หน่วยที่ 7 สง่ิ แวดลอ้ มและความปลอดภยั ในงานอาชพี เกษตร สาระสาคญั สง่ิ แวดลอ้ ม หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่มี ลี ักษณะทางกายภาพและชวี ภาพทอ่ี ยรู่ อบตัวมนุษย์ ซึ่งเกดิ ข้ึนโดย ธรรมชาตแิ ละสิ่งที่มนุษย์ได้ทาขึน้ หลักปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม เกษตรกรควรศึกษาหา ความรู้ ในด้านบุคคล ด้านเครอื่ งมอื และเคร่ืองจกั รกล ดา้ นสารเคมแี ละเคมภี ณั ฑต์ า่ งๆ ดา้ นสตั ว์หรือพชื มีพษิ ดา้ นภัยจากธรรมชาติ ดา้ นอนั ตรายจากโรคทว่ั ไป ความรู้ความเขา้ ใจจะลดความเส่ยี งอนั ตรายดา้ นโรคจากการ ประกอบอาชีพภาคเกษตรกรรมได้ จุดประสงค์ 1. บอกความหมายของสง่ิ แวดลอ้ มได้ 2. อธบิ ายความปลอดภัยในงานอาชีพเกษตรกรรมได้ 3. อธบิ ายความเสยี่ งและโรคจากการประกอบอาชพี เกษตรกรรมได้ เนื้อหา 1. ส่งิ แวดล้อม 1.1 ความหมายของสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 และใน พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้ให้คานิยามของส่ิงแวดล้อม ตรงกันคือ หมายถงึ ส่ิงต่าง ๆ ที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ซ่ึงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และส่ิงที่มนุษยไ์ ด้ทาขน้ึ 1.2 ประเภทของส่ิงแวดล้อม การจาแนกสิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งได้หลายจาพวกขึน้ อยู่กบั วัตถุประสงค์ของการแบ่ง ดงั นี้ 1.2.1 จาแนกตามองคป์ ระกอบของส่งิ แวดลอ้ มเปน็ 4 ลักษณะ 1.2.1.1 สิ่งแวดลอ้ มทางด้านกายภาพ (Physical Environment) 1.2.1.2 สิง่ แวดลอ้ มทางด้านเคมี (Chemical Environment) 1.2.1.3 สิง่ แวดลอ้ มทางดา้ นชีวภาพ (Biological Environment) หมายถงึ คุณลกั ษณะส่งิ แวดลอ้ มทม่ี ีองค์ประกอบของสิง่ มีชีวติ เชน่ จุลนิ ทรีย์ พืช และสตั ว์ รวมถงึ มนุษยด์ ้วย ซง่ึ มนุษย์ มีบทบาทท่สี าคญั ทัง้ ในการชว่ ยคา้ จนุ และในการทาลายสิ่งแวดลอ้ มด้วยกันเอง
1.2.1.4 สิ่งแวดล้อมทางด้านสังคม (Social Environment) หมายถึงส่ิงแวดล้อมที่ มีความเก่ียวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ ในด้านการใช้ชีวิตในสังคม รวมถึงพฤติกรรม จารีตประเพณี และ วฒั นธรรมที่ถอื ปฏิบตั ิกันมาชา้ นาน เช่น ประเพณที างศาสนา เป็นต้น 1.2.2 สงิ่ แวดล้อมแบง่ เปน็ ลักษณะตามเกดิ ได้ 2 ลักษณะ 1.2.2.1 ส่ิงแวดล้อมที่เกิดตามธรรมชาติ (Natural Environments) หมายถึง ส่ิงแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เชน่ ดนิ นา้ อากาศ จุลนิ ทรีย์ พชื และสตั ว์ เปน็ ต้น 1.2.2.2 สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Environments) หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างข้ึน เช่น อาหาร ท่ีอยู่อาศัย ยารักษาโรค อุปกรณ์อานวยความสะดวกต่าง ๆ เครือ่ งจกั ร เครือ่ งยนต์ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ เปน็ ต้น 1.2.3 สิ่งแวดล้อมแบ่งตามการมชี ีวติ ได้ 2 ลักษณะ 1.2.3.1 ส่ิงแวดล้อมมีชีวิต (Biotic Environments) หมายถึง สิ่งแวดล้อมเป็น สิง่ มชี วี ิต เช่น จุลนิ ทรีย์ พชื และสัตว์ รวมถึงมนษุ ย์ดว้ ย 1.2.3.2 ส่ิงแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต ( Abiotic Environments ) หมายถึงสิ่งแวดล้อมที่ ไม่มีคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต ซ่ึงอาจเกิดข้ึนโดยธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างข้ึน เช่น อากาศ น้า แสงสว่าง เคร่อื งจักร เคร่ืองยนต์ เครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค เปน็ ตน้ การดารงชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดทุกยุค สมัย ในระยะแรก ๆ เน่ืองจากจานวนประชากรยังมีไม่มากประกอบกับทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมยังมี อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ การกระทาของมนุษย์เพื่อเปล่ียนแปลงสภาพของสิ่งแวดล้อมยังมีไม่มาก และธรรมชาติ ยังมีความสามารถรองรับและฟ้ืนตัวได้เองจากการกระทาของธรรมชาติเองและจากการกระทาของมนุษย์ได้ เกือบหมด ดังนั้นประเด็นปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมจึงถูกละเลย และไม่ได้ให้ความสาคัญเท่าที่ควร จึงส่งผลต่อ ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพ 2. ความปลอดภัยในงานอาชีพเกษตรกรรม คนไทยสว่ นใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การทานา ทาสวน ทา ไร่ เล้ียงสัตว์ ทาประมง ปัจจุบันเกษตรกรได้นาความรู้ วิธีการเกษตรสมัยใหม่รวมท้ังนาเคร่ืองจักรมาใช้ แทนแรงงานคนและสัตว์ เพือ่ เพ่มิ ผลผลติ ให้สูงขน้ึ สง่ิ เหล่าน้ีหากนามาใชโ้ ดยขาดความรู้ ความชานาญ ขาด ความระมัดระวัง ย่อมก่อใหเ้ กิดอันตรายได้ 2.1 สาเหตขุ องการเกดิ อุบตั ิภยั จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม สรปุ ไดด้ ังน้ี 2.1.1 เกิดจากตัวบุคคล เช่น ขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องและอุปกรณ์ ตา่ งๆ ขาดความรับผดิ ชอบ และความระมดั ระวงั ในการปฏิบัติงาน ประมาทเลินเล่อ นอกจากนี้การที่สภาพ รา่ งกายและจิตใจไม่ปกติ เจ็บป่วย ยอ่ มมสี ว่ นทาให้เกดิ อนั ตรายหรอื อบุ ัตภิ ยั ต่างๆ ไดม้ ากขนึ้
2.1.2 เกิดจากเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม คราด ไถ หรือเคร่ืองจักรกล ได้แก่ รถแทรกเตอร์ รถไถนา เคร่ืองนวดข้าว อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ถ้าหากอยู่ใน สภาพท่ีชารดุ หรอื เก็บรักษาไมถ่ กู วธิ ี 2.1.3 เกิดจากสารเคมีต่าง ๆ ผลท่ีเกิดจากการใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ยาฆ่า แมลง ยาปราบวัชพืช หรือแม้แต่การใช้ปุ๋ย ซ่ึงเป็นสารเคมีอาจส่งผลให้ร่างกายสะสมพิษของสารเคมีทีละ น้อยจนก่อใหเ้ กิดโรคต่าง ๆ ในภายหลัง และถ้าหากได้รับสารเคมีจานวนมาก อาจทาให้เกดิ อันตรายถึงชวี ิต 2.1.4 สัตว์และพืชมีพิษ สัตว์เล้ียงอาจนาเช้ือโรคมาสู่คน เช่น โรคแอนแทรกซ์ โรคพิษ สนุ ัขบา้ ส่วนสตั วม์ พี ิษ เช่น งู แมงปอ่ ง ตะขาบ เม่ือกัดหรอื ต่อยจาทาใหเ้ กิดอันตรายต่อรา่ งกายนอกจากน้ี พืชมีพษิ บางชนิด เช่น หมาม่ยุ เมอ่ื เราสัมผัสอาจทาใหผ้ ิวหนังคันและเกดิ การอกั เสบได้ 2.1.5 เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น ลม พายุ น้าท่วม ฟ้าผ่า สามารถก่อให้เกิดความ เสียหายแกท่ รพั ยส์ ิน ทาลายผลิตผลทางการเกษตร และอาจทาให้เกษตรกรบาดเจบ็ หรือเสยี ชีวิตได้ 2.1.6 อนั ตรายจากโรคภยั ไข้เจบ็ อ่ืน ๆ เกดิ จากเชอื่ โรคในบริเวณที่ทาการเกษตร เช่น โรค พยาธิท่ีอาศัยอยู่ตามพ้ืนดินที่ชื่นแฉะ โรคบาดทะยักจากเช่ือที่อยู่ในดินหรือมูลสัตว์เข้าทางบาดแผล นอกจากนี้ การทางานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายเป็นเวลานาน อาจทาให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือมี อาการผิดปกติ เช่น ทางานกลางสายฝนอาจจะทาให้เป็นไข้หรือปอดบวม ทางานกลางแสงแดดจัดก็อาจมี อาการหนา้ มืดเปน็ ลม 2.2 หลกั ปฏิบัติเพื่อความปลอดภยั ในการประกอบอาชพี ด้านเกษตรกรรม 2.2.1 ด้านบุคคล เกษตรกรควรศึกษาหาความรู้ รับฟังข่าวสารโดยเฉพาะเร่ืองท่ีเกี่ยวกับ สุขภาพและสวัสดิภาพในการประกอบอาชีพ เพ่ือเตรียมป้องกันและระมัดระวังอันตรายท่ีจะเกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัตงิ าน รวมทั้งการรักษาสุขภาพร่างการให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ควรทางานหนักเกินกาลัง ถ้าหากมี อาการผิดปกตใิ หร้ ีบดแู ลรกั ษาทนั ที 2.2.2 ด้านเครื่องมือและเคร่ืองจักรกล ผู้ใช้ควรศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับ เครื่องมือและเคร่ืองจักรกลที่จะนามาใช้ในการประกอบอาชีพ ก่อนใช้งานควรตรวจดูสภาพความเรียนร้อย หากพบจุดบกพร่องหรือชารุดเสียหายควรจัดการซ่อมแซมและแกไขทันทีเครื่องจักรกลบางชนิดเป็นสาเหตุ สาคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติภัยแก่เกษตรกร ควรระมัดระวังในการใช้เป็นอย่างมาก เช่น รถแทรกเตอร์ ควรปฏิบัติ ตามค่มู ือการใชร้ ถ หากเขา้ ใจให้สอบถามผู้รไู้ ม่ควรหอ้ ยโหนหรือเกาะข้างรถขณะกาลังใช้งาน นอกจากนี้เม่ือใช้ อปุ กรณ์หรอื เครอื่ งมือต่างๆเสร็จแล้ว ควรทาความสะอาดและเกบ็ เข้าท่ใี หเ้ รยี บร้อย 2.2.3 ด้านสารเคมีและเคมีภัณฑ์ต่างๆ ปัจจุบันเกษตรกรได้นาสารเคมีมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ยาปราบวัชพืชหรือยาฆ่าแมลง สารเคมีเหล่าน้ีล้วนมีพิษทั้งต่อผู้ท่ีนามาใช้ละผู้บริโภค ดังน้ัน ผู้ใช้จะต้อง รู้จักและเข้าใจวิธีใช้ให้ถูกต้อง โดยควรอ่านฉลากให้เข้าใจถึงวิธีใช้อย่างละเอียดก่อนใช้สารเคมีและปฏิบัติตาม ขัน้ ตอนโดยเคร่งครดั กอ่ นใชส้ ารเคมีควรแต่งกายให้มิดชิด เช่น สวมเส้ือผ้าให้มิดชิด สวมหมวก แว่นตา ถุงมือ และหน้ากาก เพ่ือป้องกันสารเคมีเข้าสู่ผิวหนังหริเข้าตา หากสารเคมีถูกผิวหนังควรรีบชาระร่างกายให้สะอาด เพ่ือป้องกันไม่ให้สารน้ันซึมเข้าสู่ร่างกาย หลังใช้สารเคมีควรอาบน้า เปล่ียนเสื้อผ้าใหม่ เคร่ืองฉีดพ่นสารเคมี
ควรเกบ็ ใหเ้ ป็นท่พี น้ จากมือเดก็ และหากจากสิ่งของบริโภค การเก็บผลผลิตควรทิ้งช่วงห่างจากการฉีดสารเคมี อย่างน้อย 6-10 วัน หรือตามท่ีฉลากกาหนด ถ้าหากได้รับพิษจากสารเคมีให้ปฏิบัติตามคาแนะนาเบื้องต้นท่ี กากบั ไวบ้ นฉลากกอ่ นนาสง่ แพทย์ 2.2.4 ด้านสตั ว์หรือพืชมีพิษ เกษตรกรควรศึกษาลักษณะและธรรมชาติของสัตว์มีพิษเพื่อหาทาง หลีกเล่ียงและป้องกันอันตราย สัตว์เล้ียงควรนาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ อย่างสม่าเสมอและควรรักษา ความสะอาดบริเวณบ้านและสภาพแวดล้อมเป็นประจาไม่ให้รกรุงรัง เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษเข้ามาอยู่อาศัย ผัก ผลไม้ก่อนนามารับประทานควรล้างในน้าสะอาดหลายๆครั้งหรือแช่ในน้าผสมด่างทับทิมเล็กน้อยเพ่ือช่วยฆ่า เชอ้ื โรค ไม่ควรรับประทานพชื หรือเห็ดชนิดท่ีไม่รู้จกั คุ้นเคย เพราะอาจเกดิ พิษได้ 2.2.5 ดา้ นภัยจากธรรมชาติ การเกดิ ภยั ธรรมชาตแิ ม้จะไม่สามารถควบคุมการเกิดได้ แต่สามารถ ปอ้ งกันได้โดยการปฏิบัตดิ ังนี้ หากอยู่ในบริเวณที่เกิดภัยธรรมชาติ เช่น มีน้าท่วม มีลมพายุ ควรเตรียมพ้อมอยู่ เสมอ อยา่ งนอ้ ยกช็ ว่ ยแกไ้ ขสถานการณ์จากหนกั ให้เป็นเบาได้และขณะที่ฝนตกหนัก ไม่ควรทางานในท่ีโล่งแจ้ง เพราะอาจจะถกู ฝ้าผ่าได้ ไมค่ วรหลบฝนหรือลมพายใุ ตต้ น้ ไม้ใหญ่ เพราะกงิ่ ไมอ้ าจหักโค่นลงมาทับ ควรหลบฝน บริเวณต้นไม้เตี้ยหรือพุ่มไม้ หมั่นตรวจสอบรายงานข่าว สภาพภูมิอากาศอย่างสม่าเสมอ เพื่อจะได้ป้องกัน ตนเองไดอ้ ย่างทว่ งที 2.2.6 ด้านอันตรายจากโรคทั่วไป ควรสวมใส่ชุดทางานที่เหมาะสมกับสภาพดินฝ้าอากาศและ สะดวกต่อการทางาน บารุงรักษาร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ และควรรักษาความสะอาดสภาพ แวดล้อมของบ้าน รวมทั้งแหล่งเกษตรกรรมใหถ้ กู สขุ ลักษณะ 3. ความเสี่ยงและโรคจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ความเส่ียงอันตรายด้านโรคจากการประกอบอาชีพภาคเกษตรกรรม แบ่งได้เป็น 4 ด้าน ได้แก่ ความ เส่ียงอันตรายจากปัจจัยทางเคมี ทางชีวภาพ ทางกายภาพ เออร์โนมิคส์และภัยธรรมชาติ ความเสี่ยง อนั ตรายจากปจั จยั ทางจติ วิทยาสังคม 3.1 ความเสยี่ งอนั ตรายจากปัจจยั ทางเคมี ปัจจบุ ันเกษตรกรมีการใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย เพ่ือให้ไดผ้ ลผลติ ที่มีคณุ ภาพใน ปริมาณมาก รวมท้งั สามารถเกบ็ เกีย่ วผลผลติ ไดท้ ันเวลาตรงกับความต้องการของตลาดเพ่ือให้ได้ราคาสงู ถึงแม้ว่าการนาเขา้ ปยุ๋ เคมใี นประเทศไทยจะมปี รมิ าณสูงมากกวา่ สารเคมีกาจัดศตั รูพืช แตเ่ มอื่ เปรยี บเทียบถึง ผลกระทบต่อสุขภาพท้งั แบบเฉียบพลันรนุ แรงและแบบสะสมระยะยาวแลว้ นับวา่ สารเคมีกาจัดศัตรพู ืชเปน็ ปัญหาทสี่ าคญั ทีส่ ดุ ดา้ นปัจจยั ทางเคมี และปญั หาท่ีได้รบั ความสนใจในระดับสากลเนือ่ งจากมีรายงานการ เกดิ ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อม และการเปลย่ี นแปลงทางสภาวะแวดลอ้ มของโลก 3.1.1 สารเคมกี าจดั ศัตรพู ชื วัตถอุ นั ตรายท่ีมีการนาเขา้ มีทั้งหมด 12 ชนิด ได้แก่ 3.1.1.1 Glyphosate isopropylamine salt (สารกาจัดวชั พชื กลุ่มไกลโฟเซท) 3.1.1.2 2,4-D sodium salt (สารกาจดั วัชพืช)
3.1.1.3 Methamidophos (สารกาจัดแมลงกลุ่มออร์กา-โนฟอสเฟต พิษร้ายแรง ระดับความเปน็ พษิ 1บ)ี 3.1.1.4 Atrazine (สารกาจัดวัชพชื ) 3.1.1.5 Ametryn (สารกาจัดวชั พืช) 3.1.1.6 Parathion methyl (สารกาจัดแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต พิษร้ายแรง ย่งิ ระดบั ความเปน็ พิษ 1 เอ) 3.1.1.7 Mancozeb (สารป้องกันกาจัดโรคพชื กลุ่ม ไธโอคาร์บาเมต) 3.1.1.8 Endosulfan (สารกาจัดแมลงกลมุ่ ออรก์ าโนคลอรนี ) 3.1.1.9 Paraquat dichloride (สารกาจัดวัชพชื กลุ่มพาราควอท) 3.1.1.10 Butachor (สารกาจัดวชั พชื มีผลการศึกษาพบว่าเปน็ สารก่อมะเร็ง) 3.1.1.11 Sulfur (หรือกามะถันซง่ึ สารป้องกันกาจัดโรคพชื ) 3.1.1.12 Chlorpyrifos (สารกาจัดแมลงกลมุ่ ออรก์ าโนฟอสเฟต) จะเห็นว่ามีสารที่มีความเป็นพิษหรือเป็นอันตรายสูงจานวน 6 ชนิดได้แก่ เมธามิโดฟอส (Methamidophos) ซ่ึงปัจจุบันมีการประกาศห้ามจาหน่ายแล้ว อะทราซีน (Atrazine) พาราไธออน-เมทิล (Parathion methyl) เอ็นโดซัลแฟน (Endosulfan) พาราวอท ไดคลอไรด์ (Paraquat dichloride) และ บิวทาคลอร์ (Butachor) 3.1.2 ผลกระทบตอ่ สุขภาพจากสารเคมีกาจดั ศัตรูพชื ผลกระทบต่อสุขภาพประการแรกคือ ผู้ที่ได้รับสารเคมีท่ีมีความเป็นพิษรุนแรงเข้าสู่ รา่ งกายในปรมิ าณทมี่ ากพอจะเกดิ อาการอย่างเฉียบพลันซึ่งมีอาการที่แตกต่างกันข้ึนอยู่กับชนิดของสารเคมีและ ทางเข้าสู่ร่างกาย อาทิ การระคายเคืองผิวหนังหากได้รับทางผิวหนัง เคืองตาแสบตาบริเวณท่ีสัมผัส และเมื่อ สารเคมีถูกดูดซมึ เข้าสรู่ ่างกายอาจมีผลทาให้เกดิ ความผดิ ปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ทาให้อ่อนเพลีย และเหนื่อย เกิดอาการเกร็งของกล้ามเน้ือ ระบบทางเดินอาหาร ผิดปกติทาให้ท้องร่วงหรือท้องอืด เป็นต้น นอกจากนี้การไดร้ ับสารเคมเี ข้าสู่ร่างกายทีละน้อยอาจมีการสะสมอยู่ในอวัยวะของร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการ ในที่สดุ สารเคมีบางชนดิ มผี ลทาให้เกิดความผิดปกติของต่อมไรท้ อ่ เช่น บางชนิดมีผลต่อพัฒนาการเจริญเติบโต ในเด็ก เช่น เอ็นโดซัลแฟนซึ่งเป็นสารกาจัดแมลง และบางชนิดมีผลการศึกษาพบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น Atrazine ซงึ่ เปน็ สารกาจัดวัชพืช เป็นต้น กลุ่มเสี่ยงต่อโรคพิษสารกาจัดศัตรูพืช ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เกษตรกรผู้ทานา เพาะปลกู ผักผลไม้ และผ้รู ับจ้างฉีดพ่นสารเคมีกาจดั ศัตรูพชื 3.1.3 พฤตกิ รรมการใชส้ ารเคมีที่ไม่ปลอดภัย พฤติกรรมการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชท่ีไม่ปลอดภัย ได้แก่ ผสมสารเคมีหลายชนิด ในการพ่นครั้งเดียว ไม่สวมถุงมือป้องกันขณะทางานกับสารเคมี ไม่ตรวจรอยรั่วของถัง/ภาชนะบรรจุสารเคมี ไมล่ ้างภาชนะบรรจุที่หมดแล้วก่อนกาจัด ไม่ลา้ งอปุ กรณ์ฉดี พน่ สารเคมหี ลังการใชง้ าน ไม่สวมรองเท้าบู๊ตขณะ
ฉีดพ่นสารเคมี ไม่แยกซักเสื้อผ้าท่ีสวมฉีดพ่นสารเคมี ไม่ดูกาลังทิศทางลมก่อนการฉีดพ่น ไม่อาบน้าและ เปลีย่ นเสอื้ ผ้าทีซ่ ึมเป้อื นทนั ที ไม่ล้างมือและอาบนา้ เปลี่ยนเส้ือผ้าหลังฉีดพ่น ไม่มีทีเ่ กบ็ สารเคมฯี โดยเฉพาะ 3.1.4 ผลกระทบจากการตกค้างของสารเคมีกาจัดศัตรพู ืชในสงิ่ แวดลอ้ ม ปัญหาการตกค้างของสารเคมีกาจัดศัตรูพืชในส่ิงแวดล้อมเกิดจากการแพร่กระจาย ของสารเคมีในระหว่างการฉีดพ่น เน่ืองจากสารเคมีส่วนใหญ่จะกระจายจากบริเวณของพืชที่ต้องการ ฉีดพ่น ลงสู่พื้น และบางส่วนระเหยอยู่ในอากาศ ทาให้มีการสะสมอยู่ในพื้นดินและน้า ซึ่งเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ เล้ียง และ สัตว์ในธรรมชาติ ในท่ีสุดจะส่งผลให้เกิดการสะสมของสารเคมีในห่วงโซ่อาหาร สารเคมีกาจัด ศัตรูพืชบางชนิดสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมนานหลายปีโดยเฉพาะอย่างย่ิง สารเคมีกลุ่มออร์กาโนคลอรีน เช่น ดีดีทสี ามารถอยู่ในสง่ิ แวดล้อมได้ถึง 30 ปี ดลี ดรนิ สามารถอยใู่ นส่ิงแวดล้อมไดถ้ ึง 25 ปี เปน็ ต้น 3.1.5 การจดั การแก้ไขปัญหาจากปัจจัยทางเคมี 3.1.5.1 การบังคับใช้กฎหมายการห้ามนาเข้าสารเคมีท่ีมีพิษร้ายแรงท่ีมีการ ประกาศให้เกิดผลได้จริง และประกาศการห้ามเพิ่มเติมสาหรับสารเคมีตัวอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ชดั เจน 3.1.5.2 เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมี โดยเฉพาะในพื้นที่ท่ีมีอัตราการป่วย สูง เพราะมีการใช้สารเคมีในนาข้าว และพืชไร่หลาย ๆ ชนิดในปริมาณสูง และสารเคมีเหล่านี้มีความ หลากหลาย รวมทั้งมีระดบั ความเป็นพิษร้ายแรงมากจนถงึ ร้ายแรงน้อย เปน็ พิษทง้ั เฉียบพลัน และพิษเรอ้ื รงั 3.1.5.3 การสารวจและจัดทาข้อมูลการใช้สารเคมีในระดับจังหวัดเพื่อประโยชน์ใน การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกรได้ สาหรับระบบรายงานการเฝ้าระวังโรคพิษสารเคมีกาจัดศัตรูพืช ให้ทันเหตกุ ารณ์ 3.1.5.4 การให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้เก่ียวข้องให้ทราบถึงพิษภัยท่ีแท้จริง มี ความเข้าใจในการใช้และปฏบิ ตั ิงานอย่างปลอดภยั อันจะส่งผลให้เกดิ การเปล่ียนแปลงในทางทดี่ ีข้ึน เช่น การ เลอื กใช้สารเคมีอยา่ งเหมาะสม ไม่ใชส้ ารเคมีเมื่อไม่จาเป็น สังเกตอาการผิดปกติท่ีเกิดจากการใช้ สารเคมี พรอ้ มกับดาเนินการแก้ไข เป็นตน้ 3.1.5.5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ ควรดาเนินการและ ส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเพ่ือลดการใช้สารเคมี ด้วยวิธีการต่าง ๆ และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ตา่ ง ๆ สเู่ กษตรกร 3.1.5.6 กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการดูแลสุขภาพ ประชาชน จาเปน็ จะต้องเฝา้ ระวงั สขุ ภาพเกษตรกรทั้งเชิงรุกและเชิงรับ พัฒนาให้มีความครอบคลุมมากท่ีสุด และ รายงานสถานการณไ์ ดอ้ ย่างรวดเรว็
3.2 ความเสยี่ งอันตรายจากปจั จัยทางชีวภาพ ประเทศไทยต้ังอยู่ในพื้นท่ีร้อนช้ืน เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเช้ือโรคต่างๆ จากการ ทางานในภาคเกษตรกรรม อันตรายจากปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความเส่ียงต่อโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน การตดิ เช้อื โรคทั่วไป รวมถงึ การบาดเจ็บจากการถกู สัตว์ร้ายกดั และงหู รอื สตั ว์มพี ษิ กดั ต่อย โรคติดเช้ือในเกษตรกรทส่ี าคัญในประเทศไทย ได้แก่ โรคเลปโตสไปโรซิส ซ่ึงมีรายงานการป่วย สูงเมื่อเปรียบเทียบกับโรคอ่ืน ปัจจุบันสานักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานหลักในการ ดาเนนิ การป้องกันควบคุมโรคโรคเลปโตสไปโรซิส และโรคไข้หวัดนกนับเป็นปัญหาสาคัญในปัจจุบันเน่ืองจาก เป็นโรคท่ีมีอัตราการปว่ ยตายสูง เป็นโรคที่สร้างความตระหนกแกค่ นทั่วไปถึงอันตรายและความเสี่ยงในการติด เช้ือ รวมถึงมีผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ และโรคเมลิออยโดซิสซ่ึงโรคที่มีอัตราการป่วยตายสูง และมแี นวโน้มของการป่วยสงู ข้ึน 3.2.1 โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) โรคเลปโตสไปโรซิสเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน เกิดจากเช้ือแบคทีเรีย Leptospira ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ ปวดท้อง อาเจียน ท้องรว่ ง ตาแดง หรือเป็นผื่น บางครั้งอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง สาเหตุสาคัญการติดเชื้อจากการสัมผัส ฉีห่ นูทเ่ี ป็นสัตว์พาหะนาโรค จงึ เรียกอกี ชื่อหน่งึ ว่า โรคฉี่หนู 3.2.2 ไขห้ วัดนก (Avian Influenza) โรคไข้หวดั นก ถือเปน็ โรคจากการประกอบอาชีพในกลมุ่ ผ้เู ลี้ยงที่ตดิ เช้อื จากไกท่ เ่ี ป็น โรค ซงึ่ นบั เป็นโรคทมี่ อี ันตรายถงึ แก่ชีวติ และมีอัตราตายสูงในกลุ่มผูป้ ว่ ย พ้นื ทเี่ ส่ียงได้แกพ่ ้นื ทเี่ ปน็ ทีอ่ ยู่อาศยั หรือมกี ารเล้ียงสัตวป์ ีกและมีสัตวป์ กี ที่เปน็ โรค มรี ายงานการระบาดในไกจ่ าก 66 จงั หวัดของประเทศ 3.2.3 เมลอิ อยโดซิส (Melioidosis) เกดิ จากเชื้อแบคทเี รีย เขา้ สู่ร่างกายผา่ นทางบาดแผล หรือดื่มนา้ ทป่ี นเป้ือน กลมุ่ เสย่ี งคือ ผมู้ อี าชีพทต่ี ้องสมั ผสั กบั คน ฝนุ่ น้า หรอื โคลน อาการป่วยคือเป็นไขไ้ มส่ ม่าเสมอ เจบ็ หนา้ อก เกิด หนองอักเสบทปี่ อด ถา่ ยภาพรงั สีจะพบรอยปนื้ ใหญ่ อาจมีอาการแทรกคอื เลือดเป็นพิษ 3.3 ความเส่ยี งอันตรายจากปัจจยั ทางกายภาพ เออรโ์ กโนมคิ ส์ และภัยทางธรรมชาติ ปจั จัยทางกายภาพ เออร์โกโนมคิ ส์ และภยั ทางธรรมชาติ เปน็ ส่ิงคกุ คามสุขภาพท่ีสาคัญใน ผู้ ประกอบอาชีพภาคเกษตรกรรม ทงั้ ในการเพาะปลกู เลย้ี งสัตว์ และประมง ความเสีย่ งจากสง่ิ คุกคามสขุ ภาพทางกายภาพและเออร์โนมคิ ส์ท่มี มี ากท่ีสุด ได้แก่ ความเส่ียงจาก ทางานกลางแดด อากาศร้อนอบอ้าว รองลงมา ได้แก่ การยืน/เดินนานติดต่อกันมากกว่า 1 ชั่วโมง ทางานกลางแดดตลอดทั้งวัน ความเส่ียงจากการใช้ของมีคม ปีนป่ายหรือทางานในที่สูง ทางานกับ เคร่ืองจักรกล หรือไฟฟ้า ทางานที่คุกเข่าหรือน่ังยอง ๆ ซ้า ๆ ดันลากหรือยกของหนักเป็นประจา ก้มหลัง หรือกม้ ศรี ษะซา้ ๆ เคล่อื นไหวของมอื หรือข้อมอื ซ้า ๆ การปรับปรุงแกไขความเส่ียงท่ีพบ เชน หลีกเลี่ยงหรือไมทางานในทากม หรือเอ้ียวตัวมากๆ ไมควรยกของหนักเกินไป เชน แรงงานชายที่มีอายุต้ังแต ปข้ึนไป หากตองยกเคล่ือนยายของหนักเปน
ประจา ควรยกน้าหนักของวัสดุสิ่งของน้ัน ไมใหเกิน 40% ของน้าหนักตัว และแรงงานหญิงควรยกน้าหนัก ของวัสดุส่ิงของนั้น ไมใหเกิน 25% ของน้าหนักตัว ควรหาคนหรืออุปกรณชวยยก ในดานกฎหมายแรงงาน ชายยกของหนักไมเกนิ 50 กิโลกรมั แรงงานหญงิ ยกของหนกั ไมเกิน 25 กิโลกรัม 3.4 ความเสีย่ งอันตรายจากปัจจยั ทางจิตวิทยาสงั คม สภาพสังคมเศรษฐกิจปัจจุบันสร้างความกดดันและทาให้สุขภาพจิตเส่ือมลงมาก อาจเป็นสาเหตุ ประการหนึ่งท่ีส่งผลต่อการพยายามฆ่าตัวตาย ข้อมูลสรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ของสานักระบาดวิทยา ระหว่างปี พ.ศ. 2540 – 2545 พบว่าผู้ป่วยจากการพยายามฆ่าตัวตายด้วยการรับประทานยาหรือ สารพิษมี แนวโนม้ สงู ขน้ึ สรุป สงิ่ แวดล้อม หมายถึง ส่งิ ต่าง ๆ ทม่ี ีลักษณะทางกายภาพและชวี ภาพทอี่ ยู่รอบตวั มนษุ ย์ ซ่ึงเกดิ ขึ้นโดย ธรรมชาตแิ ละสิง่ ท่มี นุษย์ได้ทาขึ้น องค์ประกอบของส่งิ แวดล้อมมี 4 ลักษณะ คอื ส่ิงแวดลอ้ มทางดา้ น กายภาพ สิง่ แวดลอ้ มทางดา้ นเคมี สิ่งแวดลอ้ มทางด้านชวี ภาพ และสงิ่ แวดลอ้ มทางด้านสังคม หลักปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม เกษตรกรควรศึกษาหา ความรู้ ในด้านบคุ คล ดา้ นเคร่ืองมือและเครือ่ งจกั รกล ด้านสารเคมแี ละเคมีภัณฑ์ต่างๆ ดา้ นสตั ว์หรือพชื มีพิษ ด้านภัยจากธรรมชาติ ดา้ นอนั ตรายจากโรคทั่วไป ความเส่ยี งและอันตรายจากการประกอบอาชีพภาคเกษตรกรรมแบง่ เป็น 4 ดา้ น คือ 1. ความเส่ยี งจากปจั จยั ทางเคมี มโี รคจากการประกอบอาชีพที่สาคัญคือ โรคพษิ สารกาจัดศัตรพู ชื 2. ความเส่ียงจากปจั จยั ทางชีวภาพ มโี รคจากการประกอบอาชีพทสี่ าคญั 3 โรค ได้แก่ โรคฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซสิ ไข้หวัดนก และโรคเมลิออยโดซสิ 3. ความเสีย่ งจากปจั จยั ทางกายภาพ เออร์โกโนมิคส์ และภัยธรรมชาติ มโี รคจากการประกอบอาชีพ ท่สี าคญั คือ การบาดเจบ็ ของกลา้ มเนอื้ และข้อ 4. ความเส่ียงจากปจั จยั ทางจิตวิทยาสงั คม มีการพยายามฆ่าตวั ตายด้วยการรบั ประทานยาหรือ สารพิษ
เอกสารอา้ งองิ พัคพงษ์ ทิพยพ์ ชิ า. ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม . https://sites.google.com/site ผลกระทบต่อสขุ ภาพจากสารเคมีกาจดั ศตั รูพชื กรมควบคมุ โรค. กระทรวงสาธารณสขุ กองโรคจากการประกอบ อาชีพและสงิ่ แวดลอ้ ม. http://envocc.ddc.moph.go.th/contents/view/106
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: