ท า ง ถู ก ต ้ อ ง น้ั น มี อ ยู ่ ๘ ป ร ะ ก า ร คื อ ค ว า ม ถู ก ต ้ อ ง ของทิฐิ ความ คิด ความเห็น ความเช่ือ ความเขา้ ใจ อะไรก็เรียกว่าทิฐินี่ถูกต้อง รู้อะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ทีน้ีก็ถูกต้อง ต่อไปถึงไอ้ความต้องการ ความใฝ่ฝัน ความปรารถนา เมื่อรู้ว่าอะไรเป็น อะไรแล้วมันก็ปรารถนาได้ถูก ตอ้ ง นเ่ี รียกวา่ ความ ถู ก ต ้ อ ง ข อ ง ความต้องการ เรียกว่าสัมมา- สังกัปโป เม่ือ รู้อย่างน้ีแล้ว ก า ร พู ด จ า มันก็ถูกต้องเรียกว่า สั ม ม า ว า จ า การกระท�ำทางกายก็ถูกต้องเรียก ว ่ า สั ม ม า กั ม มั น โ ต ก า ร เ ลี้ ย ง ชวี ติ กถ็ กู ตอ้ ง เรียกว่าสัมมา อาชโี ว มันถกู ต้อง แลว้ ก็ถูกต้องต่อ ไปถึงสัมมา ว า ย า ม ะ คื อ ความพากเพียร ก�ำลังใจท่ีพากเพียร นั้นถูกต้อง มุ่งหมายถูก ต้อง กระท�ำอย่างถูกต้อง อยู่อย่าง ถูกต้อง แล้วก็สติความระลึก ควบคุมตน ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอนั้นก็ถูก ต้อง อันสุดท้ายสมาธิคือ ความปกั ใจ ม่ันลงไปในความ ถกู ตอ้ ง กเ็ ลยเปน็ ความถกู ตอ้ ง ๘ ประการ นเ่ี รยี ก ว่าอัฏฐัง- คิกมรรค ก็คือส่ิงที่เรียกว่าธรรมะ น่ันเอง สัมมาวายาสัมะมมาอา ีชโวสัมมาส ิต ัสมมาสมา ิธ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต ธรรมะใกลม้ อื www.dhamma4u.com
ธรรมะเลม นอ ย เปนหนังสือธรรมะขนาดพกพา รายเดือน ๑๒ เลม ๑๒ เดอื น เพือ่ เจรญิ สติและแสวงหาปญญาเบ้อื งตน สำหรบั ผู ไมมีเวลาศกึ ษาเนือ้ หาโดยละเอยี ด สามารถมสี ว นรว มไดโดย ๑. ผูที่อานแลวคิดวาดีมีประโยชน โปรดสงมอบ ใหแกผูอ ืน่ ตอ เปรียบด่ังทานใหท าน ๒. สนับสนุนการจัดพิมพหนังสือธรรมะเลมนอย ตามกำลัง ๓. เลอื กจดั พมิ พห นงั สอื ธรรมะเลม นอ ย เพอ่ื เผยแผ ในวาระตาง ๆ เชน งานวันขึ้นปใหม งานเฉลิมฉลอง งานบุญ งานวนั เกดิ งานสมรส งานศพ ฯลฯ โดยสามารถเลอื กเอาเฉพาะ สว นท่ีเปน ธรรมบรรยายและพิมพบ างสว นเพิ่มเตมิ ได ธรรมะดี ๆ มีตดิ ตวั ไว เพอ่ื เจรญิ สตแิ ละปญญา รว มเปนเจา ภาพ พมิ พธรรมะเลม นอ ยไดที่ หอจดหมายเหตุพทุ ธทาส อนิ ทปญโญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐
พระธรรม ในทกุ แงท่ กุ มมุ โดย พุทธทาสภิกขุ ล�ำดับที่ ๘ ปี ๒๕๕๕ www.dhamma4u.com
ธรรมเทศนาเนือ่ งในวันอาสาฬหบชู า วนั ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ผ้ถู อดคำ� บรรยาย คณุ สริ พิ ร เอกวรานุกลู ศิริ ผตู้ รวจทาน คุณวาสนา สมเนตร์
พระธรรม ในทกุ แงท่ กุ มมุ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ ฯ โย จ พทุ ธฺ ญจฺ ธมมฺ ญจฺ สงฆฺ ญจฺ สรณํ คโต จตตฺ าริ อรยิ สจจฺ าน ิ สมมฺ ปปฺ ญฺ าย ปสสฺ ติ ทกุ ขฺ ํ ทกุ ขฺ สมปุ ปฺ าทํ ทกุ ขฺ สสฺ จ อตกิ กฺ มํ อรยิ ญจฺ ฏฺ งคฺ กิ ํ มคคฺ ํ ทกุ ขฺ ปู สมคามนิ ํ เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมตุ ตฺ มํ เอตํ สรณมาคมมฺ สพพฺ ทกุ ขฺ าปมจุ จฺ ต–ี ติ ๑
ณ บดั นจ้ี ะไดร้ บั ประทานวสิ ชั ชนา พระ ธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ เปน็ เครอื่ งประดบั สตปิ ญั ญา สง่ เสรมิ ศรทั ธา– ความเชื่อ และวิริยะ–ความพากเพียร ของ ท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอก งามยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป ในทางแหง่ พระศาสนา ของ สมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นท่ีพึ่งของเรา ทงั้ หลาย ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนา พิเศษ ปรารภเหตุอาสาฬหบูชาดังท่ีท่านทั้ง หลายกท็ ราบกนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดอี ยแู่ ลว้ โอกาส น้ีจะได้วิสัชชนา ในข้อธรรมะที่จะส่งเสริม การท�ำอาสาฬหบูชาให้มีผลยิ่งๆ ข้ึนไปจนถึง ทส่ี ดุ ขอใหท้ า่ นทงั้ หลายจงตง้ั ใจฟงั ใหส้ �ำเรจ็ ประโยชน์ โดยเฉพาะทา่ นทมี่ าจากถน่ิ ไกลจะ ๒
ตอ้ งไดร้ บั ประโยชนเ์ ตม็ หรอื คมุ้ กนั กบั การมา การกระทำ� ในสถานทเ่ี ชน่ น้ี ทา่ นทงั้ หลายกจ็ ะ รสู้ กึ ไดเ้ องวา่ มนั ผดิ กบั ทก่ี ระทำ� อยา่ งทเี่ คยทำ� มาในทอี่ นื่ ๆ คอื ทำ� ในบา้ นในเมอื ง บดั นใ้ี หม้ า ทำ� ในปา่ มนั กเ็ ขา้ รปู กนั กบั เรอื่ งของพระพทุ ธ- จรยิ า ดงั ทเ่ี ปน็ มาแตค่ รง้ั พทุ ธกาล ขอใหท้ ำ� ใน ใจเหมอื นกบั วา่ ไดไ้ ปดไู ดไ้ ปเหน็ กจิ กรรมนนั้ ๆ ในสมยั ครงั้ พทุ ธกาลทกี่ ระทำ� กนั ในปา่ แลว้ ก็ พยายามท�ำจิตใจให้เหมาะสมกันกับที่ว่าเรา จะทำ� อยา่ งนค้ี อื ทำ� ในปา่ ทนี เ้ี มอ่ื พดู ถงึ วนั ทกี่ ำ� หนดไว้ วนั นเ้ี รยี กวา่ วันอาสาฬหบูชา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นวันท่ีระลึก ถึงพระธรรม วันวิสาขบูชาเป็นวันท่ีระลึกถึง พระพุทธเจ้า เพราะเป็นวันท่ีประสูติ ตรัสรู้ และปรนิ พิ พาน สว่ นวนั อาสาฬหบชู าเปน็ วนั ๓
ทท่ี รงแสดงพระธรรมเปน็ ครงั้ แรก มผี รู้ ธู้ รรม เปน็ ครง้ั แรก เลยเรยี กวา่ เปน็ วนั พระธรรม, ตอ่ มาถงึ วนั มาฆบชู าเรยี กวา่ เปน็ วนั พระสงฆ์ คอื มีพระสงฆ์เกิดข้ึนเป็นคณะ เป็นคณะสงฆ์ที่ เปน็ ปกึ แผน่ แลว้ ประชมุ กนั เปน็ ครงั้ พเิ ศษ มี พระพทุ ธองคท์ รงประทบั เปน็ ประธาน แสดง โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นการประดิษฐานคณะ สงฆล์ งในโลกน้ี น่ีขอให้จ�ำความหมายของวันท้ัง ๓ วัน น้ีไว้ให้เป็นอย่างดี คือ วันวิสาขบูชามาก่อน เปน็ วนั พระพทุ ธ วนั อาสาฬหบชู าตามมาเปน็ วนั พระธรรม วนั มาฆบชู าตามมาเปน็ วนั พระ สงฆ์ ๔
บัดนี้ กล่าวได้ว่าเราก�ำลังท�ำพิธีบูชาใน วันพระธรรม บูชาแก่พระธรรม ดังนั้นเรื่อง ท่ีจะพูดกันให้เป็นพิเศษก็คือเรื่องพระธรรม นนั่ เอง อาตมากจ็ ะไดว้ สิ ชั ชนาไปตามสตกิ ำ� ลงั ซ่ึงยังมีน้อย แต่ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ ส�ำเร็จประโยชน์ก็อาจจะส�ำเร็จประโยชน์ได้ เหมอื นกนั เราก�ำลังพูดกันถึงเรื่องของพระธรรมใน ทุกแง่ทุกมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมที่ จะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือแก่ท่านทั้ง หลาย หรือแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกน้ี ว่าจะ รบั ประโยชนจ์ ากพระธรรมไดใ้ นลกั ษณะเชน่ ไร เดี๋ยวนี้เขาจะวินิจฉัยกันในลักษณะท่ีเป็น เร่ืองของคน เป็นเร่ืองของมนุษย์ เป็นเรื่อง ของการดบั ทกุ ขข์ องมนษุ ย์ ไมใ่ ชเ่ ปน็ เรอ่ื งของ ๕
พระคัมภีร์หรือสิ่งท่ีไม่ได้เก่ียวข้องกับมนุษย์ คำ� วา่ พระธรรม พระธรรมน่ี มกั จะไดย้ นิ แปล กนั วา่ คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ แตโ่ ดยเนอื้ แทน้ น้ั คำ� วา่ ธรรม หรอื ธรมฺ หรอื ธมมฺ คำ� นไี้ ม่ ไดแ้ ปลวา่ คำ� สอน คำ� วา่ ศาสน ตา่ งหากทแี่ ปล วา่ คำ� สงั่ สอน คำ� วา่ ธรรมะ นแ่ี ปลวา่ ทรงไว้ ซง่ึ ผปู้ ฏบิ ตั ิ ธาตหุ รอื ใจความของคำ� วา่ ธรรมะ นนั้ คอื คำ� วา่ ทรงไว้ ทรงไว้ ยกไว้ ชไู ว้ ไมใ่ หต้ ก จม พระธรรมจึงเป็นส่ิงที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ไม่ ใหต้ กจมลงไปในกองทกุ ข์ ฉะนั้นควรจะเข้าใจกันเสียใหม่ว่าค�ำว่า พระธรรมนนั้ นะ่ จะตอ้ งแปลวา่ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ หรอื ความรกู้ ไ็ ด้ ขอ้ ปฏบิ ตั กิ ไ็ ดท้ ท่ี ำ� ใหไ้ มจ่ มลงไปใน กองทกุ ข์ ๖
ทีนี้ถ้าจะขยายความออกไปให้เป็นเร่ือง ของธรรมดาสามญั อะไรเลา่ ทจ่ี ะท�ำผปู้ ฏบิ ตั ิ ไม่ให้จมลงไปในกองทุกข์ สิ่งน้ันก็คือหน้าที่ หน้าท่ี หน้าท่ีของเขาน่ันเอง หน้าที่ของเขา ทปี่ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ นนั่ เอง จะทรงผนู้ น้ั ไวไ้ มใ่ หต้ ก จมลงไปในกองทกุ ข์ ดงั นน้ั ในประเทศอนิ เดยี เขาแปลค�ำว่าธรรมะนี้ว่าหน้าท่ี หน้าที่ ใน ฐานะเปน็ เจา้ ของภาษาเกา่ แก่โบราณแต่เดมิ มาแปลธรรมะว่าหน้าที่ และถือว่าเกิดก่อน พระพุทธเจ้า เพราะค�ำว่าธรรมะนี้มนุษย์พูด กันแล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด และก็ หมายถึงหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อ เอาตวั รอดหรอื ดบั ทกุ ขใ์ หไ้ ด้ เมอ่ื พดู ถงึ หนา้ ที่ ก็จะต้องรู้ให้ตลอดไปถึงข้อท่ีว่ามันทรงผู้ท�ำ หน้าที่ไว้ไม่ให้ตกจมลงไปในกองทุกข์ ท่าน ๗
จงถือเอาความหมายน้ีให้ดีๆ แล้วเอาไปใช้ ให้ส�ำเร็จประโยชน์ตามนั้น คือทรงตัวท่านผู้ ปฏบิ ตั นิ นั้ ไวไ้ มใ่ หจ้ มลงไปในกองทกุ ข์ ดงั นนั้ เราจงึ มรี ะบบทจ่ี ะตอ้ งเรยี นใหร้ ู้ ใหเ้ ขา้ ใจ แลว้ กป็ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามนน้ั แลว้ กด็ บั ทกุ ขไ์ ด้ นค่ี อื พระธรรม ความรจู้ ากการปฏบิ ตั ิ ทดี่ บั ทกุ ขไ์ ดเ้ รยี กวา่ พระธรรม ทีน้ีลองพิจารณาดูให้ดีเถิดว่าเม่ือเป็น อยา่ งนแ้ี ลว้ มนั เปน็ หนา้ ทห่ี รอื มใิ ชห่ นา้ ทเี่ ลา่ เราตอ้ งเรยี นใหร้ ู้ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หไ้ ด้ ตอ้ งดบั ทกุ ข์ ใหไ้ ด้ การดบั ทกุ ขน์ น้ั เปน็ หนา้ ทห่ี รอื ไม่ ทกุ คน ก็พอจะทราบได้เอง เว้นแต่มันไม่รู้อะไรเอา เสยี เลย วา่ หนา้ ทกี่ เ็ ปน็ เรอ่ื งทท่ี ำ� สำ� หรบั เลยี้ ง ปากเล้ยี งทอ้ ง มันกด็ ้วยกันนน่ั แหละ หน้าท่ี ๘
ส�ำหรับเล้ียงปากเลี้ยงท้องก็เป็นธรรมะด้วย เหมือนกัน หน้าที่นั้นช่วยให้รอดชีวิต เม่ือมี ชวี ติ อยแู่ ลว้ กจ็ ะไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทที่ สี่ งู ขนึ้ ไป สงู ขนึ้ ไป จนดบั ทกุ ขไ์ ดส้ นิ้ เชงิ เรยี กวา่ บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน ท่านท้ังหลายจะต้องมองเห็น เข้าใจ ยอมรับ เชื่อว่าหน้าท่ีของเราน้ันมีอยู่เป็น ๒ ชนั้ หรอื เปน็ ๒ ระดบั หนา้ ทอี่ นั ดบั แรกกค็ อื หน้าที่ท่ีจะต้องให้รอดชีวิตอยู่ได้ น่ีก็มีการ กระท�ำท่ีมากมายกว้างขวางเหมือนกันท่ีจะ ทำ� ใหร้ อดชวี ติ อยไู่ ด,้ ครน้ั รอดชวี ติ อยไู่ ดแ้ ลว้ กม็ หี นา้ ทที่ จ่ี ะตอ้ งดบั ทกุ ขโ์ ดยประการทง้ั ปวง จนกวา่ จะถงึ สดุ ยอดของความดบั ทกุ ข์ ทเี่ รยี ก วา่ บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน ๙
น่ีเข้าใจเสียอย่างนี้ว่า ข้ึนชื่อว่าหน้าท่ี หนา้ ทแี่ ลว้ เปน็ ธรรมะหมด เพราะวา่ หนา้ ทน่ี น่ั แหละชว่ ยไมใ่ หจ้ มลงไปในกองทกุ ขค์ อื ความ ตาย เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องมันก็ไม่ตาย นบั ตง้ั แตว่ า่ จะตอ้ งมอี าหารกนิ จะตอ้ งบรหิ าร ร่างกาย มีท่ีอยู่ที่อาศัย ท่ีต้องท�ำทุกอย่าง เพื่อบริหารร่างกาย การกินอาหาร การถ่าย อจุ จาระ การถา่ ยปสั สาวะ การ… เบด็ เตลด็ ทุกอย่างท่ีท�ำนั่นแหละ มันช่วยให้รอดชีวิต ตอ้ งจดั ไวใ้ นฐานะเปน็ หนา้ ที่ เปน็ หนา้ ทที่ เี่ พอ่ื รอดชวี ิต เมือ่ เราไดท้ �ำหน้าทเี่ หล่านี้โดยครบ ถว้ นแลว้ มนั กร็ อดชวี ติ รอดชวี ติ แลว้ ยงั จะตอ้ ง ทำ� อะไรตอ่ ไป ปญั หามนั กม็ อี ยู่ วา่ เขามคี วาม ทกุ ขอ์ ยา่ งไรเหลอื อยู่ มปี ญั หาอยา่ งไรเหลอื อยู่ กจ็ ะตอ้ งกำ� จดั ใหค้ วามทกุ ขน์ น้ั ใหห้ มดไป ทนี ี้ ๑๐
กก็ ลายเปน็ เรอ่ื งทางจติ ทางใจขนึ้ มา คอื เรอื่ ง ความโลภ ความโกรธ ความหลงหรือกิเลส อยา่ งอนื่ ตา่ งๆ นานาทที่ �ำใหเ้ ปน็ ทกุ ข์ ฉะนนั้ จงึ มหี นา้ ทจ่ี ะตอ้ งดบั เสยี ซงึ่ กเิ ลสตณั หาเหลา่ น้ันเพื่อให้หมดจากความทุกข์ ทีน้ีมันก็ต้อง ทำ� ตอ่ ไปอกี ขน้ั หนงึ่ ไม่ใช่ว่ามีเงินมาก มีอ�ำนาจมาก มีอะไร มากแลว้ จะไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ มนั ยงั เปน็ ทกุ ขอ์ ยดู่ ว้ ย กิเลสตัณหานานาสารพัดอย่าง จะมีเงินสัก เทา่ ไร มอี ำ� นาจสกั เทา่ ไร เกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี งสกั เทา่ ไร มนั กย็ งั มคี วามโลภ ความโกรธ ความ หลงทท่ี ำ� ใหเ้ ปน็ ทกุ ข์ อยา่ วา่ แตม่ นษุ ยธ์ รรมดา ในโลกนเี้ ลย แมพ้ วกเทวดาในสวรรคม์ นั กย็ งั เปน็ ทกุ ขเ์ พราะกเิ ลสตณั หานนั้ ถา้ ยงั มที กุ ขอ์ ยู่ โดยประการใด กย็ งั มหี นา้ ทท่ี จ่ี ะตอ้ งประพฤติ ๑๑
ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ดบั ทกุ ข์ สรปุ ความสน้ั ๆ วา่ ธรรมะ เปน็ เครอ่ื งดบั ทกุ ข์ สำ� หรบั ผทู้ มี่ คี วามทกุ ข์ ถ้าใครมันโง่เขลาจนถึงกับไม่รู้จักว่าเป็น ทุกข์ มันก็ต้องทนทุกข์ไปโดยไม่รู้สึกว่าเป็น ทกุ ข์ นเ่ี ปน็ ของทม่ี ไี ด้ มนั ไมร่ จู้ กั วา่ อนั นเ้ี ปน็ ความทุกข์มันก็ทนทุกข์ไป ทนทุกข์ไป อยู่ อย่างเป็นทุกข์ไปจนตาย โดยไม่รู้สึกว่าทน ทุกข์อย่างนี้มันก็ยังมีแต่เราคงจะไม่เป็นถึง อยา่ งนนั้ ขอใหม้ องเหน็ ความทกุ ขท์ มี่ อี ยจู่ รงิ นบั ต้งั แต่ความรบกวนของนิวรณท์ ัง้ ๕ แลว้ ก็การแผดเผาของกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ท้ังสาม และความที่ยังละไม่ได้ แม้พยายาม อยู่ มนั กย็ งั มกี เิ ลสตณั หาซง่ึ เหนยี วแนน่ มนั ก็ เปน็ ความทกุ ข์ มองเหน็ ใหช้ ดั เสยี กอ่ นวา่ ความ ทุกข์นั้นมีอยู่อย่างไร ถ้าไม่เห็นว่าเป็นความ ๑๒
ทกุ ข์ คอื หรอื มคี วามทกุ ขม์ นั กไ็ มต่ อ้ งทำ� อะไร ในเรอื่ งเกยี่ วกบั ธรรมะ เพราะธรรมะนมี้ นั เปน็ เครอ่ื งดบั ทกุ ขโ์ ดยตรง เพราะฉะนนั้ สงิ่ แรกที่ จะตอ้ งรจู้ กั กค็ อื เรอ่ื งความทกุ ขน์ น่ั เอง ดงั นน้ั พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงนำ� มาตรสั เปน็ เรอ่ื งแรกของอรยิ สจั สี่ คอื เรอ่ื งความทกุ ข์ เรอ่ื ง เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ เรอ่ื งความดบั ทกุ ข์ เรอ่ื งทาง ใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ขเ์ ปน็ ๔ เรอ่ื งดว้ ยกนั เรอื่ ง แรกคอื เรอ่ื งความทกุ ข์ ถา้ ใครยงั ไมม่ องเหน็ วา่ เปน็ ทกุ ขห์ รอื มคี วามทกุ ข์ กไ็ มต่ อ้ งๆ ไมต่ อ้ ง สนใจธรรมะหรอก คือมันสนใจไม่ได้หรอก เพราะมันไม่มีความรู้สึกว่าเป็นทุกข์ แต่โดย ปกตพิ อจะเหน็ พอจะรสู้ กึ กนั ได้ ไมม่ ากกน็ อ้ ย แลว้ กร็ จู้ กั มาก มากยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป นวิ รณร์ บกวน เปน็ ประจำ� วนั ๕ อยา่ ง คอื ความรสู้ กึ ไปใน ๑๓
ทางกามารมณ์ทางเพศ น้ีอย่างหน่ึง ความ รู้สึกอึดอัดขัดใจไม่ชอบอะไร น้ีอีกอย่างหนึ่ง การท่ีจิตหดหู่ถอยก�ำลัง น้ีอย่างหนึ่ง การที่ จติ ฟงุ้ ซา่ นเตลดิ เปดิ เปงิ ไปนก่ี อ็ ยา่ งหนงึ่ แลว้ กค็ วามลงั เลสงสยั ในความปลอดภยั ไมแ่ นใ่ จ ในความปลอดภยั ในความถกู ตอ้ ง ไมแ่ นใ่ จใน การกระทำ� ของตนวา่ จะถกู ตอ้ ง มนั กล็ ว้ นแต่ เปน็ เครอื่ งรบกวนจติ ใจ อยา่ งนต้ี อ้ งพยายาม หาทางกำ� จดั ใหห้ มดสน้ิ ไป กม็ าถงึ กเิ ลสตวั ใหญๆ่ คอื โลภะ มคี วาม โงย่ ดึ ถอื ตวั ตนหรอื เหน็ แกต่ นมากมนั กม็ คี วาม โลภทจ่ี ะเอามาเปน็ ของตน เมอ่ื ไมไ่ ดอ้ ยา่ งใจ มนั กเ็ กดิ ความโกรธ และเมอ่ื ไมร่ วู้ า่ อะไรเปน็ อะไรแน่นอนมันก็สงสัยวนเวียนอยู่ที่นั่นเอง เรามีปัญหากันอย่างน้ี ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ๑๔
ถา้ ไมเ่ ขา้ ใจวา่ มนั มปี ญั หาอยอู่ ยา่ งนี้ มนั กไ็ มร่ ู้ วา่ จะเอาธรรมะไปทำ� อะไร เอาละ, ทีน้ีอาตมาจะช่วยบอกให้ บอก ล่วงหน้าให้ว่าธรรมะน้ี จะมีประโยชน์อย่าง ยง่ิ สำ� หรบั ทำ� ใหช้ วี ติ นไี้ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ หรอื วา่ เมอื่ เราจะต้องท�ำการงานในหน้าที่ของมนุษย์อยู่ เปน็ ปกติ ถา้ มธี รรมะมนั จะชว่ ยใหไ้ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ การงานท่ีเป็นทุกข์นั่นแหละถ้าท�ำจิตใจเสีย ใหมใ่ หถ้ กู ตอ้ งมนั กจ็ ะไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ เพราะรสู้ กึ วา่ ไอก้ ารงานหรอื หนา้ ทนี่ นั้ มนั เปน็ ธรรมะ ได้ ประพฤตธิ รรมะกพ็ อใจ กท็ �ำงานสนกุ โดยไม่ ต้องเป็นทุกข์ แต่หลายคนคงไม่เช่ือ เพราะ รจู้ กั แตจ่ ะขเ้ี กยี จในการงาน หลบหลกี ในการ งาน เห็นการงานเป็นของทนทรมานเหงื่อ ไหลไคลย้อย ก็เห็นว่าการงานน่ีจะเป็นสุข ๑๕
ไปไม่ได้ แต่จะขอบอกว่าถ้าดำ� รงจิตใจให้ถูก ต้อง ให้มีความเข้าใจถูกต้องว่าหน้าที่การ งานท้ังหลายน้ันเป็นธรรมะ คือส่ิงท่ีจะช่วย ใหร้ อด สงิ่ ทจี่ ะชว่ ยใหเ้ รารอดนนั่ นะ่ คอื หนา้ ท่ี การงานนั่นเอง หน้าท่ีการงานน่ันแหละเป็น พระเจา้ ทจ่ี ะชว่ ยใหร้ อด กเ็ ลยสนกุ พอใจใน การท�ำงาน ถ้าเหง่ือไหลออกมาก็รู้สึกพอใจ วา่ ทำ� งานไดม้ าก เหงอ่ื มนั กก็ ลายเปน็ นำ�้ มนต์ ที่เยือกเย็นรดบุคคลน้ันให้มีก�ำลังใจส�ำหรับ ที่ประพฤติปฏิบัติต่อไปย่ิงๆ ขึ้นไป มันก็เลย ได้ผลเป็นการท�ำงานสนุก เป็นสุขอยู่ในการ ทำ� งาน นแ่ี หละดใู หด้ เี ถอะวา่ ใครบา้ งทไ่ี มต่ อ้ ง ทำ� งาน ถา้ ยงั ตอ้ งทำ� งานกจ็ งรจู้ กั ทำ� จติ ใจใหก้ าร งานนนั้ เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความพอใจ แลว้ กเ็ ปน็ สขุ เปน็ สขุ อยใู่ นขณะทที่ ำ� การงาน มผี ลคอื ทำ� ให้ ๑๖
การงานนนั้ ทำ� ไดม้ าก แลว้ กล็ ลุ ว่ งไปดว้ ยดี ไมม่ ี ปญั หา มคี วามสขุ อยตู่ ลอดเวลา นข่ี อใหท้ า่ น ทั้งหลายมีความเข้าใจในสิ่งท่ีเรียกว่าธรรมะ ธรรมะ ในลักษณะอย่างน้ีกันเถิด ก่อนแต่ที่ จะท�ำการงานกร็ ูจ้ ักท�ำจติ ใจอย่างน้ี จะได้ไม่ เปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื ทำ� การงานอยอู่ ยา่ งเหนด็ เหนอ่ื ย ก็ระลึกให้ได้อย่างนี้แล้วก็จะได้ไม่เป็นทุกข์ ขอให้ก�ำหนดใจความส�ำคัญให้ได้ว่า ธรรมะคอื หนา้ ที่ ธรรมะคอื หนา้ ที่ ถา้ เรารจู้ กั หนา้ ทใี่ นฐานะเปน็ ธรรมะแลว้ จะท�ำงานสนกุ พอใจอยู่ว่าได้ประพฤติธรรมะ คือความถูก ตอ้ งแลว้ กเ็ ปน็ สขุ เพราะความพอใจนนั้ ความ สขุ ยอ่ มเกดิ มาจากความพอใจเทา่ นนั้ นะ่ นขี่ อ ใหช้ ว่ ยจำ� ไวเ้ ปน็ หลกั ทวั่ ไป สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ ความ สุขน้ันจะต้องมาจากความพอใจ ถ้าพอใจ นอ้ ยกค็ วามสขุ นอ้ ย พอใจมากกค็ วามสขุ มาก ๑๗
พอใจอยา่ งถกู ตอ้ งบรสิ ทุ ธ์ิ กเ็ ปน็ ความสขุ ทถี่ กู ต้องบริสุทธิ์ ถ้าเป็นความพอใจอย่างคดโกง อย่างบาป อย่างอกุศลมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น คือมันเป็นความสุขชนิดที่หลอกลวง เป็น ความสุขชนิดที่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เรียก ว่าความพอใจบรสิ ุทธ์ิ ความสขุ ก็บริสทุ ธิ์ ถา้ ความพอใจไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ เพราะมนั เปน็ เรอ่ื งบาป เรอ่ื งอกศุ ล มนั กเ็ ปน็ สขุ ชนดิ ของคนพาล ของ คนอนั ธพาล เปน็ ความสขุ ชนดิ ทเี่ ปน็ บาป เปน็ อกศุ ล แลว้ มนั กไ็ ปไมร่ อด ในทสี่ ดุ มนั กจ็ มอยู่ ในกองทกุ ข์ ขอให้ท่านท้ังหลายสังเกตดูให้ดี ว่าเรา เกิดมาแล้วต้องท�ำหน้าที่การงานเพ่ือรอด ชีวิต ทีน้ีธรรมะน่ันน่ะคือหน้าที่ ธรรมะน่ัน แหละชว่ ยใหพ้ อใจในการทำ� การงาน ไมต่ อ้ ง ๑๘
เป็นทุกข์ ไปนึกถึงคนท�ำงานหนัก คนแจว เรือจ้าง คนถีบสามล้อ คนกวาดถนน ล้าง ทอ่ ถนน คนท�ำงานหนกั เหลา่ น้ี ถา้ เขาพอใจ ในหนา้ ทน่ี นั้ ๆ มนั กไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ กท็ �ำไดอ้ ยา่ ง สนุกสนานร่าเริงเหมือนชาวอินเดีย ชาวนา ทว่ั ๆ ไป ตกั นำ้� ในบอ่ ขน้ึ มารดนาไดท้ ง้ั วนั ทง้ั วนั ทงั้ วนั ตลอดฤดู นม่ี นั ไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ เพราะ ว่าเข้าไปในถ่ินน้ันได้ยินแต่เสียงร้องเพลง ทุกคนร้องเพลงแล้วก็ตัก… ตักน�้ำในบ่อขึ้น มารดนา ไหลไปตามหัวคันนา ลงปรี่ลงไป ทว่ั ตลอดผนื นา ไมม่ คี วามทกุ ขเ์ ลย ตกั นำ้� ทง้ั วันๆ กว่าจะหมดฤดูท�ำนา รุ่นท�ำนาครั้งที่ สอง คือท�ำนาท่ีไม่มีฝน ก็ท�ำได้ดี ท�ำได้มาก ท�ำได้รอดตัว น่ีถ้าว่ามันพอใจในการท�ำงาน แลว้ มนั กไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ ขอใหร้ จู้ กั ทำ� ใหก้ ารงาน ๑๙
หรอื หนา้ ทนี่ นั้ เปน็ ความพอใจ แลว้ กเ็ ปน็ ความ สขุ และเปน็ ความสขุ ทป่ี ระหลาดทสี่ ดุ คอื เปน็ ความสขุ ทไี่ มต่ อ้ งใชเ้ งนิ ทำ� ใหเ้ กดิ ความพอใจ ไดก้ เ็ ปน็ สขุ กเ็ ปน็ สขุ อมิ่ อยดู่ ว้ ยความสขุ ไม่ ต้องการจะไปท�ำอบายมุขที่ไหนเพราะมันมี ความสุขอย่างเต็มท่ีเสียแล้วในจิตใจ อิ่มอก อม่ิ ใจในการไดท้ ำ� หนา้ ทกี่ ารงาน ขอใหท้ กุ คนรจู้ กั สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ หนา้ ท่ี กบั สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ ธรรมะ ๒ สง่ิ นเี้ ปน็ สง่ิ เดยี วกนั คือส่ิงที่จะช่วยให้รอด ช่วยให้รอดชีวิตก็ท�ำ หนา้ ทแี่ บบทช่ี ว่ ยใหร้ อดชวี ติ ชว่ ยใหร้ อดจาก ความทกุ ขท์ ง้ั หลาย กท็ ำ� หนา้ ทแ่ี บบใหบ้ รรลุ มรรค ผล นพิ พาน มนั มอี ยู่ ๒ ขนั้ ตอนอยา่ งนี้ นแี่ หละคอื พระธรรม ๒๐
วันนี้เป็นวันพระธรรม วันนี้เป็นวันพระ ธรรม ขอให้นึกถึงพระธรรมว่าพระธรรมน้ัน คอื อะไร และใหร้ ไู้ ดว้ า่ เหน็ ไดแ้ จม่ แจง้ วา่ พระ ธรรมนั้นคือส่ิงท่ีจะช่วยให้รอด รอดท้ังชีวิต และรอดทั้งจากความทุกข์ชนิดที่เป็นกิเลส เปน็ เรอ่ื งของจติ ใจ เรยี กงา่ ยๆ กว็ า่ ใหร้ อดทง้ั ทางกายและใหร้ อดทงั้ ทางจติ นคี่ อื ธรรมะ เดี๋ยวนี้เป็นที่น่าเสียดายท่ีว่าเราไม่สนใจ ธรรมะกันในลักษณะอย่างน้ี ไม่มีความรู้สึก อย่างนี้ต่อส่ิงท่ีเรียกว่าธรรมะ สิ่งท่ีเรียกว่า ธรรมะกเ็ ลยไมค่ อ่ ยจะมี ไมร่ กั ทจ่ี ะทำ� การงาน ใหส้ นกุ และเปน็ สขุ จนตอ้ งมคี นอน่ื มาชกั ชวน จนต้องมีโครงการหรือคณะไหนมาล่อหลอก ใหข้ ยนั ทำ� งาน นกึ แลว้ กน็ า่ หวั ทว่ี า่ เดยี๋ วนเ้ี ขา มอี งคก์ ารพฒั นา เปน็ นกั ศกึ ษาบา้ ง มใิ ชบ่ า้ ง ๒๑
องค์การเท่ียวพัฒนาตามถิ่นต่างๆ เม่ือดูโดย ใจความแทๆ้ แลว้ กค็ อื เพอื่ หลอกคนใหท้ ำ� งาน คนนนั้ มนั โงส่ กั เทา่ ไรตอ้ งใหค้ นอน่ื มาหลอกให้ ตวั ทำ� งานเพอ่ื ชว่ ยตวั เอง มนั โงก่ มี่ ากนอ้ ย มนั ตอ้ งมคี นมาหลอกใหท้ �ำงานเพอ่ื ชว่ ยตวั เอง นี่ คอื มนั ไมม่ ธี รรมะมนั ไมร่ ธู้ รรมะ เพราะถา้ มนั รู้ มนั กจ็ ะตอ้ งทำ� งานสนกุ สนานโดยไมต่ อ้ งมใี คร มาหลอก ถงึ พวกเรากเ็ ถอะ พระเณรนเ่ี ถอะกเ็ ปน็ นกั หลอกนะน่ี หลอกคนใหม้ ธี รรมะ หลอกคน ใหท้ ำ� งาน เพราะวา่ เขาไมช่ อบ เขาไมม่ ี จะใช้ คำ� วา่ หลอกมนั กม็ ากไปหนอ่ ย แตม่ นั กย็ งั อยู่ ในเรอื่ งหลอกนน่ั แหละ หลอกใหค้ นมธี รรมะ หลอกให้คนรักษาศีล หลอกให้คนประพฤติ ธรรมะ มหี นา้ ทีห่ ลอก เพราะวา่ คนเหล่านน้ั ๒๒
มันอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเกินไป จนต้องมี คนมาหลอกให้ช่วยตัวเอง หลอกให้ช่วยตัว เองมันน่าสงสารเท่าไร ขอให้เข้าใจกันอย่าง แจ่มแจ้งจนถึงกับว่าอย่าต้องมีการกระท�ำใน ลักษณะเช่นนี้เลย จงพอใจอย่างยิ่งในการ ท�ำส่ิงที่เป็นการช่วยตัวเองคือท�ำหน้าที่ของ มนษุ ยน์ นั้ นธ่ี รรมะ ธรรมะคอื หนา้ ท่ี หนา้ ท่ี คือส่ิงท่ีจะช่วยผู้น้ันให้รอดจากความทุกข์ แตเ่ ปน็ สง่ิ ทเี่ ขาจะตอ้ งทำ� เอง มีพระบาลีอยู่แล้วว่ากิจกรรมน้ีเป็นส่ิงท่ี เธอท้ังหลายจะต้องท�ำเอง ตถาคตทั้งหลาย เปน็ แตผ่ ชู้ ที้ างเทา่ นน้ั พระพทุ ธเจา้ จะมาชว่ ย ทำ� ใหไ้ มไ่ ด้ ไดแ้ ตเ่ ปน็ ผชู้ ท้ี าง แลว้ คนเหลา่ นนั้ ก็ท�ำเอง ท�ำหน้าที่ตามที่ช้ีทางแล้วก็ดับทุกข์ ได้ ข้อนี้เป็นไปได้ท้ังฝ่ายเลี้ยงชีวิตอย่างชาว ๒๓
โลก และฝ่ายที่ดับกิเลสดับความทุกข์อย่าง ชาววัด พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงช้ีทางเร่ือง เปน็ อยอู่ ยา่ งอยกู่ นั ในโลก ทางสงั คมในโลกน้ี กม็ เี หมอื นกนั แตม่ นั ไมใ่ ชห่ นา้ ทโี่ ดยตรงของ ทา่ น หนา้ ทโ่ี ดยตรงของทา่ นกจ็ ะชว่ ยชใ้ี นเรอ่ื ง ของจติ ใจทเ่ี ปน็ นามธรรม เปน็ ดา้ นลกึ คอื เรอื่ ง ดบั ทกุ ขห์ รอื ดบั กเิ ลส ทา่ นกไ็ ดแ้ ตเ่ ปน็ ผชู้ ท้ี าง ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ –ความเพียรเป็นส่ิงท่ี ทา่ นทง้ั หลายตอ้ งทำ� เอง อกขฺ าตาโร ตถาคตา –พระตถาคตทงั้ หลายเปน็ แตผ่ ชู้ ที้ าง ฉะน้ันเราไดย้ ินได้ฟังมามากมายในเร่อื ง ทเี่ กย่ี วกบั ธรรมะ แตแ่ ลว้ มนั กเ็ ปน็ ทนี่ า่ สงั เวช ท่ีว่าไม่ได้เอามาใช้เป็นประโยชน์อะไร ฟัง ไว้ในฐานะเป็นของศักด์ิสิทธ์ิ แล้วก็เกณฑ์ ให้เป็นของศักด์ิสิทธ์ิ เกณฑ์ให้ช่วยทั้งที่ไม่ ต้องท�ำอะไร นี่เกณฑ์ให้พระธรรมมาช่วยทั้ง ๒๔
ที่ไม่ต้องท�ำอะไร อ้างให้พระธรรมเป็นของ ศักดิ์สิทธ์ิแล้วก็มาช่วย อ้างพระพุทธเจ้าเป็น ของศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ ลว้ มาชว่ ย อา้ งพระสงฆใ์ หเ้ ปน็ ของศักด์ิสิทธิ์แล้วมาช่วย อย่างน้ีมันไม่ใช่… ไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่เร่ืองในพระพุทธ- ศาสนา เรื่องความศักดิ์สิทธ์ิ เรื่องช่วย… ให้ สิ่งศักดิ์สิทธ์ิช่วยน่ันมันเป็นเร่ืองของคนโง่ ท่ี มันช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วมันไม่มีความคิดนึก ท่ีจะเข้าใจในการที่จะช่วยตัวเอง มันก็ยินดี ท�ำพิธีรีตองตามแบบไสยศาสตร์ เพ่ือให้สิ่ง ศักดิ์สิทธ์ิท้ังหลายช่วย แล้วมันช่วยได้ก่ีมาก นอ้ ยละลองคดิ ดู อยา่ งมากกจ็ ะทำ� ใหส้ บายใจ ไปพักๆ หลอกให้สบายใจไปได้พักๆ หนึ่ง มนั ชว่ ยไมไ่ ดจ้ รงิ เพราะวา่ สง่ิ ทจี่ ะชว่ ยไดจ้ รงิ น้ันคือหน้าที่ หน้าท่ี หน้าท่ีคือการงานที่จะ ต้องท�ำ เพ่ือชีวิตรอดอยู่และเพ่ือดับทุกข์ได้ ๒๕
ด้วยโดยประการทั้งปวง หน้าที่คือส่ิงท่ีต้อง ท�ำหรือจ�ำเป็นส�ำหรับสิ่งท่ีมีชีวิต ท�ำแล้วมัน รอด คร้ันรอดแล้วมันก็ท�ำหน้าที่ท่ีสูงขึ้นไป ดบั กเิ ลส ดบั ทกุ ข์ บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน ก็ ถงึ ทส่ี ดุ สดุ ยอดของความเปน็ มนษุ ย์ ไมม่ อี ะไร จะไปอกี แลว้ เมอ่ื บรรลนุ พิ พานแลว้ มนั กเ็ ปน็ จดุ จบทจ่ี ะไป ไปยง่ิ กวา่ นน้ั ไมไ่ ดอ้ กี แลว้ ฉะนั้นขอให้มองดูให้ดีๆ อย่าเข้าใจผิด ต่อสิ่งท่ีเรียกว่ามรรค ผล นิพพาน คนสมัย น้ีเห็นเป็นของเหมือนกับว่ามีไว้พอเป็นพิธี บางพวกกถ็ อื วา่ ไมม่ ปี ระโยชนอ์ ะไร แมท้ เี่ ปน็ นักศึกษา ที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา หรือได้ รบั เกยี รตยิ ศวา่ เปน็ นกั ศกึ ษา มนั กไ็ มร่ วู้ า่ การ บรรลมุ รรค ผล นพิ พานนน้ั คอื อะไร บางทเี อา ไปหวั เราะเยาะลอ้ เลน่ เสยี ดว้ ยซำ้� ไป มนั กเ็ ลย เปน็ หมนั เปลา่ ควรจะรวู้ า่ มรรคผลนพิ พานนน้ั ๒๖
นะ่ คอื มนั จดุ ขนั้ สดุ ทา้ ยของมนษุ ย์ ของความ เป็นมนุษย์จะต้องไปให้ถึง บรรลุมรรค ผล นิพพานแล้วอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง อยู่ เหนือปัญหาทั้งปวง เป็นความเตม็ เปยี่ มของ ความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เรยี กวา่ จบกนั ทน่ี น่ั วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ํ –ในบาลี เรียกว่าทางพรหมจรรย์จบแล้ว หมายความ ว่าการท่ีจะต้องท�ำเพื่อความดี ความงาม ความประเสริฐอะไร จบกันแค่น้ีเอง คือการ บรรลพุ ระอรหนั ตเ์ พราะความหมดกเิ ลส ทีนี้ก็มาดูกันถึงเรื่องท่ีว่าวันน้ีเป็นวัน อาสาฬหะ มีความหมายส�ำคัญตรงที่ว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยสัจสี่ น�ำด้วย อริยมรรคมีองค์แปด เพราะว่าการจะเข้า มาสู่อริยสัจสี่น้ันน่ะมันต้องมาด้วยทาง อริยมรรคมีองค์แปด คืออย่าไปโง่หลงให้ ๒๗
สุดโต่งในฝ่ายท�ำตนให้ล�ำบาก ในฝ่ายท่ี หลงใหลอยู่ในกามารมณ์ อย่าไปหลงอยู่ ในกามารมณ์ซ่ึงเรียกว่า ปฏิปทาเปียก แฉะ แล้วก็อย่าไปหลงใหลในการท�ำตนให้ ล�ำบากโดยไม่มีเหตุผลอะไร และมันไม่จ�ำ เป็นที่จะต้องท�ำตนให้ล�ำบาก ท�ำตนให้ ล�ำบากเปล่าๆ เรียกว่า ปฏิปทาไหม้เกรียม อาคาฬหปฏิปทา –ปฏิบัติเพื่อท�ำตนให้จม อยใู่ นกองกาม นเี่ รยี ก ปฏปิ ทาเปยี กแฉะ ทนี ี้ ไปหลงตรงกันข้ามทรมานตนให้ล�ำบากโดย คิดว่าท�ำลายตน ท�ำลายตน ทรมานตนลง ไปได้เท่าไรกิเลสจะลดน้อยลงไปเท่านั้น ก็ เลยบ�ำเพ็ญตบะชนิดที่ทรมานตน นี่เรียกว่า นิชฌานปฏปิ ทา –ปฏิปทาไหม้เกรยี ม อยา่ ง หนง่ึ เปียกแฉะ อยา่ งหนึง่ ไหม้เกรยี มน่ไี มเ่ อา เอาแต่ท่ีตรงกลาง ที่พอดี ผู้ท่ีลุ่มหลงอยู่ใน ๒๘
กามารมณ์เขาเรียกว่าปฏิบัติเปียกแฉะ ผู้ที่ ทรมานตนให้ลำ� บากเปล่าๆ ก็เรียกว่าปฏิบัติ ไหม้เกรียม สองอย่างน้ีเว้นเสียแล้วก็อยู่ตรง กลางเดินเข้ามาตรงกลางเรียกว่า มัชฌิมา- ปฏปิ ทา คอื การกระทำ� ใหถ้ กู ตอ้ ง ถกู ตอ้ ง ถกู ตอ้ ง ถกู ตอ้ งทกุ อยา่ งทค่ี วรจะถกู ตอ้ ง ในทนี่ ีพ้ ระองค์ตรัสว่า ไดร้ ้พู รอ้ มเฉพาะ ด้วยตนเอง ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ยินได้ฟังมาแต่ผู้ อนื่ ทางถกู ตอ้ งนนั้ มอี ยู่ ๘ ประการคอื ถกู ต้องของทิฏฐิ –ความคิด ความเห็น ความ เชอื่ ความเขา้ ใจ อะไรกเ็ รยี กวา่ ทฏิ ฐนิ ถี่ กู ตอ้ ง รู้อะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง, ทีน้ีก็ถูกต้อง ตอ่ ไปถึงไอค้ วามตอ้ งการ ความใฝฝ่ นั ความ ปรารถนา เม่ือรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็ ปรารถนาได้ถูกต้อง น่ีเรียกว่าความถูกต้อง ของความต้องการ เรียกว่า สัมมาสังกัปโป, ๒๙
เมอ่ื รอู้ ยา่ งนแี้ ลว้ การพดู จามนั กถ็ กู ตอ้ งเรยี ก วา่ สมั มาวาจา, การกระทำ� ทางกายกถ็ กู ตอ้ ง เรียกว่าสัมมากัมมันโต, การเลี้ยงชีวิตก็ถูก ตอ้ งเรยี กวา่ สมั มาอาชโี ว มนั ถกู ตอ้ ง, แลว้ กถ็ กู ตอ้ งตอ่ ไปถงึ สมั มาวายามะคอื ความพากเพยี ร ก�ำลังใจทีพ่ ากเพียรน้นั ถูกต้อง มุ่งหมายถกู ต้อง กระท�ำอย่างถูกต้อง อยู่อย่างถูกต้อง, แลว้ กส็ ติ –ความระลกึ ควบคมุ ตนใหร้ สู้ กึ ตวั อยู่เสมอนั้นก็ถูกต้อง, อันสุดท้ายสมาธิ คือ ความปักใจม่ันลงไปในความถูกต้อง ก็เลย เป็นความถกู ต้อง ๘ ประการ นีเ่ รยี กวา่ อัฏ- ฐังคิกมรรค ก็คือส่ิงที่เรียกว่าธรรมะน่ันเอง ธรรมะที่จะต้องรู้ จะต้องประพฤติ จะต้อง ปฏบิ ตั นิ ัน่ เอง เป็นความถกู ต้อง ๘ ประการ ชว่ ยจดจำ� ไวใ้ หด้ ๆี ๓๐
ทส่ี วดมนตก์ นั ไดอ้ ยู่ ทอ่ งกนั ไดอ้ ยกู่ ม็ อี ยู่ มาก แตบ่ างคนกย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจชดั กเ็ ขา้ ใจเสยี ให้ ชดั วา่ ตอ้ งอยดู่ ว้ ยความถกู ตอ้ ง ๘ ประการ ถกู ตอ้ งในความคดิ เหน็ ถกู ตอ้ งในความปรารถนา ถูกต้องในการพูดจา ถกู ตอ้ งในการประพฤติ กระท�ำ ถูกต้องในการด�ำรงชีวิต ถูกต้องใน ความพากเพยี ร ถกู ตอ้ งในความมสี ติ และถกู ตอ้ งในความมสี มาธิ น่ี ๘ ถกู ตอ้ งนเ่ี ปน็ หวั ใจ เลิศสุดของพระธรรม แต่เราก็ไม่ได้สนใจ ให้สมกันกับที่เป็นของประเสริฐเลิศยิ่งเลิศ ทส่ี ดุ มบี าลกี ลา่ ววา่ โย จ พทุ ธฺ ญจฺ ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต –ผู้ใดถือพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ, จตฺตาริ อริยสจฺ- จานิ สมฺมปฺปญฺาย ปสฺสติ –เห็นอริยสัจ ส่ี อยู่ตามท่ีเป็นจริง, ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ๓๑
ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ อริยญฺจฏฺงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ –ความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิด ทุกข์ก็ดี ความดับทุกข์ก็ดี มรรคมีองค์แปด ท�ำให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี ผู้ใดเป็นอย่างน้ี, เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมตุ ตฺ มํ –นน่ั เปน็ สรณะอันประเสริฐ เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพ ทุกฺขา ปมุจฺจติ –ครั้นมีสรณะอย่างน้ีแล้ว จะดับทุกข์ทั้งปวง จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด เปน็ วนั ทพี่ ระองค์ ทรงน�ำมาแสดงในวันน้ี ในวันคล้ายวันน้ีแต่ เราเรยี กวา่ วนั นก้ี นั จนเคยชนิ ไปแลว้ วนั นคี้ อื วันอาสาฬหะ ที่จริงมันก็คือวันคล้ายกับวัน น้ี วนั คลา้ ยกบั วนั นค้ี อื เปน็ วนั เพญ็ อาสาฬหะ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาเริ่ม ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ แล้วแสดง อริยสัจสี่ ซึ่งก็ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๓๒
แปดประการอกี นนั่ เอง ไปๆ มาๆ มนั กส็ ำ� คญั อยทู่ อี่ รยิ มรรคมอี งค์ ๘ ประการ การรเู้ รอื่ งดบั ทกุ ข์ ทกุ ขย์ งั ไมด่ บั ตอ้ งมกี ารปฏบิ ตั ติ ามมรรค มีองค์แปดประการ ทุกข์จึงดับ, รู้เรื่องทุกข์ ทกุ ขก์ ย็ งั ไมด่ บั , รเู้ รอื่ งสมทุ ยั ทกุ ขก์ ย็ งั ไมด่ บั , รเู้ รอ่ื งทกุ ขนโิ รธ ทกุ ขก์ ย็ งั ไมด่ บั แตต่ อ้ งปฏบิ ตั ิ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ประการนใ้ี หค้ รบถว้ นให้ สมบรู ณแ์ ลว้ ทกุ ขก์ จ็ ะดบั พระองคท์ รงแสดง ในวนั ทค่ี ลา้ ยกบั วนั นี้ คอื วนั ทพ่ี ระจนั ทรเ์ พญ็ ในกลุ่มหมู่ดาวฤกษ์ช่ืออาสาฬหะ ท่ีเรียกว่า อาสาฬหะนะ่ เปน็ ชอ่ื ดาวหมหู่ นง่ึ พระจนั ทร์ เข้าไปเพ็ญในระหว่างที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์น้ี แลว้ กเ็ รยี กวา่ เพญ็ อาสาฬหะ คอื วนั คลา้ ยกบั วนั น้ี เพราะฉะนน้ั เราจงึ ถอื เอาวนั ทค่ี ลา้ ยกบั วนั นนั้ ประกอบพธิ อี าสาฬหบชู า ๓๓
ขอใหม้ คี วามเขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง มงุ่ หมาย อยา่ งถกู ตอ้ ง ประพฤตกิ ระทำ� ใหถ้ กู ตอ้ ง อยา่ ใหเ้ ปน็ เหมอื นนกแกว้ นกขนุ ทอง อยา่ ใหเ้ ปน็ เหมอื นหนุ่ ยนต์ แลว้ แตเ่ ขาจะชกั ไป คอื เราจะ ต้องมีจติ ใจ เขา้ ใจอย่างชัดเจน อย่างถกู ตอ้ ง ว่าวันน้ีมันมีความส�ำคัญอย่างไร ว่ามีความ ส�ำคญั วา่ ทรงแสดงเรอ่ื งดับทกุ ขด์ ้วยประการ ทั้งปวง แล้วก็ดับทุกข์น้ันน่ะคือดับอย่างไร คอื เดนิ ตามอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด แลว้ กจ็ ะดบั ทกุ ขไ์ ด้ นคี่ อื ธรรมะทเ่ี ปน็ เครอื่ งดบั ทกุ ข์ เปน็ พรหมจรรยท์ จ่ี ะเปน็ เครอื่ งดบั ทกุ ข์ แลว้ กเ็ ปน็ หน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพ่ือดับทุกข์นี้ให้ได้ ไม่อย่างน้ันมันก็เสียทีที่ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ดับทุกข์ ของมนุษย์ไม่ได้แล้ว ก็จะเสียทีท่ีเกิดมาเป็น มนษุ ย์ มนั กส็ กั แตว่ า่ เกดิ มาเทา่ นนั้ เอง ๓๔
ฉะน้ันขอให้สนใจในอริยมรรคมีองค์ แปด โดยรายละเอยี ดหาศกึ ษาไดจ้ ากหนงั สอื หนงั หา มคี มั ภรี ท์ ไี่ ดก้ ระทำ� กนั ขน้ึ ไว้ แตม่ คี น สนใจน้อยมาก ขอให้ไปสนใจกันเสียใหม่ใน เรอื่ งอฏั ฐงั คกิ มรรค –ความถกู ตอ้ ง ๘ ประการ น้ัน พอรู้สึกว่าถูกต้องก็พอใจ พอพอใจก็ เป็นสุข มันก็อยู่ด้วยความสุข ไม่ต้องไปกิน เหล้าเมายาหาความสุขอะไรอีก เพราะมัน เปน็ สขุ เสยี แลว้ ขอ้ นม้ี คี วามสำ� คญั ขอใหส้ นใจ ถา้ มนั เปน็ สขุ และพอใจเสยี แลว้ มนั ไมต่ อ้ งไป สบู ฝน่ิ กนิ ยา ไมต่ อ้ งไปเสพเฮโรอนี ไมต่ อ้ งไป กามารมณ์เริงรมย์อะไรท่ีไหนอีก เพราะมัน เป็นสุขเสียแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ท�ำให้ได้ ชนดิ ทมี่ นั เปน็ สขุ เสยี แลว้ คอื พอใจในธรรมะ ที่ตนประพฤตปิ ฏิบัติอย่อู ยา่ งถกู ต้อง ไมว่ า่ ผู้ หญงิ ไมว่ า่ ผชู้ าย มกี ารปฏบิ ตั ธิ รรมะอยอู่ ยา่ ง ๓๕
ถกู ตอ้ ง แลว้ พอใจ แลว้ เปน็ สขุ มนั กไ็ มม่ คี วาม คดิ ท่จี ะไปเล่นไพ่ หรือวา่ จะไปดมื่ นำ้� เมา ไป เที่ยวกลางคืน หรือไปทำ� อะไรต่างๆ อย่างท่ี เขากระท�ำกัน ซึ่งคนเหล่าน้ันเขาก็ว่าเขาไป หาความสุขในบ่อนการพนัน ในเท่ียวกลาง คืน ดูการละเล่น หรือแม้แต่สุขจากกินกัน ใหญ่ สนุกสนานด้วยการกินเพ่ือหาความสุข จนกระทงั่ ไดเ้ ปน็ โรคเพราะการกนิ ขอใหด้ ใู ห้ ดี มนั เปน็ เรอื่ งของความผดิ คอื มนั ไมถ่ กู ตอ้ ง ถ้ามันถูกต้องมันก็แก้ปัญหาได้ ฉะน้ันเราจง อยู่ด้วยความถูกต้องชนิดที่แก้ปัญหาของเรา ไดอ้ ยทู่ กุ วนั ๆ อยา่ ใหถ้ งึ กบั ใครตอ้ งใหม้ ใี ครมาจา้ งหรอื มาหลอกให้ท�ำงานเพ่ือช่วยตัวเอง เป็นเรื่อง ท่ีก�ำลังมีปัญหา ประชาชนบางแห่งบางถ่ิน ต้องไปช่วยหลอกให้ท�ำงานเพ่ือช่วยตัวเอง ๓๖
ใหพ้ ฒั นาเพอ่ื ชว่ ยตวั เอง นมี่ นั ไกลไปเสยี มาก แลว้ มนั ไกลจากธรรมะไปเสยี มากแลว้ ถา้ รจู้ กั ว่าธรรมะคือหน้าที่ก็ไม่ต้องหลอก เพราะรัก ธรรมะกท็ ำ� หนา้ ที่ เมอ่ื ทำ� หนา้ ทม่ี นั กร็ อด รอด ทง้ั ทางกายและรอดทงั้ ทางจติ ความรอดใน พุทธศาสนานี่รอดเพราะการปฏิบัติถูกต้อง ไมต่ อ้ งพง่ึ พาผสี างเทวดา พระเจา้ พระอะไร แตป่ ระการใด ไมต่ อ้ งพง่ึ พาสงิ่ ภายนอกเหลา่ นน้ั แตป่ ระการใด และจดั ไวว้ า่ เปน็ ไสยศาสตร์ ไมม่ เี หตผุ ลเปน็ เรอ่ื งของคนทป่ี ระกอบอยดู่ ว้ ย อวิชชา มองเห็นชัดว่าหน้าท่ีท่ีท�ำลงไปอย่าง นมี้ นั มผี ลอยา่ งนี้ หนา้ ทที่ ท่ี ำ� ลงไปอยา่ งนมี้ นั มีผลอย่างนี้ ชัดเจนอย่างนี้ แล้วก็มันได้รับ ผลน้ัน รอดๆ รอดชีวิตก็รอด รอดจากกิเลส รอดจากความทกุ ขก์ ร็ อด รอดจนถงึ ทสี่ ดุ เลย ความรอดในพระพุทธศาสนามีมาจากการ ๓๗
กระทำ� อนั ถกู ตอ้ ง คอื ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ขอใหเ้ ขา้ ใจคำ� วา่ ธรรมะไวใ้ นฐานะเปน็ สง่ิ ทช่ี ว่ ยใหร้ อด อยา่ มวั หลอกลกู เดก็ ๆ วา่ ธรรมะ คอื คำ� สง่ั สอน มนั ยงิ่ เขา้ ใจผดิ กนั ใหญ่ ธรรมะ มันคือส่ิงที่ช่วยให้รอด คำ� สั่งสอนน่ะมีค�ำอื่น ใช้ คอื คำ� วา่ ศาสนะบา้ ง อะไรกย็ งั มอี กี หลายคำ� แปลวา่ คำ� สงั่ สอน แตต่ วั ธรรมะทแี่ ทจ้ รงิ ไมใ่ ช่ ตัวค�ำส่ังสอน เป็นตัวหน้าท่ี เป็นตัวความรู้ แลว้ ปฏบิ ตั ติ ามหนา้ ที่ รแู้ ลว้ ปฏบิ ตั ติ ามหนา้ ที่ นนั่ แหละคอื ตวั ธรรมะ นนั่ เรยี กสน้ั ๆ วา่ หนา้ ท่ี กแ็ ลว้ กนั รเู้ รอื่ งหนา้ ที่ แลว้ กป็ ฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ ห้ ถูกต้อง สมบูรณ์ไปด้วยความถูกต้องก็พอใจ พอใจแลว้ กเ็ ปน็ สขุ ยกมอื ไหวต้ วั เองได้ นน่ั คอื สวรรคใ์ นชนั้ ตน้ ใครอยากไดส้ วรรคท์ แี่ ทจ้ รงิ ท่ีนี่และเดี๋ยวน้ีจงกระท�ำหน้าที่ของตน อย่า ใหบ้ กพรอ่ งจนยกมอื ไหวต้ วั เองได้ นนั่ แหละ ๓๘
คอื สวรรคท์ แ่ี ทจ้ รงิ ทน่ี แ่ี ละเดยี๋ วน้ี สวรรคต์ อ่ ตายแล้วนั้นน่ะมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้แหละ ถ้ายกมือไหว้ตัวเองได้มีสวรรค์ท่ีนี่แหละตาย แลว้ ไมต่ อ้ งสงสยั กต็ อ้ งไดส้ วรรคแ์ นน่ อน แต่ สวรรคต์ อ่ ตายแลว้ นยี้ งั ไมต่ อ้ งนกึ ถงึ กไ็ ด้ นกึ ถงึ แต่สวรรค์ที่นี่ที่จะท�ำให้ตัวเองยกมือไหว้ตัว เองได้ ทำ� การงานตลอดวนั ถกู ตอ้ งตลอดวนั พอ คำ่� ลงจะนอนกใ็ ครค่ รวญดู โอ,้ มแี ตค่ วามถกู ตอ้ ง แลว้ กย็ กมอื ไหวต้ วั เอง พอใจ อมิ่ อกอม่ิ ใจ เปน็ สวรรคเ์ สยี กอ่ นแตจ่ ะนอนแลว้ กน็ อนหลบั น่ีสวรรค์จริง สวรรค์ไม่หลอก สวรรค์ชนิดที่ เปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก – มองเหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง แต่ วา่ จะตอ้ งเพม่ิ เพมิ่ การยกมอื ไหวข้ น้ึ อกี อยา่ ง หน่ึงนะ เขาจะยกมือไหว้พระพุทธทีหน่ึง ยกมือไหว้พระธรรมทีหนึ่ง ยกไหว้พระสงฆ์ ๓๙
ยกมือไหว้พระสงฆ์ทีหน่ึง น่ีขอแถมพก ว่า ยกมือไหว้ตัวเองอีกทีหน่ึง ถ้ายกมือไหว้ตัว เองนั่นแหละคือจริง ไอ้ยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆน์ ะ่ โดยมากเปน็ แตพ่ ธิ ที งั้ นน้ั แหละ ทำ� พอเปน็ พธิ ที งั้ นนั้ แหละไมม่ คี วาม รสู้ กึ ในใจอะไร แตถ่ า้ สามารถยกมอื ไหวต้ วั เอง ได้นไ่ี มใ่ ช่พิธี เพราะมันตอ้ งมองเหน็ เสียก่อน ว่าได้ท�ำถูกต้องอย่างไรจึงยกมือไหว้ตัวเอง ได้ กเ็ ลยเปน็ การยกมอื ไหวท้ จี่ ำ� เปน็ กวา่ หรอื ว่าการยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระ สงฆน์ ะ่ มนั รวมอยใู่ นการยกมอื ไหวต้ วั เอง ตวั เองประพฤติถูกต้องตามค�ำของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆแ์ ลว้ มนั จงึ จะยกมอื ไหว้ ตวั เองได้ ทนี ย้ี กมอื ไหวต้ วั เองได้ เทา่ กบั ไหว้ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ และไหวท้ กุ สง่ิ ทคี่ วรจะไหว้ ๔๐
ขอให้พยายามเถอะ ให้พอใจในตัวเอง มคี วามสขุ พอถงึ ปดิ วนั หนง่ึ จะสนิ้ วนั แลว้ จะ หลบั จะนอนแลว้ กใ็ ครค่ รวญดใู หด้ ี ใหพ้ บแต่ ความถูกต้อง พอใจ ยกมือไหว้ตัวเอง อย่าง นเี้ รยี กวา่ มสี วรรคท์ แ่ี ทจ้ รงิ ไปพลาง ไปพลาง แลว้ กเ็ ลอ่ื นขน้ึ ไป เลอ่ื นขนึ้ ไป คอื วา่ ใหค้ วาม ถกู ตอ้ งนนั้ มนั เลอ่ื นชน้ั ขน้ึ ไป ถกู ตอ้ งเลอ่ื นชนั้ ขึ้นไปจนเป็นความถูกต้องที่ท�ำลายกิเลส ท่ี ละกเิ ลส ทำ� กรรมฐาน ทำ� วปิ สั สนา ทำ� อะไรก็ แลว้ แตท่ มี่ นั เปน็ การละกเิ ลส แลว้ มนั กจ็ ะไป ถงึ จดุ จบ ดบั ทกุ ขท์ งั้ ปวงได้ นคี่ อื วา่ มพี ระธรรม มพี ระธรรมคอื ความ ถกู ตอ้ ง พระธรรมคอื ความถกู ตอ้ ง ในการรู้ ใน การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งเรยี กวา่ พระธรรม ถา้ ถาม ว่าพระธรรมคืออะไร ก็อยากจะให้ถือกันว่า พระธรรมคือความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้อง ๔๑
ทด่ี บั ทกุ ขไ์ ด้ อยา่ พดู สน้ั ๆ งา่ ยๆ โงๆ่ วา่ พระ ธรรมคือค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ ไมไ่ ดบ้ อกวา่ สอนวา่ อะไร นน่ั นะ่ มนั เปน็ เรอ่ื ง ที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร บอกแต่ได้ว่าพระธรรมคือค�ำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ท่ีจริงมันก็ไม่ถูกทั้งพยัญชนะ และอรรถะ โดยพยญั ชนะตวั ธรรมะไมไ่ ดแ้ ปล วา่ คำ� สงั่ สอนเลย แปลวา่ สง่ิ ทที่ รงผปู้ ฏบิ ตั ไิ ว,้ ธร แปลวา่ ทรงไว้ โดยความหมายกค็ อื วา่ ชว่ ย ใหด้ บั ทกุ ขไ์ ด้ จงบอกเด็กๆ ว่าธรรมะน่ะคือความรู้ และการปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง ทด่ี บั ทกุ ขไ์ ด้ นส่ี อน เด็กๆ ให้รู้แต่เพียงว่าธรรมะคือค�ำส่ังสอน ของพระพทุ ธเจา้ มนั กต็ ายดา้ นอยแู่ คน่ นั้ เอง ๔๒
ไม่รูว้ า่ สอนว่าอะไร นี่คนแก่คนเฒ่า พระเจา้ พระสงฆ์ ชว่ ยระวงั ใหด้ ๆี ชว่ ยพดู กนั เสยี ใหม่ ใหถ้ กู ตอ้ งวา่ ธรรมะนนั้ คอื อะไร แลว้ สอนเดก็ ๆ ให้มันเข้าใจอย่างถูกต้องไปเสียแต่แรก มันก็ จะเริ่มมีธรรมะ จะเร่ิมมีจุดตั้งต้นของธรรมะ ท่ีจะได้เจริญงอกงามย่ิงๆ ข้ึนไปตามหนทาง ของธรรมะในพระพุทธศาสนา สรุปเป็นใจ ความเรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค มรรคแปลว่า หนทาง หนทางประกอบด้วยความถูกต้อง ๘ ประการ หนทางนัน้ คอื สิ่งที่ประกอบดว้ ย ความถกู ตอ้ งแปดประการ มจี ติ ใจรแู้ ละปฏบิ ตั ิ ตามนนั้ แลว้ เรยี กวา่ เดนิ ไปตามทางนน้ั ไปถงึ จุดหมายปลายทางคือความดับทุกข์ได้โดย ประการทงั้ ปวง ๔๓
เอาละ, วนั นเ้ี รากม็ าท�ำพธิ ี ประกอบพธิ ี อาสาฬหบูชา เป็นที่ระลึกแก่พระธรรมอีก ครั้งหน่ึงในวันนี้ อีกคร้ังหน่ึงในวันนี้ ขอให้ พระธรรมเปน็ พระธรรม ใหพ้ ระธรรมไดเ้ ปน็ พระธรรม คอื เปน็ ความถกู ตอ้ งทอี่ ยทู่ เี่ นอื้ ท่ี ตวั ทก่ี าย ทวี่ าจา ทใ่ี จนน่ั แหละ พระธรรม จะเป็นพระธรรม ท�ำแต่เพียงเป็นพิธีนั้นน่ะ มนั กไ็ ดผ้ ลนอ้ ยมาก บางทกี จ็ ะนา่ หวั เราะดว้ ย ซำ�้ แต่กม็ ีประโยชนใ์ นข้อท่ีวา่ หากกระทำ� ให้ มันย้�ำ ให้มันแน่นมากท้ังทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ เช่นจะท�ำพิธีเวียนประทักษิณ อาสาฬหบูชาอย่างท่ีจะท�ำในวันนี้ ก็ขอให้ ทำ� ดว้ ยจติ ใจทแี่ จม่ แจง้ ถกู ตอ้ งในสง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ พระธรรม มคี วามแจม่ แจง้ อยา่ งนอี้ ยใู่ นใจแลว้ ถือธูปเทียนเดินเวียนประทักษิณนั่นแหละ สมบูรณ์ท่ีสดุ แตถ่ า้ จติ ใจเล่ือนลอยไม่ร้อู ะไร ๔๔
อยทู่ ไี่ หน มนั กเ็ ปน็ พอพธิ ขี า้ งนอกเทา่ นน้ั เอง อย่างดีจะมีประโยชน์แก่ลูกเด็กๆ พอจะได้ จำ� ไวว้ า่ เขาทำ� กนั อยา่ งนี้ เปน็ จดุ ตงั้ ตน้ ถ้าจะท�ำให้เป็นประโยชน์โดยแท้จริง แก่ทุกคนแล้ว ทุกคนจงมีจิตใจเข้าใจในสิ่งที่ เรยี กวา่ พระธรรม ดงั ทอ่ี าตมาไดก้ ลา่ วมาแลว้ มีความเข้าใจแจ่มแจ้งน้นั อยใู่ นจติ ใจ สงบสติ อารมณ์เป็นสมาธิ แม้กำ� ลังเดินอยู่ แม้กำ� ลัง เดินอยู่ สงบสติอารมณ์เป็นสมาธิ ในความ ถูกต้อง ๘ ประการนั้น มีสติเดิน ด้วยใจที่ รู้สึกอยู่ต่อความถูกต้องแปดประการนั้น น่ี เรียกว่าท�ำกรรมฐานเม่ือเดิน ท�ำกัมมัฏฐาน ท�ำวิปัสสนาเม่ือเดิน เมื่อเดินก็ท�ำได้อย่างน้ี จิตใจมีก�ำหนดถูกต้องอยู่ จะเดินอยู่ จะน่ัง อยู่ จะนอนอยู่ จะยนื อยกู่ เ็ รยี กวา่ เปน็ การท�ำ ทั้งน้ัน ๔๕
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ประหลาด มากมายย่ิงกว่านั้นว่า เมื่อมีจิตเป็นสมาธิ ประกอบด้วยฌานอย่างนี้เรียกว่า… เมื่อเดิน อยู่ก็เรียกว่าจงกรมทิพย์ เมื่อน่ังอยู่ก็เรียกว่า อาสนทพิ ย์ เมอ่ื นอนอยกู่ เ็ รยี กวา่ เสนาสนทพิ ย์ เดนิ ยนื นงั่ นอน เปน็ เปน็ ทน่ี ง่ั ทน่ี อน ทยี่ นื ทเ่ี ดนิ ทพิ ยท์ ง้ั นน้ั เลย หมายความวา่ ยงั ไมถ่ งึ ข้ันพระอรหันต์ ยังเป็นเพียงช้ันทิพย์ คือว่า ชนั้ ทดี่ กี วา่ ธรรมดา กวา่ ธรรมดา อยา่ งมากก็ จะเรียกว่าเป็นเทวดาในชั้นพรหม ไม่หลงใน กามารมณ์ ไม่มีกามารมณ์มาเก่ียวข้อง อยู่ แตก่ ับดว้ ยธรรมะท่ีบรสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผ่อง กเ็ รยี กว่า เปน็ เทพชน้ั พรหม เปน็ เทวดาชนั้ พรหม มจี ติ เปน็ สมาธิ เดนิ ยนื นง่ั นอน อยู่ กเ็ รยี กวา่ เปน็ พรหม เดนิ ยนื น่งั นอน อยู่ น่ีขอใหน้ กึ ถึง ๔๖
Search