๔๓ แผนท่ี ๖ สภาพทางภมู ศิ าสตรต์ าบลบ้านกระทมุ่ ท่มี า: สถาบันอยุธยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ เขตกำรปกครอง ตาบลบา้ นกระทุม่ แบ่งเขตการปกครอง เปน็ ๑๐ หมบู่ า้ น ดังนี้ หมู่ ๑ บา้ นใหญ่ หมู่ ๖ บ้านกระทมุ่ หมู่ ๒ บ้านใหญ่ หมู่ ๗ บ้านกระทุ่ม หมู่ ๓ บา้ นใหญ่ หมู่ ๘ บ้านกระทุม่ หมู่ ๔ บา้ นกระทมุ่ หมู่ ๙ บ้านกระทุ่ม หมู่ ๕ บ้านกระทมุ่ หมู่ ๑๐ บา้ นลาดงา ๒.๒ ประวัติศำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถนิ่ ตานานและเรอื่ งเลา่ ในท้องถ่นิ ตำนำนเส้นทำงกำรเดินทำงของกองทัพพม่ำ ชาวบ้านกระทุ่ม มีเร่ืองเล่าที่สอดคล้องกับคนใน พ้ืนที่อ่ืน ๆ ของอาเภอเสนา ว่าท้องที่ในแถบน้ีเคยเป็นเส้นทางเดินทัพของกองทัพพม่า ท่ีเดินทัพมาทาง ด่านเจดยี ์สามองค์ท่ีจงั หวัดกาญจนบุรี ผ่านเข้ามาทางจังหวัดสุพรรณบุรี และเคลื่อนทัพผ่านไปยงั กรุงศรี อยธุ ยา ตำนำนท่ีมำของช่ือตำบลบ้ำนกระทุ่ม จากการสารวจข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ และความ เป็นมาของท้องถิ่นน้ัน ชาวตาบลบ้านกระทุ่มให้ข้อมูลว่า ในอดีตน้ันท้องท่ีแถบน้ีเรียกว่าตาบลบ้านใหญ่
๔๔ แต่สาเหตุท่ีเปล่ียนชื่อเป็นตาบลบ้านกระทุ่มนั้น เน่ืองจากสันนษิ ฐานว่าช่ือตาบลบา้ นใหญ่ อาจซ้าซอ้ นกับ ตาบลบ้านใหญ่ บริเวณประตูนา้ ของอาเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ซึ่งมีพ้ืนท่ีไม่ไกลจากกันมาก นัก จงึ ได้เปลีย่ นช่อื มาเปน็ ตาบลบา้ นกระทุ่ม สาหรับท่ีมาของช่ือตาบลบ้านกระทุ่มนั้น ก็ยังมีเรื่องราว ๒ กระแส คือด้านหนึ่งเล่าว่าในอดีต ตาบลบ้านกระทุ่ม มีสภาพเป็นป่ารก และมีต้นกระทุ่มขึ้นอยู่เป็นจานวนมาก จึงได้กลายมาเป็นช่ือของ ตาบลบ้านกระทุ่ม แต่จากการศึกษาหาข้อมูลของนายสาราญ ตรีธนะ หรือกานันสาราญ ได้ความว่า ชื่อ ตาบลบ้านกระทุ่มน้ัน ต้ังชื่อตามกานันคนแรกของตาบลบ้านกระทุ่ม ที่ชื่อว่า “ขุนกระทุ่มอาทร” หรือชื่อ จริงว่านายผ่อง วรรณธนัน เป็นกานันคนแรกของตาบลบ้านกระทุ่มอยู่ท่ี หมู่ท่ี ๔ จึงสันนิษฐานว่า ช่ือ ตาบลบ้านกระทุม่ นี้ เปน็ การตง้ั ช่ือเพ่อื ให้เกยี รติหรือยกย่องตามช่อื ของกานันคนแรก เร่ืองเล่ำเกี่ยวกับผีเจ้ำที่โรงเรียนโสภณพิทยำ ตาบลบ้านกระทุ่ม เคยมีโรงเรียนเอกชนชื่อ โรงเรียนโสภณพิทยา เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียน จานวนมากกวา่ ๑,๐๐๐ คน จากบทสัมภาษณข์ องนางสาวกองทรัพย์ ชมโฉม ให้สัมภาษณ์วา่ “ที่หลังโรงเรียนโสภณพิทยา มีศาลอยู่ตรงกอไผ่ซ่ึงมีความเชื่อว่ามีเจ้าที่อาศัย อยู่ในศาล ซึ่งเจ้าที่เคยมาเข้าฝันเจ้าของโรงเรียน เพื่อมาบอกให้จัดตั้งศาล แต่เจ้าของ โรงเรียนไม่เชื่อ จึงทาให้เกิดเหตุการณ์ข้ึน คือบริเวณท่าเรือของโรงเรียน มีครูและ นักเรียนอยู่บริเวณน้ัน มีสิ่งศักด์ิสิทธ์ิมาเข้าร่างของครูที่มีปานอยู่ท่ีใบหน้า เจ้าของ โรงเรียนจึงเช่ือ และได้ต้ังศาลขึ้นแต่หลังจากตั้งศาลแล้วจานวนนักเรียนได้ลดลง จาก จานวนมากกว่า ๑,๐๐๐ คน ภายในไม่ก่ีเดือนนักเรียนเหลือเพียง ๑๐ กว่าคนเท่าน้ัน และได้ปิดโรงเรียน จากน้ันจึงกลายเป็นโรงเรียนร้าง (กองทรัพย์ ชมโฉม, ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม) จากบทสัมภาษณ์ของนางหอมหวล สภุ กี ิตย์ ได้เล่าเกีย่ วกบั ตานานโรงเรยี นโสภณพทิ ยาวา่ “วันหน่ึงได้มีคนเดินผ่านในเวลากลางคืน ได้เห็นสุนัขนิลตัวใหญ่อยู่ตรงกอไผ่ บางคนก็เห็นเดก็ หัวจุก และเคยมีคนทาถนนมาอาศัยอยู่ที่โรงเรียนโสภณพทิ ยา ตอนนั้น โรงเรียนถูกปิดลงแล้ว คนขับรถได้ขับรถทาถนน ไดไ้ ปชนศาลท่ีอยู่ตรงริมน้าในเขตของ โรงเรียน ขณะที่ขับรถไปทางานท่ีวัดโบสถ์(บน) รถเกิดเสียจึงไปซ่อมรถที่ใต้ท้องรถ แล้ว อีกคนไม่รวู้ ่ารถนั้นกาลังซอ่ มอยู่ จงึ ข้ึนไปขบั ทาใหท้ ับร่างของคนนน้ั เสยี ชวี ิต กอ่ นหน้านัน้ เจ้าของท่กี ไ็ ด้บริจาคทใี่ หส้ รา้ งอนามยั โดยมีสะพานยาวทอดไปถึง รมิ แมน่ ้าน้อย ไดม้ ีหมอหนุม่ มาทางานและพกั อาศัยอยู่ท่ีอนามัย วันหนง่ึ หลงั จากทางาน เสร็จก็ได้ไปกระโดดน้าเล่น ขณะท่ีโดดลงไปแล้วปรากฏว่าหมอหนุ่มคนนั้นคอหัก เสยี ชวี ติ ”
๔๕ นางหอมหวล สุภีกิตย์ ได้เลา่ เพิ่มเตมิ วา่ “เจ้าท่ีต้องการชีวติ คน ๓ คน อีกหนึง่ คนเป็นกระเป๋ารถ สองแถว ท่ีประสบอุบัตเิ หตรุ ่วงจากรถลงมาคอหัก เสียชีวิต จากน้นั เม่ือเจา้ ของโรงเรียนเห็นว่าเกิดเหตุรา้ ย ขึ้นหลายคร้ังจึงได้ทุบตึกเรียนทิ้ง และบริจาคพ้ืนท่ีบางส่วนให้สร้างอนามัยบ้านกระทุ่มในปัจจุบัน” (หอมหวล สภุ ีกิตย,์ ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม) ภาพประกอบ ๑๖ โรงเรยี นโสภณพทิ ยา ท่มี า: นางสาวพรพรรณ ดิสปรีชา ครู กศน.ตาบลบา้ นกระทุม่ ตำนำนต้นตำลเมียน้อยเมียหลวง นางสาวแสวง สุขเกษม เล่าว่า “บริเวณหมู่ท่ี ๑ ตาบลบ้าน กระทุ่ม มีตานานเลา่ ขานเกี่ยวกับต้นตาล ๓ ต้น ซึ่งต้นตาลที่อย่ตู รงกลางนั้น เป็นต้นตาลเพศผู้ มีความสูง กว่าต้นตาลอีก ๒ ต้นที่ขนาบอยู่ทางข้างซ้ายและข้างขวา จึงแลดูคล้ายกับผู้ชาย ๑ คน และผู้หญิง ๒ คน ยืนอยดู่ ้วยกัน ชาวบา้ นได้นามาผูกเป็นเร่ืองเล่าเก่ยี วกับตน้ ตาลเมียน้อย และตน้ ตาลเมียหลวง นามาสู่การ เปรียบเปรยกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นท่ีมักมีเรื่องทะเลาะกันอยู่บ่อยครงั้ อกี ดว้ ย” (แสวง สุขเกษม, ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม)
๔๖ ดวงไฟประหลำดที่วัดโบสถ์ (บน) จากบทสัมภาษณ์ของนายสาราญ ตรีธนะได้เล่าว่า “ตอน นายสาราญ ตรีธนะ อายุ ๑๘ ปี วัดโบสถ(์ บน) ซ่ึงยงั มีสภาพชารุดทรุดโทรม และบริเวณวัดก็เป็นป่ารก คือ หนง่ึ นายสาราญ และพวกอีกหลายคนไดอ้ ยู่บนศาลาวดั และเมือ่ หันไปมองบรเิ วณทเ่ี ป็นซากของโบสถ์ ซ่ึง มีอิฐและหินที่พังทลายลงมา ก็ได้เห็นดวงไฟผุดขึ้นมาตามยอดหญ้า ตามยอดต้นไม้ ตนกับพวกจึงได้เดิน เข้าไปดูใกล้ๆ แต่เม่ือลองสัมผัสดวงไฟดู ก็ไม่ได้รู้สึกว่าดวงไฟน้ันร้อนแต่อย่างไร แต่กลับแตกเหมือนพลุ พอรุ่งเช้าจงึ ได้เลา่ ให้หลวงตาทว่ี ดั ฟัง และหลวงตาได้บอกเลา่ ว่า วันดีคืนดีหลังจากสวดมนต์เสร็จ หลวงตา เคยออกมายืนดูบริเวณซากของโบสถ์ก็เคยพบเจอเหตุการณ์น้ีเช่นกัน” (สาราญ ตรีธนะ, ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม) เรื่องเล่ำเกี่ยวกับผี นางหอมหวล สุภีกิตย์ อายุ ๘๑ ได้เล่าว่า “ในอดีตนั้นบ้านกระทุ่มมีสภาพ เป็นป่า และมีกอไผ่ข้ึนอยู่เป็นจานวนมาก คนในหมู่บ้านเดียวกันท่ีชื่อว่าตาอยู่ ได้ไปขุดดินทาส้วมบริเวณ กอไผ่ และในช่วงตอนกลางคืน ตาอยู่ได้สังเกตเห็นแสงไฟวูบวาบสีแดง และเห็นแสงไฟแบบน้ีหลายวัน นางหอมหวล จึงคิดว่าตาอยู่พูดให้ตนเองกลวั และดว้ ยความอยากรอู้ ยากเห็น จงึ ไปนัง่ แอบดูตอนกลางคืน ปรากฏว่าเห็นเป็นแสงไฟสแี ดงวูบวาบ อยบู่ รเิ วณส้วมข้างกอไผ่ ตามท่ีตาอย่เู ลา่ ใหฟ้ ังจริง นอกจากนี้นางหอมหวล สุภีกิตย์ ยังเรื่องเล่าเก่ียวกับผีเปรต ซ่ึงสมัยก่อนมีคนเล่าว่ามีผีเปรต บริเวณหลงั บ้านของตน ได้ยนิ เสยี งหวีดรอ้ งตอนกลางคืน ได้ยนิ ตั้งแต่หัวบา้ นยันท้ายบ้าน” (หอมหวล สุภี กติ ย,์ ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม) เหตุกำรณ์น้ำท่วมคร้ังใหญ่ คนในท้องถิ่นตาบลกระทุ่ม ต่างมีความทรงจาร่วมกันเก่ียวกับ เหตุการณ์น้าท่วมครั้งใหญ่ในจังหวดั พระนครศรีอยุธยา ซง่ึ ทาให้พ้ืนที่ในอาเภอเสนอได้รับผลกระทบและ เกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะคร้ังที่สาหัสที่สุดน้ัน คือ น้าท่วมใน พ.ศ.๒๕๕๔ เน่ืองจากน้าท่วม บริเวณหม่บู ้านทงั้ หมด ระดับน้าสูงถึงครึ่งฝาบา้ น และท่วมพ้นื ท่ีเกษตรกรรม รวมระยะเวลาท่ีน้าทว่ มน้ัน ยาวนานถึง ๓ เดือน ภายหลังจากอุทกภัยคร้งั น้ี นางสาวย่ิงลักษณ์ ชินวตั ร อดีตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้ เดินทางมาสารวจความเสียหายท่ีเกิดข้ึน และได้มาดูการขุดลอกคลองท่ีบริเวณหมู่ ๓ ตาบลบ้านกระทุ่ม ด้วย เหตุกำรณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ที่หมู่ ๖ ตำบลบ้ำนกระทุ่ม นายสาราญ ตรีธนะ หรือกานันสาราญ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้คร้ังใหญ่ของตาบลบ้านกระทุ่ม ซ่ึงเกิดขึ้นที่บริเวณหมู่ที่ ๖ ท่ีเมื่อ หลายสิบปีมาแล้ว เหตุการณ์ไฟไหม้คร้ังน้ันได้ไหม้ทั่วพื้นที่ของบริเวณหมู่ที่ ๖ ทั้งหมด เล่ากันว่า ขณะที่ เกดิ ไฟไหม้นน้ั เรือตา่ ง ๆ ไม่สามารถล่องผา่ นแมน่ า้ น้อยไปได้ เน่อื งจากอุณหภูมิของน้ามีความร้อนสูงมาก ไฟไหม้ตงั้ แตบ่ ริเวณวัดโบสถ(์ บน) จนถึงคลองไอ้ฉอก ท่เี ปน็ คลองกน้ั ระหว่าง หมู่ท่ี ๖ และหมู่ที่ ๗ ทาให้บ้านบริเวณหมู่ท่ี ๖ ในปัจจุบันจึงเป็นบ้านท่ีถูกสร้างใหม่ทั้งหมด จากเหตุการณ์อัคคีภัยร้ายแรง คร้ังน้ี ทาให้หมู่ ๖ มชี ื่อเรยี กวา่ “หมบู่ า้ นไฟไหม้”
๔๗ ๒.๓ วิถีชวี ติ และควำมสัมพนั ธ์ทำงสังคม ด้ำนอำชีพ คนในชุมชนบ้านกระทุ่มส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทาการประมง ประเภทปลาและก้งุ เพ่ือนามารบั ประทาน บางส่วนนาไปค้าขายในตลาดบ้านแพน ในอดีตชาวบ้านชุมชน บ้านกระทุ่มประกอบอาชีพทานาปีเป็นอาชีพหลัก ด้วยสภาพภูมิประเทศบริเวณตาบลบ้านกระทุ่มเป็นท่ี ราบล่มุ แม่นา้ นอกจากการทานาจะมีการปลกู กระจบั ปลูกขา้ วโพดที่ชายตลง่ิ และมีการหาปลาเพื่อนามา รับประทานในครัวเรือนดว้ ย แตใ่ นปัจจุบันเป็นการทานาปรงั โดยจะเรม่ิ ทานาตัง้ แตช่ ว่ งหลงั หน้าน้าเปน็ ตน้ ไป ประมาณเดอื น ธันวาคม แต่ในกรณีทม่ี ีน้าท่วมนานกว่าปกติ การเริม่ ต้นฤดูกาลทานาก็จะต้องล่าช้าออกไป เนือ่ งจากต้อง รอให้น้าลดลงเสยี ก่อน ทาให้ในบางปีสามารถเร่ิมต้นทานาได้ในช่วงเดอื นมกราคม การทานารอบแรกน้ัน จะสนิ้ สุดในช่วงเดือนเมษายน และจากนั้นกจ็ ะเร่ิมทานารอบท่ี ๒ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงช่วง เดือนสงิ หาคม การทานาแถบอาเภอเสนานี้จะสามารถทาได้เพียงปีละ ๒ ครั้ง เพราะหลังจากส้ินสุดการทานา รอบท่ี ๒ แล้ว กจ็ ะเขา้ สหู่ นา้ น้า ซึ่งจะมรี ะดบั น้าสงู จนลน้ ตลงิ่ และเข้าท่วมทุ่งนาเป็นประจาทกุ ปี วถิ ีชีวิตของชาวนาในการทานาปรังน้ัน ชาวนาจะตืน่ แต่เช้า เพ่ือไปตรวจดูนาข้าว เช่น ในช่วงที่ สูบน้าเข้านาน้ัน ต้องคอยตรวจตราระดบั น้าว่ามีน้าเข้าที่นาหรือไม่ เนื่องจากบางครั้ง อาจมีปูนามาเจาะรู ตามคนั นา ทาใหน้ า้ รัว่ ไหลออกมาได้ และคอยหมน่ั ตรวจตราและกาจดั วชั พืชท่ีขน้ึ ในนาข้าวดว้ ย อาชีพเสริมของชาวบ้านชุมชนบ้านกระทุ่มนอกจากการทานาคือการสานตะกร้าหวาย โดยทา เป็นประจาทุกวัน นอกเสียจากวันพระเน่ืองจากชาวบ้านจะต้องไปถือศีลที่วัด หรือในบางปีท่ีขาดแคลน หวาย ก็จะส่งผลให้การสานตะกร้าหยุดชะงักไปบ้าง แต่ปัจจุบัน ปัญหาการขาดแคลนหวายนั้นมีน้อยลง จงึ สามารถสานตะกร้าไดต้ ลอดทกุ ชว่ งฤดูกาล แม้แต่ในชว่ งหนา้ นา้ ก็ยังสามารถสานตะกร้าไดป้ กติ สาหรับอาชีพของคนวัยหนุ่มสาวในปัจจุบันน้ัน หลายคนนิยมสมัครเข้าทางานในโรงงาน อุตสาหกรรม ซึง่ ในจงั หวัดพระนครศรีอยุธยามนี ิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เช่น สวนอตุ สาหกรรมโรจนะ อาเภออทุ ยั นิคมอตุ สาหกรรมไฮเทค อาเภอบางปะอิน เป็นต้น กำรเดนิ ทำง คนในทอ้ งถ่ินตาบลบา้ นกระทุ่มมีวถิ ีชวี ิตท่ผี กู พนั กบั แม่น้า ลาคลอง เพราะนอกจาก ใช้เป็นแหล่งหาอาหารการกินแล้ว แม่น้า ลาคลองยังเป็นเส้นทางการคมนาคมทางน้า ผู้คนมักใช้เรือเป็น พาหนะในการเดินทาง เนื่องจากในอดีตยังไม่มีถนนหนทางท่ีสามารถเดินทางได้สะดวกอย่างในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางเพอ่ื ไปโรงเรียนสาหรับนักเรยี นในท้องถิ่นนนั้ ผ้ปู กครองต้องพายเรอื ไปสง่ บุตร หลานทโี่ รงเรียน โดยทางโรงเรยี นจะสรา้ งโป๊ะเป็นท่าเรอื ไวส้ าหรบั ใหน้ ักเรียนขน้ึ จากเรอื บางคนมีวธิ กี ารเฉพาะตัวในการเดินทางทางเรือ คือถ้ามเี รือโยงบรรทุกข้าวล่องผ่านมาตามลาน้า ก็จะพายเรือเข้าไปประชดิ เพื่อยึดเกาะใหเ้ รือโยงลานั้นลากจูงเรือของตนไปด้วย เป็นการออมกาลังในการ พายเรอื นน่ั เอง
๔๘ การเดินทางของแม่ค้าท่ีจะนาสินค้าจากบ้านบ้านกระทุ่มไปค้าขายท่ีตลาดบ้านแพนซ่ึงอยู่ห่าง จากบา้ นกระทุ่มลงไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตรนั้น นายสาราญ ตรีธนะ เล่าวา่ สมยั ก่อนจะมีเรือของตาวังซ่ึง เป็นเรือติดเคร่ืองยนต์ รับบริการลากจูงเรือลาป้ันของแม่ค้าไปค้าขายท่ีตลาดบ้านแพน ตาวังซึ่งเป็นชาว อาเภอผักไห่จะจอดเรือรอแม่ค้าอยู่ท่ีวัดโคกทอง เขตอาเภอผักไห่ ทางตอนเหนือของตาบลบ้านกระทุ่ม ต้ังแต่เวลา ๐๒.๐๐ น. เมื่อพร้อมออกเรือ ก็จะลากจูงเรือลาป้ันของแม่ค้าท่ีพ่วงต่อกันยาว ๒๐-๓๐ ลา ไปขายของท่ีตลาดบ้านแพน และขากลับก็จะรับเรือสาปั้นเหล่าน้ีกลับในช่วงเวลาประมาณ ๐๘.๐๐– ๐๙.๐๐ น. นับเปน็ วิถีแหง่ การดาเนินชีวิตของผคู้ นในสังคมที่ใชเ้ รือเป็นพาหนะหลกั ในการเดนิ ทาง สาหรับการเข้ามาซือ้ ของทตี่ ัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยานัน้ เป็นการเดนิ ทางที่ลาบากเพราะตอ้ ง โดยสารเรือหางยาวไป จึงไม่ค่อยมีคนนิยมไปนัก แต่สาหรับการเดินทางไปจังหวัดกรุงเทพมหานคร ชาวบ้านบางคนอาจเดินทางไปลงเรือด่วนที่ท่าเรือบ้านแพนในตัวอาเภอเสนา แต่บางคนก็นิยมลงเรือเมล์ เขียว-เมล์แดงได้ที่ทา่ เรอื ในทอ้ งถ่ินได้เลย เน่ืองจากมีเรอื เมล์ลาใหญ่ สายสแี ดง สายสีเลือดหมู สายสีเขียว ล่องจากอาเภอผักไห่ลงมาผ่านตาบลบ้านกระทุ่มไปแวะพักท่ีท่าเรือบ้านแพน ก่อนจะล่องไปถึงท่าเตียนที่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เรือเมล์ลาใหญ่นี้เป็นเรือ ๒ ช้ัน ช้นั ล่างจะเป็นท่ีบรรทุกสินค้าท่ีล่องไปขาย เช่น ปลา ก้งุ ไขเ่ ป็ด ไข่ไก่ มะกอก กระจบั และผักตา่ ง ๆ สาหรับปลานั้นจะมีการบรรจุใส่เข่งพร้อมด้วยน้าแข็ง ทบุ เพื่อรักษาความสดของปลา สว่ นขากลับนนั้ คนในท้องถ่นิ ก็จะซือ้ ของจากกรุงเทพฯ มาขาย เชน่ ปลาทู ผกั และสนิ ค้าอนื่ ๆ ทห่ี าไมไ่ ดใ้ นท้องถ่ินอาเภอเสนา นอกจากนี้ ในการเดินทางทั่วไปซ่ึงไม่ห่างไกลนัก ผู้คนรุ่นก่อนมักจะเดินเท้าเพ่ือไปมาหาสู่กับ หมู่บ้านต่าง ๆ โดยใช้วิธีการเดินลัดตัดทุ่งนาไป เพราะว่ายังไม่มีถนนที่สามารถเดินทางได้สะดวกเหมือน เช่นในปจั จุบนั ภายหลังเริม่ มีการขุดคลองชลประทาน และตัดถนนเข้ามาในพื้นที่ ทาให้การเดินทางทางถนนมี ความสะดวกมากขึ้น คนในทอ้ งถนิ่ เรม่ิ นิยมใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และโดยสารรถประจาทาง ในการ เดินทางมากขึ้น ซ่ึงการเดินทางเพ่ือเข้าสู่ตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือเดินทางไปกรุงเทพฯ นั้น สามารถไปขึน้ รถไดท้ ี่ท่ารถ บขส.เสนา ในตัวอาเภอเสนา ซ่ึงเป็นรถโดยสารของบริษัท เสนาสหนิยมจากัด แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ชาวบ้านกระทมุ่ ก็ยงั มอิ าจทอดท้ิงเรือ ซงึ่ เป็นพาหนะดั้งเดมิ ไปได้ เนื่องจากในช่วงนา้ ทว่ ม แต่ละปี ถนนบางสายหรอื บางช่วงสามารถใช้รถในการเดินทางสัญจรได้ คนในท้องถิ่นน้ีก็ยังจาเป็นต้องมี เรือไว้ประจาบ้าน เพ่อื ใช้เปน็ พาหนะในยามนา้ ท่วมอย่นู น่ั เอง ด้ำนเศรษฐกจิ ตาบลบ้านกระทุ่มเปน็ ตาบลเลก็ ๆ ทต่ี ั้งอยูใ่ นเส้นทางทแ่ี ม่น้านอ้ ยไหลผ่าน ดังน้ัน แมว้ า่ ในยา่ นบา้ นกระท่มุ จะไม่มีตลาดขนาดใหญ่นัก แตช่ าวบา้ นกระทมุ่ ก็สามารถมาหาซอ้ื ของกินของใชไ้ ด้ สะดวกทั้งในพ้ืนที่ตาบลบ้านกระทุ่มเอง และในตาบลขา้ งเคียง คือ ตลาดแพที่ตาบลหัวเวียง ซ่ึงตัง้ อยทู่ าง ทิศใต้ไปตามลาน้าน้อย ในยา่ นบ้านกระทุ่มมีแพขายของท่ีสาคัญ คือ แพตาเฮง หมู่ ๒ ตาบลบา้ นกระทุ่ม ซงึ่ เปิดเป็นรา้ น รับตัดเส้ือผ้าชื่อว่าร้านนิยมรัตน์ รบั ตัดเสื้อผ้าทั้งหญิงและชาย โดยมีคนตัดเย็บอยู่ ๓ คน คอื ตาเฮง เจ๊เอง
๔๙ (ภรรยา)และเจ๊ม่วยซ่ึงเป็นน้องสาวของตาเฮง โดยเจ๊เองเป็นชาวบ้านตาบลลาดงา มีฝมี ือในการตัดเย็บผ้า มากอ่ น จึงไดเ้ ปิดรา้ นตัดเสอ้ื ผา้ ภายหลังเริ่มค้าขายของชาในแพ โดยเรมิ่ ขายตง้ั แต่ปพี .ศ.๒๕๐๗ มีของกินของใช้ท่ีจาเป็นเกือบทุกชนิด เช่น อาหารแห้ง น้าปลา ซอสปรุงรส เกลือ ข้าวสาร เครื่องกระป๋อง หม้อข้าว เตาแก๊ส ตลอดจนยารักษาโรค และย้ายข้ึนมาขายบนบกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๔ ปัจจุบันตาเฮงมีอายุ ๘๔ ปี ยังเปิดร้านขายของตั้งแต่เช้าถึงเย็น โดยจะปิดร้านในช่วงรับประทานอาหาร และเม่ือรับประทานเสร็จกจ็ ะเปดิ รา้ นขายของอีกครั้ง ลูกคา้ มกั จะมานงั่ รอเวลาทร่ี า้ นเปดิ ตลาดน้าหัวเวียงนั้น เป็นตลาดย่อมๆ ของคนในย่านบ้านกระทุ่มและหัวเวียง ที่มีการค้าขายกัน อยู่ริมน้า และในแพร้านค้า อยู่ในละแวกวัดหัวเวียงและวัดสุวรรณเจดีย์ ชาวบ้านกระทุ่มต้องพายเรือไป ตลาด ซึ่งที่นั่นมีทั้งของกินและของใช้ท่ีจาเป็นขาย เช่น เสื้อผ้า ถ้วยชาม และอาหารแห้งทุกชนิด ส่วน สินค้าประเภทของสด ผักสด และปลานัน้ จะมบี รรดาแม่ค้าพายเรือมาขาย เปน็ ลักษณะตลาดนัดทางเรือ สาหรบั แม่ค้าทีข่ ายผกั น้ัน กม็ กั จะปลูกเองและนามาขายท่ีตลาดนา้ ยา่ นหัวเวียง ภาพประกอบ ๑๗ ภาพแพตาเฮงในอดีต ที่มา: นางสาวพรพรรณ ดิสปรีชา ครู กศน.ตาบลบ้านกระท่มุ
๕๐ ภาพประกอบ ๑๘ รา้ นขายของชาตาเฮงในปัจจุบัน ทม่ี า: นางสาวพรพรรณ ดสิ ปรีชา ครู กศน.ตาบลบ้านกระทุ่ม ภาพประกอบ ๑๙ รา้ นขายของชาตาเฮงในปจั จบุ ัน ท่ีมา: นางสาวพรพรรณ ดสิ ปรีชา ครู กศน.ตาบลบ้านกระท่มุ
๕๑ กำรศึกษำ การศกึ ษาของคนรุ่นป่ยู า่ ในอดตี ของคนในตาบลบา้ นกระท่มุ น้นั มักจะเรียนหนงั สือถึง ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ ส่วนคนในรุ่นพ่อ-แม่ ก็จะเรียนหนังสือถึงระดับประถมศึกษาปีท่ี ๗ ท่ี โรงเรยี นใกลบ้ า้ น เช่น โรงเรียนวัดบันไดชา้ ง โรงเรียนวดั ประดโู่ ลกเชษฐ์ โรงเรียนวัดใบบัว โรงเรียนวดั เกาะ และโรงเรียนวัดโบสถ์ จากนั้นจะไปศึกษาต่อในระดับช้ัน มศ.๓ ที่โรงเรยี นเสนาประสทิ ธ์ิ โรงเรียนราษฎร์ บารุงศิลป์ หรือเลือกเรียนทางด้านสายอาชีพในระดับช้ันการศึกษาปวช.-ปวท. ที่วิทยาลัยเทคนิค พระนครศรอี ยุธยา หรือวทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยา เป็นตน้ สาหรบั การศกึ ษาของเยาวชนในรุ่นปัจจบุ ันน้ัน มักจะเข้ารับการศึกษาในระดับช้ันประถมศกึ ษาท่ี โรงเรียนวัดโบสถ์ (บน) ในตาบลบ้านกระทุ่ม และโรงเรียนอื่น ๆ ในตาบลใกล้เคียงอย่างโรงเรียนลาดงา วิทยาคม และโรงเรียนลาดงาประชาบารุง ในตาบลลาดงา โรงเรียนเสนาบดี ตาบลเสนา และบางคนไป เรียนท่ีโรงเรียนวดั โคกทอง ซง่ึ ตัง้ อยใู่ นตาบลท่าดินแดง เขตอาเภอผกั ไห่ จากนั้นมาศกึ ษาต่อระดับช้ันมัธยมศึกษาที่โรงเรียนต่าง ๆ ในตัวอาเภอเสนาอย่างโรงเรียนเสนา ประสิทธ์ิ โรงเรียนผดุงวิทยา และโรงเรียนราษฎร์บารุง ตาบลบ้านโพธ์ิ สาหรับการศึกษาในระดับชั้น อุดมศึกษา บางคนเข้าศึกษาต่อที่สถานศึกษาในตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยธุ ยา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบางคนไปศึกษา ตอ่ ทม่ี หาวิทยาลยั ตา่ ง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ๒.๔ ภมู ิปญั ญำทอ้ งถนิ่ ในยุคสมัยที่ท้องถ่ินตาบลบ้านกระทุ่ม ยังห่างไกลความเจริญ ไม่มีการคมนาคมท่ีสะดวก ไม่มี เทคโนโลยแี ละเครอ่ื งท่นุ แรงตา่ ง ภูมิปัญญำด้ำนจักสำน ชาวบ้านกระทุ่มมีการเรียนรู้วิธีการจักสาน มาจากบรรพบุรุษ ท่ีได้สืบ ทอดกันมาหลายรุ่น โดยเริม่ ตง้ั แต่การนาหวายต้น มาทาให้เปน็ เส้นโดยการจักหวาย ชักเลียดหวายให้เป็น เส้น จากน้ันจึงนามาข้ึนรูป ตามแบบที่พ่อค้าคนกลางว่าจ้างให้สานตะกร้า ซึ่งรูปแบบนั้นก็เป็นไปตามท่ี ตลาดต้องการ เม่ือสานจนไดต้ ะกร้าแลว้ พ่อคา้ คนกลางกจ็ ะมารบั ไปจาหนา่ ยอีกทอดหน่งึ การสานตะกรา้ หวายในปัจจุบันมีหลากหลายรูปทรง หลายขนาด นอกจากสานตะกร้าแลว้ กย็ งั มี การสานฝาชี หรอื จกั สานรูปแบบอ่ืนตามความต้องการของลูกค้า โดยนอกจากจะมีการขายกันโดยวิธีการ ทัว่ ไปแล้ว ยังมชี ่องทางการขายสินคา้ ทางออนไลนต์ ามทุกสมัยใหมอ่ ีกด้วย ภูมิปัญญานี้ได้มีการสอน และสืบทอดให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานของตนเอง รวมไปถึงสอนให้แก่คนทั่วไป ที่สนใจในการทาตะกร้าหวายด้วย ครั้งหน่ึง นางบุปผา ฤทธิเลิศ ซึ่งมีฝีมือในการจักสานหวายแห่งตาบลบ้าน กระทุ่ม ได้รับคัดเลือกให้เปน็ ผู้สานพาน และฝาชี ถวายพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ต่อหน้าพระพักตร์ เม่ือครัง้ ที่เสด็จพระราชดาเนินมาที่วัดสามกอ เม่ือวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๖ ซ่ึงเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านกระทุ่ม และชาวเสนา ในปัจจุบัน ตะกร้าหวายยังเปน็ ที่ตอ้ งการของตลาด จึงมีแนวโนม้ ว่าภูมิปญั ญานี้ สามารถคงอยู่ต่อไปได้
๕๒ ภาพประกอบ ๒๐ นางบุปผา ฤทธิเลิศ ได้รับคดั เลือกใหเ้ ปน็ ผ้สู านพาน และฝาชีถวายพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช ที่มา: นางสาวพรพรรณ ดสิ ปรีชา ครู กศน.ตาบลบา้ นกระทุ่ม ภาพประกอบ ๒๑ ภูมปิ ญั ญาการสานตะกร้าหวาย ท่ีมา: นางสาวพรพรรณ ดิสปรีชา ครู กศน.ตาบลบา้ นกระทุม่
๕๓ ภมู ิปัญญำกำรประดิษฐ์อุปกรณ์หำปลำ (ลอบ) การทาลอบดักปลา โดยตัดไม้ไผ่มาหลายๆ ลา นามาเหลาเป็นซี่ๆ และนามารมควันเพ่อื ไมใ่ ห้มอดกนิ หลังจากนั้นนาหวายมาถกั ใหร้ อบโครงไมไ้ ผ่ และทา งาใส่เข้าไปในงอบ งาที่ว่านี้คือ อุปกรณ์ที่ใส่ไว้ในลอบเพ่ือให้ปลาเข้าไปแล้วออกไม่ได้ โดยได้เรียนรู้ภูมิ ปัญญานี้จากเพ่ือนบ้าน ปัจจุบันลอบไม้ไผ่ทีส่ านด้วยหวายหาได้ยาก สว่ นใหญ่จะทาเป็นโครงเหล็กแลว้ สาน ดว้ ยเชอื ก ภูมปิ ญั ญำในด้ำนกำรทำนำ ในยคุ ท่ียงั ไม่มเี ทคโนโลยีในการทานาทีส่ ะดวกและรวดเรว็ อยา่ งเช่น ในปจั จุบันนี้ เม่ือถงึ ฤดูกาลแห่งการเก็บเกยี่ ว ชาวนาจะนารวงข้าวท่เี กยี่ วแล้วมานวดท่ีลานนวดข้าว โดยใช้ แรงงานควายในการเหยียบนวด เพื่อการเอาเมล็ดข้าวออกจากรวง แลว้ ทาความสะอาดเพ่ือแยกเมลด็ ขา้ ว ลบี และเศษฟางข้าวออกไป ใหเ้ หลอื ไวเ้ ฉพาะเมล็ดขา้ วเปลือกที่ตอ้ งการ แต่ก่อนการนวดข้าวชาวนาจะเตรียมลานนวดข้าวเสยี กอ่ น โดยนาควายมาย่าให้พื้นดนิ ราบเรยี บ และนามูลควายจากในคอกมาย่าให้แตก แล้วนาน้ามารดให้ชุ่มให้ควายเหยียบจนเละ จากนั้นนาไม้กวาด มาเกลี่ยบางๆ ให้เป็นลานขนาดเล็กหรือใหญ่ตามความต้องการ แล้วจึงทิ้งตากแดดเพื่อให้ลานแห้ง เป็น การยาลานตากขา้ วให้เรียบ และปอ้ งกันฝุ่นละอองจบั เมล็ดข้าว นอกจากน้ี มูลควายยังสามารถนามายาเครอื่ งจักสานท่ีทาจากไม้ไผ่ได้ เชน่ ลาแพน* และพ้อมซึ่ง เป็นภาชนะสานขนาดใหญ่สาหรบั บรรจขุ ้าวเปลอื ก แต่ในปัจจุบัน ชาวนาใช้เทคโนโลยแี ละเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการทานาในทุกกระบวนการ จึง ไม่จาเป็นต้องอาศัยแรงงานควายในการทานา หรือการนวดข้าวเหมือนในอดีต ทาให้ภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน เหลา่ นค้ี ่อยๆ หมดไป ภูมิปัญญำด้ำนกำรทำขนมไทย คนในท้องถ่ินบ้านกระทุ่ม มีความรู้เรื่องการทาขนมไทย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน สืบทอดกันมาจากรุ่นสรู่ ุ่น ขนมไทยเหล่านี้ มักจะใช้ไข่แดง แป้ง และน้าเชอื่ ม เป็นสว่ นผสมหลัก สว่ นไข่ขาวที่เหลือน้ันจะนาไปทาสังขยา ปัจจุบนั องค์ความรู้ในการทาขนมไทยนี้ได้ถูกถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานของตนเอง เพ่ือใชเ้ ป็นขนม มงคล ในพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส งานอุปสมบท ของคนในเครือญาติ หรือคนบ้านใกล้เรือน เคียง โดยไม่ได้มุ่งหมายเพื่อนามาประกอบเป็นอาชีพ แสดงให้เห็นถึงความมีน้าจิตน้าใจของผู้คน ที่ใช้ ความรใู้ นการทาขนมมาช่วยเหลืองานพธิ ที ีส่ าคัญของคนในท้องถิน่ เดียวกัน ภมู ปิ ญั ญำดำ้ นช่ำงไม้ ในท้องถิ่นบา้ นกระทมุ่ เคยมีช่างไม้ผู้เชยี่ วชาญด้านงานแกะสลักต่าง ๆ จน ได้รบั การยกย่องจากคนในทอ้ งถิ่นวา่ เป็นช่างไม้ประจาตาบล คือ นายม้วน ทรงกิจ นอกจากน้ี ยังเป็นผู้มี * เครอื่ งจกั สานชนดิ หนึ่ง มักสานด้วยตอกไมไ้ ผ่เสน้ ใหญ่ ๆ แบน ๆ ซง่ึ เรียกว่า ตอกปื้น ทที่ าด้วยหวายหรือเส้น ใยเปลือกไม้ก็มี ใช้ปูหรือ ทาเป็นแผงใช้กน้ั หรือกรเุ ป็นฝาเรอื น เรยี กวา่ เส่ือลาแพน
๕๔ ฝมี ือในด้านการต่อเรือหลายประเภทตามความตอ้ งการของผ้วู ่าจ้างน่าเสียดายที่ภูมิปัญญานี้หมดไปพรอ้ ม กับอายขุ ยั ของนายม้วน ทรงกจิ โดยไม่มีผูส้ บื ทอดภมู ปิ ัญญาแตอ่ ยา่ งใด ภูมิปัญญำดำ้ นแทงหยวกกล้วย นอกจากนายม้วน ทรงกจิ จะเป็นผูไ้ ด้รับการขนานนามวา่ เป็น ช่างไม้ประจาตาบลบ้านกระทุ่มแล้ว ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแกะสลักลวดลายหยวกกล้วย หรือ เรียกว่า “การแทงหยวก” ที่ไดร้ ับการสืบทอดจากบรรพบุรษุ อีกด้วย งานแทงหยวก สามารถนาไปใชเ้ ปน็ สงิ่ ประดับท้งั ในงานมงคล และงานอวมงคลสว่ นใหญ่จะนาไป ประกอบเป็นเมรุในงานฌาปนกิจศพ โดยนาต้นกล้วยมาแกะเป็นกาบ ใช้มีดแทงทเ่ี รยี กว่ามีด ๒ หนา้ คือมี ด้านคมทั้ง ๒ ดา้ น และมีดรปู วงเลบ็ มีลักษณะโคง้ เป็นอปุ กรณ์ในการแกะลวดลาย เม่ือบ้านใดมีการจัดงานฌาปนกิจศพ นายม้วน ทรงกิจ ก็จะได้รับการไหว้วานให้ไปช่วยงานอยู่ เป็นประจา โดยไม่มีอามิสสินจ้างเป็นเงินแต่อย่างไร แสดงออกถึงน้าใจไมตรีของคนในชุมชน ท่ีมีความ ช่วยเหลอื เกือ้ กลู ซึ่งกันและกนั เป็นอยา่ งดี แต่เมื่อวัดต่าง ๆ เริ่มมีการสร้างเมรุแบบถาวรแล้ว คนในท้องถ่ินก็ไม่มีความจาเป็นต้องใช้งาน แทงหยวกในการประดับเชิงตะกอน จึงไม่มีใครมาไหว้วานให้ นายม้วน ทรงกิจ แทงหยวกให้อีกต่อไป ทา ให้งานแทงหยวกซึง่ เปน็ อกี หนึ่งภูมิปัญญาในท้องถิ่นบ้านกระทุ่มได้หมดลงไป ภาพประกอบ ๒๒ ภูมปิ ัญญาแทงหยวกกล้วย ท่มี า: นางสาวพรพรรณ ดสิ ปรีชา ครู กศน.ตาบลบา้ นกระทุ่ม
๕๕ ภาพประกอบ ๒๓ ภาพพิธีฌาปนกจิ ศพ สมยั ท่ีวัดต่างๆ ยังไมม่ ีเมรุถาวร ท่ีมา: นางสาวพรพรรณ ดิสปรีชา ครู กศน.ตาบลบ้านกระทุม่ ภูมิปัญญำด้ำนกำรรักษำโรค ในอดีตคนในตาบลบ้านกระทุ่มนิยมรักษาโรคโดยหมอชาวบ้าน เนื่องจากการสาธารณสุขยังไม่ท่ัวถึงและการเดินทางไปโรงพยาบาลของรัฐยังไม่สะดวก ดังนั้น ในท้องที่ต่าง ๆ มักจะมีหมอชาวบา้ น ท่มี ีภูมิปัญญาด้านการรักษาโรคแผนโบราณอยู่ประจาท้องถ่นิ และยังเป็นผู้ที่มีความรเู้ ร่ือง ยาสมุนไพร โดยในท้องที่ตาบลบ้านกระทุ่มมี นางชุ่ม ทรงกิจ ทาหน้าท่ีเป็นหมอประจาหมู่บ้าน ด้วยวิธีการและ พิธีกรรมท่ีทาสืบเน่ืองมาจากคนรุ่นก่อน เช่น การรักษาผู้ที่ถูกสุนัขกัด ก็จะนาชันมาใส่ที่บริเวณบาดแผล ร่วม ไปกับการท่องมนต์เป่าคาถาลงที่แผล ตามด้วยการเหยียบท่ีแผลนั้น ซึ่งคนในชุมชนเชื่อว่า เป็นวิธีที่ดีท่ีสุดใน การรกั ษาแผลสนุ ขั กัดได้ สาหรับการรักษาต้อที่ดวงตา นางชุ่ม ทรงกิจ จะให้ผู้ที่เป็นมานั่งที่ก้ันครก จากนั้นนากะลามะพร้าว ตาเดียว มาจ่อใกล้กับดวงตา โดยหันด้านก้นกะลาเข้าหาดวงตา แล้วใช้ข้าวสาร ๑ เมล็ด มาถือไว้ตาแหน่ง เดียวกับกะลา นางชุ่ม ทรงกิจ จะท่องคาถา “ตัดตอหาย สายตอขาด สายฟ้าฟาด ขาดด้วย นโมพุทธายะ” จากนั้นนามีดตดั เข้าท่ีเมล็ดข้าวสาร คนในทอ้ งถิ่นเชื่อวา่ อาการต้อท่ีบริเวณดวงตาน้นั จะหายเปน็ ปกติ ๒.๕ ประเพณีทอ้ งถนิ่ จากการท่ีบ้านกระทุ่มเคยเป็นชุมชนทางน้า ดังนั้น สายน้าจึงเข้ามาเก่ียวข้องกับกิจกรรม ประเพณีชาวบ้านกระทุ่มในทุกงาน อาทิ งานมงคลสมรส งานอุปสมบท งานศพ งานแห่เทียนพรรษา ท่ี ชาวบ้านกระทุ่มมักจะใช้เรือเป็นพาหนะในการแห่เป็นขบวนไปตามสายน้า เช่น ในงานอุปสมบท ชาวบา้ น
๕๖ กระทุ่มมกั จะแหน่ าคทางนา้ เพื่อไปบวชท่ีวัดต้ังแต่เช้า ก่อนจะเข้าสู่พิธีอปุ สมบทภายในโบสถ์ โดยไม่มีงาน เล้ยี งฉลองใหญโ่ ตเหมือนในปจั จุบนั เชน่ เดยี วกับงานมงคลสมรส ท่ีจะมีการแห่ขบวนขันหมากทางน้า และ งานฌาปนกิจศพ ชาวบ้านกระท่มุ ก็จะนาร่างผเู้ สยี ชวี ติ ลงเรือมาดเพ่ือนาไปประกอบพธิ ีกรรมทวี่ ดั ภาพประกอบ ๒๔ พธิ ีแหน่ าคทางเรือ ทม่ี า: นางสาวพรพรรณ ดิสปรีชา ครู กศน.ตาบลบ้านกระทุ่ม ภาพประกอบ ๒๕ พิธีแหน่ าคทางเรอื ท่ีมา: นางสาวพรพรรณ ดสิ ปรีชา ครู กศน.ตาบลบา้ นกระท่มุ
๕๗ นอกจากประเพณีท่มี ีสายน้าเข้ามาเก่ยี วข้องแล้ว คนในท้องถ่ินซง่ึ เป็นสังคมเกษตรกรรมน้ัน ยังมี ความผกู พนั กับทอ้ งท่งุ และมีการแสดงออกด้วยความเคารพในทุก ๆ ขน้ั ตอนของการทานา ชาวนาจะมกี ารทาขวัญขา้ วในช่วงที่ข้าวตั้งท้อง เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกาลังใจวา่ การทานา จะไม่สูญเปล่า เนือ่ งจากมพี ระแม่โพสพซึง่ เป็นเทพแหง่ ข้าวเปน็ ผู้ดูแลรักษา โดยการนาผลไม้ประกอบดว้ ย สม้ ออ้ ย กลว้ ย และธง ใสใ่ นชลอม ในช่วงเก็บเก่ียวผลผลิต ชาวนาจะเกีย่ วข้าวเป็นกองๆ และเม่อื เกยี่ วเสร็จก็ลาเลียงข้าวใส่เกวียน ลากจูงกันมาเป็นขบวนเพื่อเขา้ ไปเก็บไว้ในบ้าน โดยมีการนาเมล็ดข้าวทเี่ กี่ยวข้าวตกมาห่อใส่ในผ้า และผูก ผา้ นนั้ ไว้ท่ีเกวียนคันหนา้ สดุ และระหวา่ งทางในการลาเลียงข้าวนนั้ กจ็ ะมีการปักธงไปตามทางเกวียน เป็น การเรียกขวัญข้าวให้กลับบ้าน และมีการกล่าวเชิญแม่โพสพมาตลอดทาง โดยมีคาร้องว่า “แม่ตกหัว ระแหงแม่แฝงคันนาขอเชิญแม่มา กลับบ้าน สู่เหย้าสู่เรือน มาเลยี้ งลูกเล้ียงหลาน” เมอ่ื ขบวนเกวยี นมาถึง บ้าน ก็จะนาขา้ วมาไว้ท่ีลานแล้วนาธงมาปัก หลังจากนนั้ นาข้าวใสก่ ระทงใบเล็กจานวนหลายๆ กระทง วาง ไวต้ ามกองขา้ วเพ่ือขอขมาแมโ่ พสพจากนัน้ ค่อยลาเครื่องสงั เวยเพื่อนามาหุงรบั ประทานเป็น สิริมงคล ๒.๖ ควำมเชอื่ และสิ่งยดึ เหนยี่ วทำงจติ ใจ ศำลพระยำพิชัยดำบหัก ต้ังอยทู่ ี่ หมู่ท่ี ๑ ตาบลบ้านกระทุ่ม นางสาวกองทรัพย์ ชมโฉม เล่าว่า “นายบัว ชมโฉม ซึ่งเป็นพ่อของตน ได้มานอนเฝ้าท่ีบ่อปลาและฝันว่าพระยาพิชัยดาบหักมาบอกให้ปลูก ตาหนักให้ แต่นายบัว ชมโฉม ไมเ่ ชือ่ เร่อื งล้ลี ับจงึ เพกิ เฉยตอ่ เหตุการณ์ในความฝัน วันต่อมานายบัว ชมโฉมได้มานอนเฝ้าบ่อปลาตามปกติ แต่ในระหว่างที่นอนอยู่ เห็นหนุมานมา น่งั ยอง ๆ อยู่รอบ ๆ ตวั นายบวั ชมโฉม จงึ สร้างศาลหลงั เล็กไว้เป็นท่ีสักการบชู าและตอ่ มาได้สรา้ งศาลท่ีมี ขนาดใหญ่ข้ึน มลี กู กรงล้อมรอบอย่างดี เมอ่ื ถึงฤดูน้าท่วม น้าจะท่วมบริเวณศาล แมข่ องนางสาวกองทรพั ย์ ชมโฉม จึงนาผ้าขาวปูในเรือ แล้วพายไปท่ีศาลเพ่ือเชิญพระยาพิชัยดาบหักลงเรือเพื่อเชิญขึ้นบ้าน ต่อมา ศาลแห่งนีไ้ ด้ ผุพัง คนในชุมชนหมู่ท่ี ๑ จงึ ร่วมกันนาเงินมาบริจาคเพ่อื สรา้ งศาลใหม่ตรงบรเิ วณต้นก้ามปูท่ี อยู่ในบริเวณใกล้กันเพ่ือแทนหลังเดิม ปัจจุบันมีคนกราบไหว้อยู่เป็นประจาบ้างก็มาบนบานศาลกล่าวขอ โชคลาภ” (กองทรัพย์ ชมโฉม, ๒๕๖๑, ๑๕ กรกฎาคม) ตำหนักเจ้ำพ่อชีปะขำว (ตน้ มะขำม) ตง้ั อย่ทู ี่หมู่ ๒ คนในชุมชนบ้านกระทมุ่ จะมีการยกธงหน่ึง ครงั้ เพ่ือเปน็ การสักการบชู าเจา้ พ่อชปี ะขาว ซึง่ จะมีพิธีเช่นน้ีเปน็ ประจาทุกปี ศำลพ่อแก่นจัน ต้ังอยู่ท่ีหมู่ ๓ เป็นศาลเก่าแก่ในหมู่บ้านมีคนไปกราบไหว้ ขอโชคขอลาภ และ บนบานศาลกล่าวถ้าสาเรจ็ ก็จะแกบ้ นดว้ ยละครพ้ืนบ้าน ศำลเจ้ำพ่อน้อย อยู่ในเขตคลองลาดงา ในตาบลลาดงา ซ่ึงคนท่ีอยู่ในบริเวณหมู่ที่ ๑๐ ตาบล บา้ นกระทุม่ นยิ มไปกราบไหว้ ขอพร และบนบานศาลกล่าวทีศ่ าลแห่งน้ี วดั คนในชุมชนตาบลบ้านกระทุ่ม นิยมไปทาบุญท่ีวัดใบบัว ซึ่งจะมีงานประจาปีคืองานปิดทอง ไหวพ้ ระหลวงพ่อทองใบ บางบ้านไปทาบุญทวี่ ัดโบสถ(์ บน) ตาบลบา้ นกระทมุ่
๕๘ วดั ใบบวั ตัง้ อยู่ในหมู่ท่ี ๔ ตาบลบ้านกระท่มุ สังกัดคณะสงฆ์มหานกิ าย สรา้ งขึน้ เปน็ วัดประมาณ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ ไดร้ บั พระราชทานวสิ ุงคามสีมาราวปีพ.ศ.๒๓๕๖ ภายในพระอโุ บสถประดิษฐานพระพทุ ธรูป เนอื้ ทองเหลอื งขนาดพระเพลากว้าง ๑๐.๕๐ เมตร ถูกสรา้ งขึน้ ในราว ปีพ.ศ. ๒๔๕๘ นอกจากน้ีมีพระธาตุ เจดีย์ศรีเสนา สร้างเม่ือ พ.ศ.๒๕๒๐ ซ่ึงเป็นท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุท่ีอัญเชิญมาจากทุ่งลอ จังหวัด พะเยา วัดโบสถ์(บน) ต้ังอยู่หมู่ท่ี ๖ ตาบลบ้านกระทุ่ม สังกัดคณะสงฆ์มหานิกายเช่นเดียวกัน ภายใน พระอุโบสถมพี ระประธานในอุโบสถขนาดพระเพลากวา้ ง ๑.๓๓ เมตร สูง ๒.๑๖ เมตร และมีเจดีย์ ๑ องค์ สูงประมาณ ๒๐ เมตร ฐานกว้าง ๑๐ เมตร ปัจจุบันมีพระปลัดชัยวัฒน์ปภากโร เป็นเจ้าอาวาส ดารง ตาแหนง่ มาตง้ั แต่ พ.ศ.๒๕๕๕ ๒.๗ ควำมเปล่ยี นแปลงของท้องถ่ิน วิถีชีวิตของผู้คนในอดีตนั้นดาเนินไปอย่างเรียบง่าย มีอาชีพหลักคือเกษตรกรรม มีน้าใจ ช่วยเหลือเกอื้ กูลซึ่งกนั และกนั แตเ่ ม่ือเร่มิ มีการนาเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจาวนั มากข้นึ ทาให้เกิดความ เปลี่ยนแปลงต่อสังคมหลาย ๆ ประการ ด้านการทานานั้น ในอดีตชาวนาจะใช้ควายเป็นแรงงานในการไถนา แต่ในปัจจุบันใช้รถไถซ่ึง สะดวก และรวดเรว็ กว่า ส่วนการเกบ็ เกีย่ วน้ันในอดีตใช้แรงคนเก่ียวข้าวจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก ญาติ พี่ น้อง และคนบ้านใกล้เรือนเคียงช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวให้ทันเวลา แต่ปัจจุบันใช้รถเก่ียวข้าวทาให้ สามารถเก่ยี วได้จานวนมาก จึงไม่จาเป็นต้องอาศยั ความช่วยเหลือจากผู้ใด ดังนน้ั การแสดงออกถงึ ความมี นา้ ใจของคนในท้องถน่ิ จงึ ลดน้อยลง และในอดีตชาวนาจะนามูลวัว มูลควาย มาทาเป็นปยุ๋ หมักเพื่อใช้เป็น สารอาหารให้กับขา้ วในปจั จุบนั เปลยี่ นมาใชป้ ยุ๋ เคมแี ทนยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ สุขภาพของคนในท้องถ่นิ เอง ดา้ นสาธารณูปโภคนั้น ในอดีตไม่มีถนนหนทางทสี่ ะดวกมากนักผู้คนจึงเดนิ ทางโดยเรือเป็นหลัก บ้างเดินเท้าไปยังหมู่บ้านที่ไม่ห่างไกลกันแต่ในปัจจุบันมีถนนท่ีสะดวกมากขึ้นทุกบ้านก็ใช้รถยนต์หรือ รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลักในการเดินทางแทนเรือ นอกจากนี้ในสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้อย่าง แพร่หลายในท้องท่ี ชาวบ้านจะต้องใช้ตะเกียง ซ่ึงมีหลากหลายชนิด เช่นตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงร้ัว ตะเกียงลาน โดยใช้นา้ มันกา๊ ดเป็นเชอื้ เพลิง เพอื่ ให้แสงสว่างแทนแสงไฟฟ้าทม่ี ีในปัจจุบัน ในดา้ นของสถาปตั ยกรรมน้นั บ้านเรอื นในอดีตจะปลูกบา้ นแบบทรงไทย และยกใต้ถุนสงู เพราะ เมื่อเข้าสู่ฤดูนา้ ท่วม นา้ จะท่วมแค่ใต้ถุนเรือน ไม่ท่วมถงึ ตวั บา้ น แต่ในปจั จบุ นั ไดม้ ีการเปล่ยี นแปลงรปู แบบ ของบ้าน จากเดิมที่ปลูกเป็นเรือนไม้ก็นิยมเปล่ียนมาเป็นบ้านปูน หรือบางบ้านเป็นแบบผสมผสาน โดย ประยุกต์จากบา้ นเก่า คือ บา้ นชัน้ บนเป็นไม้ทรงไทยแบบโบราณ แต่ใต้ถุนบา้ นกอ่ อิฐถอื ปนู ซงึ่ ทาให้มีความ เสยี่ งต่อการเกิดผลกระทบจากอทุ กภยั มากกวา่ ในอดีต ด้านศาสนา คนรุ่นก่อนจะให้ความสาคัญกับวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา ชาวบ้านจะทาขนม ข้าวต้มมัด และอาหาร เพอื่ นามาถวายพระ โดยในวนั กอ่ นจะถึงวนั พระ หรอื ที่เรียกว่าวนั โกนน้ัน ชาวบา้ น
๕๙ จะมานอนที่วัดเพ่ือเตรียมภัตตาหารสาหรับถวายพระ แต่ปัจจุบันการให้ความสาคัญในวันสาคัญทาง พระพทุ ธศาสนาลดนอ้ ยลง ตามการเปล่ยี นแปลงของวิถชี ีวิตของผคู้ นในปัจจุบนั ๓.ตำบลหวั เวียง เป็นชุมชนท่ีผู้คนมคี วามสัมพนั ธก์ ับแม่น้าลาคลอง อาจกล่าวได้ว่าเป็น ชุมชนสังคมน้า เนอื่ งจาก มคี ลองทส่ี าคัญผ่านชุมชน คอื คลองรางจระเข้ ท้งั ในอดีตยงั เคยเป็นเมอื งด่านหน้าให้แก่กรุงศรอี ยธุ ยา ชุมชนหวั เวียงเป็นท่ีรองรับน้าโดยลักษณะเปน็ แก้มลิงโดยธรรมชาติ จึงมักเกิดน้าท่วมเป็นระยะ เวลานาน คนในชุมชนตาบลหัวเวียงมีการร่วมมือร่วมใจกันมากเพ่ือฟ้ืนฟูชุมชนเม่ือน้าลด จึงทาให้ ความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนสนิทมสนมกันมากข้ึน นอกจากจะเป็นชุมชนท่ีสาคัญตั้งแต่อดีตมาแล้ว ตาบลหัวเวียงก็มีตะกร้าไม้ไผ่สานเป็นหัตถกรรมจากภูมิปัญญาของชมุ ชนเป็นสินค้า OTOP ประจาตาบล หวั เวยี ง ๓.๑ อำณำเขต และภมู ปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลหัวเวียง เป็นท้องที่ท่ีอยู่ทางตอนเหนือของอาเภอเสนา มีอาณาเขตติดต่อกับ ตาบลบ้านกระทุ่มทางด้านทิศเหนือ ทางด้านทิศใต้ติดต่อกับตาบลบ้านโพธิ์ และตาบลบ้านแพน ส่วน ทางด้านทิศตะวันออกเป็นรอยต่อระหว่างอาเภอเสนากับ ตาบลวัดตะกูอาเภอบางบาล และทางด้านทิศ ตะวันตกน้ันมีพ้ืนที่ต่อเนื่องกับตาบลลาดงา นอกจากน้ียังมีพื้นที่ใกล้เคียงกับตาบลรางจรเข้ทางด้านทิศ ตะวนั ตกเฉียงใต้อกี ด้วย ทิศเหนือ มพี น้ื ทีต่ ิดต่อกบั ตาบลบา้ นกระท่มุ อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มีพ้นื ทตี่ ดิ ต่อกับ ตาบลบ้านโพธิ์ และตาบลบ้านแพน อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ออก มพี น้ื ท่ตี ดิ ตอ่ กบั ตาบลวัดตะกู อาเภอบางบาล ทิศตะวนั ตก มพี ้ืนทต่ี ดิ ต่อกับ ตาบลลาดงา อาเภอเสนา
๖๐ แผนท่ี ๗ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลหวั เวยี ง ท่มี า: สถาบันอยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภูมิประเทศ พ้ืนท่ีบริเวณตาบลหัวเวยี งเป็นท่ีราบลุ่มกว้าง มีแม่น้าและคลองหลายสายไหลผ่าน แม่น้าสายสาคัญคือแม่น้าน้อย ซ่ึงเป็นสายน้าที่แยกตัวจากแม่น้าเจ้าพระยา ผ่านพ้ืนท่ีหลายจังหวัดตั้งแต่ จังหวดั ชัยนาทลงมา ผ่านจงั หวัดอ่างทอง กอ่ นเข้าสจู่ ังหวัดพระนครศรีอยธุ ยาท่อี าเภอผกั ไห่ แลว้ ผ่านพ้นื ที่ ของตาบลหัวเวียง ก่อนไหลลงใต้สู่ตัวอาเภอเสนา และตลาดบ้านแพน ซึ่งเป็นย่านการค้าและศูนย์กลาง การคมนาคมทางน้าท่ีสาคัญในอาเภอเสนา ก่อนไหลไปบรรจบแม่น้าเจ้าพระยาอีกคร้ังที่ ลานเท อาเภอ บางไทร คลองสายสาคัญอีกสายหนึ่งที่ไหลผ่านตาบลหัวเวียงคือ คลองรางจรเข้ ไหลผ่านทางด้านทิศ ตะวันตกของท้องท่ี เป็นคลองที่เกิดจากลาคลองสาขาท่ีแตกแขนงลงมาจากทางตอนเหนือของจังหวัด พระนครศรีอยุธยา คลองท้ังสองสายน้ี ช่วยให้ท้องถิ่นตาบลหัวเวียง มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นเหมาะสาหรับการ เพาะปลูก โดยเฉพาะพื้นท่ีระหวา่ งแม่น้าน้อยและคลองรางจรเข้น้ัน เป็นท่ีนากว้างขวางหลายพันไร่ และ ในช่วงฤดูน้าหลาก ท้องทุ่งเหล่านี้ที่แปรสภาพเป็น “แก้มลิง” หรือทุ่งรับน้า สาหรับป้องกันน้าท่วมใน ทอ้ งทีภ่ าคกลางตอนล่าง โดยเฉพาะเขตพน้ื ทเี่ มอื งหลวงและปริมณฑล
๖๑ แผนที่ ๘ สภาพทางภมู ศิ าสตรต์ าบลหวั เวียง ทมี่ า: สถาบันอยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ เขตกำรปกครอง เขตการปกครอง ตาบลหัวเวียง แบง่ เขตการปกครอง เปน็ ๑๕ หมู่บ้าน ดังน้ี หมู่ ๑ บ้านใหญ่, หมู่ ๘ บา้ นบางกระทิง หมู่ ๑ บ้านคลองมโนราห์ หมู่ ๙ บา้ นใหญ่ หมู่ ๒ บา้ นหวั เวียง หมู่ ๙ บ้านหวั เวียง หมู่ ๓ บา้ นบางกระทงิ หมู่ ๑๐ บ้านหัวเวียง หมู่ ๔ บา้ นใหญ่ หมู่ ๑๑ บ้านหวั เวียง หมู่ ๕ บา้ นหัวเวยี ง หมู่ ๑๒ บา้ นรางจรเข้ หมู่ ๖ บ้านใหญ่ หมู่ ๑๓ บา้ นลาดงา หมู่ ๗ บ้านบางกระทิง ๓.๒ ประวัติศำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถ่นิ ตำนำนหัวเวยี ง ชาวหัวเวียง มีความเข้าใจเก่ียวกบั ความเป็นมาของท้องถน่ิ ในลกั ษณะตานานท่ี มคี วามเกี่ยวข้องกับศึกสงครามระหว่างไทยกับพม่าในอดีต ที่มีการเลา่ สืบต่อกันว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีนนั้ ท้องที่ตาบลหวั เวยี งเป็นชุมชนเมืองใหญ่ ทยี่ ามศึกสงครามจะเป็นด่านหนา้ ในการต้านทาน กาลงั ขา้ ศึกใหแ้ ก่กรงุ ศรีอยธุ ยา
๖๒ ในอดีตย่านนี้อยู่ในเส้นทาง การเดินทางทางบก ท่ีผู้สัญจร หรือกองทัพต้องเคลื่อนพลเพื่อข้าม แม่น้าน้อยท่ีจุดนี้ ดังท่ีคนในท้องถิ่นเล่าว่า ตรงบริเวณวัดบันไดช้าง จะเป็นจุดที่มีบันไดลาดลงสาหรับให้ ชา้ งเดินลงสู่แม่น้าน้อย เพ่ือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เหตุน้ีจึงเป็นท่ีมาของวัดบันไดช้าง และอีกเรือ่ งเล่าหน่ึงคือ ในช่วงสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าน้ัน พม่าได้ยกทัพมาทางเมืองสุพรรณบุรี ผ่านมายังท้องที่ ตาบลหัวเวียง และได้ข้ามแม่น้าน้อย ท่ีสะพานข้ามคลองหน้าวัดบางกระทิงก่อนที่จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา คนในท้องถิ่นเล่าว่า เคยมีคนดาน้าไปเจอตอสะพานไม้อยู่ใต้น้าหน้าวัดด้วย ซ่ึงในบางช่วงเวลา จะเห็น กระแสนา้ ไหลวนเปน็ คล่นื ตรงบรเิ วณตอสะพานไมด้ งั กลา่ ว (นิตย์ ฤกษส์ มโภชน์, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) นอกจากน้ี ท่ีมาของช่อื ตาบลหวั เวยี ง ยังมีเล่าสบื ต่อกันมาว่า มีที่มาจากเหตุการณ์ระหว่างที่พม่า เดนิ ทัพผ่านทอ้ งที่น้ีอีกด้วย กล่าวคือ ภายหลังจากที่พม่ามชี ัยเหนือกรงุ ศรีอยุธยาเป็นที่เรยี บร้อยแล้ว ก็ได้ ลาเลียงเชลยศึกจากกรงุ ศรีอยุธยาเดินเทา้ กลับพม่า เมื่อมาถึงท้องท่ีน้ี ไม่ทราบวา่ ด้วยเหตุผลอันใดท่ีทาให้ แม่ทัพนายกองของพม่าไมพ่ อใจเชลยศกึ จึงได้ตัดหัวและเหว่ียงทิ้งไว้ข้างทาง จนเป็นท่ีเรียกขานนามของ ทอ้ งท่ีนีต้ อ่ กันมาวา่ “บ้านหัวเหวยี ง” ซึ่งในเวลาต่อมาได้เรียกเพยี้ นเปน็ บ้านหวั เวียง เรื่องของหวั เวยี ง บางตานานยงั กลา่ วต่างกนั ไปว่า ในสมัยก่อน ทอ้ งท่นี ี้มีฐานะเปน็ หวั เมอื งใหญ่ท่ี มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง จึงเป็นที่มาของการเรียกท้องท่ีน้ีว่า หัวเวียง (อาบ สุขษาสุณี , ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) เน่ืองจากคาวา่ เวยี ง มีความหมายวา่ เมืองนัน่ เอง เร่ืองเล่ำเก่ียวกับตลำดไผ่วง นายศักดา กิจเมฆ อายุ ๕๔ ปี ได้เล่าเกี่ยวกับธรรมชาติและ สภาพแวดลอ้ มในอดีตว่า ในท้องที่ตาบลหัวเวยี ง เคยมีตลาดแห่งหน่ึง ช่ือว่า ตลาดไผ่วง ซ่งึ ชื่อตลาดมีทม่ี า จากการที่มีกอไผ่ข้ึนในบริเวณนั้นเป็นจานวนมากจนหนาทึบ และมีลักษณะเป็นดงไผ่รูปวงแหวน มีเรื่อง เลา่ ว่า ชาวบ้านที่ไปหาหน่อไม้ในดงไผ่นั้น แล้วเกดิ หลงทาง เดินวนอยู่ในดงไผ่ หาทางออกมาไม่ได้ จึงตอ้ ง ใชเ้ วลาเดินอยพู่ ักหน่ึง กว่าจะหาทางออกมาจากดงไผไ่ ดส้ าเร็จ จงึ เปน็ ที่มาของช่ือย่านตลาดไผ่วง ตรงข้ามกับตลาดไผว่ ง เปน็ วดั บางกระทิง เดิมทีเคยมสี ะพานไม้ข้ามแมน่ ้านอ้ ยอยบู่ ริเวณหน้าวัด แต่ภายหลังสะพานไมม้ ีสภาพชารุดทรุดโทรม จึงได้มีการร้ือถอนและสร้างสะพานปนู เพื่อให้คนในท้องถิ่น เดินขา้ มไปมา (ศกั ดา กจิ เมฆ, ๒๕๖๑, ๑๒ กรกฎาคม) พระบำทสมเด็จพระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อย่หู ัว เสด็จพระรำชดำเนนิ บ้ำนนำยช้ำง เว็บไซต์ของห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อาเภอเสนา ให้ข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองนี้ไว้ดังน้ี วันท่ี ๗ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ พระราชดาเนิน ทางชลมารคในท้องท่ีจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเรือต้นของพระองค์ทรงแยกจากกระบวนเรอื ใหญ่ท่ี ลอ่ งลงมาทางบ้านเจ้าเจ็ด และบางไทร เพื่อเสด็จไปท่ีอาเภอบางปะอิน แต่พระเจ้าอยหู่ วั เสด็จกระบวนต้น แยกข้ึนทางบางโผงเผงเข้าคลองบ้านกุ่มมาออกภูเขาทอง และจะลอ่ งลงมาบรรจบกระบวนใหญ่ที่บางประ อิน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุอันใดเกิดพลัดกนั พระองคจ์ ึงมีพระราชดาริทีจ่ ะแวะทาครัว ณ วดั ใดวดั หน่งึ
๖๓ ขณะทีห่ าทาเลท่ีเหมาะสมอย่นู น้ั ก็พบบ้านหลังหน่งึ มสี ะพาน และโรงเรือนยาวอยู่รมิ น้า จึงแวะ เข้าไปไต่ถาม ทราบความว่าเป็นบ้านของกานัน แต่ตัวกานันออกไปค้าข้าว อยู่แต่นายช้าง กับภรรยาชื่อ ยายพลับ ซ่ึงเปน็ พ่อตา และแมย่ ายของกานนั ทั้งสองออกมาต้อนรบั โดยไม่ทราบวา่ เปน็ พระเจ้าอยู่หวั เข้าใจว่าเป็นเพียงข้าราชบริพารเท่านั้น เม่ือเสวยพระกระยาหารเรยี บร้อยแล้ว ก่อนออกจากบ้านนายช้าง พระองค์ไดพ้ ระราชทานธนบัตรจานวน หนึ่งซ่ึงใสซ่ องเป็นการตอบแทนนายช้างที่ให้การตอ้ นรับ เมื่อเสดจ็ ไปแล้วนายช้างก็เปดิ ซองดู ปรากฏว่ามี เงนิ อยู่จานวน ๔๐๐ บาท นายชา้ งจงึ ทราบวา่ เปน็ พระเจา้ อย่หู ัว ตอ่ มานายช้างได้รับพระมหากรุณาธิคณุ เปน็ หมน่ื ปฏิพัทธ ภูวนาถ และบ้านของนายช้างก็ถูกซ้ือ มาสร้างโรงเรยี นคนจีน ชื่อโรงเรียนมัธยมสมบูรณ์วิทยา อยู่ตรงสามแยกหัวเวียง แต่ตอ่ มาโรงเรียนมัธยม สมบูรณว์ ทิ ยาไดข้ ายให้กบั ผซู้ ื้อของเกา่ ไป เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ เหตุการณ์ต่อมา วันท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๑ (ร.ศ.๑๒๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอย่หู ัว เสด็จจากอาเภอผักไห่ในเวลาเช้า ลงเรอื ครุฑมาช่วยนายช้างและยายพลับทอดกฐินท่ีวัดหวั เวยี ง โดยทอดที่ศาลาการเปรียญ มีเครื่องบริวารคือ ตู้กระจก หมอนปัก กระเช้า ป้ายด้าย คู่สวดก็ได้ด้วยส่วน พระอันดับได้สงบและหบี ระฆัง หมากพลู ธปู เทียน พระองค์ออกเงินชว่ ยกฐนิ นายช้าง ๒๐ บาท คสู่ วดรูป ละ ๖ บาท อันดับรูปละก่ึงตาลึง พอทอดวัดหัวเวียงเสร็จแล้ว จึงย้ายไปทอดวัดใหม่ (วัดบางกระทิงใน ปจั จุบัน) เป็นวัดท่ีสอง เมือ่ ทอดกฐินเสร็จท้ังสองวัดแล้ว จงึ ไปเสวยพระกระยาหารทีบ่ ้านของตาช้าง และ นางพลับ ก่อนเสด็จสูบ่ างปะอนิ แล้วจงึ เสดจ็ โดยรถไฟพิเศษกลบั สกู่ รุงเทพฯ ภาพประกอบ ๒๖ โรงเรยี นมัธยมสมบรู ณ์วทิ ยา ทมี่ า: นางสาวปริยากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวยี ง
๖๔ ควำมทรงจำเก่ียวกับอุทกภัย พื้นที่ตาบลหัวเวียง เป็นท่ีราบลุ่มและมีแม่น้าน้อย และคลองราง จรเขไ้ หลผา่ นจากทางทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ ดังนน้ั เมอ่ื ถึงฤดูฝน ระดับน้าในแม่น้าและคลอง จะข้ึนสงู จนล้น ตลง่ิ และเข้าท่วมบ้านเรอื นรวมถึงท่ีนาของคนในพื้นที่อยูเ่ ป็นประจาทุกปี โดยท้องท่ีตาบลหัวเวยี ง จะเป็น ตาบลแรกของอาเภอทีน่ ้าจะเข้าทว่ ม และมักจะท่วมอยู่เป็นเวลานาน จึงสรา้ งความเดือดร้อนใหแ้ ก่คนใน ท้องถ่นิ เปน็ อย่างมาก ดงั ที่นางจินดา ศุภเสนา เล่าวา่ “ตาบลหวั เวยี ง จะเป็นตาบลแรกๆ ในอาเภอเสนา ท่ี นา้ ถูกน้าทว่ ม เวลาน้าลง ก็ช้ากวา่ ตาบลอื่น ทาให้ลาบากมาก เวลาต้องขนยา้ ยของหนีน้าท่วม เวลาสญั จร ก็ต้องใช้เรือ ช่วงน้าท่วมจะมีสัตว์ ประเภทงู ตะขาบ หนีน้าขึ้นมาบนบ้าน จึงต้องคอยระวังอยู่เสมอ ” (จนิ ดา ศภุ เสนา, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) ด้ายนายไสว สนธิ เล่าถึงความลาบากในช่วงน้าท่วมครั้งใหญ่ เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔ ว่า “น้าจะท่วม เป็นเวลานาน ทาให้ชาวบา้ นได้รับความเดอื นร้อนเป็นอย่างมาก บ้านบางหลังเก็บของไม่ทัน เนื่องจากน้า ขน้ึ เร็วมาก ข้าวของเสียหายลอยน้า นากลบั มาใช้ประโยชนไ์ ม่ได้ เวลามเี รือหางยาวแลน่ ผา่ น ก็เกิดระลอก คล่นื กระทบกบั ฝาบา้ น ทาให้เกิดความเสยี หายอยา่ งมาก” (ไสว สนธิ, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) นางปทุมพร สญั ญะชติ หรือ ผู้ใหญ่เบียร์ เลา่ ถึงความทรงจาในการชว่ ยเหลือหลวงพ่อเฉลิม เจ้า อาวาสวัดหัวเวียง ในช่วงอุทกภยั เมือ่ พ.ศ. ๒๕๕๙ ว่า “เมื่อปี ๒๕๕๙ ได้ขอใหเ้ จ้าหน้าท่ีทหาร เคลือ่ นย้าย พระครูอมร สุทธิคณุ หรอื หลวงพ่อเฉลิม อายุ ๘๐ ปี เจ้าอาวาสวดั หัวเวยี ง ซ่งึ ป่วยเปน็ โรคเบาหวาน ความ ดนั โลหิต และเป็นผูป้ ่วยติดเตยี งมานานหลายปี ไปอาศยั ในกุฏิฝั่งตรงข้ามซงึ่ สูงกว่า เน่ืองจากกฎุ ีหลังเดิม นา้ เข้าท่วมสูงจากพนื้ ๓๐ เซนติเมตร ปกติจะแวะเวียนมาชว่ ยดูแลเป็นประจา จนกระทั่งเม่ือช่วงเช้า วนั ที่ ๑๑ ตุลาคม ระดับน้าเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว จนเข้าท่วมกุฏิเก็บข้าวของไม่ทนั ต้องรีบให้ทหารและชาวบ้าน มาชว่ ยเคลือ่ นย้าย” (ปทุมพร สัญญะชติ , ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม). นายอาบ สุขษาสุณี อายุ ๘๘ ปี เล่าว่า “ตาบลหัวเวียงน้าท่วมบ่อย เวลาน้าท่วมนานประมาณ ๕–๖ เดือน ตอ้ งใชเ้ รือในการสัญจร ทาให้คนในหมู่บ้านนยิ มดีดบ้านเพื่อหนนี ้าท่วม เพราะเวลานา้ ทว่ มจะ ขับถ่ายค่อนข้างลาบาก บางคร้ังก็มีพวกงูหรือสัตว์มพี ิษหนีนา้ ท่วมมาอาศัยอยู่บนบ้าน ทาให้เปน็ อันตราย กบั คนในครอบครวั ” (อาบ สุขษาสุณี, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) มานติ ย์ วงษ์ศาสาย อดตี ข้าราชการครู เลา่ ถึงความเสียหายของอทุ กภัย และความร่วมมือร่วมใจ ในการเก็บ กวาด อาคารสถานท่ีหลังน้าลดว่า “ตาบลหัวเวียงน้าท่วมบ่อย ทาให้บ้านเรือน โรงเรียน สถานท่ีราชการ และวัด ถูกน้าท่วมเปน็ เวลานาน เม่ือน้าลงจะมีโคลน ขยะ และส่ิงสกปรกมากมาย ทุกปี ชาวบ้านในตาบลหัวเวียงจะรว่ มมือร่วมใจกนั ทาความสะอาดสถานทต่ี ่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน็ โรงเรยี น วดั เป็น ต้น (มานติ ย์ วงษศ์ าสาย, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) จากความทรงจาเก่ียวกับอุทกภัยของชาวหัวเวียงดังกล่าว สะท้อนถึงความเดือดร้อนของคนใน ทอ้ งถิ่นที่ต้องเผชิญอยูเ่ ปน็ ประจาในแต่ละปี บางปีระดับนา้ ท่วมสูงมาก และท่วมนานถึง ๕-๖ เดือน ทาให้ เกิดความเดือดร้อนมาก แต่ดา้ นหนึ่งกไ็ ด้สะท้อนถึงความสมั พันธท์ างสังคมของคนในทอ้ งถ่นิ ในการร่วมมือ ร่วมใจฟื้นฟูบ้านเรือน สถานที่ราชการ โรงเรียนและวัด และความสัมพันธ์ระหว่างคนในท้องถ่ินกับคน
๖๕ ภายนอก ดงั สะท้อนให้เห็นได้ได้จากความช่วยเหลือของทางสว่ นกลาง ท่ีส่งกาลังทหารเข้ามาช่วยเหลือใน ยาววกิ ฤตภยั ๓.๓ วิถีชีวติ และควำมสัมพันธ์ทำงสงั คม ด้ำนกำรสัญจร การเดนิ ทางสัญจรในตาบลหวั เวียงสมัยก่อน ผูค้ นนิยมสัญจรทางเรอื โดยข้นึ ลอ่ ง ไปตามแม่น้าน้อย ซ่ึงเป็นลาน้าสายหลักท่ีไหลผ่านตาบลหัวเวียง ท่ีคนในท้องถิ่นใช้เดินทางจากหมู่บ้าน หน่ึงถึงอีกหมู่บ้านหน่ึง หรือใช้ร่วมงานพิธี หรือขบวนแห่ทางน้าต่าง ๆ เช่น แห่ขนั หมากทางเรือ หรือแห่ นาคทางเรอื นอกจากนย้ี ังเคยมตี ลาดค้าขายกนั ทางน้า และมีเรือมาขายของบริเวณริมน้าหน้าบา้ น การสัญจรในแม่น้าน้อย มีเรือโดยสาร ข้ึน-ล่อง ระหว่างอาเภอผักไห่ ซ่ึงอยู่ทางตอนเหนือของ อาเภอเสนา โดยข้ึนไปตามลาน้านอ้ ย ล่องลงมาผา่ นท้องท่ตี าบลหวั เวยี ง และหยุดแวะพักที่ตลาดบา้ นแพน ในตาบลเสนา กอ่ นจะลอ่ งไปสุดปลายสายท่ตี ลาดท่าเตียน กรงุ เทพมหานคร เรือโดยสารดงั กล่าว เป็นเรอื เมล์ มสี ายการเดินเรือทจี่ าแนกออกเป็น เรอื แดง เรอื เขียว และเรือ สีเลือดหมู โดยเรือจะล่องผ่านตาบลหัวเวยี งในช่วงเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. ใชเ้ วลาประมาณ ๘-๙ ช่ัวโมง ตลอดท้งั คนื ในการเดินทางถึงท่าเตียนก่อนร่งุ เชา้ ประมาณ ๐๔.๐๐-๐๕.๐๐ น. สาหรบั ขาข้ึน หรอื เท่ียวกลับจากท่าเตยี นนนั้ เรือเมล์จะออกจากทา่ เตียน เวลา ประมาณ ๑๖.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. เดินทาง ข้ามคืนมาถึงตาบลหัวเวียงในเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ – ๐๒.๐๐ น. แล้วแล่นต่อไปยังอาเภอผักไห่ (นิตย์ ฤกษส์ มโภชน์, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) นอกจากน้ี ในอดีต เรอื บรรทุกวัสดุกอ่ สร้างเช่น ปูน ดิน ทราย ต่าง ๆ ยังสามารถล่องผ่านเข้ามา ทางคลองหน้าวัดบางกระทิงได้ แต่ภายหลัง เมอ่ื มีการสร้างถนนหนทางให้รถยนตส์ ามารถสัญจรไปมาได้ สะดวกข้ึน ผู้คนในท้องถิ่นก็เร่ิมนิยมการเดินทางโดยรถยนต์มากขึ้น และเม่ือคนใช้เรือในการสัญจรกัน น้อยลง ก็มีส่งผลให้คลองเริ่มตื้นเขินมากข้ึน เน่ืองจากโคลนตะกอนที่มากับสายน้า มิได้ถูกเรือพัดพาไป เหมือนกับเม่ือกอ่ น จนในที่สุด เรือขนวัสดุก่อสร้างลาใหญ่ ไม่สามารถล่องผ่านแม่น้าบริเวณหน้าวัดได้อีก ต่อไป นางจินดา ศุภเสนา อายุ ๕๙ ปี เล่าว่าสมัยก่อน ในท้องถิ่นเคยมีรถสองแถวสีเขียวคอยรับส่ง ผู้โดยสารจากตาบลหัวเวียงไปตลาดบ้านแพน ในภายหลังแต่ละบ้านเร่ิมมีรถยนต์ส่วนตัว หรือ รถจกั รยานยนต์ ก็สามารถเดินทางไปตลาดดว้ ยตัวเองได้ หรือถ้าไมม่ ีรถสว่ นตวั ก็สามารถไปขึน้ รถต้โู ดยสาร ไปตลาดได้ แม้ว่าในปัจจุบัน ผู้คนจะนิยมเดินทางโดยใช้รถใช้ถนนเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่เรือซ่ึงเคยเป็น พาหนะหลักของคนในทอ้ งถ่ิน กย็ งั มีใช้อยู่ เน่ืองจากในปัจจุบัน ท้องที่ตาบลหัวเวยี ง ยังคงมีน้าท่วมอยเู่ ป็น ประจา และท่วมนาน ๕ – ๖ เดือน ดังนั้น เรือ จึงยังคงเป็นพาหนะท่ีหลายบ้านยังมีติดเรือนไว้ใช้ยามน้า ท่วมนนั่ เอง
๖๖ ด้ำนเศรษฐกิจ ท้องถน่ิ ตาบลหัวเวียง เปน็ ชุมชนริมน้า ท่ผี ู้คนในอดตี นิยมสร้างบ้านเรอื น และผูก เรอื นแพเรยี งรายอยู่ ๒ ฝ่ังของแม่น้าน้อย ในช่วง พ.ศ.๒๔๘๐ บริเวณสามแยกแม่น้าน้อยบรรจบกับคลอง บางบาลตรงหน้าวัดหัวเวียง เป็นตลาดค้าขายทางน้าแห่งใหญ่ของตาบลหัวเวียง ที่ผคู้ ้าเปิดร้านค้าขายกัน ในเรือนแพริมแม่น้าน้อย ชาวบ้าน ชาวนา ชาวไร่ มักจะพายเรือนาสินค้าการเกษตรและเครื่องอุปโภค บรโิ ภคต่าง ๆ มาซอ้ื ขายแลกเปลี่ยนกันทยี่ ่านนี้ นอกจากน้ีตามลาคลอง ก็ยังมีเรอื พายขายของจานวนมาก (มานิตย์ วงษ์ศาสาย, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) สะท้อนถึงวิถีชีวิตชาวตาบลหัวเวียงท่ีเป็นชุมชนและแหล่ง ค้าขายรมิ นา้ ขนาดใหญจ่ ากตอนเหนือของตลาดบา้ นแพน สาหรับในปัจจุบัน วิถีชีวิตของขาวหัวเวียงเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตมาก จากการที่ผู้คนนิยม เดินทางสัญจรโดยใช้รถใช้ถนนเป็นหลัก ดังนั้น ตลาดน้าหน้าวัดหัวเวียงจึงลดความนิยมลง และกลายมา เป็นตลาดไผ่วง เป็นตลาดทางบกท่ีมีของขาย แต่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก อยู่ทางด้านตะวันตกของแม่น้า น้อย แต่อย่างไรก็ตาม คนในท้องถ่ินสามารถเดินทางไปตลาดบ้านแพน และห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส ซึ่งเป็นย่านการค้าแห่งใหญ่ของอาเภอเสนา โดยรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ หรือรถโดยสารได้ โดยสะดวก ดังน้ัน ตลาดบา้ นแพน และเทสโก้โลตัส จงึ เป็นย่านการคา้ ที่มีสาคัญสาหรบั ชาวตาบลหัวเวียง ในเวลานี้ ภาพประกอบ ๒๗ ตลาดน้าย่านหัวเวียง พ.ศ.๒๕๑๓ ที่มา: นางสาวปรยิ ากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง
๖๗ ภาพประกอบ ๒๘ สามแยกหัวเวียง พ.ศ.๒๔๙๙ ทม่ี า: นางสาวปริยากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง ด้ำนกำรศึกษำ ชาวตาบลหัวเวียง มักจะส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือท่ีวัดใกล้กับหมู่บ้าน เช่น บ้านไหนอยู่ใกล้วัดหัวเวียง ก็ไปเรียนหนังสือกันที่วัดหัวเวียง บ้านไหนอยู่ใกล้วัดประดู่โลกเชษฐ ก็ส่ง ลูกหลานไปเรียนท่ีนั่น เนื่องจากเป็นวัดท่ีตั้งอยู่ในหมู่บ้าน สามารถเดินทางได้สะดวก และมีความอุ่นใจ เนื่องจากเปน็ โรงเรียนใกลบ้ ้านท่ีแวดลอ้ มไปดว้ ยคนรู้จกั ช่วยเป็นหเู ปน็ ตาในการดูแลบุตรหลาน โรงเรียน ในท้องถิ่นเหล่าน้ี เปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ไปจนถงึ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น บางครอบครัว ส่งบุตรหลานไปถึงศึกษาระดับมัธยมปลายท่ีโรงเรียนเสนา “เสนาประสิทธ์ิ” หรือ โรงเรียนมัธยมผดุง ใน ตวั อาเภอเสนา ๓.๔ ภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถน่ิ ผลิตภัณฑ์จักสำน ชาวตาบลหัวเวียงประกอบอาชีพทานา ทาสวน ทาไร่ เป็นหลักมาตั้งแต่ใน อดตี จึงเปน็ สงั คมชาวนา และเมอื่ วา่ งเวน้ จากการทานา คนในท้องถ่ินกจ็ ะสานตะกรา้ ไม้ไผเ่ ป็นอาชีพเสริม จนได้รบั การพฒั นาเป็นสินค้า OTOP ประจาตาบลหัวเวยี ง ผลิตภัณฑ์จักสานจากหวายและไม้ไผ่ เป็นสินค้า OTOP ที่ขน้ึ ชื่อของตาบลหัวเวียง มีแหล่งผลิต อยู่ท่ีบ้านหมู่ ๒ ซึ่งได้สืบสานการสานตะกร้าหวายมาต้ังแต่รุ่นปู่-ย่า โดยนาความรู้ และภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษมาพัฒนาในรูปแบบท่ีทันสมัย เพ่ือให้สอดคล้องกับตลาดและความต้องการของลูกค้า ทั้งยัง
๖๘ อนุรกั ษ์ของเดมิ ไว้ดว้ ย โดยมผี ลติ ภัณฑห์ ลากหลายชนดิ อาทิ กระจาดไม้ไผ่สาน กว้าง ๓๐ ซม. ราคาขาย ๑๙๐ บาท กล่องใส่กระดาษชาระ ขนาด ๑๓.๕๐ X ๒๗.๐๐ X ๑๑.๐๐ เซนติเมตร ราคา ๑๔๐ บาท ตะกร้าไม้ไผ่สาน ถังขยะไม้ไผ่สาน ขนาด ๔๑.๐๐ X ๕๐.๐๐ เซนติเมตร ราคาขาย ใบละ ๘๐๐ บาท กระเป๋าจักสานจากหวาย ราคาใบละ ๓๕๐-๓๙๐ บาท เปน็ ต้น กำรทำเมรลุ อย เป็นภูมิปญั ญาประจาท้องถิ่นของตาบลหัวเวียง ซ่ึงใชใ้ นพิธีเผาศพแบบชว่ั คราว คือเป็นเมรุแบบถอดและประกอบได้ ที่มีลักษณะทรงปราสาทยอดแหลมหลายยอด ประกอบดว้ ยชิ้นส่วน โครงไม้หลายชั้น ถอดเข้าถอดออกได้ เมื่อต้องการจะนาไปใช้เผาศพในสถานท่ีต่าง ๆ สามารถถอดเป็น ชิน้ ส่วน บรรทุกขนยา้ ยไปติดตัง้ เปน็ เมรุเผาศพในท้องท่ใี กลไ้ กลได้ นายไสว สนธิ อายุ ๗๘ ปี เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาด้านการทาเมรุลอยของตาบลหัวเวียง เร่ิมทาเมรุ ลอยมาตั้งแต่อายุ ๒๖ ปี และด้วยความท่ีนายไสว เป็นผู้มีความสามารถในการพูด จึงสามารถ ประชาสัมพันธ์เมรลุ อยตาบลหัวเวยี งจนประสบความสาเรจ็ เป็นท่รี ู้จักทั่วไป สร้างช่ือเสียงให้แก่ตาบลเป็น อย่างมาก จนสามารถพัฒนาธุรกจิ เมรุลอยเป็นอาชพี หลักได้ การทาเมรลุ อยนั้น จะมหี ลายแบบหลายขนาดให้เลือกไดต้ ามความพอใจของเจา้ ภาพ เช่น ขนาด ๓ ชั้น ๑ ยอด ขนาด ๕ ยอด หรือ ขนาด ๙ ยอด เป็นต้น การจะนาเมรุไปยังสถานที่ต่าง ๆ ต้องใช้ รถบรรทกุ รถกระบะ ขนาด ๑๐ ลอ้ ตั้งแต่ ๑-๓ คัน ตามลกั ษณะชนิดของเมรุแต่ละขนาด การเผาศพกับ เมรุลอย ต้องใช้ถังน้ามันขนาด ๒๐ ลิตร เชื่อมต่อกัน ๒ ใบ ส่วนล่างสุดมีตะแกรงสาหรับใสถ่ ่านไม้เพ่ือใช้ เผาศพ ส่วนลวดลายที่ใช้ประดับตกแต่งเมรุ นิยมใช้ลายกระดาษและลายเขียนสีลงทองเคลือบด้วยวานิช เพื่อทาให้ลายคงคนถาวร ความสงู ของเมรุลอยโดยประมาณ ๑๑ เมตร ในปัจจบุ ัน นายไสว มีอายมุ ากแล้ว จึงได้ถ่ายทอดความรู้การทาเมรุลอยใหแ้ กบ่ ุตรชาย คือ นาย ธเนศ สนธิ เป็นผู้สืบสานการสร้างเมรุลอยแห่งตาบลหัวเวียงสืบต่อมา ซ่ึงนายธเนศ ได้สาเร็จการศึกษา ศิลปะมหาบัณฑิต สาขาจิตรกรรม จึงได้นาความรู้เรื่องลายไทยท่ีได้ศึกษามา มาใช้ในการออกแบบและ พัฒนารูปแบบศิลปกรรมของเมรลุ อยให้งดงามย่งิ ขน้ึ ๓.๕ ประเพณที อ้ งถ่ิน ประเพณีท้องถิ่นของชาวตาบลหัวเวียง มักจะเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องในศาสนาท่ัว ๆ ไป เช่น การทาบุญประจาปีท่ีวัดในแต่ละชุมชน การทาบุญตามวนั สาคญั ทางศาสนา เช่น แห่เทียนพรรษา ทาบุญ วันออกพรรษา ทาบุญกฐิน ผ้าป่า ทาบุญเน่ืองในวันปใี หม่ วันสงกรานต์ นอกจากนี้ยังมีงานประจาปี เช่น งานประจาปีทศ่ี าลพอ่ ปูไ่ ผว่ ง ทวี่ ัดบางกระทิง และทีว่ ัดประดู่โลกเชษฐ์ เปน็ ต้น
๖๙ ๓.๖ บุคคลสำคญั ของท้องถนิ่ ชาวหัวเวียงให้ความเลื่อมใสศรัทธาพระเขมเทพาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวเวยี ง และอดีตเจ้า คณะอาเภอเสนา ท่านเป็นพระภิกษุที่เปี่ยมด้วยเมตตา โดยคนในท้องถ่ินเล่าว่า “เดิมทีท่ีดินของชาวบ้าน ต้งั บ้านเรือนอยู่ทหี่ มู่ ๒ เป็นท่ดี นิ ของวัด และจะต้องเสยี ค่าเชา่ ใหว้ ัดทกุ ปีแตเ่ ม่ือพระเขมเทพาจารยเ์ ปน็ เจ้า อาวาส ก็ยกเลิกการเก็บค่าเช่าท่ีดิน เนื่องจากท่านได้กล่าวว่า ข้าวปลาที่มีฉันทุกวันน้ีก็เป็นของชาวบ้าน แล้วทาไมต้องไปเก็บค่าเช่าเขาอีก ท่านจึงได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากคนในชุมชนว่าเป็นพระที่มีความ เมตตาเป็นอย่างยิ่ง” ๓.๗ ควำมเชื่อ และสิ่งยึดเหน่ยี วทำงจิตใจ ชาวหัวเวียงส่วนใหญ่มคี วามความเชอื่ และส่ิงยึดเหน่ียวทางจิตใจท่ีเกย่ี วเนอ่ื งกบั พระพทุ ธศาสนา เป็นหลัก โดยมีวัดต่าง ๆ เป็นศาสนสถานที่สาคัญ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงให้ความนับถือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิอ่ืน เชน่ ศาลต่าง ๆ เป็นต้น ศำลเจ้ำปุนเถ่ำกง ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑๑ ต.หัวเวยี ง ศาลเจ้าน้ีอยู่ฝง่ั ตะวันตก ของ ๓ แยกลาน้าเหนือ วัดหัวเวียง สมัยก่อนที่ตาบลหัวเวียงมีชาวจีนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจานวนมาก จึงมีการสร้างศาลเจ้าใน ชมุ ชนเพ่ือเป็นศูนย์รวมจิตใจเป็นที่พ่ึงทางใจและเป็นท่ียดึ เหน่ียวจิตใจ ชาวจนี ได้อันเชิญ เจ้าพ่อปุนเถ่ากง มาจากศาลอื่นและได้สร้างศาลขึ้น ๑ หลัง ใกล้กอไผ่เดิมสร้างด้วยไม้ หลังคามุงสังกะสี กว้างประมาณ ๑ เมตร ลึกประมาณ ๑.๕๐ เมตร สูงกว่าพ้ืนดินเล็กน้อย พอเหมาะทจ่ี ะกราบไหว้บูชาศาลเจ้าแห่งนี้ได้กราบ ไหว้บูชากันมานานไม่น้อยกวา่ ร้อยปี ศำลพ่อปู่ไผ่วง เป็นศาลเก่าแก่สมัยก่อนคนท่ีจะบวชต้องนาขบวนมาวนรอบศาลพ่อปู่ไผ่วงจะมี คนมาแกบ้ นอยเู่ รอ่ื ย ๆ โดยจะจัดหาหาละครมาแสดงที่ศาลเกอื บทกุ ปี โดยชาวหวั เวียงมคี วามเชอ่ื ว่า พ่อปู่ ไผ่วงเป็นทหารมารบกับพม่าโดยบริเวณศาลมีจะคนทรงเจ้าอยู่ด้วย และยังมีความเชื่อว่ามีจระเข้พ่อปู่ เวลาน้าท่วมจะมีคนพบเห็นจระเข้สองตัวว่ายอยู่หน้าศาลโดยเช่ือว่ามาคอยปกปั กรักษาไม่ได้มาทาร้าย นอกจากน้ียังเคยมีไฟไหม้บริเวณศาลพ่อป่ไู ผ่วง บรเิ วณศาลจะมตี ้นไมท้ ่ีสงู มากในตอนนั้นมีคนเห็นวา่ มีคน มาโอบต้นไม้ต้นนั้นอยู่ หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ปรากฏว่าต้นไม้ไม่ได้ถูกไฟไหม้แต่ต่อมาได้ยืนต้นตายจึง ตัดทิ้งเพราะกลัวลม้ ทับอาคารบา้ นเรอื นบริเวณน้ัน วัดสุวรรณเจดีย์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลวงพ่อนาค เป็น พระพุทธรูปประจาวดั เปน็ วดั คู่บ้านคูเ่ มอื งของชาวตาบลหวั เวียงซ่งึ ชาวบา้ นให้ความเคารพบูชาทง้ั ยังเปน็ ท่ี ยดึ เหนี่ยวจติ ใจชาวบ้านในชุมชนหวั เวยี งและชุมชนใกล้เคยี ง ปจั จุบันวดั สุวรรณเจดีย์ มีพระครวู ินยั ธรภวัต โอวาทกฺกโม เปน็ เจ้าอาวาส และยังเปน็ วดั ที่มีกุฏิตั้งอยู่เหนือโบสถเ์ นื่องจากสถานทีม่ ีจากัด วัดหัวเวียง ต้ังอยู่หมู่ที่ ๒ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีท่ีดินตั้งวัดเนื้อที่ ๔๐ ไร่ ต้ังอยู่ริมแม่น้า น้อย เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวตาบลหัวเวียงอีกแห่งหน่ึง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย มหี ลวงพอ่ เทพเขมมาจารย์ เป็นพระพุทธรูปประจาวดั
๗๐ วัดบันไดช้ำง สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หลังสิ้นสมัยกรุงศรี อยุธยา ได้กลายเป็นวัดร้าง ต่อมาเมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๔๕๐ จึงได้เร่ิมมีการบูรณปฏิสังขรณ์สืบมาและ ได้รับวสิ ุงคามสีมา ในปพี .ศ.๒๒๕๒ มีหลวงพ่อลบั หลวงพอ่ เทียบ เปน็ พระพทุ ธรปู ประจาวดั มพี ระครูพิบูล รัตนากร เจ้าคณะตาบลหัวเวียงเป็นเจ้าอาวาส มีพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนเป็นท่ีสักการบูชาของผู้คนท่ี เคารพนับถือ วัดประดู่โลกเชษฐ์ สันนษิ ฐานวา่ สรา้ งขน้ึ ในสมยั กรุงรัตนโกสินทรต์ อนต้น มีหลวงพ่อเณร หลวง พ่อเจาะ เปน็ พระพทุ ธรูปประจาวดั ปจั จบุ ันมีพระครโู กศลวหิ ารกจิ เป็นเจ้าอาวาส วัดบำงกระทิง ต้ังอยู่ที่ หมู่ท่ี ๓ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดเก่าแก่อายุ ๓๐๐ กว่าปีสร้าง ข้ึนในสมัยอยุธยา เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๒๓๐ ในรัชสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยนัยว่า “พระยาสีหราชเดโชชัย (ทิป) เป็นผู้นาในการสร้างวดั แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ครั้นถึงแผ่นดินพระเพทราชา ได้ จัดสร้างเพิ่มเติมจนสาเรจ็ เดิมทีเดียววัดมิได้ต้ังอยู่ ณ ท่ีปัจจุบัน เมื่อลาน้าเปลี่ยนทิศทางไหลผ่านวัดบาง กระทิงต้องย้ายเสนาสนะหนีจากการถูกน้าเสาะจึงย้ายมาอยู่ ณ ที่ปัจจุบันในรัชกาลที่ ๓ โดยมีพระยา ประสิทธ์ิ (น้อย) เป็นหัวหน้าดาเนินการ วัดบางกระทิง มีโบราณวัตถุอันศักด์ิสิทธ์ิคือพระพิมพห์ ลวงพอ่ โต ซง่ึ นับถือกนั ว่ามี พุทธานภุ าพมาต้งั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบนั นอกจากนี้ ชาวตาบลหัวเวียงส่วนหน่ึงยงั มคี วามเชอ่ื เกี่ยวกับลาน้า โดยคนในท้องถิ่นมคี วามเช่ือ วา่ ใต้น้าจะมีถา้ มปี ลากระเบนอาศยั อยู่ มีจระเข้เฝ้าอยู่บริเวณนั้นจะมีคนตายบริเวณน้ันทุกปี โดยเคยมีคน ตายลอยน้ามาบริเวณหนา้ บ้านและยังเคยมีเรือชนกันและมคี นตายในคลองนน้ั ๓.๖ ควำมเปล่ยี นแปลงของทอ้ งถ่นิ ท้องถ่ินหัวเวียง เดิมทีเป็นสังคมชาวคลอง ที่ผู้คนเดินทางกันโดยเรือชนิดต่าง ๆ มีเรือโดยสาร เรือเมล์ และเรือบรรทุกสินค้า สัญจรไปตามลาน้า มีตลาดย่านการค้าแห่งใหญ่ต้ังอยู่ริม ๒ ฝั่งแม่น้าน้อย แตเ่ ม่ือมกี ารตัดถนนเข้ามาในชุมชน การคมนาคมทางรถยนต์กเ็ ริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ ทาให้ผู้คนใชเ้ รือ ในการสัญจรลดน้อยลงจนในที่สุดเรอื เมล์ เรอื บรรทุกสนิ ค้าตามท้องน้าก็เริ่มหมดไป แม่น้าลาคลองที่เคย ลกึ และกว้างขวาง จากการมเี รือสัญจรผา่ นอยู่ตลอดเวลา ก็เร่ิมแคบและต้ืนเขินมากขึ้น ตลาดน้าท่ีค้าขาย กนั ในแพ กเ็ ส่ือมความนิยมลง ผคู้ นมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ใชท้ ุกหลังคาเรือน จึงสามารถเดนิ ทางติดต่อ คา้ ขายกบั ตลาดบ้านแพน ซง่ึ เป็นแหล่งค้าขายแห่งใหญข่ องอาเภอเสนาได้สะดวกรวดเร็วย่งิ ขึน้ นอกจากน้ี สภาพความเป็นสังคมเกษตรกรรมของชาวหัวเวียง ที่ผู้คนนิยมทานา ทาไร่เป็นส่วนใหญ่ มีพ้ืนท่ีนากว้าง ใหญ่ แต่ในปัจจบุ ันพบว่ามีนายทนุ ใหญ่มาซ้ือที่ดิน ราคาสูงถงึ ไร่ละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ทาใหพ้ ้ืนที่การทานา ลดลงจากในอดีต
๗๑ ๔.ตำบลรำงจรเข้ ตาบลรางจระเข้เป็นชุมชนพื้นท่เี กษตรกรรมและมีความสมบูรณ์ทางทรพั ยากรทางธรรมชาติใน ชุมชน คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชพี ทานาปรังเป็นอาชีพหลัก มกี ารทาประมงโดยการยกยอหาปลา และมีวัดสาคัญประจาชุมชนริมน้าท้ังสองฝั่งคลองคือ วัดรางจรเข้ สันนิษฐานวา่ เป็นวัดเก่าแก่ในสมัยกรุง ศรีอยุธยา ๔.๑ อำณำเขต และภมู ปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลรางจรเข้ มอี าณาเขตท่ีตั้งอยู่ทางด้านตะวนั ตกของคลองรางจรเข้ ทางด้านทิศ เหนอื มีอาณาเขตติดตอ่ กับตาบลลาดงา ทางทิศใต้มีพื้นทีต่ ดิ ต่อกับตาบลเจา้ เสด็จ และตาบลเสนา ทางดา้ น ทิศตะวันออกมีพื้นท่ีติดต่อกับตาบลบ้านโพธ์ิ และทางด้านทิศตะวันตกมีพ้ืนที่ติดต่อกับตาบลเต่าเล่า อาเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยะทางจากอาเภอเสนาไปตาบลรางจรเข้ประมาณ ๕ กโิ ลเมตร และการเดนิ ทางเพอื่ เข้าตวั จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา มรี ะยะทางประมาณ ๒๑ กโิ ลเมตร ทิศเหนอื มพี นื้ ทต่ี ิดตอ่ กบั ตาบลลาดงา อาเภอเสนา ทิศใต้ มพี น้ื ท่ีติดตอ่ กับ ตาบลเจ้าเสดจ็ และตาบลเสนา อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ออก มพี ื้นที่ตดิ ตอ่ กบั ตาบลบ้านโพธ์ิ อาเภอเสนา ทิศตะวันตก มพี นื้ ที่ติดต่อกับ ตาบลเตา่ เล่า อาเภอบางซา้ ย แผนท่ี ๙ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลรางจรเข้ ที่มา: สถาบันอยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑
๗๒ ภมู ปิ ระเทศ พืน้ ทบี่ รเิ วณตาบลบ้านรางจรเข้ มีลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ที่ราบลุม่ ดินอุดมสมบรู ณ์ มีคลองรางจรเข้ ที่แยกลงมาจากคลองสาขาต่าง ๆ ทางตอนเหนือของตาบลลาดงา อาทิ คลองมอญเหนือ คลองมอญใต้ คลองลาดงา คลองหนองมโน ลารางเสาธง ไหลรวมมาเป็นคลองรางจรเข้ ผา่ นตาบลลาดงา ลงมาสู่ท้องท่ีของตาบลรางจรเข้ และมีคลองหลายสายแตกแขนงจากคลองรางจรเข้ เข้าสู่ที่นาต่าง ๆ ประกอบด้วย ลารางหมอเอก ลารางยายแม้น ลารางยายไผ่ ลารางกระเดื่อง และคลองตะเคยี น ด้วยการ ชลประทานทสี่ มบรู ณเ์ ช่นนี้ ทาให้พนื้ ท่ีของตาบลรางจรเข้เหมาะสาหรับการทาเกษตรกรรม ชมุ ชนดง้ั เดิมต้ังถ่ินฐานอย่ตู ลอดสองฟากฝัง่ ของคลองรางจรเข้ ผูค้ นมีวิถีชีวติ ท่ีอิงอาศัยลาน้าใน การหล่อเลี้ยงชีวิต มีวัดรางจรเข้ตั้งอยู่ทางฝ่ังตะวันออกของคลองในเขตตาบลบ้านโพธ์ิ เป็นศูนย์รวมทาง จิตใจของผคู้ นในยา่ นนี้ คนในท้องถน่ิ ทง้ั สองฝงั่ คลองไปมาหาสู่กนั เสมือนเปน็ คนบา้ นเดยี วกัน เหน็ หน้าค่า ตา และรู้จักซึ่งกันและกัน แม้ว่าในปัจจุบนั ทางราชการไดแ้ บ่งเขตพื้นท่ีการปกครองออกเป็นตาบลต่าง ๆ โดยใช้คลองรางจรเข้เป็นเสน้ เขตแดน จงึ ได้แบง่ พนื้ ที่บ้านรางจรเขด้ ้านทิศตะวันออก รวมทัง้ วัดรางจรเขไ้ ป ขึ้นกับตาบลบา้ นโพธ์ิ และบ้านรางจระเข้ด้านทศิ ตะวันตกขนึ้ กับตาบลรางจรเข้กต็ าม แผนท่ี ๑๐ สภาพทางภมู ศิ าสตรย์ า่ นตาบลรางจรเข้ ที่มา: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
๗๓ เขตกำรปกครอง ตาบลรางจรเข้ แบ่งเขตการปกครอง เปน็ ๗ หม่บู า้ น ดังน้ี ๑.หม่บู ้านปลายนาเหนอื (บา้ นบ่อหกั ) ๕.หมู่บา้ นปลายนาเหนือ ๒.หมู่บ้านรางจรเข้ใต้ (บา้ นไฟไหม)้ ๖.หมู่บ้านปลายนาเหนอื ๓.หมบู่ ้านรางกระเดอ่ื ง ๗.หมู่บา้ นปลายนาใต้ ๔.หมู่บา้ นปากคลองตะเคียน ๔.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถ่ิน ทมี่ ำของช่ือตำบลรำงจรเข้ เนื่องจากในอดีต คลองรางจรเข้ ไดร้ ับการคาขานว่ามีจระเข้ชุกชุม และจะพบเห็นจระเขม้ ากที่บรเิ วณลารางในเขตหมู่ที่ ๑ ซง่ึ สนั นษิ ฐานกันว่าสาเหตุทีม่ ีจระเขม้ าอาศัยอยู่ใน ทอ้ งท่นี ้มี าก เปน็ เพราะว่ามตี ้นไม้ ตน้ หญา้ ขึน้ รก และลารางมคี วามลึกมาก จระเข้จึงมาวางไขแ่ ละพกั ผอ่ น มีเรือ่ งเล่าว่า บรรดา วัว ควาย ของชาวบา้ น ที่มากินน้า และนอนแชน่ ้าบริเวณนี้ มักจะถกู จระเข้ ทาร้ายบาดเจ็บ และบางตัวก็เสียชีวิต บางคร้ังมขี ่าวว่าจระเข้ออกไปอาละวาดทาร้ายผู้คนที่สัญจรไปมาใน คลอง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีจระเข้อาศัยอยู่ในคลองและลารางต่าง ๆ แล้วก็ตาม แต่เรื่องราวของ จระเข้กย็ ังเป็นเร่ืองเล่าในยา่ นนีส้ บื มา และเป็นทีม่ าของการเรยี กขานชื่อท้องทนี่ ้วี ่า ตาบลรางจรเข้ ๔.๓ วถิ ีชวี ิต และควำมสมั พันธ์ทำงสังคม จากความทรงจาของผู้คนในท้องถิ่นได้เล่าว่า ในอดีตคนในชุมชนมีลักษณะนิสัยท่ีเอ้ืออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกัน เมื่อถึงฤดูกาลลงแขกดานา-เก่ียวข้าว คนในชุมชนจะมาช่วยเหลือกันโดย สมัครใจ ไม่จาเป็นต้องมีคา่ จ้างแตอ่ ย่างใด เมื่อถึงงานมงคลต่าง ๆ คนในชุมชนก็พรอ้ มใจกันช่วยเหลอื งาน เช่น ช่วยทาขนมหวาน และอาหารคาวต่าง ๆ อย่างไม่ลังเล ในชุมชนจึงเกิดความสามัคคี รักใคร่กลม เกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้ำนอำชีพ ด้วยภูมปิ ระเทศของตาบลรางจระเข้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม คนในชุมชนจึงประกอบ อาชพี ทานาปรังเป็นอาชีพหลกั ส่วนหนึ่งเป็นข้าราชการบานาญท่ใี ช้ช่วงชีวติ หลังปลดเกษยี ณ มาทานาเป็น อาชีพเสรมิ ซ่ึงมที ี่นาเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบรุ ุษ ชาวบ้านรางจรเข้รุ่นก่อนๆ ทานาปี โดยจะเร่ิมฤดูกาลทานาต้ังแต่ช่วงเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ชาวนาจะต้องมีวิธีการดูแลบารุงรักษาต้นข้าวให้สมบูรณ์แข็งแรง เพ่ือให้ข้าวมรี าคาท่ีสูงขึ้น ช่วงท่ีว่างเว้น จากการทานา เชน่ ในชว่ งทนี่ ้าท่วมประมาณเดอื นสงิ หาคม – ธนั วาคมนนั้ คนในท้องถนิ่ จะออกหาปลาเป็น อาชีพเสริม คนในชุมชนมีความรู้เร่ืองการหาปลา โดยใช้อุปกรณ์หาปลา ซึ่งมีหลายๆ ชนิด ได้แก่ เบ็ด ข่าย สุ่ม และยอ สาหรับการยกยอเพื่อหาปลานั้น ยอแบบดัง้ เดิมจะสรา้ งจากไม้ไผ่ เป็นเคร่ืองท่ีช่วยผอ่ นแรง และ ลดเวลาในการหาปลา เนื่องจากการวางยอหนึ่งคร้ัง ทาให้สามารถจับปลาได้จานวนมาก เม่ือได้ปลาแล้ว ชาวบ้านมักนาไปแจกจา่ ยแบง่ ปนั เครือญาติ หรือคนบ้านใกลเ้ รือนเคียง บา้ งกน็ าไปขายท่ีตลาด บา้ งก็นาไป
๗๔ เร่ขายตามบ้านเรือน แม้ว่าในปัจจุบันภูมิปัญญาการยกยอหาปลาในหลายๆ พื้นที่จะเร่ิมหมดไป แต่ก็ยัง สามารถพบเห็นการยกยอได้ในท้องที่ตาบลรางจรเข้ ซึ่งสะท้อนถึงความสมบูรณ์ทางทรัพยากรทาง ธรรมชาติในชมุ ชน ความเจริญก้าวหนา้ ของบา้ นเมอื ง และเทคโนโลยตี า่ ง ๆ ที่แพรห่ ลายเข้ามาในสงั คมชนบท ไดท้ า ให้วถิ ีชีวิตด้ังเดิมเปล่ียนไปจากวิถีชีวิตท่ีเรียบง่ายเป็นไปเป็นสังคมทุนนิยม คนในชุมชนเริ่มไมเ่ ข้าใจคุณค่า ของวิถีชีวิตท่ีปฏบิ ัติมาต้ังแต่อดีต ไม่มคี วามจาเป็นท่ีต้องพึงพาอาศัยกันอย่างเช่นในอดีต คนรุ่นใหม่ได้ผัน ตัวเป็นหนุ่มสาวโรงงานกันมากขึ้น เนื่องจากมีรายได้ดี และมีความมั่นคงกว่าการทาเกษตรกรรมตาม แบบอยา่ งท่ีบรรพบรุ ุษทาสืบกนั มา ด้ำนกำรศึกษำ ในอดีตการศึกษาของบรรพบุรุษ มักจะเรียนหนังสือถึงชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ ส่วนคนในรุ่นพอ่ -แมน่ ้ัน เรยี นหนงั สอื ถึงระดบั ประถมศึกษาปีที่ ๗ ที่โรงเรียนรางจระเข้ จากน้ันไดศ้ กึ ษาต่อ ในระดับชั้น มศ.๓ ท่ีโรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนราษฎรบ์ ารุงศิลป์ หรือเลือกเรียนทางดา้ นสายอาชีพ ในระดับช้ันการศึกษาปวช.-ปวท. ท่ีวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยอาชีวศึกษา พระนครศรอี ยธุ ยา สาหรับการศึกษาในปัจจุบัน นักเรียนท่ีศกึ ษาในระดับชนั้ ประถมศึกษา มักจะไปศกึ ษาท่ีโรงเรียน เสนาบดี โรงเรียนประสาทวิทย์ แล้วต่อด้วยการเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาท่ี โรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนผดุงวิทยา โรงเรียนราษฎร์บารุง ในอาเภอเสนา บ้างเข้าไปเรียนที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย โรงเรยี นจอมสรุ างคอ์ ุปถมั ภ์ ในตวั จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา สว่ นในระดบั ช้ันอดุ มศึกษา ส่วนหน่ึงไดศ้ กึ ษา ต่อทีม่ หาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จังหวดั พระนครศรีอยุธยา และมหาวทิ ยาลัยอน่ื ๆ ในกรุงเทพมหานคร ในปัจจบุ ันมีการพฒั นาด้านการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนื่อง เมอ่ื ปพี .ศ. ๒๕๔๗ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล รางจรเข้ ได้จดั ต้งั ศูนย์พัฒนาเดก็ เล็กองค์การบรหิ ารส่วนตาบลรางจรเข้ข้ึน โดยการต่อเติมอาคารทีท่ าการ องค์การบริหารส่วนตาบลรางจรเข้ ซ่ึงเดิมใช้ศูนย์ข้อมูลข่าวสารตาบล เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอน เพื่อให้เดก็ เลก็ ในตาบลไดม้ สี ถานที่ศึกษาในระดบั ปฐมวยั หลังจากน้ัน ทางองค์การบริหารส่วนตาบลรางจรเข้ ได้ดาเนินการขออนุมัติจัดตั้ง โรงเรียน การศึกษาปฐมวัยในสังกัดจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งนับไดว้ ่าเป็น องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลแห่งแรกในจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ที่มีการจัดตัง้ โรงเรียนขนึ้ เอง กรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถิ่น กระทรวงมหาดไทย ไดอ้ นุมตั กิ ารจัดตง้ั โรงเรียนให้เปน็ โรงเรียน อนุบาลสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การ บริหารส่วนตาบลรางจรเข้ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ และได้ตั้งชื่อโรงเรียนแห่งใหม่นี้ว่า “โรงเรียนพระธรรมรัตนดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต) อุปถัมภ์” ซ่ึงปัจจุบันท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ และเปน็ คนในพน้ื ที่เพราะท่านเกดิ ท่ีตาบลรางจรเข้ คณะผู้บริหารได้ขออนุญาตใช้สมณศักดิ์พระราชาคณะ
๗๕ ช้นั ธรรมของท่านเป็นชอ่ื โรงเรยี น เปิดทาการเรยี นการสอนครัง้ แรก ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ โดยเริ่มจัดการ เรียนการสอนในระดบั ช้ันอนบุ าลปที ่ี ๑ ก่อน และมีนโยบายจะขยายช้นั เรียนขนึ้ เรอื่ ย ๆ ไปตามลาดับช้ัน ๔.๔ ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงผ้คู นกับสง่ิ เหนอื ธรรมชำติ วัดรางจรเข้ แม้ว่าท่ีตั้งของวัดแห่งนี้ จะต้ังอยู่ที่หมู่ ๑๐ ของตาบลบ้านโพธิ์ อาเภอเสนา เนื่องจากทางราชการได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็นตาบลต่าง ๆ เป็นใช้คลองเป็นเกณฑ์กาหนด แต่ถึง อย่างนั้นก็มิอาจแบ่งแยกภูมิวัฒนธรรมของผู้คนสองฝั่งลาน้าออกจากกันได้ ชาวตาบลรางจรเข้ นิยมไป ทาบุญกันท่วี ดั รางจรเข้ ซึ่งถือเปน็ วดั ประจาทอ้ งถิน่ ร่วมกบั ชาวบา้ นรางจรเข้ในฝ่งั ตาบลบ้านโพธ์ิ บริเวณวัดรางจรเข้ เป็นพ้ืนท่ีราบลุ่มล้อมรอบด้วยป่าไผ่ และไม้ยืนต้นนานาชนิด คนรุ่นก่อน เรยี กว่า “วัดรางตะเข้ใต้” ในปจั จุบันเรยี กว่าวดั รางจรเข้ ซ่งึ ไม่ได้มกี ารบนั ทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่าสรา้ ง ข้ึนเม่อื ใด แต่สันนิษฐานวา่ เป็นวดั เก่าแก่ สมยั กรุงศรีอยุธยา อายุไมต่ ่ากวา่ ๔๐๐ ปี เนื่องจากพบหลกั ฐาน เมอ่ื คร้ังที่ซ่อมแซมอุโบสถ หลวงพ่อกุหลาบ (พระครูประสาธน์วิหารกิจ) อดีตเจา้ อาวาสวัดรางจรเข้ ได้นา อิฐเกา่ ไปใหน้ กั โบราณคดพี ิสูจน์ และนักโบราณคดกี ็ยืนยนั ว่าเป็นอิฐโบราณเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยธุ ยา ภายในวดั รางจรเข้มีปูชนียวัตถุทสี่ าคัญประกอบดว้ ย ๑.หลวงพ่อโตโลกนายก พระประธานประจาอโุ บสถ เป็นพระพุทธรูปกอ่ อิฐถือปูน ปางมารวิชัย ขนาดหนา้ ตักกว้าง ๔ เมตร สงู ๗ เมตร ๔ นว้ิ สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๑ ๒. รูปหลวงพอ่ โตโลกนายก พระพทุ ธรปู จาลองประดษิ ฐานประจาหนา้ อโุ บสถ ๓. รูปหล่อเหมอื นพระครูประสาธน์วหิ ารกจิ (หลวงพอ่ กุหลาบ ธมมสุทโธ) ๔.พระพทุ ธชินราช พระประธานประจาศาลาการเปรียญ ขนาดหน้าตักกวา้ ง ๒๖ นิ้ว ๕.ตำบลบำ้ นโพธิ์ ตาบลบ้านโพธิ์ เปน็ ตาบลหน่งึ ที่มีพน้ื ที่ติดกับตาบลสาคัญอ่นื ๆ ของอาเภอเสนา พ้ืนทีส่ ว่ นใหญ่มี ลักษณะเป็นทุ่งกว้างท่ีเหมาะกับการทาเกษตรกรรมเป็นหลกั อย่างไรก็ตาม ในทางตอนใต้ของตาบลบ้าน โพธ์ินั้น มพี ื้นท่ีเชื่อมตอ่ กับศูนย์กลางความเจริญของอาเภอเสนา เช่น ตาบลบ้านแพน และตาบลเสนา อีก ทง้ั ตาบลบ้านโพธิ์ยังมีแม่น้าและคลองสายสาคัญหลายสายไหลผ่าน จึงมีสถานท่ีหลายแห่งต้ังอยู่ในตาบล อาทิ วัด ศาสนสถานของศาสนาอื่น โรงเรียน ตาบลบ้านโพธ์ิจงึ นบั ว่าเป็นพื้นที่ซงึ่ มคี วามอุดมสมบูรณ์ด้าน ทรัพยากรทางธรรมชาติและสงิ่ สาธารณูปโภคต่าง ๆอยา่ งครบครันอีกแห่งหนง่ึ ของอาเภอเสนา ๕.๑ อำณำเขต และภมู ิประเทศ อำณำเขต ตาบลบ้านโพธ์ิ มอี าณาเขตทางด้านทิศเหนอื ตดิ ต่อกับตาบลหัวเวยี ง ทางทิศใต้มีพน้ื ที่ ติดต่อกับตาบลเสนา ทางด้านทิศตะวันออกมีพื้นท่ีติดต่อกับตาบลบ้านแพน ทางด้านทิศตะวันตกมีพื้นที่ ติดต่อกับตาบลรางจรเข้ ระยะทางจากอาเภอเสนาไปตาบลบ้านโพธ์ิประมาณ ๓ กิโลเมตร การเดินทาง เพอื่ เข้าตวั จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา มีระยะทาง ๒๖ กิโลเมตร
๗๖ ทิศเหนือ มีพื้นที่ตดิ ต่อกับ ตาบลหัวเวียง อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มีพ้นื ทตี่ ดิ ตอ่ กบั ตาบลเสนา อาเภอเสนา ทศิ ตะวันออก มพี ้ืนที่ตดิ ต่อกับ ตาบลบา้ นแพน อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ตก มพี ื้นท่ตี ดิ ต่อกับ ตาบลรางจรเข้ อาเภอเสนา แผนที่ ๑๑ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลบ้านโพธิ์ ท่มี า: สถาบนั อยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภูมิประเทศ พื้นท่ีส่วนใหญ่ทางตอนเหนือและตอนกลางค่อนไปทางทิศตะวันตกของตาบลบ้าน โพธิ์เป็นที่ราบเหมาะแก่การทานาข้าว มีแม่น้าและคลองหลายสายไหลผ่านเข้ามาในพื้นท่ี มีแม่น้าสาย สาคัญได้แก่ แม่น้าน้อยสายเดิมและแม่น้าน้อยสายที่ขุดขนานกัน นอกจากน้ียังมีคลองตัดผ่านในพ้ืนท่ี หลายคลอง อันได้แก่คลองบ้านเลียบ คลองปลายนา คลองตน้ ตาล คลองรางจรเข้ คลองแวะ คลองหัวโพธิ์ คลองหัวไร่แตง ไหลผ่าน เป็นตน้ ส่วนพ้ืนที่สองฝ่ังลาน้าน้อย พ้ืนริมคลองรางจรเข้ และพื้นทางตอนใต้ของตาบลซ่ึงมีพ้ืนท่ีติดต่อ กบั ตาบลเสนา ยา่ นศูนยก์ ลางการคา้ และการปกครองนน้ั มีลกั ษณะเปน็ แหลง่ ชุมชนเมอื งทมี่ ีผคู้ นอาศัยอยู่ หนาแนน่ กวา่ พืน้ ท่อี นื่ ๆ ของตาบล
๗๗ แผนท่ี ๑๒ สภาพทางภมู ิศาสตรย์ า่ นตาบลบ้านโพธ์ิ ท่ีมา: สถาบนั อยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ เขตกำรปกครอง ตาบลบ้านโพธ์แิ บ่งเขตการปกครอง เป็น ๑๒ หมู่บ้าน หมู่ ๑ บ้านโพธ์ิ หมู่ ๗ บ้านปลายนาใต้ หมู่ ๒ บ้านโพธ์ิ หมู่ ๘ บา้ นปลายนาเหนอื หมู่ ๓ บา้ นโคกเสือ หมู่ ๙ บ้านปลายนาเหนือ หมู่ ๔ บ้านเลยี บ หมู่ ๑๐ บ้านจา่ ศาล หมู่ ๕ บ้านช่างเหล็ก หมู่ ๑๑ บ้านรางจรเข้ใต้ หมู่ ๖ บา้ นช่างเหล็ก หมู่ ๑๒ บา้ นโพธิ์ ๕.๒ ประวัติศำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถนิ่ ตาบลบ้านโพธิ์เป็นหมู่บ้านท่ีมีพื้นท่ีสาหรับทาเกษตรกรรมมีเรื่องเล่าในท้องถิ่นกล่าวกันมาว่า วัดโพธิ์ซ่ึงมีคลองหัวโพธ์ิติดต่อกับแม่น้าน้อย ตรงหัวมุมแม่น้ามีต้นโพธ์ิต้นใหญ่และมีการตั้งชุมชนอยู่ตรง บริเวณน้ัน จึงเรียกว่าคลองหัวโพธ์ิ บรรพบุรษุ ของชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากแม่นา้ เพื่อใช้ในการดารงชีวิต และตอ่ มาไดม้ กี ารย้ายวดั ออกมาอย่ฝู งั่ ตะวนั ออก โดยศาลาวดั โพธ์เิ ก่าเป็นปา่ จนถงึ ศาลาเมรุหลงั เก่า ตำนำนลิงของศำลเจ้ำพ่อศำลพระกำ วัดโพธท์ิ ่ีต้งั อยูป่ จั จบุ ันเดมิ มีลักษณะเป็นป่ารกรา้ ง มีลิง มาอาศัยอยู่จานวนมาก เช่ือกันว่าเป็นลิงที่มาจากศาลเจ้าพ่อศาลพระกาฬ จังหวัดลพบุรีได้อพยพมาท่ี
๗๘ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา จากน้นั ลิงไดเ้ ขา้ มาขโมยอาหารจากคนในชมุ ชน มีคนในชมุ ชนช่ือ ตาลาน ใชป้ ืน ยิงลิงไป ๓ นัด แตก่ ระสุนไม่ออก พอยิงขึ้นฟ้าได้แกยกมอื ไหวแ้ ละขอว่าจะไม่ยุ่งกบั ลงิ ของเจ้าพ่อศาลพระ กาฬอีกแล้ว ศำลพ่อปู่ทุ่งแค ในหมู่บ้านมีศาลพ่อปู่ทุ่งแคอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน ตานานเล่าขานเกี่ยวกับความ ศกั ดิ์สทิ ธิข์ องศาลพ่อปู่ทุ่งแคมีอยู่ว่า มีเรือลาหน่ึงแล่นผ่านตรงศาล แล้วเรือเกดิ ดับตรงหนา้ ศาล คนขบั เรือ ได้ยกมือท่วมหัวบอกเจ้าพ่อวา่ ขออย่าให้สายพานขาด ขอให้เปน็ แค่ใบพัดติด แลว้ จะนาพวงมาลัยมาถวาย เจ้าพ่อ หลังจากน้ันเรือก็วิ่งได้ ต่อมา พอคนขบั เรอื ผ่านหน้าศาล คนขับเรือลืมพวงมาลัยมาถวาย ขบั ผ่าน ไปมาก็ลืมทุกครง้ั พอผา่ นศาลจึงนึกข้ึนได้และจะพดู ว่า ไวว้ ันหน้าลกู ช้างจะไมล่ มื ถ้าลมื ให้เจ้าพ่อเขกหัวลูก เลย จนมาวันหนึ่ง คนขับเรือผ่านมาหน้าศาลอีกและลืมพวงมาลัย เรือจึงดับโดยไม่มีสาเหตุ เร่ืองราว ดงั กลา่ วจงึ เป็นตานานความศกั ดิ์สิทธข์ิ องเจ้าพอ่ ท่งุ แคท่เี ล่าขานสบื ต่อกนั มา ควำมทรงจำของทอ้ งถ่ิน ความทรงจาท้องถ่ินที่เกีย่ วกับตาบลบ้านโพธิย์ ังมวี ่า ในอดีตวัดโพธเิ์ ป็น พื้นท่ที ี่มีป่ารก เม่ือมีการพัฒนาในทาถนน จึงมีการขุดถางพื้นทบี่ ริเวณปา่ รกนั้น และได้ขุดเจอโบราณวตั ถุ เป็นอิฐก้อนใหญ่ กระเบื้องเก่า มีลักษณะเหมือนเป็นฐานกาแพง เม่ือได้ขุดลึกลงไปอีกจึงพบเจอชิ้นส่วน โครงกระดกู มนุษย์โบราณ มกี ารเล่าขานวา่ เป็นชาวบา้ นบางระจนั ที่แตกทพั มาเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๑๖ จึงมกี าร ตง้ั ชุมชนเกิดขนึ้ บริเวณน้ี และยา้ ยวัดโพธิไ์ ปไว้อีกฝง่ั หนงึ่ ของหมู่ ๒ ซึง่ ปจั จบุ นั เปน็ พ้ืนทข่ี องตาบลบา้ นแพน ส่วนความทรงจาเกี่ยวกับพระราชวงศ์จักรีของชาวตาบลบ้านโพธ์ิ มีปรากฏว่า คร้ังหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จมาที่วัดสามกอและวัดเจ้าเจ็ด คนในชุมชนได้ เดินทางไปรับเสด็จโดยการเดินทางโดยการเดินเท้าและเรือรับจ้าง ณ ท่าเรือร้านเต๊กเฮงไปยังวัดสามกอ และวัดเจ้าเจ็ด และมีบุคคลจากตาบลบ้านโพธิ์ท่ีได้รับ พระมหากรุณาธิคุณ ดังเช่น เรื่องของครอบครัว ทองพิลา ความภาคภูมิใจของครอบครัวทองพิลา ได้มีความทรงจาว่า เมื่อวันท่ี ๑ มกราคม ๒๕๒๐ ครอบครัวได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟ้า จฬุ าภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทไี่ ดเ้ สดจ็ มายงั พระราชวัง บางปะอิน ได้มาทรงดนตรแี ละฉลองวันขึ้น ปีใหม่ โดยเสด็จมาทางเรือพระที่น่ังส่วนพระองค์
๗๙ ภาพประกอบ ๒๘ ภาพถ่ายสมเดจ็ พระเทพฯ และสมเดจ็ พระเจ้าลกู เธอเจ้าฟา้ จฬุ าภรณฯ์ กบั ครอบครวั ทองพิลา เมอ่ื พ.ศ.๒๕๒๐ ทีม่ า: นางสาวปรยิ ากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง เมื่อมาถงึ ตรงลานเทบางไทร พลเรอื โทสรุ ชา ทองพลิ า ได้กราบบังคมทูลว่าบา้ นกระหมอ่ มไปทาง นี้ ซึ่งพลเรอื โทสรุ ชา ทองพิลา เป็นนักดนตรีในวงที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ อัคร ราชกุมารีเป็นนักร้อง จึงกราบบังคมทูลให้สมเด็จพระเทพฯ เสด็จมาบ้านของพลเรือโทสุรชา ทองพิลา ดว้ ยกัน โดยมีเรือใหญ่ ๒ ชั้น ๒ ลา และเรือตารวจคอยอารกั ขาตามมาด้วย ตอนนั้นไม่มีใครรู้วา่ พระองค์ ท่านจะเสด็จมายังบ้านแพน เลยไม่มีการต้อนรับ กว่าข่าวจะถึงหูนายอาเภอก็เตรียมการอะไรไม่ทัน ชาวบา้ นละแวกนั้นพอรู้ข่าวจึงมาร่วมรบั เสด็จด้วย พอมาถงึ หนา้ บ้านครทู วี ทองพิลา สมเด็จพระเทพฯ ได้ เสด็จข้ึนจากเรือมายังแพขายของและถ่ายรูปร่วมกับครอบครัวทองพิลา ยังความปลาบปล้ืมในพระมหา กรณุ าธิคณุ แกค่ รอบครัวทองพลิ า ชาวตาบลบ้านโพธ์ิ มาจนถึงทกุ วนั น้ี
๘๐ ภาพประกอบ ๒๙ ชาวบ้านตาบลบา้ นโพธ์ิรบั เสด็จสมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จพระเจ้าลกู เธอเจ้าฟ้าจฬุ าภรณ์ฯ เมอ่ื พ.ศ.๒๕๒๐ ท่ีมา: นางสาวปริยากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง ๕.๓ วถิ ีชวี ิต และควำมสมั พนั ธ์ทำงสังคม วิถีชีวิตของชาวตาบลบ้านโพธ์ิในอดีตมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ผคู้ นมีความถ้อยทีถ้อยอาศัย มีความสุขโดยการอย่รู ่วมกับทรัพยากรธรรมชาติ มที ุ่งนา แมน่ ้า ลาคลอง ประชาชนส่วนใหญต่ ัง้ บา้ นเรอื น อยรู่ ิมคลอง หากจะเดนิ ทางไปพระนครศรอี ยธุ ยาเพ่ือไปตดิ ตอ่ ทางราชการหรอื จะเข้าเมือง จะตอ้ งไปตั้งแต่ เย็นเตรียมตัวไปคอยท่ีท่าเรือบ้านแพน แล้วนั่งเรือสองชั้นไป เมื่อถึงพระนครศรีอยุธยาก็รุ่งเช้าพอดี การ เดินทางโดยทางเรืออ้อมไปทางบางไทรและบางปะอิน ซ่ึงเป็นวิถีชวี ิตท่ีชาวตาบลบ้านโพธ์ิคุ้นชินมาต้ังแต่ อดีต อย่างไรกต็ าม วิถชี วี ติ ของชาวบา้ นโพธ์ิอาจจาแนกได้แต่ละดา้ นดังตอ่ ไปน้ี ด้ำนอำชีพ พ้ืนท่ีของตาบลบ้านโพธเิ์ ปน็ พื้นที่ชุมชนชนบท มปี ระชากรทีป่ ระกอบอาชีพด้วยการ เกษตรกรรมเป็นหลัก มีธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมทอี่ ุดมสมบูรณ์ ในอดีตประชาชนจะประกอบอาชีพทานา ปี สามารถทานาได้ปีละ ๑ ครั้ง โดยเร่ิมไถโดยจะใช้ วัวหรือควายไถทิ้งไว้ก่อน พอถึงเดือนมิถุนายนจะ หวา่ นขา้ วท้งิ ไว้ รอจนกวา่ ฝนจะตกข้าวจะเรมิ่ เจรญิ เติบโต พอเขา้ เดือนตุลาคม ข้าวเร่ิมออกรวง จงึ เรยี กว่า ข้าวนาปี หรือข้าวไวแสง จากนั้นนาข้าวเปลือกที่เป็นเม็ดนามาเก็บไว้ใต้ถุนบ้าน บางบ้านจะทายุ้งใส่ข้าว บางบ้านฐานะไม่ดกี ็จะสานเสวียนซึ่งทาจากไม้ไผ่มาสานขัดไปขัดมา เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แล้วมา ม้วนเป็นวงกลมแล้วล้อมข้าวเปลือก เพื่อกันสัตว์ท่ีจะมากินข้าวเปลือก ข้าวเปลือกที่เก็บไว้จะเอาตาให้
๘๑ เปลือกกะเทาะ แล้วนามาฝัดเอาเปลือกออกให้เหลือแต่เมล็ดสีขาวเพื่อนามาหุงข้าวบางส่วนนาขายและ บางส่วนเก็บไวท้ าเมล็ดพันธุ์ตอ่ ไป ภายหลังคนในชุมชนมีอาชีพหลักคือการทานาปรัง โดยมีพิธีกรรมที่ทากันตั้งแต่บรรพบุรุษ คือ การทาพธิ ีรับขวญั ข้าว เมื่อข้าวเริ่มต้ังท้องจะให้ผู้หญงิ ท่อี ยู่ในบา้ นเป็นคนทาพิธี โดยมขี นม ของเปรย้ี ว ของ หวาน หวี แป้ง น้าหอม ใส่เฉวียง และชะลอม นามาบูชาพระแม่โพสพ และเนื่องจากราคาพืชผลทาง การเกษตรมีราคาตกต่า แม่น้าลาคลองเกิดความแห้งแล้งทาให้อาชีพเสริมในการหาปลาต้องหยุดลง เมื่อ เกดิ น้าท่วมทาให้ขา้ วเสียหายจมน้าทาใหไ้ ดร้ าคาข้าวขาดทุน แต่รัฐบาลก็เข้ามาช่วยเป็นบางสว่ น ส่วนใหญ่ ได้ผลผลติ จากการปลกู พืชผกั สวนครวั บางครอบครัวจะมีการทากรงุ อบ มรี ายได้อาทิตยห์ นงึ่ ประมาณ ๑๕ บาท ส่งตลาดเพ่ือสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซ่ึงงอบที่กรุจะมีหลายขนาดข้ึนอยกู่ ับการจ้าง ผู้ชายมัก จะ ไปหากุ้งหาปลามาทาอาหาร ดำ้ นกำรสัญจร ในอดตี การเดินทางไปสถานทต่ี ่าง ๆ ชาวตาบลบ้านโพธจิ์ ะใช้การเดินเท้าเปล่า และต้องออกเดินทางต้ังแต่เช้ามืด ต่อมาได้มีเรือโดยสาร เรือสองตอน เรือด่วน เรือเขียว เรือแดง และมี ถนนทางเกวียนทางควาย เป็นทางเลือกมากข้ึน เวลาจะไปตดิ ต่อราชการชาวบ้านจะเดินทางด้วยเรือหาง ยาวที่ว่ิงผ่านหนา้ บา้ น โดยทีห่ นา้ บา้ นจะมีแพขึน้ เรอื ไปถงึ ท่าวังจันทรเกษม ที่ตวั เมืองอยธุ ยา ปัจจุบัน ชาวบ้านนิยมเดินทางไปสถานท่ีต่าง ๆด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ และรถ โดยสารประจาทาง การข้ึนรถโดยสารเพ่ือเข้าตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือเข้ากรุงเทพมหานคร สามารถข้ึนได้ที่สถานีบริการขนส่งทางบกอาเภอเสนา โดยรถโดยสารเป็นของบริษัท เสนาสหนิยมจากัด แตใ่ นชว่ งฤดูน้าท่วมคนในชมุ ชนยังใช้เรือในการเปน็ พาหนะเปน็ หลกั ภาพประกอบ ๓๐ การเดินทางโดยรถโดยสารของชาวตาบลบา้ นโพธ์ิ ทม่ี า: นางสาวปรยิ ากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง
๘๒ ด้ำนเศรษฐกิจ การค้าขายในตาบลบ้านโพธ์ิ มีการค้าขายกันในหมู่บ้าน ซ่ึงมีแม่ค้าพายเรือมา ขายของในช่วงเวลา ๐๓.๐๐ – ๐๔.๐๐น. แม่ค้าจะออกพายเรือไปขายของให้พ่อค้าคนกลาง โดยจะไป ลอยเรือขายที่หน้าอาเภอเสนา ในชุมชนจะมีร้านค้าอยู่ร้านเดียวคือร้านครูแม้นท่ีมีของชาขาย เช่น น้ามันก๊าด ของใช้ในครัวเรือน ชาวบ้านโพธ์ิจะเข้าไปตลาดบ้านแพนก็ต่อเมื่อไปซ้ือของใช้ เสื้อผ้า เฉพาะ เวลามีงานอุปสมบท งานมงคลสมรส และงานฌาปนกิจ และนิยมทาขนมจีนไว้รับประทานเอง และมี หลายครอบครวั ทาขนมจีนไวแ้ ละประกอบอาชพี ค้าขายขา้ วแกงและสืบทอดกนั มาจนถึงปัจจบุ นั ปัจจุบัน ศูนย์กลางการค้าขายสาหรับชาวตาบลบ้านโพธิ์จะอยู่ที่ตลาดนัดวัดโบสถ์ ตลาดบ้าน แพน ที่สามารถหาซ้อื ของใช้ในครวั เรือนได้ หากจะซ้ือเสื้อผ้า หรอื อปุ กรณ์เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ต่าง ๆ จงึ นิยมมา ซือ้ ของที่ตลาด หวั รอ ตลาดเจ้าพรหม ท่อี ยูใ่ นตวั เมืองอยุธยา ด้ำนกำรศกึ ษำ คนในชุมชนบา้ นโพธิ์ จะเขา้ รับการศกึ ษาในระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๔ เป็นชั้น สูงสุด ท่ีโรงเรียนวัดโพธ์ิ (แจ่มวิทยาคาร) ซ่ึงมีการหยดุ ทุกวันพระ ต่อมาพระครูปลัดแจ่ม อดีตเจ้าอาวาส วดั โพธิไ์ ด้ริเรม่ิ กอ่ สรา้ งอาคารเรียนขึน้ มา สมยั แรกจะเรียนทศี่ าลาวดั มีครูจากกระทรวงศกึ ษาธิการมาสอน และมีโรงเรียนชอ่ื ธรรมอมรอนสุ รณ์ ซึง่ เป็นหอ้ งสมุดประชาชนต่อมา ต่อมาชาวบ้านได้ศึกษาต่อในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕-๖ ท่ีโรงเรียนพิบูลย์ประสิทธิ์ วัด กระโดงทอง ต่อมาได้มีชื่อว่าโรงเรียนวัดกระโดงทอง(พิบูลย์ประสิทธ์ิ) และได้ศึกษาต่อในระดับช้ัน มัธยมศึกษาถึง มศ.๓ ทโี่ รงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนมัธยมผดุง โรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ และได้ศึกษา ต่อในระดับช้ันการศึกษาปวช.-ปวท. ที่วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยอาชีวศึกษา พระนครศรอี ยุธยา เป็นต้น ในปจั จุบันนกั เรียนนิยมไปเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาท่โี รงเรียนวดั โพธิ์แจ่มวิทยาคาร โรงเรียน ขยายโอกาสในตาบล โรงเรียนวัดกลาง โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนราษฎรบ์ ารุงศลิ ป์ ต่อมาได้ศึกษาต่อ ระดับชั้นมัธยมศึกษาท่ีโรงเรียนเสนาประสทิ ธ์ิ โรงเรียนผดุง โรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ และผู้ปกครองท่ีมี ฐานะสว่ นใหญ่จะส่งลกู เรยี นในตวั จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย และโรงเรยี น จอมสุรางค์อุปถัมภ์ และได้ศึกษาต่อในระดับช้ันอุดมศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยาและมหาวิทยาลยั อื่น ๆ ในกรงุ เทพมหานคร ๕.๔ ภูมิปัญญำท้องถ่ิน ภมู ปิ ัญญำดำ้ นกำรรักษำโรค ในชมุ ชนตาบลบา้ นโพธิ์มีหมอโบราณประจาชุมชน เรยี กวา่ ตาอิน โดยตาอินรจู้ ักสรรพคุณของสมุนไพรทอ้ งถ่ินเป็นอยา่ งดี สามารถระบไุ ด้ว่าคนไข้เปน็ โรคอะไร และสามารถ ใชส้ มนุ ไพรชนิดใดในการรักษาอาการปว่ ย โดยตาอนิ จะใชว้ ธิ รี กั ษาโดยการกวาดยา แพทย์ประจาตาบลบ้านกระทุ่ม คนในชุมชนเรียกว่า หมอเสง่ียม มาจากทหารเสนารักษ์ มี ความรู้ด้านการรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ ความรู้ด้านการแพทย์ทหาร ด้าน สมุนไพร ความรู้ด้านอนามัยตาบล และในการรกั ษาอาการเจ็บป่วยด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน จะมีการพ่นยา
๘๓ งูสวัด ไฟลามทุ่ง ผู้รักษาท่ีมีชื่อเสียงในอดีต คือ ลุงผาด คุ้มสมบัติ ต่อมาได้เสียชีวิตลงจึงไม่มีใครถ่ายทอด ความรไู้ ว้ ภมู ปิ ญั ญานี้จึงไดห้ ายไปจากชุมชน ในอดตี การคลอดบตุ รหรอื ผู้ป่วยทอ่ี าการเข้าขั้นวิกฤตต้องเดินทางโดยการใช้เรือ เพื่อเดนิ ทางไป โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โดยต้องมกี ารเสยี ค่าใช้จ่ายมากขึน้ ชมุ ชนจงึ มีหมอตาแยสาหรบั การคลอด บตุ ร หลังจากการคลอดบุตรแม่ของเด็กต้องดูแลรักษาโดยการประคบหลังคลอด และการอยู่ไฟซึ่งเปน็ ภูมิ ปัญญาที่ทาต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน หมอท่ีรักษาดูแลเร่ืองการประคบและการอยู่ไฟ คือ นางเยื้อน ฤกษ์ เจตนี และหมอตาแยทมี่ ีชื่อเสียงของตาบลบ้านโพธ์ิในอดตี คือ นายทองอยู่ ฤทธสิ์ นธ์ิ ซงึ่ ได้เสยี ชวี ิตแล้ว ภูมิปัญญำด้ำนอำชีพ ตาบลบ้านโพธิ์ เป็นอีกพื้นที่ที่มีการทาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะ การทานา ภูมิปัญญาด้านอาชีพจะเด่นชัดเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว มีกิจกรรมที่คนในชุมชนจะมา ช่วยเหลือกันคือการลงแขกข้าว เม่ือเกี่ยวข้าวเสร็จจะนาข้าวท่ีเก่ียวตากไว้ท่ีนาให้แห้ง จากน้ันจะเป็น วิธีการนวดข้าว ในอดีตจะใช้ควายนวด โดยวิธีนาข้าวมาตัดคะเนตออก แล้วนามาวางเรียงไว้ในลาน ใช้ ควายเดินย่า จนข้าวหลุดออกจากรวง จากน้ันจะใช้คันฉาย ซ่ึงเป็นดา้ มไม้ยาวประมาณ ๑-๒ เมตร ปลาย คันฉายจะมเี หลก็ กลมปลายงอคล้ายเคยี ว แต่ไม่แหลมมาก ไวส้ งฟางข้าวออก เมือ่ สงฟางข้าวออกหมดแล้ว จะนาข้าวมาใส่สีฝัด เพื่อนาข้าวท่ีลีบออก เหลือแต่ข้าวเปลือกที่เป็นเม็ดๆ ในอดีตระหว่างนวดข้าว หรือ เก่ยี วข้าวจะมกี ารรอ้ งราทาเพลง เพ่ือเปน็ การคลายเหนื่อยดว้ ย เช่น เพลงเกี่ยวขา้ ว รามาซิมารา หรือไม่ก็ รอ้ งโต้ตอบกัน คนในชุมชนท่ีเป็นผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีภูมิปัญญาในการทางานบ้านงานเรือน เช่น การทาเส้น ขนมจนี ทบี่ ้านป้าโกย ฤกษ์กายี และ บ้านนางละออง ทรัพย์สมบัติ โดยมีการทาเสน้ ขนมจีนขายเป็นอาชีพ ตง้ั แต่บรรพบุรุษ ภูมิปัญญาด้านการสานตะกร้าท่ีบ้านยายชิด เกิดทรง จะมีการสานสุ่ม กระบุง กระจาด ตะแกรงซ้อนลูกกุ้ง ท่ีทาจากไม้ไผ่และหวาย สานขายในชุมชน และรับทาขายจากผู้สั่งซื้อ และยังมีภูมิ ปญั ญาช่างไฟฟ้า เก่ียวกับไดนาโม ซ่ึงเป็นผู้ที่มีความชานาญด้านไฟฟ้าและเป็นครสู อนเกี่ยวกับเรือ่ งไฟฟ้า คอื นายเออ้ื น พุม่ ไสว มีลูกศษิ ย์ที่ได้เรยี นรู้วิชาและนาไปประกอบอาชีพมากมาย ๕.๕ ประเพณที อ้ งถนิ่ ประเพณีท่ีชาวตาบลบ้านโพธิ์ท่ีนับถือและทาสืบถอดกันมา คือ ประเพณีนมัสการหลวงปู่พระ พทุ ธเกสร ซง่ึ เป็นพระพุทธรปู ปางสมาธิ ขดั สมาธเิ พชร พระพทุ ธรูปปนั้ หลอ่ ด้วยเกสรดอกไม้ ปดิ ทองต้งั บน ฐานรองบัวหงายบัวควา่ ประดิษฐานในพระปรางคด์ ุสติ ราช และมีประเพณีแห่หลวงพอ่ พุทธเกสร ปีละ ๒ ครั้ง คือข้ึน ๑๔-๑๕ คา่ เดือน ๕ และ ข้ึน ๒-๓ ค่าเดือน ๑๒ โดยในงานจะมีการทาบุญเลี้ยงพระเช้า โดย อัญเชิญหลวงปู่ พุทธเกสรท่ีประทับอยู่ในพระปรางดุสิตราชมาประทับในเรือแห่ไปยังวัดเจ้าเจ็ดใน ให้ ชาวบ้านไดท้ าบุญปิดทอง ชว่ งบา่ ยจะแหก่ ลับมาฉลองทวี่ ัดกระโดงทอง ชว่ งกลางคนื จะมมี หรสพ วันรงุ่ ข้ึน จะมกี ารทาบญุ เลยี้ งพระและพิธพี ราหมณ์เปน็ อนั เสรจ็ พธิ ี ต่อมาการสญั จรทางนา้ ลาบากจงึ ไดม้ ีการแห่ทาง บกโดยใช้รถยนต์แหผ่ ่านตลาดเสนา ใหผ้ ู้คนได้เคารพสักการะและแห่ไปถึงวัดเจ้าเจ็ดใน ประเพณีนที้ าเป็น
๘๔ ประจาทุกปีถอื ว่าเป็นงานประจาปีของทางวัด ซ่ึงเป็นประเพณีท่ีสาคัญของตาบลบ้านโพธิ์และวดั โพธิ์ คือ ประเพณีการทาบุญประจาปวี ัดโพธ์ิของทุกปีประจาช่วงเดือนพฤศจิกายน ของทกุ ปี โดยมีการปิดทองไหว้ พระ แข่งเรือ และการทาบุญ นอกจากนี้ยังมีประเพณีเกี่ยวกับวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น การทาบุญ การเวียนเทียน ส่วนวันตรุษจีน วันสารทจีนและพิธีเซ่นไหว้ คนไทยเช้ือสายจีนจะมีการประกอบพิธีกรรม มีความเช่ือว่า เปน็ วันแสดงความกตัญญตู ่อบรรพบรุ ุษ และยังถอื เปน็ เดือนที่ประตนู รกเปดิ ใหว้ ิญญาณทง้ั หลายมารับกศุ ล ผลบุญ โดยมีการไหว้เจ้าท่ี บรรพบุรุษ สัมภเวสี ส่วนในวันสงกรานต์ จะมีการสรงน้าพระทาบุญตักบาตร และการละเล่นแบบโบราณ คือ การโยนลกู ช่วง มอญซ่อนผ้า และการละเล่นสาดน้า คนวยั หนุ่มสาวก็จะ มารวมตวั กนั ตามงานวัด ตอนเย็นบา้ นฝ่ายหญิงจะทาขา้ วตม้ เลี้ยงคนท่ีมาเล่นสงกรานต์และมีการราวงร้อง ราทาเพลงกนั ในอดตี มีการแห่นางหมานางแมว เป็นการร้องราทาเพลง มีขบวนกลองยาวและแห่ท่อนไม้ท่ีทา เป็นอวัยวะเพศของฝ่ายชายอันใหญ่ เรียกวา่ ศิวลึงค์ มีความเชื่อว่าจะทาให้ฝนฟ้าตก วันรุ่งข้ึนก็จะนิมนต์ พระมาสวดคาถาปลาช่อน ตามคากล่าวของคนโบราณว่าชาติหน่ึงพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นปลาช่อนและ นา้ แหง้ ขอด จงึ อธิษฐานให้ฝนตก ๕.๖ บุคคลสำคญั ในท้องถ่นิ หลวงปู่สิน เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดโพธิ์ และท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อย้มิ วัดเจา้ เจ็ด ใน โดยมตี ระกูลของ ปู่โมด ค่าคา พระอาจารย์ปีเกจิดงั ของวัดกระโดงทอง และหลวงพ่อแกะ เจ้าอาวาส วัดกลางทีท่ ุกคนให้ความเล่ือมใสศรัทธา ทกุ เดือนสิงหาคมของทุกปีมีการทาบุญครบรอบวันมรณภาพของ หลวงพอ่ กานันนวม เป็นท่ียอมรับของคนในหมู่ที่ ๓ และ นายอาเภอประชา พลานันท์ อยู่ศูนย์แผ่นดิน ธรรมแผ่นดินทอง ทา่ นทรงเป็นตน้ แบบของการนาเศรษฐกจิ พอเพียงไร่นาสวนผสม กานันบุญสม บุญรอด เป็นกานันแหนบทอง ของตาบลบ้านโพธ์ิ ได้รับรางวัลกานันยอดเยี่ยม อนั ดับ ๑ เป็นแหนบทองคาและอาวุธปืน รีวอลเวอรฝ์ ังมขุ ขนาด ๓๘ จานวน ๑ กระบอก กระสนุ ๑๒ นัด มพี ิธมี อบรางวัล ในการปฏิบตั งิ านและหน้าทด่ี เี ดน่ เป็นพิเศษประจาปี ๒๕๑๘ จาก ฯพณฯ รฐั มนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย สมัยน้ันได้ค่าตอบแทน เดอื นละ ๔๘๐ – ๕๕๐ บาท และพ่อได้เป็นต้นแบบน้อมนา หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาใช้ในวถิ ีการดาเนินชีวิตแบบเรยี บง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ
๘๕ ภาพประกอบที่ ๓๑ พิธมี อบรางวลั กานันแหนบทองคา กานนั บณุ สม บญุ รอด เมอื่ ปพี .ศ.๒๕๑๘ ที่มา: นางสาวปรยิ ากร ทองจรัส ครู กศน.ตาบลหัวเวียง นางทวี ทองพิลา ครูสอนหนังสือซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน สอนอยู่ที่โรงเรียนประสาท วิทย์ ไดร้ บั รางวัลแม่ดีเดน่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ระดับประเทศ เรื่องการอบรมเล้ียงดูบุตรธิดาให้ได้รับการศึกษา ท่ีดีและเปน็ คนทม่ี คี ุณภาพภายในชมุ ชน ๕.๗ คนในทอ้ งถิน่ กับทรัพยำกรธรรมชำติ ตาบลบ้านโพธ์ิ เป็นหนึง่ ตาบลท่ีมที รพั ยากรนา้ ท่ีอุดมสมบูรณ์โดยมี คลองแมน่ ้าน้อย ไหลมาจาก จงั หวัดนครสวรรค์ ผ่านมาทางวัดอินทรารามถึงตาบลหัวเวียง อาเภอเสนา และมี ๓ แยก คลองมโนราห์ แยกไปทางวัดบางปลาหมอ มาทางตาบลบ้านโพธ์ิ เข้าคลองแมน่ ้านอ้ ย มีลารางติดท้องถนนทต่ี ัดผ่านเพ่ือ ใช้สูบน้าสาหรับทานาโดยการขุดลารางขึ้นมา จากความร่วมมือของชาวบ้านและให้ชื่อว่า “คลองหัวโพธ์ิ” เนื่องจากมีตน้ โพธ์ิใหญ่อยทู่ ห่ี ัวคลอง ส่วนในหมทู่ ่ี ๖ ของตาบลบ้านโพธ์ิเองก็จะมีนา้ ไหลผ่าน เรียกวา่ คลองปลายนา เป็นคลองท่ีแยก มาจากแมน่ า้ น้อย ชาวบา้ นแถวนี้ในอดตี นยิ มปลูกเรือนแพอย่ใู นน้าและมีการปลูกผกั บงุ้ ผกั กระเฉดไว้ขาย
๘๖ ๕.๘ ควำมเชอ่ื และสิง่ ยดึ เหนย่ี วทำงจติ ใจ ศำลเจ้ำพ่อปู่ท่งุ แค อายุมากกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ท่ีบริเวณหน้าวดั โพธิ์ เป็นศาลทช่ี าวชุมชนบา้ นโพธ์ิ ให้ความเคารพศรัทธา ชาวบ้านจะมีการทาบุญทุกปีในชว่ งวันสงกรานต์โดยนาอาหารคาวหวานมาทาบุญ ร่วมกัน ตามตานานความเชื่อ ปาฏิหาริย์ของพ่อปู่ทุ่งแค เมื่อคราวสร้างสะพาน มีเรือขนไม้มาส่งทาให้เรือ ลม่ ชาวบ้านได้บนบานสานกลา่ วตอ่ หน้าเจ้าพ่อปู่ทุง่ แค ขอให้งมของท่ีจมน้าขึ้นมาให้ได้ครบ ก็ได้นาสงิ่ ของ มาถวายท่านตามสิ่งทบ่ี อกเลา่ ไว้ และมีอกี หนึ่งเหตุการณ์ คอื มีคนพูดหลบหลู่ดหู มิน่ ทา่ น ท่านจึงได้สาแดง ปาฏิหาริย์ให้เห็นจนเป็นที่เคารพศรทั ธาของชาวบ้านและผู้คนเคารพนับถือ คนในชุมชนส่วนใหญ่นิยมไป บนบานสานกลา่ วกับเจ้าพ่อปทู่ ุ่งแคเพื่อขอให้โรคภัยที่เจ็บป่วยหายในเรว็ วันโดยนาเอาน้าจากหนา้ ศาลมา ตักอาบ เมอื่ คาทบ่ี นบานสานกลา่ วเป็นจริง คนในชุมชนนยิ มแก้บนโดยการบวช ศำลเจำ้ พอ่ โยทกำ เป็นศาลที่ชาวชมุ ชนบา้ นโพธ์ิ ให้ความเคารพศรทั ธา จะมีการนาอาหารหวาน อาหารคาวมาถวาย พร้อมกับขา้ วตอกดอกไม้มาบูชาทีศ่ าล โดยตานานเล่าขานกนั ว่า “มีปาฏิหาริย์ของเจ้า พอ่ โยทกา ว่าบ้านไหนที่ลกู จะต้องเกณฑ์ทหารกจ็ ะมาบนบานสานกล่าวให้รอดพ้น โดยแก้บนด้วยอาหาร คาวหวานและพวงมาลัยจะสามารถให้รอดพน้ จากการเป็นทหารทกุ คน” ศาลปากคลองตะเคียน ช่วงเหนือวัดกลางติดกับเขตรางจระเข้ หมู่ท่ี ๔ ในอดีตมีศาลเจ้าพ่อจุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ตานานเล่ากันว่า “มีจระเข้อาศัยอยู่ ในอดีตคนในชุมชนไปหาปลาท่ีหน้าศาลก็ได้บน บานสานกล่าวขอใหไ้ ดป้ ลาตวั ใหญ่ ๆ สกั ส่หี ้าตัว ก็เอาสวิงลงไปช้อนปรากฏวา่ ไดป้ ลามาหลายตวั ” วัดโพธ์ิ เมื่อถึงวันสาคญั ทางพระพุทธศาสนาคนในชมุ ชนบ้านโพธิ์นยิ มไปทาบญุ ที่วดั โพธิ์ แต่เดิม วัดโพธิ์อยู่ในเขตการปกครองของตาบลบ้านโพธ์ิ ภายหลังจึงได้ถกู ย้ายเข้าการปกครองของเขตตาบลบ้าน แพน แต่ชาวบ้านก็ยังไปทาบุญวัดนี้อยู่ ในอดีตหลวงปู่สินเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก มีพระไพรีพินาศ ประดษิ ฐานในอาคารเฉลิมพระเกยี รติไวใ้ ห้ประชาชนเคารพสักการะ หน้าอาคารมีพระพรหมทีช่ าวบ้านให้ ความเคารพบูชาและ มีตานานเล่าขานกันมาว่าให้ฟังว่าลูกชายของผู้ใหญ่ริ เป็นเจ้าคุณอยู่วัดสุทัศน์ ได้ บอกบุญกับประชาชนคนไทยรว่ มถวายปัจจัยในการบูรณะ คนในชุมชนเกิดความศรัทธาในตัวหลวงพ่อจึง จัดการบรู ณะสรา้ งใหม่ นอกจากวัดโพธ์ิแล้ว คนในชมุ ชนยังไปทาบุญท่วี ัดกระโดงทอง เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดกระโดงทอง สร้างขึน้ มาประมาณปี พ.ศ.๒๔๐๐ มีตานานเล่าขานกันวา่ “พ่อคา้ สาเภาชาวจีนไดม้ าสร้าง วัดกระโดงทอง โดยใช้เสากระโดงเรอื ปกั หมายไวเ้ ปน็ สญั ลักษณ์ แรกเรียกวัด“เสากระโดงทอง”ตอ่ มาคาว่า “เสา”หายไป คงเหลือช่ือว่าวัดกระโดงทอง และได้รับพระราชทานว่าเป็นเขตสงฆ์เพื่อทาสังฆกรรม เม่ือ วนั ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓” ๕.๙ ควำมเปลยี่ นแปลงของทอ้ งถ่ิน ในอดตี การเดินทางเข้าหมู่บา้ นตอ้ งใช้การเดินเทา้ และเรอื เท่านั้นเนื่องจากทางเขา้ หมู่บา้ นเปน็ ดิน โคลน และใช้คลองหัวโพธ์ิในการสัญจรไปมา ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการทานาปีเป็นหลัก
๘๗ ภายหลังได้มีการพัฒนาถนนและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทั้งยังมีเทคโนโลยีท่ีเข้ามาตามการ เปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกทาให้วิถีชีวิตของชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไป สะดวกสบายมากขึ้น ชาวบา้ นหนั มาทานาปลังและคนรนุ่ หลังบางส่วนได้ประกอบอาชพี ทห่ี ลากหลายมากข้ึน เช่นรับขา้ ราชการ พนักงานโรงงาน รบั จา้ งทั่วไป เป็นต้น ๖.ตำบลบำ้ นแพน พ้ืนท่ีของตาบลบ้านแพน เป็นเพียงการกาหนดเขตเพ่ือการปกครองของชุมชนท่ีอยู่ทางตอน เหนือของตัวอาเภอเสนา แต่คาว่า “บ้านแพน” ท่ีเรียกขานกันอยู่ทั่วไปนั้น มิได้หมายความถงึ ท้องที่ของ ตาบลบ้านแพนเท่านั้น เน่ืองจากชาวเสนาและคนท้องถิ่นอ่ืน เรียกขานพ้ืนที่ย่านใจกลางของอาเภอเสนา อย่างรวมๆ ว่า “บ้านแพน” ประกอบไปด้วยตลาดบ้านแพน ซ่ึงเป็นศูนย์กลางทางการค้า ศูนย์กลาง ทางการปกครอง และศูนย์กลางการคมนาคมแห่งใหญ่ทส่ี ุดของอาเภอ ต้ังอยู่ในท้องทีต่ าบลเสนา มีวัดบา้ น แพน เป็นวัดเก่าแก่ และข้ึนช่ือในด้านพุทธาอาคม โดยมีหลวงพ่อพูน ฐิตสีโล เป็นเกจิอาจารย์ ซ่ึงวัดน้ี ตั้งอย่ใู นทอ้ งทตี่ าบลสามกอ นอกจากนคี้ าว่าบา้ นแพนยงั ไปปรากฏในช่ือของสถานที่หลายๆ แหง่ เช่น ร้านค้าต่าง ๆ ในย่านน้ี โรงเรียนวัดบ้านแพน ทีเ่ ปิดสอนตั้งแต่ระดับชนั้ อนบุ าลจนถึงช้นั ประถมศึกษา ก็ต้ังอยู่ในเขตตาบลสามกอ และโบสถม์ ารียส์ มภพ บ้านแพน อยุธยา ซง่ึ เปน็ ศาสนาสถานของชาวครสิ ต์ ก็มที ี่ตงั้ อย่ใู นตาบลเสนา และ แม้แต่สวนอุตสาหกรรมบ้านแพน ก็ยังตั้งอยู่ท่ีตาบลบางนมโค ดังนั้น ตาบลบ้านแพน จึงเป็นเพียงการ กาหนดเขตการปกครอง แค่สว่ นหนึ่งของพ้ืนทที่ ี่ถูกเรยี กวา่ “บา้ นแพน” น่ันเอง ๖.๑ อำณำเขต และภูมปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลบ้านแพนเป็นตาบลที่มีอาณาเขตติดต่อกับอาเภอบางบาลทางด้านทิศ ตะวนั ออก ส่วนทางด้านทิศเหนือน้ันมีพ้ืนท่ีติดต่อกับตาบลหัวเวียง อาเภอเสนา ด้านทิศตะวันตกมีพื้นที่ ติดต่อกับตาบลบ้านโพธ์ิ และทางด้านทิศใต้ มีพ้ืนที่ติดต่อกับตาบลบางนมโค และตาบลเสนาซ่ึงเป็น ศนู ย์กลางทางการปกครองและเศรษฐกจิ ของอาเภอ ที่ต้ังของตาบลบ้านแพนมีระยะทางห่างจากอาเภอพระนครศรีอยุธยา ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ในปัจจบุ นั สามารถเดินทางโดยรถยนต์ด้วยระยะเวลาประมาณ ๒๐ นาที ถือว่าตาบลบ้านแพนตั้งอยไู่ มไ่ กล จากตวั จงั หวัดมากนัก ทศิ เหนือ มีพน้ื ทีต่ ดิ ต่อกบั ตาบลหวั เวยี ง อาเภอเสนา ทิศใต้ มีพื้นทตี่ ดิ ต่อกับ ตาบลเสนา และตาบลบางนมโค อาเภอเสนา ทศิ ตะวันออก มพี ้ืนที่ตดิ ตอ่ กบั ตาบลน้าเต้า อาเภอบางบาล ทิศตะวันตก มพี นื้ ท่ตี ิดตอ่ กบั ตาบลบา้ นโพธิ์ อาเภอเสนา
๘๘ แผนท่ี ๑๓ แผนที่แสดงอาณาเขตตาบลบ้านแพน ท่ีมา: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภมู ิประเทศ พื้นท่ีของตาบลบ้านแพนเป็นที่ราบลุ่ม ดินมีสภาพเป็นดินเหนียว มีแม่น้านอ้ ย เป็น ลาน้าสายหลักที่ไหลผ่านทุกหมู่บ้าน มีคลองสายต่าง ๆ คือ คลองเหนือ คลองยายเต็ม อานวยประโยชน์ ด้านการชลประทานในการเพาะปลูก ผ้คู นนยิ มอยู่อาศัยบรเิ วณริมแมน่ ้าน้อย อันเป็นเสน้ ทางการคมนาคม สัญจรในอดีต ส่วนพื้นที่ตอนในของตาบล เป็นทุ่งนากว้างขวาง เมื่อถึงฤดูน้าหลาก มักจะเกิดน้าล้นตลิ่ง และเขา้ ท่วมพน้ื ท่ที ้ังบ้านเรอื นและท่นี า จากภาพถ่ายดาวเทียมของ earth.google.com ซึ่งบันทึกภาพไว้ในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ แสดงให้เหน็ ช่วงน้าทว่ มบรเิ วณตาบลบ้านแพนวา่ มที ่ีนาและบา้ นเรอื นประชาชนถูกน้าท่วมเกือบทุกพ้ืนที่ ของตาบล
๘๙ แผนที่ ๑๔ สภาพทางภูมศิ าสตรย์ า่ นตาบลบ้านแพน ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
๙๐ ภาพประกอบ ๒๙ ภาพถ่ายจากดาวเทียมบริเวณตาบลบ้านแพน ทีม่ า: earth.google.com เขตกำรปกครอง ตาบลบ้านแพน ได้มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๙ หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่ที่ ๑ บ้านสวนถวั่ หมูท่ ี่ ๒ บา้ นแพน หมู่ที่ ๓ บ้านโคกเสอื หมทู่ ี่ ๔ บ้านโพธิ์ หมู่ที่ ๕,๖.๗ บ้านเลยี บ และหมู่ ที่ ๘,๙ บา้ นช่างเหลก็ ๖.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถ่นิ ตำนำนท่ีมำของช่ือบ้ำนแพน คาว่า“บ้านแพน” เป็นคาที่เรียกขาน พื้นท่ีโดยรวมของย่านใจ กลางอาเภอเสนา มิได้เจาะจงเฉพาะแต่พื้นท่ีตาบลบ้านแพนเพียงอย่างเดียวนั้น ซึ่งท่ีมาของชื่อ “บ้าน แพน” ท่ีนามาใช้เป็นช่ือของตาบลบ้านแพนน้ัน มีเร่ืองเล่าเชิงตานาน ที่อธิบายความหมายของช่ือนี้อยู่ หลายสานวน อาทิ
๙๑ ตำนำนสำเภำจีนล่ม เป็นเร่ืองเล่าเชิงตานานที่ผูกโยงเร่ืองราวท่ีเก่ียวกับชื่อบ้าน และวัดต่าง ๆ ในย่านบ้านแพน ท่ีมพี ้ืนที่รวมไปถึงตาบลบ้านแพน ตาบลบ้านโพธ์ิ ตาบลสามกอ และตาบลเสนา ซึ่งเป็น ชมุ ทางของแม่น้านอ้ ยและคลองสายตา่ ง ๆ ไว้ดงั นี้ นานมาแลว้ มีเรือสาเภาของชาวจีนลาใหญ่ล่องเข้ามาค้าขายในย่านลานา้ แทบนี้ โดยไม่ทราบว่า มีกระแสน้าวนเช่ียวกราก ทาให้สาเภาเสียการควบคมุ จนหวั เรือแล่นเขา้ ปะทะตล่งิ และอับปางลงในที่สุด โดยมีเพียงเสากระโดงเรือที่โผล่พน้ ขึ้นมาเหนือผวิ น้าเทา่ นัน้ ส่วนข้าวของและสัมภาระท่ีชาวจนี นาตดิ ตวั มา ด้วย ต่างลอยกระจดั กระจายไปคนละทศิ ทาง ชาวบ้านในย่านน้ี ต่างเขา้ ช่วยเหลอื อย่างเต็มกาลงั ส่วนหน่ึงช่วยกนั ลากเสื่อลาแพนที่ลอยไปติด อยู่ตรงเนินดิน ข้ึนมาตากจนแห้ง ภายหลังได้มีการเรยี กขานย่านนัน้ ว่า “บา้ นแพน” บรเิ วณท่ีชาวบ้านนา เสื่อลาแพนไปตากน้ัน เป็นพ้ืนที่ของวัดแห่งหนึ่งซึ่งสร้างมาต้ังแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อว่า “วัดจันทรคูหา วาส” และภายหลังชาวบา้ นไดเ้ รยี กช่ือเปน็ “วดั บา้ นแพน” ปัจจบุ นั อยู่ในเขตตาบลสามกอ ส่วนเสอื่ กกที่ลอยไปติดอยู่ท่ที ่าน้าอีกแห่งขึ้น ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึง่ ก็ช่วยกันลากข้ึนมาตากไว้บน โคกสูง หลังจากน้นั ก็พากันเรยี กขานย่านนน้ั วา่ “โคกเสอ่ื ” ส่วนพ่อค้าชาวจีนเจ้าของสาเภาท่ีอับปางลง ก็ได้ตัดสินใจสร้างวัดขึ้นเพ่ืออุทิศไว้เป็นเครื่อง เตอื นใจในสจั ธรรมของชีวติ และไดน้ าเสากระโดงเรือขนึ้ มาตงั้ ไวเ้ ป็นสญั ลักษณ์จึงเหตุการณ์ในครงั้ นั้น แล้ว ขนานนามวัดแห่งนนั้ วา่ “วัดเสากระโดงทอง” ปัจจุบันอยูใ่ นเขตตาบลบ้านโพธ์ิ ภายหลังกร่อนคาลงเหลือ เพียงชอ่ื “วดั กระโดงทอง” มาจนทกุ วนั นี้ สว่ นโคกเสอื่ ทนี่ าเส่ือกกมาตากไว้นนั้ เป็นพื้นท่ีของวัดทส่ี รา้ งมาสมยั อยุธยาเชน่ กนั ภายหลังคน ทั่วไปจงึ เรียกชอ่ื วัดตามเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน และเพ้ียนมาเป็น “วัดโคกเสือ” ในปัจจุบันตงั้ อยู่ในเขตตาบล บ้านแพน สาหรับเนินดินนั้นเม่ือสายน้าเปลี่ยนทิศทางผ่านมายังจุดน้ันจึงกลายเป็นชมุ ทางเรือและการค้า ขายปจั จุบนั เป็นท่ตี ้ังทวี่ ่าการอาเภอเสนา ในตาบลเสนา ดังน้ันท่ีมาของคาว่า บ้านแพนในตานานสาเภาจีนล่มน้ี ได้ช่ือมาจาก เสื่อราแพนที่ลอยจาก สาเภามาติดทีช่ ายตลิ่งน่ันเอง ทม่ี ำของชื่อบ้ำนแพนมำจำก บ้ำนแพ เป็นการสันนิษฐานตามสภาพวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ ของผู้คนในยา่ นนี้ เนอื่ งด้วยสภาพพ้ืนที่ของตาบลบ้านแพน เป็นทรี่ าบลมุ่ และเป็นชุมทางของลานา้ หลาย สาย โดยมีแม่น้าน้อยเป็นสายน้าที่สาคัญ ทาให้ในย่านน้ีเป็นจุดพบปะแลกเปลี่ยนสินค้าทางน้า จน กลายเป็นตลาด และชุมชนเมือง ที่มีการปลูกสร้างเรือนแพสาหรับเป็นท้ังพื้นที่ขายสินค้า และท่ีอยู่อาศัย โดยชาวบ้านผูกแพเรียงรายอยู่ริมสองฝ่ังลานา้ อย่างเนืองแน่น จึงอาจเป็นท่ีจดจาของผู้คนในการเรียกย่านนี้ว่า “บ้านแพ” ให้เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าหมายถึง ชุมชนท่ีอาศัยอยใู่ นเรือนแพในย่านน้ี แต่ต่อมาได้มกี ารเรียกชือ่ ผิดเพย้ี นเปน็ “บา้ นแพน” ไปในท่สี ุด
๙๒ ท่ีมำของช่ือบ้ำนแพนมำจำก เสื่อลำแพน เป็นการสันนิษฐานตามวิถีชีวิต และการประกอบ อาชีพของผู้คนในย่านนี้ ซ่ึงกล่าวกันว่า ในอดีตมีการจักสานเสื่อชนิดหน่ึงที่เรียกว่าเส่ือลาแพน ซึ่งเป็นภูมิ ปัญญาที่ใช้ไม้ไผ่ในการสานขัดกัน ประโยชน์ของเส่ือลาแพนสามารถใช้สอยได้อย่างอเนกประสงค์ เช่น นางทองใบ โททอง อายุ ๗๕ ปี เลา่ ความทรงจาในอดีตว่า “ในสมยั ก่อน ตาบลบ้านแพนใชไ้ ม้ขัดแตะทาฝา บ้าน บางคนกส็ านเปน็ ลาแพนทาฝาบ้าน” ดงั น้นั ตาบลบ้านแพน ซึ่งเคยเป็นแหลง่ ผลิตเส่ือลาแพน จึงอาจ กลายมาเปน็ ทม่ี าของชอื่ เรียกตาบลบา้ นแพนกเ็ ปน็ ได้ ท่ีมำของช่ือบ้ำนแพนมำจำก นกยงู รำแพนหำง คนในท้องถิ่น บางคนเล่าเป็นเร่ืองราวสั้นๆ ว่า ในย่านน้ีเคยเป็นป่า มีสัตว์ป่านานาพรรณ หนึ่งในจานวนนั้นคือนกยูง ซึ่งในบางเวลานกยูงตัวผู้มักจะรา แพนหางเพือ่ หาคู่ จนผูพ้ บเห็นได้เรยี กขานชื่อยา่ นนว้ี ่า ตาบลบ้านแพน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่ีมาของชื่อ บ้านแพน จะมีเรื่องเล่าเชิงตานาน และเรื่องเล่าที่สันนิษฐาน ตามสภาพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ หรือตามวิถชี ีวติ และวฒั นธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในยา่ นน้ี ที่เล่า ไวห้ ลายสานวน ก็นับเปน็ เรื่องเล่าประจาทอ้ งถน่ิ ที่ไม่มคี วามจาเป็นต้องตัดสนิ อย่างชช้ี ดั วา่ เร่อื งใดเป็นเรอ่ื ง จริง หรอื เรอ่ื งใดไม่เป็นความจริง ตำนำนบ้ำนชำ่ งเหล็ก คนในพืน้ ท่ี หมู่ ๙ ตาบลบ้านแพน ซ่ึงเปน็ พืน้ ที่ทางตอนเหนือตดิ กบั ตาบล หัวเวยี งน้ัน มีเรือ่ งเล่าว่าในสมัยอยธุ ยา ท้องท่ีนี้เปน็ เส้นทางเดนิ ทัพของพมา่ เม่อื กองทัพพม่ามาถึงดินแดน แทบน้ี ก็ได้ต้ัง “เวียง” ซ่ึงเป็นภาษาโบราณ หมายถึง “เมือง” ข้นึ ท่ีตาบลหัวเวียง อันเป็นตาบลท่ีอยู่ทาง ตอนเหนือ และมีเขตติดต่อกบั ตาบลบ้านแพน ทหารพมา่ ได้ตั้งโรงตีเหล็กท่ีใช้ผลิตอาวุธข้ึนท่ีบริเวณ หมู่ ๙ ของตาบลบ้านแพน จากนั้นเปน็ ต้น มา ผู้คนจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านช่างตีเหล็ก” ต่อมาเรียกสั้นๆ ว่า “บ้านช่างเหล็ก” (เฉียบ มงคลทรง, สัมภาษณ์) ควำมทรงจำของท้องถ่ิน ชาวตาบลบ้านแพน มีความทรงจาร่วมกันเก่ียวกับการเสด็จพระราช ดาเนินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลาย พระองค์ และบุคคลสาคัญของประเทศหลายคนด้วยกัน ซ่ึงมีการจดจาและบันทึกไว้เป็นความทรงจา รว่ มกันของท้องถนิ่ ดังน้ี ควำมทรงจำของท้องถิ่นเก่ียวกับพระบำทสมเด็จพระปรมินทรมหำภูมิพลอดุลยเดช ชาว ตาบลบ้านแพน มีบันทึกความทรงจาไว้ว่า เมื่อวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลท่ี ๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั รัชกาลท่ี ๑๐ ขณะดารงพระอสิ ริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช พร้อม พระบรมวงศ์ศานุวงศ์ เสด็จเย่ียมเยียนประชาชน และประทับ ณ พลับพลาตรสี ุขี ตาบลบ้านแพน อาเภอ เสนา โดยมนี ายกาทน สินธวานนท์ องคมนตรี มายกมณฑปท่วี ัดโพธ์ิ และบูชาพระไพรีพินาศ นางบุญธรรม สินธุเดชะ อายุ ๙๑ ปี ชาวตาบลบ้านแพน เล่าเหตุการณ์โดยละเอียดว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เสด็จ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228