Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพยาบาลครอบครัว

การพยาบาลครอบครัว

Published by riam999, 2022-01-24 07:42:28

Description: เอกสารการสอนการพยาบาลครอบครัว

Search

Read the Text Version

แผนบรหิ ารการสอนประจำบท การพยาบาลครอบครวั หัวข้อเนอ้ื หาประจำบท 1. ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกี่ยวกับครอบครวั 2. แนวคดิ ทฤษฎที ี่เก่ยี วข้องกับการพยาบาลครอบครวั 3. บทบาทหน้าท่ขี องพยาบาลชุมชนในการดแู ลครอบครัว 4. กระบวนการพยาบาลครอบครัว 5. การเย่ียมครอบครวั วตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม เม่อื สิ้นสุดการเรยี นการสอนแล้วนักศึกษามีความสามารถดังนี้ 1. ความหมาย และความสำคัญของการพยาบาลครอบครัว 2. นำองค์ความร้ทู ่ีเกี่ยวข้องกับการพยาบาลครอบครวั ได้ 3. อธิบายบทบาทของพยาบาลหนา้ ทข่ี องพยาบาลชุมชนในการดแู ลครอบครวั 4. การใช้กระบวนการพยาบาลครอบครวั ในการประเมินครอบครัวได้ 5. วางแผนการเย่ียมครอบครัวได้ถกู ต้องตามขน้ั ตอนการเย่ียม วิธสี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย อภปิ ราย นักศกึ ษารว่ มแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมกลุ่ม 2. ศึกษาเอกสารการสอนตามหวั ข้อทกี่ ำหนด 3. ยกตัวอยา่ งกรณีศึกษาใหน้ ักศกึ ษาแบ่งกลมุ่ อภิปราย 4. ใหน้ ักศึกษาการนำเสนอในชั้นเรียน สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน การพยาบาลครอบครวั 2. เพาเวอรพ์ อยต์หัวข้อเรื่อง การพยาบาลครอบครัว 3. หนงั สือและเอกสารอน่ื ๆ การพยาบาลครอบครัว 4. สอื่ บทเรยี นออนไลน์ เร่ือง การพยาบาลครอบครัว การวัดผลและการประเมินผล 1. ประเมินผลกจิ กรรมกลุ่ม การนำเสนอในช้นั เรยี นและแนวตอบทา้ ยบทเรียน 2. สงั เกตการรว่ มอภิปรายและการแสดงความคดิ เห็นในชน้ั เรียน 2. ประเมนิ ผลจากคะแนนสอบกลางภาค 3. ประเมินผลจากคะแนนสอบปลายภาค

2 บทท่ี 4 การพยาบาลครอบครัว ครอบครวั เป็นสถาบันทางสังคมท่ีใกล้ชิดกับบุคคลมากที่สุด เป็นส่ิงแวดล้อมที่มีมีผลต่อการ ดำเนินชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เป็นหน่วยสังคมท่ีเล็กที่สุดและในสภาพสังคมปัจจุบัน ครอบครัวมีการเปล่ียนแปลงและมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลกระทบต่อสมดุลของครอบครัว ทำให้ สมาชิกของครอบครัวมีปัญหาทางด้านสุขภาพได้ และมีผลต่อการดำเนินชีวิตของสมาชิกคนอื่นและ ส่งผลต่อสังคมรอบข้างได้ ดังน้ันการดูแลสุขภาพของครอบครัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ท่ีมีบทบาทหน้าท่ี ดา้ นสุขภาพต้องทำความเข้าใจและจัดการบริการท่เี หมาะสมต่อไป ความรู้เบื้องต้นเกีย่ วกบั ครอบครวั ครอบครวั เปน็ สถาบันพน้ื ฐานทางสังคมทเี่ ล็กท่ีสุดและเป็นบริบทหรือสิง่ แวดล้อมที่สำคัญใน การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ความผาสุก การสร้างเสริมสุขภาพ และการดูแลรักษา สุขภาพของบุคคล ครอบครัวเป็นส่ือกลางท่ีเชื่อมระหว่างบุคคลและสังคมเพื่อการตอบสนองความ ต้องการและความคาดหวังท่ีสอดคล้องกันของบุคคลและสังคม เตรียมสมาชิกใหม่ท่ีมีคุณภาพของ สงั คม และสร้างเครือขา่ ยของญาตพิ ี่น้องเพ่ือความเข้มแขง็ และความอยู่รอดของชมชน ครอบครัวเป็น แหล่งท่ีสำคัญ ในการดูแลส่งเสริมและรักษาสุขภาพของบุคคลและค รอบครัวทั้งในยามปกติและ เจ็บป่วย เม่ือมีการเจ็บป่วยเกิดข้ึนในครอบครัว จะกระทบต่อสมาชิกครอบครัวคนอ่ืนกระทบต่อ ครอบครัวท้ังระบบ และระบบครอบครัวก็มีผลกระทบการเจ็บป่วยของบุคคลด้วย (Wright & Leahey, 2009, pp. 137-173) ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างครอบครัวกับภาวะสุขภาพของ สมาชิกครอบครัวเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อคุณภาพการดูแลบุคคลเร่ิมต้ังแต่การส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟ้ืนฟูสุขภาพ นอกจากนี้การเจ็บป่วยของสมาชิกคนหน่ึงในครอบครัวยังเป็นจุดเร่ิมต้นของ ความเข้าใจและการค้นหาปัญหาสุขภาพของสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวด้วย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ระบบการดูแลสขุ ภาพจึงต้องให้ความสำคญั กับครอบครัวและเนน้ ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ครอบครัวและสังคมเป็นอิทธิพลต่อกันและกัน ครอบครัวได้รับอิทธิพลจากระบบสังคม ภายนอกเช่น เม่ือระบบการศึกษา กรเมือง กระแสทางสังคม ความเช่ือและค่านิยมทางสังคม หรือ ประเพณีวัฒนธรรมของสังคมเปลี่ยนแปลงไป จะมีผลกระทบต่อระบบครอบครัวทำให้ครอบครัวต้อง ปรับตัวยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าท่ีประเพณีการปฏิบัติตามความต้องการของบุคคลหรือ ครอบครัวด้วย

3 ความหมายของครอบครัว Wright & Leahey (2009, p. 137) ให้ความหมายว่า ครอบครัว หมายถึง กลุ่มของบุคคล ท่ีมีความผูกพันทางอารมณ์อย่างเหนียวแน่น มีความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีความเกี่ยวพันกับชีวิตของ อกี คนหนง่ึ และบุคคลเป็นผ้กู ำหนดสมาชิกครอบครัวเอง จินตนา วัชรสินธุ์ (2550, หน้า 18) ให้ความหมายว่าครอบครัว หมายถึง บุคคลตั้งแต่สอง คนขึ้นไป มีความผูกพันกันทางอารมณ์ มีการแบ่งปันซ่ึงกันและกัน มีคำมั่นสัญญาร่วมกัน กำหนด สมาชิกครอบครวั ด้วยตนเอง และทำหน้าที่เป็นสมาชิกในครอบครัว โดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ ทางสายเลอื ด การแต่งงานหรืออยบู่ า้ นเดยี วกัน สรุปครอบครัว หมายถึง บุคคลตั้งแต่สองคนข้ึนไปท่ีมีความผูกพันทางอารมณ์อย่างเหนียว แนน่ มีความรสู้ ึกเป็นเจ้าของและมีความเก่ยี วพนั กบั ชวี ิตของอีกคนหนึ่ง มีการแบง่ ปันซ่งึ กันและกนั มี คำม่ันสัญญาร่วมกัน กำหนดสมาชิกครอบครัวด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทาง สายโลหติ หรอื ทางกฎหมาย ชนิดและรูปแบบของครอบครวั Friedman, Bowen & Jones (2003, pp. 124) แบง่ รปู แบบของครอบครวั ดังนี้ 1. ครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) เป็นครอบครัวท่ีประกอบด้วยคู่สามี ภรรยาไม่มี บุตร หรือคู่บิดา มารดา บุตรอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน อาจเป็นบุตรโดยสายเลือดหรือรับเข้าเป็น บตุ รบุญธรรม 2. ครอบครัวขยาย (extended family) อาจแบ่งเป็น 2 แบบย่อย คือ เป็นครอบครัวที่ ประกอบด้วยคนหลายรุ่นอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น ปู่ย่า พ่อแม่ และหลาน หรือเป็นครอบครัวท่ี ประกอบด้วยครอบครัวเด่ียวของญาติพี่น้องของฝ่ายพ่อหรือแม่สองครอบครัวข้ึนไปอาศัยอยู่ในบ้าน เดียวกัน 3. ครอบครัวบุญธรรม (adoptive family) เป็นครอบครัวที่พ่อแม่รับบุตรมาเลี้ยงเป็น บุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายต้ังแต่แรกเกิด พ่อแม่บุญธรรมมีโอกาสเล้ียงดู ให้ความรักความ อบอุน่ และอบรมสง่ั สอน 4. ครอบครัวรับเลี้ยงเด็ก (foster family) สถานรับเล้ียงเด็กเป็นสวัสดิการทางสังคม ของเด็กทพ่ี อ่ แม่ไม่สามารถดแู ลให้ความปลอดภยั ให้ความผาสุกท้งั ทางรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจได้ 5. ครอบครัวท่ีมีบิดาหรือมารดาเล้ียงเด่ียว (adoptive family) เป็นครอบครัวที่ ประกอบดว้ ยบตุ รและบดิ าหรือมารดาที่ทำหน้าท่เี ลย้ี งบตุ รคนเดียว

4 6. ครอบครัวคนโสดอยู่คนเดียว (single adult living alone) เป็นครอบครัวท่ีคนโสด ไม่ไดแ้ ต่งงาน แต่แยกออกจากครอบครวั เดิมมาอยู่คนเดยี ว 7. ครอบครัวผสม (blended family or binuclear family) เป็นครอบครัวท่ีเกิดข้ึน หลังจากการหย่ารา้ งของสองครอบครัวเด่ียว แล้วสามีหรือภรรยามาแต่งงานใหมแ่ ละมีบุตรจากแต่ละ ฝา่ ยมาอยู่ด้วย ทงั้ สามีภรรยาทำหนา้ ทเี่ ป็นคูพ่ อ่ แม่ของบุตรเหล่าน้ี 8. ครอบครัวท่ีมีพ่อหรือแม่เลี้ยง (stepparent family) อาจเป็นได้ท้ังพ่อและแม่หย่า ร้างหรือฝา่ ยใดฝ่ายหนง่ึ หยา่ รา้ งมาแต่งงานใหมแ่ ละมบี ุตรอยูด่ ว้ ย 9. ครอบครัวที่ชายรักชายหรือหญิงรักหญิง (gay and lesbian family) เป็นครอบครัว ที่อาจประกอบด้วยชายกับชาย หญิงกบั หญงิ อยดู่ ้วยกันฉันทส์ ามภี รรยา อาจมีบุตรจากฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึง หรอื ไมม่ บี ุตร หรอื รับบตุ รบญุ ธรรมมาเล้ียง ครอบครัวลักษณะนีไ้ ม่จำเป็นตอ้ งอาศยั อยู่บา้ นเดียวกนั 10. ครอบครัวที่คู่หญิงชายอยู่ด้วยกัน (cohabiting family) โดยที่ท้ังคู่ยังไม่ได้แต่งงาน กัน อาจเปน็ การทดลองอย่ดู ้วยกันกอ่ นแตง่ งาน ความหมายการพยาบาลครอบครวั การพยาบาลครอบครัว เป็นกระบวนการของการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ ของครอบครัวภายใต้ขอบเขตวิชาชีพ โดยมองครอบครัวพร้อมกัน2 ระดับ ระดับแรกมองครอบครัว แบบภาพรวม วา่ มีลักษณะใดใน 4 ลักษณะ ครอบครัวเป็นบรบิ ท ครอบครัวเป็นหน่วยรวม ครอบครัว เป็นระบบหน่ึง ๆ ระดับที่ 2 มองครอบครัวท่ีเน้นไปท่ีบุคคล ครอบครัวละชุมชนไปพร้อม ๆ กัน เพ่ือท่ีจะส่งเสริม คงไว้และฟื้นฟุสุขภาพครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ (วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย, 2554 หน้า 268) การพยาบาลครอบครัว เป็นการกระทำ ปฏิบัติการตามบทบาทของพยาบาลผ่าน กระบวนการพยาบาลครอบครัวที่กระทำท้ังเพ่ือการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันปัญหาสุขภาพ สนับสนนุ การเสริมสรา้ งความแข็งแกรง่ ของบุคคล ครอบครวั ชมุ ชนช่วยใหบ้ คุ คลและครอบครัวในการ ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพบุคคล ครอบครัว รวมท้ังการใช้ประโยชน์จากระบบสนับสนุน เครือข่ายใน ชมุ ชนและสงั คม พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการเอื้ออำนวยให้เกิดการเปล่ียนแปลงของคน ครอบครัว จากความเคยชินให้คนเปล่ียนแปลงพฤติกรรม เปล่ียนมุมมองต่อตนเอง ครอบครัวและสิ่งแวดล้อม ท้ังน้ีผลลพั ธ์ทค่ี าดหวงั คือ ผู้ปว่ ยได้รับการส่งเข้าสู่ระบบบริการ ผูป้ ่วยได้รับการฟื้นฟู ครอบครัวได้รับ การส่งเสริมสุขภาพลดความเส่ียง ครอบครัวอยู่ดีมีสุขเข้าสู่ภาวะสมดุล (ดารุณี จงอุดมการณ์, 2558, หนา้ 20)

5 สรุปว่าการพยาบาลครอบครัว หมายถึง การพยาบาลท่ีให้กับครอบครัวและสมาชิก ครอบครัว ทั้งในภาวะสุขภาพดีและเจ็บป่วย เพ่ือส่งเสริมสุขภาพและลดความทุกข์ทรมานจากการ เจ็บป่วยของครอบครัวและสมาชิกครอบครัว ช่วยให้สมาชิกครอบครัวเข้าสู่ภาวะสมดุลและปฏิบัติ บทบาทหน้าที่ของครอบครัวได้อย่างเหมาะสม และคงไว้ซึ่งศักด์ิศรีของครอบครัว การพยาบาล ครอบครัวเป็นกระบวนการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของครอบครัวภายใต้ขอบเขตวิชาชีพ โดยมองครอบครัวเป็น 2 ระดบั คอื ระดับแรก มองครอบครัวเป็นภาพรวมว่ามีลักษณะ 4 ลักษณะ คือ ครอบครัวเป็นบริบท ครอบรัวเปน็ หน่วยรวม ครอบครัวเป็นระบบ ๆแหนง่ึ และครอบครวั เป็นองคป์ ระกอบของสงั คม ระดับที่ 2 มองครอบครัวด้วยแนวตัดขวางไปที่บุคคล ครอบครัวและชุมชนไปพร้อม ๆ กัน เพ่ือทจ่ี ะสง่ เสริม คงไว้ และฟื้นฟูสขุ ภาพของครอบครัวได้อยา่ งสมบูรณ์ ความสำคญั ของการพยาบาลครอบครวั ความสำคัญของครอบครัวต่อการดูแลสุขภาพครอบครัว จากความจรงิ ท่ีว่าภาวะสุขภาพ และความเจบ็ ป่วยของสมาชิกมีผลกระทบต่อครอบครวั ทัง้ ระบบ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพ การ เจ็บป่วยและครอบครวั มีผลต่อภาวะสุขภาพและเจ็บป่วยของสมาชิกครอบครัวดว้ ย ผลกระทบซึ่งกัน และกันเหล่านี้เกดิ ข้ึนเนื่องจากครอบครัวเป็นแหล่งประโยชนห์ ลกั ของการสรา้ งพฤติกรรมสุขภาพ การ ตดั สินใจการรว่ มมือในกระบวนการดูแลรักษาอย่างต่อเน่ืองเริม่ ตงั้ แต่ภาวะสุขภาพดี (การส่งเสริมและ การป้องกนั ) 1. ครอบครัวเป็นหน่วยของการดูแลของสมาชิกท่ีแต่ละครอบครัวมีโครงสร้าง บทบาท หน้าท่ี การจัดการทรัพยากรและความรู้สึกผูกพันระหว่างกันท่ีไม่ว่าเวลาจะเปล่ียนแปลงไปอย่างไร ครอบครวั กย็ ังคงเป็นหนว่ ยที่ทำงานอยา่ งต่อเน่ือง 2. ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมท่ีทำหน้าท่ีของการคงไว้ซึ่งสถานะสุขภาพ เป็นแหล่งรวม ความเชื่อ ค่านิยมและพฤติกรรมด้านสุขภาพท่ีสมาชิกต่างเรียนรู้ สนับสนุนช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน 3. ความบกพร่องในการทำหน้าท่ีของสมาชิกคนใดคนหน่ึงอาจเพิ่มความเครียด การใช้ ทรัพยากร และทำให้ครอบครัวเสียสมดุลได้ เนื่องจากครอบครัวเป็นระบบเปิด เม่ือสมาชิกคนใดเกิด ความบกพรอ่ งในหน้าท่ยี ่อมกระทบต่อสุขภาพของครอบครัวทั้งหมด หลักการให้การพยาบาลครอบครัว (ยุพา จ๋ิวพัฒนกุล, 2559, หน้า 132-133) ได้ให้ หลกั การดูแลครอบครวั ดังนี้

6 1. เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการดูแล (Family-Centered Care) ครอบครัว เปรียบเสมือนผู้รบั บริการ 1 ราย ท่ีมีองค์ประกอบที่หลากหลาย แต่ละครอบครัวมคี วามแตกต่างกันมี ความต้องการต่างกัน ดังน้นั การดแู ลจึงเป็นความตา่ งของแต่ละครอบครัว 2. มงุ่ เนน้ การสร้างเสริมสขุ ภาพของครอบครวั ให้ครอบครวั สามารถปรับสมดุลและดูแล ตนเองได้ 3. สร้างเสริมศักยภาพและสร้างพลังอำนาจทั้งในสมาชิกและครอบครัวให้สามารถท่ีจะ ดูแลตนเองและพง่ึ ตนเองได้ 4. เนน้ การมีส่วนร่วมของครอบครวั ในการจัดการกับภาวะตา่ งๆ ทง้ั ในเรื่อง วิธแี กป้ ัญหา ทรัพยากรบคุ คล และทรัพยากรอืน่ ๆ 5. ส่งเสริมให้มีเครือข่ายในการร่วมดูแลและช่วยเหลือครอบครัวในการดำเนินการ ให้บริการพยาบาลครอบครัวนั้น ต้องมีการบูรณาการองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง มีการทำงานอย่างเป็น ระบบ มีการทางานเป็นทีมกับเครือข่ายสุขภาพ และท่ีสำคัญคือการทำงานร่วมกับครอบครัว เปิด โอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้เพ่ิมศักยภาพในการดูแลครอบครัวตัวเอง มีความเข้าใจยอมรับใน ความต่างของแต่ละครอบครัว ซง่ึ ผลลัพธ์สุดท้ายคอื สขุ ภาพของครอบครวั 6. การพยาบาลครอบครัวต้องคำนึงวัฒนธรรมของชุมชนและของครอบครัว พยาบาล ต้องให้การพยาบาลที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อค่านิยม และการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกัน โดยพยาบาลต้องประเมินมุมมองทางวัฒนธรรมของครอบครัวและค้นหารูปแบบการพยาบาลท่ี สอดคล้อง กับวฒั นธรรมครอบครวั 7. พยาบาลครอบครัวต้องส่ือสาร ให้ข้อมูลแก่สมาชิกในครอบครัวอย่างครอบคลุม ไม่ เบนเบ่ียงข้อมูล ซงึ่ ขอ้ มูลขา่ วสารที่ให้ต้องเป็นจริงและมีประโยชน์ต่อสมาชิกที่ป่วยและครอบครวั และ ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานบริการสุขภาพ ผลลัพธ์ของการดูแล ข้อจำกัดการให้บริการ และทางเลือก ในการรักษา 8. การพัฒนาการประสานงานระหวา่ งครอบครวั พยาบาล และทมี สขุ ภาพเปน็ ส่ิงสำคัญ สำหรบั การพยาบาลครอบครัว เพราะการประสานงานเป็นการแสดงถึงการให้เกียรตคิ รอบครัว ทำให้ ครองครัวเกิดผลลัพธ์การดูแลที่ดี เกิดประสบการณ์ด้านบวก ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการพยาบาล ครอบครัว พยาบาลอนามัยชุมชนมีบทบาทสำคัญหลายบทบาทในการผลักดันให้ครอบครัวได้รับการ ดแู ลอยา่ งครอบคลุม และเกิดประโยชนส์ ูงสดุ

7 ความหมายสขุ ภาพครอบครวั สุขภาพครอบครัว หมายถึง ความสามารถในการทำหน้าที่ของการเป็นหน่วยครอบครัว ซ่ึงได้แก่ การทำหน้าที่เก่ียวกับสุขภาพของสมาชิกแต่ละคน ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ความสามารถในการรับมือกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ณ เวลานั้น (วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย, 2554, หน้า 327) สุขภาพครอบครัวไมไ่ ด้มีความตา่ งจากสุขภาพของบคุ คลเพราะในความหมายของสขุ ภาพมีความ ผันแปรอย่างต่อเนื่องระหว่างสุขภาพดีกับการเจ็บป่วย สุขภาพครอบครัวจึงอาจเปลี่ยนแปลงได้เป็น พลวตั ร แต่เป้าหมายของครอบครัวสูงสดุ คือ การท่ีครอบครัวมีสุขภาพดี ซ่ึงมีลักษณะโดยรวมดังน้ี (วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย, 2554, หน้า 327) 1. มีปฏิสัมพันธ์ท่ีบ่งช้ีว่ามีสุขภาพดีระหว่างสมาชิก ได้แก่ มีการส่ือสารกันสม่ำเสมอ ถึงแม้จะมีความหลากหลายแต่ก็สนับสนุนซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเป็น มิตร อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจกนั และสามารถส่ือสารกบั บุคคลภายนอกได้ดี 2. ส่งเสริมพัฒนาการของแต่ละบุคคล โดยครอบครัวสามารถตอบสนองความต้องการ ของสมาชิกได้ สมาชิกเคารพในสิทธิของกันและกัน ยอมรับความแตกต่าง พร้อมส่งเสริมให้สมาชิก สามารถพง่ึ ตนเองได้ 3. มีโครงสร้างของความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวได้แต่ละช่วงชีวิตของครอบครัว มีการปรับบทบาทหน้าท่ีของ สมาชกิ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 4. มีความสามารถในการจัดการกับปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง สามารถแสวงหาแหล่ง ทรัพยากรใน การจดั การกบั ปญั หาได้ มีพลังอำนาจในการคิดสร้างสรรค์ วิเคราะหป์ ัญหาต่าง ๆ พร้อม การจัดการกบั ปัญหา 5. มีสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อภาวะสุขภาพและวิถีชีวิต ได้แก่ ความปลอดภัย สะอาดถูก สุขลกั ษณะ 6. มีสัมพันธภาพท่ีดีอย่างสม่ำเสมอกับส่ิงแวดล้อมนอกครอบครัว ได้แก่ การมีส่วนร่วมกับ ชมุ ชนการใชท้ รพั ยากรร่วมในชุมชน ติดตามขา่ วสารรอบตัวอยา่ งต่อเนอ่ื ง

8 แนวคดิ ทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องกับการพยาบาลครอบครัว แนวคิดทฤษฎีเป็นองค์ความรู้ ที่มีการนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาในการพยาบาล เรียกวา่ conceptual Framework ในการพยาบาลครอบครัวมีการนำกรอบแนวคิดทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ ง มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาครอบครัวให้มีความชัดเจน เข้าใจปรากฏการณ์และช่วยให้การแปล ความหมายสิ่งท่ีปรากฏได้ง่ายขึ้น ทำให้การจัดการกับปัญหาที่พบในการพยาบาล มีความชัดเจน ซ่ึง แนวคิดทฤษฎีนี้อาจมีความแตกต่างกันไป เช่น ทฤษฎีระบบครอบครัว ทฤษฎีพัฒนาการครอบครัว ทฤษฎีโครงสร้างและหนา้ ทีข่ องครอบครัว ทฤษฎปี ฏสิ มั พันธ์ในครอบครัว ทฤษฎบี ทบาท ทฤษฎรี ะบบครอบครัว (family system theory) ประยุกต์มาจากทฤษฎีระบบและจากอิทธิพลของแนวคิดแบบองค์รวม โดยพัฒนา ร่วมกับทฤษฎีการสะท้อนกลับ ทฤษฎีส่ือสารและทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (Friedman, Bowden, & Jones, 2003, p 19) ระบบครอบครัวเป็นหน่วยที่มีเป้าหมายชัดเจน ประกอบด้วยระบบย่อยท่ี เกี่ยวพันกันและปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา (Wright & Leahey, 2009, p 141) ระบบครอบครัวเป็น ส่วนของระบบใหญ่และประกอบด้วยหลายระบบย่อย เช่น ระบบย่อยสามี-ภรรยา พ่ี-น้อง บิดา- บุตรชาย บิดา–มารดา–บุตร เป็นต้น ระบบย่อยเหล่าน้ียังประกอบด้วยหน่วยย่อยบุคคล และ ครอบครัวยังมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ับระบบใหญ่ภายนอก เช่นเพือ่ นบ้าน องคก์ รอื่น หรือชุมชน ในแต่ละระบบ ย่อยก็จะมีขอบเขตของตัวมันเอง เพ่ือแยกจากระบบอ่ืน เช่น ระบบย่อย บิดา-มารดา จะมีขอบเขต ของความเช่ือความคาดหวัง หรือบทบาทท่ีทำให้มองเห็นความแตกต่างแยกจากระบบย่อยพี่-น้อง ดังนั้น พยาบาลจะต้องเห็นภาพของระบบครอบครัวที่ชัดเจน เช่นมีใครบ้างอยู่ในระบบครอบครัวมี ระบบย่อยท่ีสำคัญอะไรบ้าง มีระบบใหญ่อะไรบ้างที่มีความหมายหรือิทธิพลต่อครอบครัวทฤษฎีน้ีมี ประโยชน์มากในการอธิบายพฤติกรรมของครอบครวั ลกั ษณะสำคัญของระบบครอบครวั ครอบครัวเป็นความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยภายในครอบครัว และกับระบบอื่น ภายนอกครอบครัว วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย (2554, หน้า 269) กล่าวไว้ว่าระบบครอบครัว มีลักษณะ สำคญั ดงั นี้ 1. ความเป็นองค์รวมของระบบครอบครัว ซึ่งองค์รวมไม่เท่ากับผลรวมของแต่ละหน่วย ย่อยของครอบครัว แต่เป็นผลรวมที่ใหญ่กว่าหน่วยย่อยทั้งหมดรวมกัน เกิดเป็นระบบใหม่ท่ีมีลักษณะ พเิ ศษเฉพาะและแตกต่างไปจากลักษณะของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิสมั พันธข์ องสมาชิก

9 และสิ่งแวดล้อมในระบบครอบครัว เช่น เม่ือแม่มีความขัดแย้งกับพ่อก็จะมีการเข้าพวกกันของลูกชาย ลูกสาวและแม่เพ่ือต่อต้านพ่อ หรือบุตรมีพฤติกรรมก้าวร้าว ถ้าพยาบาลสังเกตดีพอพบว่าพฤติกรรม ก้าวร้าวของบุตรเป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมมารดาท่ีบน่ ดุว่าบุตร และตอ่ พฤตกิ รรมบิดาที่เฉยเมย ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบการบ่นของบมารดา ดังน้ันการประเมินครอบครัวจึงไม่ประเมินเฉพาะข้อมูลของ สมาชิกครอบครวั แต่ละคนหรือความสมั พันธ์ของสมาชิกหน่วยย่อยเทา่ นนั้ จะต้องประเมนิ ปฏิสัมพันธ์ ในท้ังระบบครอบครัว เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ในระบบครอบครัวท่ีสร้าง ขน้ึ ใหมจ่ ะกำหนดลักษณะและคณุ สมบัติใหมเ่ พอื่ การทำหนา้ ทท่ี ่ีเหมาะสมของครอบครวั 2. ผลกระทบซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีส่วนหน่ึงส่วนใดของระบบจะ กระทบต่อระบบครอบครัวท้ังหมดเช่น ครอบครัวท่ีแม่เป็นอัมพาต กิจกรรมการออกกำลังกายและไป เที่ยวของพ่อกับแม่ไม่มีอีกต่อไป พ่อต้องทำงานหนักมากข้ึนเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ลูกสาวต้อง กลับบ้านทันทีหลังเลิกงานไม่ได้ไปเท่ียวสนุกสนานกับเพ่ือน และต้องให้การสนับสนุนด้านอารมณ์แก่ แม่และพ่อ ทำให้สนิทสนมกับพ่อมากขึ้นมีสัมพันธภาพที่ดีขึ้น แนวคิดผลกระทบนี้ ช่วยให้พยาบาล เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวชัดเจนข้ึน 3. ระบบครอบครัวมีการสะท้อนตนเอง ครอบครัวคอยประเมินความสามารถของ สมาชิกครอบครัว และปรับพฤติกรรมสมาชิกครอบครัวตลอดเวลา ด้วยการสะท้อนตนเองของ ครอบครัว เชน่ ครอบครัวจะสนับสนนุ พฤติกรรมท่เี หมาะสมของสมาชิกครอบครัว และสอน ว่ากล่าว ตักเตือนเพ่ือปรับพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมของสมาชิกครอบครัว เพื่อแสดงให้สมาชิกเรียนรู้เป้าหมาย ของครอบครวั ดว้ ย 4. ลำดบั ข้ันของระบบครอบครัวมีหลายระดับตั้งแต่ระบบย่อยของครอบครัว และระบบ ภายนอกครอบครัวทีใ่ กลท้ ่ีสดุ จนถงึ ระบบภายนอกที่ใหญ่ข้นึ และห่างไกล ซ่ึงระบบทอี่ ยูใ่ กล้ครอบครัว มากที่สดุ จะมอี ิทธิพลตอ่ ครอบครวั มากที่สดุ 5. ครอบครวั เป็นทัง้ ระบบเปิด ระบบปดิ หรือเปน็ ทั้งเปดิ และปิด ระบบครอบครัวเปดิ จะ รับและแลกเปลี่ยนความคิด ส่ิงของ ข้อมูลข่าวสาร เทคนิคหรือแหล่งประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม ตลอดเวลา จึงจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของครอบครัว ระบบครอบครัวแบบนี้ จะมองว่าการ เปล่ียนแปลงเป็นเรื่องปกติ และต้องการให้เกิดขึ้นเพ่ือความอยู่รอดของครอบครัว ตรงข้ามกับระบบ ครอบครัวปิดท่ีมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งคุกคามและจะต่อต้าน ครอบครัวชนิดนี้ ไม่มีความ ยืดหยุ่น ไม่แลกเปลี่ยนกับส่ิงแวดล้อมข้อมูล พลังงาน หรือแหล่งสนับสนุน อาจมีผลให้ครอบครัวไม่มี การปรับตัวและพัฒนา ส่วนครอบครัวที่เป็นทั้งระบบเปิดและระบบปิด ซ่ึงการเปิดและปิดรับส่ิง ภายนอกเข้าส่คู รอบครัวขนึ้ อยู่กบั สถานการณ์ปญั หาและความต้องการการปรับสมดุลของครอบครัว

10 6. ขอบเขตครอบครัวเป็นตัวกลั่นกรองส่ิงนำเข้าจากส่ิงแวดล้อม และสิ่งนำออกสู่ สงิ่ แวดล้อม หรือเป็นตวั ช่วยปรบั สมดุลของครอบครัว เมื่อครอบครัวมีขอบเขตท่ีเข้มงวดไม่ยอมให้เกิด การแลกเปลี่ยนครอบครัวจะขาดข้อมลู การสนับสนุน หรือแหล่งประโยชน์ทสี่ ำคัญต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการครอบครัว เช่นครอบครัวท่ีมีความรุนแรงในครอบครัว มักจะเป็นครอบครัวที่แยกตัวและ ขอบเขตปดิ ตอ่ สังคม ภายนอก ส่วนครอบครัวท่ีเปดิ รับท่ีมากเกินไปไม่กลัน่ กรองขอ้ มูลข่าวสาร หรือไม่ มีขอบเขตที่จะควบคุมการแลกเปล่ียนระหวา่ งระหวา่ งภายในและภายนอกครอบครวั มแี นวโน้มท่ีวาน วาย ไม่เป็นระเบียบในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวมีหลักยึด สับสน คับข้องใจ กังวลใจ ขาดการ สนับสนุน และมีความสัมพันธ์แบบไม่ลึกซึ้ง สมาชิกครอบครัวจึงพึ่งพาระบบส่ิงแวดล้อมภายนอก ครอบครัว เพอ่ื นบา้ น ชุมชน หรือองคก์ รภายนอกแทน 7. การปรับตัวของครอบครัว เป็นความสามารถของครอบครัวและสมาชิกในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทั้งภายนอกและภายใน เพ่ือความสมดุล ของครอบครัว โดยการรับหรือปฏิเสธข้อมูลพลังงาน เทคโนโลยี หรือบริการต่าง ๆ และการ ปรับเปลยี่ นสง่ิ เหล่าน้ี เพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการของสมาชกิ ครอบครวั ครอบครัวระบบเปิด จะปรับ ความสมดุลสิ่งนำเข้าจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายในด้วยกระบวนการสะท้อนกลับ ความสมดุล ของครอบครัวมีการปรับเปล่ียนตลอดเวลา เพื่อความเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของครอบครวั ความ ทนทานของครอบครัวทีท่ นตอ่ การเปล่ยี นแปลง จะกระตนุ้ กลไกการควบคมุ ตนเองของครอบครัว 8. ระบบย่อยครอบครัว ครอบครัวประกอบด้วยระบบย่อยต่าง ๆ ท่ีมีความเก่ียวข้อง สัมพันธ์กัน และมีปฏิสัมพันธ์กันของสมาชิกในระบบย่อย และระหว่างระบบย่อย เพื่อทำบทบาท หน้าที่ตามเป้าหมายของครอบครัว ระบบย่อยประกอบเป็นโครงสร้างพื้นฐานของครอบครัว เช่น ระบบย่อย พ่อ-แม-่ ลกู มีบทบาทหน้าทใ่ี นการอบรมเลย้ี งดบู ุตร และบุตรก็ทำหนา้ ที่ในฐานะบุตรดว้ ย 9. ในการประยุกต์แนวคิดจากทฤษฎีระบบครอบครัว มาใช้ในการพยาบาลครอบครัว พยาบาลต้องตระหนักวา่ เม่อื เกิดการเปล่ียนแปลงในครอบครัว ไม่ว่าสว่ นใดจะมีผลกระทบใหเ้ กิดการ เปลี่ยนแปลงต่อส่วนอื่นของครอบครัวด้วย ดังน้ัน การแก้ปัญหา หรือการปรับสมดุลใหม่ของ ครอบครัวจะต้องปรับท้ังระบบครอบครัว ไม่ใช่แก้ไขหรือปรับเฉพาะส่วน ถึงแม้บางครั้งจะปรับ บางส่วนก็อาจมีผลต่อการปรับส่วนอื่นๆ ด้วย เน่ืองจากแต่ละส่วนของครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กัน จึง ส่งผลกระทบต่อกันและกัน และท่ีสำคัญพยาบาลจะต้องวิเคราะห์การคงไว้ซ่ึงขอบเขตของครอบครัว กระบวนการควบคุม การสะท้อนกลับ หรือการแลกเปลี่ยนพลังงานของครอบครัวกับส่ิงแวดล้อม ตัวอย่างการเปล่ียนแปลงในครอบครัวที่มีผลกระทบต่อครอบครัวท้ังระบบท่ีพบบ่อย คือความเครียด และภาวะวิกฤต เช่น การตดิ เช้ือเอชไอวีของสามี ทำให้สามีเกิดความเครียดสงู มีผลกระทบตอ่ ภรรยา

11 ที่จะต้องมีภาระดูแลสามีที่เจ็บป่วย และหน้าท่ีในการดูแลบุตรไม่ดีเพียงพอ ผลลัพธ์คือมารดารับ บทบาทที่มากเกินไป และบตุ รขาดการดแู ลท่เี หมาะสม ทฤษฎีพัฒนาการครอบครัว (Family Development Theory) พัฒนาการครอบครัว เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับครอบครัวท่ีมีผลต่อ โครงสร้างหน้าที่และบทบาทของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของปฏิสัมพันธ์กับ สง่ิ แวดล้อมทั้งภายนอกและภายในครอบครัว อาจเน่ืองจากเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในครอบครัว เช่น การ เจบ็ ป่วย ไฟไหม้ น้ำท่วม การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมเศรษฐกิจการเมือง การเปลยี่ นแปลงระยะวงจร4. คลอด การเลี้ยงดูบุตร การแยกครอบครัวของบุตร การเกษียณอายุ และการตาย การท่ีครอบครัวจะมี การเจริญเติบโตพัฒนาการเหมาะสมนั้น ครอบครัวต้องปฏิบัติพัฒนกิจที่เหมาะกับการเปลี่ยนแปลง และการดูแลสุขภาพครอบครัวที่สอดคล้องกับระยะวงจรชีวิตครอบครัว ภาวะสุขภาพครอบครัวและ บริบททางสังคมวัฒนธรรมด้วย จึงมีข้อจำกัดในการนำกรอบแนวคิดของแบบแผนพัฒนาการ ครอบครัวที่สร้าง ซ่ึงในบริบทของสังคมหน่ึงไปอธิบายครอบครัวอีกสังคมหน่ึงส่วนใหญ่ทฤษฎี ครอบครัวพัฒนามาจากครอบครัวเด่ียว ชนช้ันกลางในสังคมตะวันตก ซึ่งอาจไม่สามารถนำไปอธิบาย ครอบครัวท่ีมีลักษณะแตกต่างกันได้ พยาบาลครอบครัวประยุกต์ทฤษฎีนี้ ในการทำความเข้าใจ ครอบครัวแต่ละระยะพัฒนาการ เพ่ือช่วยเหลือการเตรียมครอบครัวและส่งเสริมความสำเร็จการ ปฏิบัติพัฒนกิจของครอบครัว นักทฤษฎีด้านครอบครัวได้แบ่งพัฒนาการครอบครัวออกเป็นระยะ ๆ ตามวงจรชวี ิตครอบครวั ในท่ีน้ี นำเสนอระยะพัฒนาการครอบครัวและพัฒนกิจของครอบครวั เด่ียว 8 ระยะ (Duvall,1977) ดงั ต่อไปนี้ 1. ระยะครอบครัวเร่ิมต้น เป็นระยะสร้างครอบครัวใหม่ คู่สามี-ภรรยา อุทิศตนให้กับ ครอบครัวใหม่ของตนเอง พัฒนกิจระยะนี้ คือ การสรา้ งความสัมพนั ธ์แบบสามี-ภรรยา การปรับความ สมดุลของความสัมพันธท์ ี่มีกบั ครอบครัวเดิมของทงั้ สองฝ่ายและความสมั พนั ธ์กบั เพ่ือน ซึ่งจะช่วยให้คู่ สามี-ภรรยาใหมอ่ ยูใ่ นครอบครวั ใหม่อยา่ งมีความสุข และการวางแผนครอบครัว 2. ระยะครอบครัวเร่ิมเล้ียงดูบุตร เป็นระยะที่บุตรคนแรกเกิด ถึงอายุ 2.5 ปี พัฒนกิจนี้ คือ การปรบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งสามี-ภรรยา สร้างความผูกพันกับบุตรปฏิบัตบิ ทบาทหนา้ ที่ของการ เปน็ บิดามารดาในการเล้ียงดบู ุตร และการสง่ เสริมความสัมพันธ์ระหวา่ งญาติพ่นี อ้ งกับบตุ รของตน 3. ระยะครอบครัวที่มีบุตรวัยก่อนเรียน เป็นระยะที่บุตรคนแรกอายุตั้งแต่ 2.6 ปี จนถึง 6 ปี ครอบครัวระยะน้ีมีความซับซ้อนมากข้ึน พัฒนกิจระยะน้ีคือ การตอบสนองความต้องการของ สมาชิกครอบครัว การเตรียมความพร้อมของบุตรเพ่ือการเรียน การคงไว้ซ่ึงสัมพันธภาพที่ดีภายใน ครอบครวั และกับครอบครัวขยาย เพื่อนบ้าน และชุมชน การดูแลสุขภาพในระยะน้ี เช่น การป้องกัน

12 โรคติดต่อ การป้องกันอุบัติเหตุและส่งเสริมความปลอดภัยภายในบ้าน การส่งเสริมสัมพันธภาพ ระหว่างพ่ีน้องการวางแผนครอบครัว การส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโต การป้องกันการ ทอดทง้ิ ทำร้ายเด็ก 4. ระยะครอบครวั ทม่ี ีบตุ รวัยเรยี น เป็นระยะท่ีบุตรคนแรกอายุ 6-13 ปี พัฒนกิจระยะน้ี คือ การส่งเสริมสุขภาพเด็ก การส่งเสริมทักษะชีวิตและความสำเร็จด้านการเรียน และความสัมพันธ์ กับกลุ่มเพ่ือน การคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส การดูแลสุขภาพในระยะน้ี เน้นการป้องกัน โรคตดิ ต่อการป้องกันและแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็ก การป้องกันการติดสารเสพติด การส่งเสรมิ สขุ ภาพ 5. ระยะครอบครัวท่ีมีบุตรวัยรุ่น เป็นระยะท่ีส่งเสริมให้บุตรมีความเป็นตัวของตัวเอง และมเี อกลักษณ์ พฒั นกิจระยะน้ีคอื การปรบั ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและบุตรเพ่ือใหว้ ัยรุ่นมี อิสระจากครอบครัวมากขึ้น สามี-ภรรยาหันกลับมาให้ความสนใจในคู่สมรสของตนเองและอาชีพการ งานอกี คร้งั หลังจากท่ไี ดท้ ุ่มเทใหบ้ ุตรเป็นเวลานาน และการดูแลพ่อแม่ซึง่ เข้าสวู่ ัยชรา 6. ระยะครอบครัวท่ีบุตรแยกไปมีครอบครัวใหม่ เป็นระยะที่บุตรเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จึง แยกออกจากครอบครัวไปมีชีวิตเพ่ือสร้างครอบครัวใหม่ พัฒนกิจระยะน้ีคือ การยอมรับการแยกจาก ไปของบุตร การยอมรับการเข้ามาของสมาชิกใหม่ เช่น เขย-สะใภ้ สรา้ งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกบั คู่ สมรสของตน ปรับความสัมพันธ์ท่ีมีต่อบุตรให้เป็นแบบผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ ต้อนรับเขย-สะใภ้และหลาน เขา้ สูค่ รอบครวั ยอมรบั การเสอ่ื มสมรรถภาพทค่ี อ่ ย ๆ เกดิ ขึ้นรวมทงั้ การจากไปของพ่อแม่ 7 ระยะครอบครัววัยกลางคน ตั้งแต่บุตรคนสุดท้ายแยกออกจากครอบครัวไปมี ครอบครัวใหม่ ทำให้บิดามารดารู้สึกเงียบเหงา และเป็นระยะเตรียมเกษียณจากตำแหน่งการงานที่ ดำรงอยู่ เร่ิมลดภาระงานลงไม่หนักมาก ทำให้มีเวลาว่างทำกิจกรรมร่วมกันมากข้ึน พัฒนกิจระยะน้ี คือ จัดสิ่งแวดล้อมดูแลสุขภาพ หันมาดูแลสุขภาพตนเองและคู่สมรสมากข้ึน คงไว้ซ่ึงสัมพันธภาพ ระหวา่ งพอ่ แม่ การส่ือสารระหวา่ งลกู หลาน มีการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงดา้ นร่างกายและจิตใจ 8. ระยะครอบครัววัยชรา เป็นระยะท่ีย่างเข้าสู่วัยชรา พัฒนกิจระยะนี้คือ การยอมรับ การเปลี่ยนแปลงในบทบาทของตน ในฐานะวัยชรา แสวงหาบทบาทใหม่ท่ีเหมาะสมกับวัยชรา พยายามคงไว้ซงึ่ ประสิทธิภาพในการทำงานและความกระตือรือร้นในชีวิต จัดการแบ่งปันทรพั ย์สินให้ บุตรหลานอย่างเหมาะสม ปรับตัวและจัดการกับความสูญเสีย เนื่องจากการตายของคู่สมรส ญาติพ่ี น้องหรือเพ่ือนฝูง เตรยี มตัวเตรียมใจสำหรับวาระสุดท้ายของชีวิตตนเอง ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าทขี่ องครอบครวั (structural-functional theory) แนวคดิ ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าทข่ี องครอบครัว ซ่ึงมีสาระสำคญั ของทฤษฎีโครงสร้างและ หน้าท่ี คือระบบทุกระบบเกิดข้ึนและดำรงอยู่โดยมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของระบบ และมีลักษณะ

13 โครงสร้างของระบบที่แตกต่างกัน ท้ังโครงสร้างบทบาทหน้าที่ การสื่อสาร อำนาจ ค่านิยมประเพณี วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ลักษณะสำคัญของทฤษฏีโครงสร้างและหน้าท่ี คือ สังคมดำรงอยู่ได้ เน่ืองจากได้รับการตอบสนองหน้าท่ีท่ีจำเป็น เพ่ือความอยู่รอดของสังคมในระดับใดระดับหนึ่ง ระบบ ย่อยในสังคมจะทำหน้าที่ร่วมกันเพื่อให้สามารถตอบสนองหน้าท่ีท่ีจำเป็นของสังคม หน้าท่ีพื้นฐาน เหล่านั้นเป็นสิ่งท่ีทุกสังคมและทุกครอบครัวต้องปฏิบัติ บุคคลในครอบครัวเป็นหน่วยย่อยท่ีมีหน้าที่ ช่วยกันตอบสนองหรือทำหน้าที่ของสังคมใหญ่ให้ลุล่วงไปได้ บุคคลและสังคมได้รับการดูแลจาก ครอบครวั และระบบสังคม โครงสร้างครอบครัว (Friedman, Bowden, & Jones, 2003, pp. 124-125) แบ่ง โครงสรา้ งครอบครวั ดังน้ี 1. บทบาทครอบครัว เป็นส่ิงท่ีบุคคลแสดงถึงพฤติกรรมบ่งช้ีถึงการครองสถานภาพที่ ตนเองดำรงอยู่ โครงสรา้ งบทบาททดี่ จี ะมลี ักษณะดังนี้ 1.1 บทบาทของคู่สมรส บทบาทที่ปฏิบัติในครอบครัวไม่ขัดแย้งกับส่ิงที่สังคม ภายนอกคาดหวัง เช่น บทบาทในการหารายได้ บทบาทในการเลี้ยงดูบุตร บทบาทในหารดูแลบ้าน บทบาทในการสนั ทนาการ บทบาทในสมั พนั ธภาพกบั เครือญาติ บทบาทในการอบรมวินัยบุตร 1.2 การแสดงบทบาทของสมาชิกแต่ละคนมีความสอดคล้องกันและช่วยเสริม บทบาทซึ่งกันและกนั 1.3 การแสดงบทบาทของสมาชิกแต่ละคนมีความชัดเจน สามารถตอบสนองความ ตอ้ งการของสมาชกิ แต่ละคนได้ 1.4 สมาชกิ สามารถปรับบทบาทได้เพอื่ ให้เกดิ ความสมดุลเม่ือมีความจำเป็น 2. ระบบค่านิยม เป็นระบบความคิด ความเช่ือทัศนคติ ของสมาชิกในครอบครัวท่ีมีการ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซ่ึงแหล่งที่มาในการเรียนรู้ปลูกฝังค่านิยม จะมาจากครอบครัว โรงเรียนศาสนา ชุมชน เป็นต้น ค่านิยมเป็นส่ิงที่เชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างทางสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน ครอบครวั ซึ่งมีความแตกต่างกนั ไปของแต่ละครอบครวั 3. ระบบการสื่อสาร ในการอยู่รวมกันของครอบครัวจะต้องมีวิธี หรอื รูปแบบการสื่อสาร ท่ีเฉพาะของตนเอง ซ่ึงการสื่อสารนั้นเป็นกระบวนการท่ีจะทำให้สมาชิกในครอบครัวมีการรับรู้ ขา่ วสาร ความคิดเห็น ค่านิยม อารมณ์ ความรู้สึก ของกันและกัน รปู แบบการส่ือสารในครอบครัวจะ แสดงถงึ การมีปฏิสัมพันธ์ 4. โครงสร้างอำนาจ ในครอบครัวทุกครอบครัวจะมีโครงสร้างอำนาจยู่ และอำนาจนั้น จะหมายถึงสมาชิกคนใดคนหนึ่งสามารถท่ีจะควบคุมหรือแสดงอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้อ่ืน ซ่ึง โครงสรา้ งอำนาจจะประกอบดว้ ย ฐานอำนาจการตัดสินใจ ปัจจัยอืน่ ๆ

14 หน้าที่ครอบครัว 1. หน้าที่ด้านความรักเอาใจใส่ เป็นการตอบสนองความต้องการของสมาชิก แสดงออก โดย การให้ความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่แก่สมาชิก เพื่อให้สมาชิกมีสุขภาพจิตดี มีบุคลิกภาพ มัน่ คง 2. หน้าที่ในการอบรมเล้ียงดู การอบรมเลี้ยงดู เป็นกระบวนการพัฒนาแบบแผน พฤติกรรมของสมาชิกเพื่อเป็นการปลูกฝังส่งเสริมลักษณะนิสัยท่ีดีงาม การวางตนตามบทบาทหน้าที่ เหมาะสม การเรียนรู้ระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้เด็กพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมี คณุ ภาพในอนาคต 3. หน้าท่ีในการดูแลสุขภาพ เป็นหน้าท่ีโดยตรงของครอบครัวในการดูแลสุขภาพท้ัง ภาวะสุขภาพปกตแิ ละเจบ็ ปว่ ย ท้ังการสง่ เสรมิ ปอ้ งกัน รกั ษา และฟืน้ ฟสู ขุ ภาพ 4. หน้าที่ในการผลิตสมาชิกใหม่ เป็นหน้าท่ีในการสืบเผ่าพันธ์ุเชื้อสายของมนุษย์ สำหรบั ครอบครวั หน้าทนี่ ี้เปน็ การสบื สกุล ใหค้ รอบครวั ดำรงต่อไป 5. หนา้ ท่ีในการเผชิญปัญหา เพื่อคงไวซ้ ึ่งสมดุลในครอบครัว เนื่องจากตลอดการดำเนิน ชีวิตครอบครัว จะถูกรบกวนจากส่ิงแวดล้อมท้ังภายในและภายนอก ซ่ึงอาจเป็น บุคคล สิ่งของ หรือ เหตกุ ารณ์ท่ีทำใหเ้ ครยี ด สงิ่ ท่อี าจรบกวนความสงบสุขของครอบครวั เชน่ การเสยี ชวี ิตของคู่ครอง การ หย่าร้าง 6. หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เพื่อนำมาใช้จ่ายอย่างเหมาะสมมี ประสิทธิภาพ เช่น การจัดหาเส้ือผ้า อาหาร เคร่ืองนุ่มห่มที่อยู่อาศัย ตลอดจนหาแหล่งประโยชน์ของ ครอบครัวและวางแผนทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัวให้มีเงินสำรองใช้เม่ือคราวจำเป็น นอกจากนี้ ยงั เป็นการจดั สงิ่ จำเปน็ ต่อการดำรงชีพและการปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจำวนั อยา่ งเพยี งพอ 7. หน้าที่ในการจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานทางกายภาพสำหรับสมาชิก การจัดหาส่ิงจำเป็น ในการดำเนนิ ชวี ติ สาหรบั สมาชิกในครอบครัว ได้แก่ ปัจจยั ส่ี (อาหาร เคร่ืองนุ่งหม่ ยารกั ษาโรค และท่ี อยู่อาศัย) และบรกิ ารเกี่ยวกับสขุ ภาพอนามัย นนั ทนาการ และงานอดเิ รก การศึกษาทฤษฎีโครงสร้างและหน้าท่ีของครอบครัว จะพบว่า ระบบทุกระบบเกิดขึ้น และดำรงอยู่โดยมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของระบบ และมีลักษณะโครงสร้างของระบบที่แตกต่างกัน และ เม่ือพิจารณาครอบครัวพบว่าครอบครัวมีลักษณะเป็นระบบเปิดท่ีมีปฏิสัมพันธ์ท้ังกับ ภายในและ ภายนอกครอบครัว มเี ป้าหมายในการเกิดและดำรงอยู่ของครอบครัวแตกตา่ งจากระบบอื่นๆ รวมท้ังมี โครงสร้างของระบบครอบครัวที่มีลักษณะเฉพาะ ดังนั้นการศึกษาลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของ ครอบครัวจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของระบบครอบครัวโดยรวม ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ ปัญหาครอบครัวและให้การช่วยเหลือได้ และยังเป็นการนำระบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบย่อย

15 ต่างๆภายในครอบครัวมาวิเคราะห์และพิจารณาถึงการจัดองค์กรภายในครอบครัว ความสัมพันธ์ซึ่ง กันและกันขององค์ประกอบย่อยในครอบครัวที่มีต่อโครงสร้างครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่าง ครอบครวั กบั กลมุ่ เครือญาติ รวมทงั้ ความสัมพันธร์ ะหว่างครอบครวั กบั ระบบสงั คมอนื่ ๆ ในชุมชนด้วย ทฤษฎีปฏิสมั พนั ธ์ในครอบครัว (family interaction theory) ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว มาจากทฤษฎีหลักด้านสังคมศาสตร์เรียกว่า Symbolic interaction ของ Blumer (1969, pp. 179-192) ซ่ึงประกอบด้วย 3 แนวคิดพื้นฐานคือ 1) การ ตอบสนองของมนุษย์ต่อส่ิงแวดล้อมอ่ืน เช่น บุคคล ความคิด และส่ิงอ่ืนในชีวิตประจำวัน เป็นไปตาม ความหมายของสิ่งเหล่าน้ันที่มีต่อเขา 2) ความหมายที่อธิบายส่ิงเหล่านั้นได้มาจากการปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม และ 3) ความหมายของสิ่งอ่ืนเหล้านั้นขึ้นอยู่กับกระบวนการแปลความหมายของแต่ละ บุคคล ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว เน้นบทบาทครอบครัวและการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมระหว่างสมาชิกสองคนข้ึนไปนำสู่การปฏิบัตบิ ทบาท (Tumer, 1970) ตลอดกระบวนการปฏิบัติ บทบาท สมาชิกพัฒนาบทบาทของตนเองและครอบครัว สมาชิกในครอบครัว แต่ละคนถูกคาดหวงั ให้ แสดงบทบาทตามท่ีครอบครัวกำหนด สมาชิกเรียนรู้บทบาทครอบครัวจากประสบการณ์และการ อบรมเล้ียงดจู ากครอบครวั ในบรบิ ทสงั คมนัน้ ๆ และการแสดงบทบาทข้นึ อยกู่ ับการรบั รู้ความต้องการ และความคาดหวังของครอบครัวโดยรวมและการปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกอื่นในครอบครัว เช่น ผู้ดูแล สมาชิกครอบครัวท่ีป่วยเรื้อรังแสดงบทบาทการดูแลจากประสบการณ์และเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์ กับผู้ป่วย และสมาชิกอื่นในครอบครัวหรือบุคลากรสุขภาพ ปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวจะช่วยกำหนด ความคาดหวังของบทบาทที่เป็นจริงมากข้ึน และการปฏิบัติบทบาทอย่างเหมาะสมมากข้ึน ช่วย ครอบครัวในระยะเปลี่ยนผ่านของพัฒนาการและช่วยลดการปฏิบัติบทบาทท่ีมากเกินไปหรือบทบาท ตงึ เครียดลงได้ การประเมินครอบครัวตามกรอบแนวคิดปฏิสัมพันธ์ เช่น การส่ือสารระหว่างสมาชิก ครอบครัว บทบาทครอบครวั อำนาจครอบครัว การเผชญิ ปญั หาของครอบครัว ความสัมพันธร์ ะหว่าง คูส่ มรส บิดา- มารดา-บตุ ร และพี่-นอ้ ง ตลอดจนแบบแผนการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว ทำให้เข้าใจ ปฏิสัมพันธ์ของครอบครัวและมีประโยชน์มากสำหรบั การวางแผนการปฏิบัติการพยาบาลที่สอดคล้อง กับความต้องการของครอบครัว ทั้งในมิติของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน การรักษา และฟื้นฟู สุขภาพ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดาและบุตรBarnard (1997, pp 249-270) กล่าวว่า ในขณะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและทารก บิดามารดาหรือผูด้ แู ล แสดงบทบาทเปน็ ตัวกลางของ

16 การกระตุ้นทารกให้สนใจ เรียนรู้ และตอบสนองต่อบิดามารดาหรือผู้ดูแล การตอบสนองของผู้ดูแล ด้วยเสียงหรือสัมผัสจะเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมทารกในระยะเริ่มแรก สร้างภาวะสนใจร่วม และ สง่ เสรมิ พัฒนาการในการติดต่อสอื่ สารของเดก็ โดยได้สรา้ งเป็นรปู แบบเรียกว่า Barnard Model เป็น รูปแบบการปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งบิดามารดาและบุตร ประกอบด้วยแนวคิดสำคัญ 6 ประการ คอื 1. การตอบสนองที่สอดคล้องกัน (contingency) เป็นกระบวนการหน่ึงในการปรับ พฤติกรรมในขณะปฏิสัมพันธ์ เช่น เม่ือมารดาพูด ทารกหันมาฟัง เป็นพ้ืนฐานสำคัญในการพัฒนา รูปแบบการส่ือสาร การที่มารดาจะตอบสนองอย่างเหมาะสม มารดาต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมการ แสดงออกของทารก 2. การจัดท่า (positioning) เป็นมิติสำคัญของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก เพราะท่าเป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ของทารก ท่าที่เหมาะสมขณะปฏิสัมพันธ์ คือทารกต้อง สามารถเคลอ่ื นไหวสะดวกและปลอดภัย และเขา้ ถงึ ด้วยการควา้ จบั หรอื มองเห็น 3. การพูด (verbal) ซ่ึงถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการปฏิสัมพันธ์ เสียงหรือ คำพูดของมารดาจะกระตุ้นความสนใจของทารก และส่งเสริมการเจริญเติบโตทางสติปัญญา อารมณ์ และสงั คมของทารก 4. ความไวต่อพฤติกรรมการแสดงออกของทารก (sensitivity) มารดาต้องสังเกตความ พร้อม ความสนใจ ความเหน่ือยล้า ความหิว และความต้องการท่ีจะเปล่ียนแปลงหรือความต้องการ หยุด ปฏิสัมพันธ์ ถ้ามารดาเข้าใจความต้องการเหล่าน้ีของทารกจะช่วยให้มารดามีความไวต่อการ ตอบสนองตอ่ พฤติกรรมการแสดงออกของทารกและตอบสนองเหมาะกบั ความต้องการของทารก 5. การแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก (affect) เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกของมารดาและทารกท่ีเป็นผลจากคุณภาพของรูปแบบการส่ือสาร ซ่ึงการแสดงออกทาง อารมณ์ทางบวกอาจจะง่ายต่อการสังเกตและเข้าใจ เชน่ ยิ้มหรือหวั เราะ ส่วนอารมณ์ทางลบอาจจะไม่ งา่ ยต่อการสังเกตและเข้าใจ เช่น ความคับขอ้ งใจ โกรธ หรอื เศร้า อยา่ งไรก็ตาม อารมณ์ท้ังสองดา้ น มี ความสำคญั ต่อทารกในการที่จะเรียนร้จู ักตวั เองและคนอ่ืน 6. ความต้องการ/ไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ (engagement/disengagement) ปกติเม่ือ บุคคลอยใู่ นภาวะที่มคี วามพึงพอใจ บุคคลก็จะสนใจร่วมกิจกรรม แต่เมอื่ มีสงิ่ เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วหรือ มีอำนาจกดดันมากเกินไปจะทำใหบ้ ุคคลถอยหนีและปกปอ้ งตนเอง ซึ่งแบบแผนการถอยหนีและความ ให้ความสนใจเป็นพื้นฐานในการควบคุมกระบวนการปฏิสัมพันธ์ เช่น เมื่อทารกได้รับการกระตุ้น ท่ีมากเกนิ ไป ทารกจะแสดงพฤติกรรมถอยหนี หรอื ไม่ตอ้ งการมีปฏสิ ัมพันธ์

17 บทบาทหน้าท่ขี องพยาบาลชุมชนในการดแู ลครอบครวั พยาบาลสามารถแสดงบทบาทอิสระในการดูแลสุขภาพของครอบครัว โดยใช้กระบวนการ พยาบาลที่ประกอบด้วย การประเมินครอบครัว วิเคราะห์ปัญหาหรือความต้องการทางด้านสุขภาพ ของครอบครัว วางแผนการดูแลสุขภาพครอบครัว ปฏิบัติการพยาบาลตามแผน และประเมินผลการ พยาบาลครอบครัว โดยให้ความสำคัญกับแนวคิด ครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการดูแล (Family- Centered Care) มุ่งเสรมิ สร้างมมุ มองหรือทศั นคติของความเปน็ หุ้นส่วนร่วมกันระหวา่ งครอบครัวกับ บคุ ลากรสุขภาพในการดูแลสุขภาพ เสริมสรา้ งการมีส่วนร่วมของครอบครัว มุ่งค้นหาและดึงศักยภาพ เพิ่มความเข้มแข็งหรือความสามารถในการพ่ึงตนเองทางในการดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว ท่ีเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับบริบทหรือวิถีชีวิต เง่ือนไขหรือข้อจากัดของครอบครัว อีกทั้งปรับหรือ ประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยหี รือภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น/พน้ื บ้านในการสร้างเสรมิ สุขภาวะของครอบครวั บทบาท หนา้ ท่ีโดยรวม มีดังนี้ (ยพุ า จิว๋ พัฒนกลุ , 2559, หน้า 133-139) 1. ผ้ใู ห้บรกิ าร (health care provider/providing direct care) พยาบาลต้องมีความสามารถในการให้บริการพยาบาลครอบครัว เป็นบทบาทให้บรกิ าร ในการดูแลสุขภาพครอบครัวแบบองค์รวม ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล ครอบครัว โดยเน้นการป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย การประเมิน ภาวะสุขภาพ การ เจ็บป่วยและปจั จัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพของผู้ป่วยและครอบครัว บทบาทในการประเมิน ผู้รับบริการ การวางแผนการดูแลหรือการพยาบาลท้ังระยะส้ันและระยะยาว การปฏิบัติการพยาบาล ได้แก่ กิจกรรมการพยาบาลต่าง ๆ และการประเมินผลบริการที่ให้แก่ผู้รับบริการสุขภาพที่บ้านทั้งแก่ บุคคล ครอบครวั และชมุ ชน 2. ผใู้ หค้ วามรู้ ผสู้ อนสุขศึกษา (health educator or health teacher) พยาบาลต้องสามารถให้คำแนะนำและขอ้ มูลต่าง ๆ ด้านสุขภาพ โดยการให้ข้อมลู ที่ช่วย ให้ผู้รับบริการสามารถคิดตัดสินใจและช่วยเหลือตนเองได้ การทำการสอนหรือให้ความรู้ด้านสุขภาพ อนามัยทั้งแบบท่ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการแก่บุคคล ครอบครัว อีกทั้งแนะนำกระตุ้นสนับสนุน ให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจ สามารถดูแล ช่วยเหลือตนเองได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการใช้และดัดแปลงประยุกต์ใช้อุปกรณ์ต่างๆเพ่ือให้ผู้ป่วย สามารถใช้ชีวิตความเป็นอยู่ได้อย่างปกติ ดังน้ันพยาบาลครอบครัวควรแสดงบทบาทการเป็นผู้ให้ ข้อมูลด้านสุขภาพแก่ผู้รับบริการ ซึ่งสามารถให้ข้อมูล โดยวิธีการสอน ท้ังการสอนเป็นกลุ่ม การจัด

18 อบรม การสอนส่วนบุคคล การพูดคุยสนทนา ในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพอนามัย และการ ป้องกันโรค ชว่ ยใหค้ รอบครัวเกดิ ทักษะในการเผชญิ ปญั หาหรือแก้ไขปญั หาท่ีเกดิ ข้นึ ในครอบครัว 3. ผใู้ ห้คำปรึกษาแก้ปญั หาตา่ ง ๆ (health consultant) การให้คำปรึกษาแก่ผู้รับบริการและผู้ดูแลในสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดูแลสุขภาพที่ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเป็นปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพภาพและปัญหาอื่นๆ ให้บุคคลและ ครอบครัวแก้ไขปัญหาสุขภาพหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพ่ือเสริมสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ป่วยและ ญาติให้สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมถึงพยาบาลสามารถทำหน้าที่เป็นท่ีปรึกษาให้ พยาบาลดว้ ยกนั และเจ้าหนา้ ทบี่ รกิ ารสุขภาพอ่ืน ๆ เช่น แพทย์ ครู นกั สงั คมสงเคราะห์ 4. ผู้ใหก้ ารพยาบาลและนเิ ทศการปฏบิ ัติการพยาบาล (deliver and supervisor) นอกจากบทบาทในการดูแลร่างกายผู้ป่วยในฐานะผู้ท่ีมีความชำนาญท้ังความรู้และ ทักษะ เน้นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งกระบวนการประเมิน การวางแผน การปฏิบัติและการ ประเมินผลท่ีให้แก่สมาชิกและครอบครัว โดยต้องสอดคล้องกับบริบทของครอบครัว รวมถึงการนิเทศ แก่ผู้ร่วมวิชาชีพที่ต่ำกว่า หรือสอนญาติให้ทำแผลเมื่อผู้ป่วยกลับบ้าน หรือผู้ป่วยที่ต้องรับการดูแล ต่อเนอ่ื งทบี่ า้ น 5. การเป็นแบบอยา่ ง (role model) พยาบาลครอบครัวจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ครอบครัว ในด้านสุขภาพ การดูแล ตนเองการให้คุณค่าในการดูแลสุขภาพท่ีเหมาะสม โดยพยาบาลต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สมาชิกใน ครอบครัวท่เี จ็บป่วยท้ังเป็นแหล่งข้อมลู ด้านสขุ ภาพ ท่ีส่งผลในการดำเนินชวี ิตครอบครวั เพ่ือสุขภาวะที่ ดีของครอบครัว และเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพท่ีเหมาะสมท้ังด้านการส่งเสริม สุขภาพและการดูแลตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นแบบอย่างในเร่ืองอื่น ๆ เช่น การดำเนินชีวิตตามแนว พทุ ธศาสนา เป็นแบบอย่างผู้มคี ุณธรรมจริยธรรม เปน็ แบบอย่างในความเอ้ืออาทรในความเปน็ มนุษย์ ด้วยกัน ทั้งนี้พยาบาลควรปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างท่ีดีในการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออก กำลังกายทกุ วนั หลกี เลี่ยงการสบู บหุ ร่ี การไม่ด่ืมเคร่ืองดมื่ แอลกฮอล์ 6. เป็นผู้รักษาผลประโยชนห์ รือสิทธขิ องครอบครัว (family advocate) พยาบาลจะต้องเป็นผู้พิทักษ์สิทธ์ิของครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวได้รับประโยชน์สูงสุด สง่ ผล ต่อภาวะสุขภาพทด่ี ี ซง่ึ การพิทักษ์สิทธิ์นท้ี ำได้ในหลายรปู แบบ ไดแ้ ก่

19 6.1 สง่ ตอ่ ให้ไดร้ ับบรกิ ารท่ีเหมาะสม เช่น ในรายท่ียากจนสง่ พบนักสังคมสงเคราะห์ 6.2 ช้ีแจงรายละเอยี ดทค่ี รอบครัวพงึ มพี งึ ได้ เชน่ การจา่ ยคา่ ทดแทน 6.3 ช้ีแจงถึงแหล่งประโยชน์ท่ีมีบริการในชุมชนเพ่ือให้ครอบครวั รับร้ขู ้อมูลข่าวสารเพื่อ ประกอบการตัดสนิ ใจขอความช่วยเหลอื 7. เป็นผรู้ ว่ มงาน (collaborator) ในการพยาบาลครอบครัวนนั้ บางครงั้ พยาบาลมใิ ช่เป็นผ้ทู ่ดี ูแลหลกั แตเ่ ป็นสมาชิกผู้หน่ึง ในทมี สุขภาพ พยาบาลไมไ่ ด้ทำเพียงคนเดยี วตอ้ งทำงานร่วมกับผู้อน่ื ทีส่ ามารถเป็นแหล่งประโยชน์ของ ครอบครวั ได้ เพ่อื ประโยชนข์ องผู้รับบรกิ าร ดังนัน้ พยาบาลจะต้องเป็นท้ังผู้นำและเป็นผู้ร่วมทีมกับคน อ่ืนได้ โดยปฏิบัติตนและร่วมตัดสินใจร่วมกับคนอื่นๆ ในทุกขั้นตอนของกระบวนการพยาบาล โดยเฉพาะอย่างย่ิงในการวางแผนแก้ไขปัญหาการดแู ลสขุ ภาพทบ่ี า้ น จำเปน็ ต้องรว่ มกนั ทงั้ ผู้รบั บรกิ าร ครอบครวั ผูใ้ หบ้ รกิ ารสขุ ภาพอน่ื ๆ 8. ผู้ประสานงาน (coordinator) ในการดำเนินงานพยาบาลต้องทำหน้าที่ร่วมกับทีมสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลต้องสามารถ เป็นผู้ประสานงานทั้งภายในทีมสุขภาพและไม่ใช่ทีมสุขภาพ รวมทั้งระหว่างทีมสุขภาพ ผู้ป่วย ญาติ หรือผ้ดู แู ลและครอบครวั เพ่ือใหก้ ารช่วยเหลอื ผู้ป่วยใหไ้ ดร้ ับการดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งลกั ษณะการทำ หน้าท่ปี ระสานงาน ในการดูแลผู้ปว่ ยและครอบครวั ดังนี้ 8.1 การส่งต่อผู้รับบริการไปยังแหล่งบริการอ่ืน ซ่ึงพยาบาลในฐานะผู้ประสานงาน จะต้องทราบบทบาทหน้าท่ีของบุคลากรต่างๆ ของทีมสุขภาพอื่น เช่น นักกายภาพบำบัด นักสังคม สงเคราะห์ นักอาชีวะบำบัด เป็นต้น และจะต้องมีความรเู้ กี่ยวกับบริการในแต่ละหน่วยงานของแหล่ง ประโยชนใ์ นชุมชนเพอ่ื ใหก้ ารสง่ ต่อมีประสิทธิภาพ 8.2 การประชุมปรึกษารายกรณี พยาบาลจะตอ้ งจดั ให้มกี ารประชุมเพื่อปรึกษาเปน็ ราย ๆ ไป เพ่ือเป็นการแลกเปล่ียนข้อมูล ในเร่ืองแผน ผล และการพัฒนาแนวทางการรักษา การกำหนด เป้าหมายในการดูแลผู้รับบริการที่บ้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจัดประชุมอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็น ทางการกไ็ ด้

20 9. เปน็ ผวู้ างแผนการจำหนา่ ยผปู้ ่วย (discharge planner) พยาบาลจะต้องวางแผนเกี่ยวกับความต้องการของผู้ป่วยหลังจากออกจากโรงพยาบาล อยา่ งเหมาะสม โดยใชข้ ้อมูลเกีย่ วกบั สภาพบ้านและแหล่งประโยชน์ทมี่ ใี นชมุ ชน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถ กลบั มาใชช้ วี ติ ในชุมชนได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม 10. เป็นผู้ค้นหากลุ่มเสี่ยงผู้เจ็บป่วยตามหลักวิทยาการระบาด (case finder and epidemiologist) เป็นการค้นหาผู้ท่ีมีความเส่ยี งหรือเจ็บป่วยภายในครอบครัว ร่วมกบั ทีมสหสาขาวชิ าชีพ เพื่อต้องการค้นหาปัญหาสุขภาพและให้บริการสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง และให้การดำเนินการ ให้บริการดูแลสุขภาพท่บี ้านตามความจำเปน็ และตามความเหมาะสม 11. เป็นผสู้ นบั สนุน (supporter) พยาบาลควรสนับสนุนครอบครัวให้สามารถดูแลตนเองและพ่ึงพากันเองภายใน ครอบครัวอย่างต่อเน่ือง และพยาบาลต้องคอยหาแหล่งประโยชนต์ ่าง ๆ ในชุมชน ที่จะสามารถให้การ สนับสนุนให้กับครอบครัวและชุมชน ซึ่งแหล่งประโยชน์นั้นเป็นท้ังทรัพยากร หรือเงิน หรือคน หรือ หน่วยงาน เพ่ือสนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื ให้ผู้ปว่ ยและครอบครวั สามารถทจ่ี ะดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม 12. เปน็ ผู้นำการเปลย่ี นแปลง (change agent and leader) พยาบาลควรมีศกั ยภาพในการวเิ คราะห์ผู้รับบรกิ าร พยาบาลควรวางตนเป็นแบบอย่างที ดีใหก้ ับครอบครวั เป็นผ้นู ำในการดูแลสุขภาพที่ดีให้กบั ครัวและชุมชน เพอ่ื ส่งเสริมโน้มน้าวให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูสุขภาพภายในครอบครัวให้ดีขึ้น และเกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีอย่าง ชัดเจน พยาบาลควรมีความยืดหยุ่น ปรับเปล่ียนกระบวนการทำงานได้ มีความคิดสร้างสรรค์ และมี ความสามารถในการดึงผู้รับบริการเข้ามามีส่วนร่วม โดยพยาบาลควรมีการวางแผนการดำเนินงาน และเตรียมแผนสำรองไว้ล่วงหน้า มีการกำหนดกลยุทธ์ในการเปล่ียนแปลง สามารถหลีกเลี่ยง เหตุการณ์ที่เป็นอุปสรรคของการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้รับบริการ รู้เท่าทันการเจ็บป่วยในครอบครัว เรียนรู้และเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความเจ็บป่วยท่ีเกิดขึ้นในครอบครัว และสามารถตัดสินใจเลือก วิธกี ารดแู ลครอบครัวอย่างเหมาะสม

21 13. เป็นนกั วิจัย (researcher) พยาบาลควรให้ความสำคัญกับการทำวิจยั เพ่ือช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางดา้ นการดูแล ครอบครัว และนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ปรับปรุงการพยาบาลครอบครัว บทบาทนี้ เก่ียวข้องกับการนำกระบวนการพยาบาลไปใช้ในการดูแลสุขภาพที่บ้านทัง้ ในข้ันตอนของการประเมิน วางแผน ดำเนินการ และประเมินปัญหาสุขภาพครอบครัว และการแก้ไข การวิจัยจะช่วยในการ วิเคราะห์ข้อเท็จจริงทุกขั้นตอนในกระบวนการพยาบาลเพ่ือให้การดูแลสุขภาพที่บ้านมีประสิทธิภาพ และมีการพฒั นาให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของสงั คม 14. เป็นผู้จดั การเฉพาะราย (case manager) พยาบาลมบี ทบาทสำคัญในการจัดการบริหารการดูแลครอบครัวที่มสี มาชิกเจ็บป่วยให้มี คุณภาพ ให้บริการครอบคลุม ท่ีประสานเสริมสร้างพลังอำนาจและสร้างความร่วมมือกับครอบครัว ด้วยรูปแบบบริการสขุ ภาพท่ีชัดเจน เช่นการทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข และมอบหมายงาน อย่างเป็นลำดับขั้นตอนให้อาสาสมัครสาธารณสุขดูแลสมาชิกในครอบครัว โดยมีเป้าหมายเพ่ือให้ ครอบครัวได้รับบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเน่ืองครบถ้วน ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ขณะเดียวกันก็ต้อง ไม่ให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ผู้จัดการเฉพาะรายต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ผู้รับบริการและให้ความรู้ เป็นผู้ประสานการดูแล รอบรู้และเก่งทางคลินิกเฉพาะโรค มีมนุษย์สัมพันธ์และการสื่อสารกับบุคคล อื่นอันดีเยี่ยม เป็นนักเจรจาต่อรอง มุ่งพิทักษ์สิทธ์ิ อำนวยความสะดวกในการดูแลครอบครัว จัดการ ดแู ลครอบครัวอย่างต่อเน่ือง มีการส่งต่อไปรับการรักษา บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพท่ี เหมาะสมกับภาวะการเจ็บป่วย ประเมินภาวะจิตสังคมของครอบครัว รวมถึงการทำวิจัยและ พฒั นาการปฏบิ ตั ิการพยาบาลครอบครวั โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ 15. เปน็ ผ้ปู รับเปลย่ี นสิ่งแวดลอ้ ม (environmental modifier) พยาบาลต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาครอบครัวรวมทั้งบุคลากรสุขภาพอื่นในการปรับเปลี่ยน สิ่งแวดล้อม เช่น การจัดบ้านให้เหมาะสมกับผู้อายุเฉพาะโรค การจัดสิ่งแวดล้อมในชุมชน การปรับ สถานท่ีในการออกกำลังกายในชุมชน การทิ้งขยะให้เป็นท่ีรวมถึงการกำจัดขยะ การกำจัดแหล่ง เพาะพันธ์ุยุง

22 กระบวนการพยาบาลครอบครัว การให้บริการพยาบาลครอบครัว เป็นบทบาทหนึ่งที่พยาบาลชุมชนจะต้องปฏิบัติ เพ่ือ ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของบุคคลในครอบครัว ภายใต้ขอบเขตวิชาชีพ โดยใช้ กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน และยึดหลักการดแู ลแบบองค์รวม ใช้ครอบครัว เป็นศูนย์กลาง เน้นความต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน กระบวนการพยาบาล ครอบครัว เป็นกระบวนการท่ีประกอบด้วย การประเมินภาวะสุขภาพครอบครัว การวินิจฉัยปัญหา ครอบครัว การวางแผนการพยาบาลครอบครัว การให้บริการพยาบาลครอบครัว และการประเมินผล การพยาบาล แตล่ ะขัน้ ตอนมรี ายละเอยี ดดังน้ี 1. การประเมินครอบครัว การประเมินครอบครัว (Family Assessment) เป็นกิจกรรมขั้นแรกที่สำคัญท่ีมี เป้าหมายในการรวบรวมขอ้ มลู ครอบครัวใหไ้ ด้สมบูรณ์ เพยี งพอที่จะนำมาใชใ้ นการวิเคราะห์หาปัญหา ของครอบครัวท่ีแท้จริง รูปแบบการประเมินครอบครัวสำหรับการปฏิบัติการพยาบาลทั่วไปมีหลาย รูปแบบ ซึ่งในท่ีนี้จะนำเสนอรูปแบบของ Calgary family Assessment model: CFAM (Wright & Leahey, 2009) ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ โครงสร้างของครอบครัว พัฒนาการ และ หน้าท่ีของครอบครัวตามพนั ธกิจ ตอ้ งมีการรวบรวมขอ้ มูลสามารถใชว้ ิธกี ารรวบรวมท่ีหลากหลาย เช่น การสอบถาม การสังเกต การตรวจร่างกาย เป็นต้นและมีเครื่องมือท่ีเหมาะสม เช่น แบบบันทึกการ สงั เกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ เปน็ ตน้ ข้อมลู ที่ต้องรวบรวม โดยมีรายะละเอียดในการประเมิน ครอบครวั ดังน้ี 1.1 ข้อมูลท่ัวไป ข้อมูลทั่วไปของครอบครัว ระบุชื่อครอบครัว ท่ีอยู่ท่ีสามารถติดต่อได้ แผนที่ที่ต้ังของบ้าน โดยสังเขป ประกอบด้วย เส้นทางคมนาคม และสถานที่ใกล้เคียง เช่น วัด โรงเรียน ตลาด สถานบริการสุขภาพ 1.2 โครงสร้างภายในครอบครัว เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ระบุ รายละเอียดของสมาชิกทุกคนท่ีอยู่อาศัยในครอบครัวตามความเป็นจริง ประกอบด้วย ชื่อ สกุล อายุ เพศ สถานะ สถานภาพ การศึกษา ศาสนา เชื้อชาติ สัญชาติ อาชีพ รายได้ และภาวะสุขภาพใน ปจั จุบนั 1.3 โครงสร้างพันธุกรรมครอบครัวหรือผังเครือญาติ (Family Genogram) เขียน แผนผังของครอบครวั ปัจจุบนั ที่ประกอบด้วยสมาชกิ 3 รนุ่ ของครอบครวั ฝา่ ยเดิมบิดา และครอบครัว

23 ฝ่ายเดิมของมารดาโดยระบุภาวะสุขภาพ อายุ สถานภาพในครอบครัว ของสมาชิกแต่ละคน และใช้ สัญลกั ษณ์แทนดงั ภาพ แทน ผชู้ าย แทน ผหู้ ญงิ แทน แยกกันอยู่ แทน การหย่า แทน การเสยี ชีวิต แทน ลกู แฝด แทน การแท้ง ช/ด แทน มชี ีวติ /สขุ ภาพดี แทน บุคคลที่ศึกษา ----------------- แทนครอบครัวที่ศกึ ษา ภาพท่ี 4.1 สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ช้แทนในแผนผังเครอื ญาติ ที่มา: จนิ ตนา วชั รสินธ์ุ, 2550, หน้า 89 โครงสร้างพนั ธุกรรมครอบครัว (Family Genogram) ป่ ู 82 ปี ย่า68 ปี ตา 70 ปี ยาย 60 ปี โรคชรา 60ปี เบาหวาน 56ปี มะเรง็ ลาไส้ ปี รถควา่ ช/ด ช/ด 30 บิด บดิ า า 40 ภาพที่ 4.2 โครงสร้างพันธุกรรมครอบครวั 1.4 ความผูกพันของครอบครัว สัมพันธภาพของสมาชิกในครอบครัว ความสัมพันธ์ ระหว่างสมาชิกในครอบครวั ว่ามคี วามผกู พันกนั อยา่ งไร โดยใช้สญั ลักษณแ์ ทนความผกู พนั ดังภาพ ความผกู พนั แน่นแฟน้ ผกู พันกนั นอ้ ยมาก ความผูกพนั ปานกลาง ไม่ผูกพัน/ขดั แย้ง ความผูกพนั นอ้ ย ความสัมพนั ธ์ตดั ขาด ภาพที่ 4.3 สญั ลักษณ์ทใี่ ช้แทนการแสดงความผูกพัน ที่มา: จินตนา วชั รสนิ ธุ์, 2550, หนา้ 89

24 โครงสร้างความผกู พนั ของครอบครัว บิดา มารดา า บตุ รชาย บตุ รชาย ภาพท่ี 4.4 โครงสรา้ งความผกู พันของภายในครอบครัว 1.4.1 ลักษณะครอบครัว เช่น ครอบครัวเดี่ยวที่อาจจะอยู่อาศัยพียงครอบครัวเดียว หรอื อยู่ร่วมเปน็ ครอบครวั เดมิ เป็นครอบครวั ขยาย ครอบครัวทีม่ ีบดิ ามารดาเพียงคนเดียว ครอบครัวท่ี มีบิดา มารดาเลี้ยง หากมีลักษณะครอบครัวท่ีแตกต่างจากนี้ให้ระบุว่าเป็นลักษณะครอบครัวแบบใด เป็นครอบครวั เดี่ยวหรือครอบครัวขยาย 1.4.2 โครงสร้างภายนอกหรือความสัมพันธ์ของครอบครัวกับส่ิงแวดล้อมภายนอก เป็นการประเมนิ การตดิ ต่อสมั พันธ์กบั บคุ คลหรือระบบอื่นภายนอกครอบครัว เพื่อทำให้เข้าใจถึงระบบ การสนับสนุนของครอบครัว โดยโครงสร้างพันธุกรรมครอบครัวไว้ตรงกลาง และรอบนอกเป็นบุคคล สำคัญของครอบครัว องคก์ ร ทเี่ ป็นบริบทของครอบครวั โดยใช้สัญลกั ษณแ์ ทนความสัมพนั ธ์ ดงั ภาพ แข็งแกรง่ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยมาก มีปญั หาสัมพนั ธภาพ ภาพที่ 4.5 สัญลักษณแ์ ทนความสมั พนั ธข์ องครอบครวั กับสง่ิ แวดลอ้ มภายนอก ท่มี า: จินตนา วชั รสินธุ์, 2550, หนา้ 89

25 โครงสรา้ งความสัมพนั ธข์ องครอบครวั กับส่ิงแวดล้อมภายนอก สถานอี นามยั ตลาด เพ่อื นบา้ น ร.พ. บดิ า มารดา ท่ที าการ สธ. า ธชน บตุ รคนโต บตุ รคน วดั เล็ก ท่ที างาน รา้ นคา้ โรงเรียน ภาพที่ 4.6 โครงสร้างความสัมพนั ธข์ องครอบครวั กบั สิ่งแวดลอ้ มภายนอก 1.4.3 สิ่งแวดล้อม สังเกตลักษณะของชุมชนว่าเป็นลักษณะใด เช่น ชุมชนเมือง ชุมชนชนบท กึง่ เมืองกึ่งชนบท ชุมชนอุตสาหกรรม หรือชุมชนแออัด 1) บา้ นทีอ่ ยอู่ าศัย 2) สภาพของบา้ นมคี วามแขง็ แรง ปลอดภัยหรือไม่ 3) ลักษณะภายในบ้าน ความเป็นสัดส่วนของห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น การ ถ่ายเทอากาศ แสงสว่าง และความสะอาดภายในบ้าน สัตว์ท่ีเป็นพาหะนำโรค ความปลอดภัยภายใน บ้าน 4) ลักษณะภายนอกบ้าน บริเวณบ้านเป็นอย่างไร มีการกำจัดของเสียอย่างไร มี มลภาวะทางน้ำ อากาศ เสียงหรือไม่ 1.4.4 ชมุ ชนทีอ่ ย่อู าศัย 1) ภายในชุมชนมคี วามปลอดภัยมากนอ้ ยเพยี งไร 2) สาธารณูปโภค เช่น การคมนาคมสะดวกเพียงใด ไฟฟ้า น้ำประปา มีใช้เพียง หรอื ไม่ 3) สถานบริการสุขภาพมีแหล่งบริการสุขภาพใกล้ท่ีอยู่อาศัยหรือไม่ เช่น โรงพยาบาล สถานีอนามัย คลนิ กิ แพทย์ 4) สถานศกึ ษา มสี ถานศกึ ษาอยู่ใกล้ท่อี ยอู่ าศัยหรือไม่

26 5) สถานประกอบกิจกรรมทางศาสนา เช่น วัด โบสถ์ 6) มีแหล่งสันทนาการ มีสถานท่ีพักผ่อนหย่อนใจในชุมชนหรือไม่ เช่น สวนสาธารณะ สนามเดก็ เลน่ โรงภาพยนตร์ 1.5 หน้าท่ีของครอบครัว (family function) หน้าท่ีของครอบครัวจะเป็นการ ประเมินเกี่ยวกับการปฏิบัติตนซึ่งมีผลเช่ือมโยงไปถึงบุคคลอ่ืน โดยพิจารณาได้จากการสังเกต ชวี ิตประจำวันของครอบครัวในการปฏบิ ตั ิกิจวัตรประจำวนั รวมทง้ั การแสดงออก 1.5.1 การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การนอนหลับ พักผ่อน การเตรียมอาหารการดูแลสุขภาพ และส่ิงท่ีแสดงออกมาให้เห็นเพื่อค้นหาปัญหาสุขภาพของ ครอบครัว 1.5.2 การแสดงออก เช่น ความเหมาะสมของการแสดงบทบาทรูปแบบพฤติกรรม ของสมาชิกในครอบครัว วิธีการส่ือสารทั้งน้ำเสียงและเน้ือหาของสารแสดงได้ถึงสัมพันธภาพของ สมาชกิ ในครอบครวั การแสดงอารมณ์ วิธีการเผชิญปัญหา ความสามคั คี และการรวมพลังของสมาชิก ในครอบครัว ความเหนียวแน่นของสัมพันธภาพในครอบครัว รวมทั้งความเชื่อต่างๆของครอบครัว ทัศนคติ ค่านิยม ข้อตกลงที่ครอบครัวยึดถือ ส่ิงท่ีมีอิทธิพลและอำนาจในครอบครัว ได้แก่ โครงสร้าง ทางสังคม ส่ิงแวดล้อมทางวัฒนธรรม ความแตกต่างของสมาชิกในครอบครัว เรื่องบทบาท เพศ เศรษฐกจิ ของครอบครัว รวมทง้ั ระดบั ชนช้ันทางสังคม 1.6 การดแู ลสขุ ภาพครอบครวั 1.6.1 เป็นการสังเกตชีวิตประจำวันของครอบครัวในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่นการรับประทานอาหาร การนอนหลับพักผ่อน การเตรียมอาหาร การดูแลสุขภาพ และสิ่งท่ีแสดง ออกมาให้เหน็ เพอื่ คน้ หาปญั หาสขุ ภาพครอบครัว 1.6.2 เพ่ือดูว่าครอบครัวมีการดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวอย่างไร ทั้งใน ยามเจ็บป่วยและปกติ เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การพาบุตรไปฉีดวัคซีนตามกำหนด พฤติกรรม การดูแลสุขภาพเม่อื เจบ็ ปว่ ยหรอื เสย่ี งตอ่ การเจบ็ ปว่ ย 1.6.3 สังเกตและสอบถามถึงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อภาวะสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ ด่มื สรุ า การใชส้ ารเสพติด ขับรถเรว็ ไมส่ วมหมวกนิรภยั 1.7 การแสดงบทบาทในครอบครัว 1.7.1 ความสามารถในการแสดงบทบาท สมาชิกสามารถแสดงบทบาทได้เหมาะสมกับบทบาทตามท่ี สงั คมคาดหวงั หรอื ไม่ อย่างไร และความพงึ พอใจในบทบาทของตน

27 1.7.2 พฤติกรรมทแี่ สดงถงึ ปญั หาในการแสดงบทบาท เช่นความขัดแยง้ ในบทบาท มี ความล้มเหลวในการแสดงบทบาท เช่น ไม่สนใจเล้ียงลกู ไม่สนใจทำงาน การได้รับหรือมีบทบาทมาก เกินไป 1.7.3 การปรับเปล่ยี นบทบาทเม่อื สถานภาพเปลย่ี นไปตามสถานการณ์ 1.8 การสอ่ื สารของครอบครัว 1.8.1 ลักษณะการสื่อสารภายในครอบครัวเป็นอย่างไร มีความขัดแย้งเก่ียวกับการ ส่ือสารหรือไม่ เช่น สามารถสื่อความต้องการของตนให้สมาชิกในครอบครัวทราบได้หรือไม่ น้ำเสียง และภาษาที่ใช้เป็นอย่างไร เม่ือมีการขัดแย้งแล้วครอบครัวใช้วิธีการแก้ไขอย่างไร เช่น หันหน้าเข้าหา กัน หรอื ตา่ งฝ่ายต่างเงยี บเฉย หรือใชค้ วามรุนแรงในการยตุ ปิ ญั หา 1.8.2 สมาชิกในครอบครัวมีการแสดงออกถึงความใส่ใจ ความเอ้ืออาทร อาจจะ เปน็ ได้ทั้งคำพูดปลอบโยนให้กำลงั ใจ หรือการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การสมั ผสั โอบกอด หยอก ลอ้ กนั หรือไม่ หรอื ไมม่ ีการแสดงอารมณใ์ ด ๆ ออกมาเลย 1.9 การประเมินพัฒนาการของครอบครัว การประเมินข้ึนอยู่กับบุคคลที่ศึกษาใน ครอบครัวนน้ั ๆ เชน่ ศกึ ษาครอบครวั ทมี่ ีวยั ชรา 1.9.1 ความพงึ พอใจในชีวติ ขณะน้ีอยา่ งไร 1.9.2 มีความพึงพอใจตอ่ การจดั การของครอบครวั อย่างไร 1.9.3 มีการปรับตวั ต่อรายได้ในปจั จบุ ันอยา่ งไร 1.9.4 สัมพันธภาพในชีวิตสมรสเปน็ อย่างไร 1.9.5 มกี ารปรบั ตัวตอ่ การสญู เสยี คสู่ มรสอยา่ งไร 1.9.6 ความรักและความผกู พันของสมาชิกในครอบครวั เป็นอยา่ งไร 1.9.7 สมาชกิ ในครอบครวั ดูแลสขุ ภาพของทา่ นอย่างไร 2. การวนิ ิจฉยั ปญั หาครอบครวั ปัญหาหรือความต้องการของครอบครัวจะมีท้ังในระดับบุคคล และระดับภาพรวมของ ครอบครวั ในการระบุปญั หาและความต้องการของครอบครวั น้ันเป็นขน้ั ตอนที่เปรยี บเทียบขอ้ มูลตาม ข้อเท็จจริงของครอบครัวกับมาตรฐานต่างๆ ตามแนวคิด ทฤษฎี ซ่ึงการที่พยาบาลจะสามารถกำหนด ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลได้ดีน้ันพยาบาลจะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ และเข้าใจแนวทางในการ กำหนดข้อวินิจฉัย ในกล่มุ ต่างๆตามข้นั ตอนดังน้ี

28 2.1 วิเคราะห์ข้อมูลและแปลข้อมูล โดยนำข้อมูลท่ีรวบรวมได้มาจัดไว้เป็นระบบซึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้กรอบแนวคิดอะไรในการรวบรวมข้อมูล แล้วก็เปรียบเทียบข้อมูลกับมาตรฐาน กฎ โมเดล หรือ แบบแผนที่ยอมรับโดยท่ัวไป ท้ังท่ีเป็นมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการ ด้านสรีรวิทยา จติ วิทยา สังคมวทิ ยา และเม่ือเปรียบเทยี บขอ้ มูลแล้วกน็ ำขอ้ มลู น้นั มาแปลความหมายของขอ้ มลู 2.2 การกำหนดภาวะสุขภาพ เป็นข้ันตอนท่ีทำตอ่ เน่อื งจากการให้ความหมายและแปล ขอ้ มลู แล้ว ในขัน้ ตอนนพ้ี ยาบาลตอ้ งกำหนดถงึ ภาวะสขุ ภาพของผู้รบั บริการได้ ในลักษณะตอ่ ไปน้ี 2.2.1 มีภาวะสุขภาพดี หมายถึง ภาวะสุขภาพที่เมื่อพิจารณาข้อมูลแล้วพบว่าไม่มี ปัญหาสุขภาพ หรือมีภาวะท่ีสามารถสร้างเสริมสุขภาพได้ ท้ังที่เป็นบุคคลหรือครอบครัว เพ่ือให้เกิด ความสมบรู ณ์มากขึ้น 2.2.2 มีแนวโน้มท่ีจะเกิดปัญหา หมายถึง ภาวะสุขภาพท่ีมีการค้นพบปัจจัยเส่ียงท่ี จะทำให้เกิดปัญหา ซึ่งสถานการณ์นี้สามารถเกิดได้กับผู้มีสุขภาพดี หรือขณะเจ็บป่วยได้ท้ังท่ีเป็น บุคคลหรือครอบครัว เช่น สมาชิกในครอบครัวเส่ียงต่อการเกิดอุบัติเหตุในบ้านเน่ืองจาก โครงสร้าง ของบา้ นไมแ่ ขง็ แรง 2.2.3 มีปัญหาสุขภาพ หมายถึงภาวะสุขภาพท่ีมีการเปล่ียนแปลงไม่เป็นปกติ พบได้ ในผู้เจ็บป่วย หรือในสภาพปัญหาของครอบครัวโดยรวม เช่น ความสามารถในการทำกิจกรรมดูแล ตนเองของสมาชกิ ทเี่ จ็บปว่ ยลดลง หรือ ครอบครวั มีความขดั แย้งกนั ในการจดั การดแู ลผู้ป่วยในบ้าน 3. การกำหนดข้อวนิ ิจฉยั ทางการพยาบาล เป็นข้ันตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยการพยาบาล โดยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะสุขภาพกับการวินิจฉัยที่เกี่ยวข้อง แล้วเขียนเป็นข้อความวินิจฉัยการพยาบาล (nursing diagnosis) ซ่ึงในการกำหนดขอ้ วินิจฉัย สามารถกำหนดไดใ้ น 3 ลกั ษณะ ดงั น้ี 3.1 ลักษณะที่ 1 ภาวะสุขภาพดี ภาวะสขุ ภาพดี + เนือ่ งจาก + ปจั จยั ทีเ่ กย่ี วข้องที่สง่ เสริมสขุ ภาพดี 3.2 ลักษณะท่ี 2 ภาวะเสีย่ ง เส่ียงตอ่ การเกิดปญั หา + เนือ่ งจาก + ปัจจัยที่เกี่ยวขอ้ ง 3.3 ลกั ษณะท่ี 3 ภาวะมีปัญหา ปัญหาสขุ ภาพ + เนื่องจาก + ปจั จัยทท่ี ำใหเ้ กดิ ในการเขียนข้อวินิจฉัยการพยาบาลครอบครัวสามารถกำหนดขึ้นตามกรอบแนวคิดของ ทฤษฎีท่ีเลือกสรรหรือข้อวินิจฉัยที่ได้รับการยอมรับในวงการพยาบาลเช่น ข้อวินิจฉัยของสมาคม

29 วนิ ิจฉัยการพยาบาลแห่งอเมริกาเหนอื (NANDA) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลอนามยั ชุมชนตามระบบของ โอฮามา ตารางที่ 4.1 ขอ้ วนิ จิ ฉยั การพยาบาลครอบครวั ยึดตามกรอบแนวคิดทฤษฎีการพยาบาลครอบครวั กรอบแนวคิด ข้อวินิจฉัยครอบครัว ทฤษฎีระบบ บดิ ามารดาขาดความพร้อมในการเล้ยี งดบู ตุ รวยั ทารก ทฤษฎีระบบ พอ่ แมช่ ่วยเหลอื กนั ในการดแู ลทารกแรกเกดิ ทฤษฎพี ัฒนาการ เด็กมพี ฒั นาการเหมาะสมกับวัย ทฤษฎีโครงสรา้ งหน้าท่ี สมาชกิ ในครอบครวั มีความขดั แยง้ กันในการตดั สนิ ใจปรบั บทบาทหน้าที่ ทฤษฎีโครงสรา้ งหนา้ ท่ี พอ่ แมแ่ บง่ หนา้ ทด่ี ูแลบุตรไดอ้ ย่างเหมาะสม ท่ีมา: วนิดา ดรุ งค์ฤทธิชยั , 2554, หน้า 357 ตารางท่ี 4.2 ข้อวินจิ ฉยั ด้านการพยาบาลอนามัยชมุ ชนตามระบบโอฮามา ปจั จยั ด้านส่ิงแวดล้อม ปจั จัยด้านกายภาพ ตวั ปญั หา ตัวปญั หา การสร้างความปลอดภยั ในชมุ ชน การแลกเปลีย่ นก๊าซออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ สว่ นขยาย สว่ นขยาย การสรา้ งเสริมสุขภาพครอบครัว การสรา้ งเสรมิ สุขภาพครอบครวั การขาดการจัดการโดยชมุ ชน การจดั การขาดประสทิ ธภิ าพ การขาดการจดั การของบุคคล อาการและอาการแสดง อาการและอาการแสดง มีฝุ่นละอองมาก แบบแผนการหายใจขาดประสิทธภิ าพ มีอุบตั ิเหตบุ อ่ ยครั้ง การไอไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพ มสี ง่ิ กดี ขวางและเศษวสั ดสุ ิง่ กอ่ สร้างท้งิ ทัว่ ไป เสมหะสเี ขยี ว มสี ุนัขจรจดั อยทู่ ว่ั ไป เสียงปอดผดิ ปกติ สนามเด็กเล่นไมป่ ลอดภยั

30 ปจั จัยดา้ นจติ สงั คม ปัจจัยพฤติกรรมทีเ่ กี่ยวข้องกับสขุ ภาพ ตวั ปัญหา ตวั ปญั หา การจัดการกับความเศรา้ โศกเสียใจ สขุ อนามัยสว่ นบคุ คล สว่ นขยาย ส่วนขยาย การสร้างเสริมสุขภาพครอบครัว การสร้างเสรมิ สุขภาพครอบครวั ขาดการสนับสนนุ ทางสงั คมในชมุ ชน การจัดการขาดประสทิ ธภิ าพ ขาดการสนบั สนนุ ทางสงั คมใหแ้ กบ่ คุ คล อาการและอาการแสดง อาการและอาการแสดง ไม่สามารถควบคุมอารมณอ์ ย่างเหมาะสมเม่ือ เสอื้ ผา้ ไมส่ ะอาด เศรา้ โศกเสยี ใจ เนอื้ ตัวไมส่ ะอาด ใช้เวลาในการเศร้าโศกต่อเหตุการณ์ไม่ กลนิ่ ตวั ผมไม่สะอาด เหมาะสม มกี ล่ินปากและฟันผุ ท่มี า: วนดิ า ดรุ งคฤ์ ทธชิ ัย, 2554, หนา้ 358-359 4. การวางแผนการพยาบาลครอบครวั การวางแผนการพยาบาลเป็นข้ันตอนที่ทำต่อเนื่องเมื่อค้นพบปัญหาของผู้รับบริการได้ แล้ว ซ่ึงขั้นตอนน้ีถือวา่ เป็นข้ันตอนสำคัญที่จะช่วยให้การดูแลผู้รับบริการมีความหมาย และเหมาะสม ทำใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายของการบริการ โดยมขี ้ันตอน ดังนี้ 4.1 การจัดลำดับความสำคัญของปัญหา การจัดลำดับความสำคัญน้ีทำเพ่ือให้ได้ ปัญหาที่เหมาะสมเพื่อนำไปให้การพยาบาลท่ีเหมาะสม ทันเวลา โดยใช้องค์ประกอบในการพิจารณา ดงั นี้ 4.1.1 ความรุนแรงของปัญหา พิจารณาจากผลกระทบต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน เศรษฐกจิ ของครอบครวั ความสัมพันธ์ของครอบครวั เป็นตน้ 4.1.2 ความสามารถในการแก้ไขปัญหา พิจารณาถึงทรัพยากรภายในครอบครัวหรือ ชมุ ชน เช่น เงิน วสั ดุ อุปกรณ์ สิ่งสนับสนนุ จากภายนอก 4.1.3 ความสนใจหรือความร่วมมือของครอบครัว พิจารณาแนวคิด ความสนใจ ทัศนคติ ความกระตอื รอื รน้ ที่จะร่วมมือในการแกป้ ัญหา

31 4.2 การกำหนดจุดมุ่งหมายทางการพยาบาล การกำหนดจดุ มุ่งหมายทางการพยาบาล จะกำหนดให้สอดคล้องกับปัญหา โดยจุดมุ่งหมายต้องมีความชัดเจน ประเมินผลได้ ซึ่งการกำหนด จุดมุง่ หมายจะตอ้ งทำร่วมกับครอบครวั เมือ่ ไดจ้ ดุ มุ่งหมายแลว้ ต้องระบุเกณฑก์ ารประเมนิ ผลร่วมดว้ ย 4.3. การกำหนดกิจกรรม เน้นให้เป็นกิจกรรมที่ตอบสนองต่อปัญหา สมาชิกใน ครอบครัวมีส่วนร่วม กิจกรรมมีส่วนเสริมศักยภาพของสมาชิกให้สามารถอยู่ด้วยตนเองได้ เป็น กจิ กรรมที่มาจากการตดั สนิ ใจของครอบครัวเปน็ หลกั หลักสำคัญในการวางแผนแก้ไขปัญหา คือ พยาบาลชุมชนควรกระตุ้นให้บุคคลหรือ ครอบครัว ค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองก่อน และอาจเสนอแนวทางหลาย ๆ ทาง แล้วให้ครอบครัว ตัดสินใจเลือกวิธแี ก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แผนการพยาบาลท่ีได้กำหนดเรียบร้อยแล้วจะถูกบันทึกไว้ใน แฟม้ สขุ ภาพครอบครัว (family folder) เพือ่ นำไปสู่การปฏิบตั ติ อ่ ไป 5. การให้ปฏบิ ตั ิการพยาบาลครอบครัว การปฏิบัติการพยาบาล เป็นข้ันตอนการนำเอาแนวคิดจากการวางแผนการพยาบาลไป ปฏิบัติให้เกิดผลชัดเจนตามจุดมุ่งหมายทำให้ผู้รับบริการได้รับการตอบสนองตามความต้องการของ ตนเอง ซ่ึงในการปฏิบัติการพยาบาลครอบครัว มุ่งแก้ไขประเด็นบุคคลในครอบครัว ประเด็น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและครอบครัวในภาพรวม ประเด็นการใช้ทรัพยากร และในการปฏิบัตินั้น กิจกรรมที่ใช้เป็นรูปแบบที่ชัดเจน คือ กิจกรรมการเยี่ยมครอบครัว (home visit) ซึ่งจะกล่าวโดย ละเอียดในข้ันตอนเย่ยี มครอบครวั อีกคร้ัง ขนั้ ตอนการปฏบิ ัติการพยาบาลมีดังน้ี 5.1 ขั้นเตรียม เป็นขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนจะลงมือปฏิบัติ ซ่ึงขั้นตอนน้ี พยาบาลต้องทบทวนและทำความเข้าใจในแผนการปฏิบัติการพยาบาล ทำความเข้าใจในข้อมูลต่างๆ ของครอบครัว มีการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ หรือสิ่งต่าง ๆ ท่ีจำเป็นต้องใช้ เช่น ทีมงาน ยานพาหนะ เอกสาร กระเปา๋ เย่ียม การประสานงานกับผู้ทีเ่ กี่ยวข้อง เช่น แกนนำสุขภาพ ครอบครัวที่ ตอ้ งการเยีย่ ม และมีการจดั ลำดบั การเย่ยี มครอบครัว 5.2 ขั้นปฏิบัติ เป็นข้ันตอนการกระทำที่ได้ลงมือปฏิบัติต่อผู้รับบริการหรือครอบครัวที่ รบั การเย่ยี ม ซึง่ ในขัน้ ตอนน้พี ยาบาลจะต้องใชท้ กั ษะด้านต่าง ๆ ได้แก่ 5.2.1 ทักษะทางปัญญา ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การ ตดั สนิ ใจอย่างมเี หตผุ ล 5.2.2 ทักษะด้านสมั พันธภาพและส่ือสาร ได้แก่ บุคลิกท่าทาง ความสุภาพเรยี บร้อย การพดู คุยเพ่อื ใหเ้ กิดความร่วมมอื และความเข้าใจร่วมกัน

32 5.2.3 ทักษะปฏิบัติพยาบาล ซ่ึงเป็นวิธีปฏิบัติ หรือเทคนิคการพยาบาลที่จะต้องใช้ ความชำนาญและปฏบิ ตั ไิ ด้อยา่ งถกู ต้อง ในข้ันตอนน้ีรูปแบบการจัดการทางพยาบาลที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับใช้กันแพร่หลาย คือ การเย่ียม ครอบครัวหรือการเยี่ยมครอบครัว โดยพยาบาลชุมชนจะเป็นฝ่ายเข้าหาครอบครัว การเย่ียม ครอบครัว ได้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการให้บริการสุขภาพในชุมชนในหลายรูปแบบ ตามแนวคิด เชน่ ในทางเวชปฏิบัติ เป็นต้น 5.3 หลังการปฏิบัติ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการปฏิบัติการพยาบาล ที่พยาบาลจะต้อง ทำการรวบรวมข้อมลู ที่เกิดขึ้นเก่ียวกับปญั หาการพยาบาล ผลการพยาบาลรวมทัง้ ข้อมูลสถานการณท์ ี่ เก่ียวขอ้ งเพื่อนำไปบนั ทกึ ในบันทกึ ทางการพยาบาล 6. การประเมินผลการพยาบาลครอบครวั การประเมินผลเป็นข้ันตอนสุดท้ายในกระบวนการพยาบาล ซึ่งเป็นขั้นตอนการ ตรวจสอบคุณภาพการพยาบาลว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่และผลของการประเมิน จะนำไป สู่การทบทวนข้อมูล (Re assessment) เพ่ือปรับปรุงหรือพัฒนาให้บรรลุจุดมุ่งหมายอีกคร้ัง หรอื กำหนดจุดมงุ่ หมายใหมต่ ่อไป รูปแบบของการประเมินผลการพยาบาลครอบครัว มี 2 รปู แบบ 6.1 การประเมินรายคร้ัง (formative evaluation) เป็นการประเมินในช่วงท่ี พยาบาลและครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กัน อาจเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียวหรือเก็บข้อมูลอย่างต่อเน่ือง ระหว่างการเยย่ี มครอบครัวกไ็ ด้ ผลการประเมินรายคร้งั จะนำมาใชป้ รบั เปลี่ยนเป้าหมายการพยาบาล วัตถปุ ระสงค์ วธิ กี ารปฏิบัติการพยาบาลและลำดบั ความสำคัญของการพยาบาล 6.2 การประเมินสุดท้าย (summative evaluation) เป็นการประเมินเม่ือต้องการ การสิ้นสุดปฏิสมั พันธก์ ับครอบครัว และใช้สรปุ ผลของปฏิสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นว่าบรรลุเป้าหมายตามที่วาง ไวห้ รอื ไม่และยังมีส่ิงทค่ี รอบครวั ตอ้ งการความช่วยเหลืออีกหรือไม่เพ่ือการสง่ ต่อทีถ่ ูกต้อง สิง่ ทค่ี วรประเมินผลการพยาบาลครอบครัวมีดังนี้ 6.2.1 ตรวจสอบเปา้ หมายท่พี ยาบาลและครอบครวั ได้วางไว้ร่วมกัน ในระยะของการ วางแผนทัง้ เป้าหมายระยะสัน้ และระยะยาว 6.2.2 ตรวจสอบผลทเ่ี กดิ ข้ึนกบั สมาชกิ ทม่ี ปี ัญหาสขุ ภาพ โดยสมาชิกในครอบครวั ทีม่ ี ปัญหาสุขภาพเป็นบุคคลสำคญั ท่ีต้องไดร้ ับการประเมินก่อนเป็นลำดับแรก โดยพิจารณาวา่ ผลของการ พยาบาลท่ีได้รับเป็นอย่างไร ปัญหาสุขภาพดีข้ึนหรือไม่ บทบาทหน้าที่ในครอบครัวเปล่ียนแปลง หรอื ไม่ อย่างไร สมาชิกที่มปี ัญหาสุขภาพน้ันพึงพอใจต่อการปฏสิ มั พนั ธก์ บั พยาบาลมากน้อยเพยี งใด

33 6.2.3 ตรวจสอบผลกระทบที่เกิดข้ึนกับสมาชิกคนอ่ืนในครอบครัว โดยประเมินว่า สุขภาพของสมาชิกที่เป็นปัญหากระทบต่อสมาชิกอ่ืนอย่างไร และสมาชิกแต่ละคนพึงพอใจต่อการมี ปฏิสมั พันธ์กับพยาบาลมากนอ้ ยเพียงใด 6.2.4 ตรวจสอบผลที่เกิดข้ึนกับระบบย่อยภายในครอบครัว ควรประเมินว่าการ พยาบาลท่ีครอบครัวได้รับก่อประโยชน์ ความพึงพอใจและความสมดุลให้แก่ระบบย่อยต่าง ๆ ใน ครอบครัวหรอื ไมอ่ ยา่ งไร 6.2.5 ตรวจสอบผลท่ีเกิดขึ้นกับภาพรวมของครอบครัว ประเมินว่าครอบครัวโดย รวม ได้รับประโยชน์จากการพยาบาลหรือไม่ รวมทั้งส่งผลให้ครอบครัวสามารถจัดการหรือแก้ปัญหา ได้ด้วยตนเองอยา่ งไร 6.2.6 ตรวจสอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ประเมินว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างไร การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นประโยชน์ต่อ ครอบครัวและชมุ ชนหรอื ไม่ อย่างไร การเย่ยี มครอบครัว 1. แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเย่ียมครอบครวั 1.1 ความหมายของการเยี่ยมครอบครัว การเย่ียมครอบครัว หมายถึง วิธีการท่ีใช้ใน การดูแลสุขภาพท่ีบ้าน ซ่ึงควรจะมีรูปแบบและวิธีการเพ่ือให้เกิดผลคุ้มค่ามากที่สุด พยาบาลเป็น บุคลากรหนึ่งในทีมเยี่ยมครอบครัวควรที่จะต้องมีความรู้ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเยี่ยมครอบครัว ด้วย (จริยาวตั ร คมพยคั ฆ์ และ วนดิ า ดุรงคฤ์ ทธชิ ยั , 2554, หนา้ 348) 1.2 ความสำคัญในการเย่ยี มครอบครัว พยาบาลเป็นบุคคลภายนอกที่เขา้ หาครอบครัว โดยต้องยอมรับมุมมองท่ีครอบครัวมีอยู่เพ่ือเข้าใจความเข้มแข็งและข้อจำกัด จึงจะวางแผนให้การ ดแู ลรวมท้ังกำหนดทิศทางการให้บริการทส่ี อดคล้องกบั ความต้องการของครอบครวั ได้ถูกต้อง 1.3 เป้าหมายสูงสุดของการเย่ียมครอบครัว คือ การทำให้ครอบครัวแสวงหาแหล่ง บรกิ ารสุขภาพที่ถูกต้องไดด้ ้วยตนเอง ซ่ึงพยาบาลจำเป็นจะตอ้ งสร้าง “สมั พนั ธภาพกบั ครอบครัวอย่าง เหมาะสมและเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ครอบครัวมุ่งสู่ทิศทางและผลลัพธ์ที่พยาบาลต้องการได้” ซ่ึงมี สงิ่ ทตี่ ้องคำนึงถงึ ในการเยีย่ มครอบครวั 4 ประการ คือ 1.3.1 ครอบครัวทำหน้าทีข่ องตนเองอย่กู ่อนหนา้ ที่พยาบาลจะเข้าไปเยยี่ ม 1.3.2 หากพยาบาลรู้สึกว่ามีปัญหาอุปสรรคที่ไม่สามารถจัดการกับครอบครัวตามท่ี วางแผนไวไ้ ด้ แสดงวา่ มีกระบวนการบางอยา่ งท่ที ำหนา้ ที่น้อี ยู่ ก่อนท่พี ยาบาลจะเขา้ ไปเยี่ยม

34 1.3.3 ต้องพยาบาลค้นหาจุดแข็งของครอบครัวให้ได้ไม่ว่าครอบครัวนั้นจะมีลักษณะ หรืออยู่ในสถานการณ์ท่มี ปี ัญหาเพยี งใดก็ตาม 1.3.4 พยาบาลต้องคิดกิจกรรมการพยาบาลจากการนำตนเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มหรือ สถานการณ์เดียวกันกับท่ีครอบครัวเป็นอยู่ แล้วพิจารณาว่าสามารถจัดการกับปัญหาน้ัน ๆ ใน ครอบครวั ได้หรือไป 1.4 เหตุผลของการดูแลสุขภาพครอบครัวเพ่มิ มากข้นึ 1.4.1 เพ่ือให้เกิดการดูแลอย่างต่อเน่ืองและครอบคลุมแก่ผู้ป่วย ในบริบทของการ ดูแลครอบครัวผู้ป่วย 1.4.2 ความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ ทำให้การดูแลโรคที่เร้ือรังและโรคที่รักษาไม่ หายดขี ึ้น 1.4.3 ค่ารกั ษาในโรงพยาบาลสูงขึ้นเน่ืองจากการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น 1.4.4 ระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่มโรค พยายามดูแลให้ผู้ป่วยนอน โรงพยาบาลในระยะเวลาทีส่ ั้นทส่ี ดุ 1.4.5 โรคท่ีพบมักจะเป็นโรคทพ่ี บในผูส้ ูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเร้ือรัง และเปน็ หลายโรค รว่ มกัน 1.4.6 ผู้ปว่ ยเลอื กทจี่ ะรับการดูแลทบ่ี ้าน 2. การวางแผนเย่ียมครอบครวั พยาบาลจะต้องวางแผนในการเข้าเย่ียมครอบครัวทุกคร้ัง การเย่ียมครอบครัวในแต่ละ คร้ัง จะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันไป การเยี่ยมครั้งแรกจะเป็นการประเมินข้อมูลเบื้องต้น เพ่ือการ นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน สำหรับการเยี่ยมคร้ังต่อ ๆ ไป จะเป็นการเย่ียมเพ่ือการปฏิบัติ และการทำกจิ กรรมเพ่อื ให้บรรลุเปา้ หมายทว่ี างไว้ และไมไ่ ดห้ มายความว่าทกุ ครอบครัวควรเข้าเย่ียม ประโยชนส์ ำคัญของการเยย่ี มครอบครัว มีหลายประการ คือ 1. ทำใหพ้ ยาบาลไดเ้ หน็ ส่ิงแวดลอ้ มของครอบครัวในวิถีชีวติ ปกติ 2. ทำให้สามารถสังเกตลักษณะปฏสิ ัมพันธ์ตามธรรมชาตขิ องสมาชกิ ในครอบครัว 3. ทำให้สามารถสงั เกตปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อสขุ ภาพครอบครัว 4. ทำให้ไดพ้ บสมาชิกท้งั ทสี่ ุขภาพดแี ละมปี ัญหาสุขภาพ 5. ทำให้สามารถเน้นย้ำและทำความเข้าใจกับครอบครัวเก่ียวกับความรับผิดชอบต่อ สขุ ภาพ ว่าเป็นหนา้ ทีข่ องท้ังครอบครวั ไมใ่ ช่ของใครคนใดคนหน่งึ 6. ทำให้สามารถประเมนิ ทรัพยากรที่เอื้ออำนวยและขัดขวางสุขภาพได้

35 7. ชว่ ยในการโนม้ น้าวเพอื่ สรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของครอบครวั 8. ทำให้สามารถใหก้ ารพยาบาลได้ท้ังบุคคลและครอบครวั ในเวลาเดียวกนั หลกั เกณฑใ์ นการเลือกเยยี่ มครอบครวั มดี งั นี้ 1. ครอบครัวที่สมาชิกได้รับผลกระทบทางอารมณ์ ร่างกายหรือความคิดความเช่ือท่ีมี สาเหตุมาจากเหตุการณ์วิกฤติ เช่น การเจ็บป่วยรุนแรง การเจ็บป่วยท่ีเกิดขึ้นกะทันหันหรือมีการ เสียชีวิตของสมาชิก 2. ครอบครัวที่สมาชิกได้รับผลกระทบทางอารมณ์ ร่างกายหรือความคิดความเช่ือที่มี สาเหตุมาจากการเปล่ียนแปลงของสมาชิกตามระยะพัฒนาการ เช่น การมีสมาชิกใหม่ การแต่งงาน การย้ายออกของสมาชิก 3. ครอบครวั ท่ีใหค้ วามสำคัญกับปัญหาสขุ ภาพทเ่ี กิดขน้ึ กับสมาชกิ 4. ครอบครัวท่ีเห็นว่ามีสมาชิกเป็นเด็กหรือวัยรุ่น มีบางส่ิงบางอย่างท่ีครอบครัวต้อง จัดการ หรอื ดำเนนิ การ เชน่ การไมย่ อมไปโรงเรียน การไม่ยอมให้ตรวจรกั ษา เป็นตน้ 5. ครอบครัวท่ีกำลังเผชิญเหตุการณ์ท่ีอาจกระทบกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เช่น การมสี มาชิกเจบ็ ปว่ ยในระยะสดุ ทา้ ย การมีพฤติกรรมเบย่ี งเบนทางเพศ เปน็ ต้น 6. ครอบครวั ท่มี ีสมาชกิ ทีต่ อ้ งรับการรกั ษาการเจ็บปว่ ยทางด้านจิตใจ 7. ครอบครวั ท่ีมเี ดก็ ท่ีต้องรบั ตวั ไวร้ ักษาในโรงพยาบาล 3. กระบวนการและการใช้กระเป๋าเยีย่ มบ้าน การเย่ียมครอบครัวเป็นรูปแบบกิจกรรมหลักในให้การพยาบาลครอบครัว ซึ่งเป็น รูปแบบการเข้าหาครอบครัว โดยยึดหลักครอบครัวเป็นผู้รับบริการหน่ึงราย มีความเป็นองค์รวมใน ตัวเอง มีศักยภาพหรือพลังในการจัดการภายในครอบครัว มีความเข้มแข็งและข้อจำกัดของแต่ละ ครอบครัว ซึ่งพยาบาลจะต้องมีความเข้าใจและยอมรับในบริบทของครอบครัวแต่ละครอบครัว ซึ่ง ขนั้ ตอนการเยย่ี มครอบครวั วนดิ า ดุรงคฤ์ ทธชิ ยั (2554, หน้า 348-350) แบ่งข้ันตอนการเย่ียมดงั นี้ 3.1 การเตรียมตัว การเตรียมก่อนการเย่ียม จะกล่าวถึง การเตรียมการกิจกรรมที่ พยาบาลชุมชนจะต้องปฏิบัติ ซึ่งครอบคลุม การเตรียมการ การเตรียมข้อมูลบุคคล และครอบครัวที่ จะไปเยย่ี ม และการเตรียมอุปกรณข์ องใชส้ ำหรบั การเยี่ยม 3.1.1 เตรียมตัวด้านร่างกาย จิตใจให้พร้อม โดย ตรวจสอบสภาพร่างกายให้มีความ พรอ้ มในการปฏบิ ัติงาน ไม่เจบ็ ป่วย แตง่ กายมคี วามเหมาะสม ถกู กาลเทศะ ทำจติ ใจใหส้ บาย

36 3.1.2 เตรียมตัวด้านข้อมูลท่ีเก่ียวข้อง มีการตรวจสอบข้อมูลครอบครัวท่ีเพิ่มเติม ศึกษาทำความเข้าใจในแผนการพยาบาล ศึกษาแบบรายงานต่างๆท่ีต้องใช้และ เอกสารท่ีจำเป็นใน การให้บรกิ าร เช่น แผ่นพบั ความรู้ โปสเตอร์ แฟ้มประวตั ิสขุ ภาพครอบครวั (Family Folder) 3.1.3 การเตรียมกระเป๋าเย่ียม กระเป๋าเย่ียมเป็นส่ิงท่ีพยาบาลชุมชนจะต้องนำไปใน การเยี่ยมคือ พร้อมอุปกรณ์ในการให้การพยาบาลต่างๆ การเตรียมกระเป๋าเยี่ยม กระเป๋าเยี่ยมเป็น สิ่งจำเป็นที่ตอ้ งใช้ในการเยยี่ มครอบครวั เพราะใช้บรรจอุ ุปกรณก์ ารให้บรกิ ารตา่ งๆท่จี ำเป็น ลกั ษณะของกระเป๋าเยย่ี ม ควรพจิ ารณาตามความเหมาะสม โดยคำนึงถงึ สิ่งต่อไปนี้ 1) ขนาดกะทัดรัด พอเหมาะแกก่ ารบรรจแุ ละสะดวกในการใช้เดินทาง 2) วัสดุท่ใี ชท้ ำกระเป๋ามีความทนทาน น้ำหนักเบา ทำความสะอาดงา่ ย เชน่ หนัง หรอื พลาสติก รูปแบบ เหมาะสมสะดวกแก่การใช้ เช่น แบบหว้ิ หรือแบบสะพาย 3) ฝากระเปา๋ ควรมฝี าปดิ 2 ชัน้ และชั้นในกระเป๋าสามารถถอดซกั ได้ 3.1.2 การเตรียมอุปกรณ์ อุปกรณ์ในกระเป๋าเยี่ยมควรพิจารณาเฉพาะของใช้ท่ี จำเปน็ ไดแ้ ก่ 1) ส่ิงปูรอง จะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ ผ้ายาง พลาสติกขึ้นอยู่กับความ เหมาะสม 2) สบูล่ ้างมอื หรอื นำ้ ยาทำความสะอาดมอื เช่น สบู่เหลว แอลกอฮอลเ์ จล 3) ชดุ เครอื่ งผ้า ไดแ้ ก่ ผา้ กันเปื้อน 1 ชุด ผ้าเชด็ มือ อยา่ งนอ้ ย 1 ผนื 4) ชามรปู ไตเลก็ 1 ใบ ทส่ี ะอาดปราศจากเช้อื 5) ปรอท สำหรบั วัดไข้ ทง้ั ของผู้ใหญ่และเด็ก 6) ปากคีบ 1 คู่ ใชส้ ำหรบั หยิบจบั สิ่งของท่ีสะอาดปราศจากเชอื้ 7) กรรไกร 1 เล่ม ในกรณีที่จำเป็นในพยาบาลเช่น ตัดไหม หรือในบางกรณีอาจ เป็นกรรไกรตัดพลาสเตอร์ 8) กอ๊ ส สาลี ผา้ พนั แผล ผ้าแต่งสะดือ ที่สะอาดปราศจากเช้อื 9) เครือ่ งชั่งน้ำหนกั เด็ก (สปรงิ ) ในกรณีที่เยีย่ มเดก็ ทารก 10) ลูกสูบยางแดง 11) ไม้กดลิ้น 12) พลาสเตอร์ 13) สายวัด (ความยาว) 14) เคร่อื งวดั ความดนั โลหิต 15) หฟู งั

37 16) เวชภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ ยารับประทาน เช่น พาราเซตตามอล แอสไพริน วิตามิน ยาใช้ภายนอก เช่น แอลกอฮอล์ 70% แอมโมเนีย ยาแดง ทิงเจอร์ไอโอดิน วาสลิน ของใช้ เหล่าน้ีอาจพจิ ารณาเลือกใชต้ ามความจำเป็น และต้องมกี ารจดั เรยี งของใช้เหลา่ น้ใี ห้เป็นระเบยี บ หยิบ ใช้ง่าย และอุปกรณ์ทุกช้ินต้องได้รับการทำความสะอาดทุกช้ิน และบางชิ้นต้องได้รับการฆ่าเช้ือแล้ว หรือวัสดุอุปกรณ์บางอย่างพยาบาลชุมชนอาจแนะนำให้ครอบครัวมีไว้ใช้ท่ีบ้านอยู่แล้ว เวชภัณฑ์หรือ อปุ กรณบ์ างอย่างไว้ท่บี า้ นแลว้ 3.1.3 สมุดบันทึก เนื่องจากเป็นการไม่สะดวกและไม่เหมาะสม ที่จะนำแบบบันทึก รายงานเกี่ยวกับข้อมูลครอบครัวและผู้ปว่ ยออกไปจากสำนักงาน เพราะจะเกิดปัญหาหากเกิดการสูญ หายขึน้ พยาบาลเย่ียมครอบครวั จึงใช้สมุดบันทึกจดบนั ทึกย่อ ๆ 3.2 การจัดลำดับการเยี่ยม ในการกำหนดแผนการออกเยี่ยมจำเป็นต้อง เรียงลำดับการ เย่ียมครอบครัวแตล่ ะรายใหเ้ หมาะสม ท้งั เวลา สถานท่ี โดยใช้หลักการพิจารณาจดั ลาดบั 2 ประการ 3.2.1 ความเร่งด่วน หมายถึง ความต้องการหรือความจำเป็นท่ีต้องให้การช่วยเหลือ โดยเร็ว มิฉะน้ันจะเกิดผลเสียแก่ผู้ป่วยได้ เช่น การเกิดอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยท่ีเปล่ียนแปลงกะทันหัน หรือมคี วามรนุ แรง 3.3.2 การป้องกันการแพร่กระจายของโรค หมายถึง การป้องกันการแพร่กระจาย เชือ้ โรคจากบคุ คลหน่ึงไปสู่อีกบุคคลหนึง่ รวมท้ังการแพรก่ ระจายจากครอบครัวหนึ่งไปสู่อีกครอบครัว หน่ึง ดังน้ันจึงจำเป็นต้องพิจารณา และกรณีนี้พยาบาลชุมชนอาจเป็นผู้แพร่กระจายเชื้อโรคจากราย เยี่ยมหน่ึงไปส่อู กี รายหน่ึงได้ ตวั อยา่ ง การพจิ ารณาจดั ลำดับการเยย่ี มครอบครวั จากกรณีศึกษา จำนวน 3 ราย ดังน้ี 1) ลำดับแรก เด็กหญงิ อายุ 3 ปี ไข้สงู เปน็ มา 2 วนั แลว้ 2) ลำดบั ที่สอง ผ้ปู ่วยหลงั ผ่าตัดลำไส้ กลับมาอยู่บา้ น แผลตัดไหมแล้ว 3) ลำดับท่ีสาม ผู้สูงอายุ มีอาการไอเรื้อรัง แพทย์วินิจฉัยว่า สงสัยว่าเป็นวัณโรค ปอด เมื่อพิจารณาตามรายเยี่ยมที่กำหนดไว้จะเหน็ ว่า เดก็ หญิงมีไขส้ ูงเป็นรายเร่งดว่ นทส่ี ุด และชายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคปอดจัดเย่ียมเป็นรายสุดท้าย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ถ้า ระหว่างการเดินทางจะไปเยี่ยมเดก็ หญิงท้องเดนิ มีผู้มาแจ้งว่ามีคนเป็นลมหมดสติกจ็ ำเป็นต้องไปเย่ยี ม ให้การปฐมพยาบาลกอ่ น เพราะเปน็ ความจำเป็นเรง่ ดว่ นกวา่ 3.3 ขนั้ ตอนขณะเยี่ยม มกี ารดำเนนิ การดงั ต่อไปน้ี 3.3.1 การสร้างสัมพันธภาพกับครอบครัว ในขั้นตอนแรกของการเย่ียมครอบครัว จะต้องสรา้ งสัมพันธภาพกับครอบครัว เพ่ือให้เกดิ ความไว้วางใจความประทับใจ และการยอมรับท่ีจะ

38 ให้ความเป็นมิตรตั้งแต่เริ่มแรก โดยการแนะนำตนเองในครั้งแรก ให้ความเคารพ ยอมรับในบริบท ครอบครัว มีการแจง้ วัตถปุ ระสงค์การเย่ยี มทุกครั้ง 3.3.2 ประเมินสภาพเพ่ิมเตมิ โดยการสังเกต สอบถามในเบื้องต้น เพอื่ เป็นประโยชน์ ตอ่ การวิเคราะหป์ ัญหาหรอื ความต้องการได้ถกู ต้องยงิ่ ข้ึน 3.3.3 ดำเนินการช่วยเหลือ หรือให้การพยาบาลตามแผนการพยาบาลซึ่งในขณะให้ การพยาบาลนั้น ควรตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของครอบครัว กิจกรรมการพยาบาลท่ีสามารถ ดำเนินการได้นั้นอาจมีลักษณะ เป็น การให้การพยาบาลโดยตรง หรือเป็นการให้คำแนะนำปรึกษา หรือ การสอน ซึ่งในขั้นตอนน้ีพยาบาลชุมชนจะต้องใช้ทักษะการเปิดกระเป๋าเย่ียม ทักษะปฏิบัติการ ทางวชิ าชพี ทักษะการส่อื สารและการแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า เทคนิคการใชก้ ระเปา๋ เยย่ี ม มีขน้ั ตอน ดังน้ี 1) วางกระเป๋าเย่ยี มไว้บนตกั หันหน้าของกระเปา๋ เย่ยี มออกนอกลำตวั 2) เปดิ กระเปา๋ ใชม้ อื สมั ผัสด้านนอกของกระเป๋า 3) นำสิง่ ปูรองกระเป๋าออกมาปู วางกระเป๋าไว้ 4) เปิดกระเป๋า หยิบเคร่ืองใช้ในการล้างมือ ถุงผ้า เช็ดมือ ถุงขยะโดยสัมผัสด้าน นอกของกระเป๋า 5) ถอดนาฬกิ าขอ้ มือ 6) ลา้ งมือ 7) สวมผา้ กันเปือ้ น 8) เปิดกระเป๋าหยิบของใช้ท่ีต้องการให้การพยาบาลโดยสัมผัสด้านในกระเป๋า และปิดกระเปา๋ เยยี่ มไว้ 9) ให้การพยาบาลตามปัญหาที่พบ 10) ทำความสะอาดเครื่องใชพ้ รอ้ มท้งั ล้างมือ 11) เกบ็ ของใชเ้ ข้ากระเปา๋ เยี่ยม ถอดผ้ากนั เปื้อนเกบ็ เข้าถงุ ผ้าและเกบ็ ใสก่ ระเปา๋ 12) เก็บสิ่งปูรองไว้ชั้นนอกของกระเป๋า พร้อมถุงผ้าเช็ดมือท่ีใช้แล้ว ปิดกระเป๋า ให้เรยี บร้อย 13) กำจัดถงุ ใส่ของสกปรก 3.3.4 สรุปการเยี่ยมหรือทบทวน เป็นกิจกรรมท่ีทำหลังจากให้การพยาบาลไปแล้ว ก่อนกลับพยาบาลชุมชนจะต้องสรุปหรือทบทวน สาระที่จำเป็นสำหรับครอบครัวเพื่อให้ดำเนินการ ตอ่ ไป และทำการนัดหมายคร้งั ต่อไป

39 3.4 ข้ันตอนหลังเยี่ยม เม่ือการเย่ยี มครอบครัวสน้ิ สุดลงและกลับถึงสำนักงาน พยาบาล ชมุ ชนต้องดำเนินการต่อไปน้ี 3.4.1 ดูแลทำความสะอาดอปุ กรณข์ องใช้ และกระเปา๋ เยย่ี ม เพ่อื การใช้ครง้ั ตอ่ ไป 3.4.2 บันทึกรายงานการเย่ียมครอบครัว การบันทึกนี้จะบันทึกข้อมูลปัญหา ส่ิงพบ เห็น และการปฏิบัติการพยาบาล และการประเมินผล พร้อมทั้งแนวทางการวางแผนการเยี่ยมครั้ง ต่อไป ซง่ึ จุดม่งุ หมายในการบันทึกรายงานการเยี่ยม มีดังน้ี 1) เพ่ือเป็นหลักฐานแสดงถึงผลการให้การดูแลช่วยเหลือบุคคล หรือครอบครัว โดยบุคคลในทมี สุขภาพ 2) ใช้เป็นเครือ่ งมือในการวางแผนการดแู ลการดูแลครง้ั ตอ่ ไป 3) บอกความต่อเน่ือง และความก้าวหน้าของผลการดูแลบุคคล ผู้ป่วย และ ครอบครัว ให้ทราบถึงสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ได้ผลอย่างไร ควรดำเนินการต่อไป หรือควรปรับปรุงวิธีการ ดแู ลอยา่ งไร 4) ใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผล บันทึกจะบอกให้ทราบถึงผลการดูแล ชว่ ยเหลือทั้งในด้านปริมาณ และคณุ ภาพทผี่ ้ปู ่วยและครอบครวั ไดร้ ับ 5) บันทึกที่ดีสามารถนำมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ของทีมงาน หรือ นักศึกษา 6) เป็นแหล่งข้อมลู สำหรบั ศึกษาค้นคว้าวจิ ัย 7) เปน็ หลกั ฐานทางกฎหมาย บทสรปุ การพยาบาลครอบครัว เป็นการบริการสุขภาพครอบครัวยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง โดย พยาบาลต้องใชศ้ าสตร์ทางการพยาบาลและศาสตรอ์ ื่นท่ีเก่ียวข้อง รวมท้ังศิลปะการพยาบาล มาใช้ใน การส่งเสริมสุขภาพครอบครัว ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู และช่วยให้ครอบครัวสามารถเผชิญภาวะวิกฤต ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับสุขภาพได้ โดยมุ่งเน้นให้ครอบครัวสามารถดำรงภาวะสุขภาพได้อย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญในการให้การพยาบาลครอบครัว คือการเยี่ยมครอบครัว โดยเป็นกิจกรรมท่ีพยาบาลชุมชน ต้องนำกระบวนการพยาบาลครอบครวั มาใช้ โดยส่ิงสำคญั คอื การสร้างสัมพนั ธภาพกบั ครอบครวั ตอ้ ง มีการนำเทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการเย่ียม และนำทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลครอบครัว รวมถึงเทคนิคการใช้กระเป๋าเย่ียม การเย่ียมครอบครัวแต่ละครอบครัวอาจมีความแตกต่างกันไปบ้าง ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับบริบทหน่วยงาน สภาพของครอบครัว แต่ทั้งน้ีท้ังนั้นต้องคำนึงถึง ความปลอดภัยของ

40 ผู้รบั บริการ ความถกู ต้องในเชิงวิชาการ และท่ีสำคญั ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของ ครอบครวั แบบฝึกหดั ท้ายบท คำสง่ั จงตอบคำถามทกุ ข้อตามท่ีท่านเข้าใจ 1. จงใหค้ วามหมายของการพยาบาลครอบครวั 2. จงอธิบายทฤษฎีระบบครอบครัวตามที่ท่านเขา้ ใจ 3. จงบอกบทบาทหน้าทข่ี องครอบครัว- 4 บทบาทของพยาบาลชมุ ชนในการใหก้ ารพยาบาลครอบครัวมีอะไรบ้าง 5. โครงสรา้ งพนั ธุกรรมครอบครวั หรือแผนผังเครือญาติมปี ระโยชนอ์ ย่างไร 6. ถ้าบุคคลในครอบครวั มปี ญั หาเกดิ ข้ึนจะส่งผลต่อบคุ คลอ่ืนในครอบครัว เกี่ยวข้องกับทฤษฎใี ด 7. จงบอกวัตถุประสงคข์ องการเย่ยี มครอบครวั 8. ขน้ั ตอนการเยยี่ มครอบครัวประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง 9. การจดั ลำดบั ความสำคัญของการเยีย่ ม ตอ้ งยึดหลกั ใด 10. กระบวนการพยาบาลครอบครัวประกอบดว้ ยอะไรบ้าง เอกสารอ้างอิง วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย. (2554). การบริการพยาบาลอนามัยครอบครัว ใน จริยาวัตร คมพยัคฆ์ และ วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย. (บรรณาธิการ), การพยาบาลอนามัยชุมชน (หน้า 267-306) กรุงเทพฯ: โครงการตำราสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชน สาขาพยาบาลศาสตร.์ จินตนา วัชรสินธุ์ และดารุณี จงอุดมการณ์. (2555). การพยาบาลครอบครัว. บทความวิชาการ การศกึ ษาตอ่ เนอ่ื ง สาขาพยาบาลศาสตร์ เล่มที่ 11. กรุงเทพฯ: ศิรยิ อดการพมิ พ.์ จินตนา วัชรสินธุ์. (2550). ทฤษฎีการพยาบาลครอบครัวข้ันสูง. ชลบุรี: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา. ดารุณี จงอุดมการณ.์ (2558). การพยาบาลสุขภาพครอบครัว: แนวคิดทฤษฎแี ละการประยกุ ต์ใช้ ในครอบครวั ระยะวิกฤต. ขอนแกน่ : บยี อนด์ เอน็ เทอร์ไพรซ์.

41 ยุพา จิ๋วพัฒนกุล. (2559). การพยาบาลครอบครัว ใน กีรดา ไกรนุวัตร และรักชนก คชไกร (บรรณาธิการ), การพยาบาลชุมชน (หน้า 102-185) กรุงเทพฯ: โครงการตำราคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล. Barnard, K.E. (1997). Influencing parent-child interaction for children at risk. In MJ. Guralnick (Ed). The effectiveness of early intervention (pp 249-270). Baltimore: MA. Brookes publishing, Paul H. Blumer, H. (1969). Symbolic Interactionism. Englewoog Cliffs, NJ: Prentice Hall. Duvall, E. (1977). Marriage and family development (5th ed.). Philadelphia: J.B. Lippincott. Friedman, M. M., Bowden, V. R., & Jones, E. G. (2003). Family nursing: research, Theory and Practice (5th ed.). New Jersey: Upper Saddle River. Tumer, R.H. (1970). Family Interaction. New York: Wiley. Wright, L. M., & Leahey, M. (2009). Nursing and Families: A Guide to Family Assessment and Intervention. Philadelphia: F.A. Davis.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook