Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore THA_VIET D3

THA_VIET D3

Published by Sopao Southeastasia, 2019-09-04 06:21:06

Description: THA_VIET D3

Search

Read the Text Version

สารบญั 1 The Mothertherlad 6 “จากแผ่นดินแม่สู่แผน่ ดนิ ไทย” 25 39 2 Thai-Viet Agriculturist 53 “เกษตรไทยสไตลค์ นเวยี ต” 60 3 Spirit of Us “จติ วิญญาณแห่งชมุ ชน” 4 Food and Culture เอกลักษณ์ในอาหาร 5 The Story of Language \"ภาษารากเหงา้ วัฒนธรรม\"

คำ� นำ� กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นหน่วยงานรัฐที่จัดต้ังข้ึนตาม พระราชบญั ญตั ิ กองทนุ พฒั นาสอ่ื ปลอดภยั และสรา้ งสรรค์ พ.ศ2558 มวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ในการจัดสรรเงินทุนเพ่ือใช้ในการผลิตการพัฒนาและเผยแพร่ส่ือท่ีมีคุณภาพ ท้ังนี้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ดีของเด็กและเยาวชนส่งเสริมความสัมพันธ์ อันดีในครอบครอบครัวและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการผลิตสื่อ ปลอดภัยและสร้างสรรค์ โครงการสื่อสร้างสรรค์เพ่ือวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายเวียดนาม อ.เมือง จ.นครพนม ไดจ้ ดั ทำ� และเผยแพรส่ อื่ สารคดจี ำ� นวน 5 ตอน ในมติ ทิ างประวตั ศิ าสตร์ การต้ังถิ่นฐาน ประเพณีวัฒนธรรม วิถีชีวิตและการด�ำรงอยู่ของคนไทยเชื้อสาย เวียดนามทัง้ 7 ชมุ ชน ผ่านชอ่ งทางสอ่ื Social Media ทงั้ Facebook และ Youtube ในช่ือว่า ซนิ จา่ ว-สวสั ดเี วยี ดนามนครพนม และเพอ่ื เปน็ การขยายผลจากส่ือสารคดี ทางโครงการฯจึงไดจ้ ัดทำ� E-book นี้ข้นึ ทางโครงการหวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ E-book ฉบบั นจ้ี ะเปน็ ประโยชนด์ า้ นการศกึ ษา ค้นคว้าและเป็นเครื่องมือส�ำหรับการสืบค้นข้อมูลของคนไทยเช้ือสายเวียดนามใน จังหวัดนครพนมให้แก่บุคคลท่ีมคี วามสนใจในประเด็นดังกล่าวไดเ้ ป็นอยา่ งดี รุ่งฤดี พพิ ัฒนกจิ หัวหน้าโครงการ

อนสุ รณส์ ถานประธานโฮจิมนิ ห์ บ้านนาจอก จ.นครนพม

1 The Mothertherlad “จากแผน่ ดนิ แม่ สู่แผ่นดนิ ไทย” ปัจจุบันคนไทยเช้ือสายเวียดนามมีการกระจายตัวตั้งถ่ินฐานอาศัย อยู่ใน อ.เมือง จ.นครพนมนับรวมเป็นชุมชนใหญ่ได้ 7 ชุมชน อนั ไดแ้ ก่ ชมุ ชนบา้ นนาราชควาย ชมุ ชนบา้ นโพนบก ชมุ ชนหนองแสง ชุมชนวัดป่า (ชุมชนวัดศรีเทพ) ชุมชนบ้านดอนโมง และชุมชน บา้ นนาจอก บ้านตน้ ผ้งึ โดยพวกเขามีการอพยพเข้ามาสู่ภาคอีสานของไทยอยู่หลาย ระรอก ส่วนเหตุปัจจัยในการอพยพน้ันก็ได้แก่ การเกิดภัยแล้ง ภัยอดอยาก ภัยการเมือง ภัยศาสนา และภัยสงคราม เป็นต้น นักวิชาการของไทยในช่วงสงครามเย็นแบ่งการอพยพเพื่อเรียก กลุ่มคนเวียดนามย้ายถ่ินดังกล่าว ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ “กลุม่ ญวนเกา่ ” และ “กลมุ่ ญวนใหม่”

ปี ค.ศ.1860 ประเทศเวียดนามเกิด เสน้ ทางการอพยพของชาวเวยี ดนามมายังประเทศไทย ปญั หาส�ำคญั อย่างหน่ึง อันเนอ่ื งมาจากการ จดุ ยทุ ธศาสตร์สามแยกดงหลก ลงนามในสนธสิ ญั ญาระหวา่ งราชวงศเ์ หงยี น กับฝร่ังเศส ที่อนุญาตให้ฝร่ังเศสสามารถ เผยแพรศ่ าสนาครสิ ต์ไดท้ วั่ ทกุ พน้ื ที่ เปน็ เหตผุ ล ใหช้ นชน้ั นำ� เกา่ ของเวยี ดนามไมพ่ อใจ มกี าร ลกุ ขนึ้ มาโจมตชี าวครสิ ตอ์ ยา่ งหนกั ชาวครสิ ต์ ส่วนหน่ึงจึงเดินเท้าหนีจากภาคกลางของ เวยี ดนามอยา่ งในจงั หวดั เหงอ่ านและจงั หวดั ฮาติ่งห์ ในปัจจุบัน เข้าสู่พ้ืนท่ีของจังหวัด นครพนม ปี ค.ศ 1920 เม่ือฝรั่งเศสเข้ายึด เวียดนามเปน็ อาณานคิ ม คนเวยี ดนามท่ีไม่ พอใจนโยบายการปกครองของฝรั่งเศสก็ได้ พากันหนีอพยพเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของ ประเทศลาวเปน็ ส่วนใหญ่ แตก่ ม็ ีบางส่วนที่ ไดอ้ พยพขา้ มแมน่ ำ้� โขงเขา้ มาอย่ใู นตามแนว ตะเข็บภาคอีสานของประเทศไทย เช่นใน จังหวัดอุบลราชธานี หนองคาย สกลนคร อดุ รธานี และนครพนม ปี ค.ศ 1945 เกดิ ภยั อดอยากจากการ เปลยี่ นพนื้ ทเ่ี พาะปลกู ของชาวบา้ นใหไ้ ปเปน็ พ้ืนท่ีเพาะปลูกพืชยุทธปัจจัยให้แก่ทหารใน กองทพั อาณานิคมทัง้ ของฝรง่ั เศสและญป่ี ุ่น ทำ� ใหม้ ผี คู้ นลม้ ตายจากภยั ความอดอยากใน ครงั้ นนั้ มากถงึ 2 ลา้ นคน ผคู้ นทยี่ งั มชี วี ติ รอด 6

The Matherland ถนนสาย 15 สรา้ งเพ่อื เช่ือมต่อทางหลวงสายโฮจิมนิ ห์ อ.เฮืองเค จ.ฮาต่งิ ห์ จึงกระเสือกกระสนเดินเท้าเข้าสู่ภาคอีสาน คร้ังท่ี 2 ฝรั่งเศสจึงน�ำกองทัพมารุกราน ของไทย เวียดนาม จนน�ำไปสู่ความสูญเสียครั้งย่ิง ใหญท่ ่สี ดุ คร้ังหนึง่ ในหนา้ ประวัตศิ าสตร์ของ จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ มวลมนษุ ยชาติที่รู้จกั กนั ในช่ือว่า “สงคราม กลุ่มผู้อพยพที่เรียกว่า “กลุ่มญวนเก่า” อนิ โดจีน” มสี าเหตใุ นการอพยพเขา้ สภู่ าคอสี านของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดนครพนมท้ังจากเรื่อง สงครามทก่ี นิ เวลานานถงึ 8 ปี มผี คู้ น ของภัยทางการเมือง ภัยจากการศาสนา บาดเจ็บล้มตายเป็นจ�ำนวนมาก รวมถึงมี และภยั จากยุคลา่ อาณานิคม ผู้อพยพหนีภัยสงครามเข้าสู่ประเทศไทย ตามแนวตะเขบ็ แมน่ ำ�้ โขง ตอ่ มาภายหลงั จงึ ปี ค.ศ. 1946 ฝรง่ั เศสตอ้ งการกลบั มา เรยี กกลมุ่ ผอู้ พยพทเี่ ขา้ สภู่ าคอสี านของไทย มอี ำ� นาจในภมู ภิ าคอนิ โดจนี อกี ครงั้ หลงั จาก นับจากเหตกุ ารณน์ ั้นวา่ “กลุ่มญวนใหม”่ สญู เสยี อำ� นาจไปใหแ้ กญ่ ป่ี นุ่ ในชว่ งสงครามโลก 7

“ผมเปน็ คนไทยเชอ้ื สายเวยี ดนามรนุ่ ที่3 บรรพบรุ ษุ ปยู่ า่ ตายาย ไดอ้ พยพ มาจากเวยี ดนามทางตอนเหนอื อำ� เภอ อเ๋ี อียน จังหวดั นามดา่ น ประเทศ เวยี ดนาม อพยพมาดว้ ยภยั อดอยากพน้ื ทเ่ี พาะปลกู ขา้ วถกู เปลยี่ นใหป้ ลกู ตน้ ปอ ซง่ึ เปน็ พชื ยทุ ธปจั จยั สำ� หรบั กองทพั เพอ่ื นำ� ไปทอเปน็ กระสอบสำ� หรบั ใสถ่ า่ นหนิ บรรพบรุ ษุ ไดเ้ ลา่ วา่ อพยพจาก จ.นามดงิ่ เขา้ มาอยทู่ ป่ี ระเทศลาว ทเ่ี มอื งทา่ แขก ในปี ค.ศ. 1940 อยทู่ น่ี น่ั ไดป้ ระมาณ 3-4 ปี จากนนั้ กอ็ พยพมาทเี่ มอื งไทยในวนั ท่ี 21 มนี าคม1946 ในเหตกุ ารณว์ นั ทา่ แขกแตก คอื การกลบั มายดื ลาวอกี ครง้ั หนง่ึ ของฝร่ังเศสในปี ค.ศ. 1946 ท�ำให้ครอบครัวของปู่ย่าตายายต้องอพยพ อาจารย์สุริยา ค�ำหว่าน สาขาวชิ าภาษาเวยี ดนาม มหาวิทยาลยั นครพนม 8

The Matherland ขา้ มแมน่ ำ้� โขงมายงั ฝง่ั ไทย อพยพมาทร่ี มิ ฝง่ั โขงอาศยั ทน่ี นั่ สกั ประมาณ1 อาทติ ย์ เดินเท้าลงไปทางใต้กับกลุ่มคนเวียดนามที่อพยพมาด้วยกันจนถึงพ้ืนท่ีอ�ำเภอ เรณนู คร พบวา่ มกี ลมุ่ คนเวยี ดนามตง้ั ชมุ ชนเวยี ดนามอพยพ กลมุ่ คนทอ่ี ยตู่ รงนนั้ เรียกว่า “บ้านญวนเมืองเว” แล้วก็อพยพเข้ามาอยู่ท่ีอ�ำเภอเมืองนครพนม ประมาณปี ค.ศ.1969 ยคุ อาณานคิ มแรกเรม่ิ เดมิ ทฝี รงั่ เศสก็ไมค่ อ่ ยจะใหค้ วามสนใจกบั พนื้ ทข่ี อง แคว้นท่ีเรียกว่าลาวมากนักเพราะว่าฝรั่งเศสอาจจะมองว่าพื้นท่ีตรงน้ีไม่มี ทรพั ยากรมากมาย เชน่ เดยี วกบั พ้นื ที่ชายฝงั่ ทะเล แตจ่ ะอะไรกต็ ามเมือ่ มกี าร ค้นพบแร่ เช่น ดีบุก จ�ำนวนมากทเ่ี มอื งทา่ แขก มนั ทำ� ใหร้ ฐั บาลอาณานคิ มเรมิ่ สนใจทจี่ ะอพยพคนจากรมิ ชายฝง่ั ทะเลในเวียดนามเข้ามาอยู่ในลาวมากย่ิงข้ึน นอกนจากนน้ั ยงั มกี ารกอ่ เกดิ ขน้ึ ของเหมอื งแร่ บองแหนง๋ และ โพนตวิ๋ ทท่ี า่ แขก คนเวียดนามถูกอพยพเข้ามาท�ำหน้าที่เป็นข้าราชการของฝรั่งเศสท�ำให้พ้ืนที่ ชายแดนในฝง่ั ลาวเปน็ พน้ื ทสี่ ะสมของคนเวยี ดนามมากยงิ่ ขนึ้ งานวชิ าการหลายชน้ิ ชี้ใหเ้ หน็ วา่ ในยคุ นน้ั ในพน้ื ทเี่ มอื งลาวมอี ตั ราสว่ นของคนเวยี ดนามมากกวา่ คนลาว ด้วยซ้�ำ ดังนั้นคนทเ่ี ขา้ มากอ่ นเป็นปจั จัยทท่ี �ำให้คนที่หนภี ัยความอดอยากและ หนีภัยแล้งเขา้ มาในพ้ืนทขี่ องเมอื งลาวมากยิ่งขนึ้ ช่วงระยะเวลาการอพยพน้นั ทำ� ให้จดั อยู่ใน กลมุ่ ญวนใหม่” อาจารย์สุรยิ า คำ� หว่าน สาขาวิชาภาษาเวยี ดนาม มหาวทิ ยาลัยนครพนม 9

บิ่ง ฟามวัน ชายวัย 86 ปี ถือเปน็ ลอยมาขา้ มฟาก รอบตวั มแี ตศ่ พลอย แมน่ ำ�้ กลมุ่ ญวนใหมท่ อ่ี พยพมาสจู่ งั หวดั นครพนม โขงเป็นสีแดงไปหมดมีแต่เลือด พ่อแม่ จากเหตกุ ารณท์ เี่ รยี กวา่ วนั ทา่ แขกแตก ในปี พนี่ อ้ งกไ็ ปคนละทศิ ละทางไมร่ วู้ า่ ใครเปน็ ยงั ไง ค.ศ.1946 เขาเล่าถึงประสบการณ์จาก ตอนน้ันมีผู้ใหญ่พาไปพักท่ีบ้านนาจอก สงครามในตอนนนั้ วา่ “เดนิ ทางอพยพมากบั ได้พักอาศัย 2-3 คืน ก็ออกมาตามหา ครอบครวั มาจาก จ.กวา่ งบง่ิ มาในปี ค.ศ.1945 ครอบครวั หาหลายวนั เจอพอ่ แมอ่ ยคู่ า่ ยพกั เกดิ ภยั อดอยากและภยั นำ้� ทว่ มควบคกู่ นั แมแ้ ต่ บริเวณโรงเรียนเทศบาล 3 ในปัจจุบัน รากไม้ก็ไม่มีกิน น้องชายต้องเสียชีวิตเป็น แม่โดนสะเก็ดลูกปืนเข้าท่ีหัวยังมารักษาตัว ไขต้ ายระหว่างเดินทาง รองเทา้ ไม่มีใส่ตอ้ ง ที่โรงพยาบาลนครพมไม่นานเท่าไหร่แม่ ใช้เสื้อพันเท้าแทนรองเท้า เมื่อถึงลาว กต็ าย” มีคนให้ข้าวเหนียวกับมะขามสุกให้กินเป็น อาหาร คนทมี่ าดว้ ยกนั กนิ อมิ่ เกนิ ไปทอ้ งไมร่ บั มคี วามเป็นไปได้วา่ “กลมุ่ ญวนเก่า” อมิ่ ตายกม็ ี ตอนนนั้ จำ� ไดว้ า่ อายุ13 ปี เดนิ ทาง เมื่อพวกเขาอพยพเข้าสู่พ้ืนท่ีของจังหวัด มาตงั้ หลกั ทท่ี า่ แขก สปป.ลาวมคี นเวยี ดนาม นครพนมแล้ว ก็ไปต้ังชุมชนอยู่ร่วมกัน อยู่กันเยอะจ�ำได้ว่าท่าแขกแตกในวันท่ี 21 ที่บ้านค�ำเกิ้มเป็นแห่งแรก ก่อนจะกระจัด มนี าคม 1946 วันนนั้ แม่ไปขายของที่ตลาด กระจายแยกย้ายกันไปหลังเกิดโรคระบาด ติดกบั แมน่ ำ้� โขง ส่วนลุงก็ช่วยงานทหารอยู่ ข้นึ ทีบ่ ้านคำ� เกม้ิ บางส่วนเลือกท่ีจะเดินเทา้ ริมแม่น�้ำโขง ลุงเห็นเครื่องบินยิงปืนสาด ขนึ้ ไปตามแนวสันเขาท่ชี อ่ื ว่าภเู ขาทอง แลว้ กระสุนลงตลาดคิดว่าแม่ต้องตายแล้วแน่ๆ ก็ค่อยๆ สร้างบ้านแปงเมืองจนสามารถตั้ง คนบนฝั่งกระโดดลงแม่น�้ำโขง ใครมีเรือก็ เปน็ หมบู่ า้ นทม่ี ชี อ่ื เรยี กกนั ในภาษาเวยี ดนาม พายไมม่ กี ว็ า่ ยนำ้� หนี เครอ่ื งบนิ ยงั ยงิ ไมห่ ยดุ ว่า “บ้านใหม่” หรือชอื่ อย่างเป็นทางการว่า คนตายลอยเต็มแม่น�้ำโขงลุงก็เกาะขอนไม้ “บา้ นนาจอก” 10

The Matherland บ่งิ ฟามวนั 11

“ผมเกดิ ทบ่ี า้ นนาจอก บรรพบรุ ษุ รนุ่ ปู่ การขยาย เป็นผู้อพยพเดินทางมาตั้งรกรากที่บ้าน นาจอก ปู่ผมเป็นรุ่นแรกเป็น 1 ใน 7 ภาพเก่าภเู ขาทอง ครอบครวั กลมุ่ แรกทีม่ าตงั้ หมูบ่ า้ นก่อนท่จี ะ มาต้ังหมู่บ้านน้ันเดิมอยู่ท่ีบ้านค�ำเก้ิม เกดิ โรคระบาด (อหวิ าต)์ เลยแยกยา้ ยกนั หนี ส่วนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ย้ายไปอยู่บ้าน หนองแสง 7 ครอบครวั พากนั มาอยทู่ น่ี าจอก ตอนน้ันกฎหมายการต้ังหมู่บ้านต้องมี 12 หลังคาเรือน เลยชว่ ยกนั สรา้ งกระตอ๊ บ ขนึ้ มาอีก 5 หลัง เอาเตาสามขา หมอ้ ขา้ ว ทำ� ทวี า่ มคี นหงุ หาอาหารกิน พอทางการมา ตรวจถามว่าคนบ้านนี้ไปไหน บอกว่าไป ท�ำนาอยู่บริเวณบ้านหนองบัว บ้านดงโชค อดีตตรงน้ันยังไม่มีหมู่บ้านยังเป็นป่า ทางการมาตรวจแลว้ ตง้ั ชอื่ เปน็ “บา้ นนาจอก” พ่อผมบอกว่าสมัยก่อนหมาจิ้งจอกเยอะ นอกจากนน้ั ยงั มหี มูป่า มีเสอื ดว้ ยความที่ หมาจิ้งจอกเยอะเลยยึดเอาเป็นชื่อ แต่คน เวียดนามจะเรยี กว่าบา้ นใหม่ คนบ้านนาจอกส่วนมากจะอพยพมา จากภาคกลางของเวียดนาม จ. เหง่อาน จ.ฮาตง่ิ ห์ รองลงมา จ.กวา่ งบง่ิ ในปี 1946 มีญวนใหม่อพยพมาเพ่ิม ตอนนั้นฝรั่งเศส กลับมามีอ�ำนาจอีกครั้ง บ้านผมตอนน้ัน 12

ยตวั ชุมชน The Matherland สอาด วงศป์ ระเสรฐิ มคี นมาขออยถู่ งึ 10 ครอบครวั คนสมยั กอ่ น สอนใหล้ กู หลานรกั ชาตเิ กดิ เมอื งไทยตอ้ งรกั เมืองไทยเแต่เราเป็นคนเวียดนามก็ต้อง กู้ชาติ ในยุคกู้ชาติโฮจิมินห์ก็มาท่ีนี่แต่ไม่มี ใครรู้จักรู้เม่ือกู้เสร็จแล้ถึงรู้ว่าท่านเคยมา ที่บ้านนาจอก พ่อสอนผมว่าคนเราต้องมี เสรภี าพตอ้ งมเี อกลกั ษณข์ องตวั เอง ประเทศ เวยี ดนามไมม่ แี ผนที่ในโลก เปน็ เพยี งอำ� เภอ หนึง่ ของฝรง่ั เศส บ้านนาจอกเคยมีกองก�ำลังทหารมา ประจ�ำการเฝ้าดู กองพันทหารราบท่ี 3 กรมทหารราบที่ 3 (คา่ ยพระยอดเมอื งขวาง) มรี ถถงั จอดดว้ ยตอนนน้ั มเี รอื่ งการเคลอ่ื นไหว ของคนกู้ชาติและโรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน) มกี ารแอบเรยี นภาษาเวยี ดนาม และมเี สยี งออกมาวา่ บา้ นนาจอกเปน็ โรงงาน ผลิตอาวธุ ช่วย ลาว เขมร กู้เอกราชเพราะ ถ้าทั้ง 2 ประเทศสไู้ ม่ได้เวยี ดนามกล็ �ำบาก ทหารกองร้อยมาเพื่อปราบคนเวียดนาม วันหนึ่งผมถูกเรียกให้ไปพบถูกกล่าวหาว่า ผมเป็นคอมมวิ นิสต์ รถถังท่ีเอามาไว้นกี้ ็คือ เอาไว้ไถบ้านนาจอกให้เรียบ กองก�ำลังน้ี อยู่ได้ 2-3 ปไี ม่มีอะไรเกิดขนึ้ กย็ กเลิกไป” สอาด วงศป์ ระเสริฐ อายุ 87 ปี ชาวบ้านนาจอก 13

พธิ สี ่งชาวเวียดนามกลบั สภู่ มู ลิ ำ� เนาเดมิ หอนาฬิกาปัจจุบัน 14

หลังสงครามอินโดจีนยุติลง รัฐบาล The Matherland ไทยและรัฐบาลเวียดนามลงนามส่งคืน ผู้อพยพชาวเวียดนามกลับคืนสู่แผ่นดิน พิธีสง่ ชาวเวยี ดนามกลับสู่ภูมลิ ำ� เนาเดมิ ในปี 2506 มาตภุ มู ิ วนั ที่ 4 มกราคม ค.ศ.1960 คอื วนั ที่ เรอื ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยชาวเวยี ดนามอพยพ เดนิ เรอื สรา้ งไวเ้ ปน็ อนสุ รณแ์ กช่ าวนครพนม สรา้ งเมอ่ื ออกจากท่าเรือคลองเตยไปท่ีท่าเรือไฮฟอง พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ด้านบนหอนาฬกิ า เป็นเท่ียวแรก เม่ือเรือล�ำดังกล่าวถึงท่าเรือ จารกึ ไวด้ งั น้ี “ชาวเวยี ดนามอนสุ รณ์ คราว ไฮฟองทา่ นประธานาธบิ ดโี ฮจมิ นิ หก์ อ็ อกมา ย้ายกลับปิตภุ มู ิ Viet Kieu Luu Niem Dip ตอ้ นรบั ดว้ ยตวั เอง การสง่ กลบั ชาวเวยี ดนาม Hoi Hong 2503” ดา้ นในหอนาฬกิ าเขยี นวา่ ครั้งนั้นเรียกกันว่า “เหวียดเก่ียวโห่ยเฮือง” “ชาวเวยี ดนามอนสุ รณ์ Viet Kieu luu niem” แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการส่งกลับชาว เวียดนามอพยพก็ต้องยุติลงในวันท่ี 28 อาจารยส์ ุรยิ า ค�ำหวา่ น กรกฎาคม ค.ศ 1964 เพราะเกดิ สงครามขน้ึ สาขาวชิ าภาษาเวียดนาม ทปี่ ระเทศเวยี ดนามอกี ครง้ั โดยมจี ำ� นวนการ มหาวทิ ยาลัยนครพนม สง่ กลบั คนเวียดนามอพยพท้ังส้นิ 75 เท่ียว นบั จำ� นวนคนได้ 46,256 คน และนครพนม 15 ถือเป็นจังหวัดท่ีมีคนอพยพกลับมากท่ีสุด 15,815 คน “ส่ิงท่ีระลึกที่เรียกว่าเหวียดเกี่ยว อนุสรณ์ เพ่ือระลึกถึงการด�ำรงอยู่ของคน เวยี ดนามทเี่ กดิ ขน้ึ ในหลายพน้ื ทข่ี องจงั หวดั นครพนมก็คือหอนาฬิกานครพนมเป็น สัญลักษณ์การอพยพกลับคืนสู่แผ่นดินเกิด ชาวเวียดนามต้องการสร้างอนุสรณ์สถาน แก่การเดินทางกลับอยู่ในพื้นท่ีหอกระจาย ข่าวเก่า เป็นนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์

นอกจากชาวเวยี ดนามจะสรา้ งหอนาฬกิ าเพอื่ เปน็ อนสุ รณส์ ถานกอ่ น กลบั แลว้ ยงั สรา้ งซมุ้ ประตวู ดั โพธศิ์ รซี งึ่ ตง้ั อยรู่ มิ แมน่ ำ�้ โขง และซมุ้ ประตวู ดั ภูเขาทอง ทางเข้าบ้านนาจอกเพ่ือเป็นอนุสรณ์เพื่อบันทึกความทรงจ�ำใน เหตกุ ารณน์ นั้ อีกด้วย คนเวียดนามผู้รักชาติที่กลับคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิ ในเหตุการณ์ท่ี เรยี กวา่ “เหวยี ดเกย่ี วโหย่ เฮอื ง” ในระหวา่ ง ปี ค.ศ. 1960-1964 มหี ลายคน หลายครอบครวั จำ� นวนมาก ทมี่ ภี รรยาเปน็ คนไทยหรอื มลี กู ๆ เกดิ ทเ่ี มอื งไทย ปัจจุบันพวกเขายังได้พบปะรวมตัวกันเพ่ือพูดคุย ท�ำกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ในนามสมาคมเหวียดเกยี่ วฮาติ่งห์อยู่เสมอ มุมสงู เมอื งฮาติ่งห์ 16

The Matherland สมาคมเหวยี ดเกยี่ วฮาตง่ิ ห์ คอื สมาคม จะจัดงานร่ืนเริงให้มีร�ำวงและงานมงคล ท่ีดูแลคนเวียดนามที่เกิดอยู่ในประเทศไทย งานแตง่ งาน สมาคมจะจดั ใหม้ รี ำ� วงเพอื่ รำ� ลกึ ถงึ อาศยั อยใู่ น จ.ฮาตงิ่ ห์ ทงั้ 8 อำ� เภอ ปจั จบุ นั น้ี ตอนทพ่ี วกเราอาศัยอยู่ในประเทศไทย มที ง้ั หมด50 ครอบครวั ผมเกดิ ในประเทศไทย และกลบั เวยี ดนาม กลบั มากเ็ จอสงครามกบั ในปี 1960 ตามสัญญาระหว่าง อเมริกาเริ่มปี 1964 ชว่ งสงครามลูกหลาน 2 ประเทศใหค้ นเวยี ดนามทอี่ ยใู่ นประเทศไทย กลบั มาจากเมอื งไทยกส็ มคั รเปน็ ทหารรว่ มรบ ได้กลับมาสู่มาตุภูมิ กลุ่มคนเหวียดเกี่ยวมี ต่อต้านกับอเมริกา ร่วมรบเพื่อปลดปล่อย การอยดู่ กี นิ ดขี นึ้ สว่ นมากเปน็ คนทมี่ คี วามรู้ ประเทศ สมาคมจัดต้ังข้ึนมาเพ่ือยกระดับ หลายด้านเพื่อพัฒนาประเทศและสร้าง ความสมั พนั ธอ์ นั ดงี ามของประเทศเวยี ดนาม ครอบครวั ตวั เอง ผมไดก้ ลบั มาเปน็ เจา้ หนา้ ที่ และประเทศไทย ในวนั สำ� คญั ของ 2 ประเทศ ทหารเป็นข้าราชการของประเทศเวียดนาม คอื วนั พอ่ 5 ธนั วา วนั เฉลมิ พระชนพรรษา สมาคมเหวียดเกี่ยวฮาติ่งห์ได้ท�ำหน้าท่ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตอ้ นรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วคนไทยทม่ี าเยยี่ มฮาตง่ิ ห์ เราจัดตั้งให้เป็นวันชาติไทย ทางสมาคม ได้ท�ำดีท่ีสุดแล้วในฐานะคนเวียดนาม คนหนง่ึ เหวยี น วนั ถน่ิ นายกสมาคมเวยี ดนาม-ไทย ของจงั หวดั ฮาตงิ่ ห์ ประเทศเวยี ดนาม เหวยี ดเกย่ี ว จ.ฮาตง่ิ ห์ 17

ที่บา้ นเต่นิ เกี่ยว อ.เฮืองเค จ.ฮาตงิ่ ห์ เหวยี ดเกีย่ วฮาติง่ ห์ คือหมู่บ้านเหวียตเกี่ยวอพยพกลับคืนสู่ มาตุภูมิที่มีภรรยาเป็นคนไทย เร่ิมแรกที่นี่ อยู่รวมกัน 6 ครอบครัว พอลูกหลานมี ครอบครัวชุมชนจึงขยายตัวใหญ่ข้ึนเรื่อยๆ ส่วนภรรยาคนไทยที่ตามสามีกลับมาน้ันจะ ถกู เรยี กแทนตวั เองวา่ เปน็ “สะใภข้ องลงุ โฮ” จะไดร้ บั การดแู ลจากนโยบายของประธานาธบิ ดี โฮจิมินห์เปน็ อยา่ งดี “ชอ่ื สง ขยนั ทำ� อายุ 90 ปี ชาวยโสธร มาอยูเ่ วียดนาม 60 กว่าปแี ล้ว มาเวียดนาม กบั สามีและลูกสาวอีก 4 คน ตอนแรกพูด ภาษาเวียดนามไม่ได้เลยต้องหัดเรียน ทางการส่งคนมาสอนช่วงแรกมาอยู่นี่ทุกข์ ยากล�ำบากมาไม่กี่เดือนก็เกิดสงครามกับ อเมรกิ า ทุกๆ เดอื นทางการจะเอาขา้ วสาร มาให้ “สะใภ้ลุงโฮจะได้ข้าวสาร 15 กิโล ตอ่ เดอื น” คนเวยี ดนามจะได้13 กโิ ล สว่ นเดก็ กจ็ ะลดหลนั่ ตามอายุ อ.เฮอื งเค อยบู่ นภเู ขา และมกี ารทำ� ถนนเพอ่ื สง่ อาวธุ อาหารไปรบที่ ภาคใต้ แถวนอี้ เมรกิ ามันมาทงิ้ ระเบดิ ทงั้ วนั ทั้งคืนกลัวมากไม่เคยเห็นต้องเข้าไปหลบ ในปา่ จนกวา่ สงครามจะจบ พอสงครามสงบ ชีวิตก็ดีข้นึ ” ยายสง ขยันทำ� เหวยี ดเกี่ยวฮาตงิ่ ห์ 18

The Matherland “ เมอ่ื สมยั อยทู่ เ่ี มอื งไทยบา้ นเกดิ ของ แมค่ อื บา้ นเหลา่ หงุ่ อ.คำ� เขอื่ นแกว้ จ.ยโสธร ตอนนั้นป้าอายุ 14 ปีก�ำลังจะข้ึน ม.1 พ่อได้ยินข่าวในวิทยุโฮจิมินห์ประกาศให้ คนเวียดนามกลบั มาพฒั นาชาติ พ่อบอกว่า อยากกลับบ้านเกิดเมืองนอน แม่ตัดสินใจ ไม่ได้ก็เลยมากับพ่อ ข้ึนเรือกลับท่ีท่าเรือ คลองเตยนงั่ อยู่บนเรอื 7 วนั 7 คนื มองไป ทางไหนก็มีแต่ทะเล เรือจอดท่ีไฮฟอง คนของทางการถามว่าอยากไปที่ไหน ตอนนั้นบ้านเกิดของพ่อไม่มีญาติอยู่แล้ว จึงแจ้งวา่ จะมาฮาติง่ ห์ ทางการบอกว่าตอ้ ง ข้ึนไปอยู่บนภูเขาที่เฮืองเคที่นั่นมีคนไทย มาอยู่ไปไหม แม่บอกว่าไปจะได้มีคนพูด ไทยดว้ ย มาได้ 2 เดอื นกเ็ กดิ สงคราม มาอยู่ ทน่ี กี่ เ็ รม่ิ มคี วามรสู้ กึ รกั ชาติ ลงุ โฮบอกใหเ้ รา ทกุ คนตอ้ งชว่ ยกนั ตอี เมรกิ าออกจากภาคใต้ ให้ได้ ป้าต้องไปเป็นอาสาสมัครช่วยขุดท�ำ ถนนไปไซ่ง่อน ผู้ชายต้องถือปืนคอยยิง เครือ่ งบินของอเมรกิ า อเมริกามันท้ิงระเบดิ เพอ่ื ไม่ใหเ้ ราทำ� ถนนไปไซงอ่ นสำ� เรจ็ เพอื่ สง่ อาวธุ อาหารไปช่วยไซงอ่ น” ฮวา่ ง ถิ ลาน ฮวา่ ง ถิ ลาน ลูกสาวยายสง ขยนั ทำ� เหวียดเกีย่ วฮาต่งิ ห์ 19

30 เมษายน ค.ศ.1975 ไฟสงครามมอดดบั ลง เวยี ดนามสามารถรวมประเทศและประกาศ เอกราชได้ ชาวเหวียดเกี่ยวจากเมืองไทยก็ยังคงด�ำรงชีวิตเป็นส่วนหน่ึงของสังคมเวียดนาม ขณะท่ีในประเทศไทยเอง กลมุ่ คนเวยี ดนามโดยเฉพาะกลมุ่ ญวนใหม่ทเ่ี ขา้ มาในภายหลงั ก็ได้ รับการยอมรับทางสถานะมากขึน้ จากนโยบายของรฐั ไทย จนในทุกวันนพ้ี วกเขาท้ังหมด ก็คือ คนไทยเชอื้ สายเวยี ดนาม ทดี่ ำ� รงอยคู่ กู่ นั ไปกบั คนพนื้ ถน่ิ ในภาคอสี านของไทยอยา่ งกลมเกลยี ว ทั้งยังเป็นส่วนส�ำคัญในการพัฒนาเมือง พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมให้เกิดความผาสุก บนผืนดนิ ไทย ในจงั หวัดนครพนม 20

The Matherland จตั รุ สั ประธานโฮจิมนิ ห์ เมืองวงิ ห์ จ.เหงอ่ าน 21

22

23



2 Thai -Viet Agriculturist “เกษตรไทย สไตลค์ นเวียต” “เกษตรกรรม” เป็นหนึ่งในอาชีพด้ังเดิมของคนไทยเชื้อสาย เวยี ดนามท่ีอยคู่ วบคมู่ ากับชมุ ชนบา้ นนาจอก บา้ นต้นผ้งึ และ บา้ นดอนโมง โดยทั้ง 3 ชมุ ชนนีม้ พี ้นื ท่เี ชอ่ื มต่อกัน จึงทำ� ให้ กลายเป็นแหล่งผลิตผักที่ใหญ่ที่สุดในเขตอ�ำเภอเมือง ของ จังหวดั นครพนม

อดตี ทผ่ี า่ นมา กลา่ วกนั วา่ มจี ำ� นวนคน ในการทำ� สวนสไตลเ์ วยี ดนามนนั้ จะมี ปลกู ผกั มากกวา่ 100 หลงั คาเรอื น การปลกู ผกั ลกั ษณะเปน็ สวนผสมผสาน มคี วามหลากหลาย เปน็ งานทตี่ อ้ งชว่ ยกนั ทำ� กนั ทงั้ ครอบครวั ในชว่ ง ทง้ั การปลกู ไมย้ นื ตน้ ทเี่ ปน็ พชื ระยะยาว เชน่ เวลาเยน็ จะเหน็ พอ่ ขดุ ดนิ แมถ่ อนผกั สว่ นลกู ๆ ต้นหมาก ต้นมะพร้าว ต้นพลูและต้นชา ก็ช่วยกันถอนหญ้าดึงสายยางรดน้�ำผักและ รวมถึงการปลูกพืชผักระยะส้ัน อย่างเช่น ล้างผักใส่เข่ง ภาพแบบน้ีจะเป็นภาพที่เห็น ผกั กาดหอม กวางตงุ้ ผกั บงุ้ ตน้ หอม ผกั ชี จนชนิ ตาเมอื่ เขา้ มาภายในหมบู่ า้ นของคนไทย ผกั ปอ ผกั ปลงั ผักอีโต ใบกระเพรา ฯลฯ เชื้อสายเวียดนาม แต่ปัจจุบันจะไม่ค่อยมี ท่ีดินของชาวสวนท่ีน่ีจึงถูกใช้อย่างคุ้มค่า ภาพเหลา่ นัน้ ใหเ้ หน็ แล้ว เพราะคนทำ� อาชีพ ไม่ปล่อยให้ว่างเว้น หมดผักชนิดหนึ่งก็จะ ปลูกผักน้อยลงมากทุกวันนี้ก็เหลือเพียง ปลกู ผกั ชนิดใหมท่ นั ที ไมถ่ งึ 10 หลงั คาเรอื น อยา่ งไรกต็ ามแปลงผกั บ้านนาจอกนี้ ก็ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ลักษณะแปลงผักท่ีคนไทยเชื้อสาย แหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกผักปลอดสารท่ีมี เวยี ดนามทำ� จะมคี วามกวา้ งประมาณ1 เมตร คุณภาพของจังหวดั นครพนม สว่ นความยาวกแ็ ปรเปลย่ี นไปตามขนาดของ หนา้ ดนิ ระหวา่ งแปลงผกั จะขนั้ ดว้ ยรอ่ งทาง 26

Thai-Viet Agriculturist ผกั สแล็ก หรือ ผกั สลดั (ผกั กาดหอม) เดนิ 1 ฟุต เพือ่ ใช้เปน็ ทางเดนิ ส�ำหรับการ สามารถน�ำไปกินกับอาหารเวียดนามได้ รดนำ้� ถอนหญา้ ซง่ึ สามารถทำ� ไดอ้ ยา่ งทว่ั ถงึ หลากหลายชนิด เช่น ย�ำสลัดเวียดนาม ขณะเดยี วกนั แปลงผกั ทม่ี ลี กั ษณะเรยี วยาวก็ แนมเหนอื ง เมยี่ งปลาเผา ปอเปย๊ี ะเวยี ดนาม ชว่ ยใหป้ ลกู ผกั ไดห้ ลายชนดิ มากขนึ้ ขน้ั ตอน คนไทยเชอ้ื สายเวยี ดนามมชี อ่ื เสยี งเรอื่ งการ การปลกู ผกั เรมิ่ จากการขดุ พรวนดนิ ถอนหญา้ ปลูกผักกาดหอมได้สวยงามมีล�ำต้นอวบ ใส่ปุ๋ยคอก หว่านเมล็ดพันธุ์ผักในแปลง ทสี่ ำ� คญั คอื การไม่ใชส้ ารเคมีใดๆ ในการปลกู อนบุ าล เมอื่ ผกั โตกจ็ ะถอนกลา้ ผกั ไปปลกู ใน จงึ เปน็ ทต่ี อ้ งการของผบู้ รโิ ภค นอกจากนย้ี งั แปลงใหม่ เวน้ ชอ่ งไฟในแปลงผกั ให้ผกั ได้ มีการปลูกผักเฉพาะถิ่นของคนไทยเช้ือสาย มพี ืน้ ทแ่ี ทงชอ่ แตกแขนง เวียดนามได้แก่ ผักปลัง ผักปอ ผักอีโต ในอดตี ผกั กลมุ่ นจ้ี ะปลกู ไวก้ นิ กนั เองในกลมุ่ “ผักสแล็ก” และ “ผกั สลัด” เป็นชอ่ื คนไทยเชื้อสายเวียดนามแต่ปัจจุบันน้ีนิยม ท่ีคนไทยเชื้อสายเวียดนามนิยมเรียกแทน กินกนั อยา่ งแพรห่ ลายเช่นเดยี วกบั ผักสลดั ผักกาดหอม เป็นผักท่ีนิยมปลูกมากท่ีสุด 27

“ตั้งแต่โตมาจ�ำความได้พ่อแม่ก็มี ป้ามี อาชพี ปลกู ผกั ทำ� สวน หนา้ ทข่ี องปา้ มตี อนเดก็ กค็ อื รดนำ�้ ผกั ถอนหญา้ พอโตมาอายุได้ เมล็ดพันธผ์ กั 10 ขวบ กต็ อ้ งไปขายผกั ในตลาด เรมิ่ ตน้ ฤดู ปลูกผักคือช่วงกันยายน จะปลูกกวางตุ้ง ปลูกผักไม่ให้เมล็ดพันธุ์โดนฝนไม่ง้ันจะฝ่อ ผักกาดหอม พอใกล้ถึงปีใหม่ก็จะปลูก ปลกู แล้วข้นึ ไมด่ ี เม่ือต้นพันธ์แุ กจ่ ัดลองบีด้ ู ผกั กะหลำ�่ ดอก พอกะหลำ�่ ดอกหมดกจ็ ะปลกู ถา้ เมด็ แกเ่ ตม็ กจ็ ะตดั มาตากแดดจนแหง้ เกบ็ ผกั สลดั (ผกั กาดหอม) เพราะมคี วามตอ้ งการ ไวใ้ ช้ เหลอื ใชก้ จ็ ะแบง่ ขายเปน็ รายไดอ้ กี ทาง ในหลายตลาดรา้ นเชน่ รา้ นกว๋ ยเตย๋ี ว ปลาเผา พอหมดฤดทู ำ� สวนผกั หลงั สงกรานต์ ทสี่ วนผกั แนมเหนือง ตอ้ งมผี กั สลัดกินด้วย ผกั โขม กจ็ ะปลกู ขา้ วโพดขา้ วเหนยี ว บางบา้ นกป็ ลกู งา กป็ ลกู เคา้ เอาไปทำ� ผกั โขมอบชสี กบั ลวกกนิ ถวั่ ดำ� แทนผกั สวน จะไมป่ ลอ่ ยใหว้ า่ งจะปลกู ส่วนเมล็ดพันธุ์ท่ีผักเราจะปลูกตั้งแต่เร่ิมต้น ตลอดปี” ฤดูปลูกผักคือช่วงกันยายน-ตุลาคม ที่ต้อง เพาะพนั ธผ์ุ กั เอง เพราะสายพนั ธข์ุ องผกั ไทย บุญมี กองพลศรสี ิริ (ปา้ มี) และผักเวียดนามต่างกัน ผักกาดคนไทยมี อายุ 64 ปี ชาวสวนบ้านนาจอก ผักกาดสร้อยแต่ของเวียดนามเรียกผักกาด เขยี ว ผักต้ังโอ๋ทั่วไปใบจะใบใหญ่เป็นพันธุ์ จากจนี แต่พนั ธข์ุ องเวยี ดนาม ผกั ตง้ั โอจ๋ ะมี ใบเลก็ ส่วนเมลด็ พนั ธ์ผุ กั จะเพาะช่วงตน้ ฤดู ผักกาดหอม 28

Thai-Viet Agriculturist แกงผกั ปล้ง - ใบปอ ผกั ปลงั มชี อื่ เรยี กในภาษาเวยี ดนาม คือ “หม่องเตย” ผักปอ เรียก “เยาใด” ความพิเศษของผักชนิดนี้จะนิยมปลูกช่วง เข้าฤดูร้อน คนเวียดนามนิยมซ้ือเพราะผัก ท้ังสองชนิดเพราะมีฤทธ์ิเป็นยาเย็น ปู่ ย่า ผักปล้ง ตา ยายสอนต่อๆ กันมาว่ากินแล้วท้องจะ เย็นไม่เป็นรอ้ นใน นยิ มน�ำมาแกงร่วมกันใส่ กุ้งแห้งเพิ่มเป็นส่วนประกอบ แกงจะมี ลักษณะเป็นเมือกกลืนได้คล่องคอนิยมกิน กับมะเขือดองลูกเล็กๆ กินคู่กันถึงจะครบ เคร่อื งตามแบบฉบบั เมนูเวยี ดนาม ผักปอ 29

“เม่ือก่อนพ่อแม่ท�ำสวนผัก หน้าท่ี ของลุงก็คือดึงน�้ำจากบ่อใส่บัวรดน้�ำหาบไป รดผักแล้วก็ไปโรงเรียน กลับมาก็รดน�้ำผัก ท�ำอยู่แบบน้ีทุกวัน หมดฤดูท�ำสวนผักก็ไป ทำ� นาเกยี่ วขา้ วในนา เสรจ็ แลว้ กม็ าทำ� สวนผกั หลังบ้านท�ำเป็นวงจรแบบนี้มานาน ตอนน้ี ทำ� นาไม่ไหวแลว้ ทำ� ไดแ้ ตส่ วนผกั อยา่ งเดยี ว ท�ำกันกับป้า 2 คน ท�ำมาด้วยกันตั้งแต่ แต่งงานอยู่กินกันมา ลุงเคยเลิกท�ำสวนผัก ไปทำ� อาชพี ชา่ งทง้ั ทตี่ า่ งจงั หวดั และตา่ งประเทศ ไปแล้วกย็ งั กลับมาท�ำสวนอกี มนั ไมร่ ู้จะทำ� อะไร เรามีท่ีดินอยู่แล้วและเคยท�ำมาก่อน มนั เปน็ อาชพี ที่มีความสุขนะ ไดด้ ผู กั มนั โต และเราก็ได้กินผักปลอดสาร คนซอื้ ก็ไดก้ นิ ผักปลอดสารมีความสุขกับการท�ำสวนผัก ถา้ ใหเ้ ปรยี บเทยี บราคาผกั สมยั นกี้ บั เมอ่ื กอ่ น รายได้ดีกว่ามาก เม่ือก่อนผักสลัดกิโลละ 3 บาท ขายเขง่ นงึ ไดไ้ มก่ บี่ าท บางครงั้ ถกู จน ขายไม่ได้ คนทำ� เยอะราคาเลยถกู ปจั จบุ นั นกี้ โิ ลนงึ ขน้ั ตำ่� 35 บาท สงู สดุ กโิ ลละ 70 บาท ก็มี เดือนนึงขายได้หลักหม่ืน ชว่ งเทศกาล ไมพ่ อขาย ทบ่ี า้ นจะปลกู เองขายเอง เมอ่ื กอ่ น ไมม่ รี ถยนตต์ อ้ งใสร่ ถเขญ็ ผกั พว่ งมอเตอร์ไซด์ 30

Thai-Viet Agriculturist ไปขายในตลาด ลำ� บาก หนา้ หนาวกต็ อ้ งไป บางคนก็ไม่ไดไ้ ปขายเองมีแม่ค้าในหมู่บ้าน ไปขายใหเ้ ราเอาไปสง่ ทบี่ า้ นพอเคา้ ขายหมด ก็จะจ่ายเงินให้เป็นรายสัปดาห์ สมัยน้ีมี รถยนต์กันหมดแล้วลุงไปส่งป้าท่ีตลาดตอน ตี 3 สง่ ปา้ เสรจ็ ลงุ กก็ ลบั มาขดุ ดนิ ตอ่ รอเวลา ไปรับ 8-9 โมงกข็ ายเสร็จ ชว่ งเยน็ ๆ กอ็ อกมา ถอนหญา้ ถอนผกั รดนำ�้ ผกั ลา้ งผักเตรียมไว้ ไปขายตอนเช้า ตลาดเช้ามืดจะมีคนบ้าน นาจอกมานง่ั ขายผักติดๆ กัน ส่วนมากเคา้ มารับไปขายตอ่ อกี ที แล้วก็รา้ นอาหารที่ใช้ ผักเยอะๆ กม็ าซื้อ เดย๋ี วนี้คนรนุ่ กอ่ นกแ็ กข่ นึ้ เรอื่ ยๆ เลกิ ทำ� กนั หลายบา้ น ผักท่ลี งุ เส็งปลูก กค็ ือผกั สลัด ผกั ปอ ผกั ปลงั ใบกะเพราและ ผกั อโี ตไดร้ บั ความนยิ มมากเพราะสามารถนำ� ไปกนิ กบั เมนอู าหารเวยี ดนามได้หลากหลาย เมนู เช่น ปอเปี๊ยะทอด แนมเหนือง กว๋ ยเตี๋ยว” นายสงิ ห์ เวยี นศรี (ลงุ เส็ง) อายุ 65 ปี ชาวสวนบ้านตน้ ผ้งึ 31

แจแ่ ซ็ง ชาเขียวเวยี ดนาม ต้นชาอสั สมั ใบชาตากแหง้ 32

Thai-Viet Agriculturist ชาบา้ นนาจอก เรยี กวา่ “แจแ่ ซง็ ” คอื แมค่ ้าขายใบชาสดเมือง วิงห์ จ.เหง่อาน ชาอัสสัมเป็นชนิดเดียวกันกับชาพ้ืนเมือง ชาป่า หรอื เมีย่ ง ท่ปี ลกู บนภเู ขาสงู ทางภาค แม่คา้ ขายใบชาสด จ.ฮาตง่ิ ห์ เหนอื ของประเทศไทย วฒั นธรรมการดมื่ ชา ของคนเวียดนามนั้น จะนิยมด่ืมกันเป็น ในปากและชมุ่ คอ ดม่ื แลว้ จะรสู้ กึ ตน่ื ตวั คลา้ ย ประจำ� ทกุ วนั ยามใดทมี่ แี ขกมาทบ่ี า้ น นำ�้ ชา กบั การด่มื กาแฟ จะถกู จดั เตรยี มไวต้ อ้ นรบั เชน่ เดยี วกนั กบั ใน งานศพ งานบญุ งานประเพณพี ธิ กี รรมตา่ งๆ ในส่วนของการขยายพันธุ์ต้นชาน้ัน น้�ำชาก็จะถูกจัดเตียมไว้ส�ำหรับการต้อนรับ สามารถปลูกได้ด้วยเมล็ด หากมีการบ�ำรุง แขกเหร่ือ จึงเป็นเหตุให้ทุกบ้านทุกหลังคา ดูแลรักษาท่ีดี ต้นชาก็จะมีอายุยืนยาวได้ เรอื น ตอ้ งมกี ารปลกู ตน้ ชาไวเ้ พอ่ื จดุ ประสงค์ มากกวา่ 10 ปี ต้นชาไมช่ อบแดดจดั จะขนึ้ ข้างต้น ความนิยมในด่ืมชาของชาวบ้าน ได้ดีในที่ท่ีมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม มีแดดแค่ นาจอกยังสอดคล้องไปกับความนิยมในการ เพียงร�ำไร ดินท่ีบ้านนาจอกเป็นดินดีปลูก ด่ืมชาของคนเวียดนามในจังหวัดเหง่อาน อะไรก็ข้ึน ชาวบ้านนาจอกจะเรียกดินที่มี และจังหวัดฮาต่ิงห์ ของประเทศเวียดนาม ลักษณะนว้ี า่ “ดนิ หวาน” ซงึ่ เปน็ แผน่ ดนิ มาตภุ มู ทิ บ่ี รรพบรุ ษุ ไดอ้ พยพ จากมานน่ั เอง ตน้ ชาเขยี วชะอมุ่ ทปี่ ลกู ในบา้ นนาจอก เปน็ การขยายพนั ธจ์ุ ากตน้ ดง้ั เดมิ ท่ีไดม้ าจาก เมอื งเหงอ่ านและเมอื งฮาตงิ่ ห์ในภาคกลางของ ประเทศเวยี ดนาม ในตลาดสดของ 2 เมอื งน้ี จะตอ้ งมีรา้ นรวงชาอัสสัมตั้งขายอยทู่ ุกซอก ทุกมุม ตามบ้านพักอาศัยทุกหลังก็จะนิยม ตม้ ดมื่ แทนนำ�้ เปลา่ เลยวา่ ก็ได้ คนเวยี ดนาม นิยมจะนิยมกินชาเข้มๆ จิบเข้าไปจะรู้สึก ฝาดได้กลิ่นหอมและซักพักจะรู้สึกหวาน 33

“เมื่อสมัยก่อนบ้านนาจอกมีอยู่ 150 ก็เป็นส่วนส�ำคัญที่ท�ำให้ต้นชาตาย ต้นชา หลังคาเรือน บ้านทุกหลังจะปลูกชาอัสสัม ไม่ชอบแดดจัดต้นจะเหลืองใบไม่สวยต้นชา กนั หมด ตอนน้นั มแี ต่ชาวเวยี ดนามและคน ที่ปลูกรอบบ้านเห็นสวยๆ แบบนี้เรารดน้�ำ จีนที่นิยมดื่ม แต่ปริมาณคนปลูกก็น้อยลง มนั ทกุ วนั ถา้ อากาศรอ้ นจดั เชา้ กร็ ดเยน็ กร็ ด เร่ือยๆ คนจึงปลูกน้อยลง จนเมื่อมีการ บ้านหลังนีม้ ที ี่ดิน 5 ไร่ ตน้ ชาปลกู หนาแนน่ สง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ วเชงิ ประวตั ศิ าสตรบ์ า้ น ท่ีสุด กินเน้ือท่ีเกินคร่ึง ถือเป็นแปลงชาที่ ลงุ โฮจมิ นิ ห์ มนี กั ทอ่ งเทย่ี วเขา้ มาในหมบู่ า้ น ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านและบ้านนาจอกยังเป็น จ�ำนวนมากจึงคิดหาของฝากที่เป็นจุดเด่น แหล่งปลูกชาเขียวอัสสัมท่ีใหญ่ที่สุดใน ของบ้านนาจอกขึ้น ได้รับความนิยมเป็น จงั หวดั นครพนม” อย่างมากจึงชวนคนในหมู่บ้านให้ปลูกกนั กรกนก วงศ์ประชาสขุ เยอะขน้ึ ปจั จบุ นั ขายดมี ากแทบจะไมพ่ อขาย อายุ 51 ปี คนปลกู ชาบ้านนาจอก ชาบ้านนาจอกคือชาอัสสัมมีชื่อเรียกใน ภาษาเวียดนามคือ “แจแ่ ซง็ ” ทกุ สว่ นของ ชาดม่ื ไดห้ มดไมว่ า่ จะเปน็ กงิ่ ใบแก่ ใบออ่ น ดอกชา สามารถต้มท�ำเป็นชาได้ท้ังหมด นอกจากการดมื่ แบบสดแลว้ ยงั มกี ารตากแหง้ บรรจุลงถุงสามารถเก็บไว้ได้นาน และยังมี ดอกชาตากแหง้ ทอี่ อกดอกเพยี งปลี ะหนง่ึ ครง้ั นำ� มาตากแหง้ กไ็ ดร้ บั ความนยิ ม กอ่ นหนา้ นี้ คนปลูกน้อยลงชาวบ้านเลิกท�ำสวนเยอะ เพราะอายทุ ม่ี ากขน้ึ ประกอบกบั บางบา้ นโดน ปลวกทำ� ลายกดั กนิ ตน้ ชาและปญั หาโรครอ้ น 34

Thai-Viet Agriculturist บา้ นลุงโฮจิมนิ ห์ 35

ตอนที่ 5 36

Thai-Viet Agriculturist แม้วันนี้จะไม่มีใครรู้ได้ว่าอาชีพทาง การเกษตร อย่างเช่นการปลูกชา การท�ำ สวนผักหรือการเพาะปลูกในรูปแบบอื่น จะคอ่ ยๆ เลือนหายไปในไมช่ ้า หรอื วา่ จะมี คนรุ่นต่อไปน�ำอาชีพทางการเกษตรน้ีไป ผสมผสานเชอื่ มโยงใหเ้ ขา้ กบั บรบิ ทใหมท่ าง สังคม แต่อย่างน้อยที่สุด คนไทยเช้ือสาย เวียดนามท่ียังคงท�ำเกษตรกรรมในทุกวันนี้ กล็ ว้ นมคี วามภาคภมู ใิ จทไ่ี ดเ้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ใน การสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา และความ มุ ่ ง มั่ น บ า ก บั่ น ใ น ก า ร ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ เพื่อสรา้ งชีวติ สรา้ งครอบครวั สรา้ งชมุ ชน และสงั คมให้มคี วามผาสุข รวมถงึ ยังไดเ้ ป็น ส่วนหน่ึงของการสร้างความมั่นคงทาง อาหารที่ปลอดภัยใหแ้ ก่ผู้บริโภค มมุ สูงบา้ นลงุ โฮจมิ นิ 37



3 Spirit of Us จติ วิญญาณ แห่งชุมชน ศาลเจา้ เปน็ สถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธส์ิ ำ� หรบั การประกอบพธิ กี รรมทาง ความเชื่อของคนไทยเชือ้ สายเวยี ดนาม โดยมี “เถ่ย” เปน็ คน ทำ� หนา้ ทสี่ อื่ สารระหวา่ งเทพเจา้ หรอื บรรพบรุ ษุ ผลู้ ว่ งลบั หรอื ลกู หลานท่ียังมชี วี ิตอยู่ ขณะทรี่ ะบบ “หลา่ ง” ก็คอื ระบบการดูแล ทุกข์สุขที่ยึดโยงกับศาลเจ้าประจ�ำชุมชน ประเพณีท่ีสืบทอด ต่อกันมาน้ีก็คือจิตวิญญาณแห่งชุมชนคนไทยเชื้อสาย เวยี ดนาม

“เถ่ย” แปลตรงตัวในภาษาเวยี ดนาม คอื คร-ู อาจารย์ แตเ่ ม่ือมารับหนา้ ที่ ในประกอบพิธีกรรมจะเรียกว่า “เถ่ยกุ๋ง” อาจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ กี รรมตาม ประเพณขี องคนไทยเชอ้ื สายเวียดนาม แต่นิยมเรียกสั้นๆ กันว่า “เถ่ย” โดยจะมีหนา้ ทีเ่ ปน็ ผปู้ ระกอบพิธีกรรมใน 2 ส่วนหลกั หรอื แล้วแตล่ ะชุมชน อาจแตกตา่ งกันไป 1. ประกอบพธิ กี รรมในศาลเจา้ ของชุมชน จะเป็นหวั หนา้ ผดู้ �ำเนิน งานในพธิ กี รรมซง่ึ แต่ละงานจะมีบทสวดทีแ่ ตกตา่ งกัน “เถย่ ” จะเป็นผทู้ อ่ ง บทไหว้และส่ังให้ผู้ช่วยปฏิบัติตาม เช่น ไหว้เจ้ากี่คร้ัง รินเหล้าให้กับเจ้า องคต์ า่ งๆ การไหวเ้ จา้ คอื การแสดงออกถงึ ความเคารพบชู าเพอ่ื ใหเ้ ทพเจา้ ทส่ี ถติ ย์ในศาลเจา้ ชมุ ชนใหป้ กปกั ษร์ กั ษาคนในชมุ ชนใหอ้ ยดู่ มี สี ขุ ไมเ่ จบ็ ไข้ ท�ำมาหากินเจริญร่งุ เรื่อง อยเู่ ยน็ เป็นสุข 2. ประกอบพธิ กี รรมงานภายในชมุ ชน เชน่ ในงานศพ จะเปน็ คนดู ฤกษย์ ามตามปฏทิ นิ ทางจนั ทรคตขิ องเวยี ดนาม เพอ่ื ทำ� พธิ บี รรจศุ พลงหบี ในสว่ นขน้ั ตอนกระบวนการทง้ั หมดและเมอื่ ฝงั ไปแลว้ กจ็ ะมพี ธิ กี รรมทำ� บญุ 3 วนั 50 วนั 100 วนั และครบรอบวนั ตายประจำ� ปี รวมถงึ พธิ สี ง่ กงเตก๊ ดว้ ย การทำ� บญุ 3 วนั ถือเป็นงานส�ำคญั ทสี่ ุด เพราะคอื การเปิดมา่ นตาบอกให้ เขารู้วา่ ตายแล้ว งานครบ 100 วนั คอื การทำ� พธิ ีแจ้งกับบรรพบรุ ุษว่าได้มี ลกู หลานคนในตระกลู เสยี ชวี ติ ขอใหม้ ารบั ดวงวญิ ญาณคนตายไปอยรู่ ว่ มกบั บรรพบุรษุ ในภพภมู ทิ ่เี หมาะสมดว้ ย อาจารยอ์ ุทัย เจรญิ ธนกุล อายุ 85 ปี “เถ่ยกงุ๋ ” ประจ�ำชุมชนโพนบก 40

Spirit of Us พธิ เี ข้าทรง งานสะเดาะเคราะหช์ มุ ชนโพนบก 41

“ปู่ของครูเคยเป็น “เถ่ย” ประจ�ำ อาจารย์อุทยั ชมุ ชนโพนบกมากอ่ น เราเหน็ และคนุ้ เคยมา ต้งั แต่เด็ก พอโตขน้ึ ไดไ้ ปเรยี นหนงั สอื ทอี่ น่ื ใช้ในปี 1889-1907 เหรียญเงินน้ีเรียกว่า ไดร้ บั ขา้ ราชการครจู งึ ไม่ไดร้ บั ชว่ งตอ่ เพราะ “ซินแกว” เป็นการโยนเหรียญเพื่อสื่อสาร การเป็นเถ่ยในอดีตนั้นถือเป็นงานเสียสละ แสดงการรับรู้โต้ตอบของวิญญาณผู้เสียชีวิต ไม่มีค่าตอบแทนจะได้ของไหว้เป็นสินน้�ำใจ กับลูกหลาน เหรียญนึงคว่�ำเหรียญนึงหงาย เชน่ ไก่ หมู ผลไม้ อาหาร คนในครอบครวั แปลว่าดวงวิญญาณรับรู้และอนุญาตตาม จงึ สง่ เสรมิ ใหเ้ รยี นเพอ่ื เขา้ รบั ราชการ จนเมอ่ื คำ� ขอ สว่ นตำ� ราที่ใชใ้ นปจั จบุ นั น้ีไดร้ บั มาจาก เกษียณอายุราชการมีเวลาว่าง จึงสนใจ “เถย่ ” คนเกา่ กอ่ นหนา้ นนั้ เปน็ ภาษาเวยี ดนาม อยากมาสบื สานทำ� งานใหช้ มุ ชน เพราะขณะนน้ั โบราณอกั ษรจอ่ื ยอและถา่ ยทอดใหเ้ ปน็ ภาษา ชุมชนโพนบกก็ก�ำลังขาดช่วงผู้สืบสานต่อ ที่ใช้จริงในปัจจุบัน ตอนนี้มีคนมาขอต�ำรา จึงไปเรียนกับอาจารย์ต่างหมู่บ้านในชุมชน เรยี นอยู่ 3 คนผมใหต้ �ำราไปศกึ ษาเมือ่ สงสยั วดั ปา่ ทา่ นให้ เอาตำ� รามาทอ่ ง ชว่ งวยั เดก็ นน้ั ก็โทรสอบถามและติดตามไปดูการท�ำพิธีได้ เห็นปู่ได้ท�ำหน้าที่น้ีจึงไม่ยากนักที่จะเรียนรู้ เพราะอาจารย์ก็แก่ขึ้นทุกวันถ้าเก็บเอาไว้ อาจารย์อุทัยยังได้รับมอบชุด เหรียญและ คนเดียวไมส่ อนอาจจะท�ำให้มันสญู หายไป ” จานโบราณจากปู่ที่มีอายุ 130 ปี สร้างใน สมัยกษัตริย์แถ่งถายแห่งราชวงศ์เหงียน อาจารยอ์ ุทยั เจริญธนกุล อายุ 85 ปี “เถย่ กุ๋ง” ประจำ� ชมุ ชนโพนบก เหรยี ญจานโบราณของอาจารยอ์ ทุ ยั 42

Spirit of Us การเป็น “เถ่ยกงุ๋ ” หรอื ซินแสประจ�ำชมุ ชนได้ นอกจากความสามารถด้าน การอา่ นเขยี น ภาษาเวยี ดนามอยา่ งแตกฉาน ยงั ตอ้ งพรอ้ มไปดว้ ยวยั วฒุ แิ ละคณุ วฒุ ิ การหาผสู้ นใจมาสบื ทอดตำ� แหนง่ เถย่ ประจำ� ชมุ ชนจงึ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ยนกั บางชมุ ชน เมื่อ “เถ่ย” คนก่อนเสียชีวิตลง ขาดผู้สืบทอดการประกอบพิธีกรรมในศาลเจ้า จงึ ตอ้ งใชเ้ สยี งบรรยายจากเครอ่ื งเลน่ เทปกม็ ี เชน่ ชมุ ชนนาราชควายกลาง เปน็ ชมุ ชน คนไทยเช้ือสายเวียดนามเก่าที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย 100 กว่าปี ปัจจุบัน ท้ังผู้คนถูกกลืนเข้ากับคนพื้นถ่ิน นิยมพูดภาษาอีสานกันเป็นส่วนมาก คนรุ่นใหม่ ไม่สามารถพูดเวียดนามได้เลย ปัจจุบันมีเพียงผู้สูงอายุไม่ก่ีคนที่ยังพอพูดภาษา เวียดนามได้ การไหว้ศาลเจ้าชุมชนก็ยังคงด�ำเนินพิธีกรรมการไหว้เจ้าอยู่เพียงแต่ ไม่มี “เถ่ย” ในการเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ชาวบ้านจึงแก้ปัญหาด้วยการน�ำเทป ทเี่ คยบนั ทกึ เสยี งอาจารยผ์ ทู้ ำ� พธิ ีในหมบู่ า้ นคนเกา่ มาเปดิ และปฏบิ ตั ขิ น้ั ตอนพธิ กี รรม ฟงั เสยี งทบ่ี รรยายในเครอ่ื งเลน่ เทป ในขณะทช่ี มุ ชนบา้ นนาจอก กลบั มผี ทู้ กี่ ำ� ลงั เรยี นรู้ เพอื่ ทำ� หนา้ ท่ี “เถย่ กงุ๋ ” ปจั จบุ นั เขากำ� ลงั เรยี นรขู้ น้ั ตอนและพธิ กี ารตา่ งๆ จากครอู ทุ ยั เคร่อื งขยายเสียงบทสวด ภายในศาลเจา้ พ่อแท่งฮว่าง ชุมชนนาราชควายกลาง 43

“ชาวบ้านนาจอกเป็นคนไทยเช้ือสาย เมื่อก่อนผมก็เคยเรียนกับ เถ่ย ในหมู่บ้าน เวยี ดนาม ตอนนใ้ี นชมุ ชนขาดคนทำ� พธิ กี รรม นแี่ หละ แตเ่ รยี นไมท่ นั ไรเคา้ เสยี ชวี ติ ไปกอ่ น ขาด เถ่ย มา 2 ปแี ล้วเพราะเพง่ิ เสียชวี ติ ไป เลยพักไป อาจารย์อุทัยบอกว่าผมน่าจะท�ำ ไมม่ คี นสบื สานตอ่ ผมเลยอยากเขา้ มาศกึ ษา พิธีกรรมได้ให้ต�ำรามาฝึกอ่านไม่เข้าใจ อยากชว่ ยเหลอื สงั คมดว้ ยตอนนถ้ี า้ ในชมุ ชน ใหโ้ ทรถาม พอเขา้ ใจแลว้ กอ็ อกงานขอตดิ ตาม มงี านศพตอ้ งไปเรยี นเชญิ เถย่ มาจากหมบู่ า้ นอนื่ ไปดูงานจริงกับอาจารย์คอยหยิบจับของ เชน่ เชญิ อาจารยอ์ ทุ ยั จากชมุ ชนโพนบกมา ผมตามไปดบู า้ งแลว้ 4-5 งาน ลา่ สดุ งานบญุ ทำ� พธิ ี เชญิ เถย่ มาจากชมุ ชนหลางปา่ คนไทย ครบวนั ตายของญาตคิ รบ50 วนั ทา่ นจะไมท่ ำ� เช้อื สายเวยี ดนามไม่สามารถขาด เถย่ ผทู้ �ำ บอกให้ผมก็ลองท�ำมาแล้ว ถ้าให้ประมาณ พิธีได้เพราะคนไทยเชื้อสายเวียดนามมี ความสามารถก็ประมาณ 70% ขอฝึกอีก พธิ กี รรมมปี ระเพณเี ฉพาะในแบบของตวั เอง สักระยะใหม้ ่ันใจเพราะมีแผนจะไปศึกษาตอ่ มีขน้ั ตอนตามแบบโบราณท่ีสืบทอดกันมา ที่เวียดนามว่าแตกต่างหรือเหมือนกัน อยา่ งไร วันน้ีไม่มี เถ่ย ในชุมชนผมรู้สึก ละอายใจที่เวลาไปเชิญอาจารย์ต่างหมู่บ้าน การเรียนเป็น เถย่ นัน้ กค็ อื การเรยี น มาประกอบพธิ ีให้ บา้ นนาจอกมคี นอา่ นออก อา่ นบทสวดแตล่ ะงานพธิ กี รรมจะไมเ่ หมอื นกนั เขียนได้หลายคนแต่ไม่มีคนมาสานต่อ เหมือนบทสวดของเพราะสงฆ์ ต้องพูด ประเสรฐิ อัจฉริยะวรวินิจ (องคแ์ รม) 44

Spirit of Us เถย่ กงุ๋ ประกอบพิธฝี งั ศพ ขบวนเคล่ือนศพคนไทยเชื้อสายเวยี ดนาม ออกเสียงให้ถูกต้องและเข้าใจความหมาย เวียดนามไม่ได้ มันไม่ใช่แค่การท่องจ�ำ ตอ้ งเขียนภาษาเวยี ดนามใหไ้ ด้ เราจะเขียน อย่างเดียวถึงท�ำได้ ต้องเข้าใจให้แตกฉาน ชื่อคนตายลงในป้ายวิญญาณในงานศพ เถ่ย ก็เป็นเหมือนส่ือกลางในการส่ือสารให้ เพราะคนเวียดนามต้องใช้ภาษาเวียดนาม กบั คนรนุ่ ใหม่ไดเ้ ขา้ ใจเรอื่ งพธิ กี รรม คนไทย บรรพบรุ ษุ เราเปน็ คนเวยี ดนาม รวมถงึ ของไหว้ เชื้อสายเวียดนามน้ันมีความเชื่อเก่ียวกับ กต็ อ้ งตามแบบโบราณตอ้ งมใี หค้ รบ ตรวจเชค็ บรรพบุรุษเป็นอย่างมาก หากท�ำดีกตัญญู ไม่ใหข้ าด ตอนปฏบิ ัติต้องมสี มาธิ เราก�ำลัง ดูแลท่านท้ังตอนที่มีชีวิตอยู่และตอนเสีย พูดกับวิญญาณ ถ้าเราท�ำดีเราก็สบายใจ ชีวิตไปแล้วดูแลอย่างดี ลูกหลานจะท�ำมา ถ้าเราท�ำไม่ดีก็อาจเป็นภัยกับตัวเองเพราะ หากนิ ขนึ้ อยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ลกู หลานกจ็ ะกตญั ญู ผมเชือ่ ในเรื่องวิญญาณ กตเวทีกับเราเหมือนเท่เี ราทำ� ” ในอนาคตถ้าแต่ละชุมชนไม่มี เถ่ย องคแ์ รม ประเสรฐิ อจั ฉริยะวรวินจิ ผมคิดว่าคนจะหันไปเข้าวัดปลงศพแบบ ชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนาม วยั 73 ปี ศาสนาพุทธ ประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ก็จะ จากชมุ ชนบา้ นนาจอก หายไป ดูไดจ้ ากคนรนุ่ ใหม่ พดู เขยี น ภาษา 45

46

Spirit of Us “เทพเจา้ เจิน่ ทึง ด่าว” “ศาลเจ้าพ่อด่ายเวือง” ศูนย์รวมจิตวิญญาณของชุมชนบ้านาจอก สร้างขน้ึ ในปี พ.ศ. 2441 “ดา่ ยเวอื ง” หมายถึงพระมหากษัตรยผ์ ยู้ ิง่ ใหญข่ อง เวียดนาม เทพเจ้าที่สถิตภายในศาลคือเทพเจ้า “เจิ่น ทึง ด่าว” ท่านเป็น นายพลนักรบท่ีสามารถรบชนะจีน (มองโกล) หลายครั้ง คนจึงเคารพบูชา ประดุจดังเทพเจ้า ในหลายชุมชนหลายจังหวัดที่มีคนไทยเช้ือสายเวียดนาม อยกู่ น็ ยิ มบชู า “เทพเจา้ เจน่ิ ทงึ ดา่ ว” ในประเทศเวยี ดนามกน็ ยิ มนบั ถอื เชน่ กนั โดยเฉพาะผู้คนท่ีอาศัยในเขตจังหวัดนามดิ่ง ภายในศาลเจ้ายังมีรูปท่าน โฮจมิ นิ หว์ างบนหง้ิ คกู่ นั ดจุ เทพเจา้ อกี องคห์ นง่ึ หากเปรยี บเทยี บคงกลา่ วไดว้ า่ “เทพเจ้าเจน่ิ ทึงดา่ วสรา้ งชาตเิ วยี ดนาม ทา่ นโฮจมิ นิ หก์ ู้ชาตใิ ห้คนเวียดนาม” ก็ย่อมได้” “เต็ด” หรือตรุษญวน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินทางจันทรคติของ ชาวเวยี ดนาม เปน็ เทศกาลแหง่ มงคลชวี ติ ทค่ี นไทยเชอื้ สายเวยี ดนามทกุ ชมุ ชน ใหค้ วามสำ� คญั จะมกี ารมารวมตวั กนั เพอ่ื ทำ� พธิ สี กั การะตอ่ เทพเจา้ “เจน่ิ ทงึ ดา่ ว” ณ ศาลเจ้าประจ�ำชุมชน 47

“บ้านนาจอกมีกรรมการ 2 ชุด สงา่ นาเจริญวุฒกุล ประธานหลา่ งนาจอก ชุดแรกคือกรรมการทางการของท่านก�ำนัน (กำ� นนั จนั ทร์ไทย พฒั นประสทิ ธ)ิ และอกี ชดุ จะไหว้บรรพบุรุษที่บ้าน เมื่อไหว้เสร็จ คือกรรมการศาลเจ้าท่ีคนในหมู่บ้านเลือก หลังจากน้ันจะมารวมตัวกันมาท่ีศาลเจ้าใน ขนึ้ มา ผมเปน็ ประธานคณะกรรมการหมบู่ า้ น 1 ปี จะมงี านไหว้ 2 งาน คอื ไหวว้ นั เตด๊ ชุดนี้ คือกรรมการศาลเจ้ามีหน้าท่ีดูแล และไหว้เข้าพรรษา ทุกงานจะมีระยะเวลา ทุกข์สุขของประชาชนในหมู่บ้านในชุมชน 2 วันเรียกว่าวันเข้ากับวันออก วันเข้าคือ กอ่ นจะถงึ กรรมการของทางการ ระบบนเ้ี อง เชญิ มาทศ่ี าลเจา้ รว่ มพธิ ี อกี วนั คอื พธิ สี ง่ เจา้ ทีเ่ รียกกนั ว่าระบบ หลา่ ง กลับสู่สวงสวรรค์ แต่ก่อนเรียกว่าตรุษจีนแต่เดี๋ยวนี้ วนั ไหวเ้ ทศกาลเตด๊ คอื แรม 15 ค่�ำ เค้าเปล่ียนเป็นตรุษเวียดนาม หรือ เต๊ด เดอื น 12 และ ขนึ้ 1คำ่� เดือน 1 ตามปฏทิ นิ ภาษาเวียดนามก็เรียกว่า อันเต๊ด ทุกๆ ปี จันทราคติของเวียดนาม ก็คือวันสิ้นปีและ ทุกครอบครัวคนไทยเช้ือสายเวียดนาม วันข้ึนปีใหม่ ทุกครอบครัวจะมีชุดไหว้มา บูชา 1 ถาด คือมีไก่ต้มตัวผู้ ข้าวเหนียว ศาลเจา้ พ่อด่ายเวือง หมากพลู หากครอบครวั นนั้ ตดิ ไวท้ กุ ขห์ รอื มีญาติเพ่ิงเสียชีวิตไปยังไม่พ้น 100 วัน 48

Spirit of Us จะไมต่ อ้ งนำ� มาไหว้ เมอื่ มาถงึ ศาลเจา้ กต็ อ้ ง เจา้ หนา้ ทจี่ ัดเครอื่ งไหว้ ใชม้ ดี ไมไ้ ผป่ กั ที่ไกเ่ ปน็ สญั ลกั ษณส์ ำ� หรบั การ ไหว้เจ้าจะมีเจ้าหน้าท่ีศาลเจ้าน�ำถาดเข้าไป ก็เหมือนการอ่านค�ำบูชาการถวายสังฆทาน วางภายในคนนอกเขา้ ไป ไหวว้ นั แรกคอื แรม แบบไทย เรียกต�ำแหน่งน้ีว่า “ดอกวัน” 15 คำ�่ เดอื น 12 มเี จา้ หนา้ ที่ใสช่ ดุ ดำ� ทง้ั หมด เมื่อเร่ิมพิธีจะมีการอ่านบทไหว้เจ้าหน้าท่ีก็ 6 คน มีหัวหน้าชุดจะเรียกต�ำแหน่งนี้ว่า ท�ำตามบทสวดต้องฟังภาษาเวียดนามออก “จิ่งเต๋” และจะมีผู้ช่วย 2 คน อยู่ข้างหลัง บทสวดเปน็ ค�ำโบราณเรียกวา่ จื่อหาน เป็น เรียกว่า “โบ่ยเต๋” จากนั้นจะมีคนตีกลอง ภาษาพูดและเขียนแบบโบราณอักษรต่างๆ ตีฆอ้ งตามจังหวะระหว่างท�ำพิธี อีก 2 คน จะคลา้ ยกบั ภาษาจนี ไมเ่ หมอื นภาษา ภาษา จะมีต�ำแหน่งรินเหล้า รินน้�ำในแต่ละถาด เขยี นในปจั จบุ ัน (จีนเคยปกครองเวียดนาม ตามจ�ำนวนท่ีชาวบ้านเอามาไหว้ เรียกว่า เปน็ ระยะเวลา 1,000 ปี จึงทำ� ให้บทสวดได้ “เยอ้ื กเหยยี่ ว” เมอ่ื เสรจ็ จะมอี กี 1 คน อา่ นคำ� รับอทิ ธพิ ลจากประเทศจนี *ผเู้ ขยี น) บชู าคำ� ถวายเปน็ ภาษาเวยี ดนาม เปรยี บแลว้ คนบา้ นนาจอกจะใหค้ วามสำ� คญั มาก พธิ ไี หว้ในวนั เต๊ด กับการมาศาลเจ้าในวันตรุษจีน ลูกหลานท่ี อยตู่ า่ งจงั หวดั จะกลบั มาบา้ นและพาครอบครวั มาทศี่ าลเจา้ ศาลเจา้ บา้ นนาจอกจะอนญุ าต 49

ให้พาเด็กๆ มาได้ ชุมชนอื่นไม่อนุญาตให้ มีดปกั ไก่ เด็กมาศาลเจ้าให้มาเฉพาะผู้ใหญ่ ชุมชน มคี วามเหน็ วา่ ถา้ ไม่ใหเ้ ดก็ มาเคา้ จะไมร่ เู้ รอ่ื ง ไก่ไหว้เจ้า หลังจากน้ันทุกคนก็จะมาจุดธูป ของบรรพบรุ ษุ มนั อาจทำ� ใหส้ ญู หายขาดการ ไหว้เจ้าขอพรต่างๆ ให้ครอบครัวอยู่เย็น สนใจ บรรยากาศจะสนุกสนานมากเพราะ เปน็ สขุ ทำ� มาคา้ ขนึ้ บางคนกม็ าบนบานดว้ ย บางคนไปตงั้ รกรากปนี งึ ลกู หลานไมว่ า่ จะอยู่ หมูหัน ทุกปีศาลเจ้าจะมีหมูหันจากการ ท่ีไหนตอ้ งตอ้ งกลบั มาตรุษจนี ทีอ่ นญุ าตให้ บนบานทสี่ ำ� เรจ็ มาถวาย สว่ นใครอยากบรจิ าค เดก็ มาไดเ้ ราตอ้ งการใหเ้ ดก็ รับรู้ว่า พ่อ แม่ ก็ตามก�ำลังศรัทธา ช่วงตรุษจีนมียอดเงิน ปู่ ยา่ ตา ยาย บรรพบรุ ุษมเี ช้อื เวยี ดนาม บรจิ าคหลงั หกั คา่ ใชจ้ า่ ยประมาณ2 แสนบาท มปี ระเพณแี บบนี้ และผใู้ หญเ่ คา้ มาไหวอ้ ะไร ชว่ งออกพรรษาจะไดป้ ระมาณ3-4 หมน่ื บาท เพราะหลังจากท�ำพิธีก็จะแบ่งไก่คร่ึงตัว เงนิ ตัวนกี้ จ็ ะเอามาปรบั ปรงุ พัฒนาศาลเจา้ ” มาสับกินรวมกันอีกครึ่งตัวให้เอากลับบ้าน ชาวบ้านจะเรียกว่า กินไก่เฮง เพราะเป็น ชาวบ้านนำ� ไกม่ าไหว้ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook