Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วย2_รูปแบบงานทัศนศิลป์ตะวันออก

หน่วย2_รูปแบบงานทัศนศิลป์ตะวันออก

Published by JeaSong Leeyo, 2020-10-30 06:50:02

Description: หน่วย2_รูปแบบงานทัศนศิลป์ตะวันออก

Search

Read the Text Version

๒หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี รูปแบบงานทศั นศลิ ป์ตะวนั ออก จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๑. วิเคราะห์และเปรยี บเทียบงานทัศนศลิ ป์ในรปู แบบตะวันออกและรูปแบบตะวนั ตกได้ ๒. อภิปรายเกย่ี วกบั อิทธพิ ลของวฒั นธรรมระหวา่ งประเทศทมี่ ผี ลต่องานทศั นศลิ ป์ในสังคมได้

รปู แบบงานทศั นศลิ ป์ • ทัศนศิลป์ หมายถึง ศิลปะทีส่ อ่ื ความหมายและรับรไู้ ด้ดว้ ยการเห็น เช่น ผลงานประเภทจติ รกรรม (Painting) ประตมิ ากรรม (Sculpture) สถาปัตยกรรม (Architecture) ภาพพมิ พ์ (Graphic Art) เปน็ ต้น โดยผลงานทัศนศิลป์จะแสดงรปู ภาพ รูปทรง ด้วยการใชค้ วามหมาย หรือรอ่ งรอยทีป่ รากฏเห็นได้ สามารถแบ่งออกเป็นรปู แบบทส่ี าคญั ได้ ๓ ลักษณะ ๑ ศลิ ปะรปู ลักษณ์ (Figurative Art) • เป็นศิลปะรูปธรรม ที่แสดงรูปลกั ษณ์ของคน สตั ว์ และส่งิ อ่นื ๆ ทเ่ี หน็ ในธรรมชาติ ศิลปิน จะนาเสนอสิง่ ทเ่ี คา้ ไดพ้ บเห็น ไมม่ ีการบดิ เบือนความจริงตามธรรมชาติ การสร้างสรรค์ ไม่ใชแ่ คก่ ารเลยี นแบบธรรมชาติ แต่ถ่ายทอดความรูส้ กึ นึกคดิ ลงไปในงาน รูปปน้ั “ชายทะเล” ผลงานของเซซาเร อะปนิ ี จากพระทนี่ ั่งวมิ านเมฆ ศิลปะแสดงรูปลกั ษณข์ องคน

๒ ศลิ ปะไร้รปู ลักษณ์ (Non-figurative Art) • เปน็ ศลิ ปะทใ่ี ชก้ ารแยกความรู้สึก หรอื อารมณอ์ อกจากความจริง มคี วามประสานกลมกลืนขององคป์ ระกอบ และทัศนธาตุมาก หรืออาจมีการเขยี นภาพให้ดพู รา่ มัว ไม่ชดั เจน มีการใชล้ ีลาแบบซาๆ กัน ผลงานเป็นงานทแ่ี ทบจะไมม่ ีเคา้ โครงเดมิ ของธรรมชาติ อยู่เลย การถา่ ยทอดก็จะไมส่ นใจเรอื่ งราวที่ตาเห็น ภาพนามธรรม หรอื ไร้รปู ลกั ษณ์ ภาพศิลปะชนิ้ นเ้ี ป็นผลงานของแจ็กสัน พอลล็อก

๓ ศลิ ปะก่งึ ไรร้ ูปลกั ษณ์ (Semi-figurative and Non-figurative Art) • เป็นศลิ ปะทีเ่ กิดจากการตัดทอนรูปทรงบางสว่ นออกไปจากความจริงมีการถ่ายทอดอยรู่ ะหวา่ งศลิ ปะรูปลักษณ์ และศลิ ปะ ไร้รูปลักษณ์ อาจเปน็ นามธรรมมากหรอื น้อยกไ็ ด้ บางทีรูปทเ่ี หน็ อาจเปล่ยี นจากธรรมชาติจนไม่สามารถจาได้ ผูช้ มตอ้ งใช้ การสังเกตมากในการชมผลงาน ภาพก่งึ นามธรรมหรอื กึ่งไรร้ ปู ลักษณ์ ผลงานของศลิ ปนิ ในองั กฤษ

รปู แบบงานทัศนศิลป์ตะวนั ออก รปู แบบทัศนศลิ ปอ์ นิ เดยี • สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์ ย้อนหลงั ไปในชว่ ง พ.ศ. ๒๔๖๔ นกั โบราณคดีได้เรม่ิ ขดุ หาหลกั ฐานทางโบราณคดี เพ่ือพิสจู น์ ความรุง่ เรอื งของอินเดยี ในสมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์ และจากการขุดค้นทาให้ได้ทราบความจริงเกีย่ วกับการสร้างเมืองโบราณ นับร้อยแหง่ แต่มีสองแหง่ ที่สาคัญ คอื ซากเมอื งโบราณฮารปั ปา และ โมเฮนโจ - ดาโรบรเิ วณลมุ่ แมน่ าสนิ ธแุ ละตอนบนของ ลุม่ แม่นาคงคา ผลการศึกษาพบวา่ เมืองเหลา่ นีสร้างตังแตเ่ มือ่ ประมาณ ๒,๕๐๐ หรือ ๒,๐๐๐ ปี กอ่ นครสิ ต์ศกั ราช

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงอาณาเขตเมอื งโมเฮนโจ-ดาโร

• ลักษณะการสร้างสรรคง์ านของอนิ เดยี แสดงให้เหน็ ถงึ ความเชือ่ และความคิดสรา้ งสรรค์ เชน่ ท่ปี ระทบั ตราแกะสลักจากหินสบู่ แต่ละอนั มักจะมรี ูปลักษณเ์ ปน็ ภาพเทพเจา้ และสตั ว์ประเภทต่างๆ เช่น วัว ควาย เสอื มกี ารจารึกเครอื่ งหมาย หรือตวั อกั ษร ประมาณ ๒๗๐ ตวั ซ่งึ อาจเปน็ การกาเนดิ ของตวั อกั ษรอินเดียก็เป็นได้ • มีการพบเครอ่ื งประดบั ทาดว้ ยหินมีคา่ หลายชนิด บาชนิดทาด้วยกระดกู สตั ว์ งาช้าง เปลือกหอย หรอื ประเภทดินเผาทาเปน็ รปู นก และสัตว์ เป็นของเด็กเลน่ เปน็ ต้น • หลักฐานบางชนิ ทาใหพ้ บวา่ อนิ เดียมีการตดิ ตอ่ กับเมโสโปเตเมียและอยี ิปต์ ซงึ่ ดไู ด้จากประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็ก เปน็ รูปครง่ึ ตวั ของชายมเี ครา ใบหน้าคลา้ ยชนชาตเิ ซเมตกิ (Semitic) ในเมโสโปเตเมียทพี่ บในเมอื งเมนเฮนโจดาโร

• สมัยประวตั ิศาสตร์ รปู แบบศิลปะอนิ เดยี ส่วนใหญม่ ุ่งพรรณนา หรอื เล่าเรอ่ื งเป็นสาคัญ และมักถ่ายทอดเป็นลักษณะรูปนนู ตา่ หรือภาพเขยี นบนฝาผนังขนาดใหญ่ โดยศิลปะอนิ เดยี สามารถจาแนกรปู แบบออกเป็นสมยั ตา่ งๆ ๕ สมยั ดงั นี รูปแบบศลิ ปะแบบสาญจี (Sanchi) เป็นศิลปะอนิ เดยี ท่มี ีความเกา่ แกท่ สี่ ุด อยู่ในสมยั ราชวงศ์ เมารยะและศุงคะ ในสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช พบศิลปะสมยั นที มี่ ีความโดดเดน่ ได้แก่ ถา พระราชวัง สถปู และเสาแปดเหลยี่ ม สถูปสาญจี เปน็ สถูปท่เี ปน็ ตน้ แบบของสถูปอน่ื ๆ มลี ักษณะ เปน็ โอควา่ หรือขันควา่ รูปแบบศลิ ปะแบบคนั ธาระ (Ganhara) รูปแบบศิลปะทไ่ี ดร้ ับอิทธพิ ลศลิ ปะของกรกี รนุ่ หลังเขา้ มาผสมผสานกับศิลปะท้องถ่ิน พทุ ธลักษณะที่ เด่น คือ การสรา้ งพทุ ธศิลปด์ ้วยการแกะสลกั ศลิ า สีนาเงนิ ปนเทา หรอื สคี ่อนข้างเขียว ในสมยั นีเป็นยคุ เรมิ่ ในการประดษิ ฐพ์ ระพทุ ธรูปเป็นมนุษย์

รปู แบบศลิ ปะแบบมถุรา (Mathura) ประติมากรรมในสมัยนีนิยมใช้หนิ ทรายสีชมพแู ก่ ลักษณะ พระพุทธรูปสมัยนียงั มอี ิทธพิ ลการสรา้ งแบบคนั ธาระอยบู่ ้าง แตพ่ ระพกั ตรเ์ ริ่มมลี ักษณะคลา้ ยชาว อินเดยี มากขนึ พระเศยี รกลม พระจีวรบางกว่าแบบคนั ธาระ และจะแนบสนทิ กับลาตวั นอกจากนี ยงั มีภาพแกะสลักบนงาช้าง และกระดูก รปู แบบศิลปะแบบอมราวดี (Amaravati) มรี ปู แบบศิลปะทผี่ สมผสาน บางส่วนมีลักษณะคลา้ ย แบบมถุรา ชว่ งแรกศิลปะสมยั นีจะมีความตื่นเตน้ มาก และตอ่ มาคอ่ ยสงบลง แล้วกลับแสดงท่า เคล่อื นไหวใหมอ่ ีกครังหน่ึง ภาพบคุ คลไม่มรี ูปร่างสมบูรณ์ดังแต่ก่อน เปน็ ศลิ ปะท่ที าตามอุดมคติ ปนกบั การแสดงชวี ิตจติ ใจ ภาพจะเปน็ ลกั ษณะวงกลมแสดงการนาบาตร หรือพระเกศา พระพุทธเจา้ ขนึ ไปสสู่ วรรค์ พระพุทธรปู แบบอมราวดี มกั ครองจวี รห่มเฉยี ง จวี รเป็นรวิ ทงั องค์ และเบอื งลา่ งใกล้พระบาทมกั มจี วี รขอบหนายกจากด้านขวามาพาดข้อพระหตั ถ์ซ้าย รปู แบบศลิ ปะแบบคปุ ตะ (Gupta) ศลิ ปะแบบคปุ ตะถอื เปน็ ยุคทองของศิลปะอนิ เดยี ซึ่งศลิ ปะในยุคสมัยนันเปน็ ศลิ ปะ ทม่ี ีรปู แบบพฒั นามาจากศิลปะแบบเก่า ลกั ษณะพระพุทธรูป มีความสมดุล ไดส้ ัดส่วน มีความ-ละเอียดออ่ นสวยงามแบบธรรมชาติ รปู รา่ งและสัดส่วนชดั เจน

รูปแบบทศั นศลิ ป์จีน • สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ ศลิ ปะจีนโบราณมีการพัฒนามาอย่างตอ่ เน่ือง และยาวนาน และยงั มอี ิทธพิ ลต่อการสร้างสรรค์ ผลงานในดนิ แดนต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในเอเชยี ตะวนั ออกและเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ งานศิลปะของจีนมีลกั ษณะใส่ใจ ธรรมชาติ และให้ความสนใจในเพื่อมนษุ ย์สงั คม • การขดุ คน้ ทางโบราณคดี โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ท่ีถาโจวโข่วเตียน มีการพบกระดกู มนษุ ยป์ กั กง่ิ เครอื่ งมอื หิน เหลก็ ไฟ และ เคร่อื งใช้ตา่ งๆ มากมาย จงึ สนั นษิ ฐานได้ว่ามีการตงั ถนิ่ ฐานในจนี เม่อื ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปมี าแล้ว

• มกี ารพบหลกั ฐานที่แสดงได้วา่ สงั คมชาวจีน มกี ารจัดองค์กรทางสังคมท่ีก้าวหน้าบนรากฐานของการเกษตร มีความรู้ทางฝมี อื ชา่ งในระดับสงู มกี ารทาพิธกี รรมร่วมกัน รูจ้ ักการใชพ้ ูก่ นั แสดงความรสู้ กึ นกึ คิดทางศลิ ปะ รู้จักใสเ่ สอื ทอหยาบๆ มีเครอื่ งประดบั เปน็ ลกู ปดั หิน ซึง่ เจาะรูและทาสีแดงดว้ ยสสี นมิ เหล็ก มีการพบเคร่อื งมอื ทาดว้ ยหินขนาดเลก็ รวมไปถึงการพบ วัตถุเรขาคณติ ซงึ่ เป็นศลิ ปะในยคุ หินกลาง • หลักฐานยุคหนิ ใหมท่ ่เี หน็ ชดั พบทหี่ ยางเซ่า มณฑลเหอหนาน เป็นภาชนะเครือ่ งป้ันดินเผา ฝมี ือประณีต เนอื สแี ดงทาสดี า หรอื ชนดิ มลี วดลาย มอี ายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปี กอ่ นครสิ ต์ศกั ราช และอีกแหล่งหนงึ่ ทค่ี ้นพบในหลงซาน มณฑลซานตง เปน็ เครือ่ งปน้ั ดินเผา ปั้นโดยการใชแ้ ป้นหมนุ และรมดา หมอ้ สามขาเปน็ เครื่องปั้นดินเผาหลงซานทม่ี ีชื่อเสียงท่ีสดุ เครอื่ งปั้นดินเผา ๓ ขา วัฒนธรรมหลงซาน ยคุ หินใหม่ ซ่ึงทาดว้ ยความประณีต

• สมัยประวัตศิ าสตร์ สมยั ประวตั ิศาสตร์ของจนี จะแบง่ ออกเป็นยคุ สมยั ทส่ี ะทอ้ นถงึ รปู แบบทางทัศนศิลป์ที่สาคัญ ดังนี รปู แบบศิลปะสมยั ราชวงศ์ชาง (Shang Dynasty) • ศลิ ปะวัสดทุ ่เี ด่นท่ีสดุ คอื เคร่ืองสาริด ซึ่งมีทรวดทรงสวยงาม ใหญ่โตแข็งแรง หล่อด้วยฝมี อื ยอดเย่ยี ม ซึง่ แสดงให้เหน็ ความก้าวหน้า ในการหล่อสาริด ลวดลายมที ังแบบนนู และฝงั ลงไปในเนือสาริด เชน่ ลายเรขาคณิต ลายสายฟ้า ลายก้อนเมฆศิลปะสมยั ราชวงศ์ชาง • มกี ารแกะลวดลาย ซึ่งเปน็ ลักษณะของสัตวท์ ี่โดดเดน่ ไดแ้ ก่ เทาเทย่ (Tao-tieh) สามารถเห็นเป็นรปู จมกู เขา และ ตา อยา่ งชัดเจน • มีการเจียระไนเครื่องหยกประเภทตา่ งๆ

รูปแบบศลิ ปะสมยั ราชวงศ์โจว (Chou Dynasty) • ความกา้ วหนา้ ของศิลปะในสมัยราชวงศช์ าง ไดส้ บื ทอดมาตงั แตส่ มัยราชวงศ์โจว โดยเฉพาะเทคนคิ ในการหล่อสารดิ • เอกลกั ษณ์ของราชวงศโ์ จว จะมีการเน้นลวดลายประดับประดามากขึน มีความซับซ้อนมากขึน เช่น ลวดลายมังกรหลายตัวซ้อนกัน และเก่ยี วกระหวัดไปมา • มกี ารแกะสลกั หยก ซ่ึงฝมี อื ช่างราชวงศโ์ จวมีความยอดเยย่ี มกว่าราชวงศ์ชาง • มกี ารพัฒนาการทาเครอ่ื งปั้นดนิ เผา ทเี่ ปน็ ตน้ แบบของเครอื่ งเคลอื บจนี เพราะเร่มิ มีการรู้จกั กรรมวธิ ใี นการเคลือบนายาเบืองต้นและ ร้จู ักการเผาด้วยไฟอุณหภูมิสูง

รปู แบบศลิ ปะสมัยราชวงศจ์ ิ๋น หรือ ฉิน (Chin Dynasty) • ในสมัยนสี ถาปตั ยกรรมจะเนน้ ความมโหฬาร เชน่ กาแพงเมอื งจนี ซึ่งมีความยาวประมาณ ๖,๗๐๐ – ๑๐,๐๐๐ กโิ ลเมตร • มีการพบประตมิ ากรรมดนิ เผาทมี่ รี ูปแบบเปน็ รปู ทหารขนาดเท่าคนจริงฝงั อย่ใู นสุสานจกั รพรรดฉิ นิ สอ่ื หวงตีหรือจนิ๋ ซีฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ฉนิ ซึง่ พระองคไ์ ด้สรา้ งไว้ล่วงหนา้ ก่อนสวรรคต ๓๐ ปี หุน่ แตล่ ะตวั จะมีรปู ร่าง หน้าตา ทา่ ทาง การแตง่ กายแตกตา่ งกัน ออกไป กรรมวธิ ีการปน้ั ป้นั โดยการใช้ดนิ เหนียวสีเทา แล้วนาไปเผาไฟเชน่ เดียวกับการทาเครื่องป้ันดนิ เผา

รปู แบบศิลปะสมัยราชวงศ์ฮน่ั (Han Dynasty) • ประติมากรรมเต็มรปู หรอื รปู ลอยตัว เรม่ิ ปรากฏครังแรกในสมัยนี มีการพัฒนาทางด้านการออกแบบ กรรมวธิ ีการสรา้ ง และมโนภาพ ในงานสถาปัตยกรรม จติ รกรรมประตมิ ากรรม หรือศลิ ปะทัว่ ไป • มีการประดษิ ฐก์ ระดาษใช้แทนผ้าไหม และแผน่ หนิ มกี ารสรา้ งทองรูปพรรณทข่ี ึนช่อื ในความประณีต งดงาม

รปู แบบศลิ ปะสมัยราชวงศจ์ ้ิน (Jin or Tsin Dynasty) • ในสมยั นพี ระพทุ ธศาสนาได้นาความเช่อื ใหม่มาส่จู ีน และมีส่วนเปล่ียนแปลงศิลปกรรมท่ีจนี เคยทามาแต่เดิม ทาให้พัฒนาไปสู่แบบ พุทธศลิ ปแ์ บบใหม่ เชน่ การสร้างรูปเคารพศาสนสถาน เปน็ ตน้ • พทุ ธประวัติจากอนิ เดียเขา้ มามบี ทบาทต่อการสร้างสรรค์งานศลิ ปะทเี่ ก่ยี วกับพุทธศาสนาในจีนดว้ ย จะเหน็ ไดว้ ่าการสร้าง พระพุทธรูปในช่วงแรกจะเปน็ ลกั ษณะของศลิ ปะอินเดยี แตร่ ะยะหลังมกี ารปรบั เปลีย่ น ใหม้ พี ระพุทธรูปเป็นลักษณะเป็นของจีนเอง

รปู แบบศิลปะสมัยราชวงศถ์ งั (Tang Dynasty) • ในสมัยนเี ปน็ ยุคทองของศิลปวัฒนธรรมจีนทุกประเภท โดยเฉพาะเครือ่ งเคลือบ ฝีมือช่างเครอ่ื งเคลือบของจีนมีคณุ ภาพสูงกว่าช่าง ผลติ เครอ่ื งเคลอื บจากทุกชาตใิ นโลก โดยเคร่ืองเคลอื บทเ่ี ปน็ ท่รี จู้ กั กนั ดีในยุคสมยั นี มชี อ่ื ว่า เคร่ืองเคลอื บสามสี • เครอื่ งเคลือบสามสี มีลักษณะแข็งแรงและสงา่ งาม เปน็ ลักษณะเฉพาะของกระเบืองในสมัยราชวงศ์ถัง มลี ักษณะเนอื ดินละเอียด ขาวหม่น • ดา้ นจิตรกรรม มกี ารสนบั สนุนจติ รกรกันมาก การเขยี นภาพเหมอื นเปน็ ทีน่ ยิ มมากในราชสานกั จิตรกรทีย่ ิง่ ใหญท่ ี่สดุ ในสมัยนี คอื เหยียนหล่ีเป่ิน (Yan Li-Pen) • อิทธพิ ลทางพระพทุ ธศาสนาสง่ เสรมิ ให้มจี ติ รกรรมเกย่ี วกับพระพทุ ธศาสนา โดยมอี งค์ประกอบของภาพท่ีใหญโ่ ตขนึ มีลวดลาย ซับซ้อนกวา่ ในสมยั ราชวงศ์อน่ื ๆ

อทิ ธพิ ลของวัฒนธรรมระหว่างประเทศทม่ี ตี อ่ งานทัศนศลิ ป์ • หลกั ฐานในอดีตทาให้พบวา่ ชาติทม่ี ีความเจริญรงุ่ เรืองทางอารยธรรม มกั มีอิทธิพลต่อชาตอิ ืน่ ทม่ี ีวฒั นธรรมด้อยกว่าเสมอ เชน่ วัฒนธรรมอนิ เดียท่ไี ด้รับมาจากเมโสโปเตเมียและอยี ปิ ต์ซ่ึงมคี วาม-เจรญิ รุง่ เรืองมากอ่ น และจีนท่ีได้อทิ ธิพลจาก อินเดียในเรอื่ งพระพุทธศาสนา ดงั นันหากเปรียบกนั แล้วอารยธรรมอนิ เดยี จะมคี วามเจริญทางศลิ ปวัฒนธรรมที่พฒั นา มายาวนานกวา่ จีน กล่าวไดว้ า่ ความเจริญรงุ่ เรืองทางศลิ ปวฒั นธรรมของภูมภิ าคต่างๆ ในโลกตะวนั ออกลว้ นมีความหลากหลาย แต่ความจรงิ แล้ว รากฐานทางวฒั นธรรมของตะวนั ออกทงั หมดลว้ นมาจากจนี และอินเดยี ทังสนิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook