Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore isletsandplacenta

isletsandplacenta

Published by ภาวิดา สวัสดิภูมิ, 2020-02-14 00:22:32

Description: isletsandplacenta

Search

Read the Text Version

ส่ือการเรียนการสอนทางเทคโนโลยี Islets เร่ือง ฮอร์โมน Insulin จดั ทำโดย Glucagon นำยสรุ วิช นำคแกว้ เลขท่ี 2 นำยธนำวฒุ ิ ทองใบ เลขท่ี 10 Placenta นำยวรนนท์ ปอ้ งหมู่ เลขท่ี 18 นำงสำวจิรชั ญำ โกฉยั พฒั น์ เลขท่ี 27 นำงสำวชนิษำ สสี ดใส เลขท่ี 29 นำงสำวภำวิดำ สวสั ดิภมู ิ เลขท่ี 33 นำงสำวหงษฟ์ ำ้ ป่ินสำกล เลขท่ี 35 เสนอ อำจำรยส์ กุ ฤตำ โสมล โรงเรยี นเบญจมรำชทู ศิ จงั หวดั จนั ทบรุ ี สำนกั งำนเขตพืน้ ท่ีกำรศกึ ษำเขต 17

ไอสเ์ ลตออฟแลงเกอรฮ์ ำนส์ ประกอบดว้ ยเซลลต์ ่างกนั 2 แบบ คือ (islets of Langerhans) 1.บตี าเซลล์ ต่อมไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ เป็นกลุ่ม เซลลเ์ ลก็ ๆ จานวนมากกระจายอยเู่ ป็น เป็นเซลลข์ นาดเลก็ มีจานวนมาก และอยู่ หยอ่ มๆ ในตบั อ่อน เป็นต่อมไร้ท่อท่ีมีขนาด ดา้ นใน สร้างฮอร์โมนช่ือ อินซูลิน เลก็ ที่สุด และจานวนมากท่ีสุด (insulin) อวยั วะเป้าหมายคือ เซลลก์ ลา้ มเน้ือ (ประมาณ 2 ลำ้ นตอ่ ม) เสน้ ผ่ำนศนู ยก์ ลำง และตบั มีหนา้ ท่ีปรับระดบั น้าตาล glucose ใน ประมำณ 200 - 300 ไมครอน เลือดใหเ้ ป็นปกติ ทาใหม้ ีการใช้ glucose ใน เน้ือเยอื่ มากข้ึน และช่วยใหน้ ้าตาลในเลือดกลบั เขา้ ไปในเซลลแ์ ละรวมกนั เป็น glycogen สะสมไวท้ ่ีตบั และกลา้ มเน้ือ

2.แอลฟาเซลล์ เป็นเซลลข์ นาดใหญ่ มีปริมาณนอ้ ย สร้างฮอร์โมนชื่อ กลูคากอน (glucagon) อวยั วะเป้าหมายคือ ตบั มีหนา้ ท่ี กระตุน้ ให้ glycogen เปล่ียนไป glucose ใน กระแสเลือด

ฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin ) หน้าทขี่ องฮอร์โมนอนิ ซูลนิ – สร้างจากเบตา้ เซลล์ ( beta cell ) ซ่ึงเป็นเซลลท์ ่ีอยู่ 1. ลดระดบั นำ้ ตำล glucose ในเลือดโดย รอบนอกของกลุ่มเซลลไ์ อส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์ 1.1 เพ่มิ กำรซมึ ผำ่ น glucose เขำ้ ไปในเซลลไ์ ดม้ ำกขนึ้ 1.2 กระตนุ้ ให้ ใช้ glucose สลำยพลงั งำน – อวยั วะเป้าหมาย ตบั ,กลา้ มเน้ือ 1.3 กระตนุ้ ใหเ้ ซลลส์ รำ้ ง glycogen จำก glucose เก็บ – หนา้ ท่ีลดระดบั น้าตาลในเลือด (ระดบั น้าตาลใน เลือดปกติ 80 – 100 มิลลิกรัม / 100 ลบ.ซม. ) โดย สะสมไวท้ ่ีตบั และกลำ้ มเนือ้ เพ่มิ การนากลูโคสเขา้ สู่เซลลก์ ลา้ มเน้ือและเซลล์ ตบั กระตุน้ ใหเ้ ซลลต์ บั และเซลลก์ ลา้ มเน้ือเปล่ียน 2. กระตนุ้ กำรสรำ้ งโปรตนี จำกกรดอะมโิ น กลโู คสใหเ้ ป็นไกลโคเจน( โมเลกลุ ของคาร์โบไฮ 3. กระตนุ้ กำรสรำ้ งไขมนั จำกกรดไขมนั เดรตท่ีสร้างจากกลโู คส )เกบ็ สะสมไวภ้ ายในเซลล์

ความผดิ ปกตขิ องอนิ ซูลนิ การมีฮอร์โมนน้ีมากเกินไป (insulin excess) การมีฮอร์โมนน้ีมากเกินไปจะทาใหเ้ กิดภาวะน้าตาลในเลือดต่า ( hypoglycemia ) ซ่ึงจะมีผลต่อเซลลข์ องสมอง อยา่ งรวดเร็ว ทาใหม้ ีอาการสบั สน มึนงง อ่อนเพลีย นอกจากน้ียงั ไปกระตุน้ การทางานของประสาทซิมพาเทติก ทา ใหม้ ีอาการหิว ใจสนั่ เหง่ือออกมาก และเพมิ่ การหลง่ั แคททีโคลามีนจากต่อม หมวกไต ใหต้ บั มีการสลายไกลโคเจน เป็นกลูโคสมากข้ึน ถา้ ไม่ไดร้ ับการแกไ้ ข โดยการใหก้ ลูโคสทดแทนอาการจะรุนแรงคือชกั หมดสติ และเสียชีวติ ได้ การขาดฮอร์โมนอินซูลิน (insulin insufficiency) การขาดฮอร์โมนอินซูลินทาใหก้ ลูโคสเขา้ เซลลเ์ น้ือเยอื่ ไม่ได้ ทาให้ ร่างกายเสมือนขาด อาหาร (starvation) ตบั จึงสลายไกลโคเจนมายงั หลอดเลือด ทาใหร้ ะดบั น้าตาลยง่ิ สูงมากข้ึน (hyperglycemia) ขบวนการไกลโคจีโนไลซีส (glycogenolysis) ที่ตบั ทาใหก้ ลูโคสในกระแสเลือดสูงข้ึน การท่ีร่างกายขาด กลูโคสในขณะท่ีน้าตาลในเลือดสูงจะเป็นภาวะผดิ ปกติท่ีเรียกวา่ เบาหวาน (diabetes mellitus)

ฮอร์โมนกลูคากอน ( Glucagon ) หน้าทข่ี องกลูคากอน 1. เพ่มิ ระดบั glucose ในเลอื ดโดยกระตนุ้ กำร – สร้างจาก แอลฟาเซลล(์ alpha cell ) ซ่ึงเป็นเซลลท์ ี่อยู่ สลำย glycogen จำกตบั ใหเ้ ป็นนำ้ ตำล glucose ส่วนในและเป็นเซลลส์ ่วนใหญ่ของกลุ่มเซลลไ์ อส์เลต 2. กระตนุ้ กำรสลำยโปรตนี ใหเ้ ป็นกรดอะมโิ น ออฟแลงเกอร์ฮานส์ 3. กระตนุ้ กำรสลำยไขมนั ใหเ้ ป็นไขมนั – อวยั วะเป้าหมาย ตบั ,กลา้ มเน้ือ – หนา้ ที่ เพิม่ ระดบั น้าตาลในเลือด กระตุน้ ใหเ้ ซลล้ต์ บั ความผดิ ปกตขิ องกลูคากอน และเซลลก์ ลา้ มเน้ือเปลี่ยนไกลโคเจนใหเ้ ป็นกลูโคส ปล่อยเขา้ สู่กระแสเลือด เพ่ิมการสงั เคราะห์กลูโคสจาก ถา้ ระบบควบคุมการหลงั่ กลูคากอนผดิ ปกติไป เซลล์ กรดอะมิโนและกรดไขมนั แอลฟาจะหลงั่ กลูคากอนตลอดเวลา การมีฮอร์โมน มากกวา่ ปกติ จะเร่งการสลายกลูโคสภายในตบั เร่งใหต้ บั ปล่อยกลูโคส ออกสู่เลือดมากข้ึน ทาใหร้ ะดบั น้าตาลใน เลือดเพมิ่ ข้ึน ไม่พบโรคท่ีเกิดจากการขาดกลูคากอน แต่การหลงั่ กลูคากอนลดลง จะทาใหร้ ะดบั น้าตาลในเลือด ต่าได้

รก (placenta) เมื่อมีการตกไข่ ไขจ่ ะเคล่ือนที่ไปในท่อนาไขโ่ ดยการพดั โบกของขนเซลล์ (cilia) ของท่อนาไข่ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลมาจาก ฮอร์โมนอีสโทรเจน เมื่อมีการผสมระหวา่ งอสุจิและไข่ เกิดการ ปฏิสนธิข้ึน (fertilization) จนเคลื่อนที่มาถึงมดลูกซ่ึงเป็นระยะบ ลาสโตซิสท์ (blastocyst) มีจานวนเซลลป์ ระมาณ100 เซลล์ แลว้ จะ ฝังตวั ที่โพรงมดลกู ประมาณวนั ที่ 6-7 หลงั จากตกไข่ แลว้ เซลล์ โทรโฟบลาสท์ (trophoblast) ของบลาสโตซิสจะยดึ กบั เน้ือเยอ่ื ของ มดลกู เจริญไปเป็นรก (placenta) ดงั น้นั รกจึงเป็นส่วนหน่ึงของ ทารก แต่จะอยนู่ อกตวั ทารกในมดลูกของมารดา

1. ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน 2. ฮอร์โมนอสี โทรเจน ในช่วงแรกประมาณ 6-8 สปั ดาห์จะไดร้ ับฮอร์โมนโพรเจส การสร้างฮอร์โมนน้ีจะไม่เหมือนกบั ท่ีรังไข่ เพราะรกไม่มี เทอโรนจากคอร์ปัส ลูเทียมที่รังไข่ หลงั จากน้นั รกจะทาหนา้ ที่ใน เอนไซม์ 17 - βไฮดรอกซิเลสท่ีจะเปล่ียนโพรเจสเตอโรน หรือ การผลิตฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพ่ิมข้ึนตลอดการต้งั ครรภ์ เป็น เพรกนีโนโลน(pregnenolone) เป็นอีสโทรเจน จึงตอ้ งอาศยั ฮอร์โมนที่สาคญั มาก ท่ีจะทาใหก้ ารต้งั ครรภ์ สามารถดาเนิน สเตอรอยดท์ ่ีสร้างมาจากต่อมหมวกไตของแม่ และของทารกแทน ต่อไปได้ โดยการยบั ย้งั การหดรัดตวั ของกลา้ มเน้ือมดลูก ทาให้ โดยเซลลโ์ ทรโฟบลาสทจ์ ะใชด้ ีไฮโดรอิพิแอลโดรสเตอโรน ร่างกายไม่กาจดั ทารกซ่ึงถือวา่ เป็นส่ิงแปลกปลอมของร่างกาย ซลั เฟต (DHEA-S) ที่ผลิตจากต่อมหมวกไตของแม่ และของทารก ออกมาโดยไปกดภูมิคุม้ กนั ของร่างกาย มาเป็นสารต้งั ตน้ ที่จะผลิตอีสตราไดออล 17 เบตา้ อีสโตรนจะถกู ฮอร์โมนท่ีสร้างส่วนใหญ่เขา้ สู่ระบบไหลเวยี นโลหิตของมารดา หลง่ั มาที่เลือดแม่ แต่อีสตราไดออลจะถูกต่อมหมวกไต ของทารก ส่วนนอ้ ยท่ีผา่ นไปยงั ทารก เปล่ียนไปเป็น อีสไทรออล กลบั มาท่ีรกเพอื่ เขา้ กระแสเลือดแม่ หนา้ ท่ีของอีสโทรเจนในการต้งั ครรภย์ งั ไม่ทราบแน่ชดั แต่พบวา่ ในขณะใกลค้ ลอดจะมีปริมาณของอีสโทรเจนสูง และอีสโทรเจน ทาใหม้ ีเลือดมาเล้ียงท่ีมดลูกมาก

3. ฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรฟิ น ความผดิ ปกติของรก (Placental (human chorionic gonadotropin: HCG) abnormalities) ฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรฟิ นเป็นไกลโคโปรตีน มี 2 หน่วย คือ สายแอลฟาและสายเบตา สายแอลฟาประกอบดว้ ยกรดอะมิโน 92 ตวั รกถือเป็นส่วนหน่ึงของอวยั วะทารกที่เกิดข้ึนขณะท่ีมารดาต้งั ครรภ์ สายเบตามีกรดอะมิโน 145 ตวั เป็นฮอร์โมนท่ีสร้างมาจากถุงน้าคร่าท่ีอยตู่ ิดกบั ประกอบไปดว้ ย สายสะดือ(Umbilical cord),เยอื่ หุม้ รก(placental มดลูก (chorian) สามารถตรวจพบไดต้ ้งั แต่วนั ที่ 8 ของการปฏิสนธิ ในช่วงแรก membrane)และเน้ือรก(parenchyma)เพื่อทาหนา้ ท่ีเป็นช่องทางในการ ของการต้งั ครรภ์ ปริมาณ HCG จะสูงข้ึนอยา่ งรวดเร็วโดยจะมีประมาณ 100 IU/L ส่งผา่ นเลือด สารอาหาร อากาศ และสารคดั หลงั่ ต่างๆระหวา่ งมารดา ในวนั ท่ีที่ขาดประจาเดือน และ100,000 IU/L ขณะอายคุ รรภ์ 8-10 สปั ดาห์ และทารกในครรภ์ ความผดิ ปกติบางอยา่ งที่เกิดข้ึนกบั มารดาและทารก หลงั จากน้นั จะลดลงเหลือประมาณ 10,000 – 20,000 IU/L และคงท่ีตลอดการ น้นั อาจเป็นสืบเนื่องมาต้งั แต่มีการสร้าง การเจริญของรกที่ผดิ ปกติ ต้งั ครรภ์ ดงั น้นั การตรวจรกหลงั คลอดอาจทาใหส้ ามารถอธิบายพยาธิสภาพหรือ ภาวะท่ีเกิดเข้ึนกบั มารดาหรือทารกได้

ความผิดปกตขิ องรก มหี ลายอาการ เช่น Bilobed placenta(Placental bipatite) and placenta Multilobe placenta duplex การเกิด multilobe placenta เกิดข้ึนจากการฝังตวั ของรกในบริเวณที่มี ความผดิ ปกติของรกท้งั สองแบบมีลกั ษณะที่คลา้ ยคลึงกนั คือ ไหลเวยี นของเลือดในมดลูกลดนอ้ ยลง(decrease uterine perfusion) มองเห็นเน้ือรกแบ่งออกเป็น 2 lobes ขนาดเท่าๆกนั อาจมีเป็น บริเวณท่ีมีเลือดมาเล้ียงนอ้ ยจะเกิด atrophy เรียกวา่ trophotropism ส่วนนอ้ ยท่ีอาจพบรก 3 หรือ 4 lobes(3) เช่นการเกาะบริเวณดา้ นขา้ งระหวา่ งดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ของผนงั มดลูกทาใหเ้ กิดรก2lobesข้ึนโดย lobe หน่ึงเกิดท่ีผนงั ดา้ นหนา้ และ • Bilobed placenta (Placental bipartite,placenta bilobata)เป็น อีกlobe หน่ึงเกิดที่ผนงั ดา้ นหลงั ของมดลูก หรืออาจเกิดจากปัจจยั ภาวะท่ีมีรก 2 lobes ซ่ึงท้งั 2 lobes ไม่ไดแ้ ยกออกจากกนั เฉพาะท่ีอื่นๆบริเวณที่มีการฝังตวั ของรก เช่น การฝังตวั บริเวณที่มี อยา่ งสมบูรณ์ เชื่อมติดกนั อยเู่ สน้ เลือดจากlobeหน่ึงไป เน้ืองอกมดลูก(leiomyoma) บริเวณท่ีเคยผา่ ตดั มดลูกมาก่อน บริเวณ รวมเขา้ กบั อีกlobe หน่ึงก่อนที่จะเกิดเป็นสายสะดือ cornu หรือ บริเวณที่ผา่ นปากมดลูก(cervical os) ตาแหน่งที่พบมกั พบวา่ มีการแบ่งlobeคือบริเวณของจุดเกาะ สายสะดือ(cord insertion) พบอุบตั ิการณ์การเกิดร้อยละ2-8 • Placenta duplex เป็นรกที่แบ่งเป็น 2 lobes อยา่ งสมบูรณ์ รก ไม่ติดกนั ขนาดเท่าๆกนั เสน้ เลือดของแต่ละlobes ยงั คงแยก ออกจากกนั ก่อนท่ีจะเขา้ รวมกนั ในสายสะดือ

Succenturiate Placenta and Spurium Placenta เป็นภาวะที่มีรกนอ้ ย(small accessory lobes,additional lobe) เกิดมานอกเหนือจากรกปกติท่ีมีอยแู่ ลว้ อาจมีเกินมา 1 lobe หรือมากกวา่ กไ็ ดโ้ ดยรกใหญ่และรกนอ้ ยจะแยกจากกนั โดย สมบูรณ์ แต่มีลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั คือ Succenturiate Placenta เป็นความผดิ ปกติ โดยมีรกนอ้ ยจะแยกออกจากกนั โดย สมบูรณ์จากรกใหญ่ แต่มีเสน้ เลือดเชื่อมระหวา่ งรกใหญ่กบั รกนอ้ ย และ รกนอ้ ยดงั กล่าวยงั คงสามารถทางานไดป้ กติ แต่ พบวา่ มากกวา่ คร่ึงจะเกิดการขาดเลือด(infraction) หรือ atrophyไป โดยส่วนใหญ่ตาแหน่งจุดเกาะของสายสะดือจะ เกาะท่ีรกใหญ่(dominant lobe) พบไดบ้ ่อยในการต้งั ครรภ์ แฝด อุบตั ิการณ์การเกิดประมาณร้อยละ 5-6

หน้ำปก จบกำรเสนองำนเทคโนโลยีเพ่ือกำร เรยี นรูข้ องวชิ ำชีววิทยำศำสตร์ เร่อื ง ฮอรโ์ มน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook