การดูแลสุขภาพ น.ส.ชนกานต์ หลิมประเสริฐศิริ ม.6/6 เลขที่ 9
การดูแลสุขภาพร่างกาย 1. เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารกับสุขภาพเป็นของคู่กัน การที่เราจะมีสุขภาพดีได้นั้น การกินถือเป็นอีก หนึ่งปัจจัยหลักในการดูแลตัวเอง เป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอก เราจึง ควรต้องกินอาหารให้พอดีและหลากหลายในแต่ละวัน เลือกกินอาหารที่มีคุณค่า ทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นไปที่โปรตีนและคาร์โบไฮเดตรที่มี ประโยชน์เป็นหลัก เสริมผัก ผลไม้ที่ให้เกลือแร่และวิตามิน ที่สำคัญควรหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกไขมันและอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถกินอาหารที่คุณชอบแต่อาจ จะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนัก แถมยังรู้สึกผิดทุกครั้งที่กินเข้าไปได้ แน่นอนว่าคุณ สามารถกินเค้กชิ้นเล็กๆ ชานมไข่มุก หรือเมนูประเภทปิ้ งย่างได้เช่นกัน แต่ต้อง ระวังไม่ให้เผลอกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะถ้าหากคุณกินในปริมาณที่ พอดีก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจแถมยังช่วยเยียวยาอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ โดยไม่เสียสุขภาพด้วย
อาหารสุขภาพ คือ หมายถึงอาหารที่เมื่อรับเข้าไปแล้วน้ำหนักจะต้องอยู่ในเกฑ์ปรกติ ไม่เป็นโรคเรื้อรัง โดยการเพิ่มอาหารผักและผลไม้ ลดเกลือ ลดน้ำตาล ลดไขมัน อาหารสุขภาพ องค์การอนามัยโรคได้นิยามเรื่องอาหารสุขภาพว่า การรับประทานอาหารที่ไม่มี คุณภาพ ร่วมกับการไม่ออกกำลังกายจะเป็นบ่อเกิดโรคเรื้อรัง องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำอาหารสุขภาพดังนี้ รับประทานอาหารที่สมดุลและมีน้ำหนักที่ปรกติ ให้ลดอาหารไขมัน และหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว Saturated fat,Transfatty acid ให้รับประทานอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืขเพิ่มมากขึ้น ลดอาหารที่มีน้ำตาล ลดอาหารเค็ม สำหรับ National Health Service (NHS)ของประเทศอังกฤษได้นิยามอาหาร สุขภาพไว้ว่า มีสองปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงได้แก่ รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสมดุลกับพลังงานที่ใช้ผลไม้ รับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย NHSจึงได้กำหนดแนวทางอาหารสุขภาพไว้ดังนี้ ทุกท่านต้องรู้จักจานอาหารสุขภาพซึ่งมีอาหารทั้งหมด 5 หมู่ ในจานอาหารสุขภาพจะบอกเราว่าควรจะรับประทานอาหารให้มีสัดส่วนอย่างไร สำหรับสมาคมโรคหัวใจประเทศอเมริกาได้กำหนดอาหารสุขภาพไว้ดังนี้ 1.รับประทานผักและผลไม้เพิ่มโดยตั้งเป้าให้รับผักและผลไม้วันละ 4-5ส่วนทุกวัน 2.ให้รับประทานธัญพืชเพิ่มEat more whole-grain foods.เนื่องจากผักและ ผลไม้มีไขมันต่ำ ใยอาหารสูงได้แก่ Whole-grain foods include whole- wheat bread, rye bread, brown rice and whole-grain cereal. 3.ให้ใช้น้ำมัน olive, canola, corn or safflower oil สำหรับปรุงอาหารและ จำกัดจำนวนที่ใช้ 4.รับประทานไก่ ปลา ถั่วมากกว่าเนื้อแดง เนื่องจากไก่ที่ไม่มีหนัง ปลา ถั่วจะมี ปริมาณไขมันน้อยกว่าเนื้อแดง. 5. อ่านฉลากก่อนซื้อหรือรับประทานทุกครั้งเพื่อเลือกอาหารที่มีคุณภาพ
2. ออกกำลังกาย เมื่อเลือกทานอาหารที่ดีแล้วสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือการออกกำลังกาย ปัจจุบันการออกกำลังกายมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความชอบ ไลฟสไตล์ และ สภาพร่างกายของแต่ละคน แต่ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายชนิดไหน ก็มี ส่วนช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้นทั้งนั้น การออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างอย่างหนัก แต่การ ออกกำลังกายที่ดีควรทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที และควรออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเลือกรูปแบบการออก กำลังกายให้เหมาะสมกับ สภาพร่างกายช่วงวัยและความถนัด ไม่ว่าจะ เป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่ นจักรยาน เต้นแอโรบิค บอดี้เวท หรือโยคะ เพราะการ ได้ออกกำลังกายในรูปแบบที่เราชอบ จะช่วยทำให้เราออกกำลังกายได้นาน ขึ้น และออกกำลังกายได้อย่างไม่มีเบื่อ แถมได้ลดน้ำหนักไปในตัวอีกด้วย
การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ วิธีการออกกำลัง กาย การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจะต้องให้กล้ามเนื้อหลักๆ หรือ กล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ ประโยชน์ของการออกกำลังกาย 1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น 2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของ เซลล์ ออกจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ออกมาพร้อมลมหายใจ ออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น 3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน 4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น 6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกาย แข็งแรงดีขึ้น 7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามี ความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไปสู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้
เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน ทั้งใน เมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้า รีบ/data/content/2014/07/25028/cms/e_bhknrsvxy478.jpgเร่ง ไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้น การที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่ กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลัง กาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาใน ตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายใน ตอนเย็น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัว เอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัว สำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของ คนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมี สุขภาพดี
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนาน แค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัว อะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้ การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ อัศวมงคลกุล ภาควิชา ศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมัน ในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อ เนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม
ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออก กำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้ 1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก 2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค 3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และ เวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียม ตัวสำหรับการออกกำลังกาย 1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กิน อะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้ 2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยง ส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น 3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ 4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควร ผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย
3. ดื่มน้ำให้เยอะ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณ การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานการมีสุขภาพดีที่สำคัญขาดไม่ได้เลยในชีวิตประจำ วัน แต่กลับเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม การดื่มน้ำเปล่านอกจากจะช่วยให้ เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังช่วยปรับสมดุลย์ของร่างกาย บรรเทาความ เมื่อยล้า ช่วยในเรื่องระบบเผาผลาญและการขับถ่าย แถมยังช่วยให้สุขภาพผิว ของเราดีขึ้น ปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับร่างกายในแต่ละวัน โดยประมาณคือ 2 ลิตร ดังนั้นเรา จึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์ สำหรับคนที่ดื่มน้ำน้อย ลองกรอกน้ำใส่ขวดไว้แล้วตั้งเป้าหมายว่าต้องดื่มน้ำ เรื่อยๆ ให้หมดขวดภายในหนึ่งวัน แบบนี้ก็สามารถทำให้เราดื่มน้ำได้มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สมองฝ่อ โรคตับ อีกทั้งยังมีผลต่อกล้ามเนื้อ และกระดูกในระยะยาวอีกด้วย
4. พักผ่อนให้เพียงพอ ปัจจุบันเรา ใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ จนลืมไปว่าสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด และเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีนั้นก็คือการ นอนการนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะในช่วง เวลาที่เรานอนหลับ อวัยวะต่างๆ จะได้หยุดพัก หรือทำงานน้อยลง เป็นช่วง เวลาที่ระบบภูมิต้านทานจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสะสมพลังงาน สำรองไว้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากเรานอนครบ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน จะ ทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่นและสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในวันถัดไปได้ อย่างไม่รู้สึกเหนื่อยล้า เปรียบเสมือนการได้ชาร์ตแบตร่างกายให้เต็ม 100% ในทุกๆ วัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าเข้านอนก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง 22.00- 02.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน เพื่อทำให้ ร่างกายได้ฟื้ นฟูระบบต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และทำให้คุณภาพการนอนได้รวมดี ขึ้นอีกด้วย
ประโยชน์ที่ได้จากการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในแต่ละวันที่เราต้องทำกิจกรรมหลากหลาย ร่างกายของเราก็ต้องเสี่ยงกับ ภาวะต่างๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ที่เกิดจากการวิ่ง เดิน ยืน ทั้งวัน หรือการ ทำงานที่ใช้แรงงานหนักๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราได้นอนพักผ่อนอย่างเพียง พอ ร่างกายก็จะได้ซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน หากเราไม่ได้ พักเลยหรือพักน้อยมาก ในวันรุ่งขึ้นก็อาจจะทำให้หมดแรง ทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ไหวได้ค่ะ ช่วยให้ความจำดีขึ้น สมองของเรานั้นจะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านความจำ การคิด การ แก้ปัญหาต่างๆ เพราะฉะนั้นสมองก็ต้องการการพักผ่อนไม่น้อยกว่าร่างกายเลย หากเรานอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ สมองก็จะได้ชาร์ตแบตอย่างเต็มที่ แถมยังหลั่งสารเมลาโทนิน ซีโรโทนิน ฮอร์โมนเพศ และเคมีบำรุงต่างๆ ที่ช่วย ให้เราตื่นมาด้วยความสดชื่นพร้อมรับความจำใหม่ๆ ได้ดีขึ้นในวันต่อไป สำหรับ ใครที่มักจะต้องทำงานโดยใช้สมองบ่อยๆ หรือน้องๆ ที่ยังอยู่ในวัยเรียนก็อย่า ลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ การทำงานเกินเวลา ทั้งๆ ที่มันเป็นเวลาพักผ่อนของเรา ก็อาจจะทำให้ร่างกาย และสมองเกิดความเครียดเนื่องจากการทำงานหนักมากจนเกินไปได้ ซึ่งอาจจะ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย เช่น โรคหลอดเลือดต่างๆ เช่น หลอดเลือด หัวใจ หลอดเลือดสมอง เป็นต้น ดังนั้น หากคุณไม่อยากให้โรคร้ายเหล่านี้ถาม หาล่ะก็ อย่าละเลยการนอนหลับอย่างเพียงพอนะคะ
4. อย่าลืมไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ บางคนอาจมองว่าตัวเองอายุยังน้อยจึงไม่เห็นความจำเป็นในการตรวจสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตรวจสุขภาพเป็นประจำก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะ ทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง และมีสุขภาพดีในทุกๆ วัน เพราะการตรวจ สุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรารู้ ว่าเรามีปัจจัยเสี่ยงอะไรและควรจะต้อง ดูแลสุขภาพไปในทิศทางไหนบ้างเพื่อป้องกันโรคต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นการตรวจพบโรคในระยะแรกแรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะทำให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที และมี โอกาสหายได้มากกว่าการตรวจพบโรคเมื่อมีอาการปรากฏมาสักระยะหนึ่งแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปีสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้มี ความเสี่ยง หรือเป็นผู้สูงวัยเท่านั้น
ตรวจสุขภาพ ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สำหรับการตรวจสุขภาพ ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น จะมุ่งเน้นไปที่การตรวจ ร่างกายทั่วไป (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) เพื่อค้นหาความผิดปกติ ประเมินการเจริญ เติบโตตามวัย และเฝ้าระวังด้านพัฒนาการ รวมไปถึงการให้วัคซีนต่าง ๆ ตาม กำหนดเวลาเพื่อป้องกันการเกิดโรค 1.แรกเกิด – 7 วัน ตรวจร่างกายทั่วไป ประเมินภาวะตัวเหลือง (Neonatal hyperbilirubinemia) เจาะเลือดตรวจคัดกรองภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ( Congenital Hypothyroidism: CHT) ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG vaccine หรือ Bacillus Calmette Guerin vaccine) ป้องกันวัณโรค ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) 2.อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับการตรวจประเมินการได้ยิน 1 ครั้ง 3.อายุ 6-12 เดือน ควรได้รับการตรวจทางทันตกรรม 1 ครั้ง (กรณีที่ยังไม่ได้ตรวจ แนะนำให้ ตรวจภายในช่วง 1-2 ปี) ตรวจคัดกรองภาวะตาเหล่ ตาเข ภาวะข้อสะโพกหลุด และความผิดปกติของ อวัยวะเพศ ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโทคริต/ฮีโมโกลบิน) เพื่อคัดกรอง ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก อย่างน้อย 1 ครั้ง 4.อายุ 2-4 ปี ควรได้รับการตรวจคัดกรองพัฒนาการ 1 ครั้ง 5.อายุ 3-6 ปี ควรได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตและวัดสายตา 1 ครั้ง และควรได้รับ การตรวจวัดระดับความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโทคริต/ฮีโมโกลบิน) เพื่อคัด กรองภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กอีก 1 ครั้ง 6.อายุ 8, 10 ปี และช่วงอายุ 11-14, 15-18 ปี ควรได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตและวัดสายตาช่วงอายุละ 1 ครั้ง 7.อายุ 11-18 ปี (สำหรับผู้หญิง) ควรได้รับการตรวจความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโทคริต/ฮีโมโกลบิน) เพื่อ คัดกรองภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กอีก 1 ครั้ง
ตรวจสุขภาพ ในกลุ่มวัยทำงาน กลุ่มวัยทำงาน คือผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 – 60 ปี โดยบุคลากรทางการ แพทย์จะซักประวัติเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ครอบครัว มีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน และการตรวจร่างกาย ทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต เพื่อช่วยในการตรวจคัด กรองโรคหรือภาวะบางอย่าง ซึ่งการตรวจร่างกายดังกล่าวควรตรวจปีละครั้ง หรือทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ด้วยเรื่องอื่น 1.ตรวจสุขภาพช่องปาก ควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันจากทันตแพทย์หรือทันตภิบาลเป็น ประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง 2.ตรวจการได้ยิน ควรได้รับการตรวจการได้ยินด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูกันเบา ๆ ห่าง จากรูหูประมาณ 1 นิ้ว ปีละ 1 ครั้ง 3.แบบประเมินสภาวะสุขภาพ ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะซึมเศร้า การติดนิโคตินในผู้สูบบุหรี่ (ตรวจเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่) การดื่มแอลกอฮอล์ (ตรวจเฉพาะผู้ที่ดื่ม) การใช้ยาและสารเสพติด (ตรวจเฉพาะผู้ที่ใช้สารเสพติด) 4.ตรวจสุขภาพเพิ่มเติม การตรวจตา : บุคคลตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดสายตา และตรวจคัดกรองโรคต้อหิน ภาวะความดันลูกตาสูง และความผิดปกติอื่น ๆ โดยทีมจักษุแพทย์ อย่างน้อย 1 ครั้ง การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest x-ray) : ช่วยตรวจหาวัณโรค โรคปอด เรื้อรังบางชนิด หรือรอยโรคผิดปกติอื่น ๆ ในปอด ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) : ช่วยในการตรวจคัดกรองภาวะ โลหิตจาง รวมทั้งอาจตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เม็ดเลือดหรือเกล็ด เลือดผิดปกติ ตรวจระดับไขมันในเลือด : ควรตรวจระดับไขมันในเลือดทุก 5 ปี เพื่อช่วย ประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด : อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจระดับ น้ำตาลในเลือดทุก 3 ปี เพื่อช่วยตรวจกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน
ตรวจปัสสาวะ : เพื่อช่วยตรวจคัดกรองโรคไตบางชนิด ตรวจอุจจาระ : บุคคลตั้งแต่อายุ 50 ปีข้ึนไป ควรได้รับการตรวจอุจจาระ เพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ปีละ 1 ครั้ง ตรวจวัดระดับกรดยูริก : เพื่อช่วยประเมินระดับกรดยูริกซึ่งอาจมีความ สัมพันธ์กับการเกิดโรคเกาต์หรือนิ่วกรดยูริก (ตรวจเฉพาะคนที่มีอาการปวด ข้อ มีอาการข้ออักเสบ หรือข้อพิการ ซี่งสุ่มเสี่ยงเป็นโรคเกาต์เท่านั้น) การตรวจการทำงานไต : เพื่อเช็กสมรรถภาพการทำงานของไต การตรวจการทำงานตับ : เพื่อเช็กการทำงานของตับ ตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBSAG) : เฉพาะคนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 ควรได้รับการตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBSAG) โดยตรวจเพียงคร้ังเดีย 5.ตรวจสุขภาพเพิ่มเติมสำหรับเพศหญิง ตรวจเต้านม : ผู้หญิงในช่วงอายุ 30-39 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมทุก ๆ 3 ปี จากแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข ที่ได้รับการฝึกอบรม และอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเต้านมเป็นประจำทุกปี ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก : ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจ คัดกรองด้วย Pap’s smear ทุก 3 ปี หรือวิธีป้ายหาความผิดปกติโดยใช้ กรดอะซิติก (VIA) ทุก 5 ปี ทว่าหากมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจด้วยวิธี Pap’s smear แม้ว่าจะเคยหรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม
ตรวจสุขภาพ ในกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้สูงอายุ คือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากการตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน แล้ว ผู้สูงอายุทั้งเพศชาย และหญิงควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้ 1.ตรวจสุขภาพเพิ่มเติม การตรวจตา : บุคคลอายุ 60-64 ปี ควรได้รับการตรวจตาโดยทีมจักษุ แพทย์ทุก 2-4 ปี แต่สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ควรได้รับการ ตรวจตาโดยทีมจักษุแพทย์ทุก 1-2 ปี ตรวจอุจจาระ : ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจอุจจาระ เพื่อคัด กรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ปีละ 1 ครั้ง การประเมินภาวะสุขภาพ : โดยจะประเมินจากภาวะโภชนาการ ความเสี่ยง ภาวะกระดูกพรุน การทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐาน และหากอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรได้รับการประเมินสมรรถภาพการทำงานของสมองเพิ่มเติม ตรวจระดับไขมันในเลือดทุก 5 ปี ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุกปี ตรวจระดับครีอะทินีน (CREATININE) ในเลือดทุกปี เพื่อประเมินภาวะการ ทำงานของไต ตรวจปัสสาวะทุกปี หากอายุ 70 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ทุกปี 2.ตรวจสุขภาพเพิ่มเติมสำหรับเพศหญิง ตรวจเต้านม : ผู้หญิงวัย 60-69 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมทุกปีโดย แพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม และสำหรับผู้สูงวัยเพศ หญิงอายุ 70 ปีขึ้นไป ควรตรวจตามความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของแพทย์ผู้ทำการตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก : เพศหญิงอายุ 60-64 ปี ควรได้รับการ ตรวจคัดกรองด้วยวิธี PAP SMEAR ทุก ๆ 3 ปี ส่วนหญิงสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรตรวจตามความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ ทำการตรวจสุขภาพ
การดูแลสุขภาพจิต การดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เนื่องจาก สุขภาพจิตมีผลต่อ ความรู้สึก ความคิดและการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา หากเรา มีสุขภาพจิตที่ดีเราก็จะสามารจัดการ กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี เราสามารถที่จะดำเนินชีวิต ประจำวันได้อย่างมีความสุข และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัวของเรา ในทางกลับกัน หากเรามีสุขภาพจิตที่ไม่ดี นอกจากจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำ วันของเราแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพกายของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาการนอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป เบื่ออาหาร หรือทานอาหารมากจนเกินไป อ่อนเพลีย ท้องเสีย มี ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง ไมเกรน ความดัน-โลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคซึมเศร้า เป็นต้น ภาวะอารมณ์ไม่ว่าจะเป็น ตื่นเต้น มีความสุข โกรธ เสียใจ ดีใจ กระวนกระวายใจ เครียด หรือเศร้าใจเป็นสิ่งปกติในชีวิตของมนุษย์ แต่หากเรามีภาวะอารมณ์ในด้าน ลบ เช่น เครียด หรือเศร้าใจต่อเนื่องกันเป็นเวลายาวนาน และมีความรุนแรง อาจส่ง ผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับภาวะทางจิตใจได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพจิตของเราให้แข็งแรงและเบิกบานเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตของเราได้อย่างมีความสุข และมีสติปัญญาที่เบิกบาน และโปร่งใสในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่อาจเข้ามาในชีวิต
1. รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง มีผลการศึกษามากมาย ชี้ให้เห็นว่า ความเหงา เป็นตัวแปรหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิด ของปัญหาสุขภาพจิต มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เราต้องการการยอมรับ ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว ดังนั้น การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบ ตัวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่เราประสบปัญหาชีวิต การมีคน ที่เราไว้ใจ เช่น เพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัว คอยอยู่ข้างๆ และให้กำลังใจ จะ ช่วยทำให้เราผ่านปัญหา และช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นไปได้ง่ายขึ้น การบอกถึง ความรู้สึกของเรา การขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอใดๆ แต่ เป็นการแสดงความเข้มแข็ง ในการยอมรับและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เมื่อเรายอมรับและอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาของการ เศร้าเสียใจได้เร็วขึ้น 2. พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การมีเป้าหมายในชีวิต หรือ การใช้ชีวิตแบบมีจุดมุ่งหมาย เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรามี ความสุขอย่างแท้จริง มนุษย์ทุกคนต้องการการเติบโต การมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า เราต้องการอะไร อยากทำอะไรและลงมือทำ เมื่อเราได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง สัมผัสถึงความสำเร็จเมื่อเราบรรลุเป้าหมายนั้นๆ จะช่วยทำให้เรามีชีวิตที่มีความ หมายมากขึ้น และที่สำคัญ เป็นความสุขอย่างแท้จริง ที่ยั่งยืนในการมีชีวิต วันนี้ ให้ลองถามตัวเองว่า มีอะไรบ้างที่เราอยากจะทำ อยากจะเติบโต หรือเรียนรู้ เช่น อยากจะเป็นนักเขียน อยากจะเขียนหนังสือสักเล่ม ก็วางแผน และลงมือทำ เมื่อวันที่เราทำมันสำเร็จ นอกจากเราจะรู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จในการบรรลุเป้า หมายนั้น ๆ แล้ว เรายังเติบโตในเชิงของทักษะที่เราพัฒนาระหว่างทางอีกด้วย
3. รู้จักขอบคุณสิ่งต่างๆ ในชีวิต บ่อยครั้งที่เราไม่มีความสุขกับชีวิต เครียด เศร้าใจ เพราะเราโฟกัสในสิ่งที่ขาด สิ่ง ที่เรายังไม่มี ปัญหาของเรา โดยลืมคิดไปว่า ในชีวิตนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันดีงาม และ เราสามารถสร้างประโยชน์ได้การรู้จักขอบคุณสิ่ง ต่างๆ รอบตัวในแต่ละวัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ จะทำให้เราฝึกมองโลกในแง่ดี มอง เห็นสิ่งที่มี และพร้อมที่จะลงมือทำ และสร้างชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น เราสามารถรู้สึกขอบคุณ ในวันที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีร่างกายที่แข็งแรง อย่า ลืมว่า ในโลกใบนี้ มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาทำในสิ่งที่เรากำลังจะ ทำได้ เพราะเขากำลังป่วย การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นเรื่องที่น่าขอบคุณ อย่างยิ่งแล้ว ในชีวิต 4. ตรวจสอบตัวเอง การตรวจสอบตัวเองว่าเรายังรู้สึกโอเคอยู่ไหมด้วยคำถามดังต่อไปนี้ จะช่วยให้ เรารู้เท่าทันว่าเรากำลังสุขภาพจิตที่ดีอยู่หรือไม่ ฉันยังสนใจในเรื่องที่ฉันเคยสนใจอยู่หรือไม่? ฉันรู้สึกไม่สบายใจ โกรธ หรือเศร้ามากกว่าปกติหรือไม่? ฉันดื่มแอลกอฮอร์มากกว่าที่เคยดื่มหรือเปล่า? ฉันมีปัญหาในการนอนหรือไม่ ฉันนอนหลับสนิทหรือไม่ในแต่ละคืน? ฉันมีปัญหาเรื่องการกินหรือไม่ ไม่ค่อยอยากทานอาหาร หรือทานอาหาร มากเกินไปหรือไม่? ฉันรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงกว่าปกติหรือไม่ คนรอบตัวบอกว่าฉันมีภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนหรือไม่ หากคุณมีปัญหาข้อหนึ่งข้อใดในคำถามข้างต้น แสดงว่าคุณกำลังมีภาวะปัญหา ด้านสุขภาพจิต ที่ควรหันมาสนใจที่จะแก้ไข
5. ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิ จะช่วยทำให้เราจดจ่อกับปัจจุบันขณะ เพราะภาวะความเครียด และวิตกกังวล เกิดจากความคิดของเรา ที่เราส่งใจไปคิดถึงอดีต หรือ อนาคต และปรุงแต่งเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยจินตนาการของเรา การฝึกสมาธิ จะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดี ช่วยให้เรารู้เท่า ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการมากระทบของปัจจัยภายนอก เมื่อเรารู้เท่าทัน อารมณ์ เราก็เลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่ เกิดปัญหาตามมาในอนาคต 6. ออกกำลังกาย การออกกำลังกาย มีส่วนช่วยรักษาและพัฒนาสุขภาพจิต เป็นอย่างมาก นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงแล้ว ยังช่วย ทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น ในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่ง สารเอนโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ดังนั้นการแบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพกายและใจของเราเอง 7. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะช่วยให้เราได้ พักผ่อน และมีแรงเพื่อทำงาน และจัดการกับชีวิตในวันรุ่งขึ้น การนอนหลับไม่เพียงพอต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะมีผลต่อสุขภาพกายของเรา และ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ด้วยเช่นกัน
8. ดูแลตัวเอง การรักตัวเองและหมั่นดูแลตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่จำเป็นต้องรอให้ใคร มาบังคับหรือทำให้เราควรแบ่งเวลาในการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การกิน อาหารที่มีประโยชน์ ดูแลรูปร่างของเราโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจ เช่น หางานอดิเรกที่เราชอบทำ ดู หนัง ฟังเพลง เป็นต้น 9. อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่า เรากำลังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต นอกจากจะขอความ ช่วยเหลือจากคนที่เรารักและไว้ใจ การขอความช่วยเหลือหรือพูดคุยกับผู้ เชี่ยวชาญ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการดูแลรักษาจิตใจตัวเอง ซึ่งก็เหมือนกับเวลาที่ เราเจ็บป่วยและไปหาหมอเช่นกัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: