระราชา กตฺวา รญฺโญ อาโรเจตฺวา “กหํ โว อาสงฺกาติ วตุ ฺตา ผู้ (อนั พระราชา) ตรัสแล้ว วา่ อ.ความสงสยั แหง่ ทา่ น ท. (มีอย)ู่ “อเิ ม ทวิ เส เชตวเน วสต,ิ ตตรฺ สสฺ า ปวตตฺ ึ น ชานามาติ (ในท)ี่ ไหน ดงั นี ้กราบทลู แล้ว วา่ (อ.นางสนุ ทรี) ยอ่ มอยู่ ในพระเชตวนั วตฺวา “เตนหิ คจฺฉถ, นํ วิจินถาติ รญฺญา อนญุ ฺญาตา ตลอดวนั ท. เหลา่ นี,้ (อ.ข้าพระองค์ ท.) ยอ่ มไมร่ ู้ ซง่ึ ความเป็นไป มอตาลฺตาโนกจอวปุ รนฏฺฺตฐาเรเก คเหตฺวา เชตวนํ คนฺตฺวา วิจินนฺตา (แหง่ นางสนุ ทรี) นนั้ (ในพระเชตวนั ) นนั้ ดงั นี ้ ผ้อู นั พระราชา ตํ ทิสวฺ า มญฺจกํ อาโรเปตฺวา ทรงอนญุ าตแล้ว วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ อ.ทา่ น ท. จงไป, อ.ทา่ น ท. นครํ ปวสิ ติ ฺวา “สมณสสฺ โคตมสฺส สาวกา `สตฺถารา จงค้น (ซง่ึ พระเชตวนั ) นนั้ ดงั นี ้ พาเอา ซง่ึ อปุ ัฏฐาก ท. ของตน กตํ ปาปกมมฺ ํ ปฏิจฺฉาเทสฺสามาติ สนุ ฺทรึ มาเรตฺวา ไปแล้ว สพู่ ระเชตวนั ค้นอยู่ เหน็ แล้ว (ซงึ่ นางสนุ ทรี) นนั้ มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปึสตู ิ รญฺโญ อาโรเจส.ํุ ในระหว่างแห่งหยากเยื่อแห่งระเบียบ ยกขึน้ แล้ว ส่เู ตียงน้อย เข้าไปแล้ว สเู่ มือง กราบทลู แล้ว แก่พระราชา วา่ อ.สาวก ท. ของพระสมณะ ผ้โู คดม ยงั นางสนุ ทรี ให้ตายแล้ว หมกไว้แล้ว ในระหวา่ งแหง่ หยากเยื่อแหง่ ระเบียบ (ด้วยความคดิ ) วา่ (อ.เรา ท.) จกั ปกปิ ด ซง่ึ กรรมอนั ลามก อนั อนั พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ดงั นี ้ดงั นี ้ฯ 120 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.พระราชา ตรัสแล้ว วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น ท.) จงไป ราชา “เตนหิ คจฺฉถ นครํ อาหิณฺฑถาติ อาห. จงเท่ียวไป ตลอดเมือง ดงั นี ้ ฯ (อ.เดียรถีย์ ท.) เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว เต นครวีถีสุ “ปสสฺ ถ สมณานํ สกฺยปตุ ฺตยิ านํ (ซง่ึ ค�ำ ท.) มีค�ำวา่ (อ.ทา่ น ท.) จงดู ซงึ่ กรรม ของสมณะ ท. กมมฺ นฺตอิ าทีนิ วตฺวา ปนุ รญฺโญ นิเวสนทฺวารํ ผ้ศู ากยบตุ ร ดงั นีเ้ป็นต้น ในถนนในเมือง ท. ได้ไปแล้ว สปู่ ระตู อคมํส.ุ ราชา สนุ ฺทริยา สสรีราํ วอตาฺถมีวกาสสโิสุ นาเนฐเอปฏตฺฏฺวกาํ แหง่ วงั ของพระราชา อีก ฯ อ.พระราชา (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) อาโรเปตฺวา รกฺขาเปส.ิ ให้ยกขนึ ้ แล้ว ซงึ่ สรีระ ของนางสนุ ทรี สแู่ คร่ ในป่ าช้าเป็นที่ทิง้ อริยสาวเก เสสา เยภยุ ฺเยน “ปสฺสถ สมณานํ ซงึ่ ศพดบิ (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้รกั ษาแล้ว ฯ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมอื ง สกฺยปตุ ฺตยิ านํ กมมฺ นฺตอิ าทีนิ วตฺวา อนฺโตนคเรปิ ช่ือวา่ สาวตั ถีโดยปกติ ผ้เู หลอื เว้น ซงึ่ พระอริยสาวก ท. กลา่ วแล้ว พหินคเรปิ อรญฺเญสปุ ิ ภิกฺขู อกฺโกสนฺตา วิจรนฺต.ิ (ซงึ่ ค�ำ ท.) มีค�ำวา่ (อ.ทา่ น ท.) จงดู ซงึ่ กรรม ของสมณะ ท. ผ้ศู ากยบตุ ร ดงั นีเ้ป็นต้น โดยมาก ยอ่ มเท่ียว ดา่ อยู่ ซงึ่ ภิกษุ ท. แม้ภายในแหง่ เมือง แม้ในภายนอกแหง่ เมือง แม้ในป่ า ท. ฯ อ.ภกิ ษุ ท. กราบทลู แล้ว ซงึ่ ความเป็นไป นนั้ แกพ่ ระตถาคตเจ้า ฯ ภิกฺขู ตํ ปวตฺตึ ตถาคตสสฺ อาโรเจสํ.ุ สตฺถา อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ แม้ อ.เธอ ท. จงโจทตอบ “เตนหิ ตมุ เฺ หปิ เต มนสุ เฺ ส เอวํ ปฏิโจเทถาติ วตฺวา ซงึ่ มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่ อิมํ คาถมาห (อ.บคุ คล) ผูก้ ล่าวซ่ึงค�ำอนั ไม่มีแลว้ โดยปกติ ย่อมเขา้ ถึง “อภูตวาที นิรยํ อุเปติ, ซึ่งนรก, แมห้ รือว่า (อ.บคุ คล) ใด กระท�ำแลว้ (ซึ่งกรรม- โย วาปิ กตฺวา `น กโรมิจฺจาห, อนั ลามก) กล่าวแล้ว ว่า (อ.เรา) ย่อมไม่กระท�ำ อโุ ภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนตฺ ิ (ซ่ึงกรรมอนั ลามก นน่ั ) ดงั นี้, (อ.ชน ท.) เหล่านน้ั นิหีนกมฺมา มนชุ า ปรตฺถาติ. แมท้ งั้ ๒ ผูเ้ กิดแลว้ แต่มนู ผูม้ ีกรรมอนั ทราม ละไปแลว้ (ในโลก) อืน่ เป็นผูเ้ สมอกนั ย่อมเป็น ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ไมเ่ หน็ แล้ว ซงึ่ โทษ (ของบคุ คล) อนื่ เทยี ว กระทำ� แล้ว ตตฺถ “อภตู วาทตี :ิ ปรสสฺ โทสํ อทิสฺวาว ซง่ึ มสุ าวาท กลา่ วตอู่ ยู่ (ซงึ่ บคุ คล)อน่ื ด้วยคำ� อนั เปลา่ (ดงั นี ้ในบท ท.) มสุ าวาทํ กตฺวา ตจุ ฺเฉน ปรํ อพฺภาจิกฺขนฺโต. กตวฺ าต:ิ เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อภตู วาที ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) โย วา ปน ปาปกมมฺ ํ กตฺวา “นาหํ เอตํ กโรมีติ อาห. วา่ ก็ หรือวา่ (อ.บคุ คล) ใด กระทำ� แล้ว ซงึ่ กรรมอนั ลามก กลา่ วแล้ว เปจจฺ สมา ภวนฺตตี :ิ เต อโุ ภปิ ชนา ปรโลกํ คนฺตฺวา วา่ อ.เรา ยอ่ มกระท�ำ (ซง่ึ กรรมอนั ลามก) นนั่ หามิได้ ดงั นี ้ นิรยํ อปุ คมเนน คตยิ า สมา ภวนฺต.ิ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ กตวฺ า ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.ชน ท. เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ๒ ไปแล้ว สโู่ ลกอน่ื ชอื่ วา่ เป็นผ้เู สมอกนั โดยคติ เพราะอนั เข้าถงึ ซงึ่ นรก ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้แหง่ บท ท.) วา่ เปจจฺ สมา ภวนฺติ ดงั นี ้ฯ อ.คตินน่ั เทียว (ของชน ท.) เหลา่ นนั้ (อนั พระพทุ ธญาณ) คตเิ ยว เนสํ ปริจฺฉินฺนา, อายุ ปน เนสํ น ก�ำหนดแล้ว, ส่วนว่า อ.อายุ (ของชน ท.) เหล่านัน้ (อนั พระ ปริจฺฉินฺนํ; พหํุ หิ ปาปกมมฺ ํ กตฺวา จิรํ นิรเย ปจฺจนฺต,ิ พทุ ธญาณ) ไมก่ �ำหนดแล้ว, เพราะวา่ (อ.ชน ท.) กระท�ำแล้ว ปริตฺตํ กตฺวา อปปฺ มตฺตกเมว กาล:ํ ยสมฺ า ปน เตสํ ซงึ่ กรรมอนั ลามก อนั มาก ยอ่ มไหม้ ในนรก สนิ ้ กาลนาน, (อ.ชน ท.) อภุ ินฺนํปิ ลามกเมว กมมฺ ํ, เตน วตุ ฺตํ “นิหีนกมมฺ า กระท�ำแล้ว (ซง่ึ กรรมอนั ลามก) อนั นิดหนอ่ ย (ยอ่ มไหม้ ในนรก) มนชุ า ปรตฺถาต.ิ ปรตฺถาติ ปทสฺส ปน ปรโต สนิ ้ กาล มีประมาณน้อยนน่ั เทียว, ก็ อ.กรรม (ของชน ท.) เหลา่ นนั้ เปจฺจปเทน สมพฺ นฺโธ. เปจฺจ ปรตฺถ อิโต คนฺตฺวา แม้ทงั้ ๒ เป็นกรรมลามกนน่ั เทยี ว (ยอ่ มเป็น) เหตใุ ด, (เพราะเหต)ุ นนั้ เต นิหีนกมมฺ า ปรโลเก สมา ภวนฺตีติ อตฺโถ. (อ.พระด�ำรัส) วา่ นิหีนกมมฺ า มนชุ า ปรตฺถ ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู ี พระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ฯ ก็ อ.อนั สมั พนั ธ์ ซงึ่ บท วา่ ปรตฺถ ดงั นี ้ ด้วยบท วา่ เปจฺจ ข้างหน้า (อนั บณั ฑิต พงึ กระท�ำ), อ.อธิบาย วา่ (อ.ชน ท.) ผ้มู ีกรรมอนั ทราม เหลา่ นนั้ ละไปแล้ว ในโลกอ่ืน คือวา่ ไปแล้ว จากโลกนี ้ เป็นผ้เู สมอกนั ในโลกอ่ืน ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 121 www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.พระราชา ทรงสง่ ไปแล้ว ซงึ่ บรุ ุษ ท. (ด้วยพระด�ำรัส) วา่ ราชา “สนุ ฺทริยา อญฺเญหิ มาริตภาวํ ชานาถาติ อ.เจ้า ท. จงรู้ ซงึ่ ความที่ แหง่ นางสนุ ทรี เป็นผู้ (อนั ชน ท.) เหลา่ อ่ืน ปรุ ิเส อยุ ฺโยเชส.ิ อถ เต ธตุ ฺตา เตหิ กหาปเณหิ สรุ ํ ให้ตายแล้ว ดงั นี ้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ ดม่ื อยู่ ซง่ึ สรุ า ปิ วนฺตา อญฺญมญฺญํ กลหํ กรึส.ุ เอโก เอกํ อาห ด้วยกหาปณะ ท. เหล่านัน้ กระท�ำแล้ว ซ่ึงการทะเลาะ “ตวฺ ํ สนุ ทฺ รึ เอกปปฺ หาเรเนว มาเรตวฺ า มาลากจวรนตฺ เร ซงึ่ กนั และกนั ฯ (อ.นกั เลง) คนหนง่ึ กลา่ วแล้ว (กะนกั เลง) คนหนงึ่ นิกฺขิปิ ตฺวา ตโต ลทฺธกหาปเณหิ สรุ ํ ปิ วส,ิ โหตตู .ิ วา่ อ.เจ้า ยงั นางสนุ ทรี ให้ตายแล้ว ด้วยการประหารครัง้ เดียว น่ันเทียว หมกไว้แล้ว ในระหว่างแห่งหยากเย่ือแห่งระเบียบ ยอ่ มดม่ื ซงึ่ สรุ า ด้วกหาปณะอนั ตนได้แล้ว ท. (แตก่ ารประหาร) นนั้ , (อ.เหตุ นนั่ ) จงมีเถิด ดงั นี ้ฯ อ.ราชบรุ ุษ ท. จบั แล้ว ซงึ่ นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ แสดงแล้ว ราชปรุ ิสา เต ธตุ ฺเต คเหตฺวา รญฺโญ ทสเฺ สส.ํุ แก่พระราชา ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระราชา ตรัสถามแล้ว (ซงึ่ นกั เลง ท.) อถ เน ราชา “ตมุ เฺ หหิ สา มาริตาติ ปจุ ฺฉิ. “อาม เหลา่ นนั้ วา่ (อ.นางสนุ ทรี) นนั้ อนั เจ้า ท. ให้ตายแล้ว หรือ ดงั นี ้ ฯ เทวาต.ิ “เกน มาราปิ ตาติ. “อญฺญตติ ฺถิเยหิ เทวาติ. (อ.นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้สู มมตเิ ทพ พระเจ้าข้า (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชา ตรัสถามแล้ว) วา่ (อ.นางสนุ ทรีนนั้ ) อนั ใคร ให้ตายแล้ว ดงั นีฯ้ (อ.นกั เลง ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.นางสนุ ทรี นนั้ ) อนั อญั ญเดียรถีย์ ท. (ให้ตายแล้ว) ดงั นี ้ฯ อ.พระราชา (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้เรียกมาแล้ว ซงึ่ เดียรถีย์ ท. ราชา ตติ ฺถิเย ปกฺโกสาเปตฺวา “คจฺฉถ ตมุ เฺ ห (ตรัสแล้ว) วา่ อ.เจ้า ท. จงไป, (อ.เจ้า ท.) จงเท่ียวไป ตลอดเมือง เอวํ วทนฺตา นครํ อาหิณฺฑถ `อยํ สนุ ฺทรี สมณสฺส กลา่ วอยู่ อยา่ งนี ้ วา่ อ.นางสนุ ทร นี ้ อนั เรา ท. ผ้ใู คร่เพื่ออนั ยกขนึ ้ โคตมสสฺ อวณณฺ ํ อาโรเปตกุ าเมหิ อมเฺ หหิ มาราปิตา; ซงึ่ โทษอนั บคุ คลไมพ่ งึ พรรณา แก่พระสมณะผ้โู คดม ให้ตายแล้ว, เนว สมณสสฺ โคตมสสฺ สาวกานํ โทโส อตถฺ ,ิ อมหฺ ากํ อ.โทษ ของสาวก ท. ของพระสมณะ ผ้โู คดม มอี ยู่ หามไิ ด้นนั่ เทยี ว, เอว โทโสต.ิ เต ตถา กรึส.ุ (อ.โทษ น)ี ้ เป็นโทษ ของเรา ท. นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี)้ ดงั นี ้ ฯ (อ.เดียรถีย์ ท.) เหลา่ นนั้ กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ ในกาลนนั้ อ.มหาชนผ้เู ขลา เชื่อแล้ว ฯ แม้ อ.เดียรถีย์ ท. พาลมหาชโน ตทา สทฺทหิ. ติตฺถิยาปิ ธตุ ฺตาปิ แม้อ.นกั เลง ท. ถงึ แล้ว ซงึ่ อาชญาในเพราะอนั ฆา่ ซงึ่ บรุ ุษ ฯ ปรุ ิสวธทณฺฑํ ปาปณุ สึ .ุ ตโต ปฏฺ ฐาย พทุ ฺธานํ สกฺกาโร อ.สกั การะ เป็นสภาพใหญ่ ได้มแี ล้ว แกพ่ ระพทุ ธเจ้าและพระสาวก ท. มหา อโหสตี .ิ จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองปร(จิพบาแชลกิ ้วา)ช่ฯือว่าสุนทรี สุนฺทรีปริพพฺ าชกิ าวตถฺ ุ. 122 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๒. อ.เร่ืองแ(อหัน่งสข้ัาตพว์ผเจู้อ้าันจคะวกาลม่าทวกุ )ขฯ์บบี คัน้ แล้ว ๒. ทกุ ขฺ ปี ฬิตสตตฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ วิหรน“กฺโตาสทาจุวฺจกรณิตผฺฐลาตานิ อภุ ิมาํเวธนมมฺ ปเที ฬสิเตนํ สตฺถา เชตวเน ซงึ่ สตั ว์ ท. ผู้ อนั อานภุ าพ แหง่ ผลของความทจุ ริต บีบคนั้ แล้ว สตฺเต อารพฺภ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ กาสาวกณฺฐา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร อ.พระมหาโมคคลั ลานะ ผ้มู ีอายุ อายสมฺ า หิ มหาโมคคฺ ลลฺ าโน ลกขฺ ณตเฺ ถเรน สทธฺ ึ ข้ามลงอยู่ จากภเู ขา ชื่อวา่ คชิ ฌกฏู กบั ด้วยพระเถระชื่อวา่ ลกั ขณะ คชิ ฺฌกฏู า ปพฺพตา โสอติโรํ หนกฺโโตรนอฺโตฏฺฐสิ งลฺขกลฺขกิ ณเปตตฺเถาเทรีนนํ เหน็ แล้ว ซงึ่ อตั ภาพ ท. (ของเปรต ท.) มีเปรตมีร่างแหง่ กระดกู อตฺตภาเว ทิสวฺ า ปญฺหสสฺ , เป็นต้น กระท�ำอยู่ ซง่ึ อนั แย้ม ผู้ อนั พระเถระชื่อวา่ ลกั ขณะ ถามแล้ว สติ การณํ ปสฏุนฺโฺตฐเิ ก“อมกํ ปาโจุ ลฺเฉยอฺยาวาโุสสีติ อิมสสฺ ตถาคตสสฺ ซงึ่ เหตแุ หง่ อนั แย้ม กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ (อ.กาล นี)้ ตถาคตสสฺ วตฺวา เป็นสมยั มใิ ชก่ าล แหง่ ปัญหา นี ้ (ยอ่ มเป็น), (อ.ทา่ น) พงึ ถาม ซงึ่ เรา อสานจฺติกเิ กฺขิตเฺวถาเรน“อปิธฏุ าฺโหฐํ ออฏาฺฐวสิ โุ สงฺขลคกิ ิชเปฺฌตกาฏูทาีนํ ทปิฏพฺฐฺพภตาวาํ ในสำ� นกั ของพระตถาคตเจ้า ดงั นี ้ ผู้ อนั พระเถระ ถามแล้ว ในสำ� นกั ของพระตถาคตเจ้า บอกแล้ว ซงึ่ ความที่ (แหง่ เปรต ท.) โอโรหนฺโต อทฺทสํ ภิกฺขํุ เวหาสํ คจฺฉนฺตํ, ตสสฺ มีเปรตมีร่างแหง่ กระดกู เป็นต้น เป็นผ้อู นั ตนเหน็ แล้ว บอกแล้ว กาโยปิ อาทิตฺโต โหตีตอิ าทินา นเยน สทฺธึ กะสหธรรมมิก ท. ๕ ผ้อู นั ไฟไหม้อยู่ กบั (ด้วยบริขาร ท.) มีบาตร ปตฺตจีวรกายพนฺธนาทีหิ ฑยฺหมาเน ปญฺจ สหธมมฺ ิเก และจีวรและประคตเอวเป็นต้น โดยนยั มีค�ำวา่ ดกู ่อนทา่ น อาโรเจส.ิ ผ้มู ีอายุ ท. อ.เรา ข้ามลงอยู่ จากภเู ขาชื่อวา่ คชิ ฌกฏู ได้เหน็ แล้ว ซงึ่ ภิกษุ (ในพระพทุ ธศาสนา) นี ้ ผ้ไู ปอยู่ สทู่ ้องฟ้ า, แม้ อ.กาย ของภิกษุนนั้ เป็นกายอนั ไฟตดิ ทวั่ แล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.พระศาสดา ตรสั บอกแล้ว ซงึ่ ความท่ี (แหง่ สตั ว์ ท.) เหลา่ นนั้ สตฺถา เตสํ กสฺสปทสพลสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา ผู้ บวชแล้ว ในศาสนา ของพระทสพลพระนามวา่ กสั สปะ ไมอ่ าจอยู่ ปพฺพชฺชาย อนรุ ูปํ กาตํุ อสกฺโกนฺตานํ ปาปภาวํ เพ่ืออนั กระท�ำ (ซงึ่ อาการ) อนั สมควร แก่บรรพชา เป็นผ้ลู ามก อาจิกฺขิตฺวา ตสฺมึ ขเณ ตตฺถ นิสนิ ฺนานํ ปาปภิกฺขนู ํ เมื่อทรงแสดง ซงึ่ วบิ าก ของกรรมคือความประพฤตชิ ว่ั แหง่ ภิกษุ ทจุ ฺจริตกมมฺ สสฺ วปิ ากํ ทสฺเสนฺโต อิมํ คาถมาห ผ้ลู ามก ท. ผ้นู งั่ แล้ว (ในท)่ี นนั้ ในขณะนนั้ ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.ชน ท.) มาก มีคออนั ผา้ กาสาวะพนั แลว้ มีธรรมอนั ลามก “กาสาวกณฺฐา พหโว ปาปธมฺมา อสญฺญตา, เป็ นผู้ไม่ส�ำรวมแล้ว (ย่อมเป็ น), (อ.ชน ท.) เหล่านนั้ ปาปา ปาเปหิ กมฺเมหิ นิรยํ เต อปุ ปชฺชเรติ. ผูล้ ามก ย่อมเขา้ ถึง ซ่ึงนรก เพราะกรรม ท. อนั ลามก ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ มีคอ อนั พนั ผ้ากาสาวะ พนั แล้ว (ดงั นี ้ในบท ท.) ตตฺถ กาสาวกณฺฐาต:ิ กาสาเวน ปลเิ วฐติ กณฺฐา. เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท)วา่ กาสาวกณฺฐา ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ปาปธมมฺ าต:ิ ลามกธมมฺ า. “อสญญฺ ตาต:ิ กายาทิ- มีธรรมอนั ลามก (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ปาปธมมฺ า ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ สญฺญมวริ หิตา. ตถารูปา ปาปปคุ ฺคลา อตฺตนา เป็ นผู้เว้ นแล้ วจากความส�ำรวมโดยทวารมีกายเป็ นต้ น กเตหิ อกสุ ลกมเฺ มหิ นิรเย อปุ ปชฺชนฺต,ิ เต ตตฺถ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อสญญฺ ตา ดงั นี ้ฯ อ.อธบิ าย วา่ อ.บคุ คลผ้ลู ามก ท. ปจิตฺวา ตโต จตุ า ปกฺกาวเสเสน เปเตสปุ ิ เอวํ ผ้มู ีรูปอยา่ งนนั้ ยอ่ มเข้าถงึ ในนรก เพราะอกศุ ลกรรม ท. อนั อนั ตน ปจฺจนฺตีติ อตฺโถ. กระท�ำแล้ว, (อ.บคุ คลผ้ลู ามก ท.) เหลา่ นนั้ ไหม้แล้ว (ในนรก) นนั้ เคลื่อนแล้ว (จากนรก) นนั้ ยอ่ มไหม้ อยา่ งนี ้ แม้ในเปรต ท. ด้วยผลอนั สกุ แล้วเหลอื ลง ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งสัตว(์ผจู้อบันแคลว้วา)มฯทกุ ข์บบี คัน้ แล้ว ทกุ ขฺ ปี ฬิตสตตฺ วตถฺ ุ. ผลิตส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 123 www.kalyanamitra.org
๓. อ.เร่ื(อองันแขหช้า่ง่ือพภวเกิ่าจษว้าัคุผจคู้อะุมยกุ่ทูทลา่ฝี่า่ังวแ) หฯ่งแม่น�ำ้ ๓. วคคฺ ุมุทาตรี ิยภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือทรงอาศยั ซงึ่ เมืองไพสาลี ประทบั อยู่ “เสยโฺ ย อโยคุโฬติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ในป่ ามหาวนั ทรงปรารภ ซงึ่ ภิกษุ ท. ผ้อู ยทู่ ่ีฝ่ังแหง่ แมน่ �ำ้ ช่ือวา่ เวสาลยิ ํ นิสสฺ าย มหาวเน วหิ รนฺโต วคฺคมุ ทุ าตีริเย วคั คมุ ทุ า ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เสยโฺ ย อโยคุโฬ ภิกฺขู อารพฺภ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง มาแล้ว ในอตุ ตริมนษุ ยธรรมปาราชิกนน่ั เทียว ฯ ก็ วตฺถุ อตุ ฺตริมนสุ สฺ ธมมฺ ปาราชิเก อาคตเมว. ในกาลนนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว กะภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ วา่ ตทา หิ สตฺถา เต ภิกฺขู “กึ ปน ตมุ เฺ ห ภิกฺขเว ดกู ่อนภิกษุ ท. ก็ อ.เธอ ท. กลา่ วแล้ว ซง่ึ คณุ อนั บคุ คลพงึ พรรณนา อทุ รสสฺ ตฺถาย คหิ ีนํ อญฺญมญฺญสสฺ อตุ ฺตริมนสุ สฺ - แหง่ อตุ ตริมนษุ ยธรรม ของกนั และกนั แก่คฤหสั ถ์ ท. เพ่ือประโยชน์ ธมมฺ สฺส วณฺณํ ภาสติ ฺถาติ วตฺวา, เตหิ “อาม ภนฺเตติ แกท่ ้อง หรือ ดงั นี ้(ครัน้ เมอ่ื คำ� ) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ พระเจ้าข้า วตุ ฺเต, เต ภิกฺขู อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา อิมํ (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว, คาถมาห ทรงตเิ ตียนแล้ว ซงึ่ ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ โดยปริยายมิใชห่ นงึ่ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ หากว่า (อ.ภิกษุ) ผู้มีศีลอนั โทษประทุษร้ายแล้ว “เสยฺโย อโยคโุ ฬ ภตุ ฺโต ตตฺโต อคฺคิสิขูปโม, ผไู้ มส่ �ำรวมแลว้ พงึ ฉนั ซึ่งกอ้ นขา้ ว ของชาวแวน่ แควน้ ใด ยญฺเจ ภญุ ฺเชยฺย ทสุ ฺสีโล รฏฺฐปิ ณฺฑํ อสญฺญโตติ. อ.ก้อนแห่งเหล็ก อนั ร้อนแล้ว อนั มีเปลวแห่งไฟ- เป็นเครือ่ งเปรียบ อนั อนั ภิกษุ ฉนั แลว้ เป็นสภาพประเสริฐกวา่ (กว่าอนั ฉนั ซึ่งก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น แห่งภิกษุ- ผูม้ ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ นน้ั ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) ผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว คือวา่ ตตฺถ “ยญเฺ จ ภุญเฺ ชยยฺ าต:ิ ยํ ทสุ สฺ ีโล อ.บคุ คลผ้มู ีศีลออกแล้ว ผ้ไู มส่ �ำรวมแล้ว (โดยทวาร ท.) มีกาย นิสฺสีลปคุ ฺคโล กายาทีหิ อสญฺญโต ปฏรฏิชฺ าฐวนานสฺโีหติ เป็นต้น ปฏิญญาอยู่ วา่ (อ.เรา) เป็นสมณะ ยอ่ มเป็น ดงั นี ้รับแล้ว สทฺธาย ทินภฺนญุ ํ ฺเรชฏยฺฐฺยป,ิ ณตฺฑโํ ต“สมอโาณทมิตหฺฺโตีติ อคฺควิ ณฺโณ พงึ ฉนั ซงึ่ ก้อนข้าวของชาวแวน่ แคว้น อนั (อนั ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นแวน่ คเหตฺวา แคว้นโดยปกติ ถวายแล้ว ด้วยศรัทธา ใด, อ.ก้อนแหง่ เหลก็ อโยคโุ ฬ ภตุ ฺโต เสยฺโย สนุ ฺทรตโร. กกึ ารณา? อนั (อนั ไฟ) ตดิ ทว่ั แล้ว อนั มสี เี พยี งดงั สแี หง่ ไฟ อนั (อนั ภกิ ษ)ุ ฉนั แล้ว ตปปฺ จฺจยา หิ เอโก อตฺตภาโว ฌาเยยฺย, ทสุ ฺสีโล เป็นสภาพประเสริฐกวา่ คือวา่ เป็นสภาพดีกวา่ (กวา่ อนั ฉนั ปน สทฺธาเทยฺยํ ภญุ ฺชิตฺวา อเนกานิปิ ชาตสิ ตานิ ซง่ึ ก้อนข้าวของชาวแวน่ แคว้น แหง่ ภกิ ษุ ผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว) นิรเย ปจฺเจยฺยาติ อตฺโถ. นนั้ (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ (อ.ก้อนแหง่ เหลก็ อนั ร้อนแล้ว อนั มีเปลวไฟเป็นเคร่ืองเปรียบ อนั อนั ภิกษุ ฉนั แล้ว เป็นสภาพ ประเสริฐกวา่ กวา่ อนั ฉนั ซงึ่ ก้อนข้าวของชาวแวน่ แคว้น แหง่ ภิกษุ ผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว นนั้ ยอ่ มเป็น) เพราะเหตไุ ร (ดงั นี)้ ฯ (อ.อนั แก้) วา่ เพราะวา่ อ.อตั ภาพหนง่ึ พงึ ไหม้ เพราะปัจจยั แหง่ อนั บริโภคนนั้ , แตว่ า่ (อ.ภิกษุ) ผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว ฉนั แล้ว (ซง่ึ ก้อนข้าว) อนั ชนพงึ ถวายด้วยศรัทธา พงึ ไหม้ ในนรก สนิ ้ ร้อยแหง่ ชาติ ท. แม้มิใชห่ นง่ึ (ดงั นี)้ ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ยญเฺ จ ภุญเฺ ชยยฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ 124 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้อยู่ท่ฝี ่ังแห่งแม่น�ำ้ วคคฺ ุมุทาตรี ิยภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ช่ือ(จวบ่าแวัคล้คว)ุมฯุทา ๔. อ.เร่ือง(แอหัน่งขบ้าุตพรเจข้าองจเะศกรลษ่าฐวีช)่ฯือว่าเขมกะ ๔. เขมกเสฏฺ ฐิปุตตฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “จตตฺ าริ ฐานานีติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เชตวเน ซ่ึงบุตรของเศรษฐีชื่อว่าเขมกะ ผู้เป็ นหลาน ของเศรษฐี วหิ รนฺโต อนาถปิ ณฺฑิกสสฺ ภาคเิ นยฺยํ เขมกํ นาม ช่ือว่าอนาถบิณฑิกะ ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เสฏฺฐปิ ตุ ฺตํ อารพฺภ กเถส.ิ จตตฺ าริ ฐานานิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.นายเขมกะ) นนั้ เป็นผ้มู ีรูปงาม ได้เป็นแล้ว ฯ โส กิร อภิรูโป อโหส.ิ เยภยุ ฺเยน อิตฺถิโย ตํ ทิสวฺ า อ.หญงิ ท. โดยมาก เหน็ แล้ว (ซง่ึ นายเขมกะ) นนั้ ผ้อู นั ราคะครอบงำ� แล้ว ราคาภิภตู า สกภาเวน สณฺฐาตํุ นาสกฺขสึ .ุ โสปิ ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพ่ืออนั ตงั้ อยดู่ ้วยดี โดยภาวะอนั เป็นของตน ฯ ปรทารกมมฺ าภิรโตว อโหส.ิ อถ นํ รตฺตึ ราชปรุ ิสา (อ.นายเขมกะ) แม้นนั้ เป็นผ้ยู ินดียิ่งแล้วในกรรมคืออนั คบหา คเหตฺวา รญฺโญ ทสเฺ สสํ.ุ วรสิ าสฺ ชชาฺชาเ“ปมสห.ิ าเโสสฏฺฐปสิ นฺส ซงึ่ ทาระของชายอน่ื เทยี ว ได้เป็นแล้ว ฯ ครงั้ นนั้ อ.ราชบรุ ุษ ท. จบั แล้ว ลชฺชามีติ ตํ กิญฺจิ อวตฺวา (ซงึ่ นายเขมกะ) นนั้ ในเวลากลางคืน แสดงแล้ว แก่พระราชา ฯ เนว วิรมิ. อ.พระราชา ไมต่ รัสแล้ว (ซงึ่ พระด�ำรัส) อะไรๆ (กะนายเขมกะ) นนั้ (ด้วยอนั ทรงด�ำริ) วา่ อ.เรา ยอ่ มละอาย ตอ่ เศรษฐี ดงั นี ้ (ทรงยงั ราชบรุ ุษ ท.) ให้ปลอ่ ยแล้ว ฯ แตว่ า่ (อ.นายเขมกะ) นนั้ ไมง่ ดเว้นแล้ว นน่ั เทียว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ราชบรุ ุษ ท. จบั แล้ว (ซง่ึ นายเขมกะ) นนั้ แสดงแล้ว อถ นํ ทตุ ยิ ํปิ ตตยิ ํปิ ราชปรุ ิสา คเหตฺวา รญฺโญ แก่พระราชา แม้ในครัง้ ท่ี ๒ แม้ครัง้ ท่ี ๓ ฯ อ.พระราชา ทสฺเสส.ํุ ราชา วสิ สฺ ชฺชาเปสเิ ยว. มคหนาฺตเสฺวฏาฺ ฐี ตํ ปวตฺตึ (ทรงยงั ราชบรุ ุษ ท.) ให้ปลอ่ ยแล้วนนั่ เทยี ว ฯ อ.มหาเศรษฐี ฟังแล้ว สตุ ฺวา ตํ อาทาย สตฺถุ สนฺตกิ ํ ตํ ปวตฺตึ ซง่ึ ความเป็นไปนนั้ พาเอา (ซงึ่ นายเขมกะ) นนั้ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั อาโรเจตฺวา “ภนฺเต อิมสสฺ ธมมฺ ํ เทเสถาติ อาห. ของพระศาสดา กราบทลู แล้ว ซง่ึ ความเป็นไปนนั้ กราบทลู แล้ว วา่ สตฺถา ตสสฺ สเํ วคกถํ กเถตฺวา ปรทารเสวนาย โทสํ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.พระองค์ ท.) ขอจงแสดง ซงึ่ ธรรม ทสฺเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ (แกน่ ายเขมกะ) นี ้ เถดิ ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว ซงึ่ กถาอนั แสดงซง่ึ ความสงั เวช (แก่นายเขมกะ) นนั้ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ โทษ ในอนั คบหาซง่ึ ทาระของชายอื่น ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ ผลติ ส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 125 www.kalyanamitra.org
อ.นระ ผูป้ ระมาทแลว้ ผูเ้ ขา้ ไปคบหาซ่ึงทาระของชายอืน่ - “จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต โดยปกติ ยอ่ มถงึ ซึ่งฐานะ ท. ๔, คือซ่ึงการไดซ้ ่ึงบาปมิใชบ่ ญุ อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี: (ที่หนึ่ง) คือซึ่งการนอนอันไม่เป็ นที่ต้องการ (ที่ ๒) อปญุ ฺญลาภํ นนิกามเสยฺยํ คือซึ่งอนั นินทา ที่ ๓ คือซึ่งนรก ที่ ๔ ฯ อ.อนั ไดซ้ ึ่งเหต-ุ นินทฺ ํ ตติยํ นิรยํ จตตุ ฺถํ. มิใช่บญุ ดว้ ย อ.คติ อนั ลามก ดว้ ย (ย่อมมี แก่นระ นน้ั ), อปญุ ฺญลาโภ จ, คตี จ ปาปิ กา, อ.ความยินดี (กบั ดว้ ยหญิง) ผกู้ ลวั แลว้ (แหง่ ชาย) ผกู้ ลวั แลว้ ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา, เป็นธรรมชาติหน่อยหนึ่ง (ย่อมเป็น) ดว้ ย, อ.พระราชา ราชา จ ทณฺฑํ ครุกํ ปเณติ; ยอ่ มทรงลง ซ่ึงอาชญา อนั หนกั ดว้ ย, เพราะเหตนุ นั้ อ.นระ ตสมฺ า นโร ปรทารํ น เสเวติ. ไม่พึงคบหา ซึ่งทาระของชายอืน่ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ซงึ่ เหตแุ หง่ ทกุ ข์ ท. (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “ฐานานีต:ิ ทกุ ฺขการณานิ. ปมตโฺ ตต:ิ (แหง่ บท) วา่ ฐานานิ ดงั นี ้ (อ.อรรถ) วา่ ผ้มู าตามพร้อมแล้ว สตโิ วสฺสคฺเคน สมนฺนาคโต. อาปชฺชตีต:ิ ปาปณุ าติ. ด้วยอนั สละลงซงึ่ สติ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ปมตโฺ ต ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ปรทารูปเสวีต:ิ ปรสสฺ ทารํ อปุ เสวนฺโต อปุ ปฺ ถจารี. ยอ่ มถงึ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ปาปณุ าติ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้เู ข้าไปเสพอยู่ อปุญญฺ ลาภนฺต:ิ อกสุ ลลาภํ. นนิกามเสยยฺ นฺต:ิ ซงึ่ ทาระ ของชายอื่น ชื่อวา่ ผ้ปู ระพฤตนิ อกทางโดยปกติ (ดงั นี ้ ยถา อิจฺฉต;ิ เอวํ เสยฺยํ อลภิตฺวา อนิจฺฉิตํ ปริตฺตกเมว แหง่ บท) วา่ ปรทารูปเสวี ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ซงึ่ อนั ได้ซง่ึ อกศุ ล กาลํ เสยฺยํ ลภต.ิ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อปุญญฺ ลาภํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.ตน) ยอ่ มปรารถนา โดยประการใด, (อ.นระ) ไมไ่ ด้แล้ว ซง่ึ อนั นอน โดยประการนนั้ ยอ่ มได้ ซงึ่ อนั นอน ตลอดกาล อนั (อนั ตน) ไมป่ รารถนาแล้ว คือวา่ อนั นิดหนอ่ ยนนั่ เทียว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ นนิกามเสยยฺ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.อนั ได้ซงึ่ เหตมุ ิใชบ่ ญุ นี ้ ด้วย อ.คติ อนั บณั ฑิต อปุญญฺ ลาโภ จาต:ิ เอวํ ตสฺส อยญฺจ นบั พร้อมแล้ววา่ นรก อนั ช่ือวา่ บาป เพราะเหตมุ ิใชบ่ ญุ นนั้ ด้วย อปญุ ฺญลาโภ เตน จ อปญุ ฺเญน นิรยสงฺขาตา ยอ่ มมี (แก่นระ) นนั้ อยา่ งนี ้ (ดงั นี ้ แหง่ บท) ดวา่้วยอหปญุญฺ ิงญฺ ผ้ลกู ลาโวั ภแลจ้ว ปาปิ กา คติ โหต.ิ รตี จ โถกกิ าต:ิ ยา ตสสฺ ภีตสฺส ดงั นีเ้ป็นต้น, (อ.อรรถ) วา่ อ.ความยินดี กบั ภีตาย อิตฺถิยา สทฺธึ รต,ิ สาปิ โถกิกา ปริตฺตา โหต.ิ (แหง่ ชาย) ผ้กู ลวั แล้ว นนั้ ใด, (อ.ความยินดี) แม้นนั้ เป็นธรรมชาติ ครุกนฺต:ิ ราชา จ หตฺถจฺเฉทาทิวเสน ครุกํ ทณฺฑํ หนอ่ ยหนง่ึ คือวา่ เป็นธรรมชาตนิ ิดหนอ่ ย ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้ ปเณต.ิ ตสฺมาต:ิ ยสฺมา ปรทารํ เสวนฺโต เอตานิ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ รตี จ โถกกิ า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อปญุ ฺญาทีนิ ปาปณุ าต;ิ ตสฺมา ปรทารํ น เสเวยฺยาติ (อ.อรรถ) วา่ อ.พระราชา ยอ่ มทรงลง ซง่ึ อาชญา อนั หนกั อตฺโถ. ด้วยสามารถแหง่ เหตมุ ีการตดั ซงึ่ มือเป็นต้นด้วย (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ครุกํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อรรถวา่ (อ.นระ) คบหาอยู่ ซงึ่ ทาระของชาย อ่ืน ยอ่ มถงึ (ซง่ึ ฐานะ ท.) มีเหตมุ ิใชบ่ ญุ เป็นต้น เหลา่ นน่ั เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ (อ.นระ) ไมพ่ งึ คบหา ซง่ึ ทาระของชายอ่ืน ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ตสฺมา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.นายเขมกะ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ปตโพุ ตฺพเกทปมสฏมฺนฺฐนาาวฺตยส.ิ ามเนหาชเขโนมโกสขุ ํโสวตีตานิ ปาตเมฺตสิผ.ิเล“กปึ ตปฏิ นฺฐสหสฺ ิ. ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.มหาชน (ยงั กาล) ให้น้อมไปลว่ งวเิ ศษแล้ว สบาย จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ ก็ อ.บรุ พกรรม (ของนายเขมกะ) นนั้ เป็นอยา่ งไร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ 126 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อนั แก้) วา่ ได้ยินวา่ ในกาลแหง่ พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ กสั สปะ “โส กิร กสสฺ ปพทุ ฺธกาเล อตุ ฺตมมลโฺ ล หตุ ฺวา เทฺว (อ.นายเขมกะ) นนั้ เป็นคนปลำ่� ผ้สู งู สดุ เป็น ยกขนึ ้ แล้ว ซงึ่ ธงแผน่ ผ้า สวุ ณฺณปตากานิ ทสพลสสฺ กาญฺจนถเู ป อาโรเปตฺวา อนั เป็นวิการแหง่ ทอง ท. ๒ บนพระสถปู อนั เป็นวิการแหง่ ทอง ปตฺถนํ ฐเปสิ “ฐเปตฺวา ญาตสิ าโลหิตติ ฺถิโย อวเสสา ของพระทศพล ตงั้ ไว้แล้ว ซง่ึ ความปรารถนา วา่ (อ.หญงิ ท.) ผ้เู หลอื ลง มํ ทิสฺวา รชนฺตตู .ิ เว้น ซง่ึ หญิงผ้เู ป็นญาตแิ ละหญิงผ้เู ป็นไปกบั ด้วยโลหิต ท. เหน็ แล้ว ซงึ่ เรา จงก�ำหนดั ดงั นี ้ฯ (อ.กรรม) นี ้ เป็นบรุ พกรรม (ของนายเขมกะ) นนั้ (ยอ่ มเป็น) อิทมสฺส อปิตพุ ฺถฺพิโยกมสมฺ กนภฺตา.ิเวเนตนสณตฺฐํ านติพํุ ฺพนตาสฺตกฏฺฺขฐสึาเตู นิ. ดงั นี ้ ฯ เพราะเหตนุ นั้ อ.หญิง ท. (ของชาย ท.) เหลา่ อ่ืน เหน็ แล้ว ทิสวฺ า ปเรสํ (ซงึ่ นายเขมกะ) นนั้ ในท่ี (แหง่ นายเขมกะ นนั้ ) บงั เกิดแล้ว ไม่ได้อาจแล้ว เพื่ออันตัง้ อยู่ด้วยดี โดยภาวะอันเป็ นของตน ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งบุตรของเศรษฐีช่ือว่าเขมกะ เขมกเสฏฺ ฐิปุตตฺ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๕. อ.เร่ืองแ(หอ่งันภขกิ ้าษพุผเ้จูอ้าันบจะุคกคลล่าพวงึ)วฯ่าได้โดยยาก ๕. ทพุ พฺ จภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “กุโส ยถาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซ่ึงภิกษุผู้อันบุคคลพึงว่าได้โดยยาก รูปใดรูปหนึ่ง ตรัสแล้ว วหิ รนฺโต อญฺญตรํ ทพุ ฺพจภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิ ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ กุโส ยถา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.ภิกษุ รูปหนง่ึ ไมแ่ กล้งแล้ว เดด็ แล้ว ซงึ่ หญ้า เอโก กิร ภิกฺขุ อสญฺจิจฺจ เอกํ ตณิ ํ ฉินฺทิตฺวา, ต้นหนึ่ง ครัน้ เม่ือความสงสัย เกิดขึน้ แล้ว เข้าไปหาแล้ว กกุ ฺกจุ ฺเจ อปุ ปฺ นฺเน, เอกํ ภิกฺขํุ อปุ สงฺกมิตฺวา ซง่ึ ภิกษุรูปหนง่ึ บอกแล้ว ซง่ึ ความท่ี (แหง่ กรรมเป็นกรรม) อนั ตน “อาวโุ ส โย ตณิ ํ ฉินฺทต,ิ ตสฺส กึ โหตีติ อตฺตนา กระท�ำแล้ว ถามแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ (อ.ภิกษุ) ใด ยอ่ มเดด็ กตภาวํ อาโรเจตฺวา ปจุ ฺฉิ. ซง่ึ หญ้า, (อ.วีตกิ กมนะ) อะไร ยอ่ มมี (แก่ภิกษุ) นนั้ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ (อ.ภิกษุนอก) นี ้ กลา่ วแล้ว (กะภิกษุ) นนั้ วา่ อ.ทา่ น อถ นํ อิตโร “ตฺวํ ตณิ สสฺ ฉินฺนการณา `กิญฺจิ ยอ่ มกระท�ำ ซง่ึ ความส�ำคญั วา่ (อ.วีตกิ กมนะ) อะไรๆ ยอ่ มมี โหตีติ สญฺญํ กโรส,ิ น เอตฺถ กิญฺจิ โหต,ิ เทเสตฺวา ดงั นี ้ เพราะเหตแุ หง่ หญ้า (อนั ทา่ น) เดด็ แล้ว, (อ.วีตกิ กมนะ) ปน มจุ ฺจสีติ วตฺวา สยํปิ อโุ ภหิ หตฺเถหิ ตณิ ํ อะไรๆ (ในเหต)ุ นี ้ ยอ่ มมี หามิได้, แตว่ า่ อ.ทา่ น แสดงแล้ว ลญุ ฺจิตฺวา อคฺคเหส.ิ ภิกฺขู ตํ ปวตฺตึ สตฺถุ อาโรเจส.ํุ ยอ่ มพ้นได้ ดงั นี ้ถอนแล้ว ซงึ่ หญ้า ด้วยมือ ท. ทงั้ ๒ ได้ถือเอาแล้ว สตฺถา ตํ ภิกฺขํุ อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา ธมมฺ ํ แม้เอง ฯ อ.ภิกษุ ท. กราบทลู แล้ว ซง่ึ ความเป็นไปทว่ั นนั้ เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ แก่พระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา ทรงตเิ ตียนแล้ว ซงึ่ ภิกษุ นนั้ โดยปริยายมิใช่หน่ึง เมื่อทรงแสดง ซึ่งธรรม ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ อ.หญ้าคา อนั อนั บุคคลจับไม่ดีแล้ว ย่อมตามบาด “กโุ ส ยถา ทคุ ฺคหิโต หตฺถเมวานกุ นตฺ ติ, ซ่ึงมือนน่ั เทียว ฉนั ใด, อ.คณุ เครื่องแห่งความเป็นสมณะ สามญฺญํ สทิถปุ ิลปฺ ํ รกามมฺฏมฺํ,ฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ. อนั อนั บคุ คล ลบู คลำ� ชว่ั แลว้ ยอ่ มคร่าเขา้ ไป ในนรก (ฉนั นน้ั ) ฯ ยงฺกิญฺ จิ นสงตฺกํ ิลโหิฏฺตฐิญมฺจหปยผฺํ วลตํ.ํ, อ.การงาน อนั ย่อหย่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง ดว้ ย อ.วตั ร ใด สงฺกสฺสรํ พรฺ หฺมจริยํ, อนั เศร้าหมองพร้อมแลว้ ดว้ ย, อ.พรหมจรรย์ อนั บคุ คล- กยิรา เจ กยิราเถนํ, ทฬหฺ เมนํ ปรกฺกเม; พงึ ระลกึ ดว้ ยความสงสยั (ใด) ดว้ ย, (อ.กรรมมีอยา่ ง ๓) นนั้ สิถิโล หิ ปริพพฺ าโช ภิยฺโย อากิรเต รชนตฺ ิ. เป็นกรรมมีผลมาก ย่อมเป็น หามิได้ ฯ หากว่า (อ.บคุ คล) พึงกระท�ำ (ซ่ึงกรรม ใด) ไซร้, พึงกระท�ำ (ซึ่งกรรม) นน่ั , พึงบากบนั่ (ซ่ึงกรรม) นน่ั มน่ั คง, เพราะว่า อ.สมณะธรรม- เป็นเครือ่ งเวน้ รอบ อนั หยอ่ น ยอ่ มเกลีย่ ลง ซ่ึงธลุ ี ยิ่ง ดงั นี้ ฯ ผลิตสอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 127 www.kalyanamitra.org
อ.หญ้า มีคมอนั บาง ชนิดใดชนิดหนงึ่ แม้ อ.ใบแหง่ ตาล ตตฺถ “กุโสต:ิ ยงฺกิญฺจิ ตขิ ิณธารํ ตณิ ํ อนฺตมโส โดยกำ� หนดมใี นทส่ี ดุ ชอื่ วา่ หญ้าคา (ในพระคาถา) นนั้ ฯ อ.หญ้าคา นนั้ ตาลปณฺณํปิ . ยถา โส กโุ ส เยน ทคุ ฺคหิโต ตสฺส อนั (อนั บคุ คล) ใด จบั ไมด่ ีแล้ว ยอ่ มตามบาด คือวา่ ยอ่ มผา่ ซง่ึ มือ หตฺถํ อนกุ นฺตติ ผาเลต;ิ เอวเมว สมณธมมฺ สงฺขาตํ (ของบคุ คล) นนั้ ฉนั ใด, แม้ อ.คณุ เคร่ืองความเป็นแหง่ สมณะ สามญฺญํปิ ขณฺฑสีลาทิตาย ทุปฺปรามฏฺ ฐํ. อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ สมณธรรม ช่ือวา่ อนั บคุ คลลบู คลำ� ไมด่ ีแล้ว เพราะความที่แหง่ บคุ คลมีบคุ คลมีศีลอนั ขาดเป็นต้น (ยอ่ มคร่าเข้าไป ในนรก) ฉนั นนั้ นน่ั เทียว ฯ อ.อรรถ วา่ ยอ่ ม (ยงั บคุ คล นนั้ ) ให้บงั เกดิ ในนรก ดงั นี ้(แหง่ บาท นริ ยายปู กฑฒฺ ตตี :ิ นริ เย นพิ พฺ ตตฺ าเปตตี ิ อตโฺ ถ. แหง่ พระคาถา) วา่ นริ ยายปู กฑฒฺ ติ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.กรรม สิถลิ นฺต:ิ โอหียิตฺวา กรเณน สถิ ิลคฺคาหํ กตฺวา กตํ อะไรๆ อนั (อนั บคุ คล) กระทำ� แล้ว กระทำ� ให้เป็นอนั ถอื เอายอ่ หยอ่ น จอกริโญุ ปเณฺจสิ ถนกกมิจสฺจมฺ งาฺํก.ทิลสีสฏิ งฺุฐกฺ .ํ อลิ ญสฏิ งฺฺญฐกฺ นตสฺตเสฺร:ิ นรนเวฺตกส:ิิจยิ ฺเาจสทนงิเฺกกาสสหุ นิ อฺนสโิปคริตจตพเติ รฺพํปสิํุ เพราะอนั กระทำ� หละหลวม (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ สถิ ลิ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ อนั ชื่อวา่ เศร้าหมองพร้อมแล้ว เพราะอนั เท่ียวไป ในอโคจร ท. อมนหัี ญ(องิ นัแพบศคุ ยคาลเป)็นพตงึ ้นระ(ลดกึงั นดี ้แ้วหยง่คบวทา)มวสา่ งสสงยั กฺ ทลิ .ฏิ คฺฐือํ วดา่งั นอี ้นฯั (อ.อรรถ) วา่ สงฺฆํ ทิสวฺ า “อทฺธา อิเม มม จริยํ ญตฺวา มํ (อนั บคุ คล) อกุ ฺขิปิ ตกุ ามา สนฺนิปตติ าติ เอวํ อตฺตโน อาสงฺกาหิ เหน็ แล้ว ซงึ่ สงฆ์ แม้ผ้ปู ระชมุ กนั แล้ว (ในกิจ ท.) มีกิจด้วยอโุ บสถ สริตํ อสุ สฺ งฺกิตํ ปริสงฺกิตํ. น ตํ โหตตี :ิ ตํ เอวรูปํ เป็นต้น หนา ด้วยกิจ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ระลกึ แล้ว ด้วยความ สมณธมมฺ สงฺขาตํ พฺรหฺมจริยํ ตสสฺ ปคุ ฺคลสสฺ สงสยั ท. แหง่ ตน คือวา่ รังเกียจแล้ว คือวา่ ระแวงแล้ว อยา่ งนี ้ วา่ น มหปผฺ ลํ โหต,ิ ตสฺส อมหปผฺ ลภาเวน ภิกฺขา- (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นี ้ รู้แล้ว ซงึ่ ความประพฤติ แหง่ เรา เป็นผ้ใู คร่ ทายกานํปิ สสฺ น มหปผฺ ลํ โหตีติ อตฺโถ. เพื่ออนั ยกวตั ร ซงึ่ เรา (เป็น) ประชมุ กนั แล้ว แนแ่ ท้ ดงั นี ้ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สงกฺ สสฺ รํ ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.พรหมจรรย์ อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ สมณธรรม นนั้ คอื วา่ มอี ยา่ งนเี ้ป็นรปู เป็นพรหมจรรย์ มีผลมาก ยอ่ มมี แก่บคุ คล นนั้ หามิได้, เป็นพรหมจรรย์มีผลมาก ย่อมมี (แก่ชน ท.) แม้ผู้ถวายซึ่งภิกษา (แก่บุคคล) นัน้ เพราะความท่ี (แหง่ พรหมจรรย์ นนั้ ) เป็นพรหมจรรย์ไมม่ ีผลมาก (แก่บคุ คล) นนั้ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ น ตํ โหติ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ เพราะเหตนุ นั้ (อ.บคุ คล) พงึ กระท�ำ ซง่ึ กรรม ใด, กยริ า เจต:ิ ตสมฺ า ยํ กมมฺ ํ กเรยฺย, ตํ จงกระท�ำ (ซง่ึ กรรม) นนั้ นนั่ เทียว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ กยริ า เจ กโรเตว. ทฬฺหเมนํ ปรกกฺ เมต:ิ ถิรกตเมตํ กตฺวา ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.บคุ คล) เป็นผ้มู ีการสมาทานอนั ตงั้ ลงแล้ว อสวถิ ฏิลฺฐคติฺคสามเหานทากโนโต หตุ ฺวา เอตํ กยิรา. ปริพพฺ าโชต:ิ เพราะกระท�ำ (ซงึ่ กรรม) นน่ั ให้เป็นกรรมอนั ตนกระท�ำมน่ั แล้ว ขณฺฑาทิภาวปปฺ ตฺโต สมณธมโฺ ม. เป็น พงึ กระท�ำ (ซงึ่ กรรม) นน่ั (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ภยิ โฺ ยต:ิ อพฺภนฺตเร วิชฺชมานํ ราครชาทึ เอวรูโป ทฬฺหเมนํ ปรกกฺ เม ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.สมณะธรรม อนั สมณธมโฺ ม อปเนตํุ น สกฺโกต,ิ อถโข ตสฺส อปุ ริ (อนั บคุ คล) กระท�ำแล้ว ด้วยการถือเอายอ่ หยอ่ น คือวา่ อนั ถงึ แล้ว อปรํปิ ราครชาทึ อากิรตีติ อตฺโถ ซงึ่ ภาวะมีความขาดเป็นต้น (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปริพพฺ าโช ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.สมณธรรม มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ยอ่ มไมอ่ าจ เพื่ออนั น�ำไปปราศ (ซง่ึ ธลุ )ี มีธลุ คี ือราคะเป็นต้น อนั มีอยู่ ในภายใน, ยอ่ มเกลย่ี ลง ซง่ึ ธลุ ี มีธลุ ีคือราคะเป็นต้น แม้อ่ืนอีก ในเบือ้ งบน (แหง่ บคุ คล) นนั้ โดยแท้แล ดงั นี ้(แหง่ ค�ำ) วา่ ภยิ โฺ ย ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ 128 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ .ุ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ฯ อ.ภิกษุ แม้นนั้ ตงั้ อยแู่ ล้ว โสปิ ภิกฺขุ สํวเร ฐตฺวา ปจฺฉา วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา ในความสำ� รวม ยงั วปิ ัสสนา ให้เจริญแล้ว ในภายหลงั บรรลแุ ล้ว อรหตฺตํ ปาปณุ ีต.ิ ซงึ่ พระอรหตั ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุ(ผจู้อบันแบลุค้วค) ลฯพงึ ว่าได้โดยยาก ทพุ พฺ จภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ๖. อ.เร่ืองแห(่งอหันญข้ิงาผพู้อเจัน้าคจวาะมกรลิษ่าวย)าฯกระทำ� ท่วั แล้ว ๖. อสิ ฺสาปกตอติ ถฺ วี ตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อกตนตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เชตวเน วหิ รนโฺ ต ซงึ่ หญิง ผ้อู นั ความริษยากระท�ำทว่ั แล้ว คนใดคนหนงึ่ ตรัสแล้ว อญฺญตรํ อิสฺสาปกตํ อิตฺถึ อารพฺภ กเถสิ. ซงึ่ พระธรรมเทศนานีว้ า่ อกตํ ดงั นีเ้ป็นต้นฯ ได้ยินวา่ อ.สามี (ของหญิง) นนั้ ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ ความเชยชิด ตสฺสา กิร สามิโก เอกาย เคหทาสยิ า สทฺธึ กบั ด้วยทาสใี นเรือน คนหนง่ึ ฯ (อ.หญิง) นนั้ ผ้อู นั ความริษยา สนฺถวํ อกาส.ิ สา อิสสฺ าปกตา ตํ ทาสึ หตฺถปาเทสุ กระท�ำทว่ั แล้ว มดั แล้ว ซง่ึ ทาสี นนั้ ท่ีมือและเท้า ท. ตดั แล้ว พนฺธิตฺวา ตสสฺ า กณฺณนาสํ ฉินฺทิตฺวา เอกสมฺ ึ ซง่ึ หแู ละจมกู (ของนางทาสี) นนั้ ใสเ่ ข้าแล้ว ในห้องอนั เปลา่ ตจุ ฺฉคพฺเภ ปกฺขิปิ ตฺวา ทฺวารํ ปิ ทหิตฺวา ตสฺส ห้องหนงึ่ ปิ ดแล้ว ซง่ึ ประตู (กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตเ่ จ้า (อ.ทา่ น) กมมฺ สสฺ อตฺตนา กตภาวํ ปฏิจฺฉาเทตํุ “เอหิ จงมาเถิด, (อ.เรา ท.) ไปแล้ว สวู่ หิ าร จกั ฟัง ซงึ่ ธรรม ดงั นี ้ พาเอา อยฺย, วหิ ารํ คนฺตฺวา ธมมฺ ํ สณุ ิสฺสามาติ สามิกํ ซง่ึ สามี ไปแล้ว สวู่ ิหาร เพ่ืออนั ปกปิ ด ซงึ่ ความที่ แหง่ กรรม นนั้ อาทาย วหิ ารํ คนฺตฺวา ธมมฺ ํ สณุ นฺตี นิสีทิ. เป็นกรรมอนั ตน กระท�ำแล้ว นง่ั ฟังอยู่ แล้ว ซงึ่ ธรรม ฯ ครงั้ นนั้ อ.ญาติ ท. ผ้จู รมา (ของหญงิ ) นนั้ มาแล้ว สเู่ รือน เปิดแล้ว อถสสฺ า อาคนฺตกุ า ญาตกา เคหํ อาคนฺตฺวา ซงึ่ ประตู เหน็ แล้ว ซงึ่ ประการอนั แปลก นนั้ (ยงั กนั และกนั ) ทฺวารํ วิวริตฺวา ตํ วิปปฺ การํ ทิสวฺ า ทาสึ โมจยสึ .ุ ให้ปลอ่ ยแล้ว ซงึ่ ทาสี ฯ (อ.ทาส)ี นนั้ ไปแล้ว สวู่ ิหาร กราบทลู แล้ว สา วิหารํ คนฺตฺวา จตปุ ริสมชฺเฌ ตมตฺถํ ทสพลสฺส ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ แก่พระทศพล ในทา่ มกลางแหง่ บริษัท ๔ ฯ อาโรเจส.ิ สตฺถา ตสฺสา วจนํ สตุ ฺวา “ทจุ ฺจริตํ นาม อ.พระศาสดา ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ ค�ำ (ของทาส)ี นนั้ (ตรัสแล้ว) `อิทํ เม อญฺเญ ชนา น ชานนฺตีติ อปปฺ มตฺตกํปิ วา่ ชื่อ อ.ทจุ ริต แม้มีประมาณน้อย (อนั บคุ คล) ไมพ่ งึ กระท�ำ น กาตพพฺ ,ํ อญญฺ สมฺ ึ อชานนเฺ ตปิ สจุ ริตเมว กาตพพฺ ,ํ (ด้วยความคดิ ) วา่ อ.ชน ท. เหลา่ อ่ืน ยอ่ มไมร่ ู้ (ซง่ึ กรรม) นี ้ ปฏิจฺฉาเทตฺวา กตํปิ หิ ทจุ ฺจริตํ นาม ปจฺฉานตุ าปํ ของเรา ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือบคุ คล) อ่ืน แม้ไมร่ ู้อยู่ อ.สจุ ริตนนั่ เทียว กโรต,ิ สจุ ริตํ ปาโมชชฺ เมว ชเนตตี ิ วตวฺ า อมิ ํ คาถมาห (อนั บคุ คล) พงึ กระท�ำ, เพราะวา่ ชื่อ อ.ทจุ ริต แม้อนั (อนั บคุ คล) ปกปิ ดแล้ว กระท�ำแล้ว ยอ่ มกระท�ำ ซง่ึ การตามเผาในภายหลงั , อ.สจุ ริต ยงั ความปราโมทย์นน่ั เทียว ยอ่ มให้เกิด ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 129 www.kalyanamitra.org
(อ.กรรม) อนั อนั บุคคลกระท�ำชวั่ แล้ว อนั อนั บุคคล- “อกตํ ทกุ ฺกฏํ เสยฺโย, ปจฺฉา ตปปฺ ติ ทกุ ฺกฏํ; ไม่กระท�ำแล้ว เป็ นกรรมประเสริฐกว่า (ย่อมเป็ น), กตญฺจ สกุ ตํ เสยฺโย, ยํ กตฺวา นานตุ ปปฺ ตีติ. (อ.กรรม) อนั อนั บุคคลกระทำ� ชวั่ แลว้ ยอ่ มเผา ในภายหลงั , ส่วนว่า (อ.บคุ คล) กระท�ำแลว้ (ซึ่งกรรม) ใด ย่อมไม่- เดือดร้อนภายหลงั , (อ.กรรม) อนั อนั บุคคลกระท�ำดีแลว้ (นนั้ ) อนั อนั บุคคลกระท�ำแลว้ เป็นกรรมประเสริฐกว่า (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.กรรม อนั เป็นไปกบั ด้วยโทษ อนั ประกอบแล้ว ตตฺถ “ทกุ กฺ ฏนฺต:ิ สาวชฺชํ อปายสวํ ตฺตนิกํ ในอนั ยงั สตั ว์ให้เป็นไปพร้อมเพ่ืออบาย อนั อนั บคุ คลไมก่ ระท�ำแล้ว กมมฺ ํ อกตเมว เสยฺโย วรํ อตุ ฺตมํ. ปจฉฺ า ตปปฺ ตตี :ิ นน่ั เทียว เป็นกรรมประเสริฐกวา่ คือวา่ เป็นกรรมประเสริฐ คือวา่ ตํ หิ อนสุ ฺสริตานสุ ฺสริตกาเล ตปปฺ ตเิ ยว. สุกตนฺต:ิ เป็นกรรมสงู สดุ (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา อนวชฺชํ ปน สขุ ทุ ฺรยํ สคุ ตสิ วํ ตฺตนิกเมว กมมฺ ํ กตํ (แหง่ บท) วา่ ทกุ กฺ ฏํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ เพราะวา่ (อ.กรรม) นนั้ เสยโฺ ย. ยํ กตวฺ าต:ิ ยํ กมมฺ ํ กตวฺ า ปจฉฺ า อนสุ สฺ รณกาเล ยอ่ มเผา ในกาล (แหง่ กรรม นนั้ อนั บคุ คล) ระลกึ ตามแล้วและระลกึ น ตปปฺ ติ นานตุ ปปฺ ติ โสมนสฺสชาโตว โหต,ิ ตํ ตามแล้วนน่ั เทียว (ดงั นี ้แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ปจฉฺ า ตปปฺ ติ กตํ วรนฺติ อตฺโถ. ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ สว่ นวา่ อ.กรรม อนั ไมม่ ีโทษ อนั มีสขุ เป็นก�ำไร อนั ประกอบแล้วในอนั ยงั สตั ว์ให้เป็นไปพร้อมเพ่ือสคุ ติ นนั่ เทียว อนั อนั บคุ คลกระท�ำแล้ว เป็นกรรมประเสริฐกวา่ (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สุกตํ ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) กระท�ำแล้ว ซงึ่ กรรม ใด ยอ่ มไมเ่ ดือดร้อน ช่ือวา่ ยอ่ มไมต่ ามเดือดร้อน คือวา่ เป็นผ้มู ีความโสมนสั เกิดแล้วเทียว ยอ่ มเป็น ในภายหลงั คือวา่ ในกาลเป็นท่ีระลกึ ตาม, (อ.กรรม) นนั้ อนั อนั บคุ คลกระท�ำแล้ว เป็นกรรมประเสริฐ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ยํ กตวฺ า ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.อบุ าสก ด้วย อ.หญงิ นนั้ ด้วย เทสนาวสาเน อุปาสโก จ สา จ อิตฺถี ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ ก็แล (อ.ชน ท.) กระท�ำแล้ว โสตาปตฺตผิ เล ธปมตมฺ ฏิจฺฐาหริณสึ .ุึ ตญฺจ ปน ทาสึ ตตฺเถว ซงึ่ ทาสนี นั้ ให้เป็นไท (ในที่) นนั้ นน่ั เทียว กระท�ำแล้ว ให้เป็นหญิง ภชุ ิสฺสํ กตฺวา กรึสตู .ิ ประพฤตซิ ง่ึ ธรรมโดยปกติ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งหญิงผ้(ูอจันบคแวลา้วม)รฯิษยากระทำ� ท่วั แล้ว อสิ ฺสาปกตอติ ถฺ วี ตถฺ ุ. ๗(.ออัน.ขเร้า่ือพงเแจห้า่งจภะกิ กษลุผ่าู้จว)รมฯา ๗. อาคนฺตุกภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “นครํ ยถาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซง่ึ ภิกษุ ท. ผ้จู รมา ผ้มู าก ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา วหิ รนฺโต สมพฺ หเุ ล อาคนฺตเุ ก ภิกฺขู อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ นครํ ยถา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ เข้าไปจ�ำแล้ว ซงึ่ พรรษา เต กิร เอกสฺมึ ปจฺจนฺเต วสสฺ ํ อปุ คนฺตฺวา ในปัจจนั ตนคร เมืองหนง่ึ อยแู่ ล้ว สบาย ในเดือนที่ ๑ ฯ อ.โจร ท. ปฐมมาเส สขุ ํ วิหรึส.ุ มชฺฌิมมาเส โจรา อาคนฺตฺวา มาแล้ว ในเดอื นมใี นทา่ มกลาง ปล้นแล้ว ซง่ึ โคจรคาม ของภกิ ษุ ท. เตสํ โคจรคามํ ปหริตฺวา กรมเร คเหตฺวา อคมํส.ุ เหลา่ นนั้ จบั แล้ว (ซง่ึ ชน ท. กระท�ำ) ให้เป็นเชลย ได้ไปแล้ว ฯ ปตโจตฺจนปฺตฏนฺ คฐารยํ มนสุ สฺ า โจรานํ ปฏิพาหนตฺถาย ตํ อ.มนษุ ย์ ท. ซอ่ มแซมอยู่ ซงึ่ ปัจจนั ตนคร นนั้ เพ่ือประโยชน์แก่อนั อภิสงฺขโรนฺตา เต ภิกฺขู สกฺกจฺจํ ป้ องกนั ซง่ึ โจร ท. ไมไ่ ด้แล้ว ซงึ่ โอกาส เพื่ออนั บ�ำรุง ซง่ึ ภิกษุ ท. อปุ ฏฺฐาตํุ โอกาสํ น ลภสึ .ุ เหลา่ นนั้ โดยเคารพ จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ฯ 130 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ อยแู่ ล้ว ตลอดพรรษา ไมผ่ าสกุ มพี รรษา เต อผาสกุ ํ วสฺสํ วสติ ฺวา วตุ ฺถวสสฺ า สตฺถุ อันอยู่แล้ว ไปแล้ว สู่เมืองสาวัตถี เพื่ออันเฝ้ า ซึ่งพระศาสดา ทสสฺ นาย สาวตฺถึ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา น่ังแล้ว ณ ส่วนข้างหน่ึง ฯ นิสีทสึ .ุ อ.พระศาสดา มปี ฏสิ นั ถารอนั ทรงกระทำ� แล้ว กบั (ด้วยภกิ ษุ ท.) สตฺถา เตหิ สทฺธึ กตปปฺ ฏิสนฺถาโร “กึ ภิกฺขเว เหลา่ นนั้ ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) อยแู่ ล้ว สขุ ํ วสติ ฺถาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “ภนฺเต มยํ ปฐมมาสเมว สบาย หรือ ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ สขุ ํ วสมิ หฺ า, มชฺฌิมมาเส โจรา คามํ ปหรึส,ุ ตโต อ.ข้าพระองค์ ท. อยแู่ ล้ว สบาย ตลอดเดือนท่ี ๑ นน่ั เทียว, อวปสปุฏมิฺฏฐฺหฺาฐยาาตตํิุ มนสุ ฺสา นครํ อภิสงฺขโรนฺตา สกฺกจฺจํ อ.โจร ท. ปล้นแล้ว ซง่ึ บ้าน ในเดอื นอนั มใี นทา่ มกลาง, อ.ในมนษุ ย์ ท. โอกาสํ น ลภสึ ;ุ ตสฺมา อผาสกุ ํ วสฺสํ ซอ่ มแซมอยู่ ซง่ึ เมือง ไมไ่ ด้แล้ว ซงึ่ โอกาส เพื่ออนั บ�ำรุง โดยเคารพ วตุ ฺเต, “อลํ ภิกฺขเว, มา จินฺตยิตฺถ, จ�ำเดมิ (แตก่ าล) นนั้ ; เพราะเหตนุ นั้ อ.ข้าพระองค์ ท. อยแู่ ล้ว ผาสวุ หิ าโร นาม นิจฺจกาลํ ทลุ ลฺ โภ; ภิกฺขนุ า นาม, ตลอดพรรษา ไมผ่ าสกุ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว ยถา เต มนสุ ฺสา นครํ โคปยสึ ;ุ เอวํ อตฺตภาวเมว ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.อยา่ เลย, (อ.เธอ ท.) อยา่ คดิ แล้ว, โคปยิตํุ วฏฺฏตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ช่ือ อ.การอยผู่ าสกุ เป็นอาการอนั บคุ คลหาได้โดยยาก ตลอดกาล เนืองนิตย์ (ยอ่ มเป็น), อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ ค้มุ ครองแล้ว ซงึ่ เมือง ฉนั ใด, อ.อนั ชื่อ อนั ภิกษุ ค้มุ ครอง ซง่ึ อตั ภาพนนั่ เทียว ฉนั นนั้ ยอ่ มควร ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.นคร ชือ่ วา่ ปัจจนั ตะ (อนั มนษุ ย์ ท.) คมุ้ ครองแลว้ (กระทำ� ) “นครํ ยถา ปจฺจนตฺ ํ คตุ ฺตํ สนตฺ รพาหิรํ; ให้เป็ นไปกบั ด้วยภายในและภายนอก ฉนั ใด, (อ.เธอ ท.) เอวํ โคเปถ อตฺตานํ, ขโณ โว มา อปุ จฺจคา; จงคมุ้ ครอง ซ่ึงตน ฉนั นนั้ , อ.ขณะ อยา่ ไดเ้ ขา้ ไปลว่ งแลว้ ขณาตีตา หิ โสจนตฺ ิ นิรยมฺหิ สมปปฺ ิ ตาติ. ซ่ึงเธอ ท., เพราะว่า (อ.ชน ท.) ผูไ้ ปล่วงแล้วซ่ึงขณะ เป็นผเู้ พยี บพรอ้ มแลว้ ในนรก (เป็นแลว้ ) ยอ่ มเศร้าโศก ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ.นครชื่อว่าปัจจันตะ นัน้ ตตฺถ “สนฺตรพาหริ นฺต:ิ ภิกฺขเว ยถา เตหิ อนั มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ ผ้กู ระท�ำอยู่ (ซงึ่ บริเวณ ท.) มีประตแู ละ มนสุ เฺ สหิ ตํ ปจฺจนฺตนครํ ทฺวารปาการาทีนิ ถิรานิ ก�ำแพงเป็นต้น ให้เป็นสถานท่ีมน่ั คง (ช่ือวา่ ค้มุ ครองแล้ว กระท�ำ) กสโพรานหฺเติรนหฺติ สิ อสนนฺตฺตรรํ อพฏาฺหฏิราํลกคปตุ รฺติขํ ากทตีนํ;ิ ถิรานิ กโรนฺเตหิ ให้เป็นไปกบั ด้วยภายใน (อ.นครชื่อวา่ ปัจจนั ตะ นนั้ อนั มนษุ ย์ ท. เอวํ ตมุ เฺ ห หิ เหล่านัน้ ) ผู้กระท�ำอยู่ (ซึ่งบริเวณ ท.) มีป้ อมและคูเป็ นต้น สปิตทึหิตอฺวปาุ ฏฺฐทาฺวเปารตรฺวกาฺขิกํ อชฺฌตฺตกิ านิ ฉ ทฺวารานิ ให้เป็นสถานท่ีมน่ั คง (ชื่อวา่ ค้มุ ครองแล้ว กระท�ำ) ให้เป็นไป สตึ อวสิ ฺสชฺเชตฺวา, ยถา กับด้วยภายนอก เพราะเหตุนัน้ (อ.นครช่ือว่าปัจจันตะ นัน้ ) คยฺหมานานิ พาหิรานิ ฉ อายตนานิ อชฺฌตฺตกิ านํ ช่ือวา่ (อนั มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ ) ค้มุ ครองแล้ว คือวา่ กระท�ำแล้ว อปุ ฆาตาย สํวตฺตนฺติ; ตถา อคฺคหเณน ตานิ ให้เป็ นไปกับด้วยภายในและเป็ นไปกับด้วยภายนอก ฉันใด, ถิรานิ กตฺวา เตสํ อปปฺ เวสาย ทฺวารรกฺขิกํ สตึ ก็ อ.เธอ ท. ยงั สติ ให้เข้าไปตงั้ ไว้แล้ว ปิ ดแล้ว ซงึ่ ทวาร ท. ๖ อปปฺ หาย วิจรนฺตา อตฺตานํ โคเปถาติ อตฺโถ. อนั เป็นไปในภายใน ไมป่ ลอ่ ยแล้ว ซงึ่ สติ อนั รักษา ซงึ่ ทวาร, อ.อายตนะ ท. ๖ อนั มีในภายนอก อนั (อนั อายตนะ ท. อนั เป็นไป ในภายใน) ยดึ ถืออยู่ ยอ่ มเป็นไปพร้อม เพื่ออนั เข้าไปก�ำจดั (ซงึ่ อายตนะ ท.) อนั เป็นไปในภายใน โดยประการใด, กระท�ำแล้ว (ซงึ่ อายตนะ ท. อนั เป็นไปในภายใน ๖) เหลา่ นนั้ ให้เป็นอายตนะ มนั่ คง ด้วยการไมย่ ดึ ถือ โดยประการนนั้ ไมล่ ะแล้ว ซงึ่ สติ อนั รักษาซง่ึ ทวาร เพ่ืออนั ไมเ่ ข้าไป (แหง่ อายตนะ ท. อนั มี ในภายนอก) เหลา่ นนั้ เท่ียวไปอยู่ ชื่อวา่ จงค้มุ ครอง ซง่ึ ตน ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สนฺตรพาหริ ํ ดงั นี ้ เป็นต้น ฯ ผลิตสอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 131 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ) วา่ จริงอยู่ (อ.บคุ คล) ใด ยอ่ มไมค่ ้มุ ครอง ซงึ่ ตน ขโณ โว มา อุปจจฺ คาต:ิ โย หิ เอวํ อตฺตานํ น อยา่ งนนั้ , อ.ขณะ นี ้ แม้ทงั้ ปวง คือ อ.ขณะเป็นที่เสดจ็ อบุ ตั แิ หง่ - โคเปต,ิ ตํ ปคุ คฺ ลํ “อยํ พทุ ธฺ ปุ ปฺ าทกขฺ โณ มชฌฺ มิ ปเทเส พระพทุ ธเจ้า นี ้ อ.ขณะเป็นที่อบุ ตั ิ ในมชั ฌิมประเทศ อ.ขณะ อปุ ปฺ ตฺตกิ ฺขโณ อสเมวกมฺ ลาฺลทกิฏฺขฺฐโยิ ณาติ ปฏิลทฺธกฺขโณ แหง่ สมั มาทิฏฐิ (อนั บคุ คล) ได้เฉพาะแล้ว อ.ขณะคือความที่ ฉนฺนมายตนานํ สพฺโพปิ อยํ แหง่ อายตนะ ท. ๖ ไมบ่ กพร่อง ยอ่ มก้าวลว่ ง ซง่ึ บคุ คล นนั้ , ขโณ อตกิ ฺกมต;ิ โส ขโณ ตมุ เฺ ห มา อตกิ ฺกมต.ุ อ.ขณะ นนั้ จงอยา่ ก้าวลว่ ง ซง่ึ เธอ ท. (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ขโณ โว มา อุปจจฺ คา ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ เพราะวา่ (อ.บคุ คล ท.) เหลา่ ใด ไปลว่ งแล้ว ขณาตตี าต:ิ เย หิ ตํ ขณํ อตีตา, เต จ ปคุ ฺคเล ซง่ึ ขณะ นนั้ ด้วย, อ.ขณะ นนั้ ไปลว่ งแล้ว ซง่ึ บคุ คล ท. เหลา่ นนั้ ด้วย, โส ขโณ อตีโต; เต นิรยมหฺ ิ สมปปฺ ิ ตา หตุ ฺวา ตตฺถ (อ.บคุ คล ท.) เหลา่ นนั้ เป็นผ้เู พียบพร้อมแล้ว ในนรก เป็นแล้ว นิพฺพตฺตติ ฺวา โสจนฺตีติ อตฺโถ. คือวา่ บงั เกิดแล้ว (ในนรก) นนั้ ยอ่ มเศร้าโศก ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ขณาตตี า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ มีความ เทสนาวสาเน เต ภิกฺขู อปุ ปฺ นฺนสํเวคา อรหตฺเต สงั เวชอนั เกิดขนึ ้ แล้ว ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ดงั นีแ้ ล ฯ ปตฏิ ฺฐหสึ ตู .ิ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้จรมา อาคนฺตุกภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ (อ๘ัน. ขอ้า.เพร่ือเจง้าแหจ่ะงนกลิค่ารวน)ถฯ์ ๘. นิคคฺ ณฺฐวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อลชชฺ ติ าเยติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซงึ่ นิครนถ์ ท. ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ อลชชฺ ติ าเย วิหรนฺโต นิคฺคณฺเฐ อารพฺภ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. เหน็ แล้ว เอกสมฺ ึ หิ ทิวเส ภิกฺขู นิคฺคณฺเฐ ทิสฺวา กถํ ซง่ึ นิครนถ์ ท. ยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. อสเมจฏุ ลฺฐเกาเหปิ สอํุิเม “อาวโุ ส สพฺพโส อปปฺ ฏิจฺฉนฺเนหิ อ.นิครนถ์ ท. เหลา่ นี ้ เป็นผ้ปู ระเสริฐกวา่ กวา่ นกั บวชผ้ไู มม่ ี- นิคฺคณฺฐา วรตรา, เย เอกํ ปรุ ิมปสฺสปํ ิ ทอ่ นผ้า ท. ผ้ไู มป่ กปิ ดแล้ว โดยประการทงั้ ปวง (ยอ่ มเป็น), ตาว ปฏิจฺฉาเทนฺต,ิ สหิริกา มญฺเญ เอเตต.ิ (อ.นิครนถ์ ท.) เหลา่ ใด ยอ่ มปกปิ ด แม้ซงึ่ ข้างมีในก่อน ข้างหนง่ึ ก่อน, (อ.นิครนถ์ ท.) เหลา่ นนั่ เหน็ จะเป็นผ้เู ป็นไปกบั ด้วยความ- ละอาย (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ฯ อ.นคิ รนถ์ ท. ฟังแล้ว ซง่ึ คำ� นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ อ.เรา ท. ยอ่ มปกปิด ตํ สุตฺวา นิคฺคณฺฐา “น มยํ เอเตน การเณน ด้วยเหตุ นนั่ หามิได้, แตว่ า่ อ.เรา ท. (คดิ แล้ว) วา่ อ.ละออง ท. ปฏิจฺฉาเทม, `ปํ สุรชาทโย ปน ปุคฺคลาเอว มีฝ่ ุนและธุลีเป็ นต้ นน่ันเทียว เป็ นสภาพเนื่องเฉพาะแล้ว ชีวิตนิ ฺทฺริยปปฺ ฏิพทฺธา; เอวเมเต โน ภิกฺขาภาชเนสุ ด้วยชีวิตนิ ทริย์ (ยอ่ มเป็น), (ครัน้ เม่ือความเป็น) อยา่ งนนั้ (มีอย)ู่ มา ปตสึ ตู ิ อิมินา การเณน ปฏิจฺฉาเทมาติ วตฺวา (อ.ละออง ท.) เหลา่ นนั้ อยา่ ตกแล้ว ในภาชนะแหง่ ภิกษา ท. เตหิ สทฺธึ วาทปปฺ ฏิวาทวเสน พหํุ กถํ กรึส.ุ ของเรา ท. ดงั นี ้ ยอ่ มปกปิ ด ด้วยเหตุ นี ้ ดงั นี ้ กระท�ำแล้ว ซงึ่ วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว มาก ด้วยสามารถแหง่ การกลา่ วและ- การกลา่ วตอบ กบั (ด้วยภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ฯ 132 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.ภกิ ษุ ท. เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา กราบทลู แล้ว ซง่ึ ความ ภิกฺขู สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา นิสนิ ฺนกาเล ตํ เป็นไปทว่ั นนั้ ในกาล (แหง่ ตน) นง่ั แล้ว ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ปวตฺตึ อาโรเจสํ.ุ สตฺถา “ภิกฺขเว อลชฺชิตพฺเพ ลชฺชิตฺวา ดกู ่อนภิกษุ ท. ชื่อ (อ.สตั ว์ ท.) ผ้ลู ะอายแล้ว (ในเพราะวตั ถ)ุ อนั ลชชฺ ติ พเฺ พ อลชชฺ มานา นาม ทคุ คฺ ตปิ รายนาว โหนตฺ ตี ิ อนั บคุ คล ไมพ่ งึ ละอาย ไมล่ ะอายอยู่ (ในเพราะวตั ถ)ุ อนั อนั บคุ คล วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ พึงละอาย เป็ นผู้มีทุคติเป็ นที่ไปในเบือ้ งหน้าเทียว ย่อมเป็ น ดงั นี ้ ฯ เม่ือทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ (อ.สตั ว์ ท.) ย่อมละอาย (ในเพราะวตั ถ)ุ อนั บคุ คล- “อลชฺชิตาเย ลชฺชนตฺ ิ ลชฺชิตาเย น ลชฺชเร ไม่พึงละอาย ย่อมไม่ละอาย (ในเพราะวตั ถ)ุ อนั บคุ คล- อมิภจฺฉเยาทิฏฺฐภิสยมทาสทสฺ าิโนนา สตฺตา คจฺฉนตฺ ิ ทคุ ฺคตึ. พึงละอาย ผูถ้ ือเอาดว้ ยดีซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไป สู่ทคุ ติ ฯ มิจฺฉาทิฏฺ ฐิสมาทานา ภเย จ อภยทสสฺ ิโน (อ.สตั ว์ ท.) ผูเ้ ห็นว่าอนั บคุ คลพึงกลวั โดยปกติ (ในวตั ถ)ุ สตฺตา คจฺฉนตฺ ิ ทคุ ฺคตินตฺ ิ. อนั บคุ คลไมพ่ งึ กลวั ดว้ ย ผเู้ หน็ วา่ อนั บคุ คลไมพ่ งึ กลวั โดยปกติ (ในวตั ถ)ุ อนั บคุ คลพงึ กลวั ดว้ ย ผถู้ ือเอาดว้ ยดีซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไป สู่ทคุ ติ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ เพราะภาชนะแหง่ ภกิ ษา อนั อนั บคุ คลไมพ่ งึ ละอาย ตตถฺ “อลชชฺ ติ าเยต:ิ อลชชฺ ติ พเฺ พน ภกิ ขฺ าภาชเนน. (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อลชชฺ ติ าเย ภิกฺขาภาชนํ หิ อลชฺชิตพฺพํ นาม. เต ปน ตํ ดงั นี ้ ฯ จริงอยู่ อ.ภาชนะแหง่ ภิกษา ชื่อวา่ เป็นวตั ถอุ นั บคุ คล ปฏิจฺฉาเทตฺวา วิจรนฺตา เตน ลชฺชนฺติ นาม. ไมพ่ งึ ละอาย (ยอ่ มเป็น) ฯ แตว่ า่ อ.สตั ว์ ท. เหลา่ นนั้ ปกปิ ดแล้ว ลชฺชิตาเยติ: อปฺปฏิจฺฉนฺเนน หิริโกปิ นงฺเคน. (ซงึ่ ภาชนะแหง่ ภิกษา) นนั้ เที่ยวไปอยู่ ช่ือวา่ ยอ่ มละอาย หิริโกปิ นงฺคญฺหิ ลชฺชิตพฺพํ นาม. (เพราะวตั ถอุ นั บคุ คลไมพ่ งึ ละอาย) นนั้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ เพราะอวยั วะ อนั ยงั หิริให้ก�ำเริบ อนั อนั บคุ คลไมป่ กปิ ดแล้ว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ลชชฺ ิตาเย ดงั นี ้ ฯ จริงอยู่ อ.อวยั วะอนั ยงั หิริให้ก�ำเริบ ช่ือวา่ เป็นวตั ถอุ นั บคุ คลพงึ ละอาย (ยอ่ มเป็น) ฯ แตว่ า่ (อ.สตั ว์ ท.) เหลา่ นนั้ ไมป่ กปิ ดแล้ว (ซงึ่ อวยั วะ เต ปน ตํ อปปฺ ฏิจฺฉาเทตฺวา วจิ รนฺตา ลชฺชิตาเย อันยังหิริให้ก�ำเริบ) นัน้ เท่ียวไปอยู่ ช่ือว่าย่อมไม่ละอาย น ลชฺชนฺติ นาม. เตน เตสํ อลชฺชิตพฺเพน ลชฺชตํ (ในเพราะวตั ถ)ุ อนั บคุ คลพงึ ละอาย ฯ อ.อธบิ ายวา่ อ.ความเหน็ ผดิ ลชฺชิตพฺเพน อลชฺชตํ ตุจฺฉคฺคหณภาเวน จ ยอ่ มเป็น เพราะความเป็นคอื อนั ถอื เอาเปลา่ (แหง่ สตั ว์ ท.) เหลา่ นนั้ อญฺญถาคหณภาเวน ทจคุเตฺคตมึมิจิจฺฉคฺฉาจาทฺฉทิฏนิฏฺ ฐฺตฺ ฐิ ีติสิโมหาตอทิ,ตาฺโนถตา.ํ ผ้ลู ะอายอยู่ (เพราะวตั ถ)ุ อนั อนั บคุ คลไมพ่ งึ ละอาย ผ้ไู มล่ ะอายอยู่ สมาทยิตฺวา วิจรนฺตา (เพราะวตั ถ)ุ อนั อนั บคุ คลพงึ ละอาย นนั้ ด้วย เพราะความเป็นคอื อนั สตฺตา นิรยาทิเภทํ ถอื เอาโดยประการอน่ื ด้วย, อ.สตั ว์ ท. เหลา่ นนั้ ผู้ ถอื เอาด้วยดแี ล้ว (ซง่ึ มิจฉาทิฏฐิ) นนั้ เท่ียวไปอยู่ ชื่อวา่ ผ้ถู ือเอาด้วยดีซง่ึ มิจฉาทิฏฐิ ยอ่ มไป สทู่ คุ ติ อนั ตา่ งโดยทคุ ตมิ ีนรกเป็นต้น ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.ภาชนะแหง่ ภิกษา ช่ือวา่ เป็นวตั ถอุ นั บคุ คล อภเยต:ิ ภิกฺขาภาชนํ นิสสฺ าย ราคโทสโมห- ไมพ่ งึ กลวั เพราะอนั ไมเ่ กดิ ขนึ ้ แหง่ ภยั คอื ราคะและโทสะและโมหะ- อมาภนยทํ ฏิ นฺฐากิ มเิ ล.สทภจุ เจฺยรนิตภตยาํ นปํ ฏอิจนฺฉปุ าปฺ เชทชฺ นนฺตโตา ภกิ ขฺ าภาชนํ และมานะและทิฏฐิและกิเลสและทจุ ริต ท. เพราะอาศยั ซง่ึ ภาชนะ ปน อภเย แหง่ ภิกษา (ยอ่ มเป็น), ก็ (อ.สตั ว์ ท.) ผ้ปู กปิ ดอยู่ ซงึ่ ภาชนะ ภยทสฺสิโน นาม. หิริโกปิ นงฺคํ ปน นิสฺสาย แหง่ ภิกษา นนั้ เพราะอันกลัว ชื่อว่า เป็ นผู้เห็นว่าอันบุคคล ราคาทีนํ อุปฺปชฺชนโต ตํ ภยํ นาม. ตสฺส พึงกลวั โดยปกติ (ในวตั ถ)ุ อนั บคุ คลไมพ่ งึ กลวั (ยอ่ มเป็น) ฯ อปฺปฏิจฺฉาทเนน ภเย จ อภยทสฺสิโน. ตสฺส สว่ นวา่ (อ.อวยั วะ อนั ยงั ความละอายให้กำ� เริบ) นนั้ ชอ่ื วา่ เป็นวตั ถุ อญฺญถา จสตคฺตหาณทสคุ ฺสฺคตสึ มคาจทฺฉินนฺนฺตตีตฺติ อาตฺโมถิจ.ฺฉาทิฏฺ ฐิ- อนั บคุ คลพงึ กลวั เพราะอนั เกิดขนึ ้ (แหง่ ภยั ท.) มีราคะเป็นต้น สมาทานา เพราะอาศัย ซ่ึงอวัยวะอันยังหิริให้ก�ำเริบ (ย่อมเป็ น) ฯ (อ.สตั ว์ ท.) ชื่อวา่ ผ้ถู ือเอาด้วยดีซง่ึ ความเหน็ ผิด เพราะความท่ี (แหง่ ความถือเอา) นนั้ ด้วย แหง่ ความถือเอา โดยประการอ่ืนด้วย เป็นความถือเอาอนั ตนถือเอาด้วยดีแล้ว ยอ่ มไป สทู่ คุ ติ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ อภเย ดงั นี ้เป็นต้น ฯ ผลิตสือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 133 www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.นิครนถ์ ท. มาก มีใจอนั เทสนาวสาเน พหู นิคฺคณฺฐา สวํ คิ ฺคมานสา สลดแล้ว บวชแล้ว ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจามี ปพฺพชสึ .ุ สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิ ประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งนิครนถ์ นิคคฺ ณฺฐวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๙. อ(.อเรัน่ือขง้าแพหเ่งจส้าาจวะกกขลอ่างวเด) ยีฯรถยี ์ ๙. ตติ ถฺ ยิ สาวกวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อวชเฺ ชติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต ซงึ่ สาวกของเดียรถีย์ ท. ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ตติ ฺตยิ สาวเก อารพฺภ กเถส.ิ อวชเฺ ช ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร ในสมยั หนง่ึ อ.สาวกของอญั ญเดยี รถยี ์ ท. เอกสมฺ ึ หิ สมเย อญฺญตติ ฺถิยสาวกา อตฺตโน เหน็ แล้ว ซง่ึ บตุ ร ท. ของตน ผ้เู ป็นไปกบั ด้วยบริวาร ผ้เู ลน่ อยู่ กบั สปปตุ รฺเติวาเรสมกมฺ ีฬามทาิฏเฺฐนกิ าทนิสํ ฺวาอปุ เาคสหกํ าอนาํคตปกตุ าฺเเตลหิ สทฺธึ ด้วยบตุ ร ท. ของอบุ าสก ท. ผ้มู ีความเหน็ โดยชอบ (ยงั บตุ ร ท. “น โว เหลา่ นนั้ ) ให้กระท�ำแล้ว ซง่ึ การสบถ วา่ อ.สมณะท. ผ้ศู ากยบตุ ร สมณา สกฺยปตุ ฺตยิ า วนฺทิตพฺพา, นาปิ เตสํ อนั เจ้า ท. ไมพ่ งึ ไหว้, (อนั เจ้า ท.) พงึ เข้าไป สวู่ หิ าร (ของสมณะ ท.) วหิ ารํ ปวสิ ติ พฺพนฺติ สปถํ การยสึ .ุ เต เอกทิวสํ เหลา่ นนั้ แม้หามิได้ ดงั นี ้ ในกาล (แหง่ บตุ ร ท. เหลา่ นนั้ ) มาแล้ว เชตวนวหิ ารสสฺ พหิทฺวารโกฏฐกสามนฺเต กีฬนฺตา สเู่ รือน ฯ ในวนั หนง่ึ (อ.เดก็ ท.) เหลา่ นนั้ เลน่ อยู่ ในท่ีใกล้แหง่ ซ้มุ ปิ ปาสติ า อเหส.ํุ แหง่ ประตูภายนอก แห่งวิหารช่ือว่าเชตวัน เป็ นผู้กระหายแล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ (อ.เดก็ ท. เหลา่ นนั้ ) สง่ ไปแล้ว ซงึ่ เดก็ ของอบุ าสก อเถกํ อปุ าสกทารกํ “ตฺวํ คนฺตฺวา เอตฺถ ปานียํ คนหนง่ึ สวู่ หิ าร (ด้วยค�ำ) วา่ อ.เจ้า ไปแล้ว ด่ืมแล้ว ซง่ึ น�ำ้ อนั บคุ คล ปิ วติ ฺวา อมหฺ ากํปิ อาหราหีติ วิหารํ ปหิณสึ .ุ โส พงึ ดม่ื (ในพระเชตวนั ) นนั่ จงนำ� มา แม้แกเ่ รา ท. ดงั นี ้ฯ (อ.เดก็ ) นนั้ วหิ ารํ ปวิสติ ฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจส.ิ เข้าไปแล้ว สวู่ ิหาร ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา กราบทลู แล้ว อถ นํ สตฺถา “ตฺวเมว ปานียํ ปิ วติ ฺวา คนฺตฺวา อิตเรปิ ซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะเดก็ ) นนั้ วา่ ปานียํ ปิ วนตฺถาย อิเธว เปเสหีติ อาห. อ.เจ้านนั่ เทียว ดื่มแล้ว ซงึ่ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ดื่ม ไปแล้ว จงสง่ ไป (ซงึ่ เดก็ ท.) แม้เหลา่ นอกนี ้ (ในท่ี) นีน้ น่ั เทียว เพื่อประโยชน์ แก่อนั ดื่ม ซงึ่ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม ดงั นี ้ฯ (อ.เดก็ ของอบุ าสก) นนั้ ได้กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ (อ.เดก็ ท.) โส ตถา อกาส.ิ เต อาคนฺตฺวา ปานียํ ปิ วสึ .ุ เหลา่ นนั้ มาแล้ว ด่ืมแล้ว ซงึ่ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม ฯ อ.พระศาสดา สตฺถา เต ปกฺโกสาเปตฺวา เตสํ สปปฺ ายํ ธมมฺ กถํ (ทรงยงั ภิกษุ) ให้ร้องเรียกแล้ว (ซง่ึ เดก็ ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว กเถตฺวา เต อจลสทฺเธ กตฺวา สรเณสุ จ สีเลสุ จ ซง่ึ ธรรมกถา อนั เป็นที่สบาย (แก่เดก็ ท.) เหลา่ นนั้ ทรงกระท�ำแล้ว ปมาตตฏิ าฺฐปาิเตปนู สํ .ิ อาเโตรเจสสกํ.ุ านิ เคหานิ คนฺตฺวา ตมตฺถํ (ซงึ่ เดก็ ท.) เหลา่ นนั้ ให้เป็นผ้มู ีศรัทธาไมห่ วน่ั ไหว (ทรงยงั เดก็ ท. เหลา่ นนั้ ) ให้ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในสรณะ ท. ด้วย ในศีล ท. ด้วย ฯ (อ.เดก็ ท.) เหลา่ นนั้ ไปแล้ว สเู่ รือน ท. อนั เป็นของตน บอกแล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ แก่มารดาและบดิ า ท. ฯ 134 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ครงั้ นนั้ อ.มารดาและบดิ า ท. (ของเดก็ ท.) เหลา่ นนั้ ผ้ถู งึ แล้ว อถ เโนทสมํนมสาสฺ ตปาปฺปิตตฺตโรา“ปปตุริเฺตทกวาสึ .ุโนอถวปิ เนนฺนสทํ ิฏเฺฉฐกกิ าา ซง่ึ ความโทมนสั วา่ อ.ลกู น้อย ท. ของเรา ท. เป็นผ้มู ที ฏิ ฐิอนั วบิ ตั แิ ล้ว ชาตาติ เกดิ แล้ว ดงั นี ้คร่�ำครวญแล้ว ฯ ครงั้ นนั้ อ.มนษุ ย์ ท. ผ้คู ้นุ เคย ผ้ฉู ลาด ปฏิวิสสฺ กา มนสุ ฺสา อาคนฺตฺวา โทมนสฺสวปู สมตฺถาย มาแล้ว กลา่ วแล้ว ซง่ึ ธรรม (แก่ชน ท.) เหลา่ นนั้ เพื่อต้องการ ธมมฺ ํ กถยสึ .ุ เต เตสํ กถํ สตุ ฺวา “อิเม ทารเก สมณสสฺ แก่อนั ยงั ความโทมนสั ให้เข้าไปสงบวเิ ศษ ฯ (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ โคตมสเฺ สว นิยฺยาเทสฺสามาติ มหนฺเตน ญาตคิ เณน ฟังแล้ว ซง่ึ วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว ของมนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ (กลา่ วแล้ว) สทฺธึ วหิ ารํ นยสึ .ุ สตฺถา เตสํ อาสยํ โอโลเกตฺวา ธมมฺ ํ วา่ (อ.เรา ท.) จกั มอบถวาย ซง่ึ เดก็ ท. เหลา่ นี ้แกพ่ ระสมณะ ผ้โู คดม เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ นน่ั เทียว ดงั นี ้ น�ำไปแล้ว สวู่ หิ าร กบั ด้วยหมแู่ หง่ ญาติ หมใู่ หญ่ ฯ อ.พระศาสดา ทรงตรวจดแู ล้ว ซง่ึ ธรรมเป็นที่อาศยั (ของชน ท.) เหลา่ นนั้ เมื่อทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ (อ.สตั ว์ ท.) ผูม้ ีความรู้ว่ามีโทษ (ในธรรม) อนั ไม่มีโทษ “อวชฺเช วชฺชมติโน วชฺเช อวชฺชทสสฺ ิโน ผูเ้ ห็นว่าไม่มีโทษโดยปกติ (ในธรรม) อนั มีโทษ ผูถ้ ือเอา- วมชิจฺชฺฉญาทฺจิฏวฺ ฐชิสฺชมโาตทญานตาฺวา สตฺตา คจฺฉนตฺ ิ ทคุ ฺคตึ. ดว้ ยดีซ่ึงมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไป สู่ทคุ ติ ฯ อ.สตั ว์ ท. รู้แลว้ อวชฺชญฺจ อวชฺชโต (ซึ่งธรรม) อนั มีโทษ โดยความเป็นธรรมมีโทษ ดว้ ย สมมฺ าทิฏฺฐิสมาทานา สตตฺ า คจฉฺ นตฺ ิ สคุ คฺ ตินตฺ ิ. (ซึ่งธรรม) อนั ไม่มีโทษ โดยความเป็นธรรมไม่มีโทษ ดว้ ย ผูถ้ ือเอาดว้ ยดีซ่ึงสมั มาทิฏฐิ ย่อมไป สู่สคุ ติ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ในสมั มาทิฏฐิ อนั มีวตั ถุ ๑๐ ด้วย ในธรรม อนั เป็น ตสสฺ าตตอฺถปุ น“ิสอฺสวยชภเฺ ชเู ตต:ิธมทเฺ มสวจต.ฺถวกุ ชายชฺ มตสโิมนมฺ ตา:ิทิฏ“ฺวฐชยิ ฺชาํ อปุ นิสยั แหง่ สมั มาทิฏฐินนั้ เป็นแล้ว ด้วย (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อวชเฺ ช ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้มู คี วามรู้อนั เกดิ ขนึ ้ แล้ว อปิทนนตฺตสิ สฺ าอปุ อปฺปุ นนฺนสิ สมฺ ยตธโิ มนมฺ. สงทขฺ สาวเตตฺถจกุ วมชิจเฺ ฺฉชาอทวิฏชฺฐชฺ สิทงสฺขสฺ าโิ เนต. วา่ (อ.ธรรมชาต)ิ นี ้ มีโทษ ดงั นี ้ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ วชชฺ มตโิ น ดงั นี ้ ฯ แตว่ า่ (อ.สตั ว์ ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นผ้เู หน็ วา่ ไมม่ ีโทษโดยปกติ (ในธรรม) อนั มโี ทษ อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ มจิ ฉาทฏิ ฐิมวี ตั ถุ ๑๐ ด้วย อนั บณั ฑติ นบั พร้อมแล้ววา่ ธรรมอนั เป็นอปุ นสิ ยั แหง่ มจิ ฉาทฏิ ฐิ นนั้ ด้วย (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.อธิบาย วา่ อ.สตั ว์ ท. ชื่อวา่ ผ้ถู ือเอาด้วยดีซงึ่ มิจฉาทิฏฐิ เอตสิ ฺสา อวชฺชํ วชฺชโต วชฺชญฺจ อวชฺชโต เพราะความท่ี แหง่ มิจฉาทิฏฐิ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ อนั รู้แล้ว ญทมติจุ ตฺฉยิ ฺวาคาทาิฏถคฺาฐหยสิ ณมสวาตุงทฺขฺตาาวนติปาารยสิยตามเฺตยิจานฺฉทาอทคุ ติฏฺคฺโฺฐตถยิึ คาเวจสทฺฉมิตนาพฺตทีตฺโพินิ อฺน. ตตฺโฺตถา. (ซงึ่ ธรรม) อนั ไมม่ ีโทษ โดยความเป็นธรรมมีโทษ ด้วย (ซง่ึ ธรรม) อนั มีโทษ โดยความเป็นธรรมไมม่ ีโทษ ด้วย ถือเอา นน่ั ยอ่ มไป สทู่ คุ ติ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑติ พงึ ทราบ) ฯ อ.เนอื ้ ความ แหง่ พระคาถาท่ี ๒ (อนั บณั ฑติ พงึ ทราบ) โดยความผดิ ตรงกนั ข้ามจากคำ� อนั ข้าพเจ้า กลา่ วแล้ว ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ปวง อปราเทปสรํนธามวมฺสาํ เสนณุ สนพฺตฺเาพปโิสเตตาปตตีสฺตุ สผิ รเเลณสปุตปฏิ ตฺฐฏิหฺฐสึ าตู ย.ิ ตัง้ อยู่เฉพาะแล้ว ในสรณะ ท. ๓ ฟังอยู่ ซ่ึงธรรม อ่ืนอีกๆ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห(จ่งบสาแวลก้วข) อฯงเดยี รถยี ์ ตติ ถฺ ยิ สาวกวตถฺ ุ. แอห.ก่งวถรารเปค็ นอันเเบครณั ่จือฑบงพติแกลรร้ำ�วณหฯนนดาแซ่ลงึ เ้วนดือ้้วคยวนารมก นิรยวคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อ.วรรคท่ี ๒๒ ทวฺ าวีสตโิ ม วคโฺ ค (จบแล้ว) ฯ ผลติ สื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 135 www.kalyanamitra.org
ว๒ร๓ร.คออ.ันกถบาณั เ(ปฑอ็ นติันเกขค้ำ�ารหพ่ือนเงจพด้าแรจรลณะ้วกดนล้วา่ายซวช่งึ )้าเฯนงตือ้ วัคปวราะมเแสหร่ิงฐ ๒๓. นาควคคฺ วณฺณนา (๑อ.ันอข.้าเรพ่ือเจงแ้าหจ่งะพกรละ่าอวง)คฯ์ ๑. อตตฺ โนวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือเสดจ็ ประทบั ในเมืองโกสมั พี ทรงปรารภ “อหํ นาโควาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา โกสมพฺ ิยํ ซงึ่ พระองค์ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ อหํ นาโคว วหิ รนฺโต อตฺตานํ อารพฺภ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง (อนั ข้าพเจ้า) ให้พสิ ดารแล้ว ในกถาเป็นเคร่ือพรรณนา วตฺถุ อปปฺ มาทวคฺคสสฺ อาทิคาถาวณฺณนาย ซงึ่ เนือ้ ความแหง่ พระคาถาเบือ้ งต้น แหง่ อปั ปมาทวรรค นน่ั เทียว ฯ วิตฺถาริตเมว. วตุ ฺตํ เหตํ ตตฺถ “มาคนฺทิยา ตาสํ จริงอยู่ (อ.ค�ำ) นน่ั วา่ อ.พระนางมาคนั ทิยา ไมท่ รงอาจแล้ว กิญฺจิ กาตํุ อสกฺกณุ ิตฺวา `สมณสสฺ โคตมสเฺ สว เพื่ออนั ทรงกระท�ำ (ซงึ่ กรรม) อะไรๆ (แก่หญิง ท.) เหลา่ นนั้ กตตฺ พพฺ ํ กริสสฺ ามตี ิ นาครานํ ลญจฺ ํ ทตวฺ า `สมณํ โคตมํ (ทรงดำ� ริแล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั กระทำ� (ซง่ึ กรรม) อนั (อนั เรา) พงึ กระทำ� อนฺโตนครํ ปวิสติ ฺวา วจิ รนฺตํ ทาสกมมฺ กรโปริเสหิ แกพ่ ระสมณะ ผ้โู คดมนน่ั เทยี ว ดงั นี ้ประทานแล้ว ซงึ่ สนิ จ้าง (แกช่ น ท.) สทฺธึ อกฺโกสติ ฺวา ปริภาสติ ฺวา ปลาเปถาติ อาห. ผ้อู ยใู่ นพระนคร (ตรสั แล้ว) วา่ (อ.ทา่ น ท.) กบั ด้วยประชมุ แหง่ บรุ ุษ ผ้เู ป็นทาสและกรรมกร ท. ดา่ แล้ว บริภาษแล้ว ซง่ึ พระสมณะ ผ้โู คดม ผู้ เสดจ็ เข้าไปแล้ว สภู่ ายในแหง่ พระนคร เสดจ็ เที่ยวไปอยู่ (ยงั พระสมณะ ผ้โู คดม) จงให้เสดจ็ หนีไปเถิด ดงั นี ้ฯ (อ.ชน ท.) ผ้มู ีความเหน็ ผิด ผ้ไู มเ่ ล่อื มใสแล้ว ในรัตนะ ท. ๓ นโปอตวฏิฏฺถฺโฺฐิมฐตํสิจสยฺุิฉตฺหโาคฺถํทโสาิฏณรคฺุฐํ ตสกิอิ,ิานคทพุตทคุ นีสฺรฺคโฺธุ ภตริตตเิสฺวยเิานวเนส`ตโรุ จอยุยโปฺหิโรกปํฺสสปสิ ิาพนตฏาฺนริ ิกโาจลงฺฉสฺขอาาินนตมฺโคติฬู ทโนฺโตสหคสหสร,ิ ํิิ ตดิ ตามแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ผ้เู สดจ็ เข้าไปแล้ว สภู่ ายในแหง่ พระนคร ยอ่ มดา่ ยอ่ มบริภาษ ด้วยวตั ถเุ ป็นเคร่ืองดา่ ท. ๑๐ วา่ (อ.เจ้า) เป็นโจร ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นพาล ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นผู้ หลงแล้ว ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นอฐู ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นโค ยอ่ มเป็น อกฺโกสวตฺถหู ิ อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺต.ิ (อ.เจ้า) เป็นลา ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นสตั วผ์ ้เู กดิ แล้วในนรก ยอ่ มเป็น (อ.เจ้า) เป็นสตั ว์ดริ ัจฉาน ยอ่ มเป็น, อ.สคุ ติ ของเจ้า ยอ่ มไมม่ ี อ.ทคุ ตนิ น่ั เทียว อนั เจ้า พงึ หวงั เฉพาะ ดงั นี ้ฯ อ.พระอานนท์ ผ้มู ีอายุ ฟังแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) นนั้ ได้กราบทลู แล้ว ตํ สตุ ฺวา อายสฺมา อานนฺโท สตฺถารํ เอตทโวจ (ซง่ึ คำ� ) นนั้ กะพระศาสดา วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยู่ `ภนฺเต อิเม นาครา อมเฺ ห อกฺโกสนฺติ ปริภาสนต,ิ ในพระนคร เหลา่ นี ้ยอ่ มดา่ ยอ่ มบริภาษ ซง่ึ เรา ท., (อ.เรา ท.) ขอจงไป อิโต อญฺญตฺถ คจฺฉามาต.ิ `กหุ ึ อานนฺทาต.ิ (ในที่) อื่น (จากท่ี) นี ้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ `อญฺญํ นครํ ภนฺเตต.ิ `ตตฺถ มนสุ เฺ สสุ อกฺโกสนฺเตสุ ดกู ่อนอานนท์ (อ.เรา ท. จะไป) ในท่ีไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระอานนท์ ปริภาสนฺเตส,ุ ปนุ กตฺถ คมิสฺสาม อานนฺทาต.ิ ผ้มู อี ายุ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.เรา ท. จะไป) `ตโตปิ อญฺญํ นครํ ภนฺเตต.ิ `ตตฺถ มนสุ ฺเสสุ สู่พระนคร อื่น ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) ว่า อกฺโกสนฺเตสุ ปริภาสนฺเตส,ุ กหุ ึ คมิสสฺ าม อานนฺทาติ. ดกู อ่ นอานนท์ ครนั้ เมอ่ื มนษุ ย์ ท. (ในพระนคร) นนั้ ดา่ อยู่ บริภาษอยู่ `ตโตปิ อญฺญํ นครํ ภนฺเตต.ิ `อานนฺท น เอวํ กาตํุ (อ.เรา ท.) จกั ไป (ในท)่ี ไหน อกี ดงั นี ้ ฯ (อ.พระอานนท์ กราบทลู แล้ว) วฏฺ ฏต,ิ วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.เรา ท. จะไป) สพู่ ระนคร อน่ื จากพระนคร แม้นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ดกู ่อนอานนท์ ครัน้ เม่ือมนษุ ย์ ท. (ในพระนคร) นนั้ ดา่ อยู่ บริภาษอยู่ (อ.เรา ท.) จกั ไป ในที่ไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระอานนท์ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.เรา ท. จะไป) สพู่ ระนครอน่ื (จากพระนคร) แม้นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนอานนท์ อ.อนั กระท�ำ อยา่ งนี ้ยอ่ มไมค่ วร, 136 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.อธิกรณ์ เกิดขนึ ้ แล้ว (ในท่ี) ใด, (ครัน้ เมื่ออธิกรณ์) นนั้ ยตฺถ อธิกรณํ อปุ ปฺ นฺนํ, ตตฺเถว ตสฺมึ วปู สนฺเต, เข้าไปสงบวเิ ศษแล้ว (ในท)ี่ นนั้ นนั่ เทยี ว อ.อนั ไป (สทู่ )่ี อน่ื ยอ่ มควร, อญฺญํ คทนาฺตสํุ กวมฏฺมฺฏกตเ;ิ รเกอปุปานทเาตย อานนฺท อกฺโกสนฺตีต.ิ ดกู ่อนอานนท์ ก็ อ.ชน ท. เหลา่ นนั้ เหลา่ ไหน ยอ่ มดา่ ดงั นี ้ ฯ `ภนฺเต สพฺเพ อกฺโกสนฺตีติ. (อ.พระอานนท์ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ชน ท.) `อหํ อานนฺท สงฺคามํ โอตณิ ฺณหตฺถิสทิโส, สงฺคามํ ทงั้ ปวง เข้าไปถือเอา ซง่ึ ทาสและกรรมกร ท. ยอ่ มดา่ ดงั นี ้ ฯ โอตณิ ฺณหตฺถิโน หิ จตหู ิ ทิสาหิ อาคเต สเร สหิตํุ (อ.พระศาสดา) ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอานนท์ อ.เรา เป็นผ้เู ชน่ กบั ภาโร, ตเถว พหหู ิปิ ทสุ สฺ เี ลหิ กถิตกถานํ สหนํ ด้วยช้างตวั ข้ามลงแล้ว สสู่ งคราม (ยอ่ มเป็น), เหมือนอยา่ งวา่ นาม มยฺหํ ภาโรติ วตฺวา อตฺตานํ อารพฺภ ธมมฺ ํ อ.อนั อดกลนั้ ซง่ึ ลกู ศร ท. อนั มาแล้ว จากทิศ ท. ๔ เป็นภาระ เทเสนฺโต นาควคฺเค อิมา คาถา อภาสิ ของช้างตวั ข้ามลงแล้ว สสู่ งคราม (ยอ่ มเป็น ฉนั ใด), ชื่อ อ.อนั อดกลนั้ ซงึ่ วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว อนั (อนั ชน ท.) ผ้มู ศี ลี อนั โทษ ประทษุ ร้ายแล้ว แม้มาก กลา่ วแล้ว ท. เป็นภาระ ของเรา (ยอ่ มเป็น) ฉนั นนั้ นนั่ เทียว ดงั นี ้ เมื่อทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ปรารภ ซงึ่ พระองค์ ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้ ในนาควรรค วา่ อ.เรา จักอดกลน้ั ซึ่งค�ำอนั บุคคลพึงกล่าวล่วงเกิน “อหํ นาโคว สงฺคาเม จาปาโต ปติตํ สรํ เพียงดงั อ.ช้างตวั ประเสริฐ (อดกลน้ั อยู่) ซ่ึงลูกศร อติวากฺยํ ติติกฺขิสฺสํ, ทสุ ฺสีโล หิ พหชุ ฺชโน. อนั ตกแลว้ จากแล่ง ในสงคราม, เพราะว่า อ.ชนมาก ทนตฺ ํ นยนตฺ ิ สมิตึ, ทนตฺ ํ ราชาภิรูหติ, เป็นผมู้ ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.ชน ท.) วทรนมโฺ สตฺสเตสรฏาฺโฐ มนสุ เฺ สส,ุ โยติวากฺยํ ติติกฺขติ, ย่อมน�ำไป (ซ่ึงพาหนะ) อนั บคุ คลฝึกแลว้ สู่ทีป่ ระชมุ , ทนตฺ า อาชานียา จ สินธฺ วา อ.พระราชา ย่อมเสด็จขึ้น (สพู่ าหนะ) อนั บคุ คลฝึกแลว้ , กญุ ฺชรา จ มหานาคา, อตฺตทนโฺ ต ตโต วรนตฺ ิ. (อ.บคุ คล) ใด ยอ่ มอดกลน้ั ซึ่งคำ� อนั บคุ คลพงึ กลา่ วลว่ งเกิน, (อ.บคุ คล นนั้ ) ผูฝ้ ึกแลว้ เป็นผูป้ ระเสริฐทีส่ ดุ ในมนษุ ย์ ท. (ยอ่ มเป็น), อ.มา้ อสั ดร ท. ดว้ ย อ.มา้ สนิ ธพ ท. ตวั อาชาไนย ดว้ ย อ.ช้างใหญ่ ท. ชนิดกุญชร ด้วย ตวั อนั บุคคลฝึ กแล้ว เป็นสตั ว์ประเสริฐ ย่อมเป็น, (อ.บคุ คล) ผูม้ ีตนอนั ฝึกแลว้ เป็ นผู้ประเสริ ฐ (กว่าพาหนะมีม้าอัสดรเป็ นต้น) นน้ั (ย่อมเป็ น ดงั นี้) ดงั นี้ (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว (ในอปั ปมาทวรรค) นนั้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ราวกะ อ.ช้าง (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “นาโควาต:ิ หตฺถี วยิ . จาปาโต ปตติ นฺต:ิ (แหง่ บท) วา่ นาโคว ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ อนั พ้นแล้ว จากธนู ธนโุ ต มตุ ฺตํ. อตวิ ากยฺ นฺต:ิ อฏฺ ฐอนริยโวหารวเสน (ดงั นี ้แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ จาปาโต ปตติ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) ปวตฺตํ วีตกิ ฺกมวจนํ. ว่า ซ่ึงค�ำเป็ นเหตุก้าวล่วง อันเป็ นไปทั่วแล้ว ด้วยอ�ำนาจ แหง่ โวหารอนั มิใชข่ องพระอริยะ ๘ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อตวิ ากยฺ ํ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ ว่า อ.ช้างตัวประเสริฐ ตัวอันบุคคลฝึ กดีแล้ว ตติ กิ ขฺ สิ สฺ นฺต:ิ ยถา สงฺคามาวจโร สทุ นฺโต ตัวเที่ยวลงสู่สงคราม เป็ นสัตว์อดทน (ต่อการประหาร ท.) มหานาโค ขโม สตฺตปิ ปฺ หาราทีนํ จาปาโต มจุ ฺจิตฺวา มกี ารประหารด้วยหอกเป็นต้น (เป็น) ไมพ่ รน่ั พรงึ อยู่ ชอื่ วา่ ยอ่ มอดกลนั้ อตฺตนิ ปติเต สเร อวิหญฺญมาโน ติตกิ ฺขต;ิ เอวเมว ซงึ่ ลกู ศร ท. อนั พ้นแล้ว จากแลง่ ตกลงแล้ว ที่ตน ฉนั ใด, (อ.เรา) เอวรูปํ อตวิ ากฺยํ ตติ กิ ฺขิสสฺ ํ สหิสสฺ ามีติ อตฺโถ. จกั อดกลนั้ คือว่า จกั อดทน ซงึ่ ค�ำอนั บคุ คลพึงกล่าวล่วงเกิน ทสุ สฺ ีโล หตี :ิ อยํ หิ โลกิยมหาชโน พหุ ทสุ ฺสโี ล มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ฉนั นนั้ นนั่ เทียว ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ตติ กิ ขฺ สิ สฺ ํ ตอตตฺตฺถโอนธริวุจาิวสเนสํนอชวฺฌาจเุ ปํ นกิจฺขฺฉนาํ เเมรตภฺวาาโรฆ. ฏฺเฏนฺโต วิจรต,ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ) วา่ เพราะวา่ อ.โลกิยมหาชน นี ้ ผ้มู าก เป็นผ้ทู ศุ ีล (ยอ่ มเป็น) คือวา่ ยอ่ มเที่ยว เปลง่ ซงึ่ วาจา เสียดสอี ยู่ ด้วยอ�ำนาจแหง่ ความชอบใจ ของตน, อ.อนั อดกลนั้ คือวา่ อ.อนั วางเฉย (ในวาจา) นนั้ เป็นภาระ ของเรา (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ทสุ สฺ ีโล หิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ผลิตส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 137 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ) วา่ จริงอยู่ อ.ชน ท. เมอ่ื ไป สทู่ า่ มกลางแหง่ มหาชน สมติ นิ ตฺ :ิ อยุ ยฺ านกฬี ามณฑฺ ลาทสี ุ หิ มหาชนมชฌฺ ํ (ในที่ ท.) มีอทุ ยานหรือสนามเป็นท่ีเลน่ เป็นต้น เทียมแล้ว ซงึ่ โค คจฺฉนฺตา ทนฺตเมว โคณชาตึ วา อสฺสชาตึ วา ยาเน หรือ หรือวา่ ซงึ่ ม้า ตวั อนั ตนฝึกแล้วนน่ั เทียว ที่ยาน ยอ่ มน�ำไป โยเชตฺวา นยนฺต.ิ ราชาต:ิ ตถารูปาเนว ฐานานิ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ สมติ ึ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ) วา่ แม้ อ.พระราชา คจฺฉนฺโต ราชาปิ ทนฺตเมว อภิรูหติ. มนุสเฺ สสูต:ิ เม่ือเสดจ็ ไป สทู่ ี่ ท. อนั มีรูปอยา่ งนนั้ นน่ั เทียว ยอ่ มเสดจ็ ขนึ ้ (สู่ มนสุ เฺ สสปุ ิ จตหู ิ อริยมคฺเคหิ ทนฺโต นิพฺพิเสวโนว พาหนะ) อนั อนั บคุ คลฝึกแล้วนนั่ เทียว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ราชา เสฏฺ โฐ. ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.บคุ คล) ผ้ฝู ึกแล้ว ด้วยอริยมรรค ท. ๔ คือวา่ ผ้มู ีอนั เสพผิดออกแล้วเทียว เป็นผ้ปู ระเสริฐท่ีสดุ แม้ใน มนษุ ย์ ท. (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ มนุสฺเสสุ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) ใด ยอ่ มอดกลนั้ คือวา่ ยอ่ มไมโ่ ต้ตอบ โยตวิ ากยฺ นฺต:ิ โย เอวรูปํ อตกิ ฺกมวจนํ ปนุ ปปฺ นุ ํ คือวา่ ยอ่ มไมพ่ ร่ันพรึง ซง่ึ ค�ำเป็นเหตกุ ้าวลว่ ง อนั มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป วจุ ฺจมานํปิ ตติ กิ ฺขติ น ปฏิปผฺ รติ น วิหญฺญต;ิ เอวรูโป แม้อนั ๆ บคุ คลกลา่ วอยู่ บอ่ ยๆ, (อ.บคุ คล) ผ้มู ีอยา่ งนีเ้ป็นรูป (นนั้ ) ทนฺโต เอสาฏชฺโฐาตนิ ียอาตตฺโถ:ิ ย. ํ อสสฺ ตราต:ิ วฬวาย คทฺรเภน ผ้ฝู ึกแล้ว เป็นผ้ปู ระเสริฐท่ีสดุ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ชาตา. อสฺสทมมฺ สารถิ การณํ กาเรต,ิ โยตวิ ากยฺ ํ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ (อ.ม้า ท.) ตวั เกดิ แล้ว จากแมม่ ้า โดยพอ่ ลา ตสฺส ขิปปฺ ํ ชานนสมตฺถา. สินฺธวาต:ิ มสหนิ าฺธหวตรถฺ ฏโิ ฺนเฐ. ช่ือวา่ ม้าอสั ดร ฯ (อ.อรรถ) วา่ อ.นายสารถีผ้ฝู ึกซงึ่ ม้า (ยงั ม้า ท.) ชาตา อสสฺ า. มหานาคาต:ิ กญุ ชฺ รสงขฺ าตา ยอ่ มให้กระท�ำ (ซงึ่ เหต)ุ ใด, ตวั สามารถเพื่ออนั รู้ (ซงึ่ หต)ุ นนั้ พลนั (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อาชานียา ดงั นี ้ ฯ อ.ม้า ท. ตวั เกิดแล้ว ในแวน่ แคว้นชื่อวา่ สนิ ธู ชื่อวา่ ม้าสนิ ธพ ฯ อ.ช้างเชือกใหญ่ ท. อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ กญุ ชร ชื่อวา่ ช้างมหานาค ฯ อ.อรรถ วา่ อ.ม้าอสั ดร ท. หรือ หรือวา่ อ.ม้าสนิ ธพ ท. หรือ อตตฺ ทนฺโตต:ิ เอเต อสสฺ ตรา วา สนิ ฺธวา วา วา่ อ.ช้างกญุ ชร ท. เหลา่ นน่ั ตวั อนั บคุ คลฝึกแล้วเทียว เป็นสตั ว์- กญุ ฺชรา วา ทนฺตาว วรํ, น อทนฺตา; โย ปน จตหู ิ ประเสริฐ (ยอ่ มเป็น), ตวั อนั บคุ คลไมฝ่ ึกแล้ว (เป็นสตั ว์ประเสริฐ อริยมคเฺ คหิ อตตฺ โน ทนตฺ ตาย อตตฺ ทนโฺ ต นพิ พฺ เิ สวโน, ยอ่ มเป็น) หามไิ ด้, สว่ นวา่ (อ.บคุ คล) ใด ชอ่ื วา่ เป็นผ้มู ตี นอนั ฝึกแล้ว อยํ ตโตปิ วรํ, สพฺเพหิปิ เอเตหิ อตุ ฺตริตโรติ อตฺโถ. เพราะความที่ แหง่ ตน เป็นผ้ฝู ึกแล้ว ด้วยอริยมรรค ท. ๔ คือวา่ เป็นผ้มู อี นั เสพผดิ ออกแล้ว (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คล) นี ้ เป็นผ้ปู ระเสริฐ (กว่าพาหนะมีม้าอัสดรเป็ นต้น) แม้นัน้ (ย่อมเป็ น), คือว่า เป็นผ้ยู ิ่งยวดกวา่ (กวา่ พาหนะ ท.) เหลา่ นนั่ แม้ทงั้ ปวง (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อตตฺ ทนฺโต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา อ.มหาชน นัน้ แม้ทัง้ ปวง เทสนาวสาเน ลญฺจํ คเหตฺวา วีถิสงิ ฺฆาฏกาทีสุ ผู้ รบั แล้ว ซง่ึ สนิ จ้าง ยนื ดา่ อยู่ (ในท่ี ท. ) มถี นนและทางแยกเป็นต้น ฐตฺวา อกฺโกสนฺโต สพฺโพปิ โส มหาชโน โสตาปตฺตผิ ลํ บรรลแุ ล้ว ซงึ่ โสดาปัตตผิ ล ดงั นีแ้ ล ฯ ปาปณุ ีต.ิ อ.เร่ือ(จงบแแหล่ง้วพ)รฯะองค์ อตตฺ โนวตถฺ ุ. 138 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๒. อ.เร่ืองแ(หอ่งันภขกิ ้าษพุผเู้จเป้า็ นจคะวกาลญ่าวช)้างฯในกาลก่อน ๒. หตถฺ าจริยปุพพฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “น หิ เอเตหตี ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซง่ึ ภิกษุ ผ้เู ป็นควาญช้างในกาลก่อน รูปหนงึ่ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระ- วิหรนฺโต เอกํ หตฺถาจริยปพุ ฺพกํ ภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิ ธรรมเทศนา นี ้วา่ น หิ เอเตหิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ ในวนั หนงึ่ (อ.ภิกษุ) นนั้ เหน็ แล้ว (ซง่ึ บคุ คล) ผ้ฝู ึก โส กิร เอกทิวสํ อจิรวตีนทีตีเร หตฺถิทมกํ ซงึ่ ช้าง ผู้ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั ฝึก ซงึ่ ช้าง เชอื กหนงึ่ ดงั นี ้ไมอ่ าจอยู่ “เอกํ หตฺถึ ทเมสฺสามีติ อตฺตนา อิจฺฉิตการณํ เพื่ออนั ยงั ช้างให้สำ� เหนียก (ซงึ่ เหต)ุ อนั อนั ตน ปรารถนาแล้ว สกิ ฺขาเปตํุ อสกฺโกนฺตํ ทิสวฺ า, สมีเป เิ ต ภิกฺขู ที่ฝั่งแหง่ แมน่ �ำ้ ชื่อวา่ อจิรวดี, เรียกมาแล้ว ซงึ่ ภิกษุ ท. ผ้ยู ืนแล้ว อามนฺเตตฺวา อาห “อาวโุ ส สเจ อยํ หตฺถาจริโย ในที่ใกล้ กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. ถ้าวา่ อ.ควาญช้าง นี ้ อิมํ หตฺถึ อสสกิกุ ฺขฏาฺฐเาปเนยฺยานตา.ิ ม วชิ ฺเฌยฺย, ขิปปฺ เมว พงึ แทง ซงึ่ ช้างนี ้ ชื่อ ในที่โน้น ไซร้, (ยงั ช้าง) พงึ ให้สำ� เนียก อิมํ การณํ โส ตสสฺ กถํ สตุ ฺวา ซงึ่ เหตุ นี ้พลนั นนั่ เทียว ดงั นี ้ฯ (อ.ควาญช้าง) นนั้ ฟังแล้ว ซงึ่ วาจา ตถา กตฺวา ตํ หตฺถึ สทุ นฺตํ ทเมส.ิ เต ภิกฺขู ตํ เป็นเคร่ืองกลา่ ว (ของภิกษุ) นนั้ กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฝึกแล้ว ปวตฺตึ สตฺถุ อาโรเจสํ.ุ ซง่ึ ช้าง นนั้ (กระท�ำ) ให้เป็นสตั ว์อนั ตนฝึกดีแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ กราบทูลแล้ว ซึ่งความเป็ นไปนัน้ แก่พระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา (ทรงยังภิกษุ) ให้ร้ องเรียกแล้ว ซึ่งภิกษุ นนั้ สตฺถา ตํ ภิกฺขํุ ปกฺโกสาเปตฺวา “สจฺจํ กิร ตยา ตรัสถามแล้ว วา่ ได้ยินวา่ (อ.ค�ำ) อยา่ งนี ้ อนั เธอ กลา่ วแล้ว เอวํ วตุ ฺตนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “สจฺจํ ภนฺเตติ วตุ ฺเต, ตํ จริงหรือ ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ค�ำ วคิ รหิตฺวา “กินฺเต โมฆปรุ ิส หตฺถิยาเนน วา อยา่ งนี ้ อนั ข้าพระองค์ กลา่ วแล้ว) จริง ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ นนั้ ) อญฺเญน วา ทนฺเตน, น หิ เอเตหิ ยาเนหิ กราบทลู แล้ว, ทรงตเิ ตยี นแล้ว (ซง่ึ ภกิ ษ)ุ นนั้ ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นบรุ ุษ อคตปพุ ฺพํ ฐานํ คนฺตํุ สมตฺโถ นาม อตฺถิ, อตฺตนา ผ้เู ปลา่ อ.ประโยชน์ อะไร ของเธอ ด้วยยานคือช้าง หรือ หรือวา่ ปน สทุ นฺเตน สกฺกา อคตปพุ ฺพํ ฐานํ คนฺตํ;ุ ตสฺมา (ด้วยยาน) อื่น อนั อนั บคุ คลฝึกแล้ว, เพราะวา่ (อ.บคุ คล) ชื่อวา่ อตฺตานเมว ทเมหิ, กินฺเต เอเตสํ ทมเนนาติ วตฺวา ผ้สู ามารถ เพื่ออนั ไป สทู่ ี่ อนั อนั ตนไมเ่ คยไปแล้ว ด้วยยาน ท. อิมํ คาถมาห เหลา่ นน่ั มีอยู่ หามิได้, แตว่ า่ (อนั บคุ คล) มีตน อนั ฝึกดีแล้ว อาจ เพ่ืออนั ไป สทู่ ่ี อนั อนั ตนไมเ่ คยไปแล้ว, เพราะเหตนุ นั้ (อ.เธอ) จงฝึก ซงึ่ ตนนน่ั เทียว, อ.ประโยชน์ อะไร ของเธอ ด้วยการฝึก (ซง่ึ สตั ว์ ท.) เหลา่ นนั้ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล) ผูฝ้ ึกแลว้ ย่อมไป (สู่ทิศ อนั ตนไม่เคยไปแลว้ ) “น หิ เอเตหิ ยาเนหิ คจฺเฉยฺย อคตํ ทิสํ, ดว้ ยตน อนั ฝึกแลว้ อนั ทรมานดีแลว้ ฉนั ใด, (อ.บคุ คล) ยถาตฺตนา สทุ นเฺ ตน ทนโฺ ต ทนเฺ ตน คจฺฉตีติ. พึงไป สู่ทิศ อนั ตนไม่ไปแล้ว ด้วยยาน ท. เหล่านนั่ (ฉนั นน้ั ) หามิได้ แล ดงั นี้ ฯ อ.เนอื ้ ความ (แหง่ คำ� อนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.บคุ คล ผ้ฝู ึกแล้ว ตสฺสตฺโถ: ยานิ เอตานิ หตฺถิยานาทีนิ ยานานิ, คือวา่ ผ้มู ีอนั เสพผิดออกแล้ว คือวา่ ผ้เู ป็นไปกบั ด้วยปัญญา น หิ เอเตหิ ยาเนหิ โกจิ ปคุ ฺคโล สปุ ิ นนฺเตนาปิ ยอ่ มไป สทู่ ิศ อนั ตนไมเ่ คยไปแล้ว นนั้ คือวา่ ยอ่ มถงึ ซงึ่ ภมู ิ อคตปพุ ฺพตฺตา อคตนฺติ สงฺขาตํ นิพฺพานทิสํ คจฺเฉยฺย, แหง่ บคุ คลผ้ฝู ึกแล้ว ด้วยตน อนั ช่ือวา่ ฝึกแล้ว เพราะอนั ฝึก ยถา ปพุ ฺพภาเค อินฺทฺริยทมเนน ทนฺเตน อปรภาเค ซ่ึงอินทรีย์ ในส่วนเบือ้ งต้ น อันชื่อว่าฝึ กดีแล้ว เพราะอัน อริยมคฺคภาวนาย สทุ นฺเตน อตฺตนา ทนฺโต ยงั อริยมรรคให้เจริญ ในกาลอนั เป็นสว่ นอื่นอีก ฉนั ใด, อ.บคุ คล นิพฺพิเสวโน สปปฺ ญฺโญ ปคุ ฺคโล ตํ อคตปพุ ฺพํ ทิสํ บางคน พงึ ไป สทู่ ิศคือพระนิพพาน อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ว วา่ คจฺฉติ ทนฺตภมู ึ ปาปณุ าต;ิ ตสมฺ า อตฺตทมนเมว อคตะ ดงั นี ้ เพราะความท่ีแหง่ ทิศคือพระนิพพานนนั้ เป็นทิศอนั ตน เต วรนฺต.ิ ไมเ่ คยไปแล้ว แม้โดยท่ีสดุ แหง่ ความฝัน ด้วย- อ.ยาน ท. มียาน คือช้างเป็นต้น เหลา่ นน่ั เหลา่ ใด -ยาน ท. เหลา่ นนั่ (ฉนั นนั้ ) หามิได้ แล, เพราะเหตนุ นั้ อ.อนั ฝึกซง่ึ ตนนนั่ เทียว เป็นคณุ ชาต ประเสริฐ แก่เธอ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 139 www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผ(จู้เบป็ แนลค้วว)าญฯ ช้างในกาลก่อน หตถฺ าจริยปุพพฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ๓. อ.เร่ืองแห่งบุตรของพราหมณ์ผู้แก่รอบแล้ว ๓. ปริชณิ ฺณพรฺ าหมฺ ณปุตตฺ วตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยู่ ในเมอื งชอ่ื วา่ สาวตั ถี ทรงปรารภ “ธนปาลโกติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา สาวตฺถิยํ ซงึ่ บตุ ร ท. ของพราหมณ์ผ้แู ก่รอบแล้ว คนใดคนหนงึ่ ตรัสแล้ว วหิ รนฺโต อญฺญตรสฺส ปริชิณฺณพฺราหฺมณสสฺ ปตุ ฺเต ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ ธนปาลโก ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อารพฺภ กเถส.ิ ได้ยินวา่ อ.พราหมณ์ คนหนง่ึ ในเมืองสาวตั ถี มีสมบตั แิ สน ๘ สาวตฺถิยํ กิเรโก ปพตุ ฺรฺตาหานฺมํโณอาวอาฏหฺฐํ สกตตสฺวหาสจสฺ ตวฺตภิ าโวริ กระท�ำแล้ว ซงึ่ อาวาหะ แก่บตุ ร ท. ๔ ผ้ถู งึ แล้วซงึ่ วยั ได้ให้แล้ว วยปปฺ ตฺตานํ จตนุ ฺนํ ซงึ่ แสนแหง่ ทรัพย์ ท. ๔ ฯ ครัง้ นนั้ ครัน้ เมื่อพราหมณี เป็นผ้มู ีกาละ สตสหสสฺ านิ อทาส.ิ อถสฺส พฺราหฺมณิยา กาลกตาย อนั กระท�ำแล้ว (มีอย)ู่ อ.บตุ ร ท. (ของพราหมณ์) นนั้ ปรึกษาพร้อม ปตุ ฺตา สมมฺ นฺตยสึ ุ “สเจ อยํ อญฺญํ พฺราหฺมณึ กนั แล้ว วา่ ถ้าวา่ (อ.บดิ า) นี ้จกั นำ� มา ซง่ึ พราหมณี อนื่ ไซร้, อ.ตระกลู อาเนสสฺ ต,ิ ตสฺสา กจุ ฺฉิยํ นิพฺพตฺตานํ วเสน กลุ ํ จักแตก ด้วยอ�ำนาจ (แห่งสัตว์ ท.) ผู้บังเกิดแล้ว ในท้อง ภิชฺชิสสฺ ติ; หนฺท นํ มยํ สงฺคณฺหามาต.ิ (ของพราหมณ)ี นนั้ ; เอาเถดิ อ.เรา ท. จงสงเคราะห์ (ซง่ึ บดิ า) นนั้ ดงั นี ้ฯ (อ.บตุ ร ท.) เหลา่ นนั้ บำ� รุงอยู่ (ซงึ่ พราหมณ์) นนั้ (ด้วยวตั ถุ ท.) สเหอมตกพฺฺถทเปาิวตหาสทมมตาาสํนนสฺ ปําณทสปิวมีเตาาพฺ ฏหานิิเหยิทฆนกฺทาาฺกาสทํยจีนฆิตฺฉิฺวราาากทวโนวารฏุเานสฺทฐฺตติีหาอสิ าสฺ ออทปุปุีนหฏฏวตฺฺฐํฐฺถหหวปนิตตาฺตฺฺววเทาาา มอี าหารอนั บคุ คลพงึ กนิ และวตั ถเุ ป็นเคร่ืองปกปิดเป็นต้น อนั ประณตี “มยํ ตมุ เฺ ห อิมินา นีหาเรน ยาวชีวํ กระท�ำอยู่ (ซงึ่ กิจ ท.) มีอนั นวด ซงึ่ มือและเท้า ท. เป็นต้น เสสธนํปิ โน เทถาติ ยาจสึ .ุ บำ� รุงแล้ว นวดอยู่ ซง่ึ มอื และเท้า ท. (ของพราหมณ์) นนั้ ผ้หู ลบั แล้ว ในเวลากลางวนั ลกุ ขนึ ้ แล้ว ในวนั หนง่ึ กลา่ วแล้ว ซง่ึ โทษ อปุ ฏฺฐหิสสฺ าม, ในการอยคู่ รองซง่ึ เรือน เฉพาะอยา่ ง วงิ วอนแล้ว วา่ อ.เรา ท. จกั บำ� รุง ซ่ึงท่าน ท. โดยท�ำนอง นี ้ สิน้ การก�ำหนดเพียงใดแห่งชีวิต, (อ.ทา่ น ท.) ขอจงให้ แม้ซงึ่ ทรัพย์อนั เหลือ แก่เรา ท. ดงั นี ้ฯ อ.พราหมณ์ ให้แล้ว ซง่ึ แสนแหง่ ทรัพย์ (แก่บตุ ร) คนหนงึ่ ๆ พฺราหฺมโณ ปนุ เอเกกสฺส สตสหสฺสํ ทตฺวา อีก กระท�ำแล้ว ซง่ึ เครื่องอปุ โภคและเครื่องบริโภคทงั้ ปวง เว้น อตตฺ โน นวิ ตถฺ ปารุปนมตตฺ ํ ฐเปตวฺ า สพพฺ มปุ โภคปริโภคํ (ซ่ึงวัตถุ) สักว่าผ้าอันตนนุ่งแล้วและผ้าเป็ นเคร่ืองห่ม ของตน จตฺตาโร โกฏฺฐาเส กตฺวา นิยฺยาเทส.ิ ให้เป็นสว่ น ๔ มอบให้แล้ว ฯ 140 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.บตุ รผ้เู จริญท่ีสดุ บ�ำรุงแล้ว (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ สนิ ้ วนั ตํ เชฏฺฐปตุ ฺโต กตปิ าหํ อปุ ฏฺฐหิ. เลก็ น้อย ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนง่ึ อ.หญิงสะใภ้ ยืนแล้ว ณ ซ้มุ แหง่ ประตู สฐตหฺวสาฺสอถํสวณุ นาฺหํ อเาอตกเเิ ทอรกววิ สํมทํานินหหฺนา“ํ กตอึวฺตตาฺถยิ,อาานเคชนจฏุ ฉฺ ฺสฐนปพตฺ ตฺุเํพฺตทสสวฺ ําฺสเรทโสกฺวตฏเฺํฐทวเกฺาว กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ วา่ อ.ร้อย หรือ หรือวา่ อ.พนั อนั ยิ่งเกิน อนั อนั ทา่ น ให้แล้ว แกบ่ ตุ รผ้เู จริญทสี่ ดุ มอี ยู่ หรือ, อ.แสน ท. สอง สอง (อนั ทา่ น) ให้แล้ว (แก่บตุ ร ท.) ทงั้ ปวง มิใชห่ รือ, (อ.ทา่ น) สตสหสฺสานิ ทินฺนานิ, กึ เสสปตุ ตานํ ฆรสฺส มคฺคํ ยอ่ มไมร่ ู้ ซง่ึ หนทาง แหง่ เรือน ของบตุ รผ้เู หลอื ท. หรือ ดงั นี ้ น ชานาสตี .ิ (กะพราหมณ์) นนั้ ผู้ อาบแล้ว มาอยู่ ฯ อ.พราหมณ์ แม้นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนหญิงถ่อย (อ.เจ้า) โสปิ “นสฺส วสลตี ิ กชุ ฺฌิตฺวา อญฺญสสฺ ฆรํ จงฉบิ หาย ดงั นี ้ ได้ไปแล้ว สเู่ รือน (ของบตุ ร) อน่ื ฯ (อ.พราหมณ์ นนั้ ) อคมาส.ิ ตโตปิ กตปิ าหจฺจเยน อิมินาว อปุ าเยน ผู้ (อนั หญงิ สะใภ้) ให้หนไี ปแล้ว (จากเรือน) แม้นนั้ โดยอบุ ายนเี ้ทยี ว ปลาปิ โตว “อญฺญสฺสาติ เอวํ เอกฆเรปิ ปเวสนํ โดยอนั ลว่ งไปแหง่ วนั เลก็ น้อยเทียว (ไปแล้ว สเู่ รือน) ของบตุ ร อื่น อลภมาโน ปณฺฑรงฺคปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ภิกฺขาย (ผ้อู นั หญิงสะใภ้ ให้หนีไปแล้ว) เม่ือไมไ่ ด้ ซง่ึ อนั เข้าไป แม้ในเรือน จรนฺโต กาลจฺจเยน ชราชิณฺโณ ทพุ ฺโภชนทกุ ฺขเสยฺยาหิ หลงั หนง่ึ อยา่ งนี ้ ด้วยประการฉะนี ้ บวชแล้ว บวชเป็นชีปะขาว มิลาตสรีโร ภิกฺขาย จรนฺโต อาคมมฺ ปินฏฺิสฐกินิ าฺโนย เที่ยวไปอยู่ เพ่ือภิกษา เป็นผ้แู ก่แล้วเพราะชรา เป็นผ้มู ีสรีระอนั นิปนฺโน นิทฺทํ อโอตกฺตฺกามนํิตฺวาโอโลอเฏุกฺ ตฐาฺวยา ปตุ ฺเตสุ เห่ียวแล้ว (เป็น) เพราะโภชนะอนั ทรามและอนั นอนล�ำบาก ท. ปฏิปสสฺ ทฺธทรถํ โดยอนั ลว่ งไปแหง่ กาล เที่ยวไปอยู่ เพ่ือภิกษา มาแล้ว นอนแล้ว อตฺตโน อปพตฺภฏิ าฺฐกํ ฏุ อิโกปสสฺ นอฺโตุตฺตาจนินมฺเโุตขสิ “สมโณ กิร ด้วยหลงั ก้าวลงแล้ว สคู่ วามหลบั ลกุ ขนึ ้ นง่ั แล้ว แลดแู ล้ว โคตโม สขุ สมภฺ าโส (ซงึ่ ตน) อนั มีความกระวนกระวายระงบั เฉพาะแล้ว ไมเ่ หน็ อยู่ ปฏิสนฺถารกสุ โล, สกฺกา สมณํ โคตมํ อปุ สงฺกมิตฺวา ซงึ่ ท่ีพง่ึ ของตน ในบตุ ร ท. คดิ แล้ว วา่ ได้ยินวา่ อ.พระสมณะ ปฏิสนฺถารํ ลภิตนุ ฺติ. ผู้โคดม เป็ นผู้ไม่สยิว้ พระพักตร์ เป็ นผู้มีพระพักตร์เบิกบาน เป็นผ้มู อี นั ตรัสด้วยดซี งึ่ พระดำ� รัสอนั นำ� มาซงึ่ ความสขุ เป็นผ้ฉู ลาด ในอนั ปฏิสนั ถาร (ยอ่ มเป็น), (อนั เรา) อาจ เพ่ืออนั เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระสมณะ ผ้โู คดม ได้ ซง่ึ อนั ปฏิสนั ถาร ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์) นัน้ จัดแล้ว ซ่ึงผ้าเป็ นเครื่องนุ่งและผ้า โส นิวาสนปารุปนํ สณฺฐเปตฺวา ภิกฺขาภาชนํ เป็นเครื่องหม่ ถอื เอาแล้ว ซงึ่ ภาชนะแหง่ ภกิ ษา ถอื เอาแล้ว ซง่ึ ไม้เท้า คเหตฺวา ทณฺฑํ อาทาย ภควโต สนฺตกิ ํ อคมาส.ิ ได้ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า ฯ จริงอยู่ (อ.ค�ำ) แม้นน่ั วา่ ครัง้ นนั้ แล อ.พราหมณ์ผ้มู หาศาล วตุ ฺตํปิ เจตํ “อถโข อญฺญตโร พฺราหฺมณ- คนใดคนหนง่ึ ผ้เู ศร้าหมอง ผ้มู ีผ้าเป็นเคร่ืองปกปิ ดอนั เศร้าหมอง, มหาสาโล ลโู ข ลขู ปาวรุ โณ เยน ภควา, เตนปุ สงกฺ มตี .ิ อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า (ยอ่ มประทบั อย)ู่ (โดยสว่ นแหง่ ทิศ) ใด, สตฺถา เอกมนฺตํ นิสนิ ฺเนน เตน สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ เข้าไปเฝ้ าแล้ว(โดยสว่ นแหง่ ทศิ )นนั้ ดงั นี(้ อนั พระธรรมสงั คาหกาจารย์ท.) กตฺวา เอตทโวจ “กึ นุ โข ตฺวํ พฺราหฺมณ ลโู ข กลา่ วแล้ว ฯ อ.พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซง่ึ อนั ปฏิสนั ถาร ลขู ปาวรุ โณสีต.ิ กบั (ด้วยพราหมณ์) นนั้ ผ้นู ง่ั แล้ว ณ สว่ นข้างหนง่ึ ได้ตรัสแล้ว (ซง่ึ พระดำ� รสั ) นน่ั วา่ ดกู อ่ นพราหมณ์ อ.ทา่ น เป็นผ้เู ศร้าหมอง เป็น ผ้มู ีผ้าปกปิ ดอนั เศร้าหมอง ยอ่ มเป็น เพราะเหตไุ ร หนอ แล ดงั นี ้ ฯ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 141 www.kalyanamitra.org
(อ.พราหมณ์ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระโคดม ผ้เู จริญ อ.บตุ ร ท. ๔ “อิธ เม โภ โคตม จตฺตาโร ปตุ ฺตา, เต มํ ทาเรหิ ของข้าพระองค์ (มอี ย)ู่ (ในโลก) น,ี ้ (อ.บตุ ร ท.) เหลา่ นนั้ ผ้อู นั ทาระ ท. สปํ จุ ฺฉา ฆรา นิกฺขาเมนฺตีติ. ยยุ งแล้ว (ยงั ข้าพระองค์) ยอ่ มให้ออกไป จากเรือน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ ถ้าอยา่ งนนั้ “เตนหิ ตวฺ ํ พรฺ าหมฺ ณ อมิ า คาถาโย ปริยาปณุ ติ วฺ า, อ.ทา่ น เลา่ เรียนแล้ว ซง่ึ คาถา ท. เหลา่ นี ้ ครัน้ เม่ือหมแู่ หง่ มหาชน สภายํ มหาชนกาเย สนฺนิปติเต, ปตุ ฺเตสุ นิสนิ ฺเนส,ุ ประชมุ กนั แล้ว ในสภา, ครัน้ เมื่อบตุ ร ท. นง่ั แล้ว จงกลา่ ว วา่ ภาส (อ.ขา้ พเจ้า) จกั เพลิดเพลิน (ดว้ ยบตุ ร ท.) เหล่าใด เยหิ ชาเตหิ นนทฺ ิสสฺ ํ, เยสญฺจ ภวมิจฺฉิสํ; ผูเ้ กิดแลว้ ดว้ ย, จกั ปรารถนา ซ่ึงความเจริญ (แก่บตุ ร ท.) เต มํ ทาเรหิ สํปจุ ฺฉา สาว วาเรนตฺ ิ สูกรํ. เหล่าใด ดว้ ย, อ.บตุ ร ท. เหล่านนั้ ผูอ้ นั ทาระ ท. ยยุ งแลว้ อสนตฺ า กิร มํ ชมฺมา `ตาต ตาตาติ ภาสเร, ยอ่ มรกุ ราน ซ่ึงขา้ พเจา้ เพยี งดงั อ.สนุ ขั (รกุ รานอย)ู่ ซ่ึงสกุ ร ฯ รกฺขสา ปตุ ฺตรูเปน เต ชหนตฺ ิ วโยคตํ. ได้ยินว่า (อ.บุตร ท. เหล่านน้ั ) เป็ นอสตั บุรุษ อสโฺ สว ชิณฺโณ นิพโฺ ภโค ขาทนา อปนียติ, เป็ นคนเลวทราม (เป็ น) ย่อมเรียก ซึ่งข้าพเจ้า ว่า พาลานมฺปิ ปิ ตา เถโร ปราคาเรสุ ภิกฺขติ. ขา้ แต่พอ่ ๆ ดงั นี,้ (อ.บตุ ร ท.) เหล่านน้ั คือ อ.รากษส ท. ทณโฺ ฑ ว กิร เม เสยโฺ ย, ยญจฺ ปตุ ตฺ า อนสสฺ วา, โดยรูปของบตุ ร ย่อมละทิ้ง (ซึ่งขา้ พเจ้า) ผูถ้ ึงแลว้ ซึ่ง- จณฺฑมฺปิ โคณํ วาเรติ, อโถ จณฺฑมฺปิ กกุ ฺกรุ ํ, ความเสือ่ ม ฯ อ.มา้ ตวั แก่แลว้ ตวั มีอนั ใชส้ อยออกแลว้ อนธฺ กาเร ปเุ ร โหติ, คมฺภีเร คาธเมธติ, (อนั เจา้ ของ) ยอ่ มนำ� ไปปราศ จากหญา้ อนั สตั ว์พงึ เคีย้ วกิน ทณฺฑสสฺ อานภุ าเวน ขลิตฺวา ปฏิติฏฺฐตีติ. ฉนั ใด, อ.บิดา (ของบตุ ร ท. เหล่านน้ั ) แมผ้ ูเ้ ป็นพาล ย่อมขอ ทีเ่ รือนของบคุ คลอืน่ ท. (ฉนั นน้ั ) ฯ ก็ อ.บตุ ร ท. เป็นผูไ้ ม่เชือ่ ฟัง (ย่อมเป็น) ใด, ไดย้ ินว่า อ.ไมเ้ ทา้ ของขา้ พเจา้ เทียว เป็นสภาพประเสริฐกวา่ (กวา่ บตุ ร ท. เหลา่ นน้ั ยอ่ มเป็น), (เพราะวา่ อ.ไมเ้ ทา้ ) ยอ่ มหา้ ม ซึ่งโค แมต้ วั ด,ุ อนึ่ง (อ.ไมเ้ ทา้ ย่อมหา้ ม) ซึ่งสนุ ขั แมต้ วั ด,ุ (อ.ไมเ้ ทา้ ) ย่อมมี ในเบือ้ งหนา้ ในทีม่ ืด, (อ.ไมเ้ ทา้ ) ย่อมถึง ซึ่งอนั หยง่ั ลง ในน�้ำอนั ลึก, (อ.คนแก่ ผูเ้ ช่นกบั ดว้ ยขา้ พเจา้ ) พลาดแลว้ ยอ่ มกลบั ยืนได้ เพราะอานภุ าพ ของไมเ้ ทา้ (ดงั นี)้ ดงั นี้ ฯ อ.พราหมณ์ เรียนเอาแล้ว ซง่ึ คาถา ท. เหลา่ นนั้ ในส�ำนกั โส ภควโต สนฺตเิ ก ตา คาถาโย อคุ ฺคณฺหิตฺวา, ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า ครัน้ เมื่อบตุ ร ท. ผ้ปู ระดบั เฉพาะแล้ว ตถารูเป พฺราหฺมณานํ สมาคมทิวเส สพฺพาลงฺการ- ด้วยเครื่องประดบั ทงั้ ปวง หยง่ั ลงแล้ว สสู่ ภา นนั้ นงั่ แล้ว บนอาสนะ ท. ปฏิมณฺฑิเตสุ ปตุ ฺเตสุ ตํ สภํ โอคาเหตฺวา อนั ควรแก่คา่ มาก ในทา่ มกลาง แหง่ พราหมณ์ ท. ในวนั เป็นที่ พฺราหฺมณานํ มชฺเฌ มหารเหสุ อาสเนสุ นิสนิ ฺเนส,ุ สมาคม ของพราหมณ์ ท. มีอย่างนัน้ เป็ นรูป (คิดแล้ว) ว่า “อยํ เม กาโลติ สภาย มชฺฌํ ปวิสติ ฺวา หตฺถํ อ.กาลนี ้ เป็ นกาล ของเรา (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ เข้าไปแล้ว อกุ ฺขิปิ ตฺวา “โภ อหํ ตมุ หฺ ากํ คาถาโย ภาสติ กุ าโม, สู่ท่ามกลาง แห่งสภา ยกขึน้ แล้ว ซ่ึงมือ กล่าวแล้ว ว่า สณุ ิสสฺ ถาติ วตฺวา, “ภาส ภาส พฺราหฺมณ, สโุ ณมาติ ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท. อ.ข้าพเจ้า เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันกล่าว วตุ ฺเต, ติ โกว อภาส.ิ ซงึ่ คาถา ท. แก่ทา่ น ท. (ยอ่ มเป็น), (อ.ทา่ น ท.) จกั ฟัง หรือ ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ แนะ่ พราหมณ์ อ.ทา่ น จงกลา่ วเถิดๆ, (อ.เรา ท.) จะฟัง ดงั นี ้ (อนั พราหมณ์ ท.) กลา่ วแล้ว, ผ้ยู ืนแล้วเทียว ได้กลา่ วแล้ว ฯ 142 ธรรมบทภาคที่ ๗ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ก็ โดยสมยั นนั้ อ.ธรรมเนยี ม อยา่ งนี ้วา่ (อ.บคุ คล) ใด เคยี ้ วกนิ อยู่ เตน จ สมเยน มนสุ สฺ านํ เอวํ วตฺตํ โหติ “โย (ซง่ึ วตั ถ)ุ อนั เป็นของมีอยู่ ของมารดาและบดิ า ท. ยอ่ มไมเ่ ลยี ้ ง มาตาปิ ตนู ํ สนฺตกํ ขาทนฺโต มาตาปิ ตโร น โปเสต,ิ ซง่ึ มารดาและบดิ า ท., (อ.บคุ คล) นนั้ (อนั เรา ท.) พงึ ให้ตาย โส มาเรตพฺโพต.ิ ตสมฺ า เต พฺราหฺมณปตุ ฺตา ปิ ตุ ดงั นี ้ ยอ่ มมี แก่มนษุ ย์ ท. ฯ เพราะเหตนุ นั้ อ.บตุ รของพราหมณ์ ท. ปาเทสุ ปติตฺวา “ชีวิตํ โน ตาต เทหีติ ยาจสึ .ุ เหลา่ นนั้ หมอบแล้ว ใกล้เท้า ท. ของบดิ า วิงวอนแล้ว วา่ ข้าแตพ่ อ่ (อ.ทา่ น) จงให้ ซงึ่ ชีวิต แก่เรา ท. เถิด ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ)์ นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้เู จริญ ท. อ.ทา่ น ท. โส ปิ ตุ หทยานํ มทุ ตุ าย “มา เม โภ ปตุ ฺตเก อยา่ ยงั บตุ รน้อย ท. ของข้าพเจ้า ให้ฉิบหายแล้ว, (อ.บตุ รน้อย ท. วนิ าสยิตฺถ, โปสสิ สฺ นฺติ มนฺติ อาห. อถสฺส ปตุ ฺเต เหลา่ นนั้ ) จกั เลยี ้ ง ซงึ่ ข้าพเจ้า ดงั นี ้ เพราะความท่ี แหง่ หทยั ท. มนสุ สฺ า อาหํสุ “สเจ โภ อชฺช โวปตฏ.ิ ฺฐาย ปิ ตรํ น ของบดิ า เป็นธรรมชาตออ่ น ฯ ครัง้ นนั้ อ.มนษุ ย์ ท. กลา่ วแล้ว สมมฺ าปฏิชคฺคสิ ฺสถ, ฆาเตสฺสาม กะบตุ ร ท. (ของพราหมณ์) นนั้ วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้เู จริญ ท. ถ้าวา่ อ.ทา่ น ท. จกั ไมป่ ฏบิ ตั โิ ดยชอบ ซง่ึ บดิ า จำ� เดมิ แตว่ นั นี ้ ไซร้ , อ.เรา ท. จกั ฆา่ ซงึ่ ทา่ น ท. ดงั นี ้ฯ (อ.บตุ รของพราหมณ์ ท.) เหลา่ นนั้ ผ้กู ลวั แล้ว ยงั บดิ า ให้นง่ั แล้ว เต ภีตา ปิ ตรํ ปี เฐ นิสีทาเปตฺวา สยํ บนตงั่ ยกขนึ ้ แล้ว เอง น�ำไปแล้ว สเู่ รือน ทาแล้ว ซงึ่ สรีระ ด้วย อกุ ฺขิปิ ตฺวา เคหํ เนตฺวา สรีรํ เตเลน อพฺภญฺชิตฺวา น�ำ้ มนั ขดั สีแล้ว (ยงั บดิ า) ให้อาบแล้ว (ด้วยวตั ถุ ท.) มีจณุ แหง่ ปสอพุมกพฺฺฺมโกฏาฺสเปฏาฏตเปิวชฺ าคตฺฺควคาถน;ธฺ จ“อณุ สชณฺ เฺชจาทปหี ิฏปนฺ ฐมหาาายทเปํ ตอวฺ ามอฺหาพปารฺ ากชหํฺชมฺิสปณฺสิ ตโถิ ยร,ํ ของหอมเป็นต้น (ยงั บคุ คล) ให้ร้องเรียกแล้ว ซง่ึ พราหมณี ท. กลา่ วแล้ว วา่ (อ.เธอ ท.) จงปฏิบตั ดิ ้วยดี ซงึ่ บดิ า ของเรา ท. จ�ำเดมิ แตว่ นั นี,้ ถ้าวา่ (อ.เธอ ท.) จกั ถงึ ซง่ึ ความประมาท ไซร้, นิคฺคณฺหิสฺสาม โวติ วตฺวา ปณีตโภชนํ โภเชสํ.ุ (อ.เรา ท.) จกั ขม่ ซง่ึ เธอ ท. ดงั นี ้ (ยงั บดิ า) ให้บริโภคแล้ว ซง่ึ โภชนะ อนั ประณีต ฯ อ.พราหมณ์ อาศยั แล้ว ซง่ึ โภชนะอนั ดี ด้วย ซงึ่ การนอน พฺราหฺมโณ สโุ ภชนญฺจ สขุ เสยฺยญฺจ อาคมมฺ อนั สบาย ด้วย เป็นผ้มู กี ำ� ลงั เกดิ พร้อมแล้ว เป็นผ้มู อี นิ ทรียอ์ ม่ิ เอบิ แล้ว กตปิ าหจฺจเยน สญฺชาตพโล ปี ณินฺทฺริโย อตฺตภาวํ (เป็ น) โดยอันล่วงไปแห่งวันเล็กน้อย แลดูแล้ว ซ่ึงอัตภาพ โอโลเกตฺวา “อยํ เม สมปฺ ตฺติ สมณํ โคตมํ (คดิ แล้ว) วา่ อ.สมบตั ิ นี ้อนั เรา ได้แล้ว เพราะอาศยั ซง่ึ พระสมณะ นิสฺสาย ลทฺธาติ ปณฺณาการตฺถาย เอกํ ทสุ ฺสยคุ ํ ผ้โู คดม ดงั นี ้ ถือเอา ซง่ึ คแู่ หง่ ผ้า คหู่ นง่ึ เพ่ือประโยชน์แก่ความ อาทาย ภควโต สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา กตปฏิสนฺถาโร เป็นเครื่องบรรณาการ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า เอกมนฺตํ นิสนิ ฺโน ตํ ทสุ สฺ ยคุ ํ ภควโต ปาทมเู ล มีปฏิสนั ถาร (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ทรงกระท�ำแล้ว ผ้นู งั่ แล้ว ฐเปตฺวา “มยํ โภ โคตม พฺราหฺมณา นาม อาจริยสฺส ณ สว่ นข้างหนง่ึ วางไว้แล้ว ซงึ่ คแู่ หง่ ผ้า นนั้ ณ ทใ่ี กล้แหง่ พระบาท อาจริยธนํ ปริเยสาม, ปฏิคฺคณฺหาตุ เม ภวํ ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระโคดมผ้เู จริญ โคตโม อาจริโย อาจริยธนนฺติ อาห. ภควา ตสฺส อ.ข้าพระองค์ ท. ชอื่ วา่ เป็นพราหมณ์ (เป็น) ยอ่ มแสวงหา ซงึ่ ทรพั ย์ อนกุ มปฺ าย ตํ ปฏิคฺคเหตฺวา ธมมฺ ํ เทเสส.ิ ของอาจารย์ เพื่ออาจารย์, อ.พระโคดม ผ้เู จริญ ผ้เู ป็นอาจารย์ ขอจงทรงรับเฉพาะ ซงึ่ ทรัพย์ของอาจารย์ ของข้าพระองค์ เถิด ดงั นี ้ ฯ อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ทรงรับเฉพาะแล้ว (ซง่ึ คแู่ หง่ ผ้า) นนั้ เพื่ออนั ทรงอนเุ คราะห์ (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ทรงแสดงแล้ว ซงึ่ ธรรม ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พราหมณ์ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน พฺราหฺมโณ สรเณสุ ธวุปภตติฏฺตฺ ฐาานยิ ในสรณะ ท. กราบทลู แล้ว อยา่ งนี ้ วา่ ข้าแตพ่ ระโคดมผ้เู จริญ เอวมาห “โภ โคตม มยฺหํ ปตุ ฺเตหิ จตฺตาริ อ.ธวุ ภตั ร ท. ๔ อนั บตุ ร ท. ให้แล้ว แก่ข้าพระองค์, อ.ข้าพระองค์ ทินฺนานิ, ตโต อหํ เทฺว ตมุ หฺ ากํ ทมมฺ ีต.ิ จะถวาย (ซง่ึ ธวุ ภตั ร ท.) ๒ (แตธ่ วุ ภตั ร ๔) นนั้ แก่พระองค์ ท. ดงั นี ้ฯ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 143 www.kalyanamitra.org
ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ อ.กรรม อถ นํ สตฺถา “กลฺยาณํ พฺราหฺมณ, มยํ ปน อนั งาม (อนั ทา่ น กระท�ำแล้ว), แตว่ า่ อ.เรา ท. จกั ไป สทู่ ี่เป็นท่ี พรุจฺรฺจานหฏฺมฺ ฐโณานเฆมวรํ คมิสฺสามาติ วตฺวา อยุ ฺโยเชส.ิ ชอบใจนน่ั เทยี ว ดงั นี ้ ทรงสง่ ไปแล้ว (ซง่ึ พราหมณ)์ นนั้ ฯ อ.พราหมณ์ คนฺตฺวา ปตุ ฺเต อาห “ตาตา สมโณ ไปแล้ว สเู่ รือน กลา่ วแล้ว กะบตุ ร ท. วา่ แนะ่ พอ่ ท. อ.พระสมณะ โคตโม มยฺหํ สหาโย, ตสฺส เม เทฺว ธวุ ภตฺตานิ ผ้โู คดม เป็นสหาย ของเรา (ยอ่ มเป็น) อ.ธวุ ภตั ร ท. ๒ อนั เรา ถวายแล้ว ทินฺนานิ, ตมุ ฺเห, ตสฺมึ สมปฺ ตฺเต, มา ปมชฺชิตฺถาต.ิ (แกพ่ ระสมณะ ผ้โู คดม) นนั้ , อ.เจ้า ท. (ครัน้ เมอื่ พระสมณะ ผ้โู คดม) “สาธุ ตาตาต.ิ นนั้ ถงึ พร้อมแล้ว อยา่ ประมาทแล้ว ดงั นี ้ ฯ (อ.บตุ ร ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตพ่ อ่ อ.ดีละ ดงั นี ้ฯ ในวนั รุ่งขนึ ้ อ.พระศาสดา เสดจ็ เที่ยวไปอยู่ เพื่อบณิ ฑะ สตฺถา ปนุ ทิวเส ปิ ณฺฑาย จรนฺโต ปเชตฏฺตฺฐํ ปอตุ าฺตทสาฺสย ได้เสดจ็ ไปแล้ว สปู่ ระตแู หง่ เรือน ของบตุ รผ้เู จริญท่ีสดุ ฯ (อ.บตุ ร ฆรทฺวารํ อคมาส.ิ โส สตฺถารํ ทิสฺวา ผ้เู จริญที่สดุ ) นนั้ เหน็ แล้ว ซง่ึ พระศาสดา รับแล้ว ซงึ่ บาตร ฆรํ ปเวเสตฺวา มหารเห ปลลฺ งฺเก นิสที าเปตฺวา (ทลู ยงั พระศาสดา) ให้เสดจ็ เข้าไปแล้ว สเู่ รือน (ทลู ยงั พระศาสดา) ปณีตโภชนํ อทาส.ิ สตฺถา “ปนุ ทิวเส อิตรสสฺ ปนุ ทิวเส ให้ประทบั นงั่ แล้ว บนบลั ลงั ก์ อนั ควรแก่คา่ มาก ได้ถวายแล้ว อิตรสฺสาติ ปฏิปาฏิยา สพฺเพสํ ฆรานิ อคมาส.ิ ซงึ่ โภชนะอนั ประณีต ฯ อ.พระศาสดา ได้เสดจ็ ไปแล้ว สเู่ รือน ท. สพฺเพ ตเถว สกฺการํ อกํส.ุ (ของบตุ ร ท.) ทงั้ ปวง คอื (ของบตุ ร) นอกนี ้ ในวนั รุ่งขนึ ้ (ของบตุ ร) นอกนี ้ ในวนั รุ่งขนึ ้ ตามลำ� ดบั ฯ (อ.บตุ ร ท.) ทงั้ ปวง ได้กระทำ� แล้ว ซง่ึ สกั การะ อยา่ งนนั้ นนั่ เทียว ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.บตุ รผ้เู จริญท่ีสดุ ครัน้ เม่ือมงคล ปรากฏ ปิ ตรํ ออเถาหกท“ิวตสาํ ตเชกฏสฺฐสฺ ปมตุ ฺโงตฺค,ลํ มงฺคเล “ปนจาฺจหปุํ อฏฺญฐเิ ฺญต,ํ เฉพาะแล้ว กลา่ วแล้ว กะบดิ า วา่ ข้าแตพ่ อ่ อ.เรา ท. จะถวาย เทมาต.ิ ซง่ึ มงคล แก่ใคร ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.เรา ยอ่ มไมร่ ู้ ชานามิ, นนุ สมโณ โคตโม มยฺหํ สหาโยต.ิ “เตนหิ (ซง่ึ บคุ คล)อื่น, อ.พระสมณะ ผ้โู คดม เป็นสหาย ของเรา (ยอ่ มเป็น) นํ สฺวาตนาย ปญฺจหิ ภิกฺขสุ เตหิ สทฺธึ นิมนฺเตถาต.ิ มิใชห่ รือ ดงั นี ้ ฯ (อ.บตุ ร ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ พฺราหฺมโณ ตถา อกาส.ิ (อ.ทา่ น ท.) จงทลู นิมนต์ (ซง่ึ พระสมณะ ผ้โู คดม) นนั้ กบั ด้วยร้อยแหง่ ภกิ ษุ ท. ๕ เพอื่ อนั เสวยในวนั พรุ่ง ดงั นี ้ ฯ อ.พราหมณ์ ได้กระทำ� แล้ว อยา่ งนนั้ ฯ ในวนั รุ่งขนึ ้ อ.พระศาสดา ผ้ทู รงเป็นไปกบั ด้วยบริวาร ได้เสดจ็ สตฺถา ปนุ ทิวเส สปริวาโร ตสฺส เคหํ อคมาส.ิ ไปแล้ว สู่เรือน (ของพราหมณ์) นัน้ ฯ (อ.พราหมณ์) นัน้ โส หริตปุ ลติ ฺเต สพฺพาลงฺการปฏิมณฺฑิเต เคเห ยงั หมแู่ หง่ ภิกษุ มีพระพทุ ธเจ้าเป็นประมขุ ให้นงั่ แล้ว ในเรือน พทุ ฺธปปฺ มขุ ํ ภิกฺขสุ งฺฆํ นิสีทาเปตฺวา อปโฺ ปทกมธ-ุ อนั ประดบั เฉพาะแล้วด้วยเคร่ืองประดบั ทงั้ ปวง อนั บคุ คลฉาบทาแล้ว ปายาเสน เจว ปณีเตน จ ขาทนีเยน ปริวิส.ิ ด้วยของเขียว อังคาสแล้ว ด้วยข้าวมธุปายาสมีน�ำ้ อันน้อย ด้วยนน่ั เทียว ด้วยของอนั บคุ คลพงึ เคีย้ ว อนั ประณีต ด้วย ฯ ก็ อ.บตุ ร ท. ๔ ของพราหมณ์ นงั่ แล้ว ในสำ� นกั ของพระศาสดา อนฺตราภตฺตสฺมเึ ยว ปน พฺราหฺมณสสฺ จตฺตาโร กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระโคดม ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์ ท. ปตุ ฺตา สตฺถุ สนฺตเิ ก นิสที ิตฺวา อาหํสุ “โภ โคตม มยํ ยอ่ มปฏบิ ตั ิ ยอ่ มไมป่ ระมาท ซงึ่ บดิ า ของข้าพระองค์ ท., (อ.พระองค์ ท.) อมหฺ ากํ ปิ ตรํ ปฏิชคฺคาม นปปฺ มชฺชาม, ปสฺสถิมสสฺ ขอจงทอดพระเนตร ซงึ่ อตั ภาพ (ของบดิ า) นีเ้ถิด ดงั นี ้ ในระหวา่ ง อตฺตภาวนฺต.ิ สตฺถา “ กลยฺ าณํ โว กตํ, มาตปุ ิ ตโุ ปสนํ แหง่ ภตั รนน่ั เทียว ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ อ.กรรมอนั งาม นาม โปราณกปณฺฑิตานํ อาจิณฺณเมวาติ วตฺวา อนั ทา่ น ท. กระท�ำแล้ว, ชื่อ อ.อนั เลยี ้ งซง่ึ มารดาและบดิ า อันบัณฑิตผู้มีในกาลก่อน ท. ประพฤติยิ่งแล้วน่ันเทียว ดังนี ้ 144 ธรรมบทภาคท่ี ๗ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ตรัสแล้ว ซง่ึ มาตโุ ปสกนาคชาดก ในเอกาทสนิบาต นี ้วา่ อ.ต้นอ้อย “ตสฺส นาคสฺส วปิ ปฺ วาเสน วริ ุฬฺหา สลลฺ กิโย จ ช้าง ท. ด้วย อ.ไม้โมกมนั ท. ด้วย งอกขนึ ้ แล้ว เพราะอนั อยปู่ ราศ กฏุ ชา จาติ อิมํ เอกาทสนิปาเต มาตโุ ปสกนาคชาตกํ แหง่ ช้างตวั ประเสริฐ นนั้ ดงั นีเ้ป็นต้น โดยพิสดาร ได้ตรัสแล้ว วติ ฺถาเรน กเถตฺวา อิมํ คาถํ อภาสิ ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.ชา้ ง ชือ่ ว่า ธนบาล ตวั มีมนั แตกทว่ั ตวั อนั บคุ คล- “ธนปาลโก นาม กญุ ฺชโร พึงห้ามได้โดยยาก ตัวอันควาญช้างผูกแล้ว พกฏทกฺุโธปปฺ เกภพทฬโนํ ทนุ นฺ ิวารโย ย่อมไม่บริ โภค ซ่ึงฟ่ อน อ.ช้าง ย่อมระลึกถึง น ภญุ ฺชติ ซึ่งป่ าแห่งไม้กากะทิง ดงั นี้ ฯ สมุ รติ นาควนสฺส กญุ ฺชโรติ. (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (อ.บท) วา่ ธนปาลโก นาม ดงั นี ้ ตตฺถ “ธนปาลโก นามาต:ิ ตทา กาสกิ รญฺญา นนั่ เป็นช่ือ ของช้าง ตวั อนั พระราชาผ้ทู รงเป็นใหญ่ในแวน่ แคว้น หตฺถาจริยํ เปเสตฺวา รมณีเย นาควเน คาหาปิ ตสฺส ชื่อวา่ กาสี ทรงสง่ ไปแล้ว ซงึ่ ควาญช้าง (ทรงยงั ควาญช้าง) หตฺถิสสฺ เอตํ นามํ. กฏุกปปฺ เภทโนต:ิ ตขิ ิณมโท. ให้จบั แล้ว ในป่ าแหง่ ไม้กากะทิง อนั อนั บคุ คลพงึ ยินดี ในกาลนนั้ (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.อรรถ) วา่ ตวั มีความเมากล้า (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ กฏุกปปฺ เภทโน ดงั นี ้ฯ จริงอยู่ อ.หมวกแหง่ หู ท. ยอ่ มแตกทวั่ ในกาลเป็นท่ีมวั เมา หตฺถีนํ หิ มทกาเล กณฺณจลู กิ า ปภิชฺชนฺต,ิ แหง่ ช้าง ท., อ.ช้าง ท. ยอ่ มไมค่ �ำนงึ ถงึ ซง่ึ ขอ หรือ หรือวา่ ซง่ึ ปฏกั ปกตยิ าปิ หตฺถิโน ตสมฺ ึ กาเล องฺกสุ ํ วา ตนุ ฺนํ วา หรือวา่ ซงึ่ โตมร เป็นสตั ว์ดรุ ้าย ยอ่ มเป็น ในกาลนนั้ แม้ตามปกต,ิ โตมรํ วา น คเณนฺติ จณฺฑา ภวนฺติ, โส ปน สว่ นวา่ (อ.ช้างชอ่ื ธนบาล) นนั้ เป็นสตั วด์ รุ ้ายยงิ่ นน่ั เทยี ว (ยอ่ มเป็น), อติจณฺโฑเยว; เตน วุตฺตํ “นกฏุกปภฺปญุ เภชฺ ทตโตี น:ิ เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระด�ำรัส) ตวรา่ ัสแลก้วฏกุฯป(ปฺ อเ.ภอทรรโถน) ทนุ ฺนิวารโย ทนุ ฺนิวารโยต.ิ พทโฺ ธ กพฬํ ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) วา่ (อ.ช้าง) น โส พทฺโธ, หตฺถิสาลํ ปน เนตฺวา วิจิตฺรสาณิยา นนั้ (อนั ควาญช้าง) ผกู แล้ว หามิได้, แตว่ า่ (อ.ช้าง นนั้ ) ปริกฺขิปาเปตฺวา กตคนฺธปริภณฺฑาย อุปริพทฺธ- ตวั (อนั ควาญช้าง) น�ำไปแล้ว สโู่ รงแหง่ ช้าง (ยงั กนั และกนั ) วิจิตฺรวิตานาย ภูมิยา ฐปิ โต รญฺญา ราชารเหน ให้ล้อมรอบแล้ว ด้วยม่านอันวิจิตร พักไว้แล้ว บนแผ่นดิน น“นพาทนอฺโคิธจฺคฺฉริ,สกโพภหตฬชเฺถํ นิสนานลํอุปภปฏุญเฺ วฐฺชาสปติติีตโมติตปฺติ ํ กิญฺจิ ภุญฺชิตํุ มีการประพรมด้วยของหอมอนั กระท�ำแล้ว มีเพดานอนั วิจิตร ปน สนฺธาย อนั บคุ คลผกู แล้วในเบอื ้ งบน แม้ตวั อนั พระราชา (ทรงยงั ควาญช้าง) วุตฺตํ. สุมรติ ให้บ�ำรุงแล้ว ด้วยโภชนะอนั ประกอบแล้วด้วยรสอนั เลิศต่างๆ นาควนสฺสาติ: น โส รมณียเมว ปตวุ สฺตนวโิฏยฺ ฐเคานนํ ออะนั ไครๆว,รแกก็ ่พ(อร.พะรราะชดาำ� รสัไม) ป่วา่ราพรถทนโฺ ธาแกลพ้วฬํ เพื่ออนั บริโภค (ซงึ่ โภชนะ) นาควนํ สริ, มาตา ปนสฺส อรญฺเญ น ภญุ ชฺ ติ ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู ี ทกุ ฺขปปฺ ตฺตา อโหส,ิ โโสภชมเนานตาาปติิตธอุ มปุ มฺฏิกฺฐํานมธามตาฺมปเมิ ตว-ุ พระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ทรงหมายเอา (ซง่ึ อาการ) สกั วา่ ช้างตวั ปเู รต;ิ “กึ เม อิมินา อนั ควาญช้างให้เข้าไปแล้ว สโู่ รงแหง่ ช้าง (ดงั นี ้ แหง่ บาท อเิปุ ตฏนฺฐาสนกธฺกมามฺ เปมเวู รตสํ,ุริ; ตํ ปน ยสมฺ า ตสฺมึ นาควเนเยว แหง่ พระคาถา) วา่ พทโฺ ธ กพฬํ น ภุญฺชติ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ เตน วตุ ฺตํ “สมุ รติ นาควนสฺส (อ.ช้าง) นนั้ ระลกึ ถงึ แล้ว ซงึ่ ป่ าแหง่ ไม้กากะทิง อนั เป็นท่ีเป็นท่ีอยู่ กญุ ฺชโรต.ิ อนั บคุ คลพงึ ยินดีนน่ั เทียว หามิได้, ก็ อ.มารดา (ของช้าง) นนั้ เป็ นสัตว์ ถึงแล้วซ่ึงทุกข์ เพราะอันพลัดพรากจากบุตร ในป่ า ได้เป็นแล้ว, (อ.ช้าง) นนั้ ยงั ธรรมคือการบ�ำรุงซงึ่ มารดาและบดิ า นน่ั เทยี ว ยอ่ มให้เตม็ , (อ.ช้าง นนั้ ) (คดิ แล้ว) วา่ (อ.ประโยชน์) อะไร ของเรา ด้วยโภชนะ นี ้ ดงั นี ้ ระลกึ ถงึ แล้ว ซงึ่ ธรรมคือการบ�ำรุง ซ่ึงมารดาและบิดา อันประกอบแล้วด้วยธรรม นั่นเทียว, ก็ (อนั ช้างนนั้ ) ตวั ด�ำรงอยแู่ ล้ว ในป่ าแหง่ ไม้กากะทิง นนั้ นนั่ เทียว อาจ เพื่ออนั (ยังธรรมคือการบ�ำรุงซ่ึงมารดาและบิดา) นัน้ ให้เต็ม เหตุใด, เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระด�ำรัส) วา่ สมุ รติ นาควนสฺส กญุ ฺชโร ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตรสั แล้ว (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสอง แหง่ บท) วา่ สมุ รติ นาควนสฺส ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ผลิตส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 145 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169