2 แนวคดิ และระเบยี บวธิ ีวจิ ัยเชิงปริมาณ การวจิ ยั เชิงปริมาณเป็ นการแสวงหาความรู้เชิงประจกั ษ์ ซึงมีจุดมุ่งหมายเพือบรรยายลกั ษณะ ทาํ นายความสัมพนั ธ์ หรืออธิบายความสมั พนั ธ์เชิงเหตุ-ผล ของปรากฏการณ์ทีทาํ การศึกษา โดยมี ทฤษฎีหรือกรอบแนวคิดเป็ นแนวทางในการดาํ เนินงานอยา่ งชดั แจง้ มีการกาํ หนดมิติของ ปรากฏการณ์ รวมทงั กลุ่มเป้ าหมายทีตอ้ งการศึกษาอยา่ งเป็ นระบบ สาํ หรับกระบวนการดาํ เนินงาน นนั ไดอ้ าศยั วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ การวดั ผลและการวเิ คราะห์เชิงสถิติเป็ นเครืองมือเพือนาํ ไปสู่ ความแม่นยาํ ของผลการวจิ ยั ซึงเนน้ การใชต้ วั เลขเป็นหลกั ฐานสนบั สนุนขอ้ คน้ พบและขอ้ สรุป ต่างๆ ในแวดวงทางการศึกษานนั การตีความหมายของผลการวจิ ยั เชิงปริมาณมิไดอ้ ยใู่ นรูปของ ความรู้ทีสมบูรณ์ดงั เช่นผลลพั ธ์ทีไดจ้ ากการแกป้ ัญหาโจทยค์ ณิตศาสตร์ แต่เป็ นการประมาณค่าซึง มีระดบั ของความคลาดเคลือนเขา้ มาเกียวขอ้ ง และอาศยั กฎของความน่าจะเป็นในการอธิบาย ความ การดาํ เนินงานวจิ ยั เชิงปริมาณนีมีรากฐานมาจากความเชือในแนวคิดเชิงปฏิฐานิยมทีวา่ การ แสวงหาความรู้โดยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ คือ การสงั เกตได้ การสมั ผสั ได้ การควบคุม องคป์ ระกอบทีไม่เกียวขอ้ งออกไปจากการศึกษา รวมทงั การแปลงคุณสมบตั ิของสิงทีทาํ การศึกษา ออกมาเป็ นตวั เลขอยา่ งเป็นระบบ และเป็นปรนยั เพือนาํ ไปคาํ นวณหาความแม่นยาํ ในการตอบ คาํ ถามนนั ทาํ ใหไ้ ดค้ วามรู้ซึงเป็นทีน่าเชือถือ ปลอดจากอคติและค่านิยมของสังคม ลกั ษณะสําคญั ของการวจิ ัยเชิงปริมาณ การวจิ ยั เชิงปริมาณไดอ้ าศยั วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึงมีขนั ตอนในการดาํ เนินงานอยา่ งเป็น ระบบในการแสวงหาคาํ ตอบสาํ หรับปัญหาทีไดต้ งั ไว้ สาํ หรับวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์นี ผทู้ ี เกียวขอ้ งในวงการศึกษาจะสังเกตเห็นไดว้ า่ ชือและรายละเอียดของแต่ละขนั ตอนจะแตกต่างกนั ไป ตามสถานการณ์ทีทาํ การศึกษา และสาขาวชิ าของผดู้ าํ เนินงาน วธิ ีการนีเมือนาํ มาใชใ้ นการวจิ ยั ทาง การศึกษา จะประกอบดว้ ยขนั ตอนทีสาํ คญั ๆ 5 ขนั ตอนคือ 1) การกาํ หนดหวั ขอ้ ปัญหา 2) การสร้าง สมมติฐาน 3) การใชเ้ หตุผลเชิงอนุมานเพอื นาํ ไปสู่นยั เชิงปฏิบตั ิของสมมติฐานทีตงั ไว้ 4) การ รวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูล และ 5) การยนื ยนั หรือการไม่ยอมรับสมมติฐานทีตงั ไว้ สาํ หรับการกาํ หนดมิติของปรากฏการณ์ หรือตวั แปรทีทาํ การศึกษานนั เนืองจากนกั วจิ ยั เชิง ปริมาณตอ้ งการศึกษาในรายละเอียด และคน้ หาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรเหล่านนั อยา่ งลึกซึง ในภาคตดั ขวางของช่วงเวลาใดเวลาหนึง จึงมีการกาํ หนดจาํ นวนมิติของปรากฏการณ์ หรือตวั แปร ทีทาํ การศึกษาเป็นจาํ นวนจาํ กดั รวมทงั มีการควบคุมตวั แปรทีไม่ไดเ้ กียวขอ้ งไวด้ ว้ ย โดยมีขอ้ ตกลง เบืองตน้ ทีกาํ หนดวา่ องคป์ ระกอบอืนๆ ทีนอกเหนือจากการศึกษาวจิ ยั นนั เท่าเทียมกนั (ceteris paribus) ซึงในสถานการณ์เช่นนี บริบทของการดาํ เนินงานจะจาํ กดั แวดวง และมุ่งความสนใจ 19
เฉพาะปรากฏการณ์ หรือตวั แปรทีไดก้ าํ หนดไวใ้ นสมมติฐานการวจิ ยั เพอื ทีนกั วจิ ยั จะไดบ้ ่งชีและ กาํ หนดความสมั พนั ธ์นนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน และแม่นยาํ นอกเหนือจากขอ้ ตกลงเบืองตน้ เกียวกบั การ ควบคุมตวั แปรแลว้ ก็ยงั มีขอ้ ตกลงเบืองตน้ ทีนกั วจิ ยั เชิงปริมาณตอ้ งตระหนกั เกียวกบั คุณลกั ษณะ ของตวั แปรทีทาํ การศึกษาอีกดว้ ย นนั คือ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรทีทาํ การวจิ ยั จะตอ้ งเป็ นไป ในเชิงเส้นตรง และแบบจาํ ลองของการวดั ปริมาณจะตอ้ งเป็นแบบจาํ ลองเชิงบวก (additive model) ซึงก็หมายความวา่ ปริมาณของตวั แปรตน้ ส่งผลกระทบต่อตวั แปรตามในลกั ษณะทีนาํ มาบวกกนั ได้ ในเชิงคณิตศาสตร์ ขันตอนของการวจิ ัยเชิงปริมาณ 1. เลอื กหัวข้อปัญหาทจี ะทาํ การวจิ ัย (Selecting a topic of research) เพอื เป็นการกาํ หนดขอบเขต หรือ ขอบข่ายของงาน 2. ศึกษาค้นคว้ารวบรวมความรู้พนื ฐาน และทฤษฎีทเี กยี วข้องกบั งานวจิ ัย (Review literature and related research) เพือใหผ้ วู้ จิ ยั มองเห็นววิ ฒั นาการของความรู้หรือทฤษฎีนนั ๆ วา่ มีพฒั นาการ มาอยา่ งไร ใครเป็นคนตน้ คิด มีใครตรวจสอบวจิ ยั มาบา้ งแลว้ มีตวั แปรใดบา้ งทีเขา้ มาเกียวขอ้ ง แบบแผนการวจิ ยั ทวั ๆ ไปเป็นเช่นใด ฯลฯ สิงต่าง ๆ เหล่านีจะช่วยใหผ้ วู้ จิ ยั มองเห็นปัญหาแจ่ม ชดั ขึน 3. ให้คําจํากดั ความหวั ข้อปัญหาทจี ะทาํ การวจิ ัย (Formulating research problem) ในขนั นีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งเขียนบรรยายถึงความเป็นมาของปัญหาทีจะวจิ ยั ทฤษฎีพืนฐาน ความมุ่งหมายของการ วจิ ยั ความสาํ คญั ของการวิจยั ขอบเขตของการวจิ ยั ขอ้ ตกลงเบืองตน้ คาํ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ วธิ ีดาํ เนินการ กลุ่มตวั อยา่ ง เครืองมือทีใชใ้ นการวจิ ยั สถิติทีใชว้ เิ คราะห์ขอ้ มูล รวมทงั เอกสารการ วจิ ยั ทีเกียวขอ้ ง 4. สร้างสมมตฐิ าน (Formulating research hypothesis) การสร้างสมมติฐานเป็นการคาดคะเน คาํ ตอบของปัญหาทีจะทาํ การวจิ ยั วา่ ควรจะเป็ นไปในลกั ษณะใด โดยอาศยั หลกั ของเหตุผลซึง อาจไดม้ าจากประสบการณ์หรือเอกสารงานวจิ ยั ทีคน้ ควา้ มาอนุมาน (Deductive) วา่ ปัญหานนั ควรจะตอบไดเ้ ช่นไร คาํ ตอบทีไดจ้ ากการเดาหรือคาดคะเนนีเรียกวา่ สมมติฐาน ในขนั นีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งพิจารณาดว้ ยวา่ ปัญหาและสมมติฐานในการวจิ ยั มีความสอดคลอ้ งกนั และสมเหตุสมผล พอทีจะตรวจสอบไดห้ รือไม่ดว้ ย 5. พจิ ารณาแหล่งทมี าของข้อมูล (Source of data) คือผวู้ จิ ยั จะตอ้ งระลึกอยเู่ สมอวา่ กาํ ลงั ทาํ วจิ ยั เรืองอะไร ขอ้ มลู ทีจะทาํ การวจิ ยั คืออะไร อยทู่ ีไหน กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นใคร จะไดม้ าอยา่ งไร และ เลือกกลุ่มตวั อยา่ งโดยวธิ ีใด เป็นตน้ 6. สร้างเครืองมือทจี ะใช้ในการวจิ ัย (Formulating research instrument) คือการเตรียมอุปกรณ์ใน การทีจะเก็บรวบรวมขอ้ มลู ใหพ้ ร้อมก่อนทีจะทาํ การวจิ ยั โดยพจิ ารณาจากรูปแบบของการวิจยั 20
และความตอ้ งการประเภทของขอ้ มูลเป็ นสาํ คญั เพอื ทีผวู้ จิ ยั จะไดก้ าํ หนดและเลือกเครืองมือให้ เหมาะสมกบั งานวจิ ยั ไดม้ ากทีสุด งานในขนั นีผวู้ จิ ยั ควรจะไดม้ ีการตรวจสอบคุณภาพของ เครืองมือวา่ มีความเทียงตรงและเชือถือไดห้ รือไม่ ซึงเราเรียกลกั ษณะการทาํ งานอยา่ งนีวา่ Pilot study คือทดลองใชก้ บั กลุ่มยอ่ ย ๆ เพือหาขอ้ บกพร่องและฝึกการแกป้ ัญหา และเป็นการประเมิน งานวจิ ยั เบืองตน้ วา่ จะมีคุณค่า คุม้ กบั เวลา ค่าใชจ้ ่าย กาํ ลงั กายและกาํ ลงั สมองทีจะทาํ ต่อไป หรือไม่ 7. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล (Collecting data) คือการนาํ เอาเครืองมือไปใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ งจริง ๆ ใน การวจิ ยั ถา้ เป็นการวจิ ยั แบบทดลองก็เริมลงมือทดลองนนั เอง 8. การจัดกระทาํ ข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมูล (Scrutinizing data and Analysis of data) เป็นการ เลือกสรรขอ้ มลู จดั ประเภทขอ้ มูลหรือจดั หมวดหม่ขู องขอ้ มลู เพือใหส้ ะดวกต่อการทีจะนาํ ไป วเิ คราะห์ในอนั ทีจะนาํ ไปตรวจสอบสมมติฐานตลอดจนพิจารณาเลือกใชส้ ถิติทีจะวเิ คราะห์ให้ เหมาะสมกบั ลกั ษณะของขอ้ มูล เมือวเิ คราะห์ขอ้ มลู แลว้ ก็คิดหาวธิ ีการนาํ เสนอค่าสถิติทีไดว้ า่ ควรจดั เสนอแบบใดจึงจะเหมาะสม และมีความหมายมากทีสุดเพือประโยชน์ในการเขียนรายงาน การวจิ ยั 9. ตีความผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเพอื หาข้อสรุป (Interpretation of data) ในทางปฏิบตั ิมีวธิ ีตีความ หรือใหค้ วามหมายขอ้ มลู อยู่ 2 วธิ ี ซึงทงั 2 วธิ ีนี มีผนู้ ิยมใชพ้ อ ๆ กนั คือวธิ ีหนึงจะอธิบายเฉพาะ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทีไดจ้ ากการวจิ ยั เท่านนั ไม่นาํ ขอ้ คิดเห็นส่วนตวั หรือทฤษฎีหรือ ผลการวจิ ยั ทีเกียวขอ้ งมาประกอบขอ้ สรุป กล่าวคือใหต้ วั เลขหรือผลทีไดจ้ ากการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เท่านนั เป็ นสิงแสดงขอ้ เทจ็ จริง ผอู้ ่านจะเป็ นผวู้ นิ ิจฉยั เอง ส่วนอีกวธิ ีหนึงจะอธิบายผลการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยสอดแทรกความคิดเห็น ขอ้ เสนอแนะทีอา้ งอิงมาจากทฤษฎีและผลการวจิ ยั ที เกียวขอ้ งมาประกอบเขา้ กบั ผลของการวเิ คราะห์ทีไดจ้ ากการวจิ ยั ครังนี โดยเชือวา่ จะช่วยใหก้ าร ตีความผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู มีนาํ หนกั มากยงิ ขึน 10. การเขยี นรายงานการวจิ ัยและการจัดพมิ พ์ (Research report and publishing) เป็นการรายงาน ขอ้ เทจ็ จริงทีคน้ พบเพือประโยชน์ต่อตนเองและผอู้ ืน ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งเขียนดว้ ยภาษาทีเขา้ ใจง่าย ชดั เจน และรัดกุม แลว้ ตรวจดูความถูกตอ้ งอีกครังหนึงก่อนทีจะจดั พมิ พต์ ่อไป 21
กระบวนการดาํ เนินงานวจิ ยั เชิงปริมาณ ประกอบดว้ ยขนั ตอนทีสาํ คญั ๆ ดงั แผนภาพต่อไปนี เท่าทีผา่ นมาแลว้ ในอดีต นกั การศึกษาไดใ้ ชว้ ธิ ีการเชิงปริมาณ ในการวจิ ยั เพือเสริมสร้าง ความรู้ในการจดั การ และพฒั นาคุณภาพการศึกษาอยา่ งกวา้ งขวาง ประโยชนท์ ีไดร้ ับจากการวจิ ยั เชิงปริมาณประเภทต่างๆ นนั ถา้ หากแยกเป็นหมวดหม่ใู หญ่ๆ ก็จะไดเ้ ป็น 3 กลุ่มดงั นี คือ :- • ประโยชนท์ ีไดร้ ับจากการดาํ เนินงานเชิงสาํ รวจ (exploratory survey) ทาํ ใหน้ กั การศึกษาทราบ สภาพความเป็นไปและปัญหาในการจดั การศึกษาระดบั มหภาค และไดใ้ ชข้ อ้ เทจ็ จริงทีไดจ้ าก การวจิ ยั ประเภทนีเป็ นพืนฐานในการตดั สินใจ เพอื ปรับปรุงการดาํ เนินงาน ใหเ้ ป็ นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลตามเป้ าหมายทีกาํ หนดไว้ 22
• ประโยชนท์ ีไดร้ ับจากการวจิ ยั เกียวกบั ปรากฏการณ์ทีไดเ้ กิดขึนไปแลว้ ก่อนทีจะทาํ การศึกษา หรือเกียวกบั คุณลกั ษณะทีมีอยแู่ ลว้ ตามธรรมชาติของบุคคล (ex post facto research) ทาํ ให้ นกั การศึกษาเขา้ ใจปรากฏการณ์ทีเกิดขึนในวงการ และเขา้ ใจพฤติกรรมของบุคคลโดยเฉพาะ นกั เรียนดีขึน งานวจิ ยั ประเภทนีสามารถตอบคาํ ถามทีเรามกั จะถามกนั เสมอๆ วา่ \"ทาํ ไมถึงเป็น อยา่ งนนั ?\" ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ลกั ษณะการดาํ เนินงานเพอื ตอบคาํ ถามขา้ งตน้ ก็มีทงั การศึกษาเชิง เปรียบเทียบ (comparative study) เกียวกบั พฤติกรรมของบุคคลทีมีคุณลกั ษณะประจาํ ตวั แตกต่าง กนั ตวั อยา่ งเช่น การเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ของนกั เรียนชายและ นกั เรียนหญิงในระดบั ประถมศึกษา การศึกษาเชิงสหสมั พนั ธ์ (correlational study) เกียวกบั คุณลกั ษณะดา้ นต่างๆ และพฤติกรรมทีน่าสนใจของบุคคล เช่น ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความ สนใจทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ กบั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนในชนบท และ การศึกษาเชิงทาํ นาย (predictive study) เกียวกบั พฤติกรรมของบุคคล ซึงใชก้ นั มากในการ พยากรณ์ประสิทธิผลของการคดั เลือกนกั เรียนเขา้ เรียนต่อ หรือคดั เลือกบุคคลเขา้ ทาํ งานใน หนา้ ทีต่างๆ โดยอาศยั ขอ้ มูลจากบุคคลรุ่นก่อนๆ ทีไดท้ าํ การวเิ คราะห์ไวแ้ ลว้ เป็ นพนื ฐานในการ ทาํ นาย ตวั อยา่ งเช่น การทาํ นายสมั ฤทธิผลในการเรียนของนกั ศึกษาระดบั บณั ฑิตศึกษาจาก คะแนนแบบทดสอบความถนดั การทาํ นายประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานของพนกั งานจา คะแนนแบบวดั บุคลิกภาพ เป็ นตน้ • ประโยชน์ทีไดร้ ับจากการวจิ ยั เชิงทดลอง (experimental research) เกียวกบั เงือนไขทางดา้ น จิตวทิ ยาทีมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนกั เรียน ก็ทาํ ใหน้ กั การศึกษาทราบความสัมพนั ธ์เชิง เหตุ-ผล ระหวา่ งสิงเร้าและพฤติกรรมตอบสนองของนกั เรียน ซึงสิงนีก็ยงั ประโยชนต์ ่อการเรียน การสอนในชนั เรียน และการปรับตวั ของบุคคล การวจิ ยั เชิงทดลองเพอื พฒั นาหลกั สูตร หรือเพือ พฒั นาสือการสอนก็ไดช้ ่วยใหผ้ ทู้ ีเป็นครูไดพ้ ฒั นาการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพ และ สอดคลอ้ งกบั บริบทของสังคมทีเปลียนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว ในส่วนของการวจิ ยั เชิงทดลองเพอื พฒั นาเครืองมือวดั ผลดา้ นพุทธิพสิ ัย จิตพิสัยและทกั ษะพสิ ัยนนั ก็นบั วา่ ไดช้ ่วยบุคลากรในวง การศึกษา ใหส้ ามารถจาํ แนกบุคคลไดส้ อดคลอ้ งตามเกณฑท์ ีตอ้ งการไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ และมี ขอบเขตของความแม่นยาํ เป็ นพืนฐานช่วยในการตดั สินใจ 23
การวางแผนดาํ เนินงานวจิ ัย การวจิ ยั เชิงทดลอง เป็นรูปแบบหนึงของการวจิ ยั เชิงปริมาณ ซึงไดร้ ับอิทธิพลในเรือง รูปแบบการวจิ ยั มาจากแบบจาํ ลองเกษตรกรรม (agricultural model) นนั นกั วจิ ยั ทางการศึกษาทีนาํ วธิ ีนีไปใชก้ บั การทดลองเกียวกบั พฤติกรรมของมนุษย์ พึงระมดั ระวงั ในเรืองการควบคุมการ ทดลอง ซึงไม่สามารถทีจะกระทาํ ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ เหมือนดงั เช่นการทดลองกบั พชื หรือพนั ธุ์ไม้ ต่างๆ นอกจากนีการนาํ รูปแบบการทดลองแต่ละชนิดไปใชใ้ นการวจิ ยั ก็ตอ้ งตระหนกั เกียวกบั ความสอดคลอ้ งของรูปแบบนนั ๆ กบั ประเด็นปัญหาการวจิ ยั และสภาพความเป็นจริงทีเผชิญอยู่ การใชร้ ูปแบบทียงั ไม่เขา้ ขนั การทดลอง (pre-experimental design) ก็มิไดห้ มายความวา่ งานวจิ ยั นนั ๆ ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีคุณค่า แต่ตรงกนั ขา้ ม ถา้ หากวา่ นกั วจิ ยั นาํ รูปแบบเชิงทดลองทีแทจ้ ริง (true experimental design) ไปบงั คบั ใชใ้ นสถานการณ์ทีไม่เหมาะสม และดาํ เนินการทดลองโดย คาํ นึงถึงเฉพาะเรืองระเบียบวธิ ีทีถูกตอ้ งมากกวา่ แก่นของเรืองทีทาํ การวจิ ยั จริยา เสถบุตร (2526) ไดแ้ บ่งรูปแบบของการวจิ ยั เป็นหลายประเภทดงั นี 1. รูปแบบการศึกษาปรากฏการณ์ทเี กดิ ขึนแล้ว (ex post facto designs) รูปแบบการศึกษาปรากฏการณ์ทีเกิดขึนแลว้ นีเป็นรูปแบบทีมกั ใชก้ นั ส่วนมากในการวจิ ยั เชิง บรรยายนนั คือ การศึกษาผลของปรากฏการณ์ต่างๆ ซึงเกิดขึนโดยทีผวู้ จิ ยั ไม่ไดไ้ ปดาํ เนินการ ควบคุมหรือทดลองใหส้ ิงเร้าแก่กลุ่มตวั อยา่ ง และจากการศึกษาปรากฏการณ์ทีเกิดขึนโดยทีผวู้ จิ ยั ไม่ไดค้ วบคุม หรือดเนินการกบั ตวั แปรทีทาํ การศึกษานนั ทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั ไม่สามารถทีจะกล่าวสรุปผล ของความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรตน้ และตวั แปรตามทีทาํ การศึกษาในลกั ษณะทีบอกเหตุและผลได้ แต่บอกไดใ้ นลกั ษณะของแนวโนม้ ของความสมั พนั ธ์ 1.1 รูปแบบการศึกษาความสัมพนั ธ์ เป็นการวจิ ยั ทีผวู้ จิ ยั รวบรวมขอ้ มูลเกียวกบั คุณลกั ษณะ หรือตวั แปรของบุคคลในกลุ่มตวั อยา่ ง ตงั แต่สองคุณลกั ษณะขึนไป เพอื หาความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง คุณลกั ษณะนนั ๆ รูปแบบของการเขียนเป็ นแผนภูมิจะเป็นดงั นี O1 O2 หรือ O1 O2 ……… On เมือ Oi คือ ผลจากการสังเกตหรือผลจากการวดั คุณลกั ษณะที 1 2 ... n ตามลาํ ดบั โดยที คุณลกั ษณะหรือตวั แปรที 1 ถึง n-1 เป็นตวั แปรตน้ และตวั แปรที n จะเป็นตวั แปรตาม 1.2 รูปแบบทอี าศัยกลุ่มทีเป็ นเกณฑ์ เป็ นการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรโดยการ เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งคุณลกั ษณะทีตอ้ งการศึกษา และคุณลกั ษณะทีตรงขา้ มกบั คุณลกั ษณะทีตอ้ งการศึกษา เพือทีจะจดั หากลุ่มทีเป็ นเกณฑเ์ กียวกบั คุณลกั ษณะทีทาํ การศึกษา และ จดั หาบุคคลทีมีคุณลกั ษณะดงั กล่าวมาอยใู่ นกลุ่มเกณฑ์ พร้อมกนั นนั ก็จดั หาบุคคลทีไม่มี คุณลกั ษณะตามทีตอ้ งการศึกษามาไวอ้ ีกกลุ่มหนึง เพือศึกษาพฤติกรรมและเปรียบเทียบผลงานทีได้ จากการจดั บุคคลทีมีลกั ษณะต่างกนั ไวใ้ นคนละกลุ่ม ซึงมีแผนภูมิดงั นี 24
C O1 หรือ C O1 ------- O2 O2 โดยที C เป็นสญั ลกั ษณ์ บอกใหท้ ราบวา่ กลุ่มทีใชเ้ ป็นกลุ่มเกณฑ์ และ - - - - เป็นสัญลกั ษณ์ บอกใหท้ ราบวา่ กลุ่มทีใชใ้ นการทดลองนนั เป็ นกลุ่มทีผวู้ จิ ยั ทาํ การคดั เลือก มาแบบเป็นกลุ่มหรือเป็ นหอ้ งเรียน 2. รูปแบบทยี งั ไม่เข้าขันการทดลอง (pre-experimental designs) เป็นรูปแบบทียงั ไม่ถือวา่ เป็นการทดลองทีแทจ้ ริง เนืองจากไม่สามารถควบคุมองคป์ ระกอบ ทีทาํ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อความตรงภายใน ของการวิจยั ได้ มีอยดู่ ว้ ยกนั 3 รูปแบบยอ่ ย ดงั นี 2.1 การศึกษาเฉพาะกรณีโดยให้การทดลองหนึงครัง (One-shot case study) เขียนเป็น แผนภูมิไดด้ งั นี XO เมือ X เป็นสัญลกั ษณ์แทนการใหก้ ารทดลองหรือสิงเร้า หรือตวั แปรตน้ แก่กลุ่มทดลอง การวจิ ยั รูปแบบนี ผทู้ ีถูกทดลองกลุ่มหนึง จะไดร้ ับการทดลองและหลงั การทดลองนนั ก็มี การสงั เกตผลหรือวดั ผลทีไดจ้ ากการทดลองทีมีต่อคนทีอยใู่ นกลุ่มทีทาํ การศึกษา การวจิ ยั รูปแบบนี ผวู้ จิ ยั ไม่สามารถสรุปผลการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งแน่ชดั วา่ X ทาํ ใหเ้ กิด O เนืองจากไม่มีกลุ่มควบคุม หรือ กลุ่มทีไม่ไดร้ ับการทดลอง มาเปรียบเทียบ นอกจากนีผวู้ จิ ยั ก็ยงั ไม่ทรายรายละเอียดของผทู้ ีถูกทาํ การทดลอง หรือภูมิหลงั ก่อนทีคนเหล่านนั จะเขา้ รับการทดลองวา่ เป็นอยา่ งไร 2.2 รูปแบบกลุ่มทมี กี ารทดสอบก่อนและทดสอบหลงั การทดลอง (One group pretest- posttest designs) มีแผนภมู ิดงั นี O1 X O2 รูปแบบนีมีกลุ่มตวั อยา่ งกลุ่มเดียว แต่มีการทดสอบก่อนทีจะมีการทดลอง เพอื ทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั ทราบเกียวกบั สถานะของผทู้ ีถูกทดลองแต่ละคน แต่ผวู้ จิ ยั ก็ยงั ไม่สามารถควบคุมความเจริญเติบโต ความเป็นอยขู่ องผทู้ ีถูกทดลอง และผลกระทบจากการทดสอบ 2 ครังได้ 2.3 การเปรียบเทยี บกลุ่มตวั อย่างทเี ลอื กมาแบบเป็ นกลุ่ม (intact-group comparison) X O1 ---------- O2 25
รูปแบบนีจะมีกลุ่มทีถูกควบคุม หรือกลุ่มทีไม่ไดร้ ับการทดลอง ทงั นีก็เพือทีจะนาํ ผลมา เปรียบเทียบกบั กลุ่มทดลอง แมว้ า่ การมีกลุ่มควบคุมจะทาํ ใหอ้ งคป์ ระกอบทีเกียวขอ้ งกบั ความตรง ภายในของการวิจยั ถูกควบคุมได้ แต่การคดั เลือกบุคคลเขา้ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมนนั ไม่ได้ ใชว้ ธิ ีการสุ่ม ซึงทาํ ใหเ้ กิดความลาํ เอียงในการเลือกกลุ่มตวั อยา่ ง นอกจากนียงั ไม่มีการทดสอบก่อน การใหก้ ารทดลองดว้ ย ทาํ ให้ไม่สามารถตดั สินใจไดว้ า่ กลุ่มตวั อยา่ งทงั สองมีความสามารถใกลเ้ คียง กนั หรือไม่ 3. รูปแบบกงึ การทดลอง (quasi-experimental designs) รูปแบบการวิจยั แบบกึงทดลอง สามารถควบคุมองคป์ ระกอบทีจะเกิดผลกระทบต่อความ ตรงภายในของการวิจยั ไดบ้ างชนิด ซึงดีกวา่ รูปแบบการวิจยั ทียงั ไม่เขา้ ขนั การทดลอง รูปแบบการ วจิ ยั แบบกึงทดลอง ใชเ้ ป็นประโยชนไ์ ดด้ ีในสถานการณ์ทีผวู้ จิ ยั ไม่สามารถจะใชร้ ูปแบบการ ทดลองอยา่ งแทจ้ ริงกบั ผทู้ ีถูกทดลองได้ ในสถานการณ์ปัจจุบนั และในสภาพความเป็นจริงของวง การศึกษานนั ไม่ค่อยเอืออาํ นวยแก่นกั วจิ ยั เท่าใดนกั นกั วิจยั ทางการศึกษามกั จะประสบปัญหา เกียวกบั การคดั เลือกบุคคลทีจะทาํ การทดลอง เขา้ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ทางโรงเรียนอาจจะ ไม่ร่วมมือในการทีจะจดั ทดลอง หรือไม่ตอ้ งการให้นกั เรียนจากชนั ต่างๆ ถูกเลือกมาเขา้ กลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวธิ ีการสุ่ม และนกั เรียนทงั สองกลุ่มนนั จะไดป้ ระสบการณ์ในการ เรียนรู้ไม่เทียมกนั รายละเอียดของรูปแบบกึงทดลองมีดงั นี 3.1 รูปแบบอนุกรมช่วงเวลา (time-series designs) ใชใ้ นกรณีทีผวู้ จิ ยั ไม่สามารถจดั หากลุ่ม ควบคุมได้ ผวู้ จิ ยั อาจจะใชร้ ูปแบบอนุกรมช่วงเวลา ซึงมีแผนภมู ิดงั นี O1 O2 O3 O4 X O5 O6 O7 O8 รูปแบบนีแตกต่างจากรูปแบบกลุ่มทีมีการทดสอบก่อนและหลงั การทดลอง ในแง่ของการ ทดสอบซึงกระทาํ เป็นชุดๆ หลายครังต่อเนืองกนั ในการทดสอบติดต่อกนั หลายๆ ครังนี ก็จะช่วย ควบคุมองคป์ ระกอบทีจะทาํ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อความตรงภายในของการวจิ ยั ไดห้ ลายชนิด เช่น สภาพความเป็นอยขู่ องผทู้ ีถูกทดลอง วฒุ ิภาวะ การสอบ และเครืองมือทีใชใ้ นการวดั ผล สาํ หรับ ขอ้ เสียของรูปแบบนี คือ การไปทดสอบหรือสังเกตพฤติกรรมหลายๆ ครัง รวมทงั ก่อนและหลงั นนั อาจจะไดร้ ับความร่วมมือจากโรงเรียนหรือสถานทีทีผวู้ จิ ยั ตอ้ งการทาํ การทดลองไดไ้ ม่ดี เท่าทีควร 3.2 รูปแบบทมี ีกลุ่มควบคุมทีไม่เสมอภาค (nonequivalent control group design) เป็น รูปแบบทีใชก้ นั มากในการวิจยั ทางการศึกษา คือมีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และทงั สองกลุ่มนี มีการทดสอบทงั ก่อนและหลงั การทดลอง แต่การคดั เลือกบุคคลเขา้ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง เป็นไปอยา่ งไม่เสมอภาคกนั เพราะผวู้ จิ ยั อาจจะไดร้ ับความร่วมมือจากทางโรงเรียนเพียงแต่ให้ 26
นกั เรียนมาครังละชนั เรียน และไม่สามารถทีจะจดั นกั เรียนเขา้ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองโดย วธิ ีการสุ่มแบบธรรมดาได้ สาํ หรับการกาํ หนดกลุ่มทีจะเป็ นกลุ่มควบคุม หรือกลุ่มทดลองนนั เป็นไปโดยวธิ ีการแบบสุ่ม อาจจะจบั ฉลากหรือโยนเหรียญก็ได้ ซึงมีแผนภมู ิดงั นี O1 X O2 --------------- O3 O4 รูปแบบนีจะมีปัญหาเกียวกบั องคป์ ระกอบทีจะส่งผลต่อความตรงภายในของการวจิ ยั คือ ผวู้ จิ ยั ไม่สามารถควบคุมความลาํ เอียงในการคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งได้ ดงั นนั ผวู้ ิจยั จึงตอ้ งมีการ ทดสอบก่อนการทดลองและเปรียบเทียบคะแนนจากการทดสอบก่อนการทดลอง นนั คือ เปรียบเทียบ O1 และ O3 เพือเปรียบเทียบความสามารถระหวา่ งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และ นอกจากนีผวู้ จิ ยั อาจจะตรวจสอบความเสมอภาคของบุคคลในกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองในดา้ น ต่างๆ เช่น อายุ เพศ ระดบั สติปัญญา ประกอบกนั อีกก็ได้ เพอื ใหท้ ราบความแตกต่างระหวา่ งกลุ่ม ควบคุมและกลุ่มทดลอง ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลสาํ หรับรูปแบบนี จะเปรียบเทียบคะแนนทีได้ เพิมขึนจากการทดลอง นนั คือ เปรียบเทียบระหวา่ ง O2-O1 และ O4-O3 โดยปกติแลว้ วธิ ีการทางสถิติ ทีใชส้ าํ หรับรูปแบบการวจิ ยั ชนิดนีคือ การวเิ คราะห์ความแปรปรวนร่วม (analysis of covariance) 4. รูปแบบการทดลองทแี ท้จริง (true experimental designs) เป็นรูปแบบการวจิ ยั ทีสามารถควบคุมองคป์ ระกอบทีจะทาํ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อความตรง ภายในและความตรงภายนอกของการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งพอเพียง กฎและขอ้ บงั คบั ของรูปแบบการวจิ ยั ชนิดนี จะสร้างขึนโดยไม่คาํ นึงถึงสภาพเป็นจริงและธรรมชาติของสถานการณ์ทีผวู้ จิ ยั ทางดา้ น การศึกษาและสงั คมศาสตร์ตอ้ งเผชิญในการดาํ เนินการวิจยั เลย รูปแบบการทดลองทีแทจ้ ริงที น่าสนใจและสาํ คญั ๆ มีดงั นี 4.1 รูปแบบทมี ีกลุ่มควบคุมและทาํ การทดสอบก่อนและหลงั การทดลอง (pretest-posttest control group design) มีแผนภูมิดงั นี R O1 X O2 R O3 O4 เมือ R เป็นสญั ลกั ษณ์แทนการเลือกกลุ่มตวั อยา่ งผทู้ ีถูกทดลอง โดยวธิ ีการแบบสุ่ม รูปแบบการวิจยั ชนิดนีใชก้ ลุ่มคนในการทาํ วจิ ยั สองกลุ่มคือ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง การคดั เลือกบุคคลเขา้ กลุ่มแต่ละกลุ่มเป็นไปโดยวธิ ีการสุ่ม และการกาํ หนดกลุ่มควบคุมและกลุ่ม 27
ทดลอง ก็เป็นไปโดยวธิ ีการสุ่มเช่นเดียวกนั รูปแบบนีมีการทดสอบก่อนทีจะทาํ การทดลอง และ หลงั จากทาํ การทดลองไปช่วงระยะหนึงผวู้ จิ ยั ก็จะทาํ การสงั เกตหรือวดั ผลหรือทาํ การทดสอบอีก ครัง และเปรียบเทียบค่าเฉลียของความแตกต่างระหวา่ ง O2-O1 และค่าเฉลียของความแตกต่าง ระหวา่ ง O4-O3 4.2 รูปแบบสีกลุ่มแบบโซโลมอน (The Solomon four-group design) มีแผนภูมิดงั นี R O1 X O2 R O3 O4 R X O5 R O6 จะเห็นวา่ ในรูปแบบนีมีกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เพิมขึนมาจากรูปแบบ 4.1 แต่ไม่มีการ ทดสอบก่อนทาํ การทดลอง ในการใชร้ ูปแบบการวจิ ยั ชนิดนีนอกจากจะทาํ ใหก้ ารสรุปลงความ เกียวกบั ผลการวจิ ยั เป็นไปไดก้ วา้ งขวางขึนแลว้ ยงั ทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั ทราบถึงผลการทดลองซึงสามารถ เปรียบเทียบไดถ้ ึงสีลกั ษณะ คือ O2 > O1 , O2 > O4 , O5 > O6 และ O5 > O3 ซึงถา้ หากผลการเปรียบเทียบแต่ละครังสอดคลอ้ งกนั ก็จะทาํ ใหก้ ารสรุปผล ทีไดจ้ ากการวจิ ยั น่าเชือถือมากขึน 4.3 รูปแบบทมี กี ลุ่มควบคุมและทาํ การทดสอบหลงั การทดลองเท่านัน (posttest-only control group design) มีแผนภูมิดงั นี R X O1 R O2 รูปแบบนีใชก้ ลุ่มตวั อยา่ งสองกลุ่ม ซึงคดั เลือกมาโดยวธิ ีการสุ่ม และจดั เขา้ กลุ่มทดลองและ ควบคุมดว้ ยวธิ ีการสุ่มเช่นเดียวกนั หลงั จากทีมีการทดลองไปช่วงระยะหนึงแลว้ ก็จะมีการทดสอบ ไดผ้ ลจากกลุ่มทดลองเป็น O1 และผลการทดสอบจากกลุ่มควบคุมเป็น O2 รูปแบบนีไม่มีผลกระทบ ต่อความตรงภายในอนั เนืองมาจากการทดสอบสองครัง และสามารถเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหวา่ ง O1 และ O2 28
แหล่งข้อมูล กล่มุ เป้ าหมาย ประชากรกลุ่มตวั อย่าง แหล่งข้อมูล ก่อนทีจะเก็บรวบรวมขอ้ มูลนนั จาํ เป็ นทีจะตอ้ งจะตอ้ งคิดก่อนวา่ ขอ้ มลู ทีตอ้ งการในการวจิ ยั ครังนนั ๆ มีอะไรบา้ ง ในขนั ตอนนี คงตอ้ งยอ้ นกลบั ไปดูทีประเด็นคาํ ถามในการวจิ ยั และกรอบแนวคิดทีตงั ไว้ ตลอดจนสมมติฐาน (ถา้ มี) เพือตอบคาํ ถามในประเด็นแรก จากนนั จึงไปดูทีแบบวจิ ยั วา่ เป็นการวจิ ยั เชิงสาํ รวจ การวจิ ยั เชิงพรรณนา หรือการวจิ ยั เชิง ทดลอง เพราะจากแบบวจิ ยั จะทาํ ใหท้ ราบถึงขอบเขตของขอ้ มูลทีตอ้ งการเก็บ และในกรณีทีมีการ สร้างมาตรวดั จาํ เป็นตอ้ งทดสอบมาตรวดั นนั ดว้ ย เมือทราบขอ้ มูลทุกขนั ตอนดงั กล่าวมาแลว้ จึงจะดูวา่ ขอ้ มูลแต่ละขอ้ นนั มีแหล่งขอ้ มลู อยทู่ ีใด ขอ้ มลู ชนิดเดียวกนั อาจเก็บจากแหล่งขอ้ มลู ไดม้ ากกวา่ 1 แหล่ง ขอ้ มูลทุติยภมู ิ (Secondary Data) หมายถึง ขอ้ มูลทีไม่ไดร้ วบรวมขึนเพือทาํ การศึกษาใน สิงทีกาํ ลงั เกิดขึนอยา่ งทนั ทีทนั ใด แต่เป็นขอ้ มูลทีเก็บรวบรวมมาก่อน เพอื วตั ถุประสงคอ์ ืน บางอยา่ ง อีกนยั หนึงก็คือ ขอ้ มูลทีมีผเู้ ก็บมาแลว้ เช่น จากการสาํ รวจสาํ มะโนครัว เป็นตน้ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึง ขอ้ มลู ทีก่อใหเ้ กิดขึนโดยผทู้ าํ การวจิ ยั มีเก็บ รวบรวมขึนตามวตั ถุประสงค์ หรือปัญหาของการวจิ ยั ขอ้ มูลประเภทนีจะโดยตรงจากพนื ที หรือตวั บุคคล ในการวจิ ยั นนั จะพบอยเู่ สมอวา่ ประชากรมีขนาดใหญ่มาก และเกินกาํ ลงั ทีผวู้ จิ ยั จะ ทาํ การศึกษาได้ ประกอบกบั การวจิ ยั มีระยะเวลาจาํ กดั ทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั จาํ เป็ นตอ้ งเก็บรวบรวมขอ้ มูล จากส่วนหนึงของประชากร เรียกวา่ ตวั อยา่ ง ทีจะตอ้ งมีคุณสมบตั ิเป็นตวั แทนทีดี การคดั เลือก ตวั อยา่ งเพือใหไ้ ดต้ วั แทนทีดีของประชากรมีหลกั การสาํ คญั คือ (สุวมิ ล ติรกานนั ท,์ 2543) 1. เลือกวธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งทีเหมาะสม เพอื ทาํ ใหไ้ ดต้ วั อยา่ งทีเป็นตวั แทนทีดีของประชากร 2. ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งมีขนาดพอเหมาะทงั ในดา้ นทฤษฎีและในดา้ นการปฏิบตั ิ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิงต่างๆ ทีสมาชิกทุกหน่วยของสิงนนั เป็ น กลุ่มเป้ าหมายทีผวู้ จิ ยั ตอ้ งการศึกษา เช่น การศึกษาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ของนกั เรียน ช่วงชนั ที 2 ในจงั หวดั ขอนแก่น ประชากรทีผวู้ ิจยั ตอ้ งการจะเก็บรวบรวมขอ้ มูลคือ นกั เรียนช่วงชนั ที 2 ทุกคนทีศึกษาในเขตจงั หวดั ขอนแก่น 29
กลุ่มตวั อยา่ ง (Sample) หมายถึง กลุ่มยอ่ ยของประชากรทีผวู้ จิ ยั ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู กลุ่มตวั อยา่ งนีจะตอ้ งเป็ นตวั แทนทีดีของประชากร ซึงยอมรับกนั วา่ วธิ ีการคดั เลือกตวั อยา่ งทีดี จะตอ้ งเปิ ดโอกาสใหท้ ุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่าๆ กนั เรียกวา่ การสุ่มตวั อยา่ ง (Random Sampling) ทีอาศยั หลกั การของทฤษฎีความน่าจะเป็น การเลอื กตวั อย่างโดยอาศัยทฤษฎคี วามน่าจะเป็ น การเลือกตวั อยา่ งโดยอาศยั ทฤษฎีความน่าจะเป็นนีมีอยู่ 5 วธิ ีคือ 1. Simple Random Sampling เป็นการสุ่มตวั อยา่ งเมือประชากรมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั การได้ หน่วยใดหรือสมาชิกตวั ใดของประชากรมาเป็นตวั อยา่ งก็ไม่แตกต่างกนั วธิ ีทีนิยมใชก้ นั คือ การจบั สลาก 2. Systematic Random Sampling เป็นการสุ่มตวั อยา่ งเมือประชากรมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั แต่ ลกั ษณะของประชากรมีการจดั เรียงตามลาํ ดบั หมายเลขไวแ้ ลว้ การสุ่มจึงสามารถทาํ อยา่ งเป็นระบบ โดยการนาํ จาํ นวนประชากรหารดว้ ยจาํ นวนตวั อยา่ งทีตอ้ งการ เช่น มีนกั เรียนจาํ นวน 2000 คน ซึงมี รายชือเรียงลาํ ดบั ตามเลขทีเอาไวแ้ ลว้ แต่ตอ้ งการตวั อยา่ งเพียง 100 คน เมือหารจาํ นวนประชากร 2000 ดว้ ย ขนาดตวั อยา่ งทีตอ้ งการ 100 จะไดผ้ ลลพั ธ์เท่ากบั 20 จากนนั ใหส้ ุ่มเลือกคนที 1 ถึง 20 วา่ ไดค้ นทีเท่าไร คนต่อไปก็ให้ บวก 20 เขา้ เลขทีของคนแรก และทาํ อยา่ งนีต่อไปเรือยอยา่ งเป็นระบบ เช่น จาก คนที 1 - 20 ถา้ สุ่มไดค้ นที 7 คนต่อไป ก็จะเป็ นคนที 27 , 47 , 67 , ... เป็นตน้ 3. Stratified Random Sampling เป็นการสุ่มตวั อยา่ งเมือผวู้ ิจยั พบวา่ ประชากรมีความแตกต่าง กนั อยา่ งชดั เจน กลุ่มตวั อยา่ งทีเป็นตวั แทนทีดีของประชากรจึงตอ้ งประกอบดว้ ยสมาชิกของกลุ่ม ยอ่ ยๆ ทุกกลุ่ม วธิ ีนีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งเริมตน้ ดว้ ยการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มตามความแตกต่าง จากนนั สุ่มตวั อยา่ งในแต่ละกลุ่มยอ่ ยของประชากร ตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละกลุ่ม 4. Cluster Random Sampling ในบางประชากรจะพบลกั ษณะการรวมตวั เป็ นกลุ่มกอ้ น ทาํ ให้ การศึกษาตวั แปรทีตอ้ งการศึกษาจากสมาชิกในกลุ่มยอ่ ยๆ เหล่านนั ทงั หมด เช่น นกั เรียนชนั มธั ยมศึกษาปี ที 3 ถูกแบ่งเป็นหอ้ งๆ อยแู่ ลว้ เมือตอ้ งการนาํ นกั เรียนมาเป็นกลุ่มตวั อยา่ งเพือศึกษาผล การสอนวธิ ีใดวธิ ีหนึง จึงตอ้ งเลือกตวั อยา่ งนกั เรียนมาศึกษาทงั หอ้ ง เป็นตน้ 5. Multi-stage Sampling ในหลายกรณีพบวา่ ประชากรมีคุณลกั ษณะทีซบั ซอ้ น ทาํ ใหต้ อ้ งมี การสุ่มตวั อยา่ งมากกวา่ 1 ครัง โดยจะใชว้ ธิ ีการสุ่มทีเหมือนกนั หรือไม่เหมือนกนั ก็ได้ เช่น การสุ่ม ตวั อยา่ งนกั เรียนชนั ม.3 จงั หวดั ขอนแก่น อาจเริมจากการสุ่มเป็น อาํ เภอ สุ่มโรงเรียน และสุ่มเป็น หอ้ ง เป็ นตน้ 30
การเลอื กตัวอย่างแบบไม่อาศัยทฤษฎคี วามน่าจะเป็ น วธิ ีการเลือกตวั อยา่ งแบบนี ใชไ้ ดส้ ะดวกเมือมีเวลาจาํ กดั และเป็นการวจิ ยั เฉพาะบางพนื ที ทาํ ใหก้ ารสรุปผลจะทาํ ไดเ้ ฉพาะกลุ่มทีเลือกตวั อยา่ งมาเท่านนั มีวธิ ีทีน่าสนใจ 3 วธิ ี ดงั นี 1. Purposive Selection เป็นการเลือกตวั อยา่ งทีเจาะจงโดยการระบุบุคคลเป้ าหมายทีตอ้ งการ จะศึกษาไวอ้ ยา่ งชดั เจน ใชห้ ลกั เหตุผลและวจิ ารณญาณของผวู้ จิ ยั ตดั สินเลือกกลุ่มตวั อยา่ งมาวจิ ยั โดยเลือกใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมและตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั 2. Accidental Selection เป็นการเลือกตวั อยา่ งในลกั ษณะการบงั เอิญพบ ไม่มีหลกั เกณฑ์ แน่นอนใดๆ สมาชิกของประชากรทีตอ้ งการศึกษาจะเป็นใครก็ไดท้ ีสามารถใหข้ อ้ มูลทีตอ้ งการได้ ฉะนนั ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเมือพบสมาชิกของประชากรหน่วยใดก็เก็บรวบรวมขอ้ มูลจากคน นนั จนกวา่ จะไดค้ รบตามจาํ นวนทีกาํ หนดไว้ 3. Quota Selection เป็นการกาํ หนดสดั ส่วนของกลุ่มตวั อยา่ งทีมีความแตกต่างกนั ไวล้ ่วงหนา้ กาํ หนดขนาดตวั อยา่ งของแต่ละกลุ่มยอ่ ยตามสัดส่วนของประชากร จากนนั เลือกตวั อยา่ งแบบบงั เอิญ ในแต่ละกลุ่มยอ่ ย การกาํ หนดขนาดตัวอย่าง การกาํ หนดขนาดตวั อยา่ งจะตอ้ งพิจารณาเรืองสาํ คญั ดงั ต่อไปนี 1. ขนาดของประชากร ผวู้ จิ ยั จาํ เป็นตอ้ งรู้วา่ ประชากรมีจาํ นวนทงั สินเท่าไร เพือใชค้ าํ นวณ ขนาดตวั อยา่ งทีใชใ้ นการวิจยั 2. ลกั ษณะความแตกต่างของประชากร หากเป็ นความแตกต่างอยา่ งชดั เจนและมีผลต่อตวั แปร ทีศึกษา จะตอ้ งแบ่งชนั ของประชากรตามความแตกต่าง เพือสุ่มแบบ stratified random sampling หรือแบบ cluster random sampling 3. ขนาดความคลาดเคลือนทียอมรับได้ การกาํ หนดขนาดความคลาดเคลือนเป็นการปรับ เพือใหไ้ ดข้ นาดของกลุ่มตวั อยา่ งทีผวู้ จิ ยั สามารถทาํ การศึกษาไดใ้ นทางปฏิบตั ิและในเวลาทีจาํ กดั การวจิ ยั ทางการศึกษาโดยทวั ไปจะกาํ หนดขนาดความคลาดเคลือนไวส้ ูงสุดที 5% (0.05) 4. ระดบั ของความเชือมนั ของการประมาณค่า การเลือกระดบั ความเชือมนั ทีแตกต่างกนั จะได้ ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งทีแตกต่างกนั ไปดว้ ย เช่นเดียวกบั ขนาดความคลาดเคลือน ซึงโดยทวั ไปจะ กาํ หนดระดบั ความเชือมนั อยใู่ นช่วง 95% ถึง 99% 5. ชนิดของพารามิเตอร์ทีตอ้ งการศึกษา วา่ เป็น µ πหรือ σ เพอื จะไดเ้ ลือกสูตรในการ คาํ นวณ หรือเลือกตารางกาํ หนดขนาดตวั อยา่ งไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 6. งบประมาณ การวจิ ยั จะมีค่าใชจ้ ่ายเกิดขึนเสมอไม่วา่ จะเป็นค่าวสั ดุ อุปกรณ์ หรือ ค่าตอบแทน ในบางครังขนาดตวั อยา่ งจึงขึนอยกู่ บั งบประมาณทีผวู้ จิ ยั มีอยู่ แต่ในกรณีทีกลุ่มตวั อยา่ ง มีขนาดเลก็ เกินไป ก็อาจทาํ ใหเ้ กิดความคลาดเคลือนไดม้ าก จนขาดคุณสมบตั ิความเป็นตวั แทนทีดี ของประชากร เป็นผลใหก้ ารสรุปผลในการใชส้ ถิติเชิงอา้ งอิง ไม่สามารถกระทาํ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ 31
7. วธิ ีการและเครืองมือทีใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ลกั ษณะของวธิ ีการและเครืองมือแต่ละชนิดจะ มีผลต่อขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง เช่น การสอบถามโดยใชแ้ บบสอบถามส่งไปทางไปรษณีย์ ซึงสามารถส่ง ไดจ้ าํ นวนมาก แต่อยา่ งไรก็ตามพบวา่ วธิ ีนีมีอตั ราการตอบกลบั นอ้ ยมาก หากเป็นการสัมภาษณ์ ซึง ตอ้ งใชค้ วามละเอียด คุณภาพของของวธิ ีการนีขึนอยกู่ บั ตวั ผวู้ จิ ยั เอง หากมีตวั อยา่ งทีตอ้ งสัมภาษณ์ มากก็อาจส่งผลต่อคุณภาพของผวู้ จิ ยั ได้ 8. วธิ ีการเลือกตวั อยา่ ง ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งพิจารณาวา่ ควรจะเลือกวธิ ีการเลือกตวั อยา่ งแบบใดจึงจะ เหมาะสมกบั ลกั ษณะของตวั แปรทีตอ้ งการจะศึกษา หรือจะทาํ การศึกษาทงั ประชากรทีเป็น กลุ่มเป้ าหมาย จึงจะไดป้ ระโยชนส์ ูงสุด การคํานวณขนาดตัวอย่าง ในทีนีขอเสนอสูตรทีใชใ้ นการคาํ นวณขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง ตามค่าพารามิเตอร์ทีตอ้ งการ ศึกษา ดงั นี 1. เมือพารามิเตอร์ทีตอ้ งการศึกษาเป็น ค่าเฉลีย (µ ) 1.1 เมือทราบขนาดของประชากร Nz 2 σ 2 x nx = NE 2 + z 2 σ 2 x n x คือขนาดตวั อยา่ ง N คือขนาดของประชากร σ2 คือความแปรปรวนของประชากร ซึงไดจ้ าการสาํ รวจครังก่อนหรือการศึกษานาํ ร่อง x (Pilot Study) E คือขนาดความคลาดเคลือน z ค่า z จากตารางการแจกแจงแบบปกติทีระดบั ความเชือมนั ทีกาํ หนด เช่น z = 1.96 เมือกาํ หนดระดบั ความเชือมนั เป็น 95% หรือ Z = 2.58 เมือกาํ หนดระดบั ความเชือมนั เป็น 99% 1.2 เมือไม่ทราบขนาดของประชากร z 2 σ 2 x nx = E2 2. เมือพารามิเตอร์ทีตอ้ งการศึกษาเป็นสัดส่วน ( π) 2.1 เมือทราบขนาดของประชากร np = Nz 2p(1 − p) NE 2 + z 2p(1 − p) np คือ ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง 32
p คือค่าสัดส่วนของประชากร ซึงไดจ้ าการสาํ รวจครังก่อนหรือการศึกษานาํ ร่อง (Pilot Study) 2.2 เมือไม่ทราบขนาดของประชากร np = z 2p(1 − p) E2 ตวั แปรทศี ึกษา ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณลกั ษณะหรือคุณสมบตั ิของสิงต่าง ๆ ทีสามารถแปรค่าได้ เช่น นาํ หนกั ส่วนสูง อายุ เพศ ผลสมั ฤทธิทางการเรียน ระดบั สติปัญญา เชือชาติ เป็ นตน้ ในการวจิ ยั โดยทวั ๆ ไป มกั จะแบ่งตวั แปรออกเป็น 2 ชนิดคือ 1. ตวั แปรต้น หรือตวั แปรอสิ ระ (Independent Variable) เป็นตวั แปรทีเป็ นสาเหตุทีก่อใหเ้ กิด ผล หรือก่อใหเ้ กิดการแปรผนั ของปรากฏการณ์ เป็นตวั แปรทีผวู้ จิ ยั กาํ หนดหรือจดั กระทาํ ได้ เพือ ศึกษาผลทีเกิดขึนจากตวั แปรนี 2. ตวั แปรตาม (Dependent Variable) เป็นตวั แปรทีเป็นผลมากจากการเปลียนแปลงค่าของตวั แปรอิสระ เป็นตวั แปรทีผวู้ จิ ยั มุ่งวดั เพอื เป็ นขอ้ มูลสาํ หรับนาํ มาวเิ คราะห ◌์เพอื ตอบคาํ ถามของการ วจิ ยั วา่ เป็นผลมากจากสิงใด นอกจากนียงั มีตวั แปรอืนทีผวู้ จิ ยั มิไดม้ ุ่งศึกษาโดยตรง แต่เป็นตวั แปรทีอาจมีผลกระทบต่อตวั แปรตามได้ ตวั แปรนีเรียกวา่ ตวั แปรเกิน หรือตวั แปรแทรกซอ้ น (extraneous Variable) หรือ ตวั แปรควบคุม (control Variable) ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งทราบวา่ มีตวั แปรใดบา้ งทีอาจส่งผลกระทบต่อตวั แปรตามและหาวธิ ีการควบคุมอิทธิพลจากตวั แปรแทรกซอ้ น เหล่านี จากการตรวจสอบเอกสาร ตวั แปรเกินอาจเกิดขึนจากแหล่งต่าง ๆ ดงั นี 1. จากกลุ่มตวั อยา่ งหรือกลุ่มประชากร เป็นตวั แปรทีกลุ่มตวั อยา่ งมีมาก่อนจะมีการวจิ ยั เช่น อายุ เพศ ระดบั สติปัญญา ความถนดั เชือชาติ บุคลิกภาพ สภาพครอบครัว เป็นตน้ 2. จากวธิ ีดาํ เนินการทดลอง และการทดสอบในการวจิ ยั เชิงทดลอง เช่น ความผดิ พลาดใน วธิ ีดาํ เนินการ คุณภาพเครืองมือทีใชท้ ดสอบ เวลาทีใชท้ ดสอบ เป็นตน้ 3. จากแหล่งภายนอกหรือสิงแวดลอ้ ม เช่นเสียงรบกวน สถานทีไม่เหมาะสมและมีตวั แปรอีก ประเภทหนึง ทีอาจมีผลกระทบต่อตวั แปรตาม แต่เราไม่อาจรู้ไดล้ ่วงหนา้ วา่ จะเกิดขึนหรือไม่ จึงไม่ สามารถควบคุมได้ ตวั แปรเหล่านีเรียกวา่ ตวั แปรสอดแทรก (Intervening Variable) เช่น ภาวะ สุขภาพ ความวติ กกงั วล ความตืนเตน้ ความโกรธ แรงจงู ใจ เป็นตน้ 33
วธิ ีการ เครืองมอื และการสร้างเครืองมอื ทใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล งานทีสาํ คญั ขนั ต่อไป คือการเก็บรวบรวมขอ้ มูลของตวั แปรเหล่านนั ขอ้ มลู ทีผวู้ ิจยั เก็บ รวบรวมดว้ ยตนเองเพอื ใชใ้ นการวจิ ยั เรียกวา่ ขอ้ มูลปฐมภมู ิ ส่วนขอ้ มลู ทีผวู้ ิจยั ไม่ไดเ้ ก็บรวบรวม ดว้ ยตนเอง แต่เป็นการใชข้ อ้ มูลทีมีอยแู่ ลว้ ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู จากงานวจิ ยั อืน เอกสาร หลกั ฐาน ระเบียน ประวตั ิ เป็ นตน้ เรียกขอ้ มูลชนิดนีวา่ ขอ้ มูลทุติยภูมิ ผวู้ ิจยั อาจจะตอ้ งใชแ้ หล่งของขอ้ มูลหลายแหล่ง ดว้ ยกนั เพอื ตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มูลก่อนทีจะนาํ ไปวเิ คราะห์ ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ปฐมภูมิ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งสร้างเครืองมือทีใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลตวั แปร ทีกาํ หนดความหมายและลกั ษณะไวใ้ นนิยามเชิงปฏิบตั ิการ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมขอ้ มูลปฐมภูมิ ผวู้ จิ ยั สามารถเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ 1. การทดสอบ เป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เกียวกบั ความรู้ความสามารถของบุคคล ทาํ การ ทดสอบในสภาพแวดลอ้ มทีกาํ หนด เครืองมือทีใชเ้ รียกวา่ แบบทดสอบ 2. การสมั ภาษณ์ เป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยอาศยั การพดู คุย มีการเผชิญหนา้ ระหวา่ งผู้ สัมภาษณ์และผถู้ ูกสัมภาษณ์ เครืองมือทีใชเ้ รียกวา่ แบบสัมภาษณ์ 3. การสอบถาม เป็นการส่งเอกสารคาํ ถามทีเรียกวา่ แบบสอบถาม ไปใหก้ ลุ่มเป้ าหมายตอบ กลบั มา 4. การสงั เกต เป็นวธิ ีการรวบรวมขอ้ มูลโดยผวู้ จิ ยั เขา้ ไปทาํ การสงั เกตพฤติกรรมของ กลุ่มเป้ าหมาย เครืองมือทีใชเ้ รียกวา่ แบบสงั เกต 5. การเก็บรวบรวมจาก เอกสาร หลกั ฐาน ร่อยรอย ผลงาน ชินงาน การเลอื กใช้วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ก่อนอืนผวู้ จิ ยั จะตอ้ งพจิ ารณาเลือกวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเสียก่อน เพราะการเลือกวธิ ีการ เก็บรวบรวมขอ้ มูลทีไม่เหมาะสมจะมีผลต่อขอ้ มลู ทีได้ เช่น การใชแ้ บบสอบถามทศั นคติของ ชาวบา้ นทีมีต่อการปฏิรูปทางการศึกษา ในการตอบของชาวบา้ นอาจมีปัญหาเกียวกบั การอ่านและ ความเขา้ ใจต่อคาํ ถาม อาจทาํ ใหค้ าํ ตอบทีไดร้ ับกลบั มาไม่ตรงกบั ความเป็นจริง ดงั นนั ในการเลือกใช้ วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผวู้ ิจยั จะตอ้ งพจิ ารณาถึงเรืองต่อไปนี 1. ลกั ษณะของกลุ่มเป้ าหมาย โดยพจิ ารณาวา่ เป็ นคนกลุ่มใด มีระดบั การศึกษาเป็ นอยา่ งไร มี ประเพณีและวฒั นธรรมเป็นอยา่ งไร ในบางครังอาจจะตอ้ งคาํ นึงถึงความเชือและค่านิยมอีกดว้ ย เช่น การสาํ รวจความคิดเห็นเกียวกบั การพฒั นาแหล่งนาํ ของชาวชนบท ควรใชก้ ารสมั ภาษณ์จะเหมาะสม กวา่ การสอบถาม เพอื หลีกเลียงปัญหาเกียวกบั การอ่านไม่ออกและความเขา้ ใจในคาํ บางคาํ 2. ตวั แปรทีตอ้ งการจะศึกษา เช่น การศึกษาภาวะโภชนาการของนกั เรียน ตวั แปรทีศึกษาคือ ภาวะโภชนาการ ซึงเป็นลกั ษณะการแสดงออกของพฤติกรรม การสมั ภาษณ์หรือการสอบถาม อาจ ไดข้ อ้ มูลทีไม่ตรงกบั ความเป็ นจริง จึงจาํ เป็ นตอ้ งใชก้ ารสังเกต 34
3. ระยะเวลาทีใช้ ในกรณีทีผวู้ จิ ยั มีขอ้ จาํ กดั เรืองเวลา ทาํ ใหไ้ ม่สามารถใชว้ ธิ ีการและเครืองมือ ทีเหมาะสมทีสุดได้ แต่กลบั ตอ้ งใชว้ ธิ ีการและเครืองมือทีทาํ ใหส้ ามารถเก็บขอ้ มูลไดต้ ามเวลาที กาํ หนด เช่น การสาํ รวจความสนใจในรายการโทรทศั น์ของชาวบา้ น แมว้ า่ การสมั ภาษณ์จะทาํ ใหไ้ ด้ ขอ้ มลู ทีแม่นยาํ กวา่ แต่ตอ้ งใชเ้ วลามากไม่ทนั ต่อความตอ้ งการทีจะนาํ ผลไปใช้ จึงอาจตอ้ งเปลียนมา ใชก้ ารสอบถามใหช้ าวบา้ นกรอกขอ้ มูลแทน ซึงแน่นอนวา่ ขอ้ มลู ทีไดจ้ ะตอ้ งมีความคลาดเคลือน มากกวา่ ผวู้ จิ ยั จึงตอ้ งพจิ ารณาตวั คาํ ถาม โดยคาํ ถามตอ้ งชดั เจน ไม่ซบั ซอ้ น ทาํ ใหผ้ อู้ ่านสามารถ เขา้ ใจไดง้ ่าย และไม่ควรมีคาํ ถามมากจนเกินไป นอกจากนี ตวั แปรบางอยา่ งอาจตอ้ งใชก้ ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู มากกวา่ 1 วธิ ี จึงจะทาํ ใหไ้ ด้ ขอ้ มูลเพยี งพอทีจะสรุปผลการวจิ ยั ได้ เช่น การวดั ความรู้ความสามารถในดา้ นการทดลองทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน การใชแ้ บบทดสอบไม่สามารถยนื ยนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ นกั เรียนมีความรู้ ความสามารถในการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ และการทดสอบภาคปฏิบตั ิเพียงอยา่ งเดียว ก็ยงั สรุปผล ไดเ้ พียงบางส่วนเพราะนกั เรียนบางคนมีความรู้ความสามารถทางทฤษฎีแต่อาจจะไม่มีความถนดั ใน การปฏิบตั ิจริง การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ของตวั แปรอยา่ งนีจึงตอ้ งใชม้ ากกวา่ 1 วธิ ี ขันตอนการสร้างเครืองมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูล เครืองมือทีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเป็ นส่วนสาํ คญั ทีทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั ไดข้ อ้ มลู เชิงประจกั ษม์ า เปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ีกาํ หนดไว้ การสร้างเครืองมือจึงมีรายละเอียด มีขนั ตอนในการสร้าง เพือให้ ไดเ้ ครืองมือทีมีคุณภาพ ขนั ตอนดงั กล่าวประกอบดว้ ย 1. ศึกษาและทบทวนทฤษฎี แนวคิด และงานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ งกบั ตวั แปรทีตอ้ งการจะศึกษา และตอ้ งการสร้างเครืองมือ โดยพจิ ารณาจาก 1) ความหมายของตวั แปร ลกั ษณะของพฤติกรรมทีแสดงออกของตวั แปร หรือองคป์ ระกอบ ของตวั แปร 2) วธิ ีการและเครืองมือทีจะใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู 3) วธิ ีการสร้างและวธิ ีการตรวจคุณภาพของเครืองมือ 4) ผลหรือลกั ษณะ (มาตรวดั ) ของขอ้ มูลทีไดจ้ ากการใชเ้ ครืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2. นาํ ผลทีไดจ้ ากการศึกษาทบทวนทฤษฎี แนวคิด และงานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ ง มาสร้างประเดน็ คาํ ถาม ซึงจะตอ้ งมีการนิยามเชิงปฏิบตั ิการของตวั แปรทีจะศึกษาไวอ้ ยา่ งชดั เจน 3. เลือกวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู วา่ ควรจะใช้ การทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การ สอบถาม หรือการเก็บจากเอกสาร หลกั ฐาน ร่องรอย ผลงาน จึงจะไดข้ อ้ มูลตรงตามความตอ้ งการ และถูกตอ้ ง ตามนิยามเชิงปฏิบตั ิการทีกาํ หนดไว้ 4. ถา้ ใชก้ ารสอบถามจะตอ้ งพิจารณาลกั ษณะของประเภทคาํ ถามทีเหมาะสมวา่ ควรใชค้ าํ ถาม ปลายเปิ ดหรือคาํ ถามปลายปิ ด ถา้ เป็นคาํ ถามปลายปิ ด ควรเป็นคาํ ตอบประเภทใด เช่น ประเภท เลือกตอบ ประเภทมาตรประเมินค่า (rating scale) เป็นตน้ 35
5. สร้างขอ้ คาํ ถามแลว้ รวบรวมเป็นชุด 6. นาํ เครืองมือทีสร้างขึนไปทดลองใช้ 7. นาํ ผลทีไดจ้ ากการทดลองใชม้ าวเิ คราะห์ เพือตรวจสอบคุณภาพของเครืองมือ 8. ปรับปรุงเครืองมือใหม้ ีคุณภาพอยใู่ นระดบั ทีน่าพอใจก่อนนาํ ไปใชจ้ ริง การตรวจสอบคุณภาพของเครืองมอื ขอ้ มูลทีใชใ้ นการวจิ ยั มี 2 ประเภท คือ ขอ้ มลู ปฐมภูมิและขอ้ มลู ทุติยภูมิ การใชข้ อ้ มลู ทงั 2 ประเภท ผวู้ ิจยั จะตอ้ งคาํ นึงถึงความถูกตอ้ งและความน่าเชือถือของขอ้ มลู หากเป็นขอ้ มูลปฐมภมู ิ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งสร้างเครืองมือขึนมาเพือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั นนั เครืองมือทีใชจ้ ะตอ้ งเป็ นเครืองมือ ทีมีคุณภาพ ในขณะทีการใชข้ อ้ มูลทุติยภมู ิ ซึงเป็นขอ้ มลู ทีผอู้ ืนเก็บรวบรวมไวแ้ ลว้ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งมี ความระมดั ระวงั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของแหล่งขอ้ มลู หรืออาจตอ้ งใชข้ อ้ มูลจากหลายๆ แหล่ง มายนื ยนั ความถูกตอ้ ง ในการใชข้ อ้ มูลปฐมภมู ิเป็นวิธีการทีผวู้ จิ ยั สร้างเครืองมือขึนเพอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสมั ภาษณ์ และ แบบสอบถาม เป็นตน้ การตรวจสอบคุณภาพของ เครืองมือเป็นขนั ตอนทีควรใหค้ วามสนใจและใหค้ วามสาํ คญั เป็นพิเศษ จึงควรจะกล่าวถึงประเภท ของคุณภาพของเครืองมือทีสาํ คญั คือ ความตรง (Validity) และ ความเทียง (Reliability) • ความตรง (Validity) 1. ความหมายของความตรง ความตรง หมายถึง ความแม่นยาํ ของเครืองมือในการวดั สิงทีตอ้ งการจะวดั หรือเก็บ รวบรวม คะแนนหรือขอ้ มลู ทีได้ มีลกั ษณะตรงตามความหมายของคุณลกั ษณะหรือตวั แปรทีนิยาม ไว้ สามารถบอกถึงสภาพทีแทจ้ ริงและพยากรณ์สิงทีถูกวดั ไดถ้ ูกตอ้ งแม่นยาํ 2. ประเภทของความตรง ความตรงของเครืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู จาํ แนกออกไดห้ ลายวธิ ี ทงั นีขึนอยกู่ บั จุดมุ่งหมายของการวดั โดยทวั ๆ ไป การวดั หรือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ทางการศึกษาและจิตวทิ ยาแบ่ง ความตรงออกเป็น 3 ประเภท 2.1 ความตรงตามเนือหา (Content Validity) เป็นความตรงทีเกียวกบั การวเิ คราะห์ตรวจสอบเนือหาของคาํ ถามวา่ เนือหาของขอ้ คาํ ถามวดั ไดต้ รง ตามเนือหาของเรืองทีตอ้ งการวดั หรือไม่ ความตรงประเภทนีนิยมใหผ้ เู้ ชียวชาญในสาขาวชิ าการ นนั ๆ ตรวจสอบโดยการพจิ ารณาจากนิยามของตวั แปร และตารางโครงสร้างการสร้างขอ้ คาํ ถาม ควบคู่กบั ขอ้ คาํ ถาม วา่ ขอ้ คาํ ถามนนั มีความครบถว้ นสมบูรณ์ ครอบคลุมเนือเรืองทงั หมดหรือไม่ 2.2 ความตรงตามเกณฑส์ ัมพนั ธ์ (Criterion-related Validity) เป็นการหาความตรงของเครืองมือวา่ วดั ไดต้ รงตามพฤติกรรมทีตอ้ งการวดั หรือไม่ โดยพจิ ารณา 36
จากเกณฑท์ ีเกียวขอ้ งวา่ เครืองมือนนั จะใชท้ าํ นายพฤติกรรมของบุคคลในสภาพเฉพาะเจาะจงตาม ตอ้ งการหรือไม่ ในการประมาณค่าความตรงประเภทนี คาํ นวณจากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคะแนนที ไดจ้ ากเครืองมือทีสร้างขึนกบั คะแนนการวดั ทีไดจ้ ากเกณฑภ์ ายนอกทีเป็นอิสระต่อกนั ความตรง ประเภทนีจาํ แนกไดเ้ ป็น 2 ชนิด 2.2.1 ความตรงร่วมสมยั (Concurrent Validity) หมายถึง ความตรงของเครืองมือทีจะบ่ง บอกสิงทีวดั ไดถ้ ูกตอ้ งตามสภาพทีแทจ้ ริงในปัจจุบนั โดยอาศยั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคะแนนทีได้ จากเครืองมือทีสร้างขึนกบั คะแนนเกณฑซ์ ึงกาํ หนดขึนในขณะนนั เช่น ความตรงร่วมสมยั ของ แบบวดั ทกั ษะในการคาํ นวณ อาจใชเ้ กณฑส์ มั พนั ธ์จากวธิ ีการสงั เกตการณ์ทาํ แบบฝึกหดั เลขคณิต ในชวั โมงสอนเป็นเป็นเวลาสองเดือน ถา้ คะแนนทีไดจ้ ากแบบวดั ทกั ษะในการคาํ นวณใหผ้ ล สอดคลอ้ งกบั เกณฑส์ มั พนั ธ์แสดงวา่ แบบวดั ทกั ษะนนั สามารถวดั ทกั ษะการคาํ นวณของผสู้ อบได้ ตรงตามสภาพปัจจุบนั 2.2.2 ความตรงเชิงทาํ นาย (Predictive Validity) หมายถึง ความสามารถของเครืองมือทีจะบ่ง บอกผลทีวดั ในขณะนนั ไดถ้ ูกตอ้ งตามสภาพทีแทจ้ ริงในอนาคต โดยอาศยั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง คะแนนทีไดจ้ ากเครืองมือทีสร้างขึนกบั คะแนนเกณฑส์ มั พนั ธ์ซึงจะปรากฏในอนาคต เช่น ความ ตรงเชิงทาํ นายของแบบสอบความถนดั ทางวชิ าการทีสร้างขึนเพือทาํ นายผลการเรียนในอนาคต ก็ อาจใชค้ ะแนนเฉลียสะสมปี สุดทา้ ยเป็นเกณฑส์ ัมพนั ธ์ ซึงการคาํ นวณหาความตรงเชิงพยากรณ์นี จะตอ้ งอาศยั เวลารอคอย เพราะคะแนนทีไดจ้ ากเครืองมือทีสร้างขึนกบั เกณฑส์ ัมพนั ธ์ไดม้ าคนละ เวลากนั 2.3 ความตรงตามภาวะสันนิษฐาน (Construct Validity) เป็นความตรงทีแสดงใหเ้ ห็นวา่ เครืองมือนนั สามารถวดั ไดค้ รอบคลุมขอบเขตความหมาย หรือครบ ตามคุณลกั ษณะประจาํ ตามทฤษฎีทีใชส้ ร้างเครืองมือ โดยปกติความตรงตามภาวะสนั นิษฐานจะใช้ กบั ตวั แปรทีเป็นภาวะสันนิษฐาน หรือตวั แปรแฝง เช่น เจตคติ ความเชือ ค่านิยม เชาวป์ ัญญา เพอื ตรวจสอบวา่ เครืองมือหรือแบบวดั นนั วดั คุณลกั ษณะไดต้ รงตามทฤษฎีหรือตรงตามภาวะ สนั นิษฐานทีสร้างขึนหรือไม่ ซึงตรวจสอบความตรงประเภทนีไดด้ ว้ ยวธิ ีการทางสถิติทีเรียกวา่ การวเิ คราะห์องคป์ ระกอบ (Factor Analysis) • ความเทยี ง (Reliability) 1. ความหมายของความเทียง ความเทียงหมายถึง ความคงทีของผลทีไดจ้ ากการวดั ดว้ ยเครืองมือชุดเดียวกนั กบั คนกลุ่ม เดียวกนั ในเวลาทีต่างกนั จากนิยามทาํ ใหน้ กั วชิ าการพยายามหาวธิ ีการทีเป็นรูปธรรมมาใช้ ประมาณค่าความคงทีนีดว้ ยการใชเ้ ทคนิคทางสถิติ สถิติทีนาํ มาใชจ้ ะบ่งบอกระดบั ความสัมพนั ธ์ ของคะแนนทงั 2 ครัง ทาํ ใหไ้ ดน้ ิยามเชิงปฏิบตั ิการของความเทียง คือ ค่าสมั ประสิทธิสหสมั พนั ธ์ ระหวา่ งคะแนนจากการใชเ้ ครืองมือวดั หรือแบบสอบ 2 ครัง แต่เนืองจากการใชแ้ บบสอบกบั 37
กลุ่มเป้ าหมายเดียวกนั 2 ครัง มกั จะพบวา่ มีจุดอ่อนเนืองจากการสอบ 2 ครัง ทาํ ให้นกั วชิ าการได้ พยายามพฒั นาสูตรในการประมาณค่าความเทียงเพอื แกไ้ ขจุดอ่อนทีพบในเบืองตน้ นี และทาํ ใหไ้ ด้ สูตรทีใชป้ ระมาณค่าความเทียงหลายสูตรทีมีวธิ ีการใชแ้ ตกต่างกนั ออกไป 2. การประมาณค่าความเทียงของเครืองมือ ในการประมาณค่าความเทียงสามารถทาํ ไดห้ ลายวธิ ี และในแต่ละวธิ ีก็มีขอ้ จาํ กดั ทีแตกต่าง กนั การทีจะเลือกใชว้ ธิ ีใดขึนอยกู่ บั ความมุ่งหมาย ลกั ษณะของคะแนนคาํ ตอบและชนิดของ เครืองมือหรือแบบสอบทีใช้ โดยทวั ไปวธิ ีการประมาณค่าความเทียงมี 3 รูปแบบ 2.1 การวดั ความคงที (Measure of Stability) เป็นวธิ ีทีจะหาสมั ประสิทธิของความคงที (coefficient of stability) โดยนาํ แบบสอบไป ทดสอบกบั ผสู้ อบกลุ่มเดียว สองครัง และจะทิงช่วงระยะเวลาพอสมควรก่อนการสอบครังทีสอง แลว้ นาํ คะแนนทีไดจ้ ากการสอบทงั สองครังมาคาํ นวณค่าสัมประสิทธิสหสมั พนั ธ์แบบเพยี ร์สัน (Pearson's product moment correlation coefficient) โดยสูตรต่อไปนี NΣxy − ΣxΣy NΣx 2 − (Σx)2 NΣy2 − (Σy)2 [ ][ ]rxy = เมือ rxy คือ สัมประสิทธิความเทียงของเครืองมือ N คือ จาํ นวนตวั อยา่ ง X คือ คะแนนการสอบครังทีหนึง Y คือ คะแนนการสอนครังทีสอง การหาความเทียงโดยวธิ ีการสอบซาํ นี นิยมเรียกวา่ Test-retest method ซึงการหาความเทียง ดว้ ยวธิ ีสอบซาํ มกั จะเกิดความคลาดเคลือน เนืองจากมีองคป์ ระกอบอืนมาทาํ ใหค้ ะแนนทีสอบใน ครังทีสองเปลียนไป การทิงช่วงระยะเวลาเพียงเลก็ นอ้ ยอาจทาํ ใหผ้ สู้ อบ จาํ ไดว้ า่ ในครังแรกไดต้ อบ คาํ ถามไปอยา่ งไร ครังหลงั ก็พยายามตอบแบบเดิมโดยไม่พิจารณาวา่ คาํ ตอบนนั ถูกหรือผดิ ใน ลกั ษณะนีจะทาํ ใหค้ วามเทียงสูงกวา่ ความเป็นจริง แต่ถา้ เวน้ ระยะเวลานานเกินไป ผสู้ อบอาจเกิด การเรียนรู้มากขึนและมีพฒั นาการทางสติปัญญาขึน ซึงจะมีผลทาํ ใหค้ วามเทียงตาํ สาํ หรับการทิง ช่วงระยะเวลาในการสอบซาํ ยงั ไม่มีขอ้ สรุปวา่ ควรเวน้ ระยะเวลาเท่าใดจึงจะเหมาะสม 2.2 การวดั ความสมมลู กนั (Measure of Equivalence) เนืองจากวธิ ีหาความเทียงแบบสอบซาํ ประสบปัญหาเกียวกบั การเวน้ ช่วงระยะเวลา จึงใชว้ ธิ ี นาํ แบบสอบ 2 ฉบบั ทีคลา้ ยกนั หรือคู่ขนานกนั (parallel test) มาใชแ้ ทน คือ ขอ้ สอบทีใชใ้ นแบบ สอบทงั 2 ฉบบั จะมีลกั ษณะเป็นขอ้ สอบทีสมมูลกนั ไปทดสอบผสู้ อบกลุ่มหนึงในเวลาเดียวกนั จากนนั นาํ คะแนนทีไดจ้ ากแบบสอบทงั 2 ฉบบั ไปคาํ นวณค่าความเทียงดว้ ยสูตรการคาํ นวณค่า สัมประสิทธิสหสัมพนั ธ์แบบเพยี ร์สนั เช่นเดียวกบั แบบสอบซาํ การสร้างขอ้ สอบในลกั ษณะนีจะทาํ ไดด้ ีในแบบสอบวชิ าคณิตศาสตร์ ส่วนในวชิ าอืนและการสร้างแบบสอบถามทวั ไป ทาํ ไดค้ ่อนขา้ ง 38
ยาก จึงไม่ค่อยมีผนู้ ิยมใชว้ ธิ ีนีประมาณค่าความเทียงของเครืองมือทีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ทางการวจิ ยั มากนกั 2.3 การวดั ความสอดคลอ้ งภายใน (Measure of internal consistency) เป็นการประมาณค่าความเทียงทีใชก้ ารสอบเพยี งครังเดียว โดยพจิ ารณาวา่ ขอ้ คาํ ถามทงั หมด ในแบบสอบนนั วดั ในเรืองเดียวกนั หรือไม่ ถา้ วดั ในเรืองเดียวกนั ก็น่าจะมีความสอดคลอ้ งในการวดั สูง สาํ หรับวธิ ีการคาํ นวณหาความเทียงแบบนีมีแบบทีนิยมใชด้ งั นี 2.3.1 วธิ ีแบ่งครึงแบบสอบ (split-half) โดยนาํ แบบสอบทีตอ้ งการหาค่าความเทียงไป ทดสอบกบั กลุ่มตวั อยา่ ง นาํ มาตรวจใหค้ ะแนน แลว้ จึงแบ่งคะแนนรวมเป็น 2 ส่วน เช่น จดั แบ่ง คะแนนรวมจากขอ้ คู่ขอ้ คี หรือ ครึงแรกกบั ครึงหลงั จากนนั นาํ คะแนนสองส่วนดงั กล่าวไปคาํ นวณ ค่าสมั ประสิทธิสหสัมพนั ธ์แบบเพียร์สัน ซึงจะไดค้ ่าความเทียงเพียงครึงฉบบั ดงั นนั จึงตอ้ ทาํ การ ปรับขยายใหเ้ ป็นค่าความเทียงของแบบสอบทงั ฉบบั โดยใชส้ ูตรของ สเปี ยร์แมน-บราวน์ ดงั นี rtt = 2rhh 1 + rhh เมือ rtt คือ สมั ประสิทธิความเทียงของแบบสอบทงั ฉบบั rhh คือ สมั ประสิทธิความเทียงของแบบสอบครึงฉบบั 2.3.2 วธิ ีของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน ในปี 1937 คูเดอร์ และ ริชาร์ดสนั เสนอสูตรสาํ หรับการ ประมาณค่าความเทียงของแบบสอบหลายสูตร แต่สูตรทีเป็นทีนิยมและใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางคือ สูตร คูเดอร์ริชาร์ดสนั 20 (Kuder-Richardson 20 : K-R 20) r = n n 1 − Σpq − 1 σ2 เมือ r คือ สัมประสิทธิความเทียงของแบบสอบ n คือ จาํ นวนขอ้ สอบในแบบสอบ p คือ สัดส่วนของผตู้ อบถูกในแต่ละขอ้ q คือ สัดส่วนของผตู้ อบผดิ ในแต่ละขอ้ σ2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผสู้ อบทงั หมด 2.3.3 วธิ ีสมั ประสิทธิแอลฟา (coefficient - α ) วธิ ีนีไดร้ ับการพฒั นาจากครอนบาค (Cronbach) โดยไดพ้ ฒั นาสูตรคูเดอร์ริชาร์ดสนั 20 มาเป็ นสมั ประสิทธิแอลฟา เพอื ให้ใชไ้ ดก้ บั การ ใหค้ ะแนนทีไม่เป็น 0-1 เช่น แบบสอบอตั นยั แบบสาํ รวจความสนใจในอาชีพ มาตรประเมินค่า (rating scale) เป็นตน้ ซึงมีสูตรในการคาํ นวณดงั นี α = n 1 1 − Σσ i2 n − σ 2 t σ 2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละขอ้ i σ 2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแต่ละคน t 39
3. การประมาณค่าความเทียงของแบบสงั เกต ลกั ษณะของแบบสงั เกตทีเป็ นแบบ สาํ รวจรายการ (Check-list) การตรวจสอบหาความเทียง เป็นการคาํ นวณหาค่าความเทียงของผสู้ งั เกตเพราะใชก้ ารเก็บขอ้ มูลโดยผสู้ ังเกตเอง ผสู้ ังเกตจึง จดั เป็นเครืองมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ควบคู่กบั แบบสังเกต ความเทียงทีเกิดขึนเป็ นความเทียง ทีเกิดจากผสู้ งั เกตตงั แต่ 2 คนขึนไปทีใชแ้ บบสังเกตและสงั เกตสิงเดียวกนั มีสูตรการคาํ นวณทีไม่ ยงุ่ ยากเหมือนของแบบสอบ ค่าความเทียงทีไดเ้ รียกวา่ สัมประสิทธิความสอดคลอ้ ง มีสูตรดงั นี จาํ นวนทีบนั ทึกตรงกนั ส.ป.ส. ความสอดคลอ้ ง = --------------------------------------------------------------- จาํ นวนทีบนั ทึกตรงกนั + จาํ นวนทีบนั ทึกไม่ตรงกนั • คุณภาพของเครืองมอื ในด้านอนื ๆ คุณภาพของเครืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการวจิ ยั ไม่ไดม้ ีเฉพาะความตรงและความเทียง เท่านนั ยงั มีคุณภาพอืนๆ ทีควรพจิ ารณาร่วมดว้ ยคือ 1. ความเป็นปรนยั หมายถึง การทีเครืองมือมีคาํ ถามทีชดั เจน สามารถเขา้ ใจไดต้ รงกนั ทงั ผู้ ถามและผตู้ อบ และเขา้ ใจผลทีวดั ไดต้ รงกนั หรือใหค้ ะแนนตรงกนั ไม่วา่ ใครจะเป็นผใู้ หค้ ะแนน ประเด็นสาํ คญั ของเรืองนีคือการใชภ้ าษา โดยมากมกั จะเป็ นการใชภ้ าษากาํ กวม ทาํ ใหก้ าร ตีความหมายแตกต่างกนั ผวู้ จิ ยั ควรมีการทดลองใชใ้ นเบืองตน้ เสียก่อนเพอื แกไ้ ขก่อนนาํ ไป ตรวจสอบความตรงและความเทียง 2. ความยากง่ายพอเหมาะทีจะนาํ ไปใชก้ บั กลุ่มเป้ าหมาย เช่น ถา้ คาํ ถามนนั ใชก้ บั นกั เรียนชนั ประถมศึกษา ลกั ษณะคาํ พดู หรือขอ้ ความทีเขียนตอ้ งเป็ นภาษาทีนกั เรียนระดบั ประถมศึกษาเขา้ ใจ ไดง้ ่าย หากเป็นคาํ ถามทีใชก้ บั ชาวชนบท ก็ตอ้ งหลีกเลียงศพั ทท์ างวชิ าการ เช่น คาํ วา่ \"บริโภค\" ก็ ตอ้ งเปลียนเป็น \"ดืม\" หรือ \"กิน\" เป็นตน้ 3. ความยาวพอเหมาะ ความยาวของแบบสอบถามตอ้ งเหมาะสมกบั เวลาทีควรใชใ้ นการ สอบ ในขณะเดียวกนั ก็ตอ้ งครอบคลุมเนือหาทีตอ้ งการวดั ประเดน็ ตรวจสอบไดโ้ ดยการทดลองใช้ เช่นกนั 4. การแบ่งแยกความแตกต่างในกลุ่มเป้ าหมายทีศึกษา เนืองจากเครืองมือทีสร้างขึนตอ้ งการ วดั คุณลกั ษณะหรือตวั แปร ผลทีไดจ้ ากการวดั จึงตอ้ งมีค่าทีแปรผนั กนั ไป หากผลทีไดจ้ ากการวดั มี ค่าเดียว หรือมีค่าทีใกลเ้ คียงกนั มากจนไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ เครืองมือนนั ยอ่ มมีคุณภาพ ไม่ดีพอทีจะใชว้ ดั ตวั แปรนนั การตรวจสอบในเรืองนีตอ้ งอาศยั เทคนิคทางสถิติเขา้ มาช่วย ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี การวดั ดารกระจาย การวเิ คราะห์ค่าอาํ นาจจาํ แนกของขอ้ สอบ เป็ นตน้ 5. การเรียงลาํ ดบั ของคาํ ถามทีเหมาะสม ขอ้ คาํ ถามแต่ละขอ้ ตอ้ งมีการจดั ลาํ ดบั เช่น การ จดั ลาํ ดบั ตามเหตุการณ์ การจดั ลาํ ดบั ตามความยาก เพืออาํ นวยความสะดวกแก่ผตู้ อบ และป้ องกนั ความคลาดเคลือนเนืองจากความสบั สนของขอ้ คาํ ถาม 40
การวเิ คราะห์ข้อมูล เมือผวู้ จิ ยั เก็บรวบรวมขอ้ มูล จากตวั แปรทีตอ้ งการศึกษา มาในรูปของขอ้ มลู เชิงปริมาณ ซึง ลกั ษณะของขอ้ มลู จะกระจดั กระจายเป็นรายบุคคล รายขอ้ ไม่เป็นระบบ จะตอ้ งมีการประมวลผล ขอ้ มลู คือการจดั กระทาํ กบั ขอ้ มูลทีไดม้ านนั ให้เป็นระบบ เป็นหมวดหมู่ เกิดเป็นสารสนเทศ ที สามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการแปลความหมาย สรุปความ หรือสรุปอา้ งอิงกลบั ไปสู่ประชากร หลกั วชิ าการทีนาํ เขา้ มาช่วยในขนั ตอนการบรรยายสภาพตวั แปรหรือคุณลกั ษณะของกลุ่มตวั อยา่ ง ตลอดจนการสรุปอา้ งอิงกลบั ไปสู่ประชากร คือ สถิติ (Statistics) สถิติทใี ช้ในการวจิ ัย ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล สิงแรกทีผวู้ จิ ยั จะตอ้ งกาํ หนดคือ ประชากรทีตอ้ งการจะศึกษา ซึง เป็นใหข้ อ้ มลู จากนนั จะพิจารณาต่อไปวา่ สามารถรวบรวมขอ้ มูลจากประชากรทงั หมดไดห้ รือไม่ ถา้ ไม่ไดจ้ ะตอ้ งทาํ การศึกษาเพียงบางส่วนของประชากรเท่านนั เรียกวา่ ตวั อยา่ ง ซึงการเป็นตวั อยา่ ง ทีดีของประชากรเท่านนั จึงจะสามารถสรุปอา้ งอิงกลบั ไปสู่ประชากรได้ ค่าต่างๆ ทีคาํ นวณไดจ้ ะมี ชือเรียกตามกลุ่มตวั อยา่ งและประชากรทีใชใ้ นการศึกษา แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ 1. พารามิเตอร์ (Parameter) คือ ค่าต่างๆ ทีใชบ้ รรยายแสดงลกั ษณะของขอ้ มูล ทีคาํ นวณจาก ประชากร ใชอ้ กั ษรกรีกเป็นสญั ลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ µ แทนค่าเฉลียเลขคณิต σ2 แทนค่าความแปรปรวน ρ แทนค่าสัมประสิทธิสหสมั พนั ธ์ 2. ค่าสถิติ (Statistic) คือ ค่าต่างๆ ทีใชบ้ รรยายแสดงลกั ษณะของขอ้ มูล ทีคาํ นวณไดจ้ ากกลุ่ม ตวั อยา่ ง ใชอ้ กั ษรภาษาองั กฤษเป็นสญั ลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ X แทนค่าเฉลียเลขคณิต S2 แทนค่าความแปรปรวน r แทนค่าสมั ประสิทธิสหสมั พนั ธ์ สถติ บิ รรยาย (Descriptive Statistics) เป็นวธิ ีการทางสถิติทีใชใ้ นการบรรยาย พรรณนา บ่งบอก ลกั ษณะต่างๆ ของตวั แปรหรือ คุณลกั ษณะทีสนใจศึกษา ค่าตวั เลขทีไดจ้ ากขอ้ มูลทีเก็บรวบรวมจากประชากร เรียกวา่ ค่าพารามิเตอร์ ส่วนค่าตวั เลขทีไดจ้ ากขอ้ มูลทีเก็บรวบรวมมาจากตวั อยา่ ง เรียกวา่ ค่าสถิติ วธิ ีการ ทางสถิติเชิงบรรยายประกอบดว้ ย 1. การจดั หมวดหมู่ขอ้ มูลดว้ ยการแจกแจงความถี 2. การจดั ตาํ แหน่งเปรียบเทียบ ไดแ้ ก่ อตั ราส่วน สดั ส่วน ร้อยละ เปอร์เซ็นไทล์ เดไซล์ ควอ ไทล์ เป็นตน้ 41
3. การวดั แนวโนม้ เขา้ สู่ส่วนกลาง ไดแ้ ก่ ค่าเฉลีย มธั ยฐาน ฐานนิยม เป็นตน้ 4. การวดั การกระจาย ไดแ้ ก่ ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน ส่วนเบียงเบนควอไทล์ พิสยั เป็นตน้ 5. การวดั ความสมั พนั ธ์ ได้ Pearson's product moment correlation (rxy) Phi correlation Spearman rank-order correlation เป็นตน้ การแจกแจงความถี (Frequency Distribution) เป็นการจดั กลุ่มของขอ้ มลู ทีเก็บรวบรวมมาได้ ใหอ้ ยเู่ ป็ นชุด เป็นพวกเดียวกนั ตามชนิดของ ตวั แปร เป็นการจดั เพอื ใหเ้ กิดเป็นสารสนเทศในการใชป้ ระโยชน์ หรือเพอื เตรียมไวใ้ นการวเิ คราะห์ ทางสถิติในขนั ต่อไป การนาํ เสนอการแจกแจงความถีนิยมใชก้ นั 3 รูปแบบ คือ 1. นาํ เสนอดว้ ยคาํ บรรยาย เหมาะกบั การใชบ้ รรยายลกั ษณะของตวั แปรทีละตวั 2. นาํ เสนอดว้ ยตาราง ลกั ษณะของตารางจะทาํ ใหผ้ อู้ ่านสามารถเขา้ ใจไดเ้ ร็วกวา่ คาํ บรรยาย ขณะเดียวกนั สามารถนาํ เสนอความถีของตวั แปรมากกวา่ 1 ตวั ในคราวเดียวกนั 3. นาํ เสนอดว้ ยแผนภูมิ แบบต่างๆ ชนิดของแผนภูมิ ใช้เมือ 1. แผนภูมิภาพ นิยมใชแ้ สดงขอ้ มูลเกียวกบั จาํ นวนตวั อยา่ งหรือประชากร 2. แผนภูมิแท่ง ตอ้ งการแสดงความถีของตวั แปรทีมีค่าขาดตอน 3. แผนภมู ิเส้น ตอ้ งการแสดงขอ้ มลู ทีมีการเปลียนแปลงไปตามระยะเวลา 4. แผนภูมิกง ตอ้ งการเปรียบเทียบใหเ้ ห็นสัดส่วนของส่วนประกอบแต่ละส่วนกบั ส่วนประกอบทงั หมดในคราวเดียวกนั 5. ฮีสโตแกรม ตอ้ งการแสดงความถีของตวั แปรทีมีค่าต่อเนือง การจัดตาํ แหน่งเปรียบเทียบ 1. สถิติทีใชใ้ นการเปรียบเทียบ ประกอบดว้ ย ชนิดของ สูตร ตัวอย่าง สถติ ิ 1. อตั ราส่วน อตั ราส่วน = (ความถีของ A/ อตั ราส่วนของครู : นกั เรียน = 1 : 50 ความถีของ B) 2. สดั ส่วน สดั ส่วน = (ความถีบางส่วน/ สดั ส่วนของนกั เรียนทีสอบผา่ นต่อ ความถีทงั หมด) นกั เรียนทงั หมด = 3/5 3. ร้อยละ ร้อยละ = สดั ส่วน x 100 นกั เรียนทีสอบผา่ นคิดเป็นร้อยละ 60 42
2. สถิติทีใชใ้ นการจดั ตาํ แหน่ง ประกอบดว้ ย ชนิดของสถติ ิ สูตร ความหมาย 1. เปอร์เซ็นไทล์ เป็นค่าทีแสดงใหท้ ราบวา่ เมือ Px n − F จดั ขอ้ มลู เป็ น 100 ส่วน ที 2. เดไซล์ 100 ตาํ แหน่ง Px ซึงมีค่าคะแนน 3. ควอไทล์ Px = L + i เท่ากบั x นนั มีขอ้ มลู ทีมีค่าตาํ 4. คะแนน f กวา่ คะแนนทีตาํ แหน่งนนั อยู่ มาตรฐาน ร้อยละเท่าไร เช่น ขอ้ มูลที ตาํ แหน่งเปอร์เซ็นไทลท์ ี 30 Px = ตาํ แหน่งเปอร์เซ็นไทลข์ องคะแนน x (P30) เท่ากบั 347 (x) หมายความวา่ มีขอ้ มลู ทีมี X = คะแนนทีตอ้ งการหาตาํ แหน่งเปอร์เซ็น คะแนนตาํ กวา่ 347 อยรู่ ้อยละ 30 ไทล์ เป็นค่าทีแสดงใหท้ ราบวา่ เมือ จดั ขอ้ มูลเป็ น 10 ส่วน ค่า F = ความถีสะสมก่อนของชนั ก่อนถึงชนั Px คะแนน (x) ทีตาํ แหน่ง (Dx) f = ความถีของคะแนนในชนั Px นนั มีขอ้ มลู ทีมีค่าตาํ กวา่ อยู่ n = จาํ นวนขอ้ มูลหรือความถีทงั หมด เท่าไร เป็นค่าทีแสดงใหท้ ราบวา่ เมือ L = ขีดจาํ กดั ล่างทีแทจ้ ริงของชนั Px จดั ขอ้ มูลเป็ น 4 ส่วน ค่า i = อนั ตรภาค คะแนน (x) ทีตาํ แหน่ง (Qx) นนั มีขอ้ มลู ทีมีค่าตาํ กวา่ อยู่ Dxn − F เท่าไร 10 Dx = L + i เป็นการนาํ คะแนนทีมีหน่วย f การวดั ต่างกนั ในมาตรอนั ตร ภาคหรือมาตรอตั ราส่วน มา จดั ใหม้ ีหน่วยเดียวกนั เพือใช้ Qx n − F ในการเปรียบเทียบ ขอ้ มลู ที 4 นาํ มาแปลงเป็นคะแนน Qx = L + i มาตรฐานตอ้ งมีการแจกแจง f แบบปกติ Z = (x − x) S.D. 43
การวดั แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นการคาํ นวณหาค่าทีใชเ้ ป็ นตวั แทนของขอ้ มูลทงั ชุด ประกอบดว้ ยค่าต่างๆ ต่อไปนี ชนดิ ของสถติ ิ การคาํ นวณ ใช้เมอื 1. ค่าเฉลีย ใชส้ ูตรคาํ นวณ ขอ้ มูลอยใู่ นมาตรอนั ตรภาคหรืออตั ราส่วน 2. มธั ยฐาน X = Σx n นาํ ค่าทงั หมดมาเรียงจากนอ้ ยไปมาก ค่าที ขอ้ มลู อยใู่ นมาตรอนั ดบั อยตู่ รงกลางคือค่ามธั ยฐาน 3. ฐานนิยม ค่าทีมีความถีสูงสุด ขอ้ มลู อยใู่ นมาตรนามบญั ญตั หิ รืออนั ดบั การวดั การกระจาย เป็นค่าตวั เลขทีแสดงถึงการกระจายของขอ้ มูลชุดหนึงๆ นิยมใชแ้ สดงควบคู่กบั ค่าทีไดจ้ าก การวดั แนวโนม้ เขา้ สู่ส่วนกลาง ชนิดของสถติ ิ สูตรในการคาํ นวณ ใช้เมอื 1. ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน S.D. = Σ(x − x)2 ขอ้ มลู อยใู่ นมาตรอนั ตรภาคหรือ (S.D., S) อตั ราส่วน และใชค้ ู่กบั ค่าเฉลีย n −1 ขอ้ มูลอยใู่ นมาตรอนั ตรภาคหรือ 2. ความแปรปรวน (S2) อตั ราส่วน S2 = Σ(x − x)2 ขอ้ มูลอยใู่ นมาตรอนั ดบั และใชค้ ู่ 3. ส่วนเบียงเบนควอไทล์ กบั มธั ยฐาน (Q.D.) n −1 Q.D. = Q3 − Q1 2 4. พสิ ยั ค่าสูงสุด - ค่าตาํ สุด ตอ้ งการทราบขนาดการกระจาย อยา่ งคร่าวๆ รวดเร็ว การวดั ความสัมพนั ธ์ เป็นค่าสถิติทีใชใ้ นการบรรยายขนาดความสมั พนั ธ์ของตวั แปร 2 ตวั เรียกวา่ simple correlation ค่าทีไดจ้ ากการคาํ นวณเรียกวา่ สมั ประสิทธิสหสมั พนั ธ์ (correlation coefficient) ประกอบดว้ ยค่าต่างๆ เช่น Phi correlation (rφ ) ใชเ้ มือตวั แปรทงั สอง เป็น true dichotomous คือ ตวั แปรทีมีค่าเกิดขึนไดเ้ พยี ง 2 categories ตาม rφ = bc − ad ธรรมชาติ (a + c)(b + d)(a + b)(c + d) Pearson's product moment correlation (rxy) ใชเ้ มือตวั แปรทงั สอง อยใู่ นมาตรอนั ตรภาคขึน NΣxy − ΣxΣy ไป NΣx 2 − (Σx)2 ⋅ NΣy2 − (Σy) [ ] [ ]rxy = 44
สถติ ิอ้างองิ (Inferential Statistics) ในทีนีจะกล่าวถึงเฉพาะสถิติอา้ งอิงทีเป็ นการทดสอบค่าสถิติของกลุ่มตวั อยา่ งกลบั ไปยงั ค่าพารามิเตอร์ในประชากรเท่านนั การทดสอบจะกระทาํ ไดเ้ มือกลุ่มตวั อยา่ งทีใชใ้ นการเก็บ รวบรวมขอ้ มูลเป็ นตวั แทนทีดีของประชากรเท่านนั หากขาดความเป็นตวั แทนแมจ้ ะทาํ การทดสอบ ก็ไม่สามารถสรุปผลไปยงั ประชากรได้ การเลือกใชข้ ึนอยกู่ บั ค่าพารามิเตอร์ทีตอ้ งการทดสอบ เช่น การทดสอบเกียวกบั ค่าเฉลียในกรณีต่างๆ ดงั นี จาํ นวน ค่าสถติ ทิ ดสอบ ข้อตกลงเบืองต้น กลุ่มตวั อย่าง ( )Z = X − µ0 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม (K) σn 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ 1 3. มาตราอนั ตรภาค 4. ทราบความแปรปรวนของประชากร ( )t = X − µ0 ; df = n − 1 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม Sn 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ 3. มาตราอนั ตรภาค 2 Z = X1 − X2 4. ไม่ทราบความแปรปรวนของประชากร อิสระ σ12 σ 2 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม + 2 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ 3. มาตราอนั ตรภาค n1 n2 4. กลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่มเป็ นอิสระต่อกนั 5. อิสระภายในตวั อยา่ ง ก. กรณี σ12 = σ 2 6. ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร 2 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ t = X1 − X2 3. มาตราอนั ตรภาค 4. กลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่มเป็ นอิสระต่อกนั Sp 1 +1 5. อิสระภายในตวั อยา่ ง n1 n2 6. ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร df = n1 + n 2 − 2 ( ) ( )S 2 = n1 − 1 S12 + n2 − 1 S 2 p 2 n1 + n2 − 2 45
จาํ นวน ค่าสถติ ทิ ดสอบ ข้อตกลงเบืองต้น กลุ่มตวั อย่าง ข. กรณี σ2 ≠ σ2 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม (K) 12 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ 3. มาตราอนั ตรภาค 2 t = X1 − X2 2 4. กลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่มเป็ นอิสระต่อกนั สมั พนั ธ์ S12 2 5. อิสระภายในตวั อยา่ ง + S 6. ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร n1 n2 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม ( )+S12 S22 2 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ ( ) ( )df =n1 n2 3. มาตราอนั ตรภาค S221 4. กลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่มมีความสมั พนั ธก์ นั S12 2 2 5. อิสระภายในตวั อยา่ ง 6. ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร +n1 n2 1. กลุ่มตวั อยา่ งไดม้ าโดยการสุ่ม 2. การแจกแจงของประชากรเป็ นโคง้ ปกติ n1 − 1 n2 − 1 3. มาตราอนั ตรภาค 4. กลุ่มตวั อยา่ ง แต่ละกลุ่มเป็ นอิสระต่อกนั ( )t = d − d0 ; df = n − 1 5. อิสระภายในตวั อยา่ ง SD n 6. ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร มากกวา่ 2 ANOVA แต่ความแปรปรวนของประชากรแต่ อิสระต่อกนั ละกลุ่มมีค่าเท่ากนั F = MSb MSw ν1 = k − 1, ν2 = n − k การเลือกใชส้ ถิติในการวจิ ยั ขึนอยกู่ บั 1) วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 2) ระดบั มาตรวดั ของตวั แปร และ 3) ขอ้ ตกลงเบืองตน้ ของสถิติแต่ละตวั ผวู้ จิ ยั จึงจาํ เป็นตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจองคป์ ระกอบทงั สามใหช้ ดั เจน จึงจะเลือกสถิติมาใชใ้ นการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม *************************************** 46
กจิ กรรม/คําถาม/แบบฝึ กหดั ใหพ้ จิ ารณาทบทวนขอ้ มูลข่าวสารทางการศึกษาต่างๆ ทีเกิดขึนในปัจจุบนั แลว้ ตอบคาํ ถาม หรือทาํ กิจกรรมต่อไปนี 1. หวั ขอ้ หรือประเด็นของเหตุการณ์ หรือ สภาพการณ์ ใด ทีนกั ศึกษาคิดวา่ เป็นปัญหา หรือ สนใจเป็ นพิเศษ 2. บรรยายสรุปเหตุการณ์ หรือ สภาพการณ์ ทีเป็ นปัญหาหรือสนใจ มาพอสังเขป 3. เหตุการณ์ หรือ สภาพการณ์ ทีเป็นปัญหาหรือสนใจ นนั สาํ คญั หรือมีผลกระทบอยา่ งไร 4. จากเหตุการณ์ หรือ สภาพการณ์ ทีเป็นปัญหาหรือสนใจ ดงั กล่าว นกั ศึกษามีขอ้ สงสยั หรือมีคาํ ถามอะไร ทีจะศึกษาหาความรู้ความจริง 47
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: