Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตร 51 สาระสังคมศึกษา

หลักสูตร 51 สาระสังคมศึกษา

Published by taradon1238, 2021-12-08 12:18:33

Description: หลักสูตร 51 สาระสังคมศึกษา

Search

Read the Text Version

๕๑ ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. อภิปรายบทบาท ความสำคญั ในการใช้  การมสี ่วนในการออกกฎหมาย ระเบียบ สิทธอิ อกเสยี งเลือกตัง้ ตามระบอบ กตกิ า การเลือกตั้ง ประชาธปิ ไตย  สอดส่องดูแลผูม้ พี ฤติกรรมการกระทำผิด การเลอื กตั้ง และแจ้งตอ่ เจ้าหนา้ ที่ ผ้รู ับผิดชอบ  ตรวจสอบคุณสมบัติ  การใชส้ ทิ ธิออกเสียงเลือกต้งั ตามระบอบ ประชาธปิ ไตย ม.๑ ๑. อธบิ ายหลักการ เจตนารมณ์ โครงสร้าง  หลักการ เจตนารมณ์ โครงสรา้ ง และ และสาระสำคัญของรฐั ธรรมนญู แหง่ สาระสำคัญของรัฐธรรมนญู แห่ง ราชอาณาจกั รไทย ฉบบั ปัจจบุ ัน ราชอาณาจกั รไทย ฉบับปจั จุบัน โดยสงั เขป ๒. วเิ คราะห์บทบาทการถว่ งดุลของ  การแบ่งอำนาจ และการถ่วงดุลอำนาจ อำนาจอธิปไตยในรฐั ธรรมนูญแห่ง อธปิ ไตยทั้ง ๓ ฝา่ ย คอื นิตบิ ัญญตั ิ บรหิ าร ราชอาณาจักรไทย ฉบับปจั จุบนั ตลุ าการ ตามทรี่ ะบุในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยฉบบั ปัจจุบัน ๓. ปฏิบัตติ นตามบทบัญญตั ขิ อง  การปฏิบตั ิตนตามบทบัญญัติของ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ฉบับ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ ปัจจบุ ันทีเ่ กี่ยวข้องกบั ตนเอง ปจั จบุ นั เกยี่ วกับสทิ ธิ เสรีภาพและหน้าท่ี ม.๒ ๑. อธิบายกระบวนการในการตรา  กระบวนการในการตรากฎหมาย กฎหมาย - ผูม้ สี ทิ ธเิ สนอรา่ งกฎหมาย - ขน้ั ตอนการตรากฎหมาย - การมีสว่ นร่วมของประชาชนใน กระบวนการตรากฎหมาย ๒. วิเคราะห์ข้อมลู ข่าวสารทางการเมือง  เหตุการณ์ และการเปลย่ี นแปลงสำคญั ของ การปกครองท่มี ผี ลกระทบต่อสงั คมไทย ระบอบการปกครองของไทย สมยั ปัจจบุ ัน  หลักการเลอื กข้อมูล ขา่ วสาร ม.๓ ๑. อธบิ ายระบอบการปกครองแบบตา่ งๆ  ระบอบการปกครอง แบบต่างๆ ทใี่ ชใ้ นยคุ ที่ใชใ้ นยุคปจั จุบนั ปัจจบุ นั เช่น การปกครองแบบ  เผดจ็ การ การปกครองแบบประชาธปิ ไตย  เกณฑ์การตัดสินใจ ๒. วเิ คราะห์ เปรียบเทยี บระบอบการ  ความแตกต่าง ความคล้ายคลึงของการ ปกครองของไทยกบั ประเทศอ่ืนๆ ท่ีมีการ ปกครองของไทย กับประเทศอ่นื ๆ ที่มี ปกครองระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองระบอบประชาธิปไตย

๕๒ ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. วิเคราะห์รัฐธรรมนูญฉบับปัจจบุ ันใน  บทบัญญตั ขิ องรัฐธรรมนูญในมาตราตา่ งๆ มาตราต่างๆ ที่เก่ยี วข้องกับการเลอื กตงั้ ท่ีเกี่ยวข้องกบั การเลือกตัง้ การมีส่วนรว่ ม การมสี ่วนรว่ ม และการตรวจสอบการใช้ และการตรวจสอบการใช้อำนาจรฐั อำนาจรฐั  อำนาจหน้าท่ีของรฐั บาล  บทบาทสำคญั ของรัฐบาลในการบรหิ าร ราชการแผ่นดิน  ความจำเปน็ ในการมรี ฐั บาลตามระบอบ ประชาธปิ ไตย ๔. วเิ คราะหป์ ระเด็น ปญั หาที่เปน็  ประเด็น ปัญหาและผลกระทบท่ีเป็น อปุ สรรคตอ่ การพัฒนาประชาธิปไตยของ ประเทศไทยและเสนอแนวทางแกไ้ ข อปุ สรรคต่อการพฒั นาประชาธิปไตยของ ประเทศไทย  แนวทางการแก้ไขปญั หา ม.๔-ม.๖ ๑. วิเคราะห์ปญั หาการเมอื งท่ีสำคัญใน  ปญั หาการเมืองสำคัญท่เี กิดข้ึน ประเทศ จากแหลง่ ข้อมูลต่างๆ พร้อมท้ัง ภายในประเทศ เสนอแนวทางแก้ไข  สถานการณ์การเมืองการปกครอง ของสังคมไทย และสงั คมโลก และ การประสานประโยชน์ร่วมกัน  อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครอง ทม่ี ีผลตอ่ การดำเนนิ ชีวติ และความสมั พนั ธ์ ระหว่างประเทศ ๒. เสนอแนวทาง ทางการเมืองการ  การประสานประโยชนร์ ่วมกันระหว่าง ปกครองทนี่ ำไปสคู่ วามเข้าใจ และ ประเทศ เชน่ การสร้างความสมั พนั ธ์ การประสานประโยชนร์ ่วมกนั ระหว่าง ระหว่างไทยกบั ประเทศต่าง ๆ ประเทศ  การแลกเปลยี่ นเพ่ือชว่ ยเหลอื และส่งเสรมิ ด้านวัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกจิ สังคม ๓. วิเคราะห์ความสำคัญและ ความจำเป็น  การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี ทตี่ ้องธำรงรักษาไวซ้ ึ่งการปกครองตาม พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ ระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตรยิ ์ - รูปแบบของรฐั ทรงเปน็ ประมุข - ฐานะและพระราชอำนาจของ พระมหากษตั รยิ ์

ชน้ั ตวั ช้วี ดั ๕๓ ๔. เสนอแนวทางและมสี ่วนร่วมในการ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ตรวจสอบการใช้อำนาจรฐั  การตรวจสอบการใชอ้ ำนาจรัฐ ตาม รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ฉบบั ปจั จุบัน ท่มี ผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงทาง สงั คม เชน่ การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ การตรวจสอบโดยประชาชน สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส ๓.๑ เขา้ ใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใชท้ รพั ยากร ที่มอี ยูจ่ ำกดั ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและคุ้มคา่ รวมทง้ั เขา้ ใจหลักการของเศรษฐกจิ พอเพียง เพือ่ การดำรงชวี ิตอยา่ งมดี ลุ ยภาพ ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบุสินคา้ และบริการท่ีใช้ประโยชน์ใน  สนิ ค้าและบริการท่ีใช้อยู่ในชวี ิตประจำวนั ชวี ิตประจำวัน เช่น ดินสอ กระดาษ ยาสฟี ัน  สนิ ค้าและบริการที่ไดม้ าโดยไมใ่ ชเ้ งิน เชน่ มี ผู้ให้หรอื การใช้ของแลกของ  สินคา้ และบริการท่ีไดม้ าจากการใช้เงนิ ซ้ือ  ใช้ประโยชนจ์ ากสนิ ค้าและบรกิ ารให้คมุ้ คา่ ๒. ยกตวั อยา่ งการใช้จ่ายเงนิ ในชวี ติ  การใช้จา่ ยเงนิ ในชีวติ ประจำวันเพ่ือซอื้ สินค้า ประจำวันที่ไม่เกนิ ตัวและเหน็ ประโยชน์ และบริการ ของการออม  ประโยชน์ของการใชจ้ ่ายเงนิ ทีไ่ ม่เกินตัว  ประโยชน์ของการออม  โทษของการใชจ้ า่ ยเงนิ เกนิ ตวั  วางแผนการใชจ้ า่ ย ๓. ยกตวั อยา่ งการใช้ทรัพยากรใน  ทรัพยากรทใ่ี ชใ้ นชีวิตประจำวนั เช่น ดนิ สอ ชวี ติ ประจำวันอย่างประหยดั กระดาษ เส้อื ผา้ อาหาร  ทรัพยากรสว่ นรวม เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี นักเรยี น สาธารณูปโภคต่าง ๆ  วธิ กี ารใชท้ รัพยากรทั้งของสว่ นตวั และ สว่ นรวมอยา่ งถูกต้อง และประหยดั และ คมุ้ ค่า ป.๒ ๑. ระบทุ รพั ยากรท่นี ำมาผลติ สนิ คา้ และ  ทรพั ยากรทนี่ ำมาใช้ในการผลติ สินค้าและ บรกิ ารท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวนั บรกิ ารทีใ่ ช้ในครอบครวั และโรงเรียน เชน่ ดินสอและกระดาษทผี่ ลติ จากไม้ รวมท้ัง

๕๔ ช้นั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เครอื่ งจักรและแรงงานการผลติ  ผลของการใช้ทรัพยากรในการผลิตที่ หลากหลายทม่ี ีต่อราคา คุณค่าและประโยชน์ ของสนิ ค้าและบริการ รวมทงั้ สง่ิ แวดล้อม ๒. บอกท่ีมาของรายไดแ้ ละรายจ่ายของ  การประกอบอาชีพของครอบครวั ตนเองและครอบครัว  การแสวงหารายได้ท่สี จุ ริตและเหมาะสม  รายไดแ้ ละรายจ่ายในภาพรวมของครอบครวั  รายได้และรายจ่ายของตนเอง ๓. บนั ทกึ รายรับรายจา่ ยของตนเอง  วธิ กี ารทำบญั ชรี ายรับรายจา่ ยของตนเอง อย่างง่าย ๆ  รายการของรายรบั ทเ่ี ป็นรายได้ท่ีเหมาะสม และไมเ่ หมาะสม  รายการของรายจ่ายทเ่ี หมาะสมและ ไม่เหมาะสม ๔. สรุปผลดีของการใชจ้ า่ ยทเ่ี หมาะสมกบั  ทม่ี าของรายได้ที่สจุ รติ รายได้และการออม  การใช้จ่ายทเี่ หมาะสม  ผลดขี องการใช้จา่ ยทเี่ หมาะสมกบั รายได้  การออมและผลดีของการออม  การนำเงนิ ที่เหลอื มาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ เช่น การช่วยเหลือสาธารณกุศล ป.๓ ๑. จำแนกความต้องการและความจำเปน็  สนิ คา้ ท่ีจำเป็นในการดำรงชวี ิตที่ เรียกว่า ในการใชส้ ินคา้ และบริการในการดำรง ปจั จยั ๔ ชีวติ  สินคา้ ทเ่ี ป็นความต้องการของมนุษย์อาจ เปน็ สนิ ค้าทจ่ี ำเป็นหรือไมจ่ ำเป็นตอ่ การ ดำรงชวี ติ  ประโยชน์และคณุ ค่าของสินค้าและบริการ ทีส่ นองความต้องการของมนุษย์  หลักการเลือกสนิ คา้ ที่จำเปน็  ความหมายของผผู้ ลิตและผูบ้ ริโภค ๒. วเิ คราะห์การใชจ้ ่ายของตนเอง  ใชบ้ ญั ชรี บั จ่ายวิเคราะห์การใช้จา่ ยทีจ่ ำเปน็ และเหมาะสม  วางแผนการใชจ้ ่ายเงนิ ของตนเอง

๕๕ ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง  วางแผนการแสวงหารายได้ท่สี จุ รติ และ เหมาะสม  วางแผนการนำเงนิ ท่ีเหลือจา่ ยมาใชอ้ ยา่ ง เหมาะสม ๓.อธบิ ายได้ว่าทรพั ยากรที่มอี ยูจ่ ำกัดมผี ล  ความหมายของผผู้ ลติ และผู้บรโิ ภค ต่อการผลิตและบรโิ ภคสินค้าและบริการ  ความหมายของสนิ คา้ และบรกิ าร  ปญั หาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจทีเ่ กดิ จากความ หายากของทรัพยากรกับความตอ้ งการของ มนษุ ย์ทม่ี ีไมจ่ ำกดั ป.๔ ๑. ระบปุ จั จัยทีม่ ีผลต่อการเลือกซ้ือสินคา้  สนิ ค้าและบรกิ ารที่มอี ย่หู ลากหลายในตลาดที่ และบรกิ าร มีความแตกตา่ งด้านราคาและคณุ ภาพ  ปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ การเลือกซื้อสินค้าและบริการ ทม่ี มี ากมาย ซง่ึ ข้นึ อยู่กบั ผซู้ อ้ื ผ้ขู าย และ ๒. บอกสิทธพิ น้ื ฐานและรักษา ตัวสนิ ค้า เช่น ความพงึ พอใจของผ้ซู ื้อ ราคา ผลประโยชน์ของตนเองในฐานะผู้บรโิ ภค สินคา้ การโฆษณา คณุ ภาพของสินคา้  สิทธพิ ื้นฐานของผบู้ ริโภค  สินค้าและบรกิ ารท่ีมีเคร่ืองหมายรับรอง คณุ ภาพ  หลกั การและวิธีการเลือกบริโภค ๓. อธิบายหลักการของเศรษฐกิจพอเพยี ง  หลกั การของเศรษฐกจิ พอเพียง และนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันของตนเอง  การประยุกตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพียงในการ ดำรงชีวิต เชน่ การแต่งกาย การกินอาหาร การใช้จา่ ย ป.๕ ๑. อธิบายปัจจัยการผลิตสนิ คา้ และบรกิ าร  ความหมายและประเภทของปจั จยั การผลติ ประกอบด้วย ที่ดิน แรงงาน ทุนและ ผปู้ ระกอบการ  เทคโนโลยีในการผลิตสินคา้ และบริการ  ปจั จัยอืน่ ๆ เช่น ราคาน้ำมนั วัตถดุ ิบ  พฤตกิ รรมของผู้บรโิ ภค  ตัวอย่างการผลติ สนิ ค้าและบริการท่ีมีอยู่ใน ๒. ประยุกต์ใชแ้ นวคดิ ของปรัชญาของ ท้องถิ่นหรอื แหลง่ ผลิตสินค้าและบริการใน เศรษฐกจิ พอเพยี งในการทำกิจกรรม ชุมชน ตา่ ง ๆ ในครอบครวั โรงเรยี นและชุมชน  หลกั การปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  การประยกุ ต์ใชป้ รัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ในกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัว โรงเรียนและ ชมุ ชน เช่นการประหยดั พลงั งานและ คา่ ใชจ้ ่ายในบา้ น โรงเรียน การวางแผนการ

๕๖ ชน้ั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ผลติ สนิ ค้าและบริการเพ่ือลดความสูญเสียทุก ประเภท การใช้ภิปัญญาทอ้ งถน่  ตวั อย่างการผลติ สินคา้ และบริการในชุมชน เชน่ หน่ึงตำบลหนงึ่ ผลติ ภณั ฑ์หรอื โอท๊อป ๓. อธบิ ายหลกั การสำคญั และประโยชน์  หลักการและประโยชน์ของสหกรณ์ ของสหกรณ์  ประเภทของสหกรณ์โดยสงั เขป  สหกรณใ์ นโรงเรยี น (เนน้ ฝกึ ปฏิบตั จิ ริง)  การประยุกต์หลักการของสหกรณ์มาใช้ใน ชวี ิตประจำวัน ป.๖ ๑. อธิบายบทบาทของผูผ้ ลติ ทีม่ ีความ  บทบาทของผผู้ ลิตทีม่ คี ุณภาพ เชน่ รับผิดชอบ คำนงึ ถึงส่ิงแวดล้อม มจี รรยาบรรณ ความรับผดิ ชอบต่อสังคม วางแผนก่อนเรมิ่ ลง มอื ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือลดความผิดพลาด และการสูญเสยี ฯลฯ  ทศั นคติในการใช้ทรัพยากรอย่างมี ประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ล  ประโยชน์ของการผลติ สินค้าทม่ี ีคณุ ภาพ ๒. อธิบายบทบาทของผ้บู รโิ ภค  คณุ สมบตั ขิ องผบู้ ริโภคที่ดี ทร่ี ู้เท่าทนั  พฤตกิ รรมของผู้บรโิ ภคที่บกพร่อง  คณุ คา่ และประโยชนข์ องผบู้ ริโภคทรี่ ้เู ท่าทันท่ี มตี ่อตนเอง ครอบครัวและสงั คม ๓. บอกวธิ ีและประโยชนข์ องการใช้  ความหมาย และความจำเป็นของทรัพยากร ทรพั ยากรอยา่ งย่ังยืน  หลักการและวธิ ีใชท้ รพั ยากรให้เกดิ ประโยชน์ สูงสุด (ลดการสญู เสียทุกประเภท)  วิธีการสรา้ งจติ สำนกึ ให้คนในชาตริ ้คู ณุ ค่าของ ทรัพยากรท่ีมีอยจู่ ำกดั  วางแผนการใช้ทรัพยากร โดยประยุกต์เทคนิค และวิธกี ารใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชนแ์ ก่สังคม และประเทศชาติ และทันกับสภาพทาง เศรษฐกิจและสังคม ม.๑ ๑. อธิบายความหมายและความสำคัญ  ความหมายและความสำคัญของ ของเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เบ้ืองตน้  ความหมายของคำวา่ ทรัพยากรมจี ำกัดกบั ความต้องการมีไม่จำกัด ความขาดแคลน การเลือกและค่าเสียโอกาส

๕๗ ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๒. วเิ คราะห์ค่านิยมและพฤติกรรมการ  ความหมายและความสำคัญของการบริโภค บริโภคของคนในสงั คมซ่งึ ส่งผลต่อ เศรษฐกิจของชมุ ชนและประเทศ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ  หลักการในการบริโภคที่ดี  ปัจจยั ท่ีมีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมการบรโิ ภค  คา่ นยิ มและพฤติกรรมของการบริโภคของคน ในสังคมปัจจบุ ัน รวมทงั้ ผลดแี ละผลเสยี ของ พฤติกรรมดังกลา่ ว ๓. อธิบายความเปน็ มาหลกั การและ  ความหมายและความเป็นมาของปรัชญาของ ความสำคัญของปรชั ญาของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพยี ง พอเพียงต่อสังคมไทย  ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และ หลกั การทรงงานของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอย่หู วั รวมทั้งโครงการตาม พระราชดำริ  หลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง  การประยุกต์ใช้ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ใน การดำรงชวี ติ  ความสำคัญ คุณค่าและประโยชน์ของปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงต่อสงั คมไทย ม.๒ ๑. วเิ คราะห์ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ การลงทนุ และ  ความหมายและความสำคญั ของการลงทุน การออม และการออมต่อระบบเศรษฐกจิ  การบริหารจัดการเงนิ ออมและการลงทนุ ภาคครวั เรือน  ปจั จยั ของการลงทนุ และการออมคือ อัตรา ดอกเบย้ี รวมทั้งปจั จยั อ่ืน ๆ เชน่ ค่าของเงิน เทคโนโลยี การคาดเดาเกยี่ วกับอนาคต  ปญั หาของการลงทนุ และการออมใน สังคมไทย ๒. อธิบายปัจจัยการผลิตสนิ คา้ และบรกิ าร  ความหมาย ความสำคัญ และหลกั การผลิต และปจั จัยทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การผลติ สนิ คา้ สนิ คา้ และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และบรกิ าร  สำรวจการผลิตสนิ คา้ ในทอ้ งถิ่น ว่ามีการผลติ อะไรบา้ ง ใช้วธิ กี ารผลิตอย่างไร มีปัญหา ด้านใดบ้าง  มีการนำเทคโนโลยอี ะไรมาใชท้ ีม่ ผี ลต่อ การผลติ สินคา้ และบริการ

๕๘ ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  นำหลกั การผลติ มาวเิ คราะหก์ ารผลติ สินค้า และบรกิ ารในท้องถน่ิ ทั้งดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม และสิง่ แวดลอ้ ม ๓. เสนอแนวทางการพฒั นาการผลิตใน  หลักการและเป้าหมายปรชั ญาของเศรษฐกิจ ท้องถน่ิ ตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง พอเพยี ง  สำรวจและวิเคราะห์ปัญหาการผลิตสินค้า และบริการในทอ้ งถิ่น  ประยุกตใ์ ช้ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งใน การผลิตสนิ ค้าและบริการในท้องถิ่น ๔. อภปิ รายแนวทางการคุ้มครองสิทธิของ  การรกั ษาและคุ้มครองสิทธปิ ระโยชน์ของ ตนเองในฐานะผู้บริโภค ผู้บรโิ ภค  กฎหมายค้มุ ครองสิทธิผบุ้ ริโภคและหน่วยงาน ท่ีเกีย่ วข้อง  การดำเนนิ กจิ กรรมพิทักษ์สิทธิและ ผลประโยชนต์ ามกฎหมายในฐานะผบู้ ริโภค  แนวทางการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค ม.๓ ๑. อธบิ ายกลไกราคาในระบบเศรษฐกจิ  ความหมายและประเภทของตลาด  ความหมายและตัวอยา่ งของอปุ สงค์และอปุ ทาน  ความหมายและความสำคญั ของกลไกราคา และการกำหนดราคาในระบบเศรษฐกิจ  หลักการปรบั และเปลี่ยนแปลงราคาสนิ คา้ และบริการ ๒. มสี ่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาและ  สำรวจสภาพปจั จุบันปัญหาท้องถนิ่ ทั้ง พัฒนาท้องถิน่ ตามปรชั ญาของเศรษฐกจิ ทางด้านสงั คม เศรษฐกิจและส่ิงแวดลอ้ ม พอเพยี ง  วเิ คราะห์ปัญหาของท้องถ่นิ โดยใช้ปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพยี ง  แนวทางการแก้ไขและพัฒนาทอ้ งถิ่นตาม ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์ระหว่างแนวคิด  แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียงกบั การพัฒนาใน เศรษฐกจิ พอเพียงกับระบบสหกรณ์ ระดบั ต่าง ๆ  หลักการสำคญั ของระบบสหกรณ์  ความสมั พนั ธร์ ะหว่างแนวคิดเศรษฐกิ พอเพยี งกบั หลกั การและระบบของสหกรณเ์ พ่ือ ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชน ม.๔–ม.๖ ๑. อภิปรายการกำหนดราคาและค่าจ้าง  ระบบเศรษฐกจิ ของโลกในปจั จบุ ัน ผลดแี ละ ในระบบเศรษฐกิจ ผลเสียของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ

๕๙ ช้ัน ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง  ตลาดและประเภทของตลาด ข้อดแี ละ ข้อเสียของตลาดประเภทตา่ ง ๆ  การกำหนดราคาตามอุปสงค์ และอุปทาน การกำหนดราคาในเชงิ กลยุทธ์ทม่ี ีในสงั คมไทย  การกำหนดค่าจา้ ง กฎหมายทเี่ ก่ยี วข้องและ อตั ราคา่ จา้ งแรงงานในสังคมไทย  บทบาทของรฐั ในการแทรกแซงราคา และการ ควบคุมราคาเพือ่ การแจกจ่าย และจัดสรรในทาง เศรษฐกิจ ๒. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของปรชั ญา  การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกจิ พอเพียง ของเศรษฐกจิ พอเพยี งทม่ี ตี ่อเศรษฐกิจ ในการดำเนนิ ชวี ิตของตนเอง และครอบครวั สงั คมของประเทศ  การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงใน ภาคเกษตร อุตสาหกรรม การค้าและบริการ  ปัญหาการพฒั นาประเทศท่ีผา่ นมา โดย การศึกษาวเิ คราะหแ์ ผนพฒั นาเศรษฐกิจ และ สงั คมฉบบั ท่ีผา่ นมา  การพฒั นาประเทศท่ีนำปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ ในการวางแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสังคมฉบบั ปัจจุบนั ๓. ตระหนกั ถึงความสำคัญของระบบ  ววิ ฒั นาการของสหกรณใ์ นประเทศไทย สหกรณใ์ นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับ  ความหมายความสำคัญ และหลักการของระบบ ชมุ ชนและประเทศ สหกรณ์  ตัวอยา่ งและประเภทของสหกรณ์ในประเทศไทย  ความสำคญั ของระบบสหกรณ์ในการพฒั นา เศรษฐกิจในชมุ ชนและประเทศ ๔. วิเคราะห์ปญั หาทางเศรษฐกิจ  ปัญหาทางเศรษฐกิจในชุมชน ในชุมชนและเสนอแนวทางแกไ้ ข  แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ ของชมุ ชน  ตัวอยา่ งของการรวมกลมุ่ ทปี่ ระสบ ความสำเร็จในการแกป้ ัญหาทางเศรษฐกจิ ของชมุ ชน

๖๐ สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส ๓.๒ เขา้ ใจระบบและสถาบนั ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธท์ างเศรษฐกจิ และความจำเป็น ของการรว่ มมือกันทางเศรษฐกิจในสงั คมโลก ชนั้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. อธิบายเหตุผลความจำเปน็ ทค่ี นตอ้ ง  ความหมาย ประเภทและความสำคัญของ ทำงานอย่างสุจริต การทำงาน  เหตผุ ลของการทำงาน  ผลของการทำงานประเภทต่าง ๆ ท่ีมีต่อ ครอบครัวและสังคม  การทำงานอย่างสุจริตทำให้สังคมสงบสุข ป.๒ ๑. อธิบายการแลกเปลย่ี นสินคา้ และ  ความหมายและความสำคญั ของการ บรกิ ารโดยวิธีต่าง ๆ แลกเปล่ียนสนิ ค้าและบรกิ าร  ลักษณะของการแลกเปล่ียนสินค้าและ บรกิ ารโดยไมใ่ ช้เงิน รวมทั้ง การแบง่ ปัน การชว่ ยเหลือ  ลักษณะการแลกเปล่ียนสินค้าและบริการ โดยการใช้เงนิ ๒. บอกความสัมพันธร์ ะหวา่ งผูซ้ ื้อและ  ความหมายและบทบาทของผซู้ ื้อและ ผขู้ าย ผู้ขาย ผ้ผู ลิตและผบู้ ริโภคพอสังเขป  ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผซู้ ้ือและผูข้ ายใน การกำหนดราคาสินค้าและบริการ  ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผ้ซู ้ือและผู้ขาย ทำใหส้ งั คมสงบสุข และประเทศมั่นคง ป.๓ ๑. บอกสนิ ค้าและบรกิ ารที่รัฐจัดหาและ  สนิ คา้ และบรกิ ารทีภ่ าครัฐทกุ ระดับจัดหา ใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชน และให้บรกิ ารแก่ประชาชน เช่น ถนน โรงเรียน สวนสาธารณะ การสาธารณสขุ การบรรเทาสาธารณภยั ๒. บอกความสำคัญของภาษีและบทบาท  ความหมายและความสำคัญของภาษที ี่รฐั ของประชาชนในการเสยี ภาษี นำมาสรา้ งความเจริญและให้บรกิ ารแก่ ประชาชน  ตวั อยา่ งของภาษี เชน่ ภาษรี ายได้บุคคล ธรรมดา ภาษีมูลคา่ เพ่มิ ฯลฯ  บทบาทหน้าท่ขี องประชาชนในการเสยี ภาษี

๖๑ ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. อธบิ ายเหตผุ ลการแข่งขันทางการคา้ ที่  ความสำคัญและผลกระทบของการแข่งขนั มผี ลทำใหร้ าคาสนิ ค้าลดลง ทางการคา้ ท่มี ผี ลทำใหร้ าคาสินคา้ ลดลง ป.๔ ๑. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกจิ ของ  อาชพี สนิ ค้าและบริการตา่ ง ๆ ท่ีผลิต คนในชมุ ชน ในชุมชน  การพึง่ พาอาศยั กนั ภายในชุมชนทาง ดา้ นเศรษฐกิจ เชน่ ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ผู้ซ้อื ผูข้ าย การกู้หน้ียืมสนิ  การสร้างความเข้มแขง็ ให้ชมุ ชนด้วย การใช้สง่ิ ของทผ่ี ลติ ในชุมชน ๒. อธบิ ายหน้าท่เี บ้ืองตน้ ของเงิน  ความหมายและประเภทของเงนิ  หนา้ ทเ่ี บ้อื งตน้ ของเงินในระบบเศรษฐกจิ  สกุลเงินสำคัญทใ่ี ช้ในการซือ้ ขาย แลกเปล่ยี นระหว่างประเทศ ป.๕ ๑. อธิบายบทบาทหน้าทเี่ บื้องต้นของ  บทบาทหนา้ ทีข่ องธนาคารโดยสงั เขป ธนาคาร  ดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยกยู้ ืม  การฝากเงิน / การถอนเงิน ๒. จำแนกผลดีและผลเสียของการกูย้ ืม  ผลดีและผลเสยี ของการกู้ยืมเงนิ ทั้งนอก ระบบและในระบบทีม่ ีต่อระบบเศรษฐกจิ เชน่ การเสยี ดอกเบ้ยี การลงทุน การซื้อของอปุ โภคเพ่มิ ขึ้น ทน่ี ำไปส่คู วามฟุ้งเฟ้อ ฟมุ่ เฟือย เปน็ ต้น ป.๖ ๑. อธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างผู้ผลติ  ความสมั พันธ์ระหว่างผผู้ ลติ ผู้บรโิ ภค ผ้บู ริโภค ธนาคาร และรัฐบาล ธนาคาร และรฐั บาล ที่มีต่อระบบ เศรษฐกจิ อยา่ งสงั เขป เชน่ การแลก เปลีย่ นสนิ ค้าและบรกิ าร รายได้และ รายจ่าย การออมกับธนาคาร การลงทนุ  แผนผังแสดงความสมั พันธ์ของ หน่วยเศรษฐกิจ  ภาษแี ละหน่วยงานท่จี ดั เก็บภาษี  สทิ ธขิ องผู้บรโิ ภค และสทิ ธขิ องผ้ใู ช้ แรงงานในประเทศไทย  การหารายได้ รายจ่าย การออม การลงทนุ ซึง่ แสดง ความสมั พันธร์ ะหว่าง ผผู้ ลติ ผู้บริโภค และรฐั บาล

๖๒ ช้ัน ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๒. ยกตัวอย่างการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ  การรวมกลุ่มเชิงเศรษฐกิจเพือ่ ประสาน ภายในทอ้ งถิน่ ประโยชนใ์ นท้องถ่นิ เชน่ กลมุ่ ออมทรัพย์ กลุ่มแม่บ้าน กองทนุ หมูบ่ ้าน ม.๑ ๑. วิเคราะห์บทบาทหนา้ ท่ีและความ  ความหมาย ประเภท และความสำคัญ แตกตา่ งของสถาบันการเงนิ แต่ละประเภท ของสถาบันการเงนิ ทีม่ ีต่อระบบเศรษฐกิจ และธนาคารกลาง  บทบาทหน้าที่และความสำคัญของ ธนาคารกลาง  การหารายได้ รายจา่ ย การออม การ ลงทนุ ซง่ึ แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งผู้ผลิต ผูบ้ ริโภค และสถาบันการเงิน ๒. ยกตัวอยา่ งท่สี ะทอ้ นใหเ้ ห็นการพึ่งพา  ยกตัวอยา่ งทส่ี ะท้อนให้เห็นการพึง่ พา อาศยั กนั และการแข่งขันกนั ทางเศรษฐกจิ อาศัยกนั และกัน การแขง่ ขนั กันทาง ในประเทศ เศรษฐกจิ ในประเทศ  ปญั หาเศรษฐกจิ ในชมุ ชน ประเทศ และ เสนอแนวทางแก้ไข ๓. ระบปุ จั จยั ท่ีมีอทิ ธิพลต่อการกำหนด อุป  ความหมายและกฎอปุ สงค์ อปุ ทาน สงคแ์ ละอปุ ทาน  ปจั จยั ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อการกำหนดอปุ สงค์ และอุปทาน ๔. อภปิ รายผลของการมีกฎหมายเก่ียวกบั  ความหมายและความสำคัญของทรพั ยส์ ิน ทรัพยส์ ินทางปัญญา ทางปญั ญา  กฎหมายทเ่ี กย่ี วกบั การคุ้มครองทรัพยส์ ิน ทางปญั ญาพอสังเขป  ตัวอยา่ งการละเมิดแหง่ ทรพั ย์สนิ ทาง ปัญญาแต่ละประเภท ม.๒ ๑. อภปิ รายระบบเศรษฐกจิ แบบตา่ งๆ  ระบบเศรษฐกจิ แบบต่างๆ ๒. ยกตวั อยา่ งที่สะทอ้ นให้เห็น  หลักการและผลกระทบการพึ่งพาอาศัย การพึ่งพาอาศัยกนั และการแขง่ ขันกนั กัน และการแขง่ ขันกันทางเศรษฐกิจใน ทางเศรษฐกิจในภูมภิ าคเอเชีย ภูมิภาคเอเชยี ๓. วเิ คราะหก์ ารกระจายของทรพั ยากร  การกระจายของทรัพยากรในโลกทส่ี ่งผล ในโลกท่ีสง่ ผลตอ่ ความสัมพันธท์ าง ตอ่ ความสัมพนั ธท์ างเศรษฐกิจระหวา่ ง เศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ ประเทศ เช่น น้ำมัน ปา่ ไม้ ทองคำ ถา่ นหิน แร่ เปน็ ตน้ ๔. วิเคราะห์การแข่งขนั ทางการคา้  การแข่งขันทางการค้าในประเทศและ

๖๓ ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ในประเทศและต่างประเทศส่งผลต่อ ต่างประเทศ คุณภาพสนิ ค้า ปรมิ าณการผลติ และ ราคาสนิ คา้ ม.๓ ๑. อธิบายบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลใน  บทบาทหนา้ ท่ขี องรฐั บาลในการพัฒนา ระบบเศรษฐกจิ ประเทศในด้านต่าง ๆ  บทบาทและกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ของ รัฐบาล เช่นการผลติ สินคา้ และบรกิ าร สาธารณะท่เี อกชนไมด่ ำเนนิ การ เช่น ไฟฟา้ ถนน โรงเรยี น - บทบาทการเก็บภาษเี พอื่ พฒั นา ประเทศ ของรฐั ในระดบั ตา่ ง ๆ - บทบาทการแทรกแซงราคาและ การควบคุมราคาเพื่อการแจกจ่ายและ การจดั สรรในทางเศรษฐกจิ  บทบาทอืน่ ของรัฐบาลในระบบเศรษฐกจิ ในสังคมไทย ๒. แสดงความคดิ เหน็ ต่อนโยบาย และ  นโยบาย และกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ของ กิจกรรมทาง เศรษฐกจิ ของรฐั บาลทมี่ ตี ่อ รฐั บาล บุคคล กลมุ่ คน และประเทศชาติ ๓. อภิปรายบทบาทความสำคัญของ  บทบาทความสำคญั ของการรวมกลุ่มทาง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ  ลกั ษณะของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ  กลมุ่ ทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคตา่ งๆ ๔. อภิปรายผลกระทบที่เกดิ จากภาวะ  ผลกระทบท่เี กดิ จากภาวะเงนิ เฟอ้ เงินฝดื เงินเฟ้อ เงนิ ฝดื ความหมายสาเหตุและแนวทางแก้ไข ภาวะเงินเฟ้อ เงนิ ฝืด ๕. วเิ คราะหผ์ ลเสยี จากการวา่ งงาน และ  สภาพและสาเหตุปญั หาการวา่ งงาน แนวทางแก้ปัญหา  ผลกระทบจากปญั หาการวา่ งงาน  แนวทางการแก้ไขปัญหาการว่างงาน ๖. วิเคราะห์สาเหตแุ ละวิธีการกีดกันทาง  การคา้ และการลงทนุ ระหว่างประเทศ การค้าในการคา้ ระหว่างประเทศ  สาเหตุและวธิ กี ารกีดกันทางการค้าใน การคา้ ระหวา่ งประเทศ ม.๔–ม. ๑. อธบิ ายบทบาทของรฐั บาลด้าน  บทบาทของนโยบายการเงินและการคลงั ๖ นโยบายการเงิน การคลงั ในการพัฒนา ของรัฐบาลในด้าน เศรษฐกจิ ของประเทศ - การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ - การสร้างการเจรญิ เติบโตทาง

๖๔ ช้ัน ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง เศรษฐกิจ - การรกั ษาดลุ การค้าระหวา่ งประเทศ - การแทรกแซงราคาและการควบคุม ราคา  รายรับและรายจ่ายของรัฐท่มี ีผลต่อ งบประมาณ หนสี้ าธารณะ การพัฒนา ทางเศรษฐกจิ และคณุ ภาพชีวติ ของ ประชาชน - นโยบายการเกบ็ ภาษปี ระเภทตา่ ง ๆ และการใชจ้ ่ายของรัฐ - แนวทางการแกป้ ัญหาการวา่ งงาน  ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบท่ีเกิด จากภาวะทางเศรษฐกิจ เช่น เงนิ เฟ้อ เงนิ ฝืด  ตวั ชว้ี ัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น GDP , GNP รายไดเ้ ฉล่ียตอ่ บุคคล  แนวทางการแกป้ ัญหาของนโยบายการเงนิ การคลงั ๒. วิเคราะห์ผลกระทบของการเปดิ เสรี  ววิ ัฒนาการของการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ทางเศรษฐกิจในยคุ โลกาภิวตั น์ทีม่ ีผลตอ่ ในยุคโลกาภิวตั น์ของไทย สังคมไทย  ปัจจยั ทางเศรษฐกจิ ท่ีมีผลตอ่ การเปิดเสรี ทางเศรษฐกิจของประเทศ  ผลกระทบของการเปดิ เสรีทางเศรษฐกิจ ของประเทศทม่ี ีต่อภาคการเกษตร ภาคอตุ สาหกรรม ภาคการค้าและบรกิ าร  การค้าและการลงทุนระหวา่ งประเทศ  บทบาทขององคก์ รระหวา่ งประเทศใน ๓. วิเคราะหผ์ ลดี ผลเสยี ของความรว่ มมือ เวทีการเงินโลกที่มีผลกับประเทศไทย ทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศในรูปแบบ  แนวคดิ พ้ืนฐานที่เก่ียวขอ้ งกบั การคา้ ระหวา่ ง ตา่ ง ๆ ประเทศ  บทบาทขององค์การความร่วมมอื ทาง เศรษฐกิจทีส่ ำคญั ในภมู ิภาคต่าง ๆ ของ โลก เช่น WTO , NAFTA , EU , IMF , ADB , OPEC , FTA , APECในระดบั ต่าง ๆ เขตสเ่ี หลี่ยมเศรษฐกจิ

๖๕ ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง  ปัจจัยตา่ ง ๆ ท่นี ำไปสู่การพ่งึ พา การ แขง่ ขันการขดั แย้ง และการประสาน ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ  ตัวอย่างเหตุการณ์ทนี่ ำไปสู่การพงึ พาทาง เศรษฐกิจ  ผลกระทบจากการดำเนินกจิ กรรมทาง เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ  ปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่ีนำไปสกู่ ารพ่ึงพาการ แข่งขนั การขดั แย้ง และการประ สารประโยชน์ทางเศรษฐกจิ วิธีการกดี กัน ทางการค้าในการคา้ ระหวา่ งประเทศ สาระท่ี ๔ ประวตั ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำคญั ของเวลา และยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใชว้ ธิ ีการ ทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณต์ า่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑.บอกวัน เดอื น ปี และการนับช่วงเวลา  ช่อื วัน เดอื น ปี ตามระบบสุริยคติท่ปี รากฏ ตามปฏิทินทใี่ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ในปฏิทิน  ชอื่ วนั เดอื น ปี ตามระบบจนั ทรคติใน ปฏิทิน  ช่วงเวลาท่ีใช้ในชีวติ ประจำวัน เช่น เชา้ วนั นี้ ตอนเย็น ๒. เรยี งลำดับเหตุการณ์ในชวี ติ ประจำวัน  เหตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ข้ึนในชีวิตประจำวันของ ตามวันเวลาทีเ่ กดิ ข้ึน นักเรียน เช่น รบั ประทานอาหาร ต่ืนนอน เขา้ นอน เรียนหนงั สือ เลน่ กีฬา ฯลฯ  ใช้คำบอกชว่ งเวลา แสดงลำดบั เหตกุ ารณ์ ทีเ่ กิดข้ึนได้ ๓. บอกประวตั คิ วามเป็นมาของตนเองและ  วิธกี ารสืบคน้ ประวัติความเป็นมาของตนเอง ครอบครัวโดยสอบถามผเู้ กี่ยวขอ้ ง และครอบครัวอยา่ งงา่ ย ๆ  การบอกเลา่ ประวัติความเป็นมาของตนเอง และครอบครัวอยา่ งสน้ั ๆ ป.๒ ๑. ใช้คำระบเุ วลาทีแ่ สดงเหตุการณ์ในอดีต  คำทแ่ี สดงช่วงเวลาในอดีต ปจั จบุ ัน และ ปจั จบุ นั และอนาคต อนาคต เชน่ วนั น้ี เม่อื วานนี้ พรุ่งน้ี เดอื นน้ี เดือนหน้า เดือนกอ่ น

๖๖ ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง  วันสำคัญท่ีปรากฏในปฏิทินที่แสดง เหตุการณส์ ำคัญในอดตี และปัจจุบัน  ใช้คำบอกชว่ งเวลา อดตี ปัจจุบนั อนาคต แสดงเหตกุ ารณ์ได้ ๒. ลำดับเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดข้นึ ในครอบครวั  วิธกี ารสืบค้นเหตุการณ์ที่ผา่ นมาแลว้ หรือในชีวิตของตนเองโดยใช้หลกั ฐาน ที่เกดิ ข้นึ กบั ตนเองและครอบครวั ทเี่ กย่ี วข้อง โดยใชห้ ลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เช่น ภาพถ่าย  สตู ิบัตร ทะเบียนบา้ น  ใชค้ ำที่บอกชว่ งเวลาแสดงเหตุการณ์ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในครอบครวั หรอื ในชีวติ ตนเอง  ใชเ้ สน้ เวลา (Time Line) ลำดับเหตุการณ์ ที่เกิดขนึ้ ได้ ป.๓ ๑. เทียบศักราชทส่ี ำคญั ตามปฏทิ นิ ทใี่ ชใ้ น  ทีม่ าของศักราชท่ีปรากฏในปฏิทนิ เชน่ ชีวิตประจำวนั พทุ ธศกั ราช ครสิ ตศ์ กั ราชอยา่ งสังเขป (ถ้าเป็นมุสลิมควรเรียนฮจิ เราะห์ศักราชด้วย )  วิธีการเทียบ พ.ศ. เป็น ค.ศ. หรือ ค.ศ. เปน็ พ.ศ.  ตัวอย่างการเทยี บศักราช ในเหตุการณ์ ทเี่ กี่ยวข้องกบั นักเรียน เช่น ปเี กดิ ของ นกั เรียน เปน็ ต้น ๒. แสดงลำดับเหตุการณ์สำคัญของโรงเรียน  วิธีการสบื คน้ เหตุการณ์สำคญั ของโรงเรียน และชมุ ชนโดยระบุหลักฐานและแหลง่ ข้อมูล และชมุ ชนโดยใชห้ ลักฐาน และ ท่ีเกย่ี วข้อง แหลง่ ข้อมลู ทเี่ ก่ยี วข้อง  ใชเ้ ส้นเวลา (Time Line) ลำดบั เหตกุ ารณ์ ทเ่ี กิดขน้ึ ในโรงเรียนและชุมชน ป.๔ ๑. นับชว่ ง เวลา เป็นทศวรรษ ศตวรรษ  ความหมายและชว่ งเวลาของทศวรรษ และสหสั วรรษ ศตวรรษ และสหสั วรรษ  การใช้ทศวรรษ ศตวรรษ และสหสั วรรษ เพื่อทำความเข้าใจช่วงเวลาในเอกสารเช่น หนงั สือพมิ พ์ ๒. อธบิ ายยุคสมยั ในการศึกษาประวตั ขิ อง  เกณฑ์การแบง่ ยุคสมัยในการศกึ ษา มนุษยชาติโดยสงั เขป ประวตั ศิ าสตร์ท่แี บง่ เปน็ ยคุ ก่อน ประวัติศาสตรแ์ ละยคุ ประวัติศาสตร์  ยุคสมยั ทีใ่ ช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย

๖๗ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง เช่นสมยั ก่อนสโุ ขทัย สมัยสุโขทยั สมยั อยธุ ยา สมัยธนบรุ ี และสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๓. แยกแยะประเภทหลักฐานท่ีใชใ้ น  ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ การศึกษาความเป็นมาของทอ้ งถิน่ แบง่ เป็นหลักฐานชั้นตน้ และหลักฐานชั้น รอง  ตวั อย่างหลักฐานทใี่ ช้ในการศึกษา ความเปน็ มาของทอ้ งถ่ินของตน  การจำแนกหลักฐานของท้องถิน่ เปน็ หลักฐานชั้นตน้ และหลักฐานชน้ั รอง ป.๕ ๑. สืบค้นความเป็นมาของท้องถน่ิ โดยใช้  วิธกี ารสืบค้นความเป็นมาของท้องถ่นิ หลกั ฐานท่หี ลากหลาย  หลกั ฐานทางประวัติศาสตรท์ ่ีมอี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ ทีเ่ กิดขน้ึ ตามชว่ งเวลาต่างๆ เช่น เครอื่ งมือ เครื่องใช้ อาวุธ โบราณสถาน โบราณวัตถุ  การนำเสนอความเปน็ มาของท้องถน่ิ โดย อา้ งอิงหลกั ฐานท่หี ลากหลายดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ เช่น การเลา่ เร่ืองการเขยี นอยา่ งง่าย ๆ การจัดนิทรรศการ ๒. รวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ต่าง ๆ เพอื่  การตั้งคำถามทางประวตั ิศาสตร์เกี่ยวกับ ตอบคำถามทางประวตั ิศาสตร์ อยา่ งมี ความเป็นมาของท้องถ่นิ เช่น มีเหตุการณ์ เหตผุ ล ใดเกิดขนึ้ ในช่วงเวลาใด เพราะสาเหตใุ ด และมผี ลกระทบอย่างไร  แหล่งขอ้ มูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในทอ้ งถิน่ เพ่ือตอบคำถามดังกลา่ ว เชน่ เอกสาร เร่ืองเลา่ ตำนานท้องถนิ่ ๓. อธิบายความแตกต่างระหว่าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ ฯลฯ ความจริงกับข้อเทจ็ จริงเกย่ี วกับเร่ืองราว  การใช้ขอ้ มลู ที่พบเพื่อตอบคำถามไดอ้ ย่างมี ในท้องถน่ิ เหตุผล  ตัวอยา่ งเร่ืองราวจากเอกสารตา่ งๆ ที่ สามารถแสดงนยั ของความคิดเหน็ กับข้อมูล เชน่ หนงั สือพิมพ์ บทความจากเอกสารต่าง ๆ เป็นต้น  ตัวอย่างข้อมูลจากหลักฐานทาง ป.๖ ๑. อธบิ ายความสำคญั ของวิธีการทาง ประวตั ิศาสตร์ ในท้องถ่ินทแ่ี สดงความจรงิ ประวตั ิศาสตร์ในการศึกษาเรื่องราวทาง กบั ข้อเทจ็ จริง  สรุปประเด็นสำคญั เกยี่ วกบั ข้อมลู ในท้องถนิ่  ความหมายและความสำคญั ของวิธีการทาง ประวตั ศิ าสตร์อย่างงา่ ย ๆ ท่ีเหมาะสมกบั

๖๘ ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ประวตั ศิ าสตรอ์ ย่างงา่ ย ๆ นกั เรียน  การนำวิธกี ารทางประวัตศิ าสตรไ์ ปใช้ศกึ ษา เรือ่ งราวในท้องถน่ิ เชน่ ความเปน็ มาของ ภูมินามของสถานที่ในท้องถ่นิ ๒. นำเสนอข้อมลู จากหลักฐานที่หลากหลาย  ตัวอยา่ งหลักฐานทเ่ี หมาะสมกับนกั เรยี นท่ี ในการทำความเขา้ ใจเร่อื งราวสำคัญในอดีต นำมาใชใ้ นการศกึ ษาเหตุการณส์ ำคัญใน ประวัตศิ าสตรไ์ ทย สมยั รตั นโกสนิ ทร์ เชน่ พระราชหตั ถเลขาของรัชกาลท่ี ๔ หรือ รัชกาลที่ ๕ กฎหมายสำคัญ ฯลฯ ( เชื่อมโยงกับ มฐ. ส ๔.๓ )  สรปุ ขอ้ มูลท่ีได้จากหลกั ฐานท้ังความจริง และข้อเทจ็ จริง  การนำเสนอข้อมูลที่ได้จากหลักฐาน ทางประวตั ิศาสตรด์ ว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เชน่ การเล่าเรื่อง การจดั นิทรรศการ การเขียน รายงาน ม.๑ ๑. วเิ คราะห์ความสำคัญของเวลาใน  ตัวอย่างการใชเ้ วลา ชว่ งเวลาและยุคสมยั การศึกษาประวตั ิศาสตร์ ทีป่ รากฏในเอกสารประวัตศิ าสตรไ์ ทย  ความสำคัญของเวลา และชว่ งเวลาสำหรับ การศกึ ษาประวัตศิ าสตร์  ความสัมพนั ธแ์ ละความสำคญั ของอดีตท่ีมี ตอ่ ปัจจุบนั และอนาคต ๒. เทยี บศกั ราชตามระบบต่างๆท่ใี ชศ้ ึกษา  ทมี่ าของศกั ราชทีป่ รากฏในเอกสาร ประวตั ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตรไ์ ทย ไดแ้ ก่ จ.ศ. / ม.ศ. /ร. ศ./ พ.ศ. / ค.ศ. และ ฮ.ศ.  วิธีการเทียบศักราชตา่ งๆ และตัวอยา่ ง การเทยี บ  ตัวอย่างการใชศ้ ักราชต่าง ๆ ท่ีปรากฏใน เอกสารประวตั ิศาสตรไ์ ทย ๓. นำวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์มาใช้ศกึ ษา  ความหมายและความสำคญั ของประวัติศาสตร์ เหตุการณท์ างประวตั ิศาสตร์ และวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ท่มี ีความ สัมพันธเ์ ช่ือมโยงกัน  ตัวอย่างหลักฐานในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ ไทยสมยั สุโขทัย ท้ังหลกั ฐานช้ันต้น และ หลักฐานช้นั รอง ( เช่ือมโยงกับ มฐ. ส ๔.๓) เช่น ขอ้ ความ ในศลิ าจารกึ สมัยสโุ ขทัย เปน็ ต้น

๖๙ ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง  นำวธิ กี ารทางประวัติศาสตรไ์ ปใช้ศึกษา เรอ่ื งราวของประวตั ิศาสตร์ไทยที่มีอยู่ใน ท้องถนิ่ ตนเองในสมยั ใดกไ็ ด้ (สมยั ก่อน ประวัตศิ าสตร์ สมัยกอ่ นสุโขทยั สมยั สุโขทัย สมยั อยุธยา สมัยธนบรุ ี สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ) และเหตุการณส์ ำคญั ใน สมยั สโุ ขทยั ม.๒ ๑. ประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื ของหลักฐาน  วธิ กี ารประเมนิ ความนา่ เช่ือถอื ของ ทางประวัตศิ าสตรใ์ นลกั ษณะตา่ ง ๆ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ในลกั ษณะ ตา่ ง ๆ อยา่ งง่าย ๆ เช่น การศึกษาภูมหิ ลงั ของ ผู้ทำ หรอื ผูเ้ ก่ียวข้อง สาเหตุ ชว่ งระยะเวลา รปู ลกั ษณ์ของหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ เปน็ ต้น  ตวั อย่างการประเมินความน่าเชอ่ื ถือของ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยทีอ่ ยู่ ในท้องถ่ินของตนเอง หรอื หลักฐาน สมัยอยุธยา ( เชือ่ มโยงกับ มฐ. ส ๔.๓ ) ๒. วิเคราะห์ความแตกตา่ งระหว่างความจรงิ  ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากเอกสาร กับข้อเทจ็ จริงของเหตุการณ์ทาง ตา่ ง ๆ ในสมยั อยธุ ยา และธนบรุ ี ประวัตศิ าสตร์ ( เช่ือมโยงกับ มฐ. ส ๔.๓ ) เช่น ขอ้ ความ ๓. เหน็ ความสำคัญของการตีความหลกั ฐาน บางตอน ในพระราชพงศาวดารอยธุ ยา / ทางประวตั ศิ าสตร์ทีน่ ่าเชือ่ ถอื จดหมายเหตชุ าวต่างชาติ  ตัวอยา่ งการตีความขอ้ มูลจากหลกั ฐานท่ี แสดงเหตุการณ์สำคญั ในสมยั อยธุ ยาและ ธนบุรี  การแยกแยะระหวา่ งข้อมูลกบั ความคดิ เหน็ รวมท้ังความจรงิ กบั ข้อเทจ็ จริงจากหลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์  ความสำคญั ของการวิเคราะหข์ ้อมูล และ การตคี วามทางประวัตศิ าสตร์ ม.๓ ๑. วเิ คราะหเ์ รอ่ื งราวเหตกุ ารณ์สำคญั ทาง  ข้นั ตอนของวิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์ได้อย่างมีเหตุผลตามวธิ ีการ สำหรบั การศึกษาเหตุการณ์ทาง ทางประวตั ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตรท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ ในทอ้ งถ่นิ ตนเอง

๗๐ ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๒. ใชว้ ธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ในการศึกษา  วิเคราะหเ์ หตุการณ์สำคัญในสมัย ม.๔ –ม. เร่อื งราวต่าง ๆ ทีต่ นสนใจ ๖ รัตนโกสนิ ทร์ โดยใช้วธิ ีการทาง ๑. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของเวลาและ ประวัตศิ าสตร์ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตรท์ ่ีแสดงถงึ การ  นำวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์มาใช้ใน เปล่ียนแปลงของมนษุ ยชาติ การศึกษาเรื่องราวทเ่ี ก่ยี วข้องกับตนเอง ครอบครัว และท้องถ่นิ ของตน  เวลาและยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่ ปรากฏในหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ไทย และประวัตศิ าสตรส์ ากล  ตัวอยา่ งเวลาและยุคสมัยทาง ประวตั ศิ าสตร์ของสงั คมมนุษยท์ ม่ี ปี รากฏ ในหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ (เชือ่ มโยงกับ มฐ. ส ๔.๓)  ความสำคญั ของเวลาและยุคสมัยทาง ประวตั ิศาสตร์ ๒. สร้างองค์ความร้ใู หมท่ างประวัติศาสตร์  ข้ันตอนของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ โดย โดยใชว้ ิธกี ารทางประวัตศิ าสตรอ์ ยา่ งเป็น นำเสนอตวั อยา่ งทีละขัน้ ตอนอย่างชัดเจน ระบบ  คุณคา่ และประโยชนข์ องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ท่ีมตี อ่ การศึกษาทาง ประวัติศาสตร์  ผลการศึกษาหรอื โครงงานทาง ประวัตศิ าสตร์ สาระที่ ๔ ประวตั ิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๒ เขา้ ใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดตี จนถึงปัจจบุ นั ในดา้ นความสัมพนั ธ์และ การเปลยี่ นแปลงของเหตุการณ์อยา่ งต่อเน่ือง ตระหนักถงึ ความสำคญั และสามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกดิ ขึน้ ช้ัน ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. บอกความเปล่ยี นแปลงของสภาพ  ความเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดล้อม แวดล้อม ส่ิงของ เคร่ืองใช้ หรอื การดำเนิน ส่งิ ของ เครื่องใช้ หรือการดำเนินชวี ิตของ ชีวิตของตนเองกับสมัยของพ่อแม่ ป่ยู า่ อดีตกับปัจจุบันท่ีเป็นรูปธรรมและใกล้

๗๑ ตายาย ตัวเด็ก เชน่ การใชค้ วาย ไถนา รถไถนา เตารีด ถนน เกวยี น - รถอแี ต๋น  สาเหตแุ ละผลของการเปลีย่ นแปลงของสงิ่ ต่างๆ ตามกาลเวลา ๒. บอกเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึนในอดตี  เหตกุ ารณ์สำคญั ทเ่ี กดิ ข้ึนในครอบครัว ทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ตนเองในปัจจุบนั เช่น การยา้ ยบา้ น การหย่าร้าง การสูญเสยี บุคคลในครอบครัว ป.๒ ๑. สบื ค้นถงึ การเปล่ียนแปลง  วธิ ีการสืบค้นขอ้ มูลอย่างง่าย ๆ เชน่ ในวถิ ชี วี ติ ประจำวนั ของคนในชมุ ชน ของ การสอบถามพ่อแม่ ผู้รู้ ตนจากอดีตถึงปจั จุบัน  วถิ ชี วี ติ ของคนในชมุ ชน เชน่ การประกอบอาชพี การแตง่ กาย การส่อื สาร ประเพณีใน ชมุ ชนจากอดีต ถึงปัจจุบนั  สาเหตขุ องการเปลยี่ นแปลงวิถชี วี ิตของคน ในชมุ ชน ๒. อธบิ ายผลกระทบของการเปลยี่ นแปลง  การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวติ ของคนใน ท่ีมตี อ่ วิถีชวี ติ ของคน ชมุ ชนทางดา้ นตา่ ง ๆ ในชุมชน  ผลกระทบของการเปล่ียนแปลงท่ีมีต่อ วถิ ชี ีวติ ของคนในชุมชน ป.๓ ๑. ระบุปจั จยั ท่มี อี ทิ ธิพลต่อการต้งั ถ่นิ ฐาน  ปจั จยั การต้ังถ่ินฐานของชุมชนซ่งึ ขน้ึ อยู่กบั และพฒั นาการของชมุ ชน ปัจจัยทางภมู ิศาสตร์และปจั จัยทางสงั คม เชน่ ความเจริญทางเทคโนโลยี การ คมนาคม ความปลอดภยั  ปจั จยั ที่มีอทิ ธพิ ลต่อพฒั นาการของชมุ ชน ทั้งปัจจยั ทางภมู ิศาสตร์ และปัจจัยทาง สังคม

๗๒ ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๒. สรปุ ลกั ษณะที่สำคัญของ  ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรม ชมุ ชนของตนทีเ่ กดิ จากปจั จยั ทาง ของชมุ ชน ภูมิศาสตรแ์ ละปัจจยั ทางสังคม ๓. เปรียบเทียบความเหมือนและความ  ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรม ตา่ งทางวัฒนธรรมของชุมชนตนเองกับ ของชมุ ชน อื่น ๆ ท่ีมคี วามเหมอื นและ ชมุ ชนอื่น ๆ ความตา่ งกับชุมชนของตนเอง ป. ๔ ๑. อธิบายการตัง้ หลักแหล่งและ  พัฒนาการของมนุษยย์ ุคก่อน พฒั นาการของมนษุ ยย์ ุคก่อน ประวัตศิ าสตร์และยุคประวตั ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์และยคุ ประวตั ศิ าสตร์ ในดินแดนไทย โดยสงั เขป โดยสังเขป  หลักฐานการตงั้ หลกั แหล่งของมนษุ ย์ ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ในดนิ แดนไทย ๒. ยกตัวอย่างหลกั ฐานทาง โดยสงั เขป ประวัตศิ าสตร์ท่ีพบในท้องถน่ิ ที่แสดง  หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่พบใน พฒั นาการของมนษุ ยชาติ ท้องถ่นิ ท่แี สดงพัฒนาการของมนษุ ยชาติ ในดินแดนไทยโดยสังเขป ป.๕ ๑. อธิบายอทิ ธิพลของอารยธรรมอินเดีย  การเข้ามาของอารยธรรมอนิ เดยี และจนี ใน และจีนท่มี ตี ่อไทย และเอเชียตะวนั ออก ดินแดนไทยและภมู ภิ าคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยสังเขป เฉียงใต้โดยสงั เขป  อิทธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดียและจีน ที่มตี ่อไทย และคนในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ เช่น ศาสนาและความ เชอ่ื ภาษา การแตง่ กาย อาหาร ๒. อภปิ รายอิทธิพลของวฒั นธรรม  การเขา้ มาของวัฒนธรรมตา่ งชาตใิ น ต่างชาตทิ ม่ี ตี ่อสังคมไทยปัจจุบัน สงั คมไทย เชน่ อาหาร ภาษา การแตง่ กาย โดยสงั เขป ดนตรี โดยระบุลักษณะ สาเหตุและผล  อทิ ธิพลทห่ี ลากหลายในกระแสของ วัฒนธรรมตา่ งชาติตอ่ สังคมไทยในปัจจุบนั

๗๓ ชัน้ ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๖ ๑. อธิบายสภาพสังคม เศรษฐกจิ และ  ใชแ้ ผนทแี่ สดงทต่ี ั้งและอาณาเขตของ การเมืองของประเทศเพื่อนบ้านในปจั จบุ ัน ประเทศตา่ ง ๆ ในภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออก เฉียงใต้  สภาพสงั คม เศรษฐกจิ และการเมืองของ ประเทศเพื่อนบา้ นของไทยโดยสังเขป  ตวั อย่างความเหมือนและ ความตา่ ง ระหว่างไทยกบั ประเทศเพ่ือนบา้ น เช่น ภาษา ศาสนา การปกครอง ๒. บอกความสัมพนั ธ์ของกลุ่มอาเซยี น  ความเปน็ มาของกลุ่มอาเซียนโดยสงั เขป โดยสังเขป  สมาชิกของอาเซียนในปัจจุบนั  ความสมั พนั ธข์ องกล่มุ อาเซยี นทาง เศรษฐกิจ และสงั คมในปัจจุบนั โดยสังเขป ม.๑ ๑. อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ  ที่ตง้ั และสภาพทางภูมิศาสตรข์ องประเทศ และการเมอื งของประเทศต่าง ๆ ใน ตา่ ง ๆ ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ที่มผี ลตอ่ พัฒนาการทางดา้ นต่างๆ  พฒั นาการทางสังคม เศรษฐกจิ และ การเมืองของประเทศตา่ ง ๆ ในภูมภิ าค เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ๒. ระบคุ วามสำคัญของแหล่งอารยธรรม  ท่ตี งั้ และความสำคัญของแหล่งอารยธรรม ในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เชน่ แหลง่ มรดกโลกในประเทศต่าง ๆของ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้  อทิ ธิพลของอารยธรรมโบราณในดนิ แดน ไทยท่ีมตี ่อพฒั นาการของสังคมไทยใน ปจั จบุ นั ม.๒ ๑. อธบิ ายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ  ทีต่ ง้ั และสภาพทางภมู ิศาสตร์ของภูมิภาค และการเมืองของภูมิภาคเอเชีย ตา่ งๆในทวีปเอเชีย (ยกเว้นเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้) ท่ีมีผลตอ่ พฒั นาการ โดยสงั เขป  พฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองของภมู ภิ าคเอเชีย (ยกเวน้ เอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต)้

๗๔ ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๒. ระบุความสำคัญของแหลง่ อารยธรรม  ท่ีตัง้ และความสำคญั ของแหลง่ อารยธรรม โบราณในภมู ภิ าคเอเชีย โบราณในภมู ิภาคเอเชยี เชน่ แหลง่ มรดก โลกในประเทศต่างๆ ในภมู ิภาคเอเชยี  อิทธิพลของอารยธรรมโบราณท่ีมตี ่อ ภมู ิภาคเอเชียในปจั จบุ ัน ม.๓ ๑. อธบิ ายพัฒนาการทางสังคม เศรษฐกจิ  ที่ตงั้ และสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องภูมิภาค และการเมอื งของภมู ภิ าคตา่ งๆ ในโลก ต่างๆของโลก (ยกเว้นเอเชีย) ที่มผี ลตอ่ โดยสังเขป พฒั นาการโดยสังเขป ๒. วิเคราะห์ผลของการเปลย่ี นแปลงที่  พัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ นำไปสคู่ วามรว่ มมือ และความขัดแย้ง ใน คริสตศ์ ตวรรษที่ ๒๐ ตลอดจนความ การเมืองของภมู ิภาคตา่ งๆของโลก พยายามในการขจัดปญั หาความขดั แย้ง (ยกเวน้ เอเชีย)โดยสังเขป  อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกทมี่ ผี ลต่อ พฒั นาการและการเปล่ียนแปลงของสังคม โลก  ความรว่ มมอื และความขดั แยง้ ใน คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ เช่น สงครามโลกคร้ัง ที่ ๑ คร้ังที่ ๒ สงครามเย็น องค์การ ความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศ ม.๔-ม.๖ ๑.วเิ คราะห์อทิ ธิพลของอารยธรรรม  อารยธรรมของโลกยุคโบราณ ไดแ้ ก่ โบราณ และการตดิ ต่อระหว่างโลก อารยธรรมลมุ่ แม่น้ำไทกรสี -ยเู ฟรตสี ไนล์ ตะวันออกกับโลกตะวันตกท่ีมีผลตอ่ ฮวงโห สนิ ธุ และอารยธรรมกรกี -โรมนั พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของโลก  การติดตอ่ ระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ๒. วเิ คราะห์เหตุการณส์ ำคัญตา่ งๆท่ีส่งผล ตะวันตก และอิทธิพลทางวฒั นธรรมทม่ี ี ต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกจิ ตอ่ กันและกัน และการเมือง เข้าสโู่ ลกสมัยปัจจุบัน  เหตกุ ารณ์สำคัญต่างๆท่สี ่งผลต่อการ เปล่ยี นแปลงของโลกในปัจจุบัน เชน่ ระบอบฟิวดสั การฟนื้ ฟู ศิลปวทิ ยาการ สงครามครูเสด การสำรวจทางทะเล การปฏริ ูปศาสนา การปฏิวตั ิทาง

๗๕ ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. วิเคราะห์ผลกระทบของการขยาย  วิทยาศาสตร์ การปฏิวตั ิอุตสาหกรรม อทิ ธิพลของประเทศในยโุ รปไปยงั ทวปี อเมริกา แอฟริกาและเอเชยี จกั รวรรดินิยม ลัทธชิ าตนิ ยิ ม เปน็ ตน้  ความรว่ มมือ และความขัดแยง้ ของ ๔. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ของโลกใน คริสต์ศตวรรษท่ี ๒๑ มนุษยชาตใิ นโลก  สถานการณส์ ำคญั ของโลกใน ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒๑ เชน่ - เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ (Nine Eleven ) - การขาดแคลนทรัพยากร - การก่อการร้าย - ความขดั แยง้ ทางศาสนา ฯลฯ สาระท่ี ๔ ประวัตศิ าสตร์ มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเปน็ มาของชาติไทย วฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรง ความเปน็ ไทย ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. อธิบายความหมายและความสำคญั  ความหมายและความสำคัญของ ของสญั ลกั ษณส์ ำคัญของชาติไทย และ สัญลกั ษณ์ทสี่ ำคัญของชาติไทย ได้แก่ ปฏบิ ตั ติ นได้ถูกต้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ (ธงชาติ เพลงชาติ พระพุทธรูป พระบรมฉายาลกั ษณ)์  การเคารพธงชาติ การรอ้ งเพลงชาติ และเพลงสรรเสรญิ พระบารมี เคารพ ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน  เอกลกั ษณอ์ ื่น ๆ เช่น แผนทป่ี ระเทศไทย ประเพณีไทย อาหารไทย (อาหารไทย ทตี่ ่างชาติยกย่อง เช่น ต้มยำกุ้ง ผดั ไทย) ทีม่ ีความภาคภมู ิใจ และมสี ่วนร่วม ทจ่ี ะอนุรักษ์ไว้ ๒. บอกสถานที่สำคัญซ่ึงเปน็ แหลง่  ตวั อย่างของแหลง่ วฒั นธรรมในชมุ ชน วัฒนธรรมในชุมชน ท่ใี กลต้ ัวนกั เรยี น เช่น วดั ตลาด พพิ ธิ ภณั ฑ์ มัสยิด โบสถค์ รสิ ต์ โบราณสถาน โบราณวัตถุ  คุณค่าและความสำคัญของแหล่ง วฒั นธรรมในชมุ ชนในด้านตา่ งๆ เชน่ เป็น

๗๖ ช้ัน ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง แหล่งทอ่ งเที่ยว เป็นแหล่งเรียนรู้ ๓. ระบุส่ิงทีต่ นรัก และภาคภูมิใจใน  ตวั อย่างสิง่ ที่เป็นความภาคภมู ิใจใน ท้องถ่ิน ท้องถ่ิน เช่น ส่ิงของ สถานที่ ภาษาถ่นิ ประเพณี และวฒั นธรรม ฯลฯ ท่ีเป็น สง่ิ ท่ีใกลต้ วั นักเรียน และเป็นรูปธรรม ชดั เจน  คณุ คา่ และประโยชน์ของสิง่ ตา่ งๆเหลา่ นัน้ ป.๒ ๑. ระบบุ คุ คลทีท่ ำประโยชน์ตอ่ ท้องถนิ่  บคุ คลในทอ้ งถิน่ ท่ีทำคุณประโยชน์ตอ่ การ หรอื ประเทศชาติ สร้างสรรคว์ ัฒนธรรม และความมน่ั คง ของท้องถิ่น และประเทศชาติ ในอดีต ทคี่ วรนำเปน็ แบบอยา่ ง  ผลงานของบุคคลในทอ้ งถน่ิ ที่น่า ภาคภมู ิใจ ๒. ยกตวั อยา่ งวัฒนธรรม ประเพณี และ  ตัวอยา่ งของวัฒนธรรมประเพณไี ทย ภมู ิปัญญาไทยทภี่ าคภมู ิใจและควร เช่น การทำความเคารพ อาหารไทย อนรุ ักษ์ไว้ ภาษาไทย ประเพณีสงกรานต์ ฯลฯ  คณุ คา่ ของวัฒนธรรม และประเพณีไทย ทมี่ ตี อ่ สังคมไทย  ภูมิปญั ญาของคนไทยในทอ้ งถ่ินของ นักเรียน ป.๓ ๑. ระบพุ ระนามและพระราชกรณยี กิจ  พระราชประวัติ พระราชกรณยี กจิ โดยสังเขปของพระมหากษตั ริยไ์ ทยท่ี โดยสังเขปของพ่อขุนศรอี ินทราทติ ย์ เปน็ ผูส้ ถาปนาอาณาจักรไทย สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช และ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก มหาราช ผู้สถาปนาอาณาจักรไทย สโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และรตั นโกสินทร์ ตามลำดบั  อาณาจักรไทยอ่นื ๆทผี่ นวกรวมเขา้ เป็น สว่ นหนง่ึ ของชาติไทย เช่น ล้านนา นครศรธี รรมราช ๒. อธบิ ายพระราชประวัติและพระราช  พระราชประวัตแิ ละพระราชกรณียกจิ กรณยี กิจของพระมหากษัตริย์ ในรชั กาล ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ปัจจุบัน โดยสังเขป ภูมิพลอดลุ ยเดช และสมเด็จ

๗๗ ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง พระบรมราชนิ ีนาถโดยสงั เขป ๓. เลา่ วรี กรรมของบรรพบุรุษไทย  วีรกรรมของบรรพบรุ ษุ ไทยทีม่ สี ว่ น ท่มี ีสว่ นปกป้องประเทศชาติ ปกปอ้ งประเทศชาติ เช่น ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร ชาวบ้านบางระจัน พระยาพิชัยดาบหัก สมเด็จพระนเรศวร มหาราช สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช ป.๔ ๑. อธิบายพฒั นาการของอาณาจักร  การสถาปนาอาณาจกั รสุโขทัยโดยสังเขป สุโขทัยโดยสังเขป  พฒั นาการของอาณาจักรสโุ ขทยั ทางดา้ น การเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจ โดยสงั เขป ๒. บอกประวัตแิ ละผลงานของบคุ คล  ประวตั ิ และผลงานของบุคคลสำคญั สำคญั สมัยสโุ ขทัย สมยั สโุ ขทัย เช่น พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ พอ่ ขนุ รามคำแหงมหาราช พระมหาธรรมราชา ที่ ๑ (พระยาลิไทยโดยสงั เขป) ๓. อธิบายภมู ิปญั ญาไทยทส่ี ำคัญ  ภมู ิปัญญาไทยในสมยั สโุ ขทยั เชน่ สมยั สุโขทยั ทน่ี ่าภาคภมู ิใจ และควรคา่ ภาษาไทย ศลิ ปกรรมสโุ ขทยั ที่ได้รับ แก่การอนรุ ักษ์ การยกย่องเปน็ มรดกโลก เคร่อื ง สงั คมโลก  คุณคา่ ของภูมปิ ัญญาไทยทสี่ ืบตอ่ ถึง ปัจจบุ ันท่ีน่าภาคภูมใิ จและควรคา่ แกก่ ารอนรุ กั ษ์ ป.๕ ๑. อธบิ ายพฒั นาการของอาณาจกั ร  การสถาปนาอาณาจกั รอยุธยา โดยสังเขป อยุธยาและธนบุรโี ดยสงั เขป  ปัจจัยท่สี ง่ เสรมิ ความเจริญรุง่ เรอื งทาง ๒. อธบิ ายปจั จยั ทีส่ ่งเสรมิ ความเจริญ เศรษฐกิจ และการปกครองของ อาณาจักรอยุธยา รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการปกครอง  พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาการดา้ น ของอาณาจักรอยธุ ยา การเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ ๓. บอกประวตั แิ ละผลงานของบุคคล โดยสังเขป สำคัญสมัยอยธุ ยาและธนบุรที ่ีน่า  ผลงานของบคุ คลสำคัญในสมยั อยุธยา เช่น ภาคภมู ิใจ สมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๑ สมเดจ็ พระบรม ไตรโลกนาถ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๔. อธบิ ายภูมิปญั ญาไทยทีส่ ำคัญ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ชาวบ้าน สมยั อยุธยาและธนบรุ ีทนี่ ่าภาคภมู ใิ จ และควรค่าแกก่ ารอนุรักษ์ไว้ บางระจัน เปน็ ตน้  ภูมปิ ญั ญาไทยสมยั อยุธยาโดยสังเขป เชน่ ศิลปกรรม การคา้ วรรณกรรม

๗๘ ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง  การกอบกเู้ อกราชและการสถาปนา อาณาจักรธนบรุ โี ดยสงั เขป  พระราชประวัติ และผลงานของ พระเจ้าตากสนิ มหาราชโดยสงั เขป  ภูมปิ ญั ญาไทยสมัยธนบรุ ีโดยสงั เขป เช่น ศลิ ปกรรม การคา้ วรรณกรรม ป.๖ ๑. อธบิ ายพฒั นาการของไทยสมัย  การสถาปนาอาณาจักรรัตนโกสินทร์ รัตนโกสนิ ทร์ โดยสังเขป โดยสังเขป ๒. อธบิ ายปจั จยั ทส่ี ง่ เสรมิ ความ  ปจั จัยท่ีสง่ เสริมความเจริญรงุ่ เรืองทาง เจรญิ ร่งุ เรืองทางเศรษฐกจิ และการ เศรษฐกจิ และการปกครองของไทย ปกครองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรตั นโกสินทร์ ๓. ยกตวั อย่างผลงานของบุคคลสำคัญ  พฒั นาการของไทยสมยั รัตนโกสนิ ทร์ ด้านต่างๆสมยั รัตนโกสนิ ทร์ โดยสังเขป ตามชว่ งเวลาตา่ งๆ เชน่ ๔. อธบิ ายภูมิปญั ญาไทยที่สำคัญสมัย สมัยรตั นโกสินทรต์ อนตน้ สมัยปฏิรูป รตั นโกสนิ ทรท์ ่นี ่าภาคภูมิใจ และควรคา่ ประเทศ และสมยั ประชาธปิ ไตย  ผลงานของบุคคลสำคัญทางด้านต่างๆ ใน แก่การอนุรกั ษ์ไว้ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ เช่น พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ - จุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสุรสิงหนาท พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอย่หู วั ฯลฯ  ภูมิปัญญาไทยสมยั รตั นโกสินทร์ เช่น ศิลปกรรม วรรณกรรม ม.๑ ๑. อธิบายเร่ืองราวทางประวัตศิ าสตร์  สมัยก่อนประวัตศิ าสตร์ในดนิ แดนไทย สมัยกอ่ นสุโขทัยในดนิ แดนไทย โดยสงั เขป โดยสังเขป  รัฐโบราณในดินแดนไทย เชน่ ศรวี ิชัยตาม ๒. วเิ คราะห์พฒั นาการของอาณาจักร พรลงิ ค์ ทวารวดี เปน็ ต้น สุโขทยั ในดา้ นตา่ ง ๆ

๗๙ ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๓. วิเคราะหอ์ ิทธิพลของวัฒนธรรม และ  รฐั ไทย ในดนิ แดนไทย เช่น ลา้ นนา ภูมปิ ัญญาไทยสมยั สโุ ขทยั และสังคมไทย นครศรธี รรมราช สุพรรณภมู ิ เปน็ ต้น ในปจั จบุ นั  การสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั และ ปัจจัยทีเ่ กย่ี วข้อง (ปจั จัยภายในและ ปัจจัยภายนอก )  พฒั นาการของอาณาจักรสุโขทยั ในดา้ น การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ  วัฒนธรรมสมัยสโุ ขทัย เชน่ ภาษาไทย วรรณกรรม ประเพณีสำคัญ ศิลปกรรม ไทย  ภมู ิปัญญาไทยในสมยั สโุ ขทยั เช่น การชลประทาน เครื่องสงั คมโลก  ความเส่ือมของอาณาจักรสุโขทัย ม.๒ ๑. วิเคราะห์พัฒนาการของอาณาจักร  การสถาปนาอาณาจักรอยธุ ยา อยุธยา และธนบรุ ีในดา้ นต่างๆ  ปัจจัยท่สี ่งผลตอ่ ความเจริญรงุ่ เรอื งของ ๒. วิเคราะหป์ จั จัยท่สี ่งผลตอ่ ความมั่นคง อาณาจักรอยุธยา และความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจกั ร  พฒั นาการของอาณาจักรอยธุ ยาในดา้ น อยธุ ยา การเมืองการปกครอง สงั คม เศรษฐกิจ ๓. ระบุภูมปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทย และความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ สมัยอยธุ ยาและธนบรุ ี และอิทธิพลของ  การเสียกรุงศรอี ยุธยาครั้งท่ี ๑ และ ภูมปิ ัญญาดังกล่าว ต่อการพัฒนาชาติ การกูเ้ อกราช ไทยในยุคตอ่ มา  ภมู ปิ ัญญาและวัฒนธรรมไทยสมยั อยุธยา เช่น การควบคุมกำลงั คน และ ศิลปวฒั นธรรม  การเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาคร้ังที่ ๒ การกู้ เอกราช และการสถาปนาอาณาจักร ธนบุรี  ภูมปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทยสมยั ธนบรุ ี  วีรกรรมของบรรพบรุ ุษไทย ผลงาน ของบุคคลสำคัญของไทยและต่างชาติ ที่มีสว่ นสร้างสรรค์ชาตไิ ทย ม.๓ ๑. วิเคราะหพ์ ฒั นาการของไทย  การสถาปนากรุงเทพมหานครเปน็ สมัยรตั นโกสินทร์ในดา้ นตา่ งๆ ราชธานีของไทย ๒. วิเคราะหป์ จั จัยทส่ี ง่ ผลตอ่ ความ  ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงและ มนั่ คงและความเจริญรุ่งเรอื งของไทยใน

๘๐ ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ม.๔ – ม. ๓.วเิ คราะหภ์ ูมิปญั ญาและวฒั นธรรม ความเจรญิ รุ่งเรอื งของไทยในสมยั ๖ ไทยสมัยรตั นโกสินทร์ และอิทธิพลต่อ รัตนโกสินทร์ การพัฒนาชาติไทย  บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยใน ๔.วิเคราะหบ์ ทบาทของไทยในสมยั ประชาธปิ ไตย ราชวงศจ์ ักรใี นการสรา้ งสรรค์ความเจริญ ๑.วเิ คราะห์ประเดน็ สำคัญของ และความม่นั คงของชาติ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย  พัฒนาการของไทยในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๒. วเิ คราะหค์ วามสำคญั ของสถาบนั พระมหากษัตริย์ตอ่ ชาติไทย ทางด้านการเมือง การปกครอง สงั คม ๓. วเิ คราะหป์ ัจจัยที่ส่งเสริมความ เศรษฐกจิ และความสัมพนั ธ์ระหว่าง สรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ัญญาไทย และ วฒั นธรรมไทย ซง่ึ มผี ลตอ่ สงั คมไทยใน ประเทศตามชว่ งสมยั ต่างๆ ยคุ ปจั จบุ นั  เหตกุ ารณ์สำคัญสมยั รัตนโกสินทร์ทม่ี ี ๔. วเิ คราะหผ์ ลงานของบุคคลสำคญั ทัง้ ชาวไทยและต่างประเทศ ที่มีสว่ น ผลต่อการพัฒนาชาติไทย เช่น การทำ สร้างสรรค์วฒั นธรรมไทย และ ประวัติศาสตรไ์ ทย สนธสิ ัญญาเบาวร์ ิงในสมัยรชั กาลท่ี ๔ การปฏริ ูปประเทศในสมยั รัชกาลท่ี ๕ การเข้าร่วมสงครามโลกครง้ั ท่ี ๑ และครั้ง ที่ ๒ โดยวิเคราะหส์ าเหตุปัจจยั และผล ของเหตุการณต์ ่าง ๆ  ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยในสมยั รัตนโกสินทร์  บทบาทของไทยต้ังแตเ่ ปลย่ี นแปลง การปกครองจนถงึ ปัจจุบนั ในสงั คมโลก  ประเดน็ สำคญั ของประวตั ิศาสตร์ไทย เชน่ แนวคิดเกี่ยวกบั ความเป็นมาของชาติ ไทย อาณาจกั รโบราณในดินแดนไทย และอิทธพิ ลที่มีตอ่ สงั คมไทย ปจั จัยทม่ี ี ผลตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รไทยใน ช่วงเวลาตา่ งๆ สาเหตุและ ผลของการปฏิรปู ฯลฯ  บทบาทของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ใน การพฒั นาชาติไทยในด้านต่างๆ เช่น การ ป้องกนั และรกั ษาเอกราชของชาติ การ สรา้ งสรรค์วฒั นธรรมไทย  อทิ ธิพลของวฒั นธรรมตะวนั ตก และ ตะวนั ออกที่มีต่อสงั คมไทย  ผลงานของบุคคลสำคัญทงั้ ชาวไทยและ ต่างประเทศ ทม่ี สี ่วนสรา้ งสรรค์ วฒั นธรรมไทย และประวตั ิศาสตรไ์ ทย  ปจั จยั ทีส่ ง่ เสริมความสรา้ งสรรค์ภูมิ ปญั ญาไทย และวัฒนธรรมไทย ซงึ่ มีผล

๘๑ ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ่ สังคมไทยในยคุ ปจั จุบัน ๕. วางแผนกำหนดแนวทางและการมี  สภาพแวดล้อมท่มี ผี ลต่อการสรา้ งสรรค์ สว่ นรว่ มการอนรุ กั ษภ์ ูมิปัญญาไทยและ ภมู ปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย  วิถีชีวติ ของคนไทยในสมัยต่างๆ  การสบื ทอดและเปล่ียนแปลงของ วฒั นธรรมไทย  แนวทางการอนุรักษ์ภูมปิ ัญญาและ วัฒนธรรมไทยและการมสี ว่ นร่วมในการ อนรุ กั ษ์  วธิ กี ารมสี ่วนร่วมอนุรกั ษ์ภมู ิปญั ญาและ วัฒนธรรมไทย สาระที่ ๕ ภมู ิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพส่ิงซง่ึ มผี ลต่อกนั และกัน ใน ระบบของธรรมชาติ ใชแ้ ผนท่ีและเคร่ืองมอื ทางภูมศิ าสตร์ในการค้นหา วเิ คราะห์ สรุป และใช้ข้อมลู ภมู ิสารสนเทศอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๑ ๑. แยกแยะสง่ิ ต่างๆ รอบตัวท่ีเกิดข้ึนเอง  ส่ิงต่าง ๆ รอบตวั ที่เกดิ ข้ึนเองตาม ตามธรรมชาตแิ ละที่มนุษยส์ ร้างขนึ้ ธรรมชาติและทมี่ นุษยส์ ร้างขึ้น ๒. ระบคุ วามสัมพันธข์ องตำแหน่ง  ความสัมพันธ์ของตำแหน่ง ระยะ ระยะ ทิศของสิง่ ตา่ งๆ รอบตัว ทศิ ของส่งิ ตา่ งๆ รอบตวั เช่น ทอ่ี ยู่อาศยั บ้าน เพื่อนบา้ น ตน้ ไม้ ถนน ทงุ่ นา ไร่ สวน ทรี่ าบ ภูเขา แหล่งน้ำ ๓. ระบทุ ิศหลักและทต่ี ั้งของส่ิงตา่ งๆ  ทิศหลัก (เหนือ ตะวนั ออก ใต้ ตะวนั ตก) และ ที่ต้ังของส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั ๔. ใชแ้ ผนผังง่าย ๆ ในการแสดง  แผนผงั แสดงตำแหน่งสง่ิ ต่างๆใน ตำแหนง่ ของส่งิ ต่างๆในหอ้ งเรียน หอ้ งเรียน ๕. สังเกตและบอกการเปล่ยี นแปลงของ  การเปล่ยี นแปลงของสภาพอากาศในรอบ สภาพอากาศในรอบวัน วัน เช่น กลางวัน กลางคืน ความรอ้ นของ อากาศ ฝน - เมฆ - ลม ป.๒ ๑. ระบุส่งิ ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ธรรมชาตกิ ับท่ี  สง่ิ ต่างๆ ท่ีเปน็ ธรรมชาติกับทีม่ นุษยส์ รา้ ง มนุษยส์ ร้างขนึ้ ซ่งึ ปรากฏระหว่าง ข้ึน ซง่ึ ปรากฏระหว่างโรงเรียนกับบ้าน โรงเรียนกบั บ้าน

๘๒ ชัน้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๒. ระบุตำแหนง่ อย่างง่ายและลักษณะทาง  ตำแหนง่ อยา่ งงา่ ยและลกั ษณะทางกายภาพของ กายภาพของสงิ่ ต่างๆท่ีปรากฏในลกู โลก แผน สง่ิ ต่างๆทปี่ รากฏในลูกโลก แผนท่ี แผนผงั ท่ี แผนผงั และภาพถ่าย และภาพถ่ายเชน่ ภูเขา ท่รี าบ แมน่ ้ำ ตน้ ไม้ อากาศ ทะเล ๓. อธิบายความสมั พันธข์ อง  ความสัมพนั ธข์ องปรากฏการณร์ ะหวา่ ง ปรากฏการณร์ ะหวา่ งโลก ดวงอาทิตย์ โลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทรเ์ ช่น และดวงจนั ทร์ ขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม ฤดูกาลต่างๆ ป.๓ ๑. ใชแ้ ผนท่ี แผนผงั และภาพถา่ ยใน  แผนท่ี แผนผงั และภาพถา่ ย การหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ในชุมชนได้  ความสมั พนั ธ์ของตำแหน่ง ระยะ ทิศทาง อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. เขยี นแผนผังงา่ ยๆ เพื่อแสดง  ตำแหน่งทีต่ งั้ สัมพันธ์ของสถานทีส่ ำคัญใน ตำแหน่งทีต่ ้งั ของสถานทสี่ ำคัญใน บรเิ วณโรงเรยี นและชมุ ชน เช่นสถานที่ บรเิ วณโรงเรียนและชุมชน ราชการ อำเภอ ตลาด โรงพยาบาล ไปรษณยี ์ ฯลฯ ๓ .บอกความสมั พันธ์ของลักษณะ  ภูมิประเทศ และภมู ิอากาศท่มี ผี ลต่อ กายภาพกับลกั ษณะทางสงั คมของ สภาพสงั คมในชุมชน ชมุ ชน ป.๔ ๑. ใช้แผนท่ี ภาพถ่าย ระบุลักษณะ  แผนที่/ภาพถ่าย ลักษณะทางกายภาพ สำคัญทางกายภาพของจังหวดั ตนเอง ของจงั หวดั ตนเอง ๒. ระบุแหล่งทรพั ยากรและส่ิงตา่ ง ๆ  ตำแหนง่ ระยะทางและทิศของ ในจังหวัดของตนเองดว้ ยแผนที่ ทรพั ยากรและส่ิงตา่ งๆ ในจงั หวดั ของ ตนเอง ๓. ใชแ้ ผนทอี่ ธิบายความสมั พันธข์ องสิ่ง  แผนทีแ่ สดงความสัมพนั ธข์ องส่งิ ตา่ งๆ ที่ ตา่ งๆ ทมี่ ีอยูใ่ นจังหวัด มีอยู่ในจังหวดั  ลักษณะทางกายภาพ (ภูมิลกั ษณ์หรือ ภูมปิ ระเทศและภูมิอากาศ) ที่มผี ลตอ่ สภาพสังคมของจงั หวดั ป.๕ ๑. รตู้ ำแหน่ง (พิกดั ภมู ิศาสตร์ ละตจิ ดู  ตำแหนง่ (พกิ ดั ภมู ิศาสตร์ ละติจดู ลองจจิ ูด) ระยะ ทศิ ทางของภมู ภิ าค ลองจจิ ดู ) ระยะ ทศิ ทาง ของภมู ิภาค ของตนเอง ของตนเอง ๒. ระบลุ ักษณะภูมิลกั ษณท์ ่สี ำคญั ใน  ภมู ลิ ักษณ์ทีส่ ำคัญในภมู ิภาคของตนเอง ภมู ภิ าคของตนเองในแผนที่ เชน่ แม่น้ำ ภเู ขา ปา่ ไม้ ๓. อธบิ ายความสมั พนั ธข์ องลักษณะทาง  ความสมั พนั ธ์ของลักษณะทางกายภาพ กายภาพกับลักษณะทางสงั คมในภูมภิ าค (ภมู ิลกั ษณ์และภูมิอากาศ) และลักษณะ ของตนเอง ทางสังคม (ภูมิสังคม)ในภมู ิภาคของ ตนเอง

๘๓ ช้ัน ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๖ ๑. ใช้เครอื่ งมือทางภูมศิ าสตร์ (แผนท่ี  เครื่องมือทางภมู ิศาสตร์ (แผนท่ี ภาพถ่าย ภาพถ่ายชนิดต่าง ๆ) ระบุลักษณะสำคญั ชนดิ ต่าง ๆ ) ที่แสดงลกั ษณะทางกายภาพ ทางกายภาพและสงั คมของประเทศ ของประเทศ ๒. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ ง  ความสัมพนั ธร์ ะหว่างลักษณะทาง ลกั ษณะทางกายภาพกบั ปรากฏการณ์ กายภาพกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทางธรรมชาติของประเทศ ของประเทศ เชน่ อุทกภัย แผน่ ดนิ ไหว วาตภยั  ภมู ิลกั ษณ์ท่ีมีตอ่ ภมู ิสังคมของประเทศไทย ม.๑ ๑. เลอื กใช้เครอ่ื งมือทางภูมศิ าสตร์  เครอื่ งมือทางภูมิศาสตร์ (ลูกโลก แผนท่ี (ลูกโลก แผนท่ี กราฟ แผนภูมิ) ในการ กราฟ แผนภมู ิ ฯลฯ) ท่ีแสดงลักษณะ สบื คน้ ข้อมูล เพื่อวเิ คราะห์ลักษณะทาง ทางกายภาพ และสงั คมของประเทศไทย กายภาพและสังคมของประเทศไทยและ และทวปี เอเชยี ออสเตรเลีย และ ทวปี เอเชีย ออสเตรเลยี และ โอเชียเนีย โอเชียเนีย ๒. อธบิ ายเสน้ แบ่งเวลา และ  เสน้ แบ่งเวลาของประเทศไทยกับทวปี ต่าง เปรียบเทียบวนั เวลาของประเทศไทย ๆ กับทวปี ต่าง ๆ  ความแตกตา่ งของเวลา มาตรฐานกับ เวลาทอ้ งถิน่ ๓. วิเคราะหเ์ ชอื่ มโยงสาเหตุและ  ภยั ธรรมชาติและการระวังภัยที่เกิดขนึ้ ใน แนวทางปอ้ งกันภัยธรรมชาตแิ ละการ ประเทศไทยและทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย ระวงั ภัยทเี่ กิดข้ึนในประเทศไทยและ โอเชยี เนีย ทวีปเอเชีย ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ม.๒ ๑. ใช้เครอื่ งมือทางภมู ิศาสตร์ในการ  เครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร์ทแ่ี สดงลักษณะ รวบรวม วเิ คราะห์ และนำเสนอข้อมูล ทางกายภาพและสงั คมของทวปี ยุโรป เกย่ี วกบั ลักษณะทางกายภาพและสังคม และแอฟริกา ของทวีปยุโรป และแอฟรกิ า ๒. วิเคราะห์ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง  ลกั ษณะทางกายภาพและสงั คมของทวปี ลกั ษณะทางกายภาพและสังคมของทวีป ยโุ รปและแอฟริกา ยโุ รปและแอฟริกา

๘๔ ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๓ ๑. ใช้เคร่อื งมอื ทางภมู ิศาสตร์ในการ  เครื่องมอื ทางภมู ิศาสตร์ทีแ่ สดงลักษณะ รวบรวม วเิ คราะห์ และนำเสนอข้อมลู ทางกายภาพและสงั คมของทวปี อเมรกิ า เกย่ี วกบั ลกั ษณะทางกายภาพและสงั คม เหนือ และอเมรกิ าใต้ ของทวปี อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต้ ๒.วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่าง  ลักษณะทางกายภาพและสงั คมของทวีป ลักษณะทางกายภาพและสังคมของทวีป อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ และอเมรกิ าใต้ ม.๔ – ม.๖ ๑. ใช้เครอ่ื งมือทางภมู ศิ าสตร์ในการ  เครือ่ งมือทางภูมิศาสตร์ ให้ขอ้ มูลและ รวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูล ขา่ วสารภมู ลิ ักษณ์ ภมู ิอากาศและภมู ิ ภูมิสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธภิ าพ สังคมของไทยและภมู ภิ าคตา่ งๆท่วั โลก ๒. วเิ คราะหอ์ ทิ ธิพลของสภาพ  ปัญหาทางกายภาพหรือภัยพิบตั ิทาง ภมู ิศาสตร์ ซึ่งทำใหเ้ กิดปญั หาทาง ธรรมชาติในประเทศไทยและภมู ภิ าคต่าง กายภาพหรอื ภยั พิบัตทิ างธรรมชาตใิ น ๆ ของโลก ประเทศไทยและภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก  การเปล่ยี นแปลงลักษณะทางกายภาพ ในส่วนต่าง ๆ ของ โลก  การเกดิ ภูมสิ ังคมใหม่ของโลก ๓. วิเคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงของพื้นท่ี  การเปลี่ยนแปลงของพื้นทซ่ี ึ่งไดร้ บั ซึง่ ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากปัจจยั ทางภูมศิ าสตร์ อิทธพิ ลจากปจั จยั ทางภูมิศาสตร์ ในประเทศไทยและทวีปต่างๆ ในประเทศไทยและทวีปตา่ งๆ เช่น การเคลอื่ นตัวของแผ่นเปลือกโลก ๔. ประเมนิ การเปล่ียนแปลงธรรมชาติ  การเปล่ยี นแปลงธรรมชาตใิ นโลก เชน่ ในโลกว่าเป็นผลมาจากการกระทำของ ภาวะโลกรอ้ น ความแห้งแล้ง สภาพ มนษุ ย์และหรือธรรมชาติ อากาศแปรปรวน สาระที่ ๕ ภูมศิ าสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๒ เขา้ ใจปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งมนุษยก์ ับสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพท่กี ่อให้เกดิ การสร้างสรรคว์ ฒั นธรรม มีจติ สำนึกและมสี ่วนร่วมในการอนุรกั ษ์ทรัพยากร และสิ่งแวดลอ้ ม เพ่ือการพัฒนาที่ย่งั ยนื ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. บอกส่งิ ต่าง ๆ ทเี่ กิดตามธรรมชาตทิ ่ี  ลักษณะภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศมีผลตอ่ ส่งผลตอ่ ความเปน็ อยู่ของมนุษย์ ความเปน็ อยู่ของมนุษย์ เช่น ท่ีอยู่อาศยั เครื่องแตง่ กายและอาหาร ๒. สงั เกตและ เปรยี บเทียบการเปลยี่ น  การเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มทอ่ี ยรู่ อบตวั แปลงของสภาพแวดลอ้ มทอี่ ยู่รอบตวั

๘๕ ช้นั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง  การรู้เท่าทนั สงิ่ แวดลอ้ มและปรบั ตัวเข้ากบั ๓. มสี ว่ นรว่ มในการจัดระเบยี บ ส่ิงแวดล้อมท่บี า้ นและชั้นเรยี น สง่ิ แวดล้อม ป.๒ ๑. อธบิ ายความสำคัญและคุณคา่  คุณค่าของสง่ิ แวดล้อมทางธรรมชาติ เชน่ ของส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติและ ในการประกอบอาชีพ ทางสงั คม  คณุ ค่าของส่งิ แวดลอ้ มทางสงั คม เชน่ สง่ิ ปลูกสร้างเพ่ือการดำรงชพี ๒. แยกแยะและใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ี  ความหมายของทรพั ยากรธรรมชาติ ใชแ้ ล้วไมห่ มดไปและทใ่ี ชแ้ ลว้ หมดไปได้  ประเภททรัพยากรธรรมชาติ อย่างคุ้มค่า -ใชแ้ ลว้ หมดไป เช่น แร่ - ใช้แลว้ ไม่หมด เชน่ บรรยากาศ นำ้ - ใชแ้ ล้วมกี ารเกิดขน้ึ มา ทดแทนหรือรักษา ไวไ้ ด้ เช่น ดิน ป่าไม้ สตั วป์ ่า - วิธีใช้ทรัพยากรอยา่ งคุม้ ค่า ๓. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ของฤดกู าลกบั  ความสมั พันธ์ของฤดูกาลกับการดำเนิน การดำเนินชวี ติ ของมนุษย์ ชีวิตของมนษุ ย์ ๔. มสี ่วนร่วมในการฟนื้ ฟูปรับปรุง  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอ้ ม ส่ิงแวดล้อมในโรงเรยี นและชมุ ชน  การรกั ษาและฟืน้ ฟูสิ่งแวดล้อม ป.๓ ๑. เปรยี บเทยี บการเปล่ียนแปลง  สภาพแวดลอ้ มในชมุ ชนในอดีตและ สภาพแวดล้อมในชุมชนจากอดตี ถึง ปัจจุบัน ปจั จุบัน ๒. อธบิ ายการพง่ึ พาส่งิ แวดล้อม  การพ่ึงพาสิง่ แวดลอ้ ม ในการดำรงชีวติ ของ และทรัพยากรธรรมชาติในการสนอง มนุษย์ เชน่ การคมนาคม บ้านเรือน ความต้องการพนื้ ฐานของมนุษย์ และการประกอบอาชีพในชุมชน และการประกอบอาชพี  การประกอบอาชีพท่ีเป็นผลมาจาก สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาตใิ นชมุ ชน ๓. อธบิ ายเกีย่ วกับมลพิษและการ  มลพษิ ท่ีเกิดจากการกระทำของมนุษย์ กอ่ ใหเ้ กิดมลพษิ โดยมนุษย์ ๔. อธบิ ายความแตกตา่ งของเมืองและ  ลกั ษณะของเมอื งและชนบท ชนบท ๕. ตระหนกั ถงึ การเปล่ียนแปลงของ  การเพ่ิมและสูญเสยี สง่ิ แวดล้อมทำให้ สิ่งแวดลอ้ มในชุมชน ชมุ ชนเปลย่ี นแปลง ป.๔ ๑. อธบิ ายสภาพ แวดล้อมทางกายภาพ  สภาพ แวดล้อมทางกายภาพของชมุ ชนที่ ของชมุ ชนทสี่ ง่ ผลต่อการดำเนินชวี ติ ของ ส่งผลต่อการดำเนินชวี ิตของคนในจังหวัด คนในจงั หวัด เช่น ลกั ษณะบา้ น อาหาร

๘๖ ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๒. อธบิ ายการเปลีย่ นแปลงสภาพ  การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดล้อมในจงั หวดั แวดล้อมในจงั หวดั และผลที่เกิดจากการ และผลทเี่ กดิ จากการเปลยี่ นแปลง เช่น เปล่ียนแปลงนนั้ การตั้งถน่ิ ฐาน การย้ายถ่ิน ๓. มสี ่วนรว่ มในการอนรุ ักษส์ ่ิงแวดล้อม  การอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มและ ในจงั หวดั ทรพั ยากรธรรมชาติในจงั หวดั ป.๕ ๑. วิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมทางกายภาพ  สภาพแวดล้อมทางกายภาพทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ ท่ีมอี ิทธพิ ลตอ่ ลักษณะการตง้ั ถ่ินฐาน ลกั ษณะการตั้งถิ่นฐานและการยา้ ยถิ่นของ และการยา้ ยถิน่ ของประชากร ประชากรในภมู ภิ าค ในภมู ิภาค ๒. อธบิ ายอทิ ธิพลของสงิ่ แวดลอ้ มทาง  อทิ ธิพลของสงิ่ แวดลอ้ มทางธรรมชาติท่ี ธรรมชาตทิ ่ีก่อใหเ้ กดิ วิถีชีวิตและการ ก่อให้เกดิ วถิ ีชวี ิตและการสรา้ งสรรค์ สร้างสรรค์วัฒนธรรมในภูมิภาค วัฒนธรรมในภมู ภิ าค ๓. นำเสนอตัวอย่างท่ีสะท้อนให้เห็นผล  ผลจากการรักษาและการทำลาย จากการรกั ษาและการทำลาย สภาพแวดลอ้ ม สภาพแวดล้อม และเสนอแนวคิด  แนวทางการอนรุ ักษ์และรกั ษา ในการรักษาสภาพแวดล้อมในภูมภิ าค สภาพแวดลอ้ มในภูมิภาค ป.๖ ๑. วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธร์ ะหว่าง  ส่งิ แวดลอ้ มทางธรรมชาติ กับส่งิ แวดล้อม ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ทางสงั คมในประเทศ ทางสังคมในประเทศ  ความสัมพันธ์และผลกระทบ ๒. อธิบายการแปลงสภาพธรรมชาตใิ น  ผลที่เกิดจากการปรับเปล่ียน หรอื ดัดแปลง ประเทศไทยจากอดีตถงึ ปจั จุบนั และผล สภาพธรรมชาตใิ นประเทศจากอดีต ถงึ ท่ีเกดิ ขนึ้ จากการเปลยี่ นแปลงนั้น ปัจจบุ ัน และผลทเี่ กดิ ข้นึ (ประชากร เศรษฐกิจ สังคม อาชีพ และวฒั นธรรม) ๓. จดั ทำแผนการใช้ทรพั ยากรในชมุ ชน  แนวทางการใชท้ รพั ยากรของคนในชุมชน ใหใ้ ช้ไดน้ านขน้ึ โดยมจี ิตสำนึกร้คู ุณค่าของ ทรัพยากร แผนอนุรกั ษ์ทรยั ากรในชุมชน หรือแผน อนรุ ักษ์ ม.๑ ๑. วิเคราะห์ผลกระทบจากการ  การเปลีย่ นแปลงประชากร เศรษฐกิจ เปล่ยี นแปลงทางธรรมชาติของทวปี สงั คม และวัฒนธรรมในทวปี เอเชยี เอเชยี ออสเตรเลยี และโอเชียเนีย ออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย  การก่อเกิดสงิ่ แวดลอ้ มใหม่ทางสังคม  แนวทางการใชท้ รพั ยากรของคนในชุมชน ใหใ้ ชไ้ ดน้ านข้นึ โดยมจี ิตสำนึกรคู้ ุณค่าของ ทรัพยากร  แผนอนรุ กั ษท์ รยั ากรในทวปี เอเชีย ๒. วเิ คราะหค์ วามรว่ มมอื ของประเทศ  ความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศในทวีปเอเชีย

๘๗ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตา่ ง ๆท่มี ีผลต่อสิ่งแวดลอ้ มทาง ออสเตรเลยี โอเชียเนยี ท่มี ีผลต่อ ธรรมชาตขิ องทวปี เอเชีย ออสเตรเลีย สง่ิ แวดลอ้ มทางธรรมชาติ และโอเชียเนีย ๓. สำรวจ และอธิบายทำเลทีต่ ง้ั  ทำเลทตี่ ้งั กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม กจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คมในทวปี ในทวปี เอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย เอเชยี ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย โดย เช่น ศนู ย์กลางการคมนาคม ใช้แหล่งขอ้ มลู ทห่ี ลากหลาย ๔. วเิ คราะห์ปัจจัยทางกายภาพและ  ปัจจัยทางกายภาพและสังคมท่ีมีผลตอ่ สงั คมท่มี ผี ลต่อการเล่ือนไหลของ การเลือ่ นไหลของความคิด เทคโนโลยี ความคดิ เทคโนโลยี สนิ คา้ และ สนิ คา้ และประชากรในทวีปเอเชยี ประชากรในทวปี เอเชยี ออสเตรเลีย ออสเตรเลยี และโอเชียเนีย และโอเชียเนีย ม.๒ ๑. วเิ คราะห์การก่อเกิดส่ิงแวดลอ้ มใหม่  การเปล่ยี นแปลงประชากร เศรษฐกจิ ทางสงั คม อนั เปน็ ผลจากการ สังคม และวฒั นธรรมของทวีปยโุ รป เปลย่ี นแปลงทางธรรมชาตแิ ละทางสังคม และแอฟริกา ของทวีปยโุ รป และแอฟรกิ า ๒. ระบุแนวทางการอนุรักษ์  การอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม สง่ิ แวดลอ้ มในทวีปยโุ รป และแอฟริกา ในทวปี ยุโรป และแอฟรกิ า ๓. สำรวจ อภปิ รายประเด็นปัญหา  ปญั หาเกี่ยวกบั ส่ิงแวดล้อมท่เี กิดขึ้นในทวีป เกย่ี วกับสงิ่ แวดล้อมทเ่ี กิดขน้ึ ในทวีปยุโรป ยโุ รป และแอฟริกา และแอฟริกา ๔. วิเคราะห์เหตุและผลกระทบท่ีประเทศ ผลกระทบจากการเปลยี่ นแปลงของ ไทยไดร้ ับจากการเปลีย่ นแปลงของ สงิ่ แวดลอ้ มในทวีปยโุ รป และแอฟริกา สิง่ แวดล้อมในทวปี ยุโรป และ ตอ่ ประเทศไทย แอฟริกา ม.๓ ๑. วเิ คราะหก์ ารก่อเกิดสิ่งแวดล้อมใหม่  การเปลี่ยนแปลงประชากร เศรษฐกิจ ทางสังคม อันเปน็ ผลจากการ สงั คม และวัฒนธรรมของทวีปอเมริกา เปล่ียนแปลงทางธรรมชาตแิ ละ เหนือและอเมริกาใต้ ทางสงั คมของทวีปอเมริกาเหนอื และ อเมริกาใต้ ๒. ระบุแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากร  ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มใน ธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มในทวปี ทวีป อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ อเมรกิ าเหนอื และอเมริกาใต้ ๓. สำรวจ อภิปรายประเด็นปัญหา  ปัญหาเกี่ยวกบั สิ่งแวดลอ้ มทเ่ี กิดข้นึ ในทวีป เกย่ี วกับส่ิงแวดล้อมท่ีเกิดข้ึนในทวปี อเมรกิ าเหนอื และอเมรกิ าใต้ อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต้

๘๘ ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๔. วิเคราะห์เหตุและผลกระทบตอ่ เนอื่ ง  ผลกระทบตอ่ เนื่องของส่ิงแวดล้อมในทวปี จากการเปลีย่ นแปลงของสิ่งแวดลอ้ มใน อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ที่ส่งผลตอ่ ทวปี อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต้ ท่ี ประเทศไทย ส่งผลตอ่ ประเทศไทย ม.๔ –ม.๖ ๑.วเิ คราะห์สถานการณ์และวิกฤตการณ์  การเปล่ยี นแปลงลักษณะทางกายภาพ ดา้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ในสว่ นต่าง ๆ ของ โลก ของประเทศไทยและโลก  การเกิดภมู ิสงั คมใหม่ ๆ ในโลก  วิกฤตการณ์ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สง่ิ แวดล้อมของประเทศไทยและโลก ๒. ระบุมาตรการปอ้ งกันและแกไ้ ข  มาตรการปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา ปญั หา บทบาทขององค์การและการ บทบาทขององค์การและการประสานความ ประสานความร่วมมือทั้งในประเทศและ รว่ มมือทง้ั ในประเทศและนอกประเทศ นอกประเทศเกย่ี วกับกฎหมาย กฎหมายส่ิงแวดล้อม การจดั การ สิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ๓. ระบุแนวทางการอนรุ ักษ์ทรพั ยากร  การอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและ ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในภมู ภิ าคตา่ ง ส่งิ แวดลอ้ มในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ๆ ของโลก ๔. อธิบายการใช้ประโยชน์จาก  การใชป้ ระโยชน์จากส่ิงแวดลอ้ มในการ สง่ิ แวดลอ้ มในการสร้างสรรค์วฒั นธรรม สรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ อนั เป็นเอกลกั ษณข์ องท้องถนิ่ ทัง้ ใน ของท้องถนิ่ ทั้งในประเทศไทยและโลก ประเทศไทยและโลก ๕. มีสว่ นร่วมในการแก้ปญั หาและ  การแกป้ ญั หาและการดำเนินชีวิตตาม การดำเนนิ ชีวิตตามแนวทางการอนุรักษ์ แนวทางการอนรุ ักษท์ รัพยากรและ ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม เพอื่ การ ส่ิงแวดล้อม เพ่ือการพฒั นาที่ยัง่ ยืน พฒั นาที่ย่งั ยืน

๘๙ อภิธานศัพท์ กตัญญกู ตเวที ผู้รูอ้ ุปการะที่ท่านทำแล้วและตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ข้อ ๑. กตญั ญู รู้คุณท่าน ๒. กตเวที ตอบแทนหรือสนองคุณท่าน ความกตัญญูกตเวทีว่าโดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดับ คือ ๒.๑ กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มีคุณความดีหรืออุปการะต่อตนเป็นส่วนตัว ๒.๒ กตัญญูกตเวทีต่อ บคุ คลผไู้ ดบ้ ำเพ็ญคณุ ประโยชนห์ รอื มีคุณความดี เก้อื กูลแกส่ ว่ นร่วม (พ.ศ. หนา้ ๒-๓) กตัญญูกตเวทีต่ออาจารย์ / โรงเรียน ในฐานะที่เป็นศิษย์ พึงแสดงความเคารพนับถืออาจารย์ ผู้ เปรยี บเสมือนทิศเบ้ืองขวา ดังน้ี ๑. ลูกต้อนรับ แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพ่ือบำรุง รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เป็นต้น ๓. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รู้จักฟัง ให้เกิดปัญญ า ๔. ปรนนิบตั ิ ชว่ ยบริการ ๕. เรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจังถอื เป็นกิจสำคญั ดว้ ยดี กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจ ประกอบด้วยความ จงใจหรือจงใจทำดีก็ตาม ช่ัวก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ในตกลงไปตายเป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินไว้ใช้ สัตว์ตกลงไปตายเองไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในท่ีซ่ึงคน จะพลัดตกได้ง่ายแล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปก็ไม่พ้นกรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี” ท่ชี ่วั เรียกวา่ “กรรมช่วั ” (พ.ศ. หนา้ ๔) กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุมี ๒ คือ ๑. อกุศลกรรม กรรมท่ีเป็นอกุศล กรรมชว่ั คือเกดิ จากอกศุ ลมูล ๒. กศุ ลกรรม กรรมทเี่ ปน็ กศุ ล กรรมดี คอื กรรมท่เี กิดจากกศุ ลมูล กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคือทางท่ีกรรมมี ๓ คือ ๓. กายกรรม การกระทำทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลกั เกณฑ์เก่ียวกับการใหผ้ ล มี ๑๒ อยา่ ง คือ หมวดท่ี ๑ ว่าด้วยปากกาล คือจำแนกตามเวลาท่ีให้ผล ได้แก่ ๑. ทิฏฐิธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ ให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้ ๒. อุปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภาพที่จะไปเกิด คือ ในภพหน้า ๓. อปราบปรเิ วทนยี กรรม กรรมท่ีใหผ้ ลในภพต่อ ๆ ไป ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือการให้ผลตามหน้าท่ี ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมที่เป็น ตัวนำไปเกดิ ๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน คอื เขา้ สนบั สนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗. อุป ปีฬกกรรม กรรมบีบค้ัน คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลา เบาลงหรือสั้นเข้า ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามท่ีเข้าตัดรอนให้ผลของ กรรมสองอยา่ งนั้นขาดหรือหยุดไปทีเดยี ว .................................................................. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ การจดั สาระการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา กลมุ่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสภาลาดพร้าว ,คร้งั ที่ ๒ ๒๕๔๖ . *หมายเหตุ พ.ศ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ; พ.ธ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมาวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๙ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๔๓. หมวดท่ี ๓ ว่าโดยปานทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรที่ทำมากหรือกรรมชินให้ผลรองลงมา ๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอ่ืน ๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างน้ัน ใหผ้ ลต่อเม่ือไมม่ ีกรรมอื่นจะให้ผล (พ.ศ. หน้า ๕)

๙๐ กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการงาน อารมณ์เป็นท่ีต้ังแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน คอื อบุ ายสงบใจ วปิ สั สนากรรมฐาน อุบายเรืองปญั ญา (พ.ศ. หนา้ ๑๐) กลุ จิรัฏตธรรม ๔ ธรรมสำหรับดำรงความม่นั คงของตระกูลให้ย่งั ยนื เหตทุ ่ีทำให้ตระกูลม่ังคั่งต้ังอยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นัฏฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รู้จักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏิสังขรณา คือ ของเก่าของชำรุด รู้จักบูรณะซ่อมแซม ๓. ปริมิตปานโภชนา คือ รู้จักประมาณในการกินการใช้ ๔. อธิปัจจสีลวันต สถาปนา คือ ตงั้ ผูม้ ศี ลี ธรรมเปน็ พ่อบา้ นแม่เรอื น (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) กศุ ล บุญ ความดี ฉลาด ส่ิงที่ดี กรรมดี (พ.ศ. หน้า ๒๑) กศุ ลกรรม กรรมดี กรรมทเ่ี ป็นกุศล การกระทำทีด่ คี อื เกดิ จากกุศลมลู (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ กรรมดี ทางทำดี กรรมดีอันเปน็ ทางนำไปส่สู คุ ติมี ๑๐ อยา่ งไดแ้ ก่ ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถอื เอาของท่ีเขามไิ ด้ให้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤตผิ ดิ ในกาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ ๕. ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจ้องอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้าย เบยี ดเบียนเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลมูล รากเหงา้ ของกุศล ต้นเหตุของกุศล ต้นเหตุของความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไมโ่ ลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม่ คิดประทุษรา้ ย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปญั ญา) (พ.ศ. หนา้ ๒๒) กุศลวิตก ความตรึกท่ีเป็นกุศล ความนึกคิดท่ีดีงาม ๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหิสาวิตก ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน (พ.ศ. หน้า ๒๒) โกศล ๓ ความฉลาด ความเช่ียวชาญ มี ๓ อย่าง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเส่ือมและเหตุของ ความเสื่อม ๓. อุปายโกศล คือ ความฉลาดในอุบาย รอบรู้วิธีแก้ไขเหตุการณ์และวิธีท่ีจะทำให้สำเร็จ ท้งั ในการป้องกันความเส่ือมและในการสร้างความเจรญิ (พ.ศ. หนา้ ๒๔) ขันธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลำตัว หมวดหน่ึง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมท้ังหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง ได้แก่ รูปขันธ์ คือ กองรูป เวทนาขันธ์ คือ กองเวทนา สัญญาขันธ์ คือ กองสัญญา สังขารขันธ์ คือ กอง สังขาร วญิ ญาณขันธ์ คือ กองวญิ ญาณ เรยี กรวมวา่ เบญจขนั ธ์ (พ.ศ. หนา้ ๒๖ - ๒๗) คารวธรรม ๖ ธรรม คือ ความเคารพ การถือเปน็ ส่ิงสำคัญท่จี ะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วย ความเอื้อเฟื้อ หรือ โดยความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือพุทธ คารวตา ความเคารพในพระพุทธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สังฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไมป่ ระมาท ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา ความเคารพในการปฏสิ นั ถาร (พ.ธ. หน้า ๒๒๑)

๙๑ คิหิสุข (กามโภคีสุข ๔) สุขของคฤหัสถ์ สุขของชาวบ้าน สุขท่ีชาวบ้านควรพยายามเข้าถึงให้ได้สม่ำเสมอ สุขอันชอบธรรมท่ีผู้ครองเรือนควรมี ๔ ประการ ๑. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ ๒. โภคสุข สุข เกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ ๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ๔. อนวัชชสุข สุขเกิดจากความ ประพฤตไิ มม่ ีโทษ (ไม่บกพรอ่ งเสียหายท้ังทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๓) ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง ๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสยั ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝกึ หัด ดัดนิสัย แก้ไขขอ้ บกพร่อง ปรับปรุง ตนให้เจริญก้าวหน้าด้วยสติปัญญา ๓. ขันติ คือ ความอดทน ต้ังหน้าทำหน้าท่ีการงานด้วยความ ขยันหม่ันเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หว่ันไหว ม่ันในจุดหมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คือ เสียสละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟัง ความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่น พร้อมที่จะร่วมมือช่วยเหลือ เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ ไม่คบั แคบเห็นแก่ตวั หรือ เอาแต่ใจตวั (พ.ธ. หนา้ ๔๓) จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ สภาพที่นึกคิด ความคิด ใจ ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ แบ่งโดย ชาติเป็นอกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วปิ ากจติ ๓๖ และกิริยาจิต ๘ (พ.ศ. หนา้ ๔๓) เจตสกิ ธรรมที่ประกอบกบั จติ อาการหรือคณุ สมบตั ิต่าง ๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญาเปน็ ต้น มี ๕๒ อยา่ ง จดั เปน็ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ (พ.ศ. หนา้ ๔๙) ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความต้องการ ความรักใคร่ในส่ิงนั้น ๆ ๒. ความยินยอม ความยอมให้ที่ประชมุ ทำกิจนน้ั ๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยดู่ ้วย เปน็ ธรรมเนียมของภิกษทุ ่ีอยู่ในวดั ซง่ึ มีสมี า รวมกัน มีสทิ ธทิ ี่จะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแตภ่ ิกษุนน้ั อาพาธ จะเข้ารว่ มประชมุ ด้วยไม่ได้ ก็มอบ ฉนั ทะคอื แสดงความยินยอมให้สงฆท์ ำกิจนั้น ๆ ได้ (พ.ศ. หนา้ ๕๒) ฌาน การเพ่ง การเพง่ พินิจด้วยจติ ที่เป็นสมาธิแน่วแน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐) ฌานสมบตั ิ การบรรลุฌาน การเข้าฌาน (พุทธธรรม หน้า ๙๖๔) ดรุณธรรม ธรรมท่ีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คือ ข้อปฏิบัติท่ีเป็นดุจประตูชัยอันเปิดออกไปสู่ความสุข ความ เจริญก้าวหน้าแห่งชีวิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสุขภาพดี มิให้มีโรคท้ังจิต และ กาย ๒. ศลี คือ มรี ะเบยี บวินัย ไม่ก่อเวรภัยแก่สังคม ๓. พุทธานุมตั ิ คือ ได้คนดีเป็นแบบอย่าง ศึกษา เยี่ยงนยิ มแบบอย่างของมหาบุรุษพุทธชน ๔. สตุ ะ คือ ตัง้ เรียนรู้ใหจ้ ริง เลา่ เรียนค้นคว้าให้รู้เช่ียวชาญ ใฝ่สดับเหตุการณ์ให้รู้เท่าทัน ๕. ธรรมานุวัติ คือ ทำแต่ส่ิงที่ถูกต้องดีงาม ดำรงม่ันในสุจริต ท้ังชีวิต และงานดำเนินตามธรรม ๖. อลีนตา คือ มีความขยันหม่ันเพียร มีกำลังใจแข็งกล้า ไม่ท้อแท้ เฉอื่ ยชา เพยี รกา้ วหน้าเรื่อยไป (ธรรมนูญชวี ิต บทที่ ๑๕ คนสบื ตระกูล ขอ้ ก. หนา้ ๕๕) หมายเหตุ หลักธรรมข้อน้ีเรียกชื่ออีกย่างหนึ่งว่า “วัฒนมุข” ตรงคำบาลีว่า “อัตถทวาร” ประตูแห่ง ประโยชน์ ตัณหา (๑) ความทะยานอยาก ความดินรน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความทะยาน อยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักน่าใคร่ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นน่ันเป็น น่ี ๓. วิภวตณั หา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไมเ่ ป็นน่ันไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้นดบั สญู ไปเสีย ตันหา (๒) ธิดามารนางหนึ่งใน ๓ นาง ที่อาสาพระยามารผู้เป็นบิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการ ต่าง ๆ ในสมัยที่พระองค์ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ภายหลังตรัสรู้ใหม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดี กับราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒)

๙๒ ไตรลักษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ๑. อนิจจตา (ความเป็นของ ไมเ่ ที่ยง) ๒. ทุกขตา (ความเป็นทุกข)์ ๓. อนตั ตา (ความเป็นของไม่ใช่ตน) (พ.ศ. หน้า ๑๐๔) ไตรสิกขา สิกขาสาม ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธิศีลสิกขา หมายถึง สิกขา คือ ศีลอันย่ิง ๒. อธิจิตตสิกขา หมายถึง สิกขา คือ จิตอันยิ่ง ๓. อธิปัญญาสิกขา หมายถึง สิกขา คือ ปัญญา อนั ยิ่ง เรียกกันง่าย ๆ วา่ ศีล สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๘๗) ทศพธิ ราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรบั พระเจ้าแผ่นดิน คุณสมบตั ิของนักปกครองท่ีดี สามารถปกครองแผ่นดินโดย ธรรม และยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน จนเกิดความช่ืนชมยินดี มี ๑ ๐ ประการ คือ ๑. ทาน การให้ทรัพย์สินสิ่งของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซ่ือตรง ๕. มัททวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นใน ความสุขสำราญ ๗. อักโกธะความไม่กริ้วโกรธ ๘. อวิหิงสา ความไม่ข่มเหงเบียดเบียน ๙. ขันติ ความอดทนเขม้ แข็ง ไม่ทอ้ ถอย ๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม (พ.ศ. หน้า ๒๕๐) ทฏิ ธมั มิกัตถสังวตั ตนิกธรรม ๔ ธรรมทีเ่ ปน็ ไปเพอื่ ประโยชน์ในปัจจุบัน คือ ประโยชน์สขุ สามญั ท่ีมองเห็นกนั ใน ชาติน้ี ท่ีคนท่ัวไปปรารถนา เช่น ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น มี ๔ ประการ คือ ๑.อุ ฏ ฐานสั มปทา ถึ งพร้อมด้ วยความหม่ั น ๒. อารักขสั มปทา ถึ งพร้อมด้ วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ๔. สมชีวิตา การเลี้ยงชีพตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ (พ.ศ. หนา้ ๙๕) ทุกข์ ๑. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและดับสลาย เนื่องจาก ต้องไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ข้ึนต่อตัวมันเอง ๒. สภาพท่ีทนได้ยาก ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา (พ.ศ. หนา้ ๙๙) ทุกรกิริยา กิริยาที่ทำได้ยาก การทำความเพียรอันยากท่ีใคร ๆ จะทำได้ เช่น การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรม วิเศษ ด้วยวธิ ีทรมานตนต่าง ๆ เช่น กล้ันลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอด อาหาร เป็นตน้ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) ทุจริต ๓ ความประพฤติไม่ดี ประพฤติชั่ว ๓ ทาง ได้แก่ ๑. กายทุจริต ประพฤติชั่วทางกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤตชิ ่ัวทางวาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤตชิ ั่วทางใจ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) เทวทูต ๔ ทูตของยมเทพ ส่ือแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณที่เตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มีให้มีความ ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวมเป็น เทวทูตไปด้วยโดยปริยายเพราะมาในหมวดเดียวกัน แต่ในบาลีท่านเรียกว่านิมิต ๔ ไม่ได้เรียกเทวทูต (พ.ศ. หนา้ ๑๐๒) ธาตู ๔ ส่ิงที่ทรงภาวะของม้ันอยู่เองตามธรรมดาของเหตุปจจัย ได้แก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีแผ่ไปหรือ กินเนื้อที่ เรียกชื่อสามัญว่า ธาตุเข้มแข็งหรือธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ หมายถึง สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลว หรือธาตุน้ำ ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีทำให้ร้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะทท่ี ำใหเ้ คลอ่ื นไหว เรยี กสามัญว่า ธาตลุ ม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓) นาม ธรรมที่รู้จักกันด้วยช่ือ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเร่ืองของจิตใจ ส่ิงท่ีไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ ของจติ ได้ (พ.ศ. หน้า ๑๒๐) นิยาม ๕ กำหนดอันแน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติเก่ียวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดิน น้ำ อากาศ และฤดูกาล อันเป็นสิ่งแวดล้อมสำหรับมนุษย์) ๒. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ มี พันธุกรรมเป็นต้น) ๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทำ) ๕. ธรรมนิยาม (กฎ

๙๓ ธรรมช าติเกี่ยวกับ ความสัม พั น ธ์และอาการที่ เป็ น เห ตุ เป็ น ผลแก่กัน แห่ งสิ่งทั้ งห ลาย (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) นิวรณ์ ๕ สิ่งที่ก้ันจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมท่ีก้ันจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมท่ีทำจิตให้เศร้า หมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขัดเคืองแค้นใจ) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) ๔. อุทธัจจกุกกุจ จะ (คามฟุ้งซ่านและร้อนใจ ความกระวนกระวายกลุ้มกังวล) ๕. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) (พ.ธ. หน้า ๑๙๕) นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ท่ีจะเกิดข้ึนได้ หมายถึง พระนิพพาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗) บารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยง่ิ ยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่งมี ๑๐ คอื ทาน ศีล เนกขมั มะ ปัญญา วริ ิยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา (พ.ศ. หนา้ ๑๓๖) บุญกิริยาวัตถุ ๓ ที่ต้ังแห่งการทำบุญ เรื่องที่จัดเป็นการทำความดี หลักการทำความดี ทางความดีมี ๓ ประการ คือ ๑. ทานมัย คือทำบุญด้วยการให้ปนั สิ่งของ ๒. ศีลมัย คือ ทำบุญดว้ ยการรักษาศลี หรอื ประพฤติดี มีระเบยี บวินยั ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญดว้ ยการเจริญภาวนา คอื ฝกึ อบรมจิตใจ (พ.ธ. หน้า ๑๐๙) บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ท่ีต้ังแห่งการทำบุญ ทางความดี ๑. ทานมัย คือทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ ๒. สีลมัย คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดี ๓. ภาวนมัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรม จิตใจ ๔. อปจายนมัย คือ ทบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ๕. เวยยาวัจจมัย คือ ทำบุญด้วย การช่วยขวนขวาย รับใช้ ๖. ปัตติทานมัย คือ ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อ่ืน ๗. ปตั ตานุโมทนามัย คือ ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อ่ืน ๘. ธัมมัสสวนมัย คือ ทำบุญด้วยการ ฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทำบญุ ด้วยการส่ังสอนธรรมให้ความรู้ ๑๐. ทฏิ ฐชุ กุ รรม คือ ทำบญุ ดว้ ยการทำความเหน็ ให้ตรง (พ.ธ. หนา้ ๑๑๐) บุพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทา บุพนิมิต แปลว่า ส่ิงท่ีเป็นเครื่องหมายหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองค์ตรัส เปรียบเทียบว่า ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะข้ึน ย่อมมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เห็นก่อนฉันใด ก่อนที่ อริยมรรคซ่ึงเป็นข้อปฏิบัติสำคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดข้ึน ก็มีธรรมบางประการปรากฏขึ้นก่อน เหมือนแสงเงนิ แสงทองฉันนั้น องค์ประกอบของธรรมดังกล่าว หรอื บุพนิมติ แห่งมัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ ๑. กัลป์ยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล มีวินัย มีความเป็นระเบียบ ในชีวิตของตนและในการอยู่ร่วมในสังคม ๓. ฉันทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยฉันทะ พอใจใฝ่รักในปัญญา สัจธรรม ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจริงและใฝ่ทำความดี ๔. อัตตสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยการที่จะ ฝึกฝน พัฒนาตนเอง เห็นความสำคัญของการที่จะต้องฝึกตน ๕. ทิฏฐิสัปทา ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ยดึ ถือ เชื่อถอื ในหลักการ และมีความเหน็ ความเขา้ ใจพ้ืนฐานทีม่ องสงิ่ ท้ังหลายตามเหตปุ ัจจัย ๖. อัปป มาทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของ กาลเวลา เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นส่ิงกระตุ้นเตือนให้เร่งรัดการค้นหาให้เขาถึงความจริงหรือในการ ทำชีวิตท่ีดีงามให้สำเร็จ ๗. โยนิโสมนสิการ รู้จัดคิดพิจารณา มองสิ่งทั้งหลายให้ได้ความรู้และได้ ประโยชนท์ ่จี ะเอามาใชพ้ ัฒนาตนเองยิง่ ๆ ข้ึนไป (แสงเงินแสงทองของชวี ิตท่ี ดงี าม: พระธรรมปฎิ ก) (ป.อ. ปยตุ ฺโต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ท่ีควรประพฤติคกู่ ันไปกบั การรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อ ดังน้ี ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชีวะ ๓. กามสังวร (สำรวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สติสัมปชัญญะ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศีล ศีล ๕ เว้นฆา่ สัตว์ เว้นลักทรพั ย์ เวน้ ประพฤตผิ ิดในกาม เว้นพดู ปด เวน้ ของเมา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๑) ปฐมเทศนา เทศนาครั้งแรก หมายถึง ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแกพ่ ระปัญจวัคคียใ์ นวันข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู้ องเดือน ทีป่ ่าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เมอื งพาราณสี (พ.ศ. หน้า ๑๔๗)

๙๔ ปฏิจจสมุปบาท สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น การท่ีส่ิงท้งั หลายอาศัยกันจึงมีขึ้น การที่ทุกข์เกิดข้ึนเพราะอาศัยปัจจัย ตอ่ เนอ่ื งกนั มา (พ.ศ. หน้า ๑๔๓) ปรยิ ตั ิ พทุ ธพจน์อนั จะพึงเล่าเรยี น สง่ิ ที่ควรเล่าเรียน การเล่าเรียนพระธรรมวนิ ยั (พ.ศ. หนา้ ๑๔๕) ปธาน ๔ ความเพียร ๔ อย่าง ไดแ้ ก่ ๑. สังวรปธาน คอื การเพียรระวังหรือเพียรปิดก้ัน (ยับย้ังบาปอกุศลธรรมที่ยัง ไม่เกิด ไม่ให้เกิดข้ึน) ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓. ภาวนาป ธาน คือ เพียรเจริญ หรอื ทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดข้ึน ๔. อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษากุศลธรรมท่ีเกิดข้ึน แล้วไม่ให้เส่ือมไปและทำใหเ้ พ่มิ ไพบลู ย์ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๙) ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเคร่ืองเน่ินช้า กิเลสที่เป็นตัวการทำให้คิดปรุงแต่งยึดเย้ือพิสดาร ทำให้เขาห่างออกไปจาก ความเป็นจริงง่าย ๆ เปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริง หรือทำให้ ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อย่าง คือ ๑. ตณั หา (ความทะยานอยาก ความปรารถนา ท่ีจะบำรุงบำเรอ ปรนเปรอตน ความยากได้อยากเอา) ๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเช่ือถือ ลักธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ท่ียึดถือไว้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูว่าอย่างน้ีเท่านั้นจริงอย่างอ่ืนเท็จท้ังน้ัน เป็น ต้น ทำให้ปิดตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตัดโอกาสท่ีจะเจริญปัญญา หรือคิดเตลิดไปข้างเดียว ตลอดจน เป็นเหตุแห่งการเบียดเบียนบีบค้ันผู้อ่ืนที่ไม่ถืออย่างตน ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ คือความคิดเห็นเป็น ความจริง) ๓. มานะ (ความถือตัว ความสำคัญตนว่าเป็นน่ันเป็นนี่ ถือสูง ถือต่ำ ยิ่งใหญ่ เท่าเทียมหรือ ดอ้ ยกว่าผอู้ ่นื ความอยากเด่นอยากยกชตู นให้ยิ่งใหญ่) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๑) ปฏเิ วธ เขา้ ใจตลอด แทงตลอด ตรสั รู้ รู้ทะลุปรุโปร่ง ลุล่วงด้วยการปฏบิ ตั ิ (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รู้ซ้ึง มี ๓ อย่าง คือ ๑. สุตมยปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การสดับการเล่าเร่ือง) ๒. จินตามนปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การคิด การพิจารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกิด แต่การฝกึ อบรมลงมอื ปฏบิ ัติ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๓) ปัญญาวฒุ ธิ รรม ธรรมเป็นเครื่องเจริญปัญญา คุณธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ๑. สัปปุริสสังเสวะ คบหาสัตบุรุษ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังสัทธรรม เอาใจใส่ เล่าเรียนหา ความรู้จริง ๓. โยนิโสมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี ๔. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ให้สอดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวัตถุประสงค์ที่สัมพันธ์กับ ธรรมข้ออื่น ๆ นำส่ิงท่ีได้เล่าเรยี นและตริตรองเห็นแลว้ ไปใช้ปฏิบตั ิให้ถูกต้องตามความมุ่งหมายของส่ิงนั้น ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๒ – ๑๖๓) ปาปณิกธรรม ๓ หลักพ่อค้า องค์คุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รู้จักสินค้า) ดูของเป็น สามารถ คำนวณราคา กะทุน เก็งกำไร แม่นยำ ๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู้แหล่งซื้อขาย รู้ความเคลื่อนไหวความ ต้องการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า) ๓. นิสสยสัมปันโน พร้อม ด้วยแหล่งทุนอาศัย (เป็นท่ีเชื่อถือไว้วางในในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนินกิจการ โดยงา่ ย ๆ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๔) ผัสสะ หรือ สัมผัส การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ มี ๖ คือ ๑. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) ๔. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางล้ิน คือ ล้ิน + รส + ชิวหาวิญญาณ) ๕. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) ๖. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) (พ.ธ. หน้า ๒๓๓)

๙๕ ผ้วู เิ ศษ หมายถึง ผสู้ ำเร็จ ผมู้ ีวทิ ยากร (พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลกั ความจรงิ และหลักความประพฤติ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๓) พระอนุพุทธะ ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน (พ.ศ. หนา้ ๓๗๔) พระปจั เจกพุทธะ พระพุทธเจา้ ประเภทหน่ึง ซ่งึ ตรัสรู้เฉพาะตวั มิไดส้ ่ังสอนผอู้ ืน่ (พ.ศ. หนา้ ๑๖๒) พระพุทธคุณ ๙ คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ได้แก่ อรหํ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ๒. สมฺมาสัมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ จรณะ ๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี ๕. โลกวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษท่ีสมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูผู้สอนเทวดา และมนุษย์ท้ังหลาย ๘. พุทฺโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค มีความเจริญ จำแนก ธรรมส่งั สอนสตั ว์ (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑) พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระภิกษุ ชายผู้ได้อุปสมบทแล้ว ชายที่บวชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศัพท์ว่า ผู้ขอหรือผู้มองเห็นภัยใน สังขารหรือผู้ทำลายกิเลส ดูบริษัท ๔ สหธรรมิก บรรพชิต อุปสัมบัน ภิกษุสาวกรูปแรก ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ (พ.ศ. หนา้ ๒๐๔) พระรัตนตรัย รัตนะ ๓ แก้วอันประเสริฐ หรือสิ่งล้ำค่า ๓ ประการ หลักท่ีเคารพบูชาสูงสุดของ พุทธศาสนิกชน ๓ อย่าง คือ ๑ พระพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้เอง และสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม) ๒.พระธรรม (คำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ท้ังหลักความจริงและหลักความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมู่สาวกผู้ ปฏบิ ตั ติ ามคำส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ) (พ.ธ.หน้า ๑๑๖) พระสงฆ์ หมู่ชนที่ฟังคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้ตรัสรเู้ อง และสอนผูอ้ ่ืนให้รตู้ าม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙) พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรูด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง สอน ได้แก่ พระอรหันต์สาวกทงั้ หลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระอรยิ บุคคล หมายถงึ บุคคลผูเ้ ป็นอรยิ ะ ทา่ นผูบ้ รรลธุ รรมวิเศษ มโี สดาปัตติผล เปน็ ตน้ มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรอื สกิทาคามี) ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหนั ต์ แบง่ พิสดารเป็น ๘ คือ พระผตู้ ้ังอยู่ในโสดาปัตตมิ รรค และพระผูต้ ัง้ อย่ใู นโสดาปตั ติผลคู่ ๑ พระผู้ตัง้ อยูใ่ นสกทาคามิมรรค และพระผ้ตู ้ังอยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ พระผตู้ ้ังอยู่ในอนาคามมิ รรค และพระผตู้ ั้งอยูใ่ นอนาคามิผลคู่ ๑ พระผ้ตู ง้ั อย่ใู นอรหตั ตมรรค และพระผู้ต้ังอยูใ่ นอรหตั ตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หนา้ ๓๘๖) พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหน่ึงใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เป็นวรรณะ นกั บวชและเปน็ เจา้ พธิ ี ถอื ตนว่าเปน็ วรรณะสงู สดุ เกิดจากปากพระพรหม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕)

๙๖ พละ ๔ กำลงั พละ ๔ คือ ธรรมอนั เป็นพลังทำใหด้ ำเนนิ ชีวติ ด้วยความม่ันใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นภัยตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ๑. ปัญญาพละ กำลังคือปัญญา ๒. วิริยพละ กำลังคือความเพียร ๓. อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำ ที่ไมม่ โี ทษ ๔. สงั คหพละ กำลงั การสงั เคราะห์ คือ เกอื้ กลู อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนไดด้ ี (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กำลัง พละ ๕ คือ ธรรมอันเป็นกำลัง ซ่ึงเป็นเคร่ืองเก้ือหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวก โพธิปักขิยธรรม มี ๕ คือ สทั ธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปญั ญา (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕ – ๑๘๖) พุทธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออก บิณฑบาต เพ่ือโปรดสัตว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลักธรรมให้เข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมฺม เทสนํ ตอนเย็น แสดงธรรมแก่ประชาชนที่มาเฝ้าบริเวณที่ประทับ ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ตอนเท่ียงคืนทรงตอบปัญหาแก่พวก เทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วโิ ลกนํ ตอนเชา้ มืด จวนสวา่ ง ทรงตรวจพิจารณาสตั ว์โลก วา่ ผู้ใดมอี ปุ นสิ ยั ทจี่ ะบรรลุธรรมได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙ - ๑๙๐) พุทธคุณ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปํญญาคุณ (พระคุณ คือ ปัญญา) ๒. วิสุทธิคุณ (พระคุณ คือ ความ บรสิ ุทธ)ิ์ ๓. กรุณาคุณ (พระคุณ คือ พระมหากรณุ า) (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑) ภพ โลกเป็นท่ีอยู่ของสัตว์ ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เขา้ ถงึ รปู ฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู้ ข้าถึงอรปู ฌาน (พ.ศ. หนา้ ๑๙๘) ภาวนา ๔ การเจริญ การทำให้มีข้ึน การฝึกอบรม การพัฒนา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สีลภาวนา ๓. จติ ตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภูมิ ๓๑ ๑.พื้นเพ พื้น ช้ัน ท่ีดิน แผ่นดิน ๒. ชั้นแห่งจิต ระดับจิตใจ ระดับชีวิต มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมิที่ปราศจากความเจริญ) - นิรยะ (นรก) – ติรัจฉานโยนิ (กำเนิดดิรัจฉาน) – ปิตติ วิสัย (แดนเปรต) - อสรุ กาย (พวกอสูร) กามสุคติภูมิ ๗ (กามาวจรภูมิที่เป็นสุคติ ภูมิที่เป็นสุคติซึ่ง ยังเกี่ยวข้องกับกาม) - มนุษย์ (ชาวมนุษย์) – จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นท่ีท้าวมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดึงส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มีท้าวสักกะเป็นใหญ่) -ยามา (แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์) - ดุสิต (แดนแห่งผู้เอิบอ่ิมด้วยสิริสมบัติของตน) - นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต) - ปรนิมมติ วสวตั ตี (แดนแห่งเทพผู้ยงั อำนาจใหเ้ ปน็ ไปในสมบตั ทิ ่ีผู้อ่นื นริ มติ ให้) (พ.ธ. หน้า ๓๑๖-๓๑๗) โภคอาทิยะ ๕ ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ ในการท่ีจะมีหรือเหตุผลในการท่ีจะมีหรือครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองท้ังหลายให้เป็นสุข ๒. บำรุงมิตรสหาย และร่วมกิจกรรมการงานให้เป็นสุข ๓. ใช้ป้องกันภยันตราย ๔. ทำพลี คือ ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ อติถิ พลี ต้อนรับแขก ปพุ พเปตพลี ทำบญุ อุทศิ ให้ผู้ล่วงลับ ราชพลี บำรุงราชการ เสียภาษี เทวตาพลี สักการะ บำรงุ สง่ิ ทีเ่ ชือ่ ถอื ๕. อุปถมั ภบ์ ำรุงสมณพราหมณ์ ผ้ปู ระพฤติชอบ (พ.ธ. หนา้ ๒๐๒ -๒๐๓) มงคล สงิ่ ที่ทำให้มีโชคดีตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมที่นำมาซงึ่ ความสุข ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรือ เรียกเต็มว่า อุดมมงคล (มงคลอันสูงสุด) ๓๘ ประการ (ดูรายละเอียดมงคลสูตร) (พ.ศ. หนา้ ๒๑๑) มิจฉาวณิชชา ๕ การค้าขายที่ผิดศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สัตถวณิชชา ค้าอาวุธ ๒. สัตตวณิชชา ค้ามนุษย์ ๓. มังสวณิชชา เล้ียงสัตว์ไว้ขายเน้ือ ๔. มัชชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา ๕. วสิ วณชิ ชา ค้าขายยาพษิ (พ.ศ. หน้า ๒๓๓) มรรคมอี งค์ ๘ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่า “อริยอัฏฐังคิกมรรค” ได้แก่ ๑. สัมมาทิฎฐิ เห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ ทำการชอบ ๕ . สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีพ ชอบ ๖ . สัมมาวายามะ เพี ยรชอบ ๗ .สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตัง้ จิตมั่นชอบ (พ.ศ. หน้า ๒๑๕)

๙๗ มิจฉตั ตะ ๑๐ ภาวะที่ผิด ความเป็นสงิ่ ท่ีผิด ได้แก่ ๑. มิจฉทิฏฐิ (เห็นผิด ได้แก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรมตาม หลักกุศลกรรมบถ และความเห็นท่ีไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์) ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดำริผิด ได้แก่ ความ ดำรทิ เี่ ป็นอกุศลทงั้ หลาย ตรงข้ามจากสัมมาสังกัปปะ) ๓. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแ้ ก่ วจที ุจรติ ๔) ๔. มิจฉากัมมันตะ (กระทำผิด ได้แก่ กายทุจริต ๓) ๕. มิจฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ได้แก่ เลี้ยงชีพในทาง ทุจริต) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ได้แก่ ความเพียรตรงข้ามกับสัมมาวายามะ) ๗. มิจฉาสติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลึกถึงเรื่องราวท่ีล่วงแล้ว เช่น ระลึกถึงการได้ทรัพย์ การได้ยศ เป็นต้น ในทางอกุศล อันจัดเป็นสติเทียม) เป็นเหตชุ ักนำใจให้เกิดกิเลส มโี ลภะ มานะ อสสา มัจฉริยะ เป็นตน้ ๘. มิจฉาสมาธิ (ต้งั ใจผิด ได้แก่ ต้ังจติ เพง่ เล็ง จดจ่อปักใจแนว่ แนใ่ นกามราคะพยาบาท เป็นต้น หรอื เจริญสมาธิแล้ว หลงเพลิน ติดหมกมุ่น ตลอดจนนำไปใช้ผิดทาง ไม่เป็นไปเพื่อญาณทัสสนะ และ ความหลุดพ้น) ๙. มิจฉาญาณ (รู้ผิด ได้แก่ ความหลงผิดที่แสดงออกในการคิดอุบายทำความช่ัวและ ในการพิจารณาทบทวน ว่าความชั่วน้ัน ๆ ตนกระทำได้อย่างดีแล้ว เป็นต้น) ๑๐. มิจฉาวิมุตติ (พ้นผิด ได้ แ ก่ ยั ง ไม่ ถึ ง วิ มุ ต ติ ส ำ คั ญ ว่ า ถึ ง วิ มุ ต ติ ห รื อ ส ำ คั ญ ผิ ด ใน สิ่ ง ที่ มิ ใช่ วิ มุ ต ติ ) (พ.ธ. หน้า ๓๒๒) มิตรปฏริ ปู คนเทยี มมติ ร มิตรเทยี ม มิใชม่ ติ รแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ คอื ๑.๑ คดิ เอาได้ฝา่ ยเดยี ว ๑.๒ ยอมเสียแต่น้อย โดยหวังจะเอาให้มาก ๑.๓ ตัวเองมีภัย จึงมาทำกิจของเพ่ือน ๑.๔ คบเพ่ือนเพราะ เหน็ แกป่ ระโยชน์ของตัว ๒. คนดีแต่พดู มีลักษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดแี ตย่ กเรื่องทผี่ า่ นมาแล้วมาปราศรัย ๒.๒ ดีแต่ อา้ งสง่ิ ที่ยังมดี ี แต่อา้ งสง่ิ ทยี่ ังไม่มีมาปราศรยั ๒.๓ สงเคราะหด์ ว้ ยสิง่ ทไี่ ร้ประโยชน์ ๒.๔ เม่อื เพ่ือนมกี ิจอา้ งแตเ่ หตุขดั ข้อง ๓. คนหวั ประจบมีลักษณะ ๔ คอื ๓.๑ จะทำชั่วกค็ ลอ้ ยตาม ๓.๒ จะทำดกี ค็ ล้อยตาม ๓.๓ ต่อหน้าสรรเสรญิ ๓.๔ ลบั หลังนินทา ๔. คนชวนฉิบหายมลี ักษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพื่อนด่ืมน้ำเมา ๔.๒ คอยเป็นเพ่ือนเท่ียวกลางคืน ๔.๓ คอยเปน็ เพื่อนเทยี่ วดูการเล่น ๔.๔ คอยเปน็ เพื่อนไปเล่นการพนัน (พ.ธ. หน้า ๑๕๔ – ๑๕๕) มิตรน้ำใจ ๑. เพื่อนมีทุกข์พลอยทุกข์ด้วย ๒. เพื่อนมีสุขพลอยดีใจ ๓. เขาติเตียนเพ่ือน ช่วยยับยั้ง แก้ไขให้ ๔. เขาสรรเสริญเพื่อน ชว่ ยพดู เสริมสนับสนนุ (พ.ศ. หน้า ๒๓๔) รูป ๑. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง สิ่งท่ีเป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมัน ส่วน รา่ งกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตรูป หรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒. อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ สิ่งท่ี ปรากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เชน่ ภิกษุรูปหนง่ึ (พ.ศ. หน้า ๒๕๓) วัฏฏะ ๓ หรือไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวียนตาย การเวียนว่ายตายเกิด ความเวียนเกิด หรือ วนเวียนด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก เช่น กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม เม่ือทำกรรมแล้วย่อม ได้ผลของกรรม เม่ือได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกิดอีกแล้ว ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรมหมุนเวียน ต่อไป (พ.ธ. หนา้ ๒๖๖) วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็น เวลานานจนเคยชนิ ติดเปน็ พ้ืนประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นไดแ้ ล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาทเ่ี คย ชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความว่า วาสนา ท่ี เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ท่ีเป็นกุศลกับอัพยากฤตน้ัน ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซ่ึงควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับ

๙๘ ส่วนทเ่ี ป็นเหตใุ หเ้ กิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ตา่ ง ๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลังพระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อ่ืนละไม่ได้ จึงมีคำกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลส ทัง้ หมดได้ พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทย คำว่าวาสนามีความหมายเพี้ยนไป กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกศุ ลท่ีทำให้ได้รับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับท่ีพิมพ์เป็นเล่ม แตค่ ้นได้จากแผ่นซีดีรอม พ.ศ. ของสมาคมศิษย์เกา่ มหาจุฬา ฯ) วิตก ความตรึก ตริ กายยกจิตข้ึนส่อู ารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใช้ว่าเป็นห่วงกังวล” แบ่งออกเป็นกุศลวิตก ๓ และอกศุ ลวิตก ๓ (พ.ศ. หน้า ๒๗๓) วิบัติ ๔ ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซ่ึงไม่อำนวยแก่การท่ีกรรมดีจะปรากฏผล แต่กลับเปิดช่องให้ กรรมชั่วแสดงผล พูดสั้น ๆ ว่าส่วนประกอบบกพร่อง เปิดช่องให้กรรมชั่ววิบัติมี ๔ คือ ๑. คติวิบัติ วิบัติแห่งคติ หรือคติเสีย คือเกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถ่ิน ประเทศ สภาพแวดล้อมท่ีไม่เหมาะ ไม่เกื้อกูล ทาง ดำเนินชีวิต ถ่ินทไ่ี ปไม่อำนวย ๒. อุปธวิ ิบัติ วิบัติแห่งร่างกาย หรือ รปู กายเสีย เชน่ รา่ งกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิริยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชมตลอดจนสุขภาพที่ไม่ดี เจ็บป่วย มีโรคมาก ๓. กาล วิบัติ วิบัติแห่งกาลหรือหรือกาลเสีย คือเกิดอยู่ในยุคสมัยท่ีบ้านเมืองมีภัยพิบัติไม่สงบเรียบร้อย ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเส่ือมจากศีลธรรม มากด้วยการเบียดเบียน ยกย่องคนชั่ว บีบค้ันคนดี ตลอดจน ทำอะไรไมถ่ ูกาลเวลา ไม่ถูกจงั หวะ ๔. ปโยควบิ ัติ วิบัติแห่งการประกอบ หรอื กิจการเสีย เช่น ฝักใฝ่ใน กิจการห รือเรื่องราวที่ผิด ท ำการไม่ตรงตามความถนั ด ความสามารถ ใช้ความเพี ยร ไม่ถกู ต้อง ทำการคร่ึง ๆ กลาง ๆ เป็นตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๐- ๑๖๑) วิปัสสนาญาณ ๙ ญาณในวิปัสสนา ญาณท่ีนับเข้าในวิปัสสนา เป็นความรู้ท่ีทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจ สภาวะของสง่ิ ท้ังหลายตามเป็นจรงิ ได้แก่ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาณาณ คือ ญาณอันตามเห็นความ เกิดและดับของเบญจขันธ์ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความสลาย เมื่อเกิดดับก็ คำนึงเด่นชัด ในส่วนดับของสังขารทั้งหลาย ต้องแตกสลายท้ังหมด ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ณาณ อันมองเห็นสงั ขาร ปรากฏเป็นของนา่ กลัว ๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นโทษของ สังขารท้ังหลาย ว่าเป็นโทษบกพร่องเป็นทุกข์ ๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็น ความหน่ายของสังขาร ไม่เพลินเพลิน ติดใจ ๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ ญาณอันคำนึงด้วย ใคร่พ้นไปเสีย คือ หน่ายสังขารทั้งหลาย ปรารถนาที่จะพ้นไปเสีย ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง เม่ือต้องการจะพ้นไปเสีย เพื่อมองหาอุบายจะปลดเปลื้องออกไป ๘. สังขารุเปกขาณาณ คือ ญาณอนั เป็นไปโดยความเป็นกลางตอ่ สงั ขาร คอื พิจารณาสังขารไมย่ ินดียิน รา้ ยในสังขารท้งั หลาย ๙. สจั จานโุ ลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ณาณอันเป็นไปโดยอนุโลกแก่การ หยั่งรู้อริยสจั แล้วแลว้ มรรคญาณใหส้ ำเรจ็ ความเป็นอริยบคุ คลต่อไป (พ.ศ. หน้า ๒๗๖ – ๒๗๗) วิมตุ ติ ๕ ความหลดุ พน้ ภาวะไร้กิเลส และไมม่ ีทุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วิกขัมภนวิมุตติ ดับโดยขม่ ไว้ คือ ดับ กเิ ลส ๒. ตทงั ควิมุตติ ดบั กิเลสด้วยธรรมท่ีเปน็ ค่ปู รับธรรมท่ีตรงกันขา้ ม ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ ดับ ด้วยตัดขาด ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ดับด้วยสงบระงับ โดยอาศัย โลกุต ตรมรรคดบั กิเลส ๕. นิสรณวมิ ตุ ติ ดับดว้ ยสงบระงบั คือ อาศยั โลกุตตรธรรมดบั กเิ ลสเดด็ ขาดเสร็จสิ้น (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) โลกบาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความดี มิให้ละเมิดศีลธรรม และ ให้อยู่กันด้วยความเรียบร้อยสงบสุข ไม่เดือดร้อนสับสนวุ่นวาย มี ๒ อย่างได้แก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจต่อการทำความชั่ว ๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาปเกรงกลัวต่อความชั่ว และ ผลของกรรมช่วั (พ.ศ. หนา้ ๒๖๐) ฤาษี หมายถึง ผู้แสวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนาซึ่งอยู่ในป่ า ชีไพร ผู้แต่งคัมภีร์พระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖)

๙๙ สติปัฏฐาน ๔ ที่ตั้งของสติ การต้ังสติกำหนดพิจารณาส่ิงท้ังหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามส่ิงน้ัน ๆ มนั เปน็ ของมนั เอง มี ๔ ประการ คอื ๑. กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน (การตงั้ สติกำหนดพิจารณากายใหร้ ู้เห็นตามเปน็ จริงวา่ เป็นแตเ่ พยี งกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา) ท่านจำแนกวิธีปฏิบัติได้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลม หายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑) สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความ เคลื่อนไหวทุกอย่าง ๑) ปฏกิ ูลมนสิการ พจิ ารณาสว่ นประกอบอันไม่สะอาดท้ังหลายท่ีประชุมเข้าเป็น ร่างกายน้ี ๑) ธาตมุ นสกิ าร พิจารณาเหน็ รา่ งกายของตน โดยสกั วา่ เป็นธาตแุ ต่ละอยา่ งๆ ๒. เวทนานุปัสสาสติปัฏฐาน (การต้ังสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียง เวทนา ไม่ใช่สตั ว์บคุ คลตวั ตนเราเขา) คือ มีสติรชู้ ัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ท้ังท่เี ป็น สามสิ และเปน็ นริ ามิสตามที่เป็นไปอยู่ขณะน้นั ๆ ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การต้ังสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามที่เป็นไปอยู่ ในขณะนนั้ ๆ ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียง ธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเรา) คือ มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดข้ึน เจริญบรบิ ูรณแ์ ละดับไดอ้ ย่างไร เปน็ ตน้ ตามทเ่ี ปน็ จริงของมันอยา่ งน้นั ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) สมณะ หมายถึง ผู้สงบ หมายถึงนักบวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านให้ความหมายจำเพาะ หมายถึง ผู้ระดับบาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบัติเพื่อระงับบาป ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็น พระอรยิ บคุ คล (พ.ศ. หน้า ๒๙๙) สมบัติ ๔ คือ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซ่ึงช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อม ด้วยคติ หรือคติให้ คอื เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถ่ิน ประเทศท่ีเจริญ เหมาะหรอื เก้ือกูล ตลอดจนในระยะสั้น คือ ดำเนินชีวิตหรือไปในถ่ินท่ีอำนวย ๒. อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย คือมี รูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเล่ือมใส สุขภาพดี แข็งแรง ๓. กาลสมบัติ สมบัติแหง่ กาล ถึงพรอ้ มดว้ ยกาลหรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมยั ท่ีบ้านเมืองมีความสงบสุข ผ้ปู กครองดี ผู้คนมีคุณธรรมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนช่ัว ตลอดจนในระยะเวลาส้ัน คือ ทำอะไรถูกกาลเวลา ถูก จงั หวะ ๔. ปโยคสมบัติ สมบัตแิ ห่งการประกอบ ถึงพรอ้ มดว้ ยการประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำ เร่ืองตรงกับที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลัก ครบถ้วน ตามเกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำคร่ึง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน รู้จัก จัดทำ รจู้ ักดำเนนิ การ (พ.ธ. หน้า ๑๖๑ – ๑๖๒) สมาบตั ิ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึ่งเขา้ ถงึ ; สมาบัตมิ ีหลายอยา่ ง เชน่ ณานสมบตั ิ ผลสมาบัติ อนปุ พุ พวหิ ารสมาบัติ (พ.ศ. หน้า ๓๐๓) สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไม่เผลอ การคุมใจไดก้ ับกิจ หรือคมุ จิตใจไวก้ ับสง่ิ ท่ีเก่ียวข้อง จำการทที ำ และคำพูดแม้นานได้ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี ๒. เป็นผู้ปฏิบัติตรง ๓. เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง ๔. เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. เป็นผู้ควรแก่การคำนับ คือ ควรกับของที่เขา นำมาถวาย ๖. เป็นผู้ควรแก่การตอนรับ ๗. เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทำบุญ ๘. เป็นผู้ควร

๑๐๐ แก่การกระทำอญั ชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบญุ อนั ยอดเย่ียมของโลก เปน็ แหล่งปลูกฝังและ เผยแพร่ความดีท่ียอดเยี่ยมของโลก(พ.ธ. หน้า ๒๖๕-๒๖๖) สังเวชนียสถาน สถานที่ตั้งแห่งความสังเวช ท่ีที่ให้เกิดความสังเวช มี ๔ คือ ๑. ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือ อุทยานลุมพินี ปัจจุบันเรียกลุมพินีหรือรุมมินเด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ คือ ควงโพธ์ิ ท่ีตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh – Gaya) ๓. ที่พระพุทธเจ้าแสดง ปฐมเทศนา คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ๔. ท่ีพระพุทธเจ้า ปรินิพพาน คือที่สาลวโนทยาน เมืองกสุ ินารา หรอื กสุ ินคร บัดน้เี รียกกาเซยี (Kasia หรือ Kusinagara) (พ.ศ. หน้า ๓๑๗) สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหารท่ีนอนที่นั่ง และยาตามมีตามได้ ยินดี ของของตน การมีความสุข ความพอใจด้วยเคร่ืองเลี้ยงชีพที่หามาได้ด้วยเพียรพยายามอันชอบธรรม ของตน ไม่โลภ ไมร่ ิษยาใคร (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้ส่ิงใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งน้ัน ไม่ได้ เดอื ดรอ้ นเพราะของท่ีไม่ได้ ไมเ่ พ่งเลง็ อยากได้ของคนอืน่ ไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดีตาม กำลัง คือ พอใจเพียงแคพ่ อแกก่ ำลงั รา่ งกาย สุขภาพ และขอบเขตการใชส้ อยของตน ของท่ีเกินกำลังก็ ไมห่ วงแหนเสียดายไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรอื ฝืนใช้ใหเ้ ปน็ โทษแก่ตน ๓. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดตี าม สมควร คือ พอใจตามที่สมควร คือ พอใจตามที่สมควรแก่ภาวะฐานะแนวทางชีวิต และจุดหมายแห่ง การบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่องอันเหมาะกับสมณภาวะ หรือได้ของใช้ท่ีไม่เหมาะสมกับ ตนแตจ่ ะมีประโยชนแ์ กผ่ ู้อ่นื กน็ ำไปมอบให้แกเ่ ขา เป็นต้น (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔) สัทธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมทีแ่ ท้ ธรรมของสัตบรุ ษุ หลักหรือแกน่ ศาสนา มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ปรยิ ัติสทั ธรรม (สทั ธรรมคอื คำส่ังสอนอนั จะต้องเล่าเรยี น ได้แก่ พุทธพจน์) ๒. ปฏบิ ตั ิสทั ธรรม (สัทธรรมคือสง่ิ พงึ ปฏิบตั ิ ได้แก่ ไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา) ๓. ปฏิเวธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึง หรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และ นพิ พาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมท่ีทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี ๑. ธัมมัญญุตา คือ ความรู้จักเหตุ คือ รู้หลักความจริง ๒. อัตถัญญุตา คือ ความรู้จักผล คือรู้ความ มุ่งหมาย ๓. อัตตัญญุตา คือ ความรู้จักตน คือ รู้ว่าเรานั้นว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลังความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นต้น ๔. มัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณ คือ ความ พอดี ๕. กาลัญญุตา คือ ความรู้จักกาล คือ รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปริสัญญุตา คือ ความรู้ จักบริษัทคือรู้จักชุมชนและรู้จักที่ประชุม ๗. ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ ความรู้จัก บคุ คล คือความแตกต่างแห่งบุคคล (พ.ธ. หนา้ ๒๔๔) สมั ปชัญญะ ความร้ตู วั ทวั่ พรอ้ ม ความร้ตู ระหนัก ความรูช้ ดั เขา้ ใจชดั ซึ่งส่ิงนกึ ได้ มกั มาคู่กับสติ (พ.ศ.หน้า๒๔๔) สาราณียธรรม ๖ ธรรมเป็นท่ีตั้งแห่งความให้ระลึกถึง ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน หลักการอยู่ร่วมกัน เรียกอีกอย่างว่า “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๒. เมตตาวจีกรรม มีเมตตาวจีกรรมท้ังต่อหน้าและลับหลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตามโนกรรม ท้ังตอ่ หนา้ และลับหลัง ๔. สาธารณโภคี แบง่ ปันสงิ่ ของที่ได้มาไม่หวง แหน ใชผ้ ้เู ดียว ๕. สีลสามัญญ ตา มีความประพฤติร่วมกันในข้อท่ีเป็นหลักการสำคัญท่ีจะนำไปสู่ความหลุดพ้นสิ้นทุกข์หรือขจัด ปัญหา ๖.ทิฏฐิสามัญญตา มคี วามเห็นชอบดีงาม เชน่ เดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หนา้ ๒๓๓-๒๓๕)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook