34 หลักสูตร \"รักษ์ปา่ น่าน\" แนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรรักษ์ป่าน่านสู่การปฏิบัติ ผู้สอนต้อง คัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้หลักสูตรรักษ์ป่าน่าน ให้ผู้เรียน มีทักษะ กระบวนการ และ มีสว่ นร่วมในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรปา่ ไม้ในจังหวดั น่าน รวมท้ังสร้างความตระหนกั ให้ผเู้ รียนเหน็ คุณค่า ความสาคัญ และพัฒนาจิตสานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม ในจังหวัดน่านให้เกิดแก่ผู้เรียน ซึ่งมีหลักการจัดการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ และวิธีการจัด การเรียนรู้ ดังน้ี ๑. หลกั การจัดการเรยี นรู้ หลักสตู ร “รกั ษ์ปา่ นา่ น”เป็นหลกั สตู รการจัดการเรียนรเู้ พื่อให้ผู้เรยี นมคี วามรู้ ความสามารถตามจดุ มุ่งหมายของหลักสูตร “รักษ์ปา่ น่าน” โดยยดึ หลกั การในการดาเนินการ ดังน้ี ๑. เป็นการพฒั นากระบวนการจัดการเรียนร้ใู นการสร้างป่าสรา้ งรายได้ตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ๒. เนน้ การจดั กระบวนการเรียนรูด้ ว้ ยวิธฝี กึ ปฏบิ ตั ิจรงิ เน้นเด็กและเยาวชนเป็นศูนย์กลาง คือให้เด็กเปน็ ผลู้ งมือปฏบิ ัติด้วยตนเอง (Learning by doing) และเปน็ บุคคลแห่งการเรียนรู้ ๓. เรียนรู้จากวิถีการดารงชีวิตของชุมชนท่ีพยายามปรับตัวให้อยู่ร่วมกับป่าด้วย การผสมผสานความรู้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และภมู ปิ ัญญาดง้ั เดมิ ของชมุ ชน อย่างสมดุล ๔. เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการมีส่วนร่วมอย่าง กระตือรือร้น (Active Learning) ในสถานที่จริง (Site-Based Learning) หรือในชุมชนของผู้เรียน (Community-BasedLearning) ๕. น้อมนาศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แนวพระราชดาริและหลัก วิชาการมาบูรณาการโดยเช่ือมโยงข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง โดยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม และ เชอ่ื มโยงกับทรัพยากรของชุมชนทีอ่ ยู่รอบ ๆ ตวั ๖. ตอ้ งอนรุ ักษ์ทรพั ยากรป่าไม้ควบคู่กับการอนุรักษท์ รัพยากรอ่นื ๆ ๗. สง่ เสรมิ การทางานร่วมกันของภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครฐั ภาคเอกชน และ ภาครัฐวิสาหกจิ
35 ๒. แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้รายวิชา รักษ์ป่าน่าน ตามหลักสูตร “รักษ์ป่าน่าน” จัดให้แก่ ผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึง ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เป้าหมายคือ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิด ความตระหนัก เห็นคุณค่า และมีจิตสานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรป่าไม้ และ สง่ิ แวดล้อมในจังหวัดน่านสถานศึกษาสามารถเลือกจัดการเรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพบรบิ ทได้ ๔ ทางเลือก ดังนี้ ๑) จัดเแบบแบบบูรณาการกับการเรียนรู้ในรายวิชาพ้ืนฐาน หรือรายวิชาเพ่ิมเติม ในกลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ืน่ (วัดผลรวมอย่ใู นรายวิชานั้น ๆ) ๒) จัดเป็นรายวิชาเพมิ่ เตมิ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (วดั ผลรายวิชาเพ่ิมเติม รกั ษป์ า่ น่าน) ๓) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หรือบูรณาการกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หรือกิจกรรม/ โครงการ/โครงงาน/วิถีชีวิตของผู้เรียนทั้งที่บ้าน โรงเรียน ในชุมชน หรือสถานที่อ่ืน ๆ (วัดผล ผา่ น-ไมผ่ ่าน ตามลกั ษณะของกจิ กรรม) ๔) จัดเป็นกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ (วัดผล ผ่าน-ไม่ผ่าน ตามลักษณะ ของกิจกรรม)
36 ๓. วธิ ีการจัดการเรยี นรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตร “รักษ์ป่าน่าน” ให้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมาย ผลการเรียนรู้ แล้วจึงพิจารณาเลือก แนวทางการจัดการเรียนรู้ ออกแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เลือกใช้วิธี สอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็ม ตามศักยภาพ และบรรลผุ ลการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของหลักสตู รรกั ษป์ ่าน่าน ดงั น้ี ๑) การเรียนรจู้ ากการลงมือปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง (Learning by doing) ใหเ้ ด็กมีความรู้ ความเขา้ ใจ เห็นความงดงาม ความน่าสนใจ เกิดความปิตทิ ่ีจะศึกษาและอนุรักษต์ ่อไป เป็นความรัก ความผกู พัน หวงแหนในทรัพยากรของตน ๒) การสร้างความรู้ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนท่ัวไปว่าสรรพสิ่งต่าง ๆ ล้วน เกี่ยวพันกัน ความรู้เร่ืองโลกและชีวิตในโลกเป็นเรื่องน่าสนใจ น่าศึกษา เช่น การศึกษา ภูมิศาสตร์ สตั วศาสตร์ พฤกษศาสตร์ ศกึ ษาภมู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ จงึ จะรักและไมท่ าลาย ๓) การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning)เป็นวิธีการจัด การเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เผยแพร่ในปลายศตวรรษที่๒๐ที่เรียกว่า การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนหรือการเรียนรู้เชิงรุก” (ActiveLearning) ซึ่งหมายถึงรูปแบบการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และบทบาทใน การเรียนรู้ของผู้เรียน“ใช้กิจกรรมเป็นฐาน” หมายถึง เอากิจกรรมเป็นท่ีตั้งเพ่ือท่ีจะฝึกหรือพัฒนา ผ้เู รียนใหเ้ กิดการเรยี นรใู้ หบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์หรือเปา้ หมายทีก่ าหนด ๓.๑) ลกั ษณะสาคัญของการเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน ๓.๑.๑) ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมีความต่นื ตวั และกระตือรอื ร้นด้านการรู้คิด ๓.๑.๒) กระตนุ้ ให้เกดิ การเรยี นรจู้ ากตัวผู้เรยี นเองมากกว่าการฟงั ผู้สอนใน ห้องเรียนและการท่องจา ๓.๓.๓) พฒั นาทกั ษะการเรียนร้ขู องผเู้ รียนใหส้ ามารถเรยี นรู้ได้ด้วยตวั เองทา ให้เกิดการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองนอกห้องเรียนอกี ด้วย ๓.๓.๔) ได้ผลลพั ธใ์ นการถา่ ยทอดความรใู้ กล้เคยี งกับการเรียนรรู้ ปู แบบอนื่ แตไ่ ดผ้ ลดีกวา่ ในการพัฒนาทักษะดา้ นการคิดและการเขยี นของผเู้ รียน ๓.๓.๕) ผูเ้ รยี นมีความพึงพอใจกบั การเรยี นร้แู บบนี้มากกวา่ รูปแบบท่ผี ู้เรียน เปน็ ฝ่ายรบั ความรู้ซง่ึ เปน็ การเรยี นรู้แบบตัง้ รบั (Passive Learning) ๓.๓.๖) มุ่งเน้นความรบั ผดิ ชอบของผูเ้ รียนในการเรียนรู้โดยผา่ นการอ่าน เขยี นคดิ อภปิ รายและเขา้ ร่วมในการแก้ปัญหาและยังสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งกบั การเรียนรตู้ ามลาดบั ขน้ั การเรยี นร้ขู องบลูมทงั้ ในดา้ นพุทธิพิสยั ทักษะพิสยั และจติ พิสัย
37 ๓.๒) หลักการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ๓.๒.๑) ให้ความสนใจทต่ี ัวผูเ้ รยี น ๓.๒.๒) เรียนรผู้ า่ นกจิ กรรมการปฏิบตั ิท่นี า่ สนใจ ๓.๒.๓) ครูผู้สอนเป็นเพียงผอู้ านวยความสะดวก ๓.๒.๔) ใชป้ ระสาทสัมผัสทัง้ ๕ในการเรียน ๓.๒.๕) ไมม่ กี ารสอบแต่ประเมินผลจากพฤติกรรมความเขา้ ใจผลงาน ๓.๒.๖) เพ่อื นในชัน้ เรยี นช่วยส่งเสรมิ การเรียน ๓.๒.๗) มกี ารจัดสภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศทเ่ี ออ้ื ต่อการพัฒนาความคดิ และเสรมิ สร้างความมัน่ ใจในตนเอง ๓.๓) ประเภทของการเรยี นรูโ้ ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน กิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีใช้กิจกรรมเป็นฐานมีหลากหลายกิจกรรมการ นามาใช้ข้นึ อยู่กับความเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ของการจัดกจิ กรรมน้ัน ๆ ว่ามุ่งให้ผ้เู รียนได้ เรยี นรหู้ รอื พัฒนาในเร่อื งใดโดยท่ัวไปสามารถจาแนกออกเป็น๓ประเภทหลกั ๆคือ ๓.๓.๑) กจิ กรรมเชงิ สารวจเสาะหาค้นควา้ (Exploratory) ซึง่ เก่ยี วข้องกับ การรวบรวมสง่ั สมความรคู้ วามคดิ รวบยอดและทักษะ ๓.๓.๒) กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ (Constructive)ซึ่งเก่ียวข้องกบั การรวบรวม สัง่ สมประสบการณ์ โดยผา่ นการปฏบิ ตั ิ หรอื การทางานท่รี ิเริม่ สร้างสรรค์ ๓.๓.๓) กิจกรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ได้แก่กิจกรรม ทเ่ี ก่ยี วกับการนาเสนอการเสนอผลงาน ๓.๔) กจิ กรรมการเรียนร้ทู ี่นยิ มใช้ ๓.๔.๑) การอภิปรายในชนั้ เรยี น (class discussion) ทกี่ ระทาได้ทง้ั ใน ห้องเรยี นปกติและการอภิปรายออนไลน์ ๓.๔.๒) การอภปิ รายกลุม่ ยอ่ ย (Small Group Discussion) ๓.๔.๓) กิจกรรม “คดิ -จับค-ู่ แลกเปลีย่ น” (think-pair-share) ๓.๔.๔) เซลล์การเรียนรู้ (Learning Cell) ๓.๔.๕) การฝึกเขยี นขอ้ ความส้ันๆ (One-minute Paper) ๓.๔.๖) การโต้วาที (Debate) ๓.๔.๗) บทบาทสมมุติ (Role Play) ๓.๔.๘) การเรียนรโู้ ดยใชส้ ถานการณ์ (Situational Learning)
38 ๓.๔.๙) การเรยี นแบบกลมุ่ ร่วมแรงรว่ มใจ (Collaborative learning group) ๓.๔.๑๐) ปฏกิ ิริยาจากการชมวีดทิ ศั น์ (Reaction to a video) ๓.๔.๑๑) เกมในช้นั เรยี น (Game) ๓.๔.๑๒) แกลเลอร่ีวอลค์ (Gallery Walk) ๓.๔.๑๓) การเรียนรโู้ ดยการสอน (Learning by Teaching) ๔) การเรียนรู้กับชุมชนเป็นฐานเรียนรู้ (Community-Based Learning) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ใช้ชุมชนเป็นแหล่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือ เป็นกระบวนการเรียนการสอนในชุมชน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในองค์ความรู้ท่ีกาหนดจากชุมชน ภายใตก้ ารมีสว่ นร่วมของชุมชนท้งั ด้านกระบวนการเรียนการสอน และการประเมินผล ๔.๑) เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนโดยใชช้ ุมชนเปน็ ฐาน ๔.๑.๑) เพอ่ื พัฒนาชุมชนและสรา้ งความยงั่ ยืนแก่ชุมชนโดยการมีส่วนรว่ ม ของชุมชน ตามปรชั ญาของการจัดตั้งคณะฯ ๔.๑.๒) เพอ่ื เปน็ องคก์ รของชมุ ชน เป็นไปตามเปา้ ประสงคข์ องคณะฯ ๔.๑.๓) เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสภาพหรือสถานการณ์จริงเพื่อให้ผู้เรียน เกิดองคค์ วามรู้หรอื ปัญญา ๔.๑.๔) เพื่อเป็นการพัฒนาสมรรถนะหลกั ของคณะฯ ๔.๒) ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวังให้เกดิ จากการจดั การเรยี นการสอนโดยใชช้ ุมชน เปน็ ฐาน ๔.๒.๑) ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม ๔.๒.๑.๑) แสดงออกซ่งึ การเปน็ แบบอย่างท่ีดขี องการมวี ินัย รบั ผิดชอบ ซ่ือสัตย์ ๔.๒.๑.๒) แสดงออกซ่งึ การเป็นผู้นาทางดา้ นการมีวนิ ยั รบั ผดิ ชอบ และซอื่ สัตย์ ทีช่ ่วยให้ชมุ ชนมีการเปล่ียนแปลงทางดา้ น คุณธรรมจรยิ ธรรม ๔.๒.๑.๓) สามารถแกป้ ญั หาทางด้านคณุ ธรรมจรยิ ธรรมในด้าน การมีวินยั ความรบั ผดิ ชอบ และความซ่อื สัตย์ที่เกดิ ข้ึน ในชมุ ชน ๔.๒.๑.๔) มีทัศนคติทดี่ ีตอ่ การทางานในชุมชน
39 สารสนเทศ ๔.๒.๒) ดา้ นความรู้ ๔.๒.๒.๑) สามารถนาความรทู้ างทฤษฎหี รือแนวคดิ ในศาสตร์ ต่างๆ หรอื วิชาชพี มาประยกุ ตใ์ นการทางานในชุมชนได้ ๔.๒.๒.๒) สามารถวิเคราะห์สงั เคราะห์สถานการณต์ ่างๆ ในชุมชน ไดโ้ ดยใช้กรอบความรู้ที่ได้เรยี นมา ๔.๒.๓) ดา้ นทักษะทางปญั ญา ๔.๒.๓.๑) สามารถแกป้ ัญหาหรอื จัดการแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขึ้นในชมุ ชน ไดโ้ ดยผ่านกระบวนการวิเคราะหว์ ิพากษ์ วิจารณอ์ ย่าง รอบคอบ ๔.๒.๓.๒) สามารถสร้างสรรคอ์ งคค์ วามร้แู ละนวัตกรรมตา่ งๆ จาก การเรยี นรู้จากชุมชนได้ ๔.๒.๔) ด้านสัมพนั ธภาพระหว่างบุคคลและความรบั ผดิ ชอบ ๔.๒.๔.๑) แสดงออกซึง่ ภาวะผนู้ า ๔.๒.๔.๒) สามารถทางานเป็นทมี ๔.๒.๔.๓) มคี วามรบั ผดิ ชอบในการพัฒนาตัวเองในการเรียนรู้ อย่างตอ่ เนือ่ ง ๔.๒.๕) ด้านการคิดวิเคราะห์ซ่ึงตัวเลข การส่ือสารและเทคโนโลยี ๔.๒.๕.๑) สามารถเก็บขอ้ มูลในชุมชนและนามาวิเคราะห์ด้วย กระบวนการวิเคราะห์ทเ่ี หมาะสมและสามารเข้าใจ ๔.๒.๕.๒) สามารถสือ่ สารโดยการนาเสนอปญั หาหรอื ผลงานตา่ งๆ ทงั้ ด้านเนื้อหาและตวั เลขที่สาคญั ทาให้ผ้อู น่ื เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจได้เป็นอยา่ งดี รวมถึงการรายงานตา่ งๆ ๔.๒.๕.๓) สามารถใชเ้ ทคโนโลยีในการสบื ค้น บนั ทกึ วิเคราะหแ์ ละ นาเสนอข้อมูลหรือผลงานตา่ งๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม ๔.๓) วิธกี ารประเมินผล ๔.๓.๑) ประเมนิ ผลโดยอาจารย์ ๔.๓.๒) ประเมนิ ผลโดยชุมชน ๔.๓.๓) ประเมินตนเอง ๔.๓.๔) ประเมนิ โดยเพอื่ น
40 ๕) การเรียนรู้จากโครงงาน (Project-Base Learning) หมายถึง การเรียนรู้ท่ีจัด ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่ผูเ้ รียนเหมือนกับการทางานในชวี ิตจรงิ อย่างมีระบบเพอื่ เปดิ โอกาส ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรงได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาวิธีการหาความรู้ความจริงอย่างมีเหตุผลไ ด้ทา การทดลองได้พิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองรู้จักการวางแผนการทางานฝึกการเป็นผู้นาผู้ตามตลอดจนได้ พัฒนากระบวนการคิดโดยเฉพาะการคิดข้ันสูงและการประเมินตนเองโดยมีครูเป็นผู้กระตุ้น เพ่ือนา ความสนใจท่ีเกิดจากตัวผู้เรียนมาใช้ในการทากิจกรรม ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเอง นาไปสู่การเพ่ิม ความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติการฟัง และการสังเกตจากผู้รู้โดยผู้เรียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ ทางานเป็นกลุ่มจะนามาสู่การสรุปความร้ใู หม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทาโครงงาน และได้ผลการจัด กิจกรรมเป็นผลงานแบบรปู ธรรม นอกจากน้ีการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐานยังเน้นการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณ์ชีวติ ขณะท่ีเรียนได้พัฒนาทักษะตา่ งๆซ่ึงสอดคล้องกับหลกั พัฒนาการตามลาดับข้ันความรู้ ความคิดของบลมู ท้ัง๖ข้ันคือความรู้ความจาความเข้าใจการประยุกต์ใชก้ ารวิเคราะห์การสงั เคราะห์และ การประเมินค่ารวมท้ังการคิดสร้างสรรค์การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานถือได้ว่าเป็น การจัดการเรยี นรูท้ ี่เน้นผเู้ รียนเป็นสาคัญเนอ่ื งจากผ้เู รยี นได้ลงมือปฏิบตั ิเพ่ือฝึกทักษะต่าง ๆ ด้วยตนเอง ทกุ ขั้นตอนโดยมีครเู ปน็ ผู้ใหก้ ารส่งเสริมสนบั สนนุ ๕.๑) ลกั ษณะสาคญั ของจดั การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน ๕.๑.๑) ยึดหลกั การจดั การเรยี นร้ทู ่ีเนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญทเี่ ปดิ โอกาสให้ ผเู้ รยี นได้ทางานตามระดับทักษะทต่ี นเองมีอยู่ ๕.๑.๒) เปน็ รูปแบบหนึ่งของการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ที่เน้นบทบาทและ การมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รียน (Active Learning) ๕.๑.๓) เปน็ เร่ืองท่ผี ้เู รียนสนใจและรูส้ กึ สบายใจทจี่ ะทา ๕.๑.๔) ผเู้ รยี นไดร้ ับสิทธิในการเลือกวา่ จะต้ังคาถามอะไรและตอ้ งการ ผลผลติ อะไรจากการทาโครงงาน ๕.๑.๕) ครูทาหนา้ ท่เี ปน็ ผสู้ นบั สนนุ อุปกรณ์และจดั ประสบการณ์ให้แก่ ผู้เรยี นสนับสนนุ การแก้ไขปญั หาและสร้างแรงจูงใจใหแ้ กผ่ ้เู รยี น ๕.๑.๖) ผ้เู รียนกาหนดการเรียนรขู้ องตนเอง ๕.๑.๗) เชื่อมโยงกบั ชวี ติ จรงิ สงิ่ แวดล้อมจรงิ ๕.๑.๘) มฐี านจากการวิจยั ศกึ ษาคน้ ควา้ หรือองค์ความรู้ทเี่ คยมี ๕.๑.๙) ใชแ้ หล่งข้อมลู หลายแหล่ง ๕.๑.๑๐) ฝงั ตรงึ ด้วยความรู้และทักษะตา่ ง ๆ ๕.๑.๑๑) สามารถใช้เวลามากพอเพียงในการสรา้ งผลงาน ๕.๑.๑๒) มผี ลผลิต
41 ๕.๒) ประเภทของโครงงาน โครงงานทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การจดั การเรยี นรขู้ องผู้เรยี นอาจจาแนกได้เปน็ ๒ ประเภทหลักๆคือโครงงานท่แี บง่ ตามระดบั การให้คาปรกึ ษาของครแู ละโครงงานที่แบ่งตามลกั ษณะ กจิ กรรมดงั น้ี ๕.๒.๑ ) โครงงานท่ีแบง่ ตามระดบั การให้คาปรึกษาของครู หรือระดับการมี บทบาทของผเู้ รียน ๕.๒.๑.๑) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project) ๕.๒.๑.๒) โครงงานประเภทครูลดการนาทาง-เพิม่ บทบาทผเู้ รียน (Less–guidedProject) ๕.๒.๑.๓) โครงงานประเภทผเู้ รียนนาเองครูไมต่ ้องนาทาง (Unguided Project) ๕.๒.๒) โครงงานท่ีแบ่งตามลักษณะกจิ กรรม ๕.๒.๒.๑) โครงงานเชิงสารวจ (Survey Project) ๕.๒.๒.๒) โครงงานเชิงการทดลอง (Experiential Project) ๕.๒.๒.๓) โครงงานเชิงพัฒนาสร้างสงิ่ ประดษิ ฐแ์ บบจาลอง (Development Project) ๕.๒.๒.๔) โครงงานเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี (Theoretical Project) ๕.๒.๒.๕) โครงงานด้านบริการสงั คมและสง่ เสริมความเปน็ ธรรม ในสังคม (CommunityService and Social Justice Project) ๕.๒.๒.๖) โครงงานด้านศลิ ปะและการแสดง (Art and Performance Project) ๕.๒.๒.๗) โครงงานเชงิ บรู ณาการการเรยี นรู้ ๕.๓) กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคดิ ที่ ๑ ขัน้ การจดั การเรียนรตู้ ามรปู แบบจกั รยานแห่งการเรียนรู้ แนวคิด นี้มีความเชื่อว่า หากต้องการให้การเรียนรู้มีพลังและฝังในตัวผู้เรียนได้ ต้องเป็นการเรียนรู้ท่ีเรียน โดยการลงมอื ทาเปน็ โครงงาน มีการร่วมมอื กันทาเป็นทมี และทากับปญั หาที่มอี ยู่ในชวี ิต ๑.๑ Define คือ ขั้นตอนการระบุปัญหาขอบข่ายประเด็นที่จะทา โครงงาน เป็นการสร้างความเข้าใจระหวา่ งสมาชิกของทีมงานร่วมกบั ครู เกี่ยวกบั คาถามปัญหาประเด็น ความทา้ ทายของโครงงานคืออะไร และเพื่อให้เกิดการเรยี นรูอ้ ะไร
42 ๑.๒ Plan คือ การวางแผนการทาโครงงาน ครูก็ต้องวางแผนในการทา หน้าที่โค้ช รวมท้ังเตรียมเครื่องอานวยความสะดวกในการทาโครงงานของผู้เรียน เตรียมคาถาม เพื่อกระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสาคัญบางประเด็นท่ีผู้เรียนอาจมองข้าม โดยถือหลักว่าครูต้องไม่เข้าไป ช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาส คิดเอง แก้ปัญหาเอง ผู้เรียนที่เป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าท่ีกันรับผิดชอบการประชุม พบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปลี่ยนข้อค้นพบ แลกเปลี่ยน คาถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ ยิ่งทาความเข้าใจร่วมกันไว้ชัดเจนเพียงใดงานในข้ันต่อไป (Do) ก็จะสะดวก เล่ือนไหลดีเพียงนั้น ๑.๓ Do คือ การลงมือทา ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การประสานงาน การทางานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทางานภายใต้ ทรัพยากรจากัด ทักษะในการค้นหาความรู้เพ่ิมเติม ทักษะในการทางานในสภาพท่ีทีมงานมี ความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการทางานในสภาพกดดัน ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะใน การวิเคราะห์ผล และแลกเปล่ียนข้อวิเคราะห์กับเพื่อนรว่ มทีมเป็นตน้ ในขั้นตอน Do นี้ครจู ะได้มีโอกาส สงั เกตทาความรู้จักและเข้าใจผเู้ รียนเปน็ รายคน เรยี นรู้ หรือฝึกทาหน้าที่เป็นผู้ดแู ลสนับสนุนกากับและ โค้ชด้วย ๑.๔ Review คือ ผู้เรียนจะทบทวนการเรียนรู้ว่า โครงงานได้ผลตาม ความมุ่งหมายหรือไม่ รวมถึงทบทวนว่างาน หรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียน อะไรบ้างท้ังข้ันตอนที่เป็นความสาเร็จ และความล้มเหลว เพ่ือนามาทาความเข้าใจ และกาหนดวิธี ทางานใหม่ท่ีถูกต้อง เหมาะสม รวมท้ังเอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ท่ีภาคภูมิใจประทับใจ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันข้ันตอนน้ีเป็นการเรยี นรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือเรียกว่า AAR (After Action Review) ๑.๕ Presentation ผู้เรยี นนาเสนอโครงงานต่อชนั้ เรียน เป็นขนั้ ตอนท่ใี ห้ การเรียนรู้ ทักษะอีกชุดหนึ่งต่อเนื่องกับข้ันตอน Review เป็นข้ันตอนท่ีทาให้เกิดการทบทวนขั้นตอน ของงาน และการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอามานาเสนอในรูปแบบท่ีเร้าใจให้อารมณ์ และ ให้ความรู้ ทีมงานอาจสร้างนวัตกรรมในการนาเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนาเสนอเป็น การรายงานหน้าชั้น มีสอ่ื ประกอบ หรือจดั ทาวีดทิ ัศน์นาเสนอ หรือนาเสนอเป็นละครเปน็ ต้น แนวคิดท่ี ๒ แนวคิดท่ีปรับจากการศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ท่ีได้ จากโครงการสร้างชุดความรู้ เพ่ือสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ของเด็กและเยาวชน: จาก ประสบการณค์ วามสาเรจ็ ของโรงเรียนไทยมที ง้ั หมด ๖ ขั้นตอนดังนี้ ๒.๑ ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ครูให้ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการทาโครงงาน ก่อนการเรียนรู้ เนื่องจากการทาโครงงานมีรูปแบบ และขั้นตอนท่ีชัดเจน และรัดกุม ดังน้ัน ผู้เรียนจึงมี ความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงงานไว้เป็นพื้นฐาน เพ่ือใช้ในการปฏิบัติขณะทางาน โครงงานจรงิ ในข้ันแสวงหาความรู้ ๒.๒ ข้ันกระตุ้นความสนใจ ครูเตรียมกิจกรรมท่ีจะกระตุ้นความสนใจ ของผู้เรียนโดยต้องคิด หรือเตรียมกิจกรรมที่ดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทา โครงงาน หรือกิจกรรมร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ครูกาหนดข้ึน หรืออาจเป็นกิจกรรม
43 ที่ผู้เรียนมคี วามสนใจตอ้ งการจะทาอยูแ่ ล้ว ท้ังน้ี ในการกระตุ้นของครู จะตอ้ งเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนเสนอ จากกิจกรรมท่ีได้เรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ของครู ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ หรือเป็น เรื่องใกล้ตวั ท่สี ามารถเรยี นร้ไู ดด้ ว้ ยตนเอง ๒.๓ ขั้นจัดกลุ่มร่วมมือ ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ใช้ กระบวนการกลุ่มในการวางแผนดาเนินกิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียน ของตนเอง โดยระดมความคิด และหารือแบ่งหน้าท่ี เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันหลังจากที่ได้ทราบ หวั ขอ้ สง่ิ ทีต่ นเองต้องเรยี นรูใ้ นภาคเรียนน้นั ๆ เรยี บรอ้ ยแล้ว ๒.๔ ขั้นแสวงหาความรู้ ในขั้นแสวงหาความรู้ มีแนวทางปฏิบัติสาหรับ ผเู้ รียนในการทากิจกรรมดังน้ี นกั เรียนลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมโครงงานตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจผเู้ รยี นปฏิบัติ หน้าที่ของตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมทั้งร่วมมือกันปฏิบัติกิจกรรมโดยขอคาปรึกษาจากครู เป็นระยะเม่ือมีข้อสงสัย หรือปัญหาเกิดขึ้นผู้เรียน ร่วมกันเขียนรูปเล่ม สรุปรายงานจากโครงงานที่ตน ปฏบิ ตั ิ ๒.๕ ขั้นสรุปส่ิงที่เรียนรู้ ครูให้ผู้เรยี นสรุปสิ่งที่เรียนรู้จากการทากิจกรรม โดยครใู ชค้ าถามถามผเู้ รียนนาไปสกู่ ารสรปุ สิง่ ที่เรยี นรู้ ๒.๖ ข้ันนาเสนอผลงาน ครูให้ผู้เรียนนาเสนอผลการเรียนรู้โดย ครอู อกแบบกิจกรรม หรือจดั เวลาให้ผเู้ รยี นได้เสนอสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ เพื่อให้เพ่อื นร่วมช้ัน และผูเ้ รยี น อน่ื ๆ ในโรงเรยี นไดช้ มผลงาน และเรยี นร้กู ิจกรรมทผ่ี ูเ้ รียนปฏิบัติในการทาโครงงาน ๕.๔) การประเมนิ ผล ๕.๔.๑) ประเมนิ ตามสภาพจริง โดยผสู้ อนและผ้เู รียนรว่ มกันประเมินผลว่า กิจกรรมท่ีทาไปน้ันบรรลุตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคที่พบคือ อะไรบา้ ง ได้ใช้วิธกี ารแกไ้ ขอย่างไร ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้อะไรบา้ งจากการทาโครงงานน้ัน ๆ ๕.๔.๒) ประเมินโดยผเู้ กีย่ วข้องได้แก่ ๕.๔.๒.๑) ผเู้ รียนประเมนิ ตนเอง ๕.๔.๒.๒) เพือ่ นช่วยประเมิน ๕.๔.๒.๓) ผ้สู อนหรือครูทีป่ รึกษาประเมิน ๕.๔.๒.๔) ผปู้ กครองประเมนิ ๕.๔.๒.๕) บคุ คลอนื่ ๆ ทีส่ นใจและมีส่วนเกย่ี วข้อง
44 ๕.๕) บทบาทของครผู สู้ อน บทบาทของครูในฐานะผู้กระตนุ้ การเรียนรู้ ๕.๕.๑) ใชค้ าถามกระตุ้นการเรยี นรู้ คาถามท่ใี ช้ในการกระตนุ้ การเรยี นรูน้ นั้ ต้องเป็นคาถามท่ีมีลักษณะเป็นคาถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนได้อธิบายโดยขึ้นต้นว่า“ทาไม”หรือ ลงทา้ ยวา่ “อยา่ งไรบ้าง” “อะไรบา้ ง” “เพราะอะไร” ๕.๕.๒) ทาหน้าท่ีเป็นผู้สังเกต ครูจะต้องคอยสังเกตว่าผู้เรียนแต่ละคนมี พฤติกรรมอยา่ งไรขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรมเพ่ือหาทางช้แี นะกระต้นุ หรือยับยัง้ พฤติกรรมที่ไมเ่ หมาะสม ๕.๕.๓) สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้ การต้ังคาถามเม่ือผู้เรียนสามารถตั้งคาถามได้ จะทาให้ผู้เรียนรู้จักถาม เพื่อค้นคว้าข้อมูลรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และร่วมแสดงความคิดเห็น ของตนเองในเรอื่ งที่เก่ยี วขอ้ งกับการเรยี นรู้ ๕.๕.๔) ให้คาแนะนาเมื่อผู้เรียนเกิดข้อสงสัย ครูจะต้องเป็นผู้คอยแนะนา ชี้แจงให้ข้อมูลต่าง ๆ หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ตัวต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจาวันของผู้เรียน เช่ือมโยงไปสู่ความรู้ด้านอ่ืน ๆ ในขณะทากิจกรรมเม่ือผู้เรียนเกิดข้อสงสัย หรือคาถามโดยไม่บอก คาตอบ ๕.๕.๕) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดหาคาตอบด้วยตนเอง สังเกต และคอย กระต้นุ ด้วยคาถาม ให้ผเู้ รยี นไดค้ ดิ กิจกรรมที่อยากเรียนรู้ และหาคาตอบในสง่ิ ทส่ี งสยั ด้วยตนเอง ๕.๕.๖) เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นสร้างสรรคผ์ ลงานอย่างอิสระตามความคิด และ ความสามารถของตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้จินตนาการ และความสามารถของตนเองในการคิด สรา้ งสรรคอ์ ย่างเตม็ ที่ ๖) การเรียนรู้จากปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการ เรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น ให้ผู้เรียนต้ังสมมติฐานสาเหตุ และกลไกของการเกิดปญั หาน้ันรวมถึง การค้นคว้าความรู้พ้ืนฐานที่เก่ียวข้องกับปัญหา เพื่อนาไปสู่การแก้ปัญหาต่อไปโดยผู้เรียนอาจไม่มี ความรู้ในเร่ืองนั้น ๆ มาก่อนแต่อาจใช้ความรู้ที่ผู้เรียนมีอยู่เดิม หรือเคยเรียนมา นอกจากน้ียังมุ่งให้ ผู้เรยี นใฝห่ าความรู้ เพื่อแก้ไขปญั หาได้ คิดเป็น ทาเปน็ มีการตดั สินใจทีด่ ี และสามารถเรียนร้กู ารทางาน เป็นทีม โดยเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนาทักษะจากการเรียนมาช่วย แกป้ ญั หาในชวี ิต การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์โดยเริ่มจากการได้ ประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการคิด และการสะท้อนกลับไปสู่ความรู้ และความคิด รวบยอด อันจะนาไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ต่อไป การเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการตอบสนอง ต่อแนวคิด constructivism โดยให้ผู้เรียนวิเคราะห์ หรือตั้งคาถามจากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการ คดิ และสะท้อนกลับเนน้ ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้เรยี นในกล่มุ เน้นการเรยี นรูท้ ่มี ีส่วนร่วมนาไปส่กู ารคน้ คว้า หาคาตอบ หรือสร้างความรูใ้ หม่บนฐานความรู้เดมิ ทีผ่ ูเ้ รยี นมมี าก่อนหนา้ นี้
45 นอกจากนี้การเรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานยงั เปน็ การสร้างเง่อื นไขสาคัญทสี่ ่งเสริม การเรยี นรูก้ ลา่ วคือ ๑. การเรียนรู้สง่ิ ใหมจ่ ะไดผ้ ลดขี ้ึนถ้าได้มีการเชอื่ มโยง หรอื กระตุ้นความร้เู ดมิ ทผ่ี ้เู รียนมีอยู่ ๒. การเรยี นรู้เน้ือหาทีใ่ กลเ้ คยี งสถานการณ์จริง หรอื มปี ระสบการณต์ รงจาก โจทย์ปญั หาจะทาใหผ้ ู้เรียนเรยี นรู้ได้ดีขึน้ ๓. เน่ืองจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการเรียนกลุ่มย่อย การได้แสดงออกแสดงความคดิ เหน็ หรืออภิปรายถกเถียงกันจะทาให้ผู้เรยี นเข้าใจ และเรยี นรู้ส่ิงนน้ั ได้ดี ข้ึน การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้ แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริง ในโลก เป็นบริบทของการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ และคิดแก้ปัญหา รวมทั้ง ได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาท่ีตนศึกษาไปพร้อมกันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็น ผลมาจากกระบวนการทางานทต่ี อ้ งอาศยั ความเขา้ ใจ และการแกไ้ ขปญั หาเป็นหลกั สงิ่ สาคัญในการจดั การเรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน คอื ปัญหา เพราะปัญหาทดี่ ีจะ เปน็ สิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรูใ้ นการเลอื กศกึ ษา ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอน จะต้องคานึงถึงพ้ืนฐานความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความสนใจ และภูมิหลังของผู้เรียนเพราะ คนเรามีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจสิ่งท่ีมีความหมาย และความสาคัญต่อ ตนเอง และเป็นเร่ืองท่ีตนเองสนใจใคร่รู้ ดังนั้น การกาหนดปัญหาจึงต้องคานึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก รวมถึงสภาพแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียนท่ีเอื้ออานวยต่อการแสวงหา ความรู้ของผู้เรียนด้วย การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบน้ีจะเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วย ตนเองเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิด วิจารณญาณ คิดวเิ คราะห์ คดิ สงั เคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ต้น ๖.๑) วัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ไดแ้ ก่ ๖.๑.๑) ไดค้ วามรทู้ ี่สอดคล้องกบั บริบทจรงิ และสามารถนาไปใช้ได้ ๖.๑.๒) พฒั นาทกั ษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การใหเ้ หตุผล และนาไป สูก่ ารแกป้ ัญหาท่ีมีประสิทธผิ ล ๖.๑.๓) ผู้เรยี นสามารถเรยี นรไู้ ดด้ ้วยตัวเองอยา่ งต่อเนื่อง ๖.๑.๔) ผเู้ รียนสามารถทางาน และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖.๑.๕) สรา้ งแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แกผ่ เู้ รยี น ๖.๑.๖) ความคงอยู่ (retention) ของความร้จู ะนานข้ึน
46 ๖.๒) ลกั ษณะสาคญั ของการเรยี นรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ๖.๒.๑) ใช้ปัญหาท่ีสอดคล้องกบั สถานการณ์จรงิ เป็นตัวกระต้นุ การแกป้ ญั หา และเป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ในการแสวงหาความร้ปู ัญหาที่เหมาะสมกบั การนามาจัดกจิ กรรม ๖.๒.๒) บูรณาการเนอ้ื หาความรู้ในสาขาตา่ ง ๆ ที่เก่ียวข้องกับปญั หาน้ัน ๖.๒.๓) เนน้ กระบวนการคิดอย่างมเี หตผุ ลและเปน็ ระบบ ๖.๒.๔) เรยี นเปน็ กลุ่มย่อย โดยมีครูหรือผู้สอนเปน็ ผู้สนับสนุน และกระตนุ้ ให้ ผ้เู รียนร่วมกันสรา้ งบรรยากาศท่ีสง่ เสริมการเรียนรู้ใหเ้ กดิ ขึ้นในกล่มุ ๖.๒.๕) ผูเ้ รยี นมบี ทบาทสาคัญในการเรยี นรู้ และเรียนโดยการกากบั ตนเอง (Self-Directedlearning) กล่าวคอื - สามารถประเมินตนเอง และบง่ ชีค้ วามต้องการได้ - จดั ระบบประเด็นการเรียนรู้ได้อยา่ งเทย่ี งตรง - ร้จู ักเลอื ก และใช้แหลง่ เรียนรู้ทีเ่ หมาะสม - เลอื กกิจกรรมการศกึ ษาคน้ คว้า แก้ปญั หา ท่ตี รงประเด็นมีประสิทธิภาพ - บ่งชีข้ อ้ มลู ท่ีไมเ่ กยี่ วข้องได้ และคดั แยกออกได้อย่างรวดเร็ว - ประยุกต์ใชค้ วามรู้ใหมเ่ ชงิ วิเคราะห์ได้ - รู้จกั ข้นั ตอนการประเมนิ ๖.๓) กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ขั้นท่ี ๑ กาหนดปัญหาจัดสถานการณ์ ต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจและมองเห็นปัญหาสามารถกาหนดส่ิงท่ีเป็นปัญหาที่ผเู้ รียนอยากรู้อยากเรยี นเกดิ ความสนใจ ที่จะคน้ หาคาตอบ ขน้ั ท่ี ๒ ทาความเขา้ ใจกบั ปญั หา ปัญหาทีต่ ้องการเรียนรู้ต้องสามารถ อธบิ ายสง่ิ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกับปญั หาได้ ขน้ั ที่ ๓ ดาเนินการศึกษาคน้ คว้า ผูเ้ รยี นศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ด้วย วธิ ีการทห่ี ลากหลาย ขั้นที่ ๔ สงั เคราะห์ความรู้ ผเู้ รียนนาความรทู้ ่ีได้คน้ ควา้ มา แลกเปลยี่ น เรียนรรู้ ว่ มกัน ข้ันท่ี ๕ สรปุ และประเมนิ คา่ หาคาตอบ
47 ๖.๔) บทบาทของครใู นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน ๖.๔.๑) ทาหน้าท่เี ปน็ ผอู้ านวยความสะดวก หรือผู้ใหค้ าปรึกษาแนะนา ๖.๔.๒) เปน็ ผกู้ ระตุน้ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ มไิ ด้เป็นผู้ถา่ ยทอดความรใู้ หแ้ ก่ ผเู้ รียนโดยตรง ๖.๔.๓) ใชท้ ักษะการตั้งคาถามท่ีเหมาะสม ๖.๔.๔) กระตุ้น และส่งเสริมกระบวนการกลุ่ม ให้กล่มุ ดาเนินการตาม ขั้นตอนของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ๖.๔.๕) สนับสนุนการเรียนรขู้ องผู้เรียน และเน้นใหผ้ เู้ รียนตระหนักวา่ การเรยี นรู้เปน็ ความรับผดิ ชอบของผู้เรยี น ๖.๔.๖) กระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเอาความรู้เดมิ ที่มีอยู่มาใช้อภิปราย หรอื แสดงความคดิ เหน็ ๖.๔.๗) สนบั สนนุ ให้กลุม่ สามารถตั้งประเด็น หรอื วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้/ แก้ปญั หาได้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องกจิ กรรมที่ครกู าหนด ๖.๔.๘) หลีกเลย่ี งการแสดงความคดิ เห็น หรือตัดสินวา่ ถูกหรอื ผดิ ๖.๔.๙) สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นประเมนิ การเรยี นรขู้ องตนเอง รวมท้ังเป็น ผูป้ ระเมินทักษะของผเู้ รยี นและกลมุ่ พร้อมการให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั ๗) การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method) เปน็ กระบวนการเรยี นรู้ทีใ่ ห้ ผ้เู รียนสรา้ งองค์ความรูใ้ หม่ด้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏบิ ตั ิ และใชก้ ระบวนการทาง วิทยาศาสตรเ์ ป็นเคร่ืองมือ ๗.๑) ระดับของการสืบเสาะหาความรู้ (Level of inquiry) แบ่งเป็น ๔ ระดบั คือ ๗.๑.๑) การสืบเสาะหาความรู้แบบยืนยัน(Confirmed Inquiry) เป็น การสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ตรวจสอบความรู้ หรือแนวคิดเพื่อยืนยันความรู้ หรือแนวคิด ที่ถูกค้นพบมาแล้ว โดยครูเป็นผู้กาหนดปัญหาและคาตอบ หรือองค์ความรู้ที่คาดหวังให้ผู้เรียนค้นพบ และให้ผ้เู รยี นทากจิ กรรมท่ีกาหนดในหนังสือ หรอื ใบงาน หรือตามทคี่ รูบรรยายบอกกล่าว ๗.๑.๒) การสืบเสาะหาความรู้แบบนาทาง (Directed Inquiry) เป็น การสืบเสาะหาความรู้ท่ีให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้กาหนดปัญหา และ สาธิต หรืออธิบาย การสารวจตรวจสอบ แล้วให้ผู้เรียนปฏิบัติการสารวจ ตรวจสอบ ตามวิธีการ ท่กี าหนด
48 ๗.๑.๓) การสืบเสาะหาความรู้แบบชี้แนะแนวทาง (Guided Inquiry) เป็น การสืบเสาะหาความรู้ท่ใี ห้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยผู้เรียนเป็นผกู้ าหนดปัญหา และ ครูเป็นผู้ชแี้ นะแนวทางการสารวจตรวจสอบ รวมทัง้ ให้คาปรกึ ษาหรือแนะนาใหผ้ ้เู รียนปฏิบัตกิ ารสารวจ ตรวจสอบ ๗.๑.๔) ก า ร สื บ เส า ะ ห า ค ว า ม รู้ แ บ บ เปิ ด ( OpenInquiry)เป็ น การสืบเสาะหาความรู้ท่ีให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรใู้ หม่ด้วยตนเอง โดยให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิด เป็น ผกู้ าหนดปัญหา ออกแบบ และปฏิบัติการสารวจตรวจสอบดว้ ยตนเอง ๗.๒) จติ วทิ ยาที่เปน็ พื้นฐานของการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ๗.๒.๑) การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้นผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีย่ิงข้ึนต่อเมื่อผู้เรียน ได้เกยี่ วขอ้ งโดยตรงกับการคน้ หาความรูน้ น้ั ๆ มากกวา่ การบอกใหผ้ ้เู รียนรู้ ๗.๒.๒) การเรียนรู้จะเกิดได้ดีท่ีสุด เมื่อสถานการณ์แวดล้อมในการเรียนรู้ น้ันยั่วยุให้ผู้เรียนอยากเรียน ไม่ใช่บีบบังคับผู้เรียน และครูต้องจัดกิจกรรมที่จะนาไปสู่ความสาเร็จใน การคน้ ควา้ หาคาตอบ ๗.๒.๓) วิธีการนาเสนอของครู จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดมีความคิด สร้างสรรคใ์ หโ้ อกาสผเู้ รยี นได้ใชค้ วามคิดของตนเองมากทส่ี ุด ท้ังน้ีกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนทาการสารวจตรวจสอบจะต้องเช่ือมโยงกับความรู้เดิม และผู้เรียนมีความรู้และทักษะเพียงพอท่ีจะแสวงหาความรู้ใหม่ โดยกิจกรรมท่ีจัดควรเป็นกิจกรรม นาไปส่กู ารสารวจตรวจสอบ หรือแสวงหาความรใู้ หม่ ๗.๓) รปู แบบการสอนแบบวฏั จกั รการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) ๗.๓.๑) การสร้างความสนใจ (Engage) ข้ันตอนน้ีเป็นขั้นตอนแรกของ กระบวนการเรยี นรู้ที่จะนาเข้าสู่บทเรียน จุดประสงคท์ ่ีสาคัญของข้ันตอนนี้ คือ ทาให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ในกิจกรรมที่จะนาเข้าสู่บทเรียน ควรจะเช่ือมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบัน และควรเป็น กิจกรรมที่คาดว่ากาลังจะเกิดข้ึน ซ่ึงทาให้ผู้เรียนสนใจจดจ่อท่ีจะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทกั ษะ และเรมิ่ คดิ เชอื่ มโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ หรอื ทกั ษะกับประสบการณเ์ ดมิ ๗.๓.๒) การสารวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นข้ันตอนท่ีทาให้ ผู้เรียนมีประสบการณ์ร่วมกันในการสร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ โดย การให้เวลา และโอกาสแก่ผู้เรียนในการทากิจกรรมการสารวจ และค้นหาสิ่งท่ีผู้เรียนต้องการเรียนรู้ ตามความคิดเห็นผู้เรียนแต่ละคน หลังจากนั้นผู้เรียนแต่ละคนได้อภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับการคดิ รวบยอด กระบวนการ และทักษะ ในระหว่างทีผ่ ู้เรียนทากิจกรรมสารวจและค้นหา เป็น โอกาสท่ีผู้เรียนจะได้ตรวจสอบ หรือเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับความคิดรวบยอดของผู้เรียนท่ียัง ไม่ถูกต้องและยังไม่สมบูรณ์ โดยการให้ผู้เรียนอธิบาย และยกตัวอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เรียน ครูควรระลึกอยู่เสมอเก่ียวกบั ความสามารถของผู้เรียนตามประเด็นปัญหา ผลจากการท่ีผูเ้ รียนมีใจจดจ่อ ในการทากิจกรรม ผู้เรียนควรจะสามารถเช่ือมโยงการสังเกต การจาแนกตัวแปร และคาถามเกี่ยวกับ เหตุการณน์ ั้นได้
49 ๗.๓.๓) การอธิบาย (Explain) ข้ันตอนนี้เป็นข้ันตอนท่ีให้ผู้เรียนได้พัฒนา ความสามารถในการอธิบายความคิดรวบยอดท่ีได้จากการสารวจและค้นหา ครูควรให้โอกาสแก่ผู้เรียน ได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั เก่ียวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรยี นรู้ การอธิบายน้ันต้องการ ให้ผู้เรียนได้ใช้ข้อสรุปร่วมกันในการเช่ือมโยงส่ิงท่ีเรียนรู้ ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมน้ีครูควรช้ีแนะผู้เรียน เกี่ยวกับการสรุปและการอธิบายรายละเอียด แต่อย่างไรก็ตามครูควรระลึกอยู่เสมอว่ากิจกรรมเหล่านี้ ยังคงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง น่ันคือ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธิบายด้วยตัวผู้เรียนเอง บทบาทของครูเพียงแต่ช้ีแนะผ่านทางกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสอย่างเต็มท่ีในการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน ในที่สุดผู้เรียนควรจะสามารถอธิบายความคิดรวบยอดได้ อยา่ งเขา้ ใจ โดยเชือ่ มโยงประสบการณ์ ความรเู้ ดิมและสง่ิ ท่ีเรยี นรู้เขา้ ด้วยกนั ๗.๓.๔) การขยายความรู้ (Elaborate) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ ยืนยันและขยายหรือเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซ้ึงยิ่งขึ้น และ ยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะและปฏิบัติตามที่ผู้เรียนต้องการ ในกรณีที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ หรือยัง สับสนอยู่ หรืออาจจะเข้าใจเฉพาะข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติการสารวจและค้นหา เท่านั้น ควรให้ ประสบการณ์ใหม่ผู้เรียนจะได้พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ในความคิดรวบยอดให้กว้างขวาง และลึกซึ้ง ยง่ิ ข้ึน เป้าหมายที่สาคัญของขั้นนี้ คอื ครูควรช้ีแนะให้ผเู้ รียนได้นาไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั จะทา ใหผ้ เู้ รียนเกิดความคิดรวบยอด กระบวนการ และทกั ษะเพิ่มขึน้ ๗.๓.๕) การประเมินผล (Evaluate)ข้ันตอนน้ีผู้เรียนจะได้รับข้อมูล ย้อนกลับเก่ียวกับการอธิบายความรู้ ความเข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอนในขั้นนี้ของ รูปแบบการสอน ครูต้องกระตุ้น หรือส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินความรู้ความเข้าใจ และความสามารถ ของตนเอง และยงั เปดิ โอกาสให้ครูได้ประเมินความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียนดว้ ย ๘) การเรียนรดู้ ้วยวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ (Science Method) หรอื วิธแี สวงหา ความรูท้ างวิทยาศาสตร์ เปน็ วิธีการแก้ปญั หาตามระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นระบบและมี ลาดับข้นั ตอนแนน่ อน ประกอบด้วย ๘.๑) การสงั เกตและการตงั้ ปัญหา (Observation and problem) การสังเกต (Observation) วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์มกั จะเริม่ จากการสงั เกต ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทอ่ี ยรู่ อบ ๆ ตัวเรา เมอื่ ไดข้ ้อสังเกตบางอยา่ งที่เราสนใจจะทาให้ได้ส่งิ ทีต่ ามมา คอื ปญั หา (Problem) การต้งั ปญั หา การตั้งปัญหาน้นั สาคัญกวา่ การแกป้ ัญหา\" เพราะการต้ัง ปญั หาทด่ี แี ละชดั เจนจะทาให้ผตู้ งั้ ปัญหาเกิดความเขา้ ใจและมองเห็นลู่ทางของการคน้ หาคาตอบเพ่ือ แกป้ ญั หาที่ตัง้ ขน้ึ ดังนั้นจึงต้องหมัน่ ฝกึ การสงั เกตส่งิ ทสี่ ังเกตนน้ั เป็นอะไรเกิดขน้ึ เม่ือไรเกิดขน้ึ ท่ไี หน เกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไรทาไมจงึ เป็นเช่นน้นั ๘.๒) การต้ังสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis)คือการคาดคะเนคาตอบ ที่อาจเป็นไปได้หรือคิดหาคาตอบล่วงหน้าบนฐานข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ปรากฏการณ์ และ การศึกษาเอกสารต่าง ๆ โดยคาตอบของปัญหาซ่ึงคิดไว้นี้ อาจถูกต้องแต่ยังไม่เป็นท่ียอมรับจนกว่าจะมี
50 การทดลองเพ่ือตรวจสอบอย่างรอบคอบเสียก่อน จึงจะทราบว่าสมมติฐานที่ต้ังไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ดังน้ัน ควรต้ังสมมติฐานไวห้ ลาย ๆ ข้อ และทดลองเพ่อื ตรวจสอบสมมตฐิ านไปพรอ้ ม ๆ กนั ๘.๓) การตรวจสอบสมมติฐาน หรือขั้นรวบรวมข้อมูล (GatherEvidence) การตรวจสอบสมมติฐานจะต้องยึดข้อกาหนดสมมติฐานไว้เป็นเหลักเสมอ (เน่ืองจากสมมติฐานท่ีดีได้ แนะลู่ทางการตรวจสอบและออกแบบการตรวจสอบไว้แล้ว) โดยการตรวจสอบสมมติฐานนี้ได้จาก การสังเกต และการรวบรวมข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีเกิดจากประสบการณ์ธรรมชาติ และ การทดลองเป็น กระบวนการปฏิบัติ หรือหาคาตอบ หรือตรวจสอบสมมติฐานที่ต้ังไว้ โดยการทดลองเพื่อทาการค้นคว้า หาข้อมูลและตรวจสอบดูว่าสมมติฐานข้อใดเป็นคาตอบที่ถูกต้องที่สุด ประกอบด้วยกิจกรรม ๓ กระบวนการ คอื ๘.๓.๑) การออกแบบการทดลอง คือการวางแผนการทดลองก่อนทีจ่ ะลงมือ ปฏิบัติจริง โดยให้สอดคล้องกับสมมติฐานท่ีต้ังไว้เสมอ และควบคุมปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่มีผลต่อ การทดลอง ๘.๓.๒) การปฏิบัติการทดลอง ในกิจกรรมน้ีจะลงมือปฏิบัติการทดลองจริง โดยจะดาเนินการไปตามขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ และควรจะทดลองซ้า ๆ หลาย ๆ คร้ังเพ่ือให้แน่ใจว่า ไดผ้ ลเชน่ น้ันจรงิ ๘.๓.๓) การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกท่ีได้จาก การทดลองซึ่งข้อมูลที่ได้น้ีสามารถรวบรวมไว้ใช้สาหรับยืนยันว่าสมมติฐานที่ต้ังไว้ถูกต้องหรือไม่ ในบางครั้งข้อมูลอาจได้มาจากการสร้างข้อเท็จจริง เอกสาร จากการสังเกตปรากฏการณ์ หรือจาก การซักถามผู้รอบรู้ แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาน้ันไปแปรผลและลงข้อสรุปในต่อไป ด้ังนั้น การรวบรวมข้อมูล เป็นสิ่งจาเปน็ ในวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ๘.๑.๔) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of Data) เป็นข้ันที่นาข้อมูลท่ีได้จาก การสังเกต การค้นคว้า การทดลองหรือการรวบรวมหรือข้อเท็จจริงมาทาการวิเคราะห์ผลแล้วนาไป เปรยี บเทียบกับสมมตฐิ านท่ตี ั้งไว้วา่ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านข้อใด ๘.๑.๕) ข้ันสรุปผล (Conclusion of Result) การสรุปผล เป็นข้ันตอน ที่นาเอาข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูลแล้วมาสรุป พิจารณาว่า ผลสรุปนั้นเหมือนกับ สมมติฐานท่ีต้ังไว้หรือไม่ ถ้าเหมือนกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ สมมติฐานจะกลายเป็นทฤษฎี (Theory) และ ทฤษฎีนั้นก็สามารถนาไปอธบิ ายข้อเท็จจรงิ หรอื เหตุการณต์ า่ ง ๆ ได้อยา่ งกว้างขวาง
51 หลักสตู ร \"รักษ์ป่านา่ น\" แนวทางการวดั และประเมนิ ผล การวัดและการประเมินผลการเรียนของผู้เรียนรายวิชา รักษ์ป่าน่าน ตามหลักสูตร “รักษ์ป่าน่าน” เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ประสบผลสาเร็จน้ัน ผู้เรียนจะต้องได้รับ การพัฒนาและประเมินตามผลการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร “รักษ์ป่าน่าน” ที่เน้นการประเมินผลตามสภาพจริงที่มุ่งวัด ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) และ ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) มากกว่า ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) มีรายละเอียด ของหลักการ/แนวทางการวัดประเมินผลวิธีการวัดประเมินผล เครื่องมือ และเกณฑ์ในการวัด ประเมินผล ดงั นี้ หลกั การ/แนวทางการวัดประเมินผล ๑. การประเมนิ ผลตามสภาพจริงสอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรู้ ๒. เปดิ โอกาสให้ผเู้ ก่ียวข้องมีสว่ นรว่ มในการวดั และประเมิน ๓. วดั ประเมนิ ผลด้วยเทคนิคและวิธกี ารทห่ี ลากหลายและรอบด้าน ๓.๑ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) หมายถึงการเรียนรู้ทางด้านความรู้ ความคิดการแก้ปัญหาจัดเป็นพฤติกรรมด้านสมองเกี่ยวกับสติปัญญาความคิดความสามารถในการคิด เรอ่ื งราวตา่ งๆอยา่ งมีประสิทธิภาพบลูม (Benjamin S. Bloom) และคณะไดจ้ ัดพฤติกรรมทางพุทธิพสิ ัย เป็น ๖ ระดับดังนี้ ๓.๑.๑ ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความสามารถในการท่ีจะจดจา (Memorization) และระลึกได้ (Recall) เป็นความสามารถในการจดจาแนกประสบการณ์ต่าง ๆ และ ระลึกเรื่องราวน้ัน ๆ ออกมาได้ถูกต้องแม่นยาเก่ียวกับความรู้ท่ีได้รับไปแล้วอันได้แก่ความรู้เกี่ยวกับ ข้อมูลต่างๆท่ีเจาะจงหรือเป็นหลักท่ัวๆไปวิธีการกระบวนการต่างๆโครงสร้างสภาพของส่ิงต่าง ๆ และ สามารถถา่ ยทอดออกมาโดยการพูดเขยี นหรือกริ ิยาท่าทางแบง่ ประเภทตามลาดบั ความซับซอ้ นจากน้อย ไปหามากเป็นความรู้ทไ่ี ด้มาจากความจา ๓.๑.๒ ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถบ่งบอกจับใจความ สาคัญของเรื่องราวและสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความตีความคาดคะเนขยายความหรือ การกระทาอ่นื ๆ
52 ๓.๑.๓ การนาความรไู้ ปใช้ (Application) เปน็ ความสามารถในการนาหลักการ กฎเกณฑ์ และวิธดี าเนินการต่างๆของเร่อื งทไ่ี ด้รู้มานาไปใช้แก้ปญั หาในสถานการณใ์ หม่ได้สามารถนา วัสดวุ ธิ ีการทฤษฎแี นวคิดมาใชใ้ นสถานการณ์ทีแ่ ตกตา่ งจากท่ีได้เรียนรมู้ า ๓.๑.๔ การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเร่ืองราว ท่ีสมบูรณ์ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้อย่างชัดเจนสามารถแยกจาแนกองค์ประกอบ ที่สลับซับซ้อนออกเป็นสว่ น ๆ ให้เหน็ ความสมั พันธร์ ะหว่างส่วนยอ่ ยตา่ ง ๆ ๓.๑.๕ การสังเคราะห์ (Synthesis) ความสามารถในการรวบรวมหรือนา องค์ประกอบหรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเพ่ือให้เห็นภาพพจน์โดยสมบูรณ์เป็นกระบวนการพิจารณา แต่ละส่วนย่อย ๆ แล้วจัดรวมกันเป็นหมวดหมู่ให้เกิดเร่ืองใหม่หรือสิ่งใหม่สามารถสร้างหลักการ กฎเกณฑ์ขึ้นเพื่ออธิบายส่ิงต่าง ๆ ได้เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราว เดยี วกันโดยปรบั ปรุงของเก่าให้ดีขนึ้ และมคี ุณภาพสงู ข้นึ ๓.๑.๖ การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการวินิจฉัยหรือ ตดั สินกระทาส่ิงหน่ึงส่ิงใดลงไปการประเมินเกี่ยวข้องกับการใช้เกณฑ์คือมาตรฐานในการวัดทกี่ าหนดไว้ สามารถตดั สินตรี าคาคุณภาพของสิง่ ตา่ ง ๆ โดยมีเกณฑห์ รอื มาตรฐานเปน็ เคร่อื งตดั สนิ ๓.๒ ด้านทักษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) พ ฤ ติ ก ร ร ม ด้ า น ทั ก ษ ะ พิ สั ย เป็ น พ ฤ ติ ก ร ร ม ท่ี บ่ ง ถึ ง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น การปฏบิ ตั ิงานได้อย่างคล่องแคล่วชานิชานาญซึ่งแสดงออกมาไดโ้ ดยตรงโดยมเี วลาและคุณภาพของงาน เป็นตวั ชรี้ ะดับของทักษะประกอบดว้ ย๕ขนั้ ดงั น้ี (ปรบั ปรุงโดย R. H. Dave) ๓.๒.๑ การรับรู้เลียนแบบทาตาม (Imitation) เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้ หลักการปฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ต้องหรือเปน็ การเลือกหาตวั แบบที่สนใจ ๓.๒.๒ การทาเอง/การปรับให้เหมาะสม (Manipulation) เป็นพฤติกรรม ที่ผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทาซ้าเพ่ือที่จะให้เกิดทักษะตามแบบท่ีตนสนใจให้ ไดห้ รอื สามารถปฏิบัตงิ านได้ตามขอ้ แนะนา ๓.๒.๓ การหาความถูกต้อง (Precision) พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วย ตนเองโดยไม่ตอ้ งอาศัยเครือ่ งช้ีแนะเมื่อได้กระทาซ้าแล้วก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏบิ ัติ ๓.๒.๔ การทาอย่างต่อเนื่อง (Articulation) หลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบ ท่ีเป็นของตวั เองจะกระทาตามรูปแบบน้ันอยา่ งต่อเน่ืองจนปฏบิ ตั ิงานที่ยุ่งยากซับซ้อนไดอ้ ย่างรวดเร็ว ถูกต้องคล่องแคล่วการที่ผ้เู รยี นเกดิ ทักษะไดต้ ้องอาศัยการฝึกฝนและกระทาอยา่ งสม่าเสมอ ๓.๒.๕ การทาได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) พฤติกรรมท่ีได้จาก การฝกึ อย่างต่อเน่อื งจนสามารถปฏิบัติได้คลอ่ งแคล่ววอ่ งไวโดยอัตโนมัติเป็นไปอยา่ งธรรมชาติซึ่งถือเป็น ความสามารถของการปฏบิ ัตใิ นระดับสงู
53 ๓.๓ ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) พฤติกรรมด้านจิตใจ เป็นค่านิยม ความรู้สึกความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเช่ือ ความสนใจ และคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดข้ึน ทันที ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดี งามอยู่ตลอดเวลา จะทาให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ได้ ประกอบด้วย พฤตกิ รรม ๕ ระดับ ได้แก่ ๓.๓.๑ การรับรู้ (Receiving/Attending) เป็น ความรู้สึกที่เกิดข้ึนต่อ ปรากฏการณ์ หรือส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของส่ิงเร้าน้ัน วา่ คืออะไรแลว้ จะแสดงออกมาในรปู ของความรสู้ ึกท่ีเกดิ ขึน้ ๓.๓.๒การตอบสนอง (Responding) เปน็ การกระทาทแี่ สดงออกมาในรปู ของความเตม็ ใจ ยินยอม และพอใจ ต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเปน็ การตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรรแล้ว ๓.๓.๓การเกดิ ค่านยิ ม (Valuing) การเลือกปฏิบัติในส่ิงท่เี ปน็ ทีย่ อมรับกนั ใน สังคม การยอมรับนับถือในคณุ ค่าน้ัน ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใด เร่ืองหน่ึง จนกลายเป็นความเชื่อแล้ว จึงเกดิ ทศั นคตทิ ่ีดีในส่งิ นนั้ ๓.๓.๔การจัดระบบ (Organizing) การสร้างแนวคิดจัดระบบของค่านิยม ท่ีเกดิ ข้นึ โดยอาศยั ความสัมพนั ธ์ ถ้าเขา้ กนั ได้กจ็ ะยดึ ถอื ตอ่ ไป แตถ่ ้าขดั กนั อาจไม่ยอมรบั อาจจะยอมรบั คา่ นยิ มใหม่โดยยกเลกิ ค่านยิ มเก่า ๓.๓.๕บุคลิกภาพ (Characterizing) การนาค่านิยมท่ียึดถือ มาแสดง พฤติกรรมท่ีเป็นนสิ ัยประจาตวั ให้ประพฤตปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้อง พฤติกรรมด้านนี้จะเกยี่ วกับความรู้สึก และจิตใจ ซึ่งจะเร่ิมจากการได้รบั รู้จากสิ่งแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏกิ ริ ิยาโต้ตอบขยายกลายเป็นความร้สู ึก ด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม และยงั พัฒนาต่อไปเป็นความคิดอุดมคติ ซึ่งจะเป็นการควบคุมทิศทาง พฤตกิ รรมของคน คนจะรู้ดีรชู้ ว่ั อยา่ งไรนน้ั ก็เปน็ ผลของพฤตกิ รรมดา้ นน้ี วธิ กี ารวัดประเมนิ ผล ใช้วิธีการวัดและประเมินผลท่ีหลากหลายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์โดยเน้น การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) ใช้เทคนิควิธีการประเมินสภาพจริงท่ีหลากหลาย ที่ใหค้ วามสาคญั กับการประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) ดังนี้ ๑. สงั เกตพฤติกรรม/การร่วมกจิ กรรม/พฒั นาการ ๒. ตรวจผลงานจากการเรียนรจู้ ริง (Authentic Learning) ๓. สัมภาษณ์ ๔. ประเมนิ ผลงานกลุ่ม ๕. ประเมินแฟ้มสะสมงาน
54 ๖. ประเมินโครงงาน/ชน้ิ งาน ๗. ทดสอบ เครอ่ื งมอื การวัดประเมินผล ๑. แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ๒. แบบสงั เกตการร่วมกิจกรรม ๓. แบบประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน ๔. แบบสงั เกตพฒั นาการ ๕. แบบตรวจผลงาน ๖. แบบสมั ภาษณ์ ๗. ประเมินผลงานกล่มุ ๘. แบบประเมนิ โครงงาน/ชิ้นงาน ๙. แบบทดสอบ ๑๐. Learning log เกณฑ์การวดั ประเมินผล เกณฑ์การวดั ประเมินผลท้ังน้ีขึ้นอย่กู ับรูปแบบการจัดกจิ กรรมของแต่ละโรงเรยี น สามารถจดั ได้ ดังน้ี ๑. บูรณาการในรายวิชาพน้ื ฐาน หรอื รายวิชาเพม่ิ เติม ๑.๑ เวลาเรยี นไม่น้อยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ๑.๒ ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั การประเมินตามตัวชี้วดั ทน่ี าเน้ือหาสาระตาม ทห่ี ลกั สตู ร “รักษ์ปา่ นา่ น” ไปบูรณาการกบั กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ อน่ื วดั ผลรวมอยู่ในรายวชิ าน้นั ๆและมคี ะแนนผ่านตามเกณฑ์ ท่สี ถานศึกษากาหนด 1.3 ระดบั ผลการเรียน ๘ ระดับ
55 ระดบั ผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนเปน็ ร้อยละ ๔ ดเี ย่ยี ม ๘๐-๑๐๐ ๓.๕ ดีมาก ๗๕-๗๙ ๓ ดี ๗๐-๗๔ ๒.๕ คอ่ นข้างดี ๖๕-๖๙ ๒ ปานกลาง ๖๐-๖๔ ๑.๕ พอใช้ ๕๕-๕๙ ๑ ๕๐-๕๔ ๐ ผ่านเกณฑ์ข้นั ต่า ๐-๔๙ ตา่ กว่าเกณฑ์ ๒. รายวิชาเพ่ิมเติม ๒.๑ เวลาเรียนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ ๒.๒ จดั เปน็ รายวิชาเพ่ิมเติมในกลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ วดั ผลรายวชิ าเพ่ิมเติม รักษ์ป่านา่ น ผ้เู รยี นต้องไดร้ บั การประเมนิ และมีคะแนนผา่ นเกณฑต์ ามผลการเรียนรู้ ร้อยละ ๘๐ ๒.๓ ระดับผลการเรยี น ๘ ระดบั ระดบั ผลการเรียน ความหมาย ชว่ งคะแนนเปน็ ร้อยละ ๔ ดีเย่ยี ม ๘๐-๑๐๐ ๓.๕ ดมี าก ๗๕-๗๙ ๓ ดี ๗๐-๗๔ ๒.๕ ค่อนข้างดี ๖๕-๖๙ ๒ ปานกลาง ๖๐-๖๔ ๑.๕ พอใช้ ๕๕-๕๙ ๑ ๕๐-๕๔ ๐ ผ่านเกณฑ์ขั้นต่า ๐-๔๙ ต่ากวา่ เกณฑ์ ๓. กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน หรือบรู ณาการกบั กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น หรือ กจิ กรรม/โครงการ/โครงงาน/วิถชี ีวติ ของผู้เรียนทง้ั ท่ีบา้ น โรงเรียน ในชุมชน หรือสถานที่อ่ืน ๆ ๓.๑ เวลาการเขา้ ร่วมกจิ กรรมไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ ๓.๒ ผเู้ รียนต้องได้รับการประเมนิ และมีคะแนนผ่านเกณฑ์ตามผล การเรียนรู้รอ้ ยละ ๘๐ (เวลาเข้าร่วมกิจกรรมและช้นิ งาน) ๓.๓ ผลการประเมนิ ผ่าน/ไม่ผ่าน
56 ๒ ระดับ ช่วงคะแนนเปน็ ร้อยละ ผ่าน ๘๐-๑๐๐ ๗๕-๗๙ ไมผ่ า่ น ๗๐-๗๔ ๖๕-๖๙ ๖๐-๖๔ ๕๕-๕๙ ๕๐-๕๔ ๐-๔๙ ๔. กิจกรรมลดเวลาเรียน เพ่มิ เวลารู้ ๔.๑ เวลาการเขา้ ร่วมกจิ กรรมไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ ๘๐ ๔.๒ ผเู้ รยี นต้องได้รบั การประเมินและมีคะแนนผ่านเกณฑ์ตาม ผลการเรียนรู้ รอ้ ยละ ๘๐ ๔.๓ ผลการประเมิน วัดผล ผา่ น/ไมผ่ า่ น ตามลักษณะของกิจกรรม ดงั น้ี หมวดที่ ๑ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี นให้ตดั สินผลการประเมนิ เปน็ “ผ่าน” และ“ไม่ผา่ น” ตามเกณฑ์การประเมินท่ี หลักสูตร “รักษ์ปา่ นา่ น”กาหนด หมวดท่ี ๒–๔ การจดั กิจกรรมการเรียนรูเ้ พื่อพัฒนา Head การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้เพอื่ พฒั นา Heart การจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ พื่อพฒั นา Hand และ การจัดกิจกรรมการเรียนร้เู พอ่ื พฒั นา Health ให้ประเมินผลความกา้ วหน้าพัฒนาการของผเู้ รียน เปน็ รายบคุ คลและประเมินความพงึ พอใจของ ผู้เรยี น ผู้เกย่ี วข้องโดยอาจจะบันทึกผลการประเมิน เป็นแฟม้ สะสมงาน (Portfolio) ของนักเรียน รายบุคคล
57 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน. (๒๕๕๙). แนวทางการ นิ เทศ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือพฒั นา ๔ H. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๑. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ องคก์ าร สงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ . กระทรวงศกึ ษาธิการ. (๒๕๕๑). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. โครงการสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี, สานกั งาน. (๒๕๕๖). คู่มอื จัดกจิ กรรม การเรยี นรเู้ ร่อื งการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรป่าไม้ตามพระราชดาริชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑. กรงุ เทพฯ : บริษัทพี.เอ.ลิฟว่งิ จากัด. . (๒๕๕๗). “รักษ์ปา่ นา่ น”. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทพี. เอ. ลฟิ วิ่ง จากดั . . (๒๕๕๘). “รกั ษ์ปา่ นา่ น” ครงั้ ที่ ๒. พิมพค์ รั้งท่ี ๑. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั พี. เอ. ลฟิ ว่งิ จากัด. จรรยา ดาสา และคณะ. (๒๕๕๙). ชดุ กจิ กรรม “ลดเวลาเรียน เพิม่ เวลารู้” เรอ่ื ง ปา่ นั้นสาคัญไฉน โครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาและพัฒนาการรู้สิง่ แวดล้อมและจริยธรรมส่ิงแวดล้อมใน การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นชมุ ชน กรณศี ึกษาปัญหาบุกรุกพน้ื ทป่ี า่ ในจงั หวดั น่าน”. ไพโรจน์ โลกนิยม และคณะ. (๒๕๕๑). มาตรการแกไ้ ขปัญหาการบกุ รกุ ท่ีดินในเขตพื้นที่ป่าสงวน แหง่ ชาติและพ้นื ท่ีป่าไม้. (ออนไลน์). สืบคน้ จาก http://landforum.trf.or.th/attachments/article/๒๐/PDF๐๔-๐๑.pdf. ศริ าณี อ่ิมสวุ รรณ์. (๒๕๕๙). แนวทางการดาเนนิ งานโครงการสร้างปา่ สรา้ งรายได้ ตามพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารสี าหรับสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานกศน. (ม.ป.ท.) สถาบันสง่ เสรมิ และพฒั นากิจกรรมปิดทองหลังพระ สบื สานแนวพระราชดาร.ิ (ม.ป.ป.). รักษ์ป่านา่ น ปลูกปา่ ปลูกคน. (ม.ป.ท.) สรรเสริญ อัจจตุ มานสั . (๒๕๔๔). ปญั หาหาการบุกรุกทาลายปา่ กบั การแก้ไขโดยวิธกี ารปฏิรปู ทด่ี ิน. ปริญญานิพนธ์นติ ิศาสตรม์ หาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคาแหง. (ออนไลน)์ . สืบค้นจาก http://www.slideshare.net/SangraweeBeamss-๑๕๗๕๓๓๐๗ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มจังหวัดน่าน. (๒๕๖๐). สรปุ ข้อมลู สาหรบั ผู้บริหาร นโยบายสาคัญของรัฐบาลจังหวัดน่าน. (ม.ป.ท.)
58 อกุ รชิ พึง่ โสภา. (๒๕๕๗). “สร้างเมืองน่านน่าอยู่คู่ป่าต้นนา้ วาระจังหวดั น่าน พ.ศ. ๒๕๕๖–๒๕๖๐”, รกั ษ์ป่านา่ น. พมิ พ์ครัง้ ที่ ๑. (น.๑๐-๑๑). กรุงเทพฯ : บริษัท พ.ี เอ.ลีฟวงิ่ จากดั . Perspective. (๕ พ.ย. ๖๐). บัณฑรู ลา่ ซา-จากนายธนาคาร สู่นักอนรุ ักษป์ า่ นา่ น. (ออนไลน์). สบื คน้ จาก https://www.youtube.com/watch?v=fEXmwaVed๓M
59 ภาคผนวก
60 คณะผจู้ ัดทา
61 ท่ีปรึกษา ๑. นายไพศาล วิมลรตั น์ ผู้ว่าราชการจงั หวัดนา่ น ๒. นายชูเกยี รติ ด่านธนะทรพั ย์ ศกึ ษาธิการจังหวดั นา่ น ๓. นายอดุล เทพกอม รองศึกษาธกิ ารจังหวดั น่าน ๔. นายกองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั นา่ น ๕. ผูอ้ านวยการสานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษา น่าน เขต ๑ ๖. ผูอ้ านวยการสานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษา นา่ น เขต ๒ ๗. ผูอ้ านวยการสานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต ๓๗ (แพร่-นา่ น) ๘. ผู้อานวยการสานักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมจังหวดั น่าน ๙. รองอธิการบดีมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา น่าน ๑๐.ผู้อานวยการสานกั งาน กศน. จังหวดั น่าน ๑๑. ผอู้ านวยการศนู ยเ์ ครอื ข่ายการเรยี นร้ภู ูมภิ าค จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ๑๒. ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสรมิ การศึกษาเอกชนจงั หวัดนา่ น ๑๓. ผ้อู านวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลสงั กัด ศธจ.น่าน ๑๔. ผอู้ านวยการกลุ่มนโยบายและแผนสังกัด ศธจ.น่าน ๑๕. ผ้อู านวยการกลมุ่ อานวยการ สังกัด ศธจ.น่าน วิทยากร ๑. วิทยากรถอดบทเรยี นการจดั กิจกรรมอนรุ กั ษ์ปา่ นา่ น นายสมเกยี รติ รัตนวิฑรู ย์ ขา้ ราชการบานาญ อดีตศึกษานิเทศก์ วทิ ยฐานะเช่ียวชาญ สงั กัด สพป. นา่ น เขต ๑ ๒. วิทยากร พัฒนาหลักสตู ร“รกั ษ์ป่านา่ น” และตรวจสอบคณุ ภาพหลกั สตู ร รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สทุ ธิรตั น์ รองศาสตราจารย์ภาควิชาการศกึ ษา มหาวิทยาลยั นเรศวร จงั หวดั พิษณุโลก
62 คณะกรรมการขับเคล่ือนโครงการอนุรักษป์ า่ นา่ นจากหอ้ งเรยี นสู่ชุมชนระดับจงั หวดั ๑. คณะกรรมการขบั เคล่อื นกจิ กรรมพัฒนาหลกั สตู ร ๑.๑ นายชูเกยี รติ ด่านธนะทรัพย์ ศึกษาธิการจังหวัดนา่ น ๑.๒ นายอดลุ เทพกอม รองศึกษาธิการจังหวัดน่าน ๑.๓ ผู้อานวยการสานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษา น่าน เขต ๑ ๑.๔ ผูอ้ านวยการสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษา นา่ น เขต ๒ ๑.๕ ผูอ้ านวยการสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต ๓๗ ๑.๖ ประธานคณะกรรมการประสานและสง่ เสริมการศึกษาเอกชนจงั หวดั นา่ น ๑.๗ นายสมเพช็ ร สิทธชิ ยั ผอู้ านวยการกลมุ่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผล สานกั งานศึกษาธิการจังหวัดน่าน ๑.๘ น่านนายมานพ ตรัยตรากุล ผู้อานวยการกลมุ่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผล การจดั การศกึ ษา สพป. น่าน เขต ๒ ๑.๙ นางศรรี ัตน์ บญุ ศรี ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธกิ ารจังหวัดนา่ น ๑.๑๐ นายยุทธพงษ์ หาญยทุ ธ ศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานศกึ ษาธกิ ารจงั หวัดนา่ น ๑.๑๑ นางปิยะนุช ไชยสมทิพย์ ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานศึกษาธิการจังหวัดนา่ น ๑.๑๒ นางสุชาดา ไตรจนิ ดา ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธกิ ารจังหวดั น่าน ๑.๑๓ นายนพิ นธ์ สารถ้อย ศึกษานิเทศก์ สานักงานศึกษาธกิ ารจังหวดั น่าน ๑.๑๔ นายภคั พงษ์ สีหราช ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานศึกษาธิการจงั หวัดน่าน ๑.๑๕ ว่าทร่ี .ต.พงษพ์ ิณิตย์ อุทธยิ า ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวัดน่าน ๑.๑๖ นายนภัทร เครือผดุงสกลุ ศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั น่าน ๑.๑๗ นางปาณศิ า จินะแปง ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจงั หวดั นา่ น ๑.๑๘ นางสาวพิมพว์ ลญั ช์ ชัยชนะ ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานศึกษาธิการจังหวดั น่าน ๑.๑๙ นางสาวกฤตยิ า ขตั ยิ ะ ศึกษานเิ ทศก์ สพป. น่าน เขต ๑ ๑.๒๐ นายวชั รพงค์ โนทะนะ ศกึ ษานเิ ทศก์ สพป. น่าน เขต ๑ ๑.๒๑ นางระเบียบ สทิ ธชิ ยั ศึกษานเิ ทศก์ สพป. นา่ น เขต ๒ ๑.๒๒ นายปรีชา ภลู าพา ศึกษานิเทศก์ สพป. น่าน เขต ๒ ๑.๒๓ นางสาวภญิ ญาพัชญ์ เชอ้ื จนั ทร์ยอด ศึกษานิเทศก์ สพป. น่าน เขต ๒ ๑.๒๔ นางวรวรรณ แสงศิริโรจน์ ผอู้ านวยการโรงเรยี นบ้านห้วยฟอง สพป. น่าน เขต ๒ ๑.๒๕ นางลาเนาว์ ชัยคา ศึกษานิเทศก์ สพม. เขต ๓๗ ๑.๒๖ นายวสันต์ กิวัฒนา ผู้อานวยการโรงเรียนสาธุกิจประชาสรรคฯ์
63 สพม. เขต ๓๗ ๒. คณะกรรมการจัดทากรอบเน้อื หาสาระหลักสตู ร “รักษป์ ่านา่ น” ๒.๑ นายสมเพ็ชร สทิ ธชิ ยั ผอู้ านวยการกล่มุ นิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผล สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวดั นา่ น ๒.๒ นายมานพ ตรยั ตรากลุ ผอู้ านวยการกลมุ่ นิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลฯ สพป. น่าน ๒ ๒.๓ นายประยงค์ แก้วประทุม ผู้อานวยการวทิ ยาลยั ชุมชนน่าน ๒.๔ นายพิเชษฐ ผดั ผล เจ้าหนา้ ทบ่ี ริการการศึกษา (วิชาการศกึ ษา) หวั หน้าสถานีวจิ ยั ฯ ๒.๕ นางศรีรตั น์ บุญศรี ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธกิ ารจังหวัดนา่ น ๒.๖ นายยุทธพงษ์ หาญยุทธ ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจงั หวัดนา่ น ๒.๗ นางสชุ าดา ไตรจนิ ดา ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธิการจังหวดั นา่ น ๒.๘ นางปิยะนชุ ไชยสมทิพย์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั น่าน ๒.๙ นายนิพนธ์ สารถอ้ ย ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศึกษาธกิ ารจงั หวัดนา่ น ๒.๑๐ นายนภทั ร เครอื ผดงุ สกุล ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวัดน่าน ๒.๑๑ วา่ ที่ร.ต.พงษพ์ ิณิตย์ อุทธิยา ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธิการจังหวดั นา่ น ๒.๑๒ นางสาวพิมพ์วลญั ช์ ชัยชนะ ศึกษานิเทศก์ สานกั งานศกึ ษาธกิ ารจังหวัดนา่ น ๒.๑๓ นางปาณิศา จินะแปง ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศึกษาธิการจงั หวดั น่าน ๒.๑๔ นายภคั พงษ์ สหี ราช ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศึกษาธิการจังหวดั นา่ น ๒.๑๕ นางสาวกฤติยา ขัตยิ ะ ศึกษานิเทศก์ สพป. น่าน ๑ ๒.๑๖ นายวัชรพงค์ โนทะนะ ศึกษานิเทศก์ สพป. นา่ น ๑ ๒.๑๗ นางระเบยี บ สิทธชิ ัย ศึกษานเิ ทศก์ สพป. น่าน ๒ ๒.๑๘ นายปรชี า ภลู าพา ศึกษานิเทศก์ สพป. นา่ น ๒ ๒.๑๙ นางสาวภญิ ญาพัชญ์ เชื้อจันทร์ยอด ศึกษานิเทศก์ สพป. น่าน ๒ ๒.๒๐ นางวรวรรณ แสงศิริโรจน์ ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นหว้ ยฟอง สพป. นา่ น ๒ ๒.๒๑ นายอภริ ุณ คาตน๋ั ครู โรงเรียนบ้านห้วยฟอง สพป. นา่ น ๒ ๒.๒๒ นางสาวปรัชญาดา ลาคา ครู โรงเรยี นบา้ นห้วยฟอง สพป. นา่ น ๒ ๒.๒๓ นางลาเนาว์ ชยั คา ศกึ ษานเิ ทศก์ สพม. ๓๗ ๒.๒๔ นายวสนั ต์ กวิ ัฒนา ผอู้ านวยการโรงเรียนสาธุกิจประชาสรรคฯ์ สพม. ๓๗ ๒.๒๕ นางปราณี อนิ วาทย์ ครู โรงเรียนตาลชมุ พทิ ยาคม สังกัด อบจ.นา่ น ๒.๒๖ นางจุฬาวรรธน์ สะสม ครู โรงเรยี นตาลชมุ พิทยาคม สังกัด อบจ.นา่ น ๒.๒๗ นางเกื้อกลู อันพัฒนากูล ศกึ ษานิเทศก์ สังกัด สานกั งาน กศน. จงั หวัดน่าน
64 ๒.๒๘ นางสภุ าวดี วาทกิ ทินกร ครู สงั กัด สานกั งาน กศน. อาเภอภูเพยี ง ๒.๒๙ นางนา้ ทพิ ย์ ทะศรแี ก้ว ประธานคณะกรรมการฯ การศึกษาเอกชน จังหวดั นา่ น ๒.๓๐ นายวโิ รจน์ ใบยา ครู โรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมวันนโิ ครธาราม สังกัด สนง. พระพทุ ธศาสนา ๒.๓๑ นายประสาท ศรีสวัสดิ์ หัวหนา้ ฝา่ ยบริหารการศกึ ษาฯ สงั กัด กองการศกึ ษาเทศบาลเมืองน่าน ๓. คณะทางานพัฒนาหลกั สูตร “รักษ์ป่าน่าน” ๓.๑ ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑-๓ ๓.๑.๑ นางวนัญญา พลธนะ ครู โรงเรียนบา้ นคาเรือง สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๑.๒ นายสุทิน ท้าวขว้าง ครู โรงเรยี นศรเี วียงสาวิทยาคาร สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๑.๓ นางวิสา อุตเสน ครู โรงเรยี นชุมชนบ้านหลวง สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๑.๔ นางนิศากร อนิ ผอ่ ง ครู โรงเรียนบ้านแม่ขะนงิ สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๑.๕ นางสาวจติ รานุช สมภารวงค์ ครู โรงเรียนบา้ นสาลี่ สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๑.๖ นายศริ ิ ไชยช่อฟ้า ครู โรงเรียนแสนทองวิทยา สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๑.๗ นางรงุ่ อรณุ คีรสี ตั ยกลุ ครู โรงเรียนไตรประชาวิทยา สพป.น่าน เขต ๒ ๓.๑.๘ นางสวุ พร อุปละ ครู โรงเรยี นไตรมิตรวทิ ยา สพป.น่าน เขต ๒ ๓.๑.๙ นางผอ่ งศรี ภูคา ครู โรงเรียนชมุ ชนไตรคามราษฎร์บารุง สพป.น่าน เขต ๒ ๓.๑.๑๐ นางสาวปรัชญาดา ลาคา ครู โรงเรียนบา้ นหว้ ยฟอง สพป.น่าน เขต ๒ ๓.๑.๑๑ นางนัยนา อิงคสวัสด์ิ ครู โรงเรยี นอนบุ าลอยวู่ ทิ ยา สงั กดั สช. ๓.๑.๑๒ นายนพดล แสนอนิ ต๊ะ ครู สงั กัด กศน. อาเภอเฉลมิ พระเกยี รติ ๓.๒ ระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔-๖ ๓.๒.๑ นางสาวสุรีพร เสาร์วงค์ ครู โรงเรียนราชานบุ าล สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๒.๒ นางนิภา อุ่นถา ครู โรงเรยี นบา้ นนาราบ สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๒.๓ นางสุพตั รา ปติ ริ ตั น์ ครู โรงเรยี นบา้ นดอน (ศรีเสริมกสิกร) สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๒.๔ นางจริ าภรณ์ เชยี งจนั ทร์ ครู โรงเรยี นบา้ นดูพ่ งษ์ สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๒.๕ นางสาวดวงดาว พรมจันที ครู โรงเรยี นบา้ นพรหม สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๒.๖ นายจาลอง ไชยยา ครู โรงเรียนบ้านสองแคว สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๒.๗ นายอภิรุณ คาต๋ัน ครู โรงเรยี นบา้ นหว้ ยฟอง สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๒.๘ นางวภิ าวี สารถ้อย ครู โรงเรยี นปรางค์ สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๒.๙ นายตะวัน แกน่ เมือง ครู โรงเรยี นบา้ นปางแก สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๒.๑๐ นางนจุ ริ า สภุ า ครู โรงเรียนป่ากลางมติ รภาพที่ ๑๖๖
65 สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๒.๑๑ นางสาวชรญั ญา อาภาวงั ครู โรงเรียนนิธวิ ทิ ย์ สงั กดั สช. ๓.๒.๑๒ นายเชงิ ชาย อดุ อ้าย ครู กศน. อาเภอเฉลิมพระเกียรติ ๓.๒.๑๓ นางสาวนวพรรณ อินต๊ะวงศ์ รอง ผอ. โรงเรียนสามคั ควี ทิ ยาคาร สังกัด อปท. ๓.๓ ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑-๓ ๓.๓.๑ นางสาวมนสั นนั ท์ อดุ ใจ ครู โรงเรียนบ้านน้าครกใหม่ สพป.น่าน เขต ๑ ๓.๓.๒ นางสาวณฐั ดิ า พลงั ฤทธิ์ครู โรงเรยี นบ้านท่ามงคล สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๓.๓ นางสาวคนงึ นจิ ณ นา่ น ครู โรงเรียนบ้านหว้ ยมอญ สพป.นา่ น เขต ๑ ๓.๓.๔ นางสาวอภญิ ญา ซอระสี ครู โรงเรียนสมาคมพยาบาลไทย สพป.น่าน เขต ๒ ๓.๓.๕ นางดอกปนิ่ สมศรี ครู โรงเรียนสกาดพัฒนา สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๓.๖ นายวทิ ยา ปนั โน ครู โรงเรยี นบ้านผาหลัก สพป.นา่ น เขต ๒ ๓.๓.๗ นางสาวเนตรดาว ใจจันทร์ครู โรงเรียนสาธุกิจประชาสรรคฯ์ สพม.เขต ๓๗ ๓.๓.๘ นายรงั สรรค์ ไกรสีกาจ ครู โรงเรียนแมจ่ รมิ สพม.เขต ๓๗ ๓.๓.๙ นายมานิตย์ พรมถานา ครู โรงเรียนนนั ทบรุ ีวทิ ยาฯ สพม.เขต ๓๗ ๓.๓.๑๐นายพิเชษฐ์ ขนั ทะยศ ครู กศน.อาเภอบ่อเกลือ ๓.๓.๑๑ นายวโิ รจน์ ใบยา ครู โรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรมวันนโิ ครธาราม สงั กัด สนง. พระพุทธศาสนา ๓.๔ ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖ ๓.๔.๑ พระปลัดคงศิลป์ ภทฺทราวุโธ ผู้อานวยการโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดนิโครธาราม สังกัด สนง. พระพุทธศาสนา ๓.๔.๒ นางกัณฐมณี สมมตุ ิ ครู โรงเรียนมธั ยมป่ากลาง สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๓ นางจริ ภรณ์ ก๋าแก้ว ครู โรงเรียนปัว สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๔ นางสาวประภารัตน์ สายวงศ์ ครู โรงเรยี นสตรีศรีน่าน สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๕ นายบญุ ฤทธิ์ ชาเตยี ม ครู โรงเรยี นนานอ้ ย สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๖ นางปทุมมาส ชมกลิน่ เจา้ ครู โรงเรยี นศรีสวัสด์วิ ทิ ยาคารฯ สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๗ นายชลายทุ ธ์ วิเศษกาษ ครู โรงเรยี นทา่ วังผาพิทยาคมสพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๘ นายโพธบิ รู พ์ แก้วทอง ครู โรงเรยี นเชยี งกลางประชาพัฒนา สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๙ นายทรงบัญชา บวั จนั ทร์ ครู โรงเรียนสา สพม.เขต ๓๗ ๓.๔.๑๐ นางสุภาวดี วาทกิ ทนิ กร ครู สังกดั กศน. อาเภอภูเพยี ง
66 ๓.๔.๑๑ นายชรนิ ทร์ พิชัยวงค์ ครู โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๕๖ ๓.๔.๑๒ นางปราณี อินวาทย์ ครู โรงเรียนตาลชมุ พิทยาคม สงั กัด อบจ. นา่ น ๓.๔.๑๓ นางจฬุ าวรรธณ์ สะสม ครู โรงเรียนตาลชุมพทิ ยาคม สังกดั อบจ. นา่ น ๔. คณะวิทยากรประจากลุ่มพฒั นาหลักสตู ร “รักษป์ า่ น่าน” ๔.๑ นายมานพ ตรยั ตรากลุ ผ้อู านวยการกลุม่ นเิ ทศ ตดิ ตาม และประเมินผลฯ สพป. นา่ น เขต ๒ ๔.๒ นางศรรี ตั น์ บญุ ศรี ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธกิ ารจังหวัดน่าน ๔.๓ นายยทุ ธพงษ์ หาญยุทธ ศึกษานิเทศก์ สานกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวัดนา่ น ๔.๔ นางสุชาดา ไตรจนิ ดา ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธิการจังหวัดนา่ น ๔.๕ นางปิยะนชุ ไชยสมทิพย์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศึกษาธกิ ารจังหวัดนา่ น ๔.๖ นายนพิ นธ์ สารถ้อย ศึกษานิเทศก์ สานกั งานศึกษาธิการจังหวดั น่าน ๔.๗ นายนภัทร เครือผดุงสกลุ ศึกษานิเทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจงั หวัดน่าน ๔.๘ ว่าทรี่ .ต.พงษ์พิณิตย์ อุทธิยา ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจงั หวัดน่าน ๔.๙ นางสาวพมิ พว์ ลัญช์ ชยั ชนะ ศึกษานิเทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวัดนา่ น ๔.๑๐ นางปาณิศา จินะแปง ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจงั หวดั น่าน ๔.๑๑ นายภคั พงษ์ สหี ราช ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจงั หวดั นา่ น ๔.๑๒ นางสาวกฤติยา ขัตยิ ะ ศกึ ษานิเทศก์ สพป. น่าน ๑ ๔.๑๓ นางระเบียบ สทิ ธชิ ยั ศกึ ษานิเทศก์ สพป. นา่ น ๒ ๔.๑๔ นายปรชี า ภูลาพา ศึกษานเิ ทศก์ สพป. น่าน ๒ ๔.๑๕ นางวรวรรณ แสงศริ โิ รจน์ ผอู้ านวยการโรงเรียนบ้านหว้ ยฟอง สพป. น่าน ๒ ๔.๑๖ นายวสันต์ กวิ ฒั นา ผอ. โรงเรียนสาธุกจิ ประชาสรรคฯ์ สพม. ๓๗ ๕. คณะกรรมการตรวจสอบความถกู ต้อง เหมาะสมของเน้อื หาหลกั สตู ร “รกั ษป์ ่านา่ น” ๕.๑ พระปลดั คงศลิ ป์ ภทฺทราวโุ ธ ผู้อานวยการโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วัดนโิ ครธาราม สังกดั สนง. พระพุทธศาสนา ๕.๒ นายมานพ ตรัยตรากลุ ผอ.กลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมินผลฯ สพป.น่าน ๒ ๕.๓ นายจาลอง ไชยยา ศกึ ษานิเทศก์ สพป.นา่ น ๒ ๕.๔ นางรุ่งอรุณ ครี สี ตั ยกลุ ครู โรงเรยี นไตรประชาวทิ ยา สพป. นา่ น ๒ ๕.๕ นางสาวคนงึ นิจ ณ นา่ น ครู โรงเรียนบา้ นห้วยมอญ สพป. นา่ น ๑ ๕.๖ นางนิภา อุ่นถา ครโู รงเรยี นบ้านนาราบ สพป. น่าน ๑ ๕.๗ นางจิรภรณ์ ก๋าแกว้ ครู โรงเรียนปัว สพม. เขต ๓๗ ๕.๘ นางสาวประภารัตน์ สายวงศ์ ครู โรงเรียนสตรีศรนี า่ น สพม. เขต ๓๗ ๕.๙ นายมานติ ย์ พรมถานา ครู โรงเรยี นนันทบุรีวิทยาฯ สพม. เขต ๓๗
67 ๕.๑๐ นางสาวนวพรรณ อนิ ต๊ะวงศ์ รอง ผอ. โรงเรียนสามคั คีวิทยาคาร สังกดั อปท. ๕.๑๑ นางจุฬาวรรธณ์ สะสม ครู โรงเรยี นตาลชมุ พิทยาคม สงั กัด อปท. ๖. ผทู้ รงคุณวฒุ ิตรวจสอบคุณภาพหลกั สตู ร “รักษ์ปา่ นา่ น” ๖.๑ ผอู้ านวยการสานกั งานทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน ๖.๒ นางสาวชรสั นันท์ ตาชม รองผูอ้ านวยการวิทยาลัยชมุ ชนน่าน ๖.๓ นายวริ นั วสิ ทุ ธิธาดา อาจารย์จากมหาวิทยาลยั เทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา นา่ น ๖.๔ ว่าท่ี ร.ต. สมเดช อภชิ ยกุล รองนายกองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั นา่ น ๖.๕ นางบัวตอง ธรรมะ ผู้แทนนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบลเมืองจัง ๖.๖ นายสมเกยี รติ รัตนวฑิ ูรย์ ข้าราชการบานาญ ๖.๗ นายมานพ ตรัยตรากุล ผอ.กลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลฯ สพป.น่าน ๒ ๖.๘ นางระเบยี บ สิทธิชยั ศึกษานิเทศก์ สพป.น่าน ๒ ๖.๙ นางศิรริ ัตน์ แยม้ ศิลป์ ศึกษานิเทศก์ สพป.น่าน ๑ ๖.๑๐ นายปกรณ์ ศศิวจั น์ไพสิฐ ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นสวา้ สพป.นา่ น ๒ ๖.๑๑ นายศิริ ไชยชอ่ ฟา้ ครู โรงเรยี นแสนทองวทิ ยา สพป.นา่ น ๒ ๖.๑๒ นางเทียมจติ หาญยุทธ ครโู รงเรยี นชุมชนศิลาเพชร สพป.น่าน ๒ ๗. คณะกรรมการตรวจสอบ ปรบั ปรงุ แกไ้ ข เรยี บเรียง หลกั สูตร “รักษ์ปา่ นา่ น” ๗.๑ นายสมเพชร สทิ ธิชยั ผอ.กลมุ่ นิเทศฯ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวดั น่าน ๗.๒ นายมานพ ตรยั ตรากลุ ผอ.กลุม่ นิเทศฯ สพป. น่าน ๒ ๗.๓ นายยทุ ธพงษ์ หาญยุทธ ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวัดนา่ น ๗.๔ นางปยิ ะนุช ไชยสมทิพย์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวัดนา่ น ๗.๕ ว่าที่ร.ต.พงษ์พิณิตย์ อุทธิยา ศกึ ษานเิ ทศก์ สานกั งานศกึ ษาธิการจงั หวดั นา่ น ๗.๖ นางปาณิศา จินะแปง ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานศกึ ษาธิการจังหวดั นา่ น ๗.๘ นายภัคพงษ์ สีหราช ศึกษานิเทศก์ สานักงานศึกษาธกิ ารจงั หวัดนา่ น ออกแบบปก โดย นายภัคพงษ์ สหี ราช ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานศึกษาธิการจังหวัดนา่ น
ภาพปก \"ลำนำ้ มาง\" ตำบลภฟู า อำเภอบอ เกลอื จงั หวดั นา น
Search