กลอ้ งจุลทรรศนเ์ บอ้ื งตน้ จัดทำโดย นำยสรุ ัติ คดั ถำวร นกั วิชำกำรวิทยำศำสตร์ศึกษำ ศูนยว์ ิทยำศำสตรแ์ ละวฒั นธรรมเพ่ือกำรศกึ ษำรอ้ ยเอด็
ควำมรูเ้ กี่ยวกบั กลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ บอ้ื งต้น กลอ้ งจลุ ทรรศน์ เปน็ อุปกรณ์สำหรับมองดูวตั ถทุ ม่ี ขี นำดเลก็ เกินกว่ำมองเห็นดว้ ยตำ เปล่ำ ศำสตรท์ ่มี ุง่ สำรวจวตั ถขุ นำดเล็กโดยใชเ้ คร่อื งมือดังกลำ่ วน้ี เรยี กว่ำ จุลทรรศน ศำสตร์ (microscopy) ประวัติ เดมิ กำรศกึ ษำวัตถุทม่ี ขี นำดเล็กมำกใช้เพียงแว่นขยำยและเลนสอ์ นั เดียวสอ่ ง ดู เชน่ เดียวกบั กำรใช้แวน่ ขยำยส่องดลู ำยมอื ช่วงปี พ.ศ. 2133 แซคำเรียส แจน เซน ชำ่ งทำแว่นชำวดัตช์ ประดษิ ฐ์กลอ้ งจลุ ทรรศน์ชนิดเลนสป์ ระกอบ ประกอบด้วยแว่นขยำยสองอนั ต่อมำ กำลเิ ลโอ กำลเิ ลอีไดส้ รำ้ งแว่นขยำยสอ่ งดู สิง่ มชี ีวิตเล็ก ๆ ในปี พ.ศ. 2208 โรเบริ ์ต ฮกุ ได้ประดษิ ฐ์กลอ้ งจุลทรรศน์ชนดิ เลนส์ ประกอบทม่ี ีลำกลอ้ งรูปร่ำงสวยงำม ปอ้ งกนั กำรรบกวนจำกแสงภำยนอกได้ และ ไมต่ อ้ งถือเลนส์ใหซ้ ้อนกัน เขำสอ่ งดไู มค้ อร์กทฝี่ ำนบำง ๆ แล้วพบช่องเล็ก ๆ มำกมำย เขำเรียกชอ่ งเหล่ำนั้นว่ำเซลล์ ซ่ึงหมำยถงึ ห้องวำ่ ง ๆ หรอื ห้องขงั เซลล์ที่ ฮุกเห็นเป็นเซลลท์ ี่ตำยแลว้ เหลือแตผ่ นังเซลลข์ องพืชซึง่ แข็งแรงกว่ำเย่อื หมุ้ เซลลใ์ น สัตว์ จงึ ทำให้คงรูปร่ำงอยูไ่ ด้ ฮกุ จงึ ได้ช่ือวำ่ เป็นผูท้ ตี่ ้ังช่ือเซลล์ ในปี พ.ศ. 2215 อันโตนี ฟัน เลเวินฮุก ชำวดัตช์ สร้ำงกลอ้ งจลุ ทรรศน์ชนดิ เลนส์เดยี วจำกแว่นขยำยที่เขำฝนเอง แว่นขยำยบำงอนั ขยำยได้ถึง 270 เทำ่ เขำใช้ กลอ้ งจลุ ทรรศนต์ รวจดูหยดนำ้ จำกบงึ และแมน่ ำ้ และจำกน้ำฝนทีร่ องไวใ้ นหม้อ เห็นส่งิ มีชีวติ เลก็ ๆ มำกมำย นอกจำกนี้ เขำยังสอ่ งดูสิ่งมชี ีวติ ต่ำง ๆ เช่น เมด็ เลือด แดง, กลำ้ มเนอื้ เป็นตน้ เม่ือเขำพบส่งิ เหล่ำนี้ เขำรำยงำนไปยังรำชสมำคมแหง่ กรงุ ลอนดอน จงึ ได้รับกำรยกยอ่ งวำ่ เปน็ ผูป้ ระดษิ ฐ์กล้องจุลทรรศน์
ควำมรู้เกีย่ วกับกลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ บอ้ื งต้น • พ.ศ. 2367 ดโู ธรเชต์ นกั พฤกษศำสตร์ชำวฝรงั่ เศสศึกษำเน้อื เยื่อพชื และสัตว์ พบวำ่ ประกอบดว้ ยเซลล์ • พ.ศ. 2376 โรเบริ ต์ บรำวน์ นักพฤกษศำสตร์ชำวอังกฤษ เปน็ คน้ แรกทพ่ี บว่ำ เซลลแ์ ละพืชมนี วิ เคลียสเปน็ กอ้ นกลมๆ อยภู่ ำยในเซลล์ • พ.ศ. 2378 นุก นะดือจำรแ์ ดง นกั สตั วศำสตรช์ ำวฝรง่ั เศส ศกึ ษำจุลินทรียแ์ ละ สิ่งมีชวี ติ อ่ืน ๆ พบว่ำภำยในประกอบดว้ ยของเหลวใส ๆ จึงเรยี กว่ำ ซำร์โคด ซ่ึงเปน็ ภำษำฝรัง่ เศสมำจำกศพั ท์กรกี ว่ำ ซำรค์ (Sarx) ซึ่งแปลวำ่ เนอื้ • พ.ศ. 2381 มทั ทอิ สั ชไลเดน นักพฤกษศำสตรช์ ำวเยอรมัน ศกึ ษำเนือ้ เยื่อพชื ชนิดตำ่ ง ๆ พบวำ่ พืชทุกชนิดประกอบดว้ ยเซลล์ • พ.ศ. 2382 ชไลเดนและทีโอดอร์ ชวำน จงึ ร่วมกนั ตั้งทฤษฎเี ซลล์ ซ่ึงมีใจควำม สรุปได้ว่ำ \"สง่ิ มีชวี ิตทกุ ชนดิ ประกอบไปดว้ ยเซลล์และผลติ ภณั ฑจ์ ำกเซลล์“ • พ.ศ. 2382 ปรู ก์ เิ ญ นกั สตั วทิ ยำชำวเชโกสโลวำเกยี ศึกษำไขแ่ ละตวั ออ่ น ของสัตว์ชนิดตำ่ ง ๆ พบว่ำภำยในมขี องเหลวใส เหนยี ว อ่อนน่มุ เป็นว้นุ เรยี กว่ำโพรโทพลำสซมึ ตอ่ จำกนน้ั มีนกั วิทยำศำสตรอ์ กี มำกมำยทำกำรศึกษำเกย่ี วกับเซลลด์ ้วย กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนสป์ ระกอบ และได้พฒั นำให้ดียิ่งขึน้ จนกระทัง่ ปี พ.ศ. 2475 นกั วิทยำศำสตร์ชำวเยอรมนั คอื แอนสท์ รสั กำและมักซ์ นอลล์ ได้ เปลี่ยนแปลงกระบวนกำรของกลอ้ งจลุ ทรรศนท์ ี่ใชแ้ สงและเลนสม์ ำใช้ลำ อิเลก็ ตรอน ทำให้เกิดกล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนข้ึนในระยะตอ่ ๆ มำ ปัจจุบันมี กำลงั ขยำยกว่ำ 5 แสนเท่ำ
กำรศึกษำจุลนิ ทรีย์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ในกำรศึกษำทำงด้ำนจุลชีววิทยำซึ่งเป็นกำรศึกษำสิ่งมีชีวิตขนำดเล็กที่ไม่ สำมำรถมองเห็นได้ด้วยตำเปล่ำ จึงจำเป็นต้องอำศัยกล้องจุลทรรศน์ซ่ึงเป็น เคร่ืองมือวิทยำศำสตร์ท่ีสำคัญ สำหรับผู้ท่ีจะศึกษำวิชำจุลชีววิทยำจึงควรเรียนรู้ เก่ียวกับกล้องจุลทรรศน์และวิธีใช้ที่ถูกต้อง ในปัจจุบันวิทยำกำรในด้ำนต่ำงๆ ได้ เจรญิ ก้ำวหน้ำไปมำก รวมทง้ั มีกำรประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แบบใหม่ๆขึ้น จึงทำให้ กำรศกึ ษำในวชิ ำจุลชีววิทยำรุดหนำ้ ไปอยำ่ งรวดเร็ว กลอ้ งจลุ ทรรศน์ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื แบบใชแ้ สงธรรมดำ และแบบ ใช้แสงอเิ ล็กตรอน กล้องจุลทรรศน์: แบบใชแ้ สงธรรมดำ กล้องจลุ ทรรศน์แบบใช้แสงธรรมดำ (COMPOUND MICROSCOPE) แบ่ง ออกเป็น 2 ชนิดด้วยกนั กลอ้ งจุลทรรศนอ์ ย่ำงง่ำยหรือแว่นขยำย (Compound Microscope or Magnifying glass) ซ่ึงใชเ้ พียงเลนสน์ นู เพียงอนั เดียวเปน็ ตวั ช่วยในกำรขยำยวัตถุ ให้ดใู หญข่ ้นึ และภำพท่ีไดจ้ ะเปน็ ภำพเสมอื น กล้องจุลทรรศนเ์ ชงิ ซอ้ น (Compound Light Microscope) เป็นกล้องจุลทรรศนท์ ี่ มรี ะบบเลนสท์ ่ีทำหนำ้ ทีข่ ยำยภำพ 2 ชดุ ดว้ ยกนั คือ เลนส์ใกลว้ ตั ถุ และเลนส์ใกล้ ตำ กล้องจลุ ทรรศน์เชิงซ้อนท่ใี ชง้ ำนท่วั ไปในหอ้ งปฏิบตั ิกำรจะเปน็ ชนดิ Light field Microscope หรือ Bright field Microscope หลักกำรทำงำนของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ชนิดนี้คือ เม่อื แสงไฟจำกหลอดไฟเปน็ แหลง่ กำเนดิ แสงจะถูกรวบรวมแสงโดย condenser lens ไปตกทวี่ ตั ถทุ ว่ี ำงบนแทน่ วำงวัตถุ (Specimen stage) จำกน้ัน เลนสใ์ กล้วัตถุ (objective lens) จะเปน็ ตวั ขยำยวตั ถุให้ไดภ้ ำพทีใ่ หญข่ ้นึ แลว้ จะสง่ ตอ่ ไปยัง เลนสใ์ กลต้ ำ (ocular lens) เพ่ือขยำยภำพสุดทำ้ ย
สว่ นต่ำง ๆ ของกล้องจลุ ทรรศน์ชนดิ compound light microscope (Olympus) www.biology.sc.chula.ac.th/2303106/2303106BU.pdf โครงสรำ้ งโดยทว่ั ไปของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงธรรมดำ มสี ่วนประกอบดงั ภำพท่ี 1 ดงั น้ี คือ 1. สว่ นฐำน (base) คอื ส่วนฐำนทว่ี ำงตดิ กบั โต๊ะ มีหลอดไฟฟ้ำติดอยู่ทฐ่ี ำนกลอ้ ง พร้อมสวิทช์ปิดเปิด 2. สว่ นแขน (arm) คอื ส่วนท่ยี ึดติดระหวำ่ งลำกล้องกบั ส่วนฐำน 3. ลำกล้อง (body tube) มเี ลนส์ใกลต้ ำตดิ อยู่ด้ำนบน สว่ นด้ำนลำ่ งติดกบั แผน่ หมนุ ซึ่งมีเลนส์ใกล้วตั ถุติดอยู่ บำงกล้องมีปรซิ มึ ตดิ อย่เู พ่อื หักเหแสงจำกเลนสใ์ กล้วตั ถุ ให้ผำ่ นเลนสใ์ กลต้ ำ 4. แผน่ หมุน (revolving nosepiece) คือแผน่ กลมหมุนได้ มีเลนส์ใกลว้ ัตถุติดอยู่ เพือ่ หมนุ เปลี่ยนกำลงั ขยำยของเลนส์ตำมควำมต้องกำร 5. เลนสใ์ กล้วัตถุ (objective lens) คือเลนส์ที่ตดิ อยู่บนแผน่ หมุน ตำมปกติจะมี 3 หรอื 4 อัน แตล่ ะอันจะมตี วั เลขแสดงกำลังขยำยกำกับไว้ เชน่ x4, x10, x40 หรอื x100 เป็นตน้ ในกรณีทีใ่ ช้เลนส์ใกลว้ ตั ถุกำลังขยำย x100 ตอ้ งใชน้ ำ้ มันเปน็ ตัวกลำงระหวำ่ งเลนสแ์ ละวตั ถุจงึ จะเหน็ ภำพ นอกจำกน้ี ด้ำนขำ้ งของเลนสใ์ กล้ วัตถมุ ตี วั เลขแสดงค่ำ N.A. (numerical aperture) กำกบั อยู่ (ภำพที่ 2) คำ่ N.A. (ควำมสำมำรถของเลนส์ทีร่ วบรวมแสงทหี่ ักเหผ่ำนวัตถุเข้ำกล้องมำกทส่ี ุด) มี ควำมสัมพนั ธ์กบั resolving power ดงั นี้ λ = ควำมยำวคล่นื แสง N.A. = numerical aperture *** ถ้ำ N.A. มคี ่ำสูง resolving power มีคำ่ นอ้ ย แสดงวำ่ กลอ้ งมีกำรแจกแจงรำยละเอียดได้ดี
6, เลนส์ใกลต้ ำ (eyepiece lens) คอื เลนสช์ ดุ ท่ีอยูส่ ่วนบนสดุ ของกล้อง มีตวั เลข บอกกำลงั ขยำยอยทู่ ำงด้ำนบน เชน่ x5, x10, หรอื x15 เปน็ ต้น บำงกลอ้ งมีเลนส์ ใกล้ตำอันเดยี ว (monocular) บำงกลอ้ งมเี ลนสใ์ กล้ตำ 2 อัน (binocular) เลนสช์ ุด นข้ี ยำยภำพทเี่ กดิ จำกเลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ภำพท่เี หน็ มขี นำดขยำย เปน็ ภำพเสมอื นหวั กลับ และกลบั ซำ้ ยเปน็ ขวำกับวัตถุ 7. วงล้อปรับภำพ (adjustment wheel) สำหรับปรบั ระยะหำ่ งระหวำ่ งวัตถุกับ เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ เพอื่ ปรับภำพใหเ้ ห็นชดั ซึ่งระยะหำ่ งที่ทำให้เหน็ ภำพชัด เรยี กวำ่ ระยะกำรทำงำนของกลอ้ ง (working distance) หรือระยะโฟกสั ของกลอ้ ง วงล้อ ดงั กล่ำวมี 2 ชนดิ คอื ชนดิ ปรับภำพหยำบ (coarse adjustment wheel) ใชป้ รบั ระยะห่ำงระหว่ำงวัตถกุ บั เลนส์ใกล้วัตถุชนิดกำลังขยำย 10 เท่ำลงมำ และชนิด ปรับภำพละเอยี ด (fine adjustment wheel) ใช้ปรบั ภำพใหช้ ัด เมอ่ื ใชเ้ ลนสใ์ กล้วตั ถุ กำลังขยำยสูง 40 เท่ำข้ึนไป 8. แท่นวำงวตั ถุ (stage) มชี อ่ งตรงกลำงสำหรับให้แสงผำ่ น และใชว้ ำงสไลด์แกว้ เปน็ อุปกรณ์ทเ่ี คล่อื นท่ไี ด้ (mechanical stage) ดว้ ยกำรหมนุ ปมุ่ บังคับ อปุ กรณ์ ดงั กล่ำวมีคลิปเกำะสไลด์ และมีสเกลบอกตำแหน่งของสไลดบ์ นแท่นวำงวตั ถุ ฉะน้ันอุปกรณน์ จี้ ะช่วยอำนวยควำมสะดวกในกำรเลื่อนสไลดไ์ ปทำงขวำ ซำ้ ย หน้ำ และหลังไดใ้ นขณะที่ตำมองภำพในกล้อง ชว่ ยใหห้ ำภำพไดร้ วดเรว็ และมสี เกลบอก ตำแหน่งของวตั ถุบนสไลด์ 9. คอนเดนเซอร์ (condenser) คอื ชดุ ของเลนส์ทท่ี ำหน้ำทรี่ วมแสงใหม้ คี วำมเขม้ มำกท่สี ุด เพ่ือส่องวัตถุบนสไลด์แกว้ ใหส้ วำ่ งท่ีสดุ มีปมุ่ ปรับควำมสูงตำ่ ของ condenser 10. ไอริสไดอะแฟรม (iris diaphragm) เปน็ มำ่ นปรบั รเู ปดิ เพื่อให้แสงผำ่ นเขำ้ condenser และมปี มุ่ สำหรบั ปรับ iris diaphragm ใหแ้ สงผำ่ นเขำ้ มำกนอ้ ยตำม ตอ้ งกำร 11. แหลง่ กำเนดิ แสง (light source) เปน็ หลอดไฟฟ้ำใหแ้ สงสว่ำงตดิ อยทู่ ี่ฐำน กลอ้ ง มสี วิทชเ์ ปดิ ปิด และมสี เกลปรบั ปริมำณแสงสว่ำง
กล้องจลุ ทรรศน์: แบบใช้แสงอิเล็กตรอน กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope) เป็นชนิดของกล้อง จุลทรรศน์แบบหน่ึงที่ใช้อิเล็กตรอนที่ถูกเร่งควำมเร็วเป็นแหล่งท่ีมำของกำรส่อง สวำ่ ง เนอ่ื งจำกอเิ ล็กตรอนมคี วำมยำวคลืน่ ส้นั กว่ำโฟตอนของแสงที่มนุษย์มองเห็น ได้ถึง 100,000 เท่ำ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจึงมีกำลังขยำยสูงกว่ำกล้อง จุลทรรศน์แบบใช้แสงและสำมำรถเปิดเผยให้เห็นโครงสร้ำงของวัตถุท่ีมีขนำดเล็ก มำก ๆ ได้ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่ำนสำมำรถให้รำยละเอียดได้สูง ถึง 50 picometre[1] และมีกำลังกำรขยำยได้ถึงประมำณ 10,000,000 เท่ำ ขณะท่ีสว่ นใหญ่ของกล้องจลุ ทรรศน์แบบแสงจะถูกจำกัดโดยกำรเลี้ยวเบนของแสง ที่ให้ควำมละเอียดประมำณ 200 นำโนเมตรและกำลังขยำยท่ีใชกำรได้ต่ำกว่ำ 2000 เทำ่ กล้อ งจุ ลท รร ศน์ อิเ ล็ก ตร อน แบ บส่ อง ผ่ำ นใ ช้เ ลน ส์ไ ฟฟ้ ำส ถิต แล ะ แม่เหล็กไฟฟ้ำ ( electrostatic and electromagnetic lenses) ในกำรควบคุม ลำแสงอิเล็กตรอนและโฟกัสมันเพื่อสร้ำงเป้นภำพ เลนส์แสงอิเล็กตรอนเหล่ำนี้ เปรียบเทยี บได้กับเลนส์แกว้ ของกล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สงออปติคอล กล้องจลุ ทรรศน์อิเล็กตรอนถกู นำไปใช้ในกำรตรวจสอบโครงสร้ำงขนำดเล็กมำก ๆ ของตัวอย่ำงทำงชีวภำพและอนินทรีที่หลำกหลำยรวมท้ังจุลินทรีย์ เซลล์ชีวะ โมเลกุลขนำดใหญ่ ตัวอย่ำงชิ้นเนื้อ โลหะ และคริสตัล ด้ำนอุตสำหกรรมกล้อง จุลทรรศน์อิเล็กตรอนมักจะใช้สำหรับกำรควบคุมคุณภำพและกำรวิเครำะห์ควำม ล้มเหลว กล้องจลุ ทรรศนอ์ ิเล็กตรอนทีท่ ันสมัยสำมำรถผลิตภำพถ่ำยขนำดจิ๋วแบบ อิเล็กตรอน ( electron micrograph) โดยใช้กล้องดิจิตอลแบบพิเศษหรือ frame grabber (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกท่ีใช้จับภำพน่ิงจำกสัญญำณวิดีโอแอนะลอกหรือ ดิจติ อล) ในกำรจับภำพ
แผนผงั ของกล้องจุลทรรศนอ์ เิ ล็กตรอนแบบสอ่ งผำ่ น (อังกฤษ: transmission electron microscope (TEM)) กล้องจุลทรรศนอ์ เิ ลก็ ตรอนของซเี มนส์รนุ่ ปี 1973 ใน Musée des Arts et Métiers, กรงุ ปำรสี กลอ้ งจุลทรรศน์อิเล็กตรอนสรำ้ งโดย Ernst Ruska ในปี ค.ศ. 1933 กล้องจลุ ทรรศน์อิเลก็ ตรอนแบบสอ่ งผ่ำนท่ีทนั สมยั กำรใช้กล้องจลุ ทรรศน์ 1. กำรจับกลอ้ งและเคลอ่ื นยำ้ ยกล้อง ตอ้ งใชม้ ือหนึง่ จบั ท่แี ขนและอกี มือหนึง่ รองทีฐ่ ำนของกลอ้ ง 2. ต้ังลำกลอ้ งให้ตรง 3. เปิดไฟเพอ่ื ใหแ้ สงเข้ำลำกล้องได้เต็มท่ี 4. หมนุ เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ใหเ้ ลนสท์ ี่มีกำลงั ขยำยตำ่ สุดอยูใ่ นตำแหน่งแนวของลำ กลอ้ ง 5. นำสไลด์ท่จี ะศกึ ษำมำวำงบนแทน่ วำงวตั ถุ โดยปรับใหอ้ ยกู่ ลำงบริเวณท่ี แสงผ่ำน 6. ค่อยๆหมุนปุ่มปรบั ภำพหยำบใหก้ ลอ้ งเลอื่ นขึน้ ชำ้ ๆเพอ่ื หำระยะภำพ แต่ ต้องระวังไม่ใหเ้ ลนส์ใกล้วัตถุกระทบกบั สไลด์ตัวอยำ่ ง เพรำะจะทำให้เลนส์แตกได้ 7. ปรับภำพใหช้ ดั เจนขึน้ ด้วยปมุ่ ปรับภำพละเอยี ด ถำ้ วตั ถทุ ศ่ี ึกษำไมอ่ ยู่ตรง กลำงให้เลือ่ นสไลด์ให้มำอยู่ตรงกลำง 8. ถ้ำตอ้ งกำรใหภ้ ำพขยำยใหญข่ ้นึ ใหห้ มุนเลนส์ใกล้วัตถุท่มี ีกำลงั ขยำยสูง กว่ำเดมิ มำอยใู่ นตำแหนง่ แนวของลำกล้อง จำกนั้นปรบั ภำพให้ชัดเจนดว้ ยป่มุ ปรบั ภำพละเอยี ดเทำ่ น้นั หำ้ มปรบั ภำพดว้ ยปุ่มปรบั ภำพหยำบเพรำะจะทำให้ ระยะของภำพ หรอื จุดโฟกัสของภำพเปล่ยี นไป 9. บนั ทึกกำลังขยำยโดยหำได้จำกผลคูณของกำลังขยำยของเลนสใ์ กล้วตั ถุกบั กำลังขยำยของเลนสใ์ กลต้ ำ
วธิ คี ำนวณกำลงั ขยำยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ กำลงั ขยำยของกล้อง = กำลังขยำยของเลนส์ใกลต้ ำ x กำลงั ขยำยเลนส์ใกลว้ ตั ถุ เช่น กำลงั ขยำยของกลอ้ ง = 10 x 40 = 400. หมำยควำมวำ่ ภำพท่มี องเห็นจำก กล้องจุลทรรศน์ มีขนำดใหญก่ ว่ำวัตถุจรงิ 400 เท่ำ แหล่งทม่ี ำ กำรใชก้ ล้องจุลทรรศน์ (Microscope).สบื คน้ เมือ่ วนั ท่ี 16 สงิ หำคม 2560.จำก www.kruseksan.com/book/microscope.pdf กล้องจุลทรรศน์ - SMD : E- Learning.สบื ค้นเมือ่ วนั ท่ี 16 สิงหำคม 2560.จำก www.learning.smd.kku.ac.th/home/images/documents/Microsco pe.pdf บทปฏบิ ตั ิกำรท่ี 1 กล้องจุลทรรศน์ เซลล์ และองคป์ ระกอบของเซลล์. สบื คน้ เมื่อวนั ที่ 16 สิงหำคม 2560.จำก www.biology.sc.chula.ac.th/2303106/2303106BU/ บทปฏบิ ตั ิกำรท%ี่ 201.pdfนงลกั ษณ์ สวุ รรณพนิ ิจ, และปรชี ำ สุวรรณ พินิจ. (2554). จลุ ชีววิทยำทว่ั ไป. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ ำลงกรณม์ หำวิทยำลยั .
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: