สรุปบทเรียนบทท่ี 3 สังคมไทยกบั สังคมชนบท สังคม (Social) หมายถึง กลุ่มคนท่ีอยรู่ วมกนั มีความสัมพนั ธ์กนั พ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั มีระเบียบกฎเกณฑแ์ ละความเชื่อถือที่สาคญั ร่วมกนั ตลอดจนมีความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลกนั เอง และระหวา่ งบุคคลกบั กลุ่มสงั คม สังคมไทย (Thai Social) หมายถึง กลุ่มชนชาติที่อาศยั อยู่ร่วมกนั ในประเทศไทย มีขนบ ธรรมเนียมประเพณีแบบไทย มีเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมที่โดดเด่นตา่ งจากสังคมอื่น ไดแ้ ก่ ภาษาพูด ภาษาเขียน การแตง่ กาย ความเชื่อ มารยาท อาหาร การดาเนินชีวิตท่ีมีพุทธศาสนาเป็ นพ้ืนฐาน เป็นตน้ สังคมไทย (Thai Social) หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่ร่วมกนั ดาเนินชีวิตร่วมกนั อาจมีเช้ือชาติ ศาสนาและวฒั นธรรมที่แตกต่างกนั แตย่ ดึ ถือวฒั นธรรมไทยเป็นพ้ืนฐานในการดารงชีวติ ร่วมกนั ส่ิงแวดล้อมทเี่ ป็ นตวั กำหนดลกั ษณะของสังคม 1. สิ่งแวดล้อมทำงธรรมชำติ สงั คมไทยต้งั อยใู่ นเขตร้อนท่ีมีฝนตกชุก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็ นที่ราบลุ่มแม่น้า และ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ทาให้สังคมไทยเป็ นสังคมที่เป็ นสังคมเกษตรกรรม มาต้งั แต่อดีต 2. ส่ิงแวดล้อมทำงวฒั นธรรม คือ ส่วนหน่ึงเป็ นวฒั นธรรมที่เราประดิษฐ์คิดค้นข้ึนมาเอง ซ่ึงมกั จะสอดคล้องกับ ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ และอีกส่วนหน่ึงเราไดร้ ับอิทธิพลทางวฒั นธรรมจากสังคมอ่ืน แลว้ นามา ดดั แปลงใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการดาเนินชีวติ ในสังคม 3. ส่ิงแวดล้อมทำงสังคม เป็นส่ิงแวดลอ้ มที่มีท้งั ส่ิงท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดจากการกระทาของมนุษยห์ รือมีอยู่ ตามธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน หิน แร่ธาตุ น้า ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร พืชพรรณสัตวต์ ่างๆ ภาชนะเครื่องใชต้ ่างๆ ฯลฯ สิ่งแวดลอ้ มดงั กล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอ โดยเฉพาะมนุษยเ์ ป็ นตวั การสาคญั ยิ่งที่ทาให้ส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนแปลงท้งั ในทางเสริมสร้างและ ทาลาย
ลกั ษณะสังคมไทย สังคมชนบท ชาวชนบทมกั ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็ นหลกั ขนาดของชุมชนมีขนาดเล็ก จึงทาให้คนในชุมชนรู้จกั มักคุ้นกัน ค่าครองชีพต่า คือสามารถอยู่หากินได้ดีกว่าชุมชนเมือง ยงั สามารถพ่ึงพาอาศยั ทรัพยากรธรรมชาติ ความเจริญและเทคโนโลยีสมยั ใหม่ยงั ไม่ทว่ั ถึง มีการ รวมตวั กนั ง่ายกวา่ ชุมชนเมือง ซ่ึงมีกลุ่มอาชีพผลประโยชน์แตกตา่ งกนั สังคมเมือง มีความสะดวกสบายในดา้ นการคมนาคมขนส่ง การส่ือสาร มากกว่าชนบท มีการพ่ึงพาอาศยั กนั นอ้ ยกวา่ ในชนบท เพราะสามารถพ่ึงตนเองได้ ชาวเมืองมีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางศาสนา สังคม น้อยกว่าชนบท มีการแบ่งชนช้ันทางสังคมด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ ตาแหน่ง หนา้ ที่สูงกวา่ ชนบท มีสถาบนั ทางเศรษฐกิจสงั คมต้งั อยมู่ ากกวา่ ชนบท สถำบันสังคมทสี่ ำคัญของไทย 1. สถำบันครอบครัว หมายถึง สถาบนั สังคมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั แบบแผนการสมรส การอบรมเล้ียงดูบุตร และ แบบแผนความสัมพนั ธ์ระหว่างเพศ ซ่ึงเป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นความถูกต้องทางสังคม สถาบัน ครอบครัวเป็นสถาบนั พ้นื ฐานของสังคมมนุษย์ มีองคป์ ระกอบสาคญั ดงั น้ี - องคก์ าร ไดแ้ ก่ ครอบครัว ซ่ึงประกอบดว้ ยสมาชิกที่อยอู่ าศยั ในครัวเรือนเดียวกนั เช่น บิดา มารดา บุตร และวงศาคณาญาติท่ีสัมพนั ธ์เก่ียวขอ้ งโดยสายโลหิตหรือโดยการสมรส หรือโดยการ เป็ นบุตรบุญธรรม - องคม์ ติ คือ เล้ียงดูสมาชิกใหม่ ถ่ายทอดวฒั นธรรมของสงั คมไปสู่สมาชิกใหม่ ซ่ึงเป็ น กระบวนการขดั เกลาทางสังคม เพ่ือใหเ้ ด็กเติบโตเป็ นสมาชิกที่ดีของสังคม หนา้ ท่ีอื่นๆ ไดแ้ ก่ การสนอง ความตอ้ งการทางจิตใจ ทาหนา้ ที่ใหค้ วามรัก ความอบอุน่ แก่สมาชิก - องค์พิธีการ สถาบนั ครอบครัวประกอบไปดว้ ยแบบแผนพฤติกรรม ซ่ึงเป็ นบรรทดั ฐาน ทางสงั คม ไดแ้ ก่ ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมหลายประการ เช่น ประเพณีการหม้นั การสมรส - องค์วตั ถุ สัญลกั ษณ์ของสถาบนั ครอบครัวท่ีสาคญั เช่น แหวนหม้นั แหวนแต่งงาน เป็ นตน้ 2. สถำบันกำรศึกษำ หมายถึง สถาบนั สังคมซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั แบบแผนการขดั เกลาและการถ่ายทอดวฒั นธรรม การให้ความรู้ และการฝึ กหัดทกั ษะอาชีพ เพ่ือความเป็ นสมาชิกท่ีเหมาะสมแก่สังคม สถาบัน การศึกษามีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ดงั น้ี - องค์การ ได้แก่ องค์การต่างๆ ในสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย สมาคมทางการศึกษา จะประกอบไปดว้ ย ครู อาจารย์ นกั วจิ ยั วทิ ยากรผใู้ หก้ ารอบรม เป็นตน้
- องคม์ ติ ถ่ายทอดความรู้ วฒั นธรรม และทกั ษะ อนั จาเป็นในการดารงชีวติ ของสมาชิก ในสงั คม การผลิตกาลงั แรงงานทางเศรษฐกิจ ตามความตอ้ งการทางสงั คม - องค์พิธีการ สถาบันการศึกษาประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรมต่างๆ เช่น การจดั ระบบการศึกษา แบบแผนการเรียนการสอน แบบแผนความประพฤติของนกั เรียน นกั ศึกษา เป็ นตน้ - องคว์ ตั ถุ สถาบนั การศึกษาจะปรากฎในองคก์ ารทางการศึกษาต่างๆ เช่น เขม็ เครื่องหมาย โรงเรียน สีประจาโรงเรียน เป็นตน้ 3. สถำบนั ศำสนำ หมายถึง สถาบนั สงั คมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั แบบแผนระบบความเช่ือ และความศรัทธาต่อส่ิง ท่ีควรเคารพบูชาของสมาชิกในสังคม สถาบนั ศาสนามีความสาคญั ต่อการหล่อหลอมความเป็ น อนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของสมาชิกในสังคม สถาบนั ศาสนามีองคป์ ระกอบที่สาคญั ดงั น้ี - องคก์ าร ไดแ้ ก่ คณะสงฆ์ กลุ่มผปู้ ฏิบตั ิธรรม เป็ นตน้ โดยมีตาแหน่งหรือสถานภาพ ทางสังคมแตกตา่ งกนั เช่น พระสงั ฆราช เจา้ อาวาส ภิกษุ สามเณร ฆราวาส เป็นตน้ - องค์มติ สร้างความเป็ นปึ กแผ่นให้แก่สังคม ทาให้เกิดความสามคั คีและความเป็ น อนั หน่ึงอนั เดียวกนั สร้างเสริมและถ่ายทอดวฒั นธรรมแก่สังคม ศาสนาเป็ นบ่อเกิดแห่งวฒั นธรรม ในสังคมอย่างมากมาย โดยเฉพาะวฒั นธรรมทางคติธรรม และวฒั นธรรมทางวตั ถุท่ีมีคุณค่าแก่ สังคม - องค์พิธีการ ยอ่ มเป็ นไปตามหลกั ธรรมของศาสนาที่ตนนบั ถือ และเป็ นไปตามประเพณี ทางศาสนาน้นั ๆ เช่น ประเพณีการบวช ประเพณีการทาบุญในวนั สาคญั ทางศาสนา เป็นตน้ - องค์วตั ถุ สัญลกั ษณ์ของพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธรูป ใบเสมา ธรรมจกั ร เป็ นตน้ สาหรับค่านิยมแตกต่างไปตามหลกั สถาบนั ศาสนาของศาสนาน้นั ๆ เช่น พระพุทธศาสนามีค่านิยม และความเชื่อในเร่ืองบาปบุญที่แต่ละบุคคลกระทา เป็นตน้ 4. สถำบนั เศรษฐกจิ หมายถึง สถาบนั สังคมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั แบบแผนการสนองความตอ้ งการเกี่ยวกบั ความ จาเป็ นทางวตั ถุเพื่อการดารงชีวิต เป็ นแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมที่เก่ียวขอ้ งกบั การผลิต การกระจาย สินคา้ และบริการไปสู่ผูบ้ ริโภค ซ่ึงเป็ นปัจจยั สาคญั ในการดารงชีวิตของมนุษย์ สถาบนั เศรษฐกิจ มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ดงั น้ี - องค์การ กลุ่มสังคมในสถาบนั เศรษฐกิจมีเป็ นจานวนมาก เช่น กลุ่มบุคคลในบริษทั ร้านคา้ โรงงาน และองคก์ ารทางเศรษฐกิจต่างๆ แต่ละกลุ่มสังคมประกอบไปดว้ ยตาแหน่งและบทบาท หนา้ ท่ี ซ่ึงเก่ียวขอ้ งสมั พนั ธ์กนั
- องค์มติ ผลิตสินค้า เพื่อสนองความตอ้ งการของสมาชิกในสังคมชีพ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค บ้านเรือนท่ีอยู่อาศยั และกระจายสินค้าท่ีผลิตไปสู่สมาชิกในสังคม อยา่ งทวั่ ถึง - องค์พิธีการ ประกอบด้วย แบบแผนพฤติกรรมที่มีความสาคญั ในการดารงชีวิตร่วมกนั ของสมาชิกในสังคม ไดแ้ ก่ แบบแผนในการผลิตสินคา้ แบบแผนการจดั ระบบการตลาดและการบริการ แบบแผนของการประกอบอาชีพต่างๆ - องคว์ ตั ถุ สถาบนั เศรษฐกิจส่วนใหญ่ เป็ นสัญลกั ษณ์ขององคก์ ารสังคมต่างๆ ของสถาบนั เศรษฐกิจ เช่น เคร่ืองหมายการคา้ สัญลกั ษณ์ 5. สถำบนั กำรเมืองกำรปกครอง เป็นสถาบนั สังคมท่ีเป็นแบบแผนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสนองความตอ้ งการของสมาชิกในการ ดารงชีวิตตามกฎระเบียบของสังคม ควบคุมกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมให้ดารงชีวติ ร่วมกนั อยา่ งมีระเบียบ และมีความปลอดภยั สถาบนั การเมืองการปกครองมีองคป์ ระกอบที่สาคญั ดงั น้ี - องคก์ าร ประกอบดว้ ยกลุ่มสังคมต่างๆ ที่สาคญั มีการจดั ระเบียบอยา่ งชดั เจนที่เรียกวา่ องคก์ าร เช่น สภานิติบญั ญตั ิ คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม พรรคการเมือง เป็นตน้ - องคม์ ติ สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม โดยมีองคก์ ารท่ีทาหนา้ ท่ีสร้างกฎหมาย เพื่อคุม้ ครองให้ระบบความสัมพนั ธ์ของสถาบนั อ่ืนๆ ในสังคมดาเนินไปตามวตั ถุประสงค์ของ สถาบนั น้นั - องคพ์ ธิ ิการ ประกอบไปดว้ ยแบบแผนพฤติกรรม เพ่ือสนองหนา้ ที่ต่างๆ ของสถาบนั ให้บรรลุผล เช่น แบบแผนพฤติกรรมในการเลือกต้งั แบบแผนพฤติกรรมในการประชุมรัฐสภา แบบแผนการสอบสวนและพจิ ารณาคดี เป็นตน้ - องค์วตั ถุ สัญลกั ษณ์ท่ีสาคญั ของสถาบนั การเมืองการปกครอง ไดแ้ ก่ ธงชาติ เพลงชาติ เครื่องหมายสัญลกั ษณ์ขององคก์ ารราชการแต่ละแห่ง เป็ นตน้ สาหรับค่านิยมของสถาบนั การเมือง การปกครอง มีความแตกต่างกนั ตามวฒั นธรรมของแต่ละสังคม เช่น ค่านิยมในการปกครองระบบ ประชาธิปไตย
ค่ำนิยมของสังคมไทย ค่ำนิยม (Value) คือ ส่ิงท่ีกลุ่มสังคมหน่ึงๆ เห็นว่าเป็ นสิ่งท่ีน่านิยม น่ากระทา น่ายกยอ่ ง เป็นส่ิงท่ีถูกตอ้ งดีงาม เหมาะสมที่จะยดึ ถือพึงปฏิบตั ิร่วมกนั ในสังคม ค่านิยมเป็นส่วนหน่ึงของวฒั นธรรม เนื่องจากมีการเรียนรู้ปลูกฝังและถ่ายทอดจากสมาชิก รุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึง สังคมแต่ละสังคมจึงมีค่านิยมแตกต่างกนั ไป ค่านิยมช่วยให้การดาเนินชีวติ ในสังคมมีความสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กนั และทาให้การดาเนินชีวิตของสมาชิกมีเป้าหมายช่วยสร้าง ความปึ กแผน่ ใหแ้ ก่สังคม ค่านิยมแบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ค่านิยมของบุคคล อาจจะแสดงออกไดจ้ ากการตดั สินใจแต่ละคน ตามความถนดั และ ความสนใจของแตล่ ะบุคคล 2. ค่านิยมของกลุ่มหรื อค่านิยมสังคม แสดงถึงบุคคลในสังคมปรารถนาอะไรใน สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง ค่ำนิยมทคี่ วรปลกู ฝังในสังคมไทย ได้แก่ 1. การรักชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ 2. ความเอ้ือเฟ้ื อเผอ่ื แผ่ 3. ความกตญั ญูกตเวที 4. ความซื่อสัตยส์ ุจริต 5. การเคารพผอู้ าวโุ ส 6. การนิยมของไทย 7. การประหยดั ค่ำนิยมทคี่ วรแก้ไขในสังคมไทย ได้แก่ 1. การเห็นคุณค่าของเงินตรา สิ่งของ มากกวา่ คุณค่ามนุษย์ 2. ยดึ ถือโชคลาง การเส่ียงโชค 3. ขาดระเบียบวนิ ยั 4. ไม่ประมาณตนในการดาเนินชีวติ 5. ชิงดีชิงเด่น 6. ความนิยมวฒั นธรรมตะวนั ตก
กำรเปลย่ี นแปลงของสังคมไทยและแนวโน้มกำรเปลยี่ นแปลงของสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงเป็นลกั ษณะธรรมชาติของสังคมมนุษยแ์ ละยอ่ มเกิดข้ึนในทุกสังคม แต่จะ เร็วหรือชา้ ข้ึนอยกู่ บั กาลเวลา และอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีข้ึนหรือเลวลงก็ได้ ประเภทของการเปลี่ยนแปลง เราอาจจาแนกการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนในสังคม ออกเป็ น 2 ประเภท คือ 1. การเปล่ียนแปลงทางสังคม หมายถึง การเปล่ียนแปลงโครงสร้างของสังคมและระบบ ความสมั พนั ธ์ของกลุ่มคน เช่น ความสมั พนั ธ์ในครอบครัวระหวา่ งพ่อ แม่ ลูก นายจา้ ง ลูกจา้ ง เป็นตน้ 2. การเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการดาเนินชีวิต ความรู้ ความคิด ค่านิยม อุดมการณ์ และบรรทดั ฐานทางสังคม ซ่ึงรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของสังคม โดยรับวฒั นธรรมตะวนั ตกเข้ามาสู่วฒั นธรรมไทย เป็ นเหตุให้ละเลยหรือหลงลืม วฒั นธรรมไทยบางอยา่ ง แนวโน้มกำรเปลยี่ นแปลงของสังคมไทย สังคมไทยปัจจุบนั ผ่านเขา้ สู่ยุคโลกาภิวฒั น์หรือโลกไร้พรมแดน ท่ีมีการรับรู้ขอ้ มูลข่าวสาร ทว่ั โลกอยา่ งรวดเร็ว โดยไมอ่ าจควบคุมดว้ ยเคร่ืองมือ เทคโนโลยี หรือกฎหมายของรัฐได้ สังคมไทย จึงเป็ นสังคมที่สามารถรับวฒั นธรรมจากทุกมุมโลก ทาให้เกิดการนาวฒั นธรรมหลายอย่างมาใช้ เช่น แฟชน่ั การแต่งกาย การตกแตง่ ร่างกาย การใชค้ าพดู ตามคาโฆษณา การใชเ้ วลาวา่ งตามหา้ งสรรพสินคา้ ปัญหำสังคมของไทยและแนวทำงในกำรแก้ปัญหำ ปัญหำสังคม คือ ปัญหาหรือสภาวการณ์ท่ีเกิดข้ึนในสังคม และสภาวการณ์น้ันกระทบ กระเทือนตอ่ คนส่วนมากในสงั คม เป็นวถิ ีทางท่ีไม่พงึ ปรารถนา 1. ปัญหำประชำกร ปัจจุบนั ประเทศไทยประสบกบั ปัญหาประชากรเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว และมีจานวนประชากรมากจนไม่อาจจดั สรรทรัพยากรต่างๆ ใหเ้ พยี งพอได้ แนวทำงแก้ปัญหำ การวางแผนครอบครัวและการใหก้ ารศึกษาเรื่องประชากร 2. ปัญหำสิ่งเสพติด เป็ นปัญหาสาคญั ของชาติในปัจจุบนั เน่ืองจากมีการระบาดอย่างรุนแรง ท้งั ในเขตเมืองและชนบท โดยเฉพาะกลุ่มของเยาวชน แนวทำงแก้ปัญหำ การให้ความรู้เร่ืองโทษของส่ิงเสพติด การร่วมมือระหวา่ งโรงเรียน กบั ผปู้ กครองเพื่อดูแลความประพฤติของเดก็ อยา่ งใกลช้ ิด การส่งเสริมสุขภาพจิต 3. ปัญหำส่ิงแวดล้อมเป็ นพิษ ส่ิงแวดล้อมเป็ นพิเศษได้ทวีความรุนแรงข้ึนเป็ นลาดับ อากาศเสียเต็มไปดว้ ยควนั ไอเสียจากรถยนต์ ฝ่ ุนละอองจากโรงงาน คนสูดอากาศเป็ นพิษทาใหเ้ กิด อนั ตรายต่อสุขภาพ น้าในลาคลองเน่าเหม็น ใชอ้ ุปโภคบริโภคไม่ได้ เพราะโรงงานต่างๆ ปล่อยน้าเสีย ลงไปในแม่น้า ลาคลอง ประชาชนทิง้ เศษขยะเน่าเหมน็ ลงแมน่ ้า ฯลฯ แนวทำงแก้ปัญหำ การใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุมแหล่งกาเนิดมลพิษที่เป็ นปัญหา สงั คม
4. ปัญหำควำมยำกจน สภาพการดารงชีวติ ของบุคคลที่มีรายไดไ้ ม่พอกบั รายจ่าย ไม่สามารถ จะหาสิ่งจาเป็ นมาสนองความตอ้ งการทางร่างกายและจิตใจไดอ้ ยา่ งเพียงพอ จนทาให้บุคคลน้นั มีสภาพ ความเป็ นอยู่ที่ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานที่สังคมวางไว้ ความยากจนข้ึนอยู่กบั มาตรฐานของแต่ละ สังคม แนวทำงแก้ปัญหำ พฒั นาดา้ นการศึกษา เพ่ือพฒั นาคุณภาพของประชากร 5. ปัญหำอำชญำกรรม เป็ นการกระทาที่มีความผิดทางอาญา อนั มีผลกระทบต่อการอยู่ ร่วมกนั ของประชาชนในสงั คม รัฐจาเป็ นตอ้ งออกกฎหมายเพื่อคุม้ ครองสิทธิ เสรีภาพ ร่างกาย ชีวติ และทรัพยส์ ินของประชาชน แนวทำงแก้ปัญหำ รัฐตอ้ งเร่งแกไ้ ขปัญหาความยากจน ปัญหาการว่างงาน ขาดแคลน ที่ดินทากิน 6. ปัญหำโรคเอดส์ เป็ นปัญหาที่สาคญั ในระดบั ชาติ เพราะการแพร่กระจายของโรคเอดส์ เป็ นไปอย่างรวดเร็วและอาจลุกลามเขา้ สู่สถาบนั ครอบครัวและประชาชนกลุ่มอ่ืนๆ โดยยากท่ีจะแกไ้ ข จึงถือเป็ นภารกิจเร่งด่วนและสาคญั ประการหน่ึงที่จะตอ้ งดาเนินการ เพื่อป้องกนั และควบคุมการ ขยายตวั แนวทำงแก้ปัญหำ ใหค้ วามรู้เรื่องโรคเอดส์และเพศศึกษา สังคมไทยในอดีต สังคมไทยโบราณ มีการแบ่งคนเป็ นชนช้นั ต่างๆ เพราะความตอ้ งการแรงงานในการผลิต และการสงคราม ลกั ษณะชนช้นั ในสงั คมไทย คือ 1. เป็นระบบอุปถมั ถ์ คือ พ่งึ พาอาศยั กนั 2. เลื่อนช้นั ไดต้ ามความสามารถ สมยั สุโขทยั มีการแบ่งคนออกเป็น 2 ช้นั ไดแ้ ก่ 1. ชนช้นั ปกครอง ไดแ้ ก่ พระมหากษตั ริยแ์ ละขนุ นาง 2. ชนช้นั ผถู้ ูกปกครอง ไดแ้ ก่ ไพร่และขา้ สมัยอยุธยำ การควบคุมกาลงั คน แบง่ เป็น 2 ระบบ คือ ระบบไพร่และระบบศกั ดินา สังคมไทยในสมยั อยุธยา แบ่งออกเป็ น 4 ช้นั ไดแ้ ก่ เจา้ ขุนนาง ไพร่ ทาส ส่วนพระสงฆ์ ถือเป็นชนช้นั พเิ ศษ เจ้ำ หมายถึง พระมหากษตั ริยแ์ ละเจา้ นาย ซ่ึงหมายถึง ผสู้ ืบเช้ือสายใกลช้ ิดพระมหากษตั ริย์ ไดแ้ ก่ เจา้ ฟ้า พระองคเ์ จา้ และหมอ่ มเจา้ ถือศกั ดินาลดหลนั่ กนั ลงไป และมีสิทธิพิเศษ คือ ไม่ตอ้ งถูก
เกณฑ์แรงงาน ไม่ตอ้ งเสียภาษี ได้ผลประโยชน์จากไพร่ในสังกัด ได้รับพระราชทานเบ้ียหวดั ประจาปี ขุนนำง (นำย, มูลนำย) คือ ขา้ ราชการมีบทบาทสาคญั ดา้ นการปกครอง ถือศกั ดินา 400 – 10,000 ไร่ ประกอบดว้ ย ยศศกั ด์ิ 4 อยา่ ง คือ ยศ ตาแหน่ง ราชทินนาม ศกั ดินา สิทธิของขุนนำง ได้แก่ 1. ไมต่ อ้ งถูกเกณฑแ์ รงงาน 2. ขนุ นางผใู้ หญเ่ ขา้ เฝ้าพระมหากษตั ริยใ์ กลช้ ิดได้ 3. ไดผ้ ลประโยชน์จากไพร่ 4. ไดผ้ ลประโยชนจ์ ากตาแหน่งหนา้ ที่การงาน ไพร่ คือ ประชาชน ซ่ึงถือวา่ เป็ นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม ถือศกั ดินา 10 – 25 ไร่ มีหนา้ ท่ีรับใช้ ราชการโดยสังกดั มูลนาย เพ่อื จะไดร้ ับการคุม้ ครองตามกฎหมาย แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ไพร่หลวง คือ คนของทางราชการ มีหนา้ ท่ีทางานใหก้ บั ทางราชการโดยการเกณฑแ์ รงงาน 2. ไพร่สม คือ คนของขนุ นาง มีหนา้ ที่ทางานกบั ขนุ นาง กำรเกณฑ์แรงงำน หมายถึง การทางานใหก้ บั ทางราชการ โดยไม่ไดค้ ่าตอบแทน ในสมยั อยุธยา ความตอ้ งการแรงงานมีมาก เกณฑแ์ รงงานไพร่ปี ละ 6 เดือน โดยเกณฑเ์ ขา้ เดือนออกเดือน สิทธิหน้ำทขี่ องไพร่ คือ 1. เสียภาษีอากร 2. มีสิทธิจบั จองเป็นเจา้ ของที่ดินได้ 3. ตอ้ งข้ึนทะเบียนสังกดั มูลนาย 4. ยา้ ยสงั กดั กรมกอง ภูมิลาเนาไมไ่ ด้ ทำส คือ กลุ่มชนช้นั ต่าท่ีสุดของสงั คม ถือศกั ดินา 5 ไร่ ทาสมี 7 ชนิด ไดแ้ ก่ - ทาสสินไถ่ - ทาสในเรือนเบ้ีย - ทาสท่านให้ - ทาสไดม้ าแตบ่ ิดามารดา - ทาสท่ีช่วยไวย้ ามเม่ือตอ้ งโทษทณั ฑ์ - ทา่ นที่เล้ียงไวย้ ามขา้ วยากหมากแพง - ทาสเชลย ทาสที่มีมากที่สุด คือ ทาสสินไถ่
ทาสท่ีไดร้ ับการปลดปล่อยเป็นอนั ดบั แรก คือ ทาสในเรือนเบ้ีย ทาสเป็นอิสระไดโ้ ดย 1. ไถ่ถอนตวั เอง 2. โดยการบวช 3. แตง่ งานกบั นายเงิน หรือลูกหลานนายเงิน 4. ไปสงครามถูกจบั เป็นเชลย หนีรอดกลบั มาได้ 5. ฟ้องร้องนายเงินเป็นกบฎ สอบสวนแลว้ เป็นความจริง สังคมไทยในสมยั โบราณถึงตน้ รัตนโกสินทร์ ผูม้ ีฐานะสูงสุดของสังคมคือ พระมหากษตั ริย์ รองลงมาคือ มูลนาย (เจา้ นายและขุนนาง) ชนช้นั ท่ีมีจานวนมากคือ ไพร่ พระสงฆ์ทาหนา้ ท่ีเป็ น ตวั กลางระหวา่ งมูลนายกบั ไพร่ การเปล่ียนแปลงทางสังคมไทย (ปี พ.ศ. 2394 – 2475) มีปัจจยั ภายนอกทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลง คือ วฒั นธรรมและวิทยาการต่างๆ ของตะวนั ตกเขา้ มาแพร่หลายต้งั แต่รัชกาลที่ 3 – 4 โดยมีความเจริญกา้ วหนา้ ทางการศึกษาเขา้ มาในประเทศไทย ส่วนปัจจยั ภายใน คือ ทางดา้ นเศรษฐกิจ มีการเปลี่ยนแปลงจากการผลิตแบบยงั ชีพไปเป็ นการผลิตแบบการคา้ การขยายที่ดินทากิน การอพยพ เคล่ือนยา้ ยแรงงาน ผลกระทบตอ่ สังคมไทยท่ีสาคญั คือ สนธิสัญญาบาวริง (พ.ศ. 2398) ทาให้ไทยเสียดินแดน ใหก้ บั ฝรั่งเศส องั กฤษ พมา่ จีน รัชกาลที่ 5 ไดย้ กเลิกระบบไพร่ ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เปิ ดโอกาสให้ทุกช้นั ไดร้ ับการศึกษา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย (ปี พ.ศ. 2475 – ปัจจุบนั ) มีการขยายการศึกษาอย่างกวา้ งขวาง มีการจดั ต้งั มหาวิทยาลยั ในส่วนภูมิภาคต่างๆ ท้งั ภาคเหนือ (มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่) ภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือ (มหาวิทยาลยั ขอนแก่น) และภาคใต้ (มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์) ในแผนพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบบั ท่ี 1, 2 (2504 – 2514) สงั คมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมยั โบราณมากมาย แต่ลกั ษณะรูปแบบความสัมพนั ธ์ บางอยา่ งในสังคมยงั คงไดร้ ับการสืบทอดมากจนถึงปัจจุบนั คือ 1. ความสัมพนั ธ์ในระบบอุปถมั ภ์ ผนู้ อ้ ยมีความจงรักภกั ดีผใู้ หญ่ 2. การมีโครงสร้างของสังคมที่มีการแบ่งชนช้นั โดยพิจารณาจากทรัพยส์ ิน สถานภาพ เกียรติยศ อานาจ ระดบั การศึกษา อาชีพ ความดี ชาติกาเนิด ยกยอ่ งการเป็ นเจา้ คนนายคน การยึดถือ ตวั บุคคล
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: