โคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์ของสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร หรือพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรม สมเดจ็ พระเดชาดิศร เป็นพระเจา้ ลกู ยาเธอลาดบั ที่ ๑๕ ใน พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ เลิศหลา้ นภาลยั กบั เจา้ จอมมารดาน่ิม ประสูติเมื่อวนั พฤหสั บดีที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๓๖ ณ พระนิเวศนเ์ ดิม ฝ่ังธนบุรี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงไดร้ ับความไวว้ างพระราช หฤทยั ใหส้ นองพระเดชพระคุณกาดบั ราชการกรมอาลกั ษณ์ต้งั แต่ ในรัชกาลที่ ๒ รัชกาล ท่ี ๓ และรัชกาลที่ ๔ สืบเน่ืองกนั โดยตลอดจนสิ้นพระชนม์ งานราชการกรมอาลกั ษณ์ ซ่ึงรวมท้งั งานราชเลขานุการและงานดูแลรักษาหนงั สือหอหลวงไวด้ ว้ ยน้นั ทาใหท้ รงมี โอากาสไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หนงั สือและสรรพตาราต่างๆจนชานาญรอบรู้ในหลกั ราชการ และเป็นประโยชนต์ ่อการนิพนธ์วรรณกรรมเรื่องตา่ งๆ
โคลงโลกนิติ โคลงโลกนิติ เป็นวรรณกรรมประเภทคาสอน ในลกั ษณะของโคลงสุภาษิต คาวา่ โลกนิติ (อ่านวา่ โลก-กะ-นิด) แปลวา่ ระเบียบแบบแผนแห่งโลก เน้ือหาในโคลงโลกนิติจึงมุ่งแสดงความจริงของโลกและสจั ธรรม ของชีวิต เพื่อให้ผูอ้ ่านไดร้ ู้เท่าทนั ต่อโลก และเขา้ ใจในความเป็ นไปของ ชีวติ พร้อมเป็นแมแ่ บบเพ่ือใหผ้ อู้ า่ นไดด้ าเนินชีวติ ไปในทางที่ถูกตอ้ งดีงาม สืบไป โคลงโลกนิติมีความไพเราะเหมาะสมท้งั ดา้ นรูปแบบและเน้ือหา ปรัชญาสาระ ครบคุณค่าทางวรรณกรรม ทาให้เป็ นท่ีแพร่หลายในหมู่คน ท่วั ไป บางท่านกล่าวยกย่องโคลงโลกนิติว่าเป็ น อมตะวรรณกรรมคา สอน หรือ ยอดสุภาษิตอมตะ
เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ ฯ ทรงปฏิสงั ขรณ์วดั พระเชตุพนฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ ทรงมีพระราชประสงคจ์ ะให้ จารึกโคลงโลกนิติลง ในแผน่ ศิลาในวดั พระเชตุพนฯ เป็นธรรมทาน จึงไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเดจ็ พระบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร รวบรวมโคลงโลกนิติของ เก่ามาชาระแกไ้ ขใหม่ ใหเ้ รียบร้อยปราณีตและไพเราะ เพราะของเก่าที่ คดั ลอกต่อ ๆ กนั มา ปรากฏวา่ มีถอ้ ยคาท่ีวิปลาศคลาดเคล่ือนไปมาก สุภาษิตท่ีปรากฏในโคลงโลกนิติ ลว้ นเป็นภาษิตที่นิยมนบั ถือกนั วา่ เป็นภาษิตท่ีเหมาะสม ท่ีจะใชเ้ ป็นหลกั ประพฤติปฏิบตั ิ และนาไปสง่ั สอนกนั ต่อไป
ลักษณะคำประพนั ธ์ โคลงโลกนติ ิ แต่งด้วยคำประพนั ธป์ ระเภทโคลงสส่ี ภุ ำพ และมบี ำงบทเป็นโคลงกระทู้ ๒ ตำแหนง่ นอี้ ำจสลับท่กี นั ได้ บำทที่ ทำ้ ยบำทที่ ๑, ๓ อำจมคี ำสร้อยได้ ๑ บท ๑, ๒, ๓ บำทละ ๒ คำ มี ๔ บำท มี ๗ คำ บำทที่ ๔ กรมะที ๙ู้ ๑คคำำ กระทู้ ๔ คกรำะทู้ ๓ กระทู้ ๒ คำ คำ โคลงกระทู้ คอื คำประพนั ธ์ทีม่ ีคณะและสัมผสั เหมือนโคลงสีส่ ุภำพทุกประกำร โดยเพม่ิ กระทู้ท่ตี ้งั นำไวห้ น้ำเนอ้ื ควำมในแตล่ ะ บำท ถำ้ แบง่ ตำมจำนวนคำของกระทู้ จะมี ๔ อยำ่ ง คอื โคลงกระทู้ ๑ คำ โคลงกระทู้ ๒ คำ โคลงกระทู้ ๓ คำ และโคลงกระทู้ ๔ คำ
สุภาษิตท่ีปรากฏในโคลงโลกนิติ ลว้ นเป็นภาษิตท่ีนิยมนบั ถือกนั วา่ เป็นภาษิตท่ีเหมาะสม ท่ีจะใชเ้ ป็นหลกั ประพฤติปฏิบตั ิ และนาไปสงั่ สอนกนั ต่อไป ครรโลงโลกนิติน้ี นมนาน มีแต่โบราณกาล เก่าพร้อง เป็นสุภาษิตสาร สอนจิต กลดงั่ สร้อยสอดคลอ้ ง เวีย่ ไวใ้ นกรรณ
ครรโลง หมายถึง โคลง แบบอยา่ งคาประพนั ธ์ พร้อง หมายถึง พดู กล่าว ร้อง สุภาษิต หมายถึง ถอ้ ยคาหรือขอ้ ความท่ีกล่าวสืบต่อ กนั มาชา้ นาน มีความหมายเป็นคติเตือนใจ กลดงั่ หมายถึง เหมือนกนั เปรียบไดก้ บั เวยี่ หมายถึง คลอ้ ง ทดั ไว้ กรรณ หมายถึง หู
ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับกรม วชิ าการ หนังสือประชุมโคลงโลกนิต[ิ 2] ข้ึนตน้ ดว้ ยโคลงนา ๒ บท กระทรวงศึกษาธิการ คดั โคลงบางบท บรรจุลงเป็นบทเรียนอา่ นหน่ึงใน หนังสือ แบบเรียนวชิ าภาษาไทย ระดบั มธั ยมศึกษา
โคลงโลกนิติ : วรรณคดีวจิ กั ษ์ ม.๑ ความรู้ผปู้ ราชญน์ ้นั นกั เรียน ฝนทง่ั เท่าเขม็ เพียร ผา่ ยหนา้ คนเกียจเกลียดหน่ายเวียน วนจิต กลอทุ กในตะกร้า เป่ี ยมลน้ ฤามี โคลงบทน้ีมีความหมายวา่ คนท่ีมีความขยนั หมนั่ เพยี รแมท้ ากิจการ ใดท่ียากกย็ อ่ มสาเร็จ (ทงั่ คือแท่งเหลก็ ) แต่คนเกียจคร้านทาสิ่งใดไม่ สาเร็จเหมือนกบั การตกั น้าใส่ในตะกร้าท่ีมีรูรั่ว (อุทก=น้า) พฤติกรรม ของปราชญต์ รงกบั สานวน “หนกั เอาเบาสู้ ”
ปราชญ์ หมายถึง ผมู้ ีปัญญารอบรู้ ทง่ั หมายถึง แท่งเหลก็ ฝนทง่ั เท่าเขม็ หมายถึง มีความมานะอดทนต่อความยากลาบาก ผา่ ยหนา้ หมายถึง ภายหนา้ อทุ ก หมายถึง น้า
เวน้ วจิ ารณ์วา่ งเวน้ สดบั ฟัง เวน้ ที่ถามอนั ยงั ไป่ รู้ เวน้ เล่าลิขิตสงั - เกตวา่ ง เวน้ นา เวน้ ดงั่ กล่าววา่ ผู้ ปราชญไ์ ดฤ้ ามี โคลงบทน้ีหมายความวา่ การเวน้ ที่จะพดู แสดงความคิดเห็น การ เวน้ ท่ีจะรับฟังคนอื่น การเวน้ ที่จะถามในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ ไม่ เขา้ ใจ และการไม่เขียน ไม่สงั เกต ยอ่ มเป็นนกั ปราชญห์ รือผรู้ อบ รู้ไม่ได้ คนท่ีจะเป็นปราชญน์ ้นั ตอ้ งยดึ ถือหวั ใจนกั ปราชญ์ คือ สุ. จิ. ปุ. ลิ. ฟัง คิด ถาม เขียน
วจิ ารณ์ หมายถึง ติชม สดบั หมายถึง ฟัง ลิขิต หมายถึง เขียน ไป่ หมายถึง ไม่
รู้นอ้ ยวา่ มากรู้ เริงใจ กลกบเกิดอยใู่ น สระจอ้ ย ไป่ เห็นชเลไกล กลางสมุทร ชมวา่ น้าบ่อนอ้ ย มากล้าลึกเหลือ โคลงบทน้ีมีความหมายวา่ คนท่ีอยใู่ นโลกหรือสงั คมท่ีแคบยอ่ ม คิดวา่ สิ่งท่ีตนพบเห็นน้นั ยง่ิ ใหญ่แลว้ ตรงกบั สานวน “กบในกะลา อ่ึงอ่างในกะลา ห่ิงหอ้ ยในกะลา” ชะเล หมายถึง ทะเล
พระสมุทรสุดลึกลน้ คณนา สายด่ิงทิ้งทอดมา หยง่ั ได้ เขาสูงอาจวดั วา กาหนด จิตมนุษยน์ ้ีไซร้ ยากแทห้ ยงั่ ถึง โคลงบทน้ีมีความหมายวา่ ความลึก ความสูง ขนาดของส่ิงใดท่ี ยง่ิ ใหญ่มนุษยส์ ามารถวดั ได้ แต่ส่ิงหน่ึงท่ีไม่อาจสามารถวดั ไดค้ ือ จิตใจของคน กวสี อนใหร้ ะวงั ในการเช่ือหรือคบคน ตรงกบั สานวน “ รู้หนา้ ไม่รู้ใจ คณนา หมายถึง นบั
รักกนั อยขู่ อบฟ้ า เขาเขียว เสมออยหู่ อแห่งเดียว ร่วมหอ้ ง ชงั กนั บ่แลเหลียว ตาต่อ กนั นา เหมือนขอบฟ้ ามาป้ อง ป่ าไมม้ าบงั โคลงบทน้ีมีความหมายวา่ กวีสอนใหค้ นรักกนั เพราะหากอยู่ ใกลช้ ิดในสงั คมเดียวกนั มาโกรธ หรือข่นุ เคืองกนั ยอ่ มสรา้ งอึดอดั ให้ ท้งั สองฝ่ าย
สนิมเหลก็ เกิดแต่เน้ือ ในตน กินกดั เน้ือเหลก็ จน กร่ อนขร้ า บาปเกิดแก่ตนคน เป็ นบาป ใส่ผบู้ าปเอง บาปยอ่ มทาโทษซ้า โคลงบทน้ีหมายความวา่ ทุกส่ิงยอ่ มมีสาเหตุที่มา หากเราคิดร้าย โกรธข้ึง ผลจะส่งใหเ้ รานน่ั แหละไมส่ บายใจ เหมือนสนิมเหลก็ ท่ีกดั กร่อนตวั เอง ขร้า หมายถึง เก่ามาก
นกนอ้ ยขนนอ้ ยแต่ พอตวั รังแต่งจุเมียผวั อยไู่ ด้ มกั ใหญ่คนยอ่ มหววั ไพเพดิ ทาแต่พอตวั ไซร้ อยา่ ใหค้ นหยนั โคลงบทน้ีหมายความวา่ ควรทาอะไรตามกาลงั ของตน ไม่ควร ทาเกินตวั หรือเกินกาลงั ความสามารถ เพราะคนเขาจะหวั เราะหรือ ตะเพดิ เอา
รังแต่ง หมายถึง สร้างรัง ทารัง หววั หมายถึง หวั เราะ ไพเพิด หมายถึง ตะเพดิ ทาเสียงขบั ไล่ หยนั หมายถึง เยาะ เยย้
เห็นท่านมีอยา่ เคลิ้ม ใจตาม เรายากหากใจงาม อยา่ คร้าน อุตส่าห์พยายาม การกิจ เอาเยยี่ งอยา่ งเพือ่ นบา้ น อยา่ ทอ้ ทากิน โคลงบทน้ีหมายความวา่ ใหใ้ ชช้ ีวิตอยา่ งพอเพยี ง ไม่โลภ อยาก ได้ อยากมีอยา่ งผอู้ ื่น รู้จกั ทามาหากิน ใชจ้ ่ายอยา่ งประหยดั กม็ ี ความสุขได้
คุณแม่หนาหนกั เพ้ียง พสุธา คุณบิดรดุจอา- กาศกวา้ ง คุณพพ่ี า่ งศิขรา เมรุมาศ อาจสูส้ าคร คุณพระอาจารยอ์ า้ ง โคลงบทน้ีหมายความวา่ พระคุณของมารดาน้นั ยง่ิ ใหญ่ เปรียบ ไดก้ บั แผน่ ดิน พระคุณของบิดาน้นั เลา่ กก็ วา้ งขวางเปรียบไดก้ บั อากาศ พระคุณพ่ีน้นั สูงเท่ากบั ยอดเขาพระสุเมรุ และพระคุณของ ครูบาอาจารยก์ ล็ ้าลึกเปรียบไดก้ บั น้าในแม่น้าท้งั หลาย
พสุธา หมายถึง แผน่ ดิน ศิขรา หมายถึง ยอดเขา เมรุมาศ หมายถึง เขาพระสุเมรุ สาคร หมายถึง แม่น้า
กา้ นบวั บอกลึกต้ืน ชลธาร มารยาทส่อสนั ดาน ชาติเช้ือ โฉดฉลาดเพราะคาขาน ควรทราบ หยอ่ มหญา้ เหี่ยวแหง้ เร้ือ บอกร้ายแสลงดิน โคลงบทน้ีหมายความวา่ ความยาวของกา้ นบวั สามารถบอกความลกึ ต้ืนของแหล่งน้าท่ีมนั อยไู่ ด้ มารยาทบอกใหท้ ราบถึงความเป็นไปของ ชาติตระกลู คาพดู ของคนสามารถแสดงใหเ้ ห็นวา่ บุคคลน้นั ฉลาด เขลา ชวั่ หรือเลวเหมือนกบั ท่ีหญา้ เหี่ยวแหง้ บอกถึงความไม่สมบรู ณ์ของดิน ตามตรงกบั สานวน “สาเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกลุ ”
โคควายวายชีพได้ เขาหนงั เป็นสิ่งเป็นอนั ยงั อยไู่ ซร้ คนเดด็ ดบั สูญสงั - ขารร่าง เป็ นชื่อเป็ นเสียงได้ แต่ร้ายกบั ดี โคลงบทน้ีหมายความวา่ สตั วอ์ ยา่ งววั หรือควายเม่ือตายไปแลว้ ยงั ทิ้งเขา กระดกู หนงั ไวใ้ หท้ าประโยชนไ์ ด้ ส่วนคนสิ่งที่จะทิ้งไว้ เบ้ืองหลงั ความตายใหค้ นกล่าวถึงกค็ ือ ความดีหรือความชว่ั เท่าน้นั
น้าใชใ้ ส่ตุ่งต้งั เต็มดี น้าอบอ่าอินทรีย์ อยา่ ผร้อง น้าปูนใส่เตา้ มี อยา่ ขาด น้าจิตอยา่ ใหข้ อ้ ง ขดั น้าใจใคร คนโบราณใหเ้ ห็นความสาคญั ของน้าต่างๆ ไดแ้ ก่ น้าที่ใชก้ ิน ใชอ้ าบ ควร ใส่ตุ่มไวใ้ หเ้ ตม็ เอาน้าอบใชล้ บู ร่างกายอยา่ งใหพ้ ร่องขาด น้าในเตา้ ปนู สาหรับกินหมากอยา่ ใหข้ าด และน้าใจซ่ึงควรมีอยอู่ ยา่ ทาใหผ้ ดิ ใจกบั ผอู้ ่ืน
เพอ่ื นกิน สิ้นทรัพยแ์ ลว้ แหนงหนี หาง่าย หลายหมื่นมี มากได้ เพอ่ื นตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์ หายาก ฝากผไี ข้ ยากแทจ้ กั หา โคลงบทน้ี กวีเตือนสติการคบเพือ่ น ใหร้ ู้จกั ระมดั ระวงั อยา่ ประมาท เพราะเพ่ือนในคราที่มีความสุขน้นั หาง่ายมาก แต่เพอ่ื นท่ีไป มาหาสู่ในครามีทุกขน์ ้นั หายากยงิ่ ตรงกบั สานวน “เพ่ือนกินหาง่าย เพ่อื นตายหายาก”
ออ่ นหวานมานมิตรลน้ เหลือหลาย หยาบบ่มีเกลอกราย เกลื่อนใกล้ ดุจดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดบั นา สุริยะส่องดาราไร้ เพื่อร้อนแรงแสง โคลงบทน้ีหมายความวา่ คนที่พดู จาอ่อนหวานยอ่ มมีเพ่ือนชอบ คบคา้ สมาคม เหมือนกบั ดวงจนั ทร์ (ศศิ) ที่ส่องแสงนวลเยน็ ต่างมี ดาวมารายรอบ ส่วนคนพดู จากระดา้ งหยาบคาย ยอ่ มไม่มีใครคบคา้ สมาคมเหมือนความร้อนแรงของดวงอาทิตยท์ ี่ทาใหด้ วงดาวลบั หาย
มาน หมายถึง มี ศศิ หมายถึง ดวงจนั ทร์ ดาษ หมายถึง มากมาย เกล่ือนกลาด สุริยะ หมายถึง ดวงอาทิตย์ ดารา หมายถึง ดวงดาว
หนง่ึ บทมี 30 คำ แบ่งเป็น 4 บำท 3 บำทแรกบำทละ 7 คำ บำทที่ สี่ 9 คำ แต่ละบำทแบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เว้น บำทสดุ ทำ้ ย วรรคหลงั 4 คำ มสี รอ้ ยได้ในบำทแรก บำททส่ี ำม และบำทที่ส่ี ส่งสัมผัสจำกคำท่ี 7 บำทแรกไปยังคำท่ี 5 ในบำทท่ีสองและสำม กับคำ สุดทำ้ ยวรรคท่ีสองไปยังคำที่ 5 บำทที่ส่ี บังคบั เอก 7 แห่ง โท 4 แห่ง คำเอก โท ในบำทแรกของโคลงอำจสลับที่กันได้ และอนุโลมให้ใช้ คำตำยแทนคำเอกในที่ทีห่ ำคำเอกไม่ได้ แตไ่ ม่นิยมใชเ้ อกโทษและโทโทษ
พฤษภกำสร อีกกญุ ชรอันปลดปลง โททนตเ์ สนง่ คง สำคัญหมำยในกำยมี นรชำติวำงวำย มลำยสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตท่ัวแต่ช่ัวดี ประดบั ไว้ในโลกำ สัตว์ตำ่ ง ๆ อำทิ ววั ควำม หรอื กระทง่ั ช้ำง เมอ่ื ตำยไปแลว้ ก็ยงั เหลอื หนงั หรืองำ เอำไว้ซงึ่ นำไปใชป้ ระโยชน์ต่อไปได้ แต่มนุษย์ เมอ่ื เสยี ชวี ติ ไปแล้ว รำ่ งกำยกส็ ญู สลำยไปท้งั หมด ไม่เหลือสงิ่ ใดเอำไวเ้ ลยนอกจำกควำมดีและควำมชั่วท่ไี ดก้ ระทำ ไวเ้ ม่อื ครัง้ ยังมีชีวิตอยู่เทำ่ นน้ั คำแปลของคำศัพท์ในบทประพันธ์ขำ้ งต้น พฤษภ แปลว่ำ โค, ววั กำสร แปลว่ำ กระบอื , ควำย กุญชร แปลว่ำ ช้ำง โท แปลวำ่ สอง ทนต์ แปลว่ำ ฟัน (โททนต์ จึงหมำยถึง งำช้ำงทั้ง 2 ก่งิ น่ันเอง) เสนง่ แปลว่ำ เขำสตั ว์ นรชำติ แปลวำ่ คน)
นำคมี พี ษิ เพี้ยง สรุ โิ ย เล้อื ยบท่ ำเดโช แช่มช้ำ พษิ น้อยหยงิ่ โยโส แมลงปอ่ ง ชูแตห่ ำงเองอำ้ อวดอำ้ งฤทธ์ิ ผู้มคี วำมรู้ ควำมสำมำรถยอ่ มไมอ่ วดตนหรอื คยุ โม พฤติกรรมของนำคีตรงกบั ตรงกับสำนวนคมในฝกั
ไมค้ ้อมมลี กู นอ้ ม นวยงำม คือสัปบุรษุ สอนตำม งำ่ ยแท้ ไมผ้ ุดงั คนทรำม สอนยำก ดดั กห็ ักแหลกแล้ หอ่ นร้ือโดยตำม กิง่ ไม้ท่อี ่อนค้อมยอ่ มดัดตำมรปู ทรงไดง้ ่ำยกว่ำไม้ท่แี ก่หรอื ผุ เช่นเดียวกบั กำรสอนคน สอนคนทีพ่ ร้อมจะรับฟังง่ำยกวำ่ กำรสอน คนท่อี วดดี เชอื่ ม่นั หรือคนที่ไมด่ ี อำจจะใชไ้ ดก้ บั สำนวนตักนำ้ รด หัวตอ ไม้ออ่ นดดั งำ่ ยไม้แกด่ ดั ยำก
หำ้ มเพลิงไวอ้ ย่ำให้ มคี วนั หำ้ มสุรยิ แสงจันทร์ สอ่ งไซร้ หำ้ มอำยใุ หห้ นั คนื เล่ำ ห้ำมดังนีไ้ ว้ได้ จ่ึงห้ำมนินทำ กำรห้ำมธรรมชำตทิ ง้ั ๔ ประกำรไมใ่ หด้ ำเนินไปว่ำเป็นส่ิงท่ยี ำก แล้วกำรหำ้ มไม่ให้คนนนิ ทำยังยำกกว่ำ ตรงกับสำนวนอันนินทำ กำเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมอื นเอำมีดมำกรีดหนิ แมอ้ งพระ ปฏิมำยงั รำคิน มนษุ ยเ์ ดินดนิ หรือจะส้นิ คนนินทำ
สหี รำชรอ้ งว่ำโอ้ พำลหมู ทรชำตคิ รนั้ เห็นกู เกลยี ดใกล้ ฤำมึงใคร่รบดนู มงึ มำศ เองนำ กเู กลียดมงึ กใู ห้ พำ่ ยแพภ้ ัยตัว ผ้ใู หญห่ รอื ผ้มู อี ำนำจทว่ี ำงเฉยไม่ลงมำต่อกรด้วย พฤตกิ รรม ของรำชสหี ์ตรงกบั สำนวน อยำ่ เอำพิมเสนไปแลกกบั เกลือ
หมเู หน็ สหี รำชทำ้ ชวนรบ กูสี่ตนี กูพบ ทำ่ นไซร้ อย่ำกลวั ทำ่ นอย่ำหลบ หลีกจำก กนู ำ ทำ่ นสี่ตีนอยำ่ ได้ วำกเวว้ ำงหนี ผู้ตำ่ ตอ้ ยท่ไี มร่ จู้ กั ประมำณตน อำจนำมำซ่ึงควำมเดือดร้อน ตรงกับสำนวนถ่มน้ำลำยรดฟ้ำ
ผจญคนมกั โกรธดว้ ย ไมตรี ผจญหมู่ทรชนดี ตอ่ ตง้ั ผจญคนจติ โลภมี ทรพั ย์เผอ่ื แผน่ ำ ผจญอสตั ยใ์ ห้ย้งั หยุดด้วยสัตยำ สอนให้ใช้คุณธรรมตำ่ ง ๆ เมือ่ จะตอ้ งคบคำ้ สมำคมกบั บคุ คลต่ำง ๆ ทมี่ ีพฤติกรรมตำมที่กลำ่ วถึง
คุณค่าของกวนี ิพนธป์ ระเภทโคลง (โคลงโลกนิติ) ๑. คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ กวีมีความฉลาดและแยบคายในการประพนั ธ์ใหผ้ อู้ ่านเห็นภาพ และเกิดความซาบซ้ึงในโวหารเปรียบเทียบ มีการเลือกสรรถอ้ ยคาที่ ปราณีตบรรจง ใชค้ าส้นั แต่มีความหมายลึกซ้ึง ไพเราะท้งั เสียง ท้งั จงั หวะ และเมื่ออา่ นออกเสียงเป็นทานองเสนาะกย็ ง่ิ จะไดร้ ับรสของ คาประพนั ธม์ ากยง่ิ ข้ึน
๒. คุณค่าดา้ นเน้ือหา โคลงโลกนิติเป็นวรรณคดีประเภทคากลอน เป็นโคลงสุภาษิต เพอ่ื สอนใหเ้ ป็นคนดีปฏิบตั ิตนใหถ้ กู ตอ้ งในสงั คม เป็ นโคลงที่ เขา้ ใจแก่นแทแ้ ละธรรมชาติของมนุษยท์ ้งั ทางโลก และทางธรรม ๓ คุณค่าดา้ นสงั คม เป็นโคลงท่ีมีคุณค่าต่อสงั คม เสมือนเป็นกระจกส่องใหเ้ ห็นถึง พฤติกรรมของความเป็นมนุษย์ จึงเปรียบเป็นค่มู ือในการใชค้ รองเรือน ใหม้ ีความสุข ดารงตนเป็นคนดี อยา่ งถกู ทานองคลองธรรม เน้ือหาจาก วรรณคดีเร่ืองน้ีมีผลต่อผอู้ า่ น ทาใหเ้ ขา้ ใจถึงความรู้สึกนึกคิด อนั จะ ส่งผลใหเ้ กิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสงั คมใหด้ ีข้ึน
๔ การนาไปประยกุ ตใ์ นชีวิตประจาวนั โคลงโลกนิติเป็นวรรณคดีคาสอนซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวธิ ีการใชช้ ีวติ ให้ เป็นสุข และสามารถปฏิบตั ิตนใหอ้ ยใู่ นกรอบท่ีดีของสงั คม สาระท่ี ปรากฏอยใู่ นโคลงผอู้ ่านสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั ชีวติ ได้ เช่น การใฝ่ศึกษาหาความรู้ ไม่วา่ ในยคุ สมยั ใดการเรียนถือเป็นสิ่งสาคญั ดงั น้นั จึงควรขยนั หมนั่ เพยี ร เพราะความรู้ไม่มีใครสามารถขโมยไปได้ และยงั สามารถใชเ้ ล้ียงชีพของตนไดอ้ ีกดว้ ย
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: