บทท่ี ๒ วรรณคดีสมยั อยุธยาตอนต้น อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจกั รของชนชาติไทยในอดีตตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง ๒๓๑๐ นบั ว่า เจริญรุ่งเรืองจนอาจถือได้ว่าเป็นอาณาจกั รที่รุ่งเรืองมง่ั คง่ั ท่ีสดุ ในภูมิภาคสวุ รรณภูมิ ทงั้ ยงั มีความสมั พนั ธ์ ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศนู ย์กลางการค้ าในระดบั นานาชาติ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ป่ นุ เปอร์เซีย รวมทงั้ ชาติตะวนั ตก เช่น โปรตเุ กส สเปน ดตั ช์ (ฮอลันดา) และฝร่ังเศส เคยมีอาณาเขต กว้างใหญ่ไพศาล โดยมีประเทศราชแผ่ขยายไปจนถึงรัฐฉานของพม่า อาณาจกั รล้านนา มณฑลยนู นาน และมณฑลชานซี อาณาจกั รล้านช้าง อาณาจกั รขอม และคาบสมทุ รมลายใู นปัจจบุ นั ๑. ความเป็ นมาของอาณาจักรอยธุ ยา หลงั จากพ่อขนุ รามคาแหงสวรรคตแล้ว เมืองตา่ ง ๆ เร่ิมแข็งเมือง ส่งผลให้ในรัชกาลพญาเลอไท และ รัชกาลพญาไสลือไท ต้องส่งกองทพั ไปปราบหลายครัง้ แต่มกั ไม่เป็นผลสาเร็จ และการปรากฏตวั ขึน้ ของ อาณาจกั รอยธุ ยาทางตอนใต้ซ่ึงกระทบกระเทือนเสถียรภาพของสุโขทยั จนในท้ายที่สดุ ก็ถกู แทรกแซงจาก อยุธยา จนมีฐานะเป็นหัวเมืองของอยุธยาไปในท่ีสุด โดยมี พระมหาธรรมราชาท่ี ๔ (บรมปาล) เป็น ผ้ปู กครองสโุ ขทยั ในฐานะรัฐอิสระพระองคส์ ดุ ท้าย ๑
พ.ศ. ๒๑๒๗ หลงั จากชนะศกึ ท่ีแม่นา้ สะโตงแล้ว พระนเรศวรโปรดให้เทครัวเมืองเหนือทงั้ ปวง (เมือง พระพษิ ณโุ ลกสองแคว เมืองสโุ ขทยั เมืองพิชยั เมืองสวรรคโลก เมืองกาแพงเพชร เมืองพิจิตร และเมืองพระ บาง) ลงมาไว้ที่อยุธยา เพื่อเตรียมรับศึกใหญ่ พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทงั้ หมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลงั จากเทครัวไปเมืองใต้ จึงสิน้ สุดการแบ่งแยกระหว่างชาวเมืองเหนือกับชาวเมืองใต้ และถือเป็นการ สนิ ้ สดุ ของรัฐสโุ ขทยั โดยสมบรู ณ์ การกาเนิดอาณาจกั รอยธุ ยาที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สดุ นนั้ อธิบายว่า รัฐไทยซึง่ มีศนู ย์กลางอย่ทู ี่ กรุงศรีอยุธยาในหุบแม่นา้ เจ้าพระยา เจริญขึน้ มาจากราชอาณาจกั รละโว้ (ซ่ึงขณะนนั้ อย่ใู ต้การควบคมุ ของขะแมร์) และอาณาจกั รสุพรรณภูมิ แหล่งข้อมูลหน่ึงระบุว่า กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ เพราะภัยโรค ระบาดคุกคาม สมเด็จพระเจ้าอู่ทองจึงทรงย้ายราชสานักลงไปทางใต้ ยังท่ีราบลุ่มนา้ ท่วมถึงอันอุดม สมบูรณ์ของแม่นา้ เจ้าพระยา บนเกาะท่ีล้อมรอบด้วยแม่นา้ ซึ่งในอดีตเคยเป็นนครท่าเรือเดินทะเล ช่ือ อโยธยา (Ayothaya) หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร นครใหม่นีถ้ กู ขนานนามว่า กรุงเทพทวารวดีศรีอยธุ ยา ซง่ึ ภายหลงั มกั เรียกวา่ กรุงศรีอยธุ ยา แปลวา่ นครท่ีไมอ่ าจทาลายได้ เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ อยุธยาก็ถูกพิจารณาว่าเป็น ชาติมหาอานาจแข็งแกร่งท่ีสุดใน อษุ าคเนย์แผ่นดนิ ใหญ่ อยธุ ยาเริ่มครองความเป็นใหญ่โดยเร่ิมจากการพิชิตราชอาณาจกั รและนครรัฐทาง เหนือ อย่างสโุ ขทยั กาแพงเพชรและพิษณุโลก ก่อนสิน้ สุดคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ อยธุ ยาโจมตีเมืองพระนคร (อังกอร์) ซ่ึงเป็นมหาอานาจของภูมิภาคในอดีต อิทธิพลของอังกอร์ค่อย ๆ จางหายไปจากลุ่มแม่นา้ เจ้าพระยา และอยธุ ยากลายมาเป็นมหาอานาจใหมแ่ ทน ๑.๒ จุดอ่อนของมหาอาณาจักรอโยธยา แม้จะเป็นมหาอาณาจกั รท่ีรุ่งเรืองและทรงอิทธิพลเพียงใด ราชอาณาจกั รอยธุ ยาก็มีส่ิงท่ีเป็นจดุ อ่อน ตรงท่ีมิได้เป็นรัฐที่รวมเป็นหน่วยเดียวกัน หากเป็นการปะติดปะต่อกันของอาณาเขต (principality) ที่ ปกครองตนเอง และประเทศราชท่ีสวามิภกั ด์ิต่อพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยธุ ยาภายใต้วงกลมแห่งอานาจ (Circle of Power) หรือระบบมณฑล (mandala) ดังที่นักวิชาการบางฝ่ ายเสนออาณาเขตเหล่านีอ้ าจ ปกครองโดยพระบรมวงศานวุ งศ์กรุงศรีอยธุ ยา หรือผ้ปู กครองท้องถิ่นที่มีกองทพั อิสระของตนเอง ที่มีหน้าท่ี ให้การสนบั สนนุ แก่เมืองหลวงยามสงคราม ก็ได้ อย่างไรก็ดี มีหลกั ฐานว่า บางครัง้ ท่ีเกิดการกบฏท้องถ่ินท่ี นาโดยเจ้าหรือพระมหากษัตริย์ท้องถ่ินขนึ ้ อยธุ ยาก็จาต้องปราบปราม การที่มิได้กาหนดกฎการสืบราชสนั ติวงศ์และมโนทศั น์คณุ ธรรมนิยม (meritocracy) อนั รุนแรง ทาให้ เม่ือใดก็ตามท่ีการสืบราชสนั ติวงศ์เป็นท่ีพิพาท เจ้าปกครองหวั เมืองหรือผู้สงู ศกั ด์ิ (dignitary) ที่ทรงอานาจ ๒
จะอ้างคณุ ความดีของตนรวบรวมไพร่พลและยกทพั มายงั เมืองหลวงเพื่อกดดนั ตามข้อเรียกร้อง จนลงเอย ด้วยรัฐประหารอนั นองเลือดหลายครัง้ กรุงศรีอยธุ ยา เป็นราชธานีอยเู่ ป็นระยะเวลาถงึ ๔๑๗ ปี มีกษตั ริย์ปกครองถึง ๕ ราชวงศ์ ดงั นี ้ ๑) ราชวงศ์อทู่ อง (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๙๑๓ และ พ.ศ. ๑๙๓๑ – ๑๙๕๒) มีกษัตริย์ ๓ พระองค์ ๒) ราชวงศ์สพุ รรณภมู ิ (พ.ศ. ๑๙๑๓ – ๑๙๓๑ และ พ.ศ. ๑๙๕๒ – ๒๑๑๒) มีกษัตริย์ ๑๓ พระองค์ ๓) ราชวงศส์ โุ ขทยั (พ.ศ. ๒๑๑๒ – ๒๑๗๒) มีกษตั ริย์ ๗ พระองค์ ๔) ราชวงศป์ ราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๒๓๑) มีกษตั ริย์ ๔ พระองค์ และ ๕) ราชวงศบ์ ้านพลหู ลวง (พ.ศ. ๒๒๓๑ – ๒๓๑๐) มีกษตั ริย์ ๖ พระองค์ รวมมีพระมหากษัตริย์ทงั้ สนิ ้ ๓๓ พระองค์ (หากไมน่ บั ขนุ วรวงศาธิราช) ๑.๓ วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยธุ ยาตอนต้น วรรณคดใี นสมยั อยธุ ยาตอนต้นนี ้เช่ือวา่ มีจานวน (ราว) ๘ เร่ือง ได้แก่ ๑) ลลิ ิตโองการแชง่ นา้ ๒) มหาชาตคิ าหลวง ๓) ลิลิตยวนพา่ ย ๔) ลลิ ิตพระลอ ๕) โคลงกาสรวล ๖) โคลงทวาทศมาศ ๗) โคลงนริ าศหริภญุ ไชย ๘) กาพย์มหาชาติ กรุงศรีอยธุ ยามีอายยุ าวนานถึง ๔๑๗ ปี ชว่ งเวลาที่บ้านเมืองรุ่งเรืองในด้านตา่ ง ๆ พอที่จะเป็นปัจจยั ให้เกิดวรรณคดีอยู่เฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทงั้ ในด้านการปกครอง การทหาร ศาสนาและศลิ ปกรรม ในรัชกาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถและสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒ ทาง วรรณคดีปรากฏหลกั ฐานชดั เจนว่า มีการแตง่ มหาชาตคิ าหลวงขนึ ้ เม่ือ พ.ศ.๒๐๒๕ ตรงกบั รัชกาลสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนลิลิตยวนพ่าย ก็แตง่ ขนึ ้ เพื่อเฉลิมพระเกียรตพิ ระมหากษัตริย์พระองค์นี ้ จงึ สนั นิษฐานว่า อาจจะแต่งขนึ ้ ในรัชกาลของพระองค์ หรือภายหลงั เพียงเล็กน้อย (หลงั รัชกาลสมเดจ็ พระ บรมไตรโลกนาถ คอื รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๒) ๓
นอกจากนีว้ รรณคดีสาคญั เรื่องอื่น ๆ เช่น ลิลิตพระลอ โคลงกาสรวล โคลงทวาทศมาศและโคลง นิราศหริภุญไชย เมื่อพจิ ารณาถึงลกั ษณะคาประพนั ธ์ และถ้อยคาที่ใช้ ก็สนั นิษฐานวา่ นา่ จะเกิดสมยั ร่วม หรือแตง่ ขนึ ้ ในระยะเวลาใกล้เคียงกบั มหาชาตคิ าหลวง และ ลลิ ิตยวนพ่าย หลังจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ บ้านเมืองไม่สงบสุขเน่ืองจากการทาสงครามกับข้าศึก ภายนอกและแตกสามคั คีภายใน เป็นเหตใุ ห้วรรณคดีวา่ งเว้นไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษ วรรณคดี เรื่องแรกท่ีปรากฏหลกั ฐานหลงั รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒ คือ กาพย์มหาชาติ ซง่ึ สมเด็จพระเจ้าทรง ธรรมพระราชนิพนธ์ขึน้ เมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ ต่อจากนนั้ ประมาณ ๓๐ ปี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสามารถเป็น รากฐานให้ เกิดวรรณ คดีได้ อีกระยะเวลาหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชและสมเด็จพระ เจ้าอยหู่ วั บรมโกศ รายละเอียดของวรรณคดที งั้ ๘ เรื่อง มีดงั นี ้ ๑. ลิลิตโองการแช่งนา้ โองการแช่ งน้า นัน้ เรียกด้ วยช่ือต่าง ๆ กัน กล่าวคือ ลิลิตโองการแช่ งน้า (ใช้ ในตาราหรือ แบบเรียน), โองการแช่งนา้ , ประกาศแช่งนา้ โคลง ห้า หรือ โองการแช่งนา้ พระพิพัฒน์สัตยา อย่างไรก็ ตาม ทงั้ หมดนี ้ล้วนแตห่ มายถงึ วรรณคดีเลม่ เดยี วกนั นี ้ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงสนั นิษฐานว่า วรรณคดีเร่ืองนีอ้ าจแตง่ ขนึ ้ ใน สมยั สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอ่ทู อง) ผ้แู ตง่ คงจะเป็นผ้รู ู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธีประพนั ธ์ของไทย เป็นอยา่ งดี สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๑ ทรงเป็นปฐมกษตั ริย์แหง่ กรุงอยธุ ยา สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสนั นษิ ฐานวา่ สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเป็นเชือ้ สายของพระเจ้าสริ ิชยั เชียงแสนแหง่ แคว้นสิริธรรมราช จึงเป็นต้นวงศ์เชียงราย เป็นราชบตุ ร เขยของพระเจ้าอ่ทู อง เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๗ ได้เป็นเจ้าเมืองอ่ทู อง ซง่ึ ขณะนนั้ ขนึ ้ ตอ่ เมืองสโุ ขทยั ตอ่ มาเมื่อเกิด โรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานีมาตงั้ ณ ตาบลหนองโสน แขวงเมืองอโยธยา เม่ือปี พ.ศ.๑๘๙๓ แล้วทรง ขนานนามใหมว่ า่ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยธุ ยา พระองค์ได้รับพระนามใหมว่ า่ สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ ทรง ตงั้ พระองค์เป็นใหญ่ไม่ขึน้ ต่อกรุงสโุ ขทยั นบั ตงั้ แต่สถาปนาราชธานี ในรัชกาลนีร้ าชสานกั อยุธยาได้รับเอา ๔
วฒั นธรรมขอมและพราหมณ์มาใช้เป็นอนั มาก ภาษาไทยในสมยั อยธุ ยานีจ้ ึงเริ่มมีคาเขมร (ซ่ึงรับมาจาก พราหมณ์) เข้ามาปะปนมากขนึ ้ มีการประกอบพิธีถือนา้ พระพิพฒั น์สตั ยา หรือพธิ ีศรีสจั ปานกาล ตามแบบ เขมร ซง่ึ ถ่ายทอดมาจากพราหมณ์อีกตอ่ หนง่ึ ต้นฉบบั ของ ประกาศแช่งนา้ โคลงห้า หรือ ลิลติ โองการแช่งนา้ ที่ยงั เหลืออยเู่ ขียนด้วยอกั ษรขอม ข้อความท่ีเพ่ิมขึน้ ในรัชกาลที่ ๔ ตามหลกั ฐานซ่ึงรัชกาล ที่ ๕ ทรงยืนยนั ไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ \"แทงพระแสงศรประลยั วาต\" \"แทงพระแสงศรอคั นิวาต\" และ \"แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์\" หนงั สือเร่ืองนี ้ นบั ว่าเป็นวรรณคดีเร่ืองแรกของคนไทย ที่แต่งเป็นร้อยกรองอย่างสมบูรณ์แบบ ช่ือเรียกชื่อตา่ ง ๆ กนั ไป ดงั ท่ีได้กล่าวไว้ข้างต้น ต้นฉบับท่ีถอดเป็นอกั ษรไทยจดั เป็นวรรคตอนของคาประพันธ์ไว้ค่อนข้างสบั สน พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เจ้าอยหู่ วั ทรงสอบทานและพระราชวินิจฉยั เรียบเรียงวรรคตอนเสียใหม่ ทว่ งทานองการแตง่ มีลกั ษณะเป็นลิลิต กล่าวคอื มีร่ายกบั โคลงสลบั กนั ร่ายที่ใช้เป็นร่ายโบราณ ส่วน โคลงเป็นโคลงชนิดท่ีเรียกว่าโคลงห้าหรือโคลงมณฑกคติ ส่วนถ้อยคาที่ใช้ส่วนมากเป็นคาไทยโบราณ นอกจากนนั้ มีคาเขมร และบาลี สนั สกฤต ปนอยดู่ ้วย แตพ่ บวา่ คาในภาษาสนั สกฤตมีมากกวา่ ภาษาบาลี วรรณคดีเรื่องนีใ้ ช้อา่ นในพิธี “ถือพระพิพฒั น์สตั ยา” หรือ “พิธีศรีสจั ปานกาล” ซ่งึ กระทาตงั้ แตร่ ัชกาล สมเด็จพระเจ้าอ่ทู องสืบต่อกนั มา ดงั ปรากฏหลักฐานกล่าวไว้ชดั เจนในกฎมนเทียรบาลตงั้ แตส่ มัยกรุงศรี อยธุ ยาวา่ “อน่ึง ลกู ขนุ ผ้ใู ดขาดถือนา้ พระพิพทั โทษถึงตาย ถ้าบอกป่ วย ค้มุ [โทษ] ถ้าลกู ขนุ ผู้ ถือนา้ พิพัท ห้ามถือแหวนนากแหวนทองแลกินเข้ากินปลากินนา้ ยาแลเข้ายาคูก่อนนา้ พระพิพทั ถ้ากินนา้ พระพิพทั จอกหนงึ่ แลยื่นให้แกก่ นั กิน กินแล้วมิได้ใสผ่ ม เหลือนนั้ ล้างเสีย โทษเทา่ นีใ้ นระวางกระบถ” ครัน้ มาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังคงมีพระราชพิธีนีส้ ืบต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยหู่ วั ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนงั สือ พระราชพธิ ีสิบสองเดือน ตอนที่กลา่ วถึงพระราชพิธีเดือนห้า ว่า ด้วยพระราชพธิ ีศรีสจั ปานกาล วา่ การถือนา้ พระพพิ ฒั น์สตั ยาในกรุงเทพฯ นีม้ ีอยู่ ๕ อยา่ ง คอื ๑. ถือนา้ เมื่อแรกพระเจ้าแผน่ ดนิ ขนึ ้ เสวยราชสมบตั ิ ๒. ถือนา้ ปรกตสิ าหรับข้าราชการ ปีละสองครัง้ คือ ในวนั ขนึ ้ สามคา่ เดือนห้า กบั วนั ขนึ ้ สบิ สามค่า เดือนสิบ ๓. ถือนา้ สาหรับผ้ซู งึ่ มาแตเ่ มืองปัจจามิตรเข้ามาส่พู ระบรมโพธิสมภาร ๔. ถือนา้ ทกุ เดือนสาหรับทหารซง่ึ เป็นผ้ถู ืออาวธุ อยเู่ สมอ ๕
๕. ถือนา้ แรกเข้ารับตาแหนง่ ของผ้ซู ง่ึ เป็นที่ปรึกษาราชการ การถือนา้ พระพพิ ฒั น์สตั ยาทงั้ ห้าอยา่ งนี ้จะต้องมีการอา่ นคาสาบานตลอดทวั่ หน้า ไม่ยกเว้น และ คาสาบานแชง่ นา้ นีก้ ็ใช้ตอ่ ๆ กนั มาโดยไมม่ ีการเปลี่ยนแปลงอนั ใด คงจะเน่ืองมาจากเป็นโองการอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิท่ีถือปฏิบตั ใิ นการพระราชพิธี ในเวลาตอ่ มาพระราชพิธีนีไ้ ด้มีการเปล่ียนแปลงไปบ้างตามแตล่ ะยคุ สมยั ของบ้านเมือง และเคยถูก ยกเลิกไปเมื่อครัง้ ที่ประเทศไทยเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบ ประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕ เม่ือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวอานนั ทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอย่หู วั ภมู ิพลอดลุ ยเดชขนึ ้ ครองราชย์ ก็มิได้มีพระราชพิธีถือนา้ พระพิพฒั น์สตั ยา คณะรัฐมนตรีเพียงแต่ กลา่ วคาปฏิญาณตนที่วดั พระศรีรัตนศาสดาราม จนกระทง่ั เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ รัฐบาลมีนโยบายฟื น้ ฟูพระราชพิธีขึน้ อีกครัง้ หน่ึง พระบาทสมเด็จพระ เจ้ าอ ยู่หัวจึงมี พ ระก รุ ณ าโป รด เก ล้ าฯ ให้ ผ น วก พ ระราช พิ ธี นี ใ้ น พ ระราช พิ ธี พ ระราช ท าน เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์อนั มีศกั ดิ์รามาธิบดีแก่ทหารตารวจผ้ปู ราบปรามจลาจล ซึ่งจะกระทาทุกสองปีหรือ สามปี ส่วนโองการแช่งนา้ ที่ใช้ในปัจจบุ นั สานกั พระราชวงั ได้ตดั ทอนและดดั แปลงแก้ไขจากของเดิมให้ เนือ้ ความเหมาะสมกบั สมยั ปัจจบุ นั ยิง่ ขนึ ้ พระราชพธิ ีศรีสจั จปานกาล เสกนา้ พระพฒั น์สตั ยา ณ พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวงั และ พระราชพิธีทรงบาเพ็ญพระราชกศุ ลทกั ษิณานปุ ระทาน ณ พระทน่ี ง่ั อมรินทรวนิ ิจฉยั มไหสรู ิยพิมาน ในพระบรมมหาราชวงั วนั ที่ ๒๗ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๕ ๖
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประกอบพระราชพิธี พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทรง ถือนา้ พระพิพฒั น์สตั ยา ณ พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหา- ร่วมเสวยนา้ พระพพิ ฒั น์สตั ยา ราชวัง พระราชครูวามเทพมุนีประกอบพิธีแช่งนา้ ด้วยการร่ายพระเวท อ่าน โองการแช่นา้ เชิญพระแสงศร พระแสงราชศตั ราวธุ สาคญั พระแสงประจารัชกาล แทงนา้ ในขนั พระสาคร หลงั จากจบพธิ ีแช่งนา้ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกฎุ ราชกมุ าร ทรงถวายสตั ย์ปฏิญาณความวา่ “จะทรงรักษาเกียรติยศและอสิ ริย ศกั ดิท์ พี่ ระราชทานไว้เสมอ” แนวคิดหรือความเช่ือเร่ืองการกระทาสตั ย์สาบานยังมีปรากฏหลกั ฐานเป็นข้อความบนหลกั ศิลาจารึก สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๔๕ มีเนือ้ ความเกี่ยวกบั การสบถสาบานระหวา่ งกษตั ริย์สโุ ขทยั ผ้เู ป็นหลานกบั เจ้าเมืองนา่ นผู้ ป่ ู และถ้อยคาบางตอนคล้ายกบั ลลิ ิตโองการแชง่ นา้ แตก่ ็เป็นการสาบานระหวา่ งบคุ คลเฉพาะกรณี ไม่ใชพ่ ิธี ทางราชการทวั่ ไปกระทาตอ่ พระเจ้าแผ่นดินเป็นการทวั่ ไปอย่างที่กระทากันในสมยั อยุธยา อนึ่งข้อความนี ้ จารึกไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซง่ึ เม่ือสอบทานปี พ.ศ. แล้ว พบวา่ อาจอยใู่ นสมยั พระมหาธรรมราชาที่ ๒ หรือพระ มหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท) ซ่ึงตรงกบั รัชการสมเดจ็ พระราเมศวรแหง่ กรุงศรีอยธุ ยา ขณะนนั้ เป็นช่วงท่ี กรุงสโุ ขทยั เสียอิสรภาพแก่กรุงศรีอยธุ ยาตงั้ แต่ พ.ศ.๑๙๒๑ ดงั นนั้ หากพระราชพิธีสจั ปานกาลเคยกระทาท่ี สโุ ขทยั ก็น่าจะต้องเป็นเวลาภายหลงั ที่กรุงสโุ ขทยั ตกอยใู่ นอานาจปกครองและอิทธิพลทางวฒั นธรรมของ กรุงศรีอยธุ ยาแล้ว ๗
๒. มหาชาตคิ าหลวง คาวา่ “มหาชาต”ิ หมายถึง การเกิดครัง้ ยงิ่ ใหญ่ ของพระโพธิสตั ว์ หมายความวา่ ในพระชาตสิ ดุ ท้าย ที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสนั ดรได้บาเพ็ญบารมี ครบถ้วนทุกประการ ก่อนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก สว่ นคาวา่ “คาหลวง” หมายถึง หนงั สือที่พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชนั้ สงู ทรงนิพนธ์หรือหนงั สือท่ี พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชนั้ สงู ทรงสนบั สนนุ ให้คนอื่นแตง่ เนือ้ หาจะเก่ียวข้องกบั ศีลธรรม ศาสนา ใช้ คาประพนั ธ์หลากหลายมีทงั้ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน และร่าย ใช้สวดเข้าทานองหลวง มหาชาติคาหลวง หากจะพูดถึงเร่ืองเนือ้ หาว่าเกี่ยวกับอะไร ก็จะตอบได้ทันทีว่าแท้จริงคาว่า มหาชาติในที่นีก้ ็คือ เม่ือครัง้ ที่พระพทุ ธเจ้าเสวยพระชาตเิ ป็นกษัตริย์ทรงพระนามวา่ พระเวสสนั ดร หรือที่ ค้นุ ชินกนั วา่ เวสสนั ดรชาดกนน่ั เอง หากแตค่ าประพนั ธ์ที่ใช้นนั้ มีหลากหลายฉนั ทลกั ษณ์ อีกทงั้ ยงั เป็นพระ ราชนิพนธ์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรียกหนังสือที่มีคุณสมบัติสองข้อนีว้ ่า “คาหลวง” ดังท่ีได้กล่าวไว้ ข้างต้นนั่นเอง ซึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระราชนิพนธ์คาหลวงเรื่องท่ีมีเนือ้ หาว่าด้วยเรื่องราวของพระ เวสสนั ดรนี ้ก็คอื สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษตั ริย์พระองคห์ นง่ึ ในสมยั อยธุ ยา หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ระบวุ า่ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประชมุ นกั ปราชญ์ ราชบณั ฑิตเพ่ือแปลต้นฉบบั เดมิ ที่เป็นภาษามคธให้เป็นภาษาไทย และแตง่ ขนึ ้ ท่ีเมืองพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๕ ดงั ปรากฏหลกั ฐานใน พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิต์ิว่า \"ศกั ราช ๘๔๔ ขานศก ท่านให้เล่นการมหรสพ ๑๕ วนั ฉลองพระศรีรตั นมหาธาตุ แล้วจึงพระราชนิพนธ์พระมหาชาติคา หลวงจบบริบรู ณ์ \" ในแตล่ ะกณั ฑ์นนั้ กวีจะแตง่ ด้วยฉนั ทลกั ษณ์ท่ีตา่ งกนั เชน่ ร่ายโบราณ ฉนั ท์ โคลง เป็นต้น และการ แตง่ เรียกว่า “แปลยกศพั ท์” กล่าวคือ ขึน้ ต้นวรรคด้วยภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทยสลับกันไปทุก วรรค เม่ือแตง่ เสร็จแล้วก็โปรดให้นามาอา่ นตรวจทานแก้ไขและคดิ ทานองสวดอยา่ งวจิ ิตรพสิ ดาร มหาชาติคาหลวงนีม้ ิได้มีจดุ ม่งุ หมายในการแตง่ ไว้ให้พระเทศน์ แตแ่ ตง่ ขนึ ้ เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ี กรม ธรรมการ คือ ขุนทินบรรณ าการแล ะขุนธารกานัล พร้ อมกับผู้ช่วยอี ก ๒ คนใช้ สวดถวายให้ พระมหากษัตริย์ทรงฟังทกุ วนั พระ ในระหว่างเข้าพรรษาในวิหารหลวงวดั พระศรีสรรเพชญ์ ทานองสวด ๘
ของแตล่ ะกณั ฑ์ กล่าวกนั วา่ มีกลเม็ดเดด็ พรายในการสวดก็แตกตา่ งกนั ไป ทงั้ หลบเสียง เอือ้ นเสียงเพ่ือให้ ไพเราะพิสดาร ธรรมเนียมการสวดมหาชาตคิ าหลวงยงั คงสืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั ทกุ วนั พระในระหว่างเข้าพรรษาแต่ เหลือสวด เพียงกัณฑ์มหาพนเท่านัน้ ข้าราชการกรมการศาสนาจะแต่งชุดขาวตัง้ เตียงสวดต่อท้าย อาสน์สงฆ์ในพระอโุ บสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม มีกระบะบชู าปักธูปเทียน สมดุ ท่ีใช้บนั ทกึ มหาชาตคิ า หลวงเป็นสมดุ ไทยดาเขียนตวั หนงั สือ ด้วยหรดาลและมีเคร่ืองหมายบอกทานองสวดกากบั ไปทกุ วรรค นอกจากจะสวดถวายพระมหากษัตริย์แล้ว ยงั เป็นวรรณคดีที่นกั สวดซ่ึงเป็นชาวบ้านธรรมดาจะ นาไปสวดให้อบุ าสกอบุ าสิกาฟังเวลาไปอยบู่ าเพ็ญการกศุ ลท่ีในวดั เวลาวนั นกั ขตั ฤกษ์ เชน่ วนั เข้าพรรษา ออกพรรษา หรือเทศกาลอื่น ๆ ซงึ่ ได้กลายเป็นประเพณีไทยอยา่ งหนง่ึ ที่กระทาตอ่ เนื่องมาจนถึงปัจจบุ นั หลงั จากเสียกรุงศรีอยุธยาครัง้ ท่ี ๒ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐ ต้นฉบบั มหาชาติคาหลวงสญู หายไปถึง ๖ กณั ฑ์ ได้แก่ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์ กระทง่ั ในสมยั รัตนโกสินทร์ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประชมุ ราชกวีเพื่อช่วยกนั แตง่ ซอ่ มกณั ฑ์ที่ยงั ขาดหายไป จนกระทง่ั ครบทงั้ ๑๓ กณั ฑ์ตามเดมิ เนือ้ หาของมหาชาติคาหลวงก็คือเรื่องของพระเวสสนั ดร แบ่งเรื่องราวออกเป็น ๑๓ ตอน หรือ ๑๓ กณั ฑ์ เร่ิมตงั้ แต่ กณั ฑ์ท่ี ๑ ท่ีชื่อว่า “กณั ฑ์ทศพร” กลา่ วถึงเหตกุ ารณ์ตงั้ แตพ่ ระพทุ ธเจ้าตรัสรู้ แล้วเสด็จไป เทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ต่อจากนนั้ เสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประยรู ญาติท่ีกรุงกบิลพสั ด์ุ เกิด ฝนโบกขพรรษ พระสงฆ์สาวกกราบทลู อาราธนาให้ทรงแสดงเร่ืองพระเวสสนั ชาดก เริ่มตงั้ แตเ่ ม่ือกปั ที่ ๙๘ นบั เป็นแตป่ ัจจบุ นั พระนางผสุ ดีซ่ึงจะทรงเป็นพระมารดาของพระเวสสนั ดร ทรงอธิษฐานขอเป็นมารดาของ ผ้มู ีใจบญุ จบลงตอนพระนางได้รับพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์กณั ฑ์หิมพานต์ พระเวสสนั ดรทรงเป็นพระ ราชโอรสของพระเจ้าสญั ชยั กบั พระนาวผสุ ดี แห่งแคว้นสีวีราษฎร์ประสูตติ รอกพ่อค้า เม่ือพระเวสสนั ดรได้ เวนราชสมบตั จิ ากพระมารดา ได้พระราชทานช้างปัจจยั นาคแกก่ ษตั ริย์แห่งแคว้นกลิงรางราษฎร์ ประชาชน ไมพ่ อใจ พระเวสสนั ดรจงึ ถกู เนรเทศไปอยปู่ ่าหมิ พานต์ กณั ฑ์ที่ ๒ ทานกณั ฑ์ เล่าถึงเหตกุ ารณ์ก่อนเสดจ็ ไปอยปู่ ่า พระเวสสนั ดรได้พระราชทานสตั ตดกทาน คอื ช้าง ม้า รถ ทาสชาย ทาสหญิง โคนม และนางสนม อยา่ ง ๗๐๐ กัณฑ์ที่ ๓ วนประเวสน์ กล่าวถึงตอนท่ีพระเวสสนั ดรทรงพาพระนางมทั รีพระชายา พระชาลีและ พระกนั หาพระโอรสพระธิดา เสดจ็ จากเมืองผา่ นแคว้นเจตราษฏร์จนเสดจ็ ถึงเขาวงกตในป่ าหมิ พานต์ กณั ฑ์ท่ี ๔ ชชู ก กล่าวถงึ ตอนที่ชชู กผ้เู ป็นพราหมณ์ขอทานได้นางอมิตดาเป็นภรรยา นางใช้ให้ชชู ก ไปขอสองกมุ ารจากพระเวสสนั ดร ชูชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฏร์ สามารถหลบหลีกการทาร้าย ของชาวเมือง พบเจตบตุ ร ลวงเจตบตุ ร ให้บอกทางไปยงั เขาวงกต ๙
กณั ฑ์ท่ี ๕ จลุ พน ชชู กเดนิ ทางผา่ นป่าตามเส้นทางตามที่เจตบตุ รแนะจนถึงทีอย่ขู องอจั จตุ ฤษีกณั ฑ์ มหาพน ชชู กลวงอจั จจุ ฤษี ให้บอกทางผา่ นป่าใหญ่ไปยงั ท่ีประทบั ของพระเวสสนั ดร กณั ฑ์ที่ ๖ กัณฑ์กมุ าร ชชู กทลู ขอสองกมุ าร ทบุ ตีสองกมุ ารเฉพาะพรพกั ตร์พระเวสสันดร แล้วพา ออกเดนิ ทาง กณั ฑ์ท่ี ๗ กัณฑ์มทั รี พระนางมทั รีเสด็จกลบั มาจากหาผลไม้ที่ป่ า ออกติดตามสองกมุ ารตลอดคืน จนถึงทางวิสญั ญีเฉพาะพระพกั ตร์พระเวสสนั ดร เมื่อทรงพืน้ แล้ว พระเวสสนั ดรเล่าความจริงเกี่ยวกับสอง กมุ าร พระนางทรงอนโุ มทนาด้วย กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ พระอินทร์ทรงเกรงว่าจะผู้ที่มาพระนางมัทรีไปเสีย ทรงแปลงเป็น พราหมณ์ชรามาทลู ของพระนางมทั รีแล้วฝากไว้ท่ีพระเวสสนั ดร กัณฑ์ที่ ๑๑ กณั ฑ์มหาราช ชชู กเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญั ชยั ทรงไถ่สองกุมาร ชชู ก ได้รับพระราชทานเลีย้ ง และสนิ ้ ชีพด้วยการบริโภคอาหารมากเกินควร กณั ฑ์ที่ ๑๒ กณั ฑ์ฉกษัตริย์ พระเจ้าสญั ญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหา เสด็จไปทูล เชิญพระเวสสนั ดรและพระนางมทั รีกลบั เมื่อกษัตริย์หกพระองค์ทรงพบกนั ก็ทรงวิสญั ญี ตอ่ ฝนโบกขพรรษ ตก จงึ ทรงฟื น้ ขนึ ้ และสดุ ท้าย กณั ฑ์ท่ี ๑๓ กณั ฑ์นครกณั ฑ์ กษตั ริย์ทงั้ หกพระองค์เสดจ็ กลบั พระนคร พระเวสสนั ดรได้ ครองราชย์ดงั เดมิ บ้านเมืองสมบรู ณ์พนู สขุ มหาชาติคาหลวงมีแนวคดิ ความเช่ือตามหลกั พระพทุ ธศาสนาหรือพทุ ธปรัชญา กลา่ วคือ เป็นการ ม่งุ เน้นให้มนุษย์ละความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยมีเป้าหมายสงู สุดของชีวิตคือการพฒั นาให้ถึง ศกั ยภาพสูงสุด คือ ความพ้นจากทุกข์ทงั้ ปวง ซ่ึงอาจเห็นได้จากเร่ืองราวและเหตกุ ารณ์ที่เกิดขึน้ กับตวั ละครหลกั กล่าวคือ พระเวสสนั ดรที่ยินดีสละสมบตั ิทกุ อย่างเป็นทานบารมี แม้กระทงั่ พระราชโอรส พระ ราชธิดาผ้เู ป็นหนอ่ เนือ้ เชือ้ ไข หรือแม้แตพ่ ระมเหสี ก็ทรงทรงยอมสละได้ อนั แสดงให้เห็นถงึ ความไม่ยดึ ติด สละแล้วซงึ่ ความอาวรณ์และอตั ตาสว่ นตนโดยสิน้ เชงิ นอกจาก มหาชาติคาหลวง จะมีเนือ้ หาเกี่ยวข้องกับพทุ ธศาสนาที่ม่งุ ชีแ้ นะให้มนษุ ย์ปลดปล่อยละ วางเหตแุ หง่ ทกุ ข์อนั มาจากความโลภ การยดึ มนั่ ถือมน่ั ทงั้ หลายแล้ว ยงั เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องวา่ มีคณุ คา่ หลายด้านหลากประการ ดงั นนั้ ๑) คุณค่าด้านภาษา มหาชาติคาหลวงแสดงให้เห็นถึงวิวฒั นาการทางความหมายของคาในสมัยอยุธยา เช่น คา วา่ มารดา และ บตุ ร จะใช้เฉพาะกบั คน แตส่ มยั กอ่ นใช้กบั สตั ว์ก็ได้ ดงั บทประพนั ธ์ที่วา่ . ๑๐
..หนึ่งบตุ รเนือ้ ทราย ขิโรทกบวาย ทรามรักษเสน่หา ยกหชู ูคอ คอยถา้ มารดา เห็นแม่กลบั มา วิ่งเขา้ เชอยชม... ย่ิงไปกว่านนั้ ตวั อย่างคาประพันธ์ข้างต้นนี ้ยงั แสดงให้เห็นถึงวิวฒั นาการทางอกั ขรวิธี ดงั เช่น การสะกดคาบางคาท่ีแตกต่างไปจากการสะกดรูปคาในปัจจุบนั อกั ทงั้ ยงั มีการแผลงคาใช้อย่างอิสระ เชน่ มหาชาตคิ าหลวง ปัจจุบัน สบรรษดี ผสุ สดี แพศยนั ดร เวสสนั ดร กรนนเช้า กระเช้า ศราพก สาวก ๒) คุณค่าด้านคตธิ รรม คติธรรมในมหาชาติคาหลวง คือ การให้ทานเป็นส่ิงประเสริฐ ดงั ท่ีพระเวสสันดรทรงบาเพ็ญ ทานบารมี ตงั้ แตป่ ระสูติจนกระทง่ั ปัจฉิมวยั ความกตญั ญูกตเวทีต่อบพุ การี เป็นคณุ ธรรมอนั สูงส่ง เป็น วฒั นธรรมไทยท่ีบรรพชนได้ปลกู ฝังให้อนชุ นได้ประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามเพ่ือความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ดงั จะ เหน็ ได้วา่ นางอมติ ตดายอมเป็นภรรยาชชู กก็เพราะความกตญั ญตู อ่ พอ่ แม่ เป็นต้น ๓) คุณค่าด้านการให้ความรู้เสริม ก. มหาชาตคิ าหลวงให้ความรู้เก่ียวกบั ป่าหมิ พานต์อนั เป็นความเชื่อของคนสมยั นนั้ ข. มหาชาตคิ าหลวงให้ความรู้เก่ียวกบั พรรณไม้ สตั ว์ป่าตา่ ง ๆ ค. มหาชาตคิ าหลวงให้ความรู้ในด้านสถาปัตยกรรม ได้แก่ เรือนไทยในสมยั กอ่ น ดงั เชน่ ในตอน ท่ีกลา่ วถงึ เรือนของชชู ก เป็นต้น ๔) คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม ก. ด้านการปกครอง เป็นวรรณคดีท่ีชีใ้ ห้เห็นถึงการท่ีประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงในการปกครอง บ้านเมืองของตน และแสดงให้เห็นถึงความคดิ ในการปกครองแบบประชาธิปไตย ๑๑
ข. ด้านวฒั นธรรม มหาชาติคาหลวงชว่ ยให้เข้าใจวฒั นธรรมอินเดียโบราณ กวีได้สอดแทรกชีวิต ความเป็นอยขู่ องคนไทยสมยั นนั้ ตลอดจนความคดิ ความเช่ือไว้ด้วย ๕) คุณค่าด้านอิทธิพลท่มี ีต่อวรรณคดีเร่ืองอ่ืน ๆ มหาชาติคาหลวงทาให้เกิดการเทศน์มหาชาติ ซึ่งสมยั สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ทรงพระราช นพิ นธ์กาพย์มหาชาตเิ พ่ือใช้เทศน์มหาชาตจิ นเป็นประเพณีสืบตอ่ มาจนทกุ วนั นี ้ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ได้ทรงนิพนธ์อธิบายไว้ในฉบบั พิมพ์ครัง้ แรก พ.ศ. ๒๔๖๐ ตอนหนงึ่ วา่ “หนงั สือมหาชาติมีหลายอยา่ งหลายสานวนด้วยกนั อยา่ งอื่น เช่น กาพย์มหาชาติ มหาชาติกลอนเทศน์ หอพระสมดุ ฯ ได้ให้พิมพ์บ้างแล้ว ข้าพเจ้าเคยได้แสดงเร่ืองตานาน และประวตั ขิ องหนงั สือมหาชาติไว้ท่ีอ่ืนหลายแหง่ เห็นควรจะรวมเร่ืองตานานมหาชาตมิ า กล่าวไว้ในคานามหาชาติคาหลวงนีด้ ้วย ด้วยหนงั สือมหาชาติคาหลวงนีน้ บั วา่ เป็ นหลกั หนงั สือมหาชาตอิ ยา่ งอื่น” อีกทงั้ ยงั ได้ทรงกล่าวถึงพระวินิจฉยั เก่ียวกบั การแตง่ และลกั ษณะทางวรรณศิลป์ ท่ีนา่ ยกยอ่ งไว้ด้วย ตอนหนง่ึ วา่ “คงจะเป็นการแต่งประกวดกนั ให้ไพเราะแลให้ความใกล้กับภาษามคธเดิมอย่าง ที่สดุ ที่จะเป็นได้ทงั้ สิบสามกณั ฑ์ จึงเป็นหนงั สือซึ่งนบั ถือวา่ แตง่ ดีอยา่ งเอกมาตงั้ แตค่ รัง้ กรุง เกา่ แม้หนงั สือจินดามณีซ่ึงพระโหราแตง่ เป็นแบบเรียนแตค่ รัง้ แผน่ ดนิ สมเด็จพระนารายณ์ มหาราชก็ยกเอากลอนในหนงั สือมหาชาติคาหลวงนีม้ าเป็นตวั อยา่ งในตาราเรียน เชน่ วา่ “‘ครัน้ เช้าก็หวิ ้ เช้า ชายป่ าเต้าไปตามชาย ลกู ไม้บทนั งาย จางายราชอดยืน อยจู่ รหล่าตอ่ กลางคนื “‘เป็นใดจงึ มาค่า มาดแู คลนนีเ้พ่ือใด” เหน็ กนู ีโ้ หดหืน ๑๒
ตวั อยา่ งบางตอน “นางมทั รีโศกถึงชาลีกณั หา ห สาว ดจุ หงษโปฏก กระเหว่าเล่านนก พลดั แม่สญู หาย อปุ ริปลฺลเล ตกตา่ ติดตม อดนมปางตาย ดจุ แก้วแม่หาย ไม่คอยมารดา เต มิคา วิย อุ กกณฺณา หนึ่งบุตรเนือ้ ทราย มิโรทกบวย ทรามรักษาเสนหา สมนฺตามฺมภิธาวิโน ยกหชู ูคอ คอยถ้ามารดา เห็นแม่กลบั มา ว่ิงเข้า เชอยชม อานนฺทิโน ปมทุ ิตา ว่ิงซ้ายวิ่งเข้ามา ชมรอบ มารดา แล้วเข้ากินนม วคฺคมานาว กมฺปเร ลองเชองเรองไป ให้แม่ช่ืนชม ให้ลืมอารมณ์ ดจุ สองพงงงา ตฺยชฺช ปตฺเต น ปสฺสามิ พระแก้วแม่เอย บุรโพ้นย่อมคอย คอนรับมารดา ชาลิง กณฺหาชนิ จโุ ภ วนนีไ้ ปไหน ไมร่ ู้เหน็ หา โอ้สองพงงงา กณั หาชาลี” กณั ฑ์มทั รี ดงั นนั้ อาจสรุปได้วา่ มหาชาตคิ าหลวงเป็นวรรณคดีอีกเร่ืองหนง่ึ ท่ีมีสานวนโวหารและถ้อยคาไพเราะ เพราะพริง้ อยู่มากเพราะแต่งโดยราชกวีและราชบณั ฑิตหลายคน ทงั้ ยงั มีรสวรรณคดีหลายประการ เช่น ความโศก ความอาลัยรัก ความน้อยใจ และความงามของธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนีย้ ังให้ความรู้ ทางด้านภาษา ทาให้ทราบคาโบราณ คาแผลง และภาษาตา่ งประเทศ เชน่ สนั สกฤต และเขมรเป็นต้น มหาชาตคิ าหลวงแสดงถึงความเล่ือมใสในพทุ ธศาสนา และความเชื่อในบุญกสุ ลที่เกิดจากฟังเทศน์ เร่ืองมหาชาติของคนไทยสืบต่อมาจากสุโขทยั นอกจากนีย้ งั แสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมี พระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง การโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนกั ปราชญ์ราชบณั ฑิตแตง่ มหาชาติ คาหลวง ก็อาจเทียบได้กบั การที่พญาลไิ ททรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมพิ ระร่วงด้วยแรงศรัทธานน่ั เอง ๓. ลลิ ติ ยวนพ่าย มีข้อสนั นิษฐานเกี่ยวกบั เวลาในการแตง่ วรรณคดีเร่ืองนี ้ อยู่ ๒ ประการ ข้อสนั นิษฐานแรก คาดว่าน่าจะแต่งขึน้ ใน รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ. ๒๐๑๗ ซ่ึง เป็นปีเสร็จศกึ เชียงช่ืน แตข่ ้อสนั นษิ ฐานอีกประการหนง่ึ เห็น ว่า น่าจะแต่งในสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ ราว พ.ศ. ๒๐๓๔ – ๒๐๗๒ ๑๓
มีข้อสนั นิษฐานเก่ียวกบั เวลาในการแต่งวรรณคดีเร่ืองนีอ้ ยู่ ๒ ประการ ข้อสนั นิษฐานแรก คาดว่านา่ จะแตง่ ขนึ ้ ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ. ๒๐๑๗ ซึ่งเป็นปีเสร็จศกึ เชียงชื่น แตข่ ้อสนั นิษฐานอีก ประการหนงึ่ เห็นวา่ นา่ จะแตง่ ในสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี ๒ ราว พ.ศ. ๒๐๓๔ – ๒๐๗๒ ใชแ่ ตเ่ พียงระยะเวลาในการแตง่ ท่ีไม่สามารถระบไุ ด้อย่างชดั เจน ประเด็นเร่ืองผ้แู ต่งก็ยงั ไม่มีหลกั ฐาน ใด ๆ ที่จะทาให้สามารถสรุปเรื่องผ้แู ตง่ ได้เป็นข้อยตุ ิ จงึ ได้แต่เพียงสนั นิษฐานว่า ผ้แู ต่งน่าจะต้องเป็นผ้ทู ี่มี ความรู้เร่ืองวรรณคดีสนั สกฤตและพงศาวดารอยา่ งลกึ ซงึ ้ จงึ สามารถแตง่ ได้ดีถงึ เพียงนี ้ ภาพแสดงกระบวนทัพในสมัยอยธุ ยาจากจติ รกรรมฝาผนังวดั ประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา คาประพนั ธ์ท่ีใช้เรียกวา่ “ลิลติ ดนั้ ” กลา่ วคือ เป็นการแตง่ ด้วยฉนั ทลกั ษณ์ประเภทร่ายดนั้ (๒ ตอน) และ โคลงดนั้ บาทกญุ ชร (๓๖๕ บท) ตอ่ มา นกั วรรณคดีไม่นิยมท่ีจะเรียกวรรณคดีเร่ืองนีว้ ่าลิลิต เพราะการแต่ง ไม่ได้มีร่ายดนั้ ประกอบทุกบท มีเพียงร่ายดนั้ นาเพียงตอนราพกเท่านนั้ ภายหลงั นกั วิชาการวรรณคดีจึง เห็นสมควรให้เรียกวรรณคดีเรื่องนีว้ า่ ยวนพ่ายโคลงดัน้ ด้วยเห็นวา่ เหมาะสมกวา่ สว่ นคาว่า “ยวน” ในท่ีนีห้ มายถึง คนล้านนา เพีย้ นมาจาก “โยน” หรือ “โยนก” (หรือที่เรียกกนั สามญั วา่ “ไท-ยวน”) ในสมยั อยุธยานนั้ ยวนก็คือชาวล้านนา ดงั นนั้ ยวนพ่าย จึงแปลวา่ ชาวล้านนาแพ้ เป็นชาว ล้านนาในสมยั พระเจ้าติโลกราชท่ีพ่ายแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ชื่อของ วรรณคดีเร่ืองนีท้ ี่มีมาแต่เดิมว่า “ลิลิตยวนพ่าย” จึงแสดงให้เห็นถึงเนือ้ หาหลกั ที่ว่าด้วยสงครามที่กรุงศรี อยธุ ยามีชยั เหนือไทยเหนือหรือล้านนานน่ั เอง ภาษาท่ีใช้เป็นภาษาไทยโบราณ เขมร สนั สกฤต และบาลี จึงอา่ นเข้าใจได้ยาก ใช้ภาษาท่ีประณีตงดงาม ศพั ท์สูงส่งวิจิตร เต็มไปด้วยชัน้ เชิงสูงด้านการใช้ภาษา เป็นหนังสือท่ีใช้บทพรรณนาโวหารได้ละเอียด ๑๔
ไพเราะงดงาม อีกทงั้ ยงั ให้ความรู้ทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีอย่างมากแก่ผ้อู า่ น และเป็นแบบอย่าง ในการแตง่ ลลิ ิตตะเลงพ่ายของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรสในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ หากจะสรุปเนือ้ หาทงั้ หมดโดยสงั เขปแล้ว จะพบวา่ วรรณคดีเรื่องนีข้ นึ ้ ต้นด้วยร่ายนาเรื่อง ร่ ายนาต้ นเร่ ือง ศรีสิทธิสวสั ดิ์ ชยศั ดมุ งคล วิมลวิบลุ อดลุ ยาดเิ รก เอกภธู รกรกช ทสนชั สมขุ ชลิต วิกสติ สโรดม บรมนพอภิวาท บทรโชพระโคดม สมนพุ ระสทั ธรรมาทติ ย์ บพิตรมหทิ ธิมเหาฬาร … ในช่วงต้นนี ้เป็นการกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า และนาหัวข้อธรรมมาแจกแจงทานองยกย่อง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ทรงรอบรู้หลกั ธรรมนนั้ ตอ่ จากนนั้ กล่าวถึงพระราชประวตั ิของสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ แล้วเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครัง้ เจ้าเมืองเชียงช่ืน (เชลียง) เอาใจออกห่าง นาทัพเชียงใหม่ มาตเี มืองชยั นาท แตถ่ กู สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถตีแตกไป และยดึ เมืองสโุ ขทยั กลบั มาได้ แล้วประทบั อยู่ เมืองพิษณุโลก จากนนั้ ได้ทรงส่งพระราชโอรสไปสืบพระพทุ ธศาสนาที่ลงั กา และนิมนต์พระเถระลงั กาเข้า มา พระองค์ทรงออกผนวชระยะหน่ึง จากนนั้ กล่าวถึงสงครามกบั เชียงใหม่อย่างละเอียดอีกครัง้ หนึ่ง แล้ว บรรยายเหตกุ ารณ์ทางเชียงใหมว่ า่ พระเจ้าตโิ ลกราชเสียพระจริต ประหารชีวิตหนานบญุ เรืองราชบตุ ร และ หมื่นด้งนคร เจ้าเมืองเชียงชื่น ภรรยาหมื่นด้งนครไม่พอใจ ลอบมีสารมาพงึ พระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ และขอทพั ไทยไปช่วย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถยกทพั มาป้องกนั เมืองเชียงช่ืน แล้ว เสดจ็ กลบั ไปรักษาเมืองเชียงใหม่ ทรงกรีธาทพั หลวงไปส้รู บ ตีทพั เชียงใหม่พ่ายไป ได้เมืองเชียงช่ืน ตอน สดุ ท้ายกลา่ วสรรเสริญพระบารมีสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถอีกครัง้ หนง่ึ ประวตั ิและความสาคญั ของหนงั สือเรื่องนีป้ รากฏอย่ใู นคาอธิบายพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ในฉบบั พิมพ์ครัง้ แรก ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ โปรดให้พมิ พ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ วา่ “หนงั สือยวนพ่ายนีน้ ับอย่ใู นหนงั สือซ่ึงแตง่ ดีอย่างเอกในภาษาไทยเรื่องหนึ่ง เป็น เรื่องพงศาวดารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครัง้ เม่ือพระเจ้าติโลกราชเมือง เชียงใหม่ลงมาชิงหัวเมืองฝ่ ายเหนือ ทรงพยายามทาสงคราม จนมีชัยชนะ เอาหัวเมือง เหล่านนั้ คืนมาได้ จึงเรียกช่ือเร่ืองว่า ยวนพา่ ย มีมาแตเ่ มื่อครัง้ กรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานี มา ในชนั้ กรุงรัตนโกสินทร์นี ้สมเดจ็ ฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงแต่งลิลิตพงศาวดารเฉลิม ๑๕
พระเกียรตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชครัง้ ทรงทายทุ ธหตั ถีมีชยั ชนะพระมหาอปุ ราชหงสาวดี อีกเรื่องหนงึ่ จงึ ทรงเรียกช่ือเร่ืองวา่ เตลงพ่าย ให้เป็นคกู่ นั ” “หนงั สือยวนพ่ายนี ้แตง่ เม่ือศกั ราชใด และใครเป็นผ้แู ตง่ หาปรากฏไม่ สงั เกตดโู ดย ทางสานวนดเู ป็นสานวนเก่ามาก ทงั้ ความรู้เร่ืองพงศาวดารในตอนท่ีแตง่ นนั้ ก็รู้ถ้วนถ่ีกว่าท่ี ปรากฏในหนงั สือพระราชพงศาวดารและหนงั สือพงศาวดารเชียงใหม่ เพราะฉะนนั้ น่าจะ แตง่ ในเวลาใกล้กบั เหตกุ ารณ์ท่ีกลา่ วถึง จงึ ยงั สามารถรู้เร่ืองได้ถ้วนถี่ สนั นษิ ฐานวา่ เห็นจะ แต่งในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสวยราชย์ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๐๓๒ จน พ.ศ. ๒๐๗๒ แตส่ งั เกตโดยทางสานวน รู้ได้แนอ่ ยา่ งหนงึ่ ว่า ผู้แต่งลิลิตเรื่องยวนพ่ายนีเ้ ป็ นผู้มีความรู้เช่ียวชาญในทางภาษาและแบบแผน ขนบธรรมเนียมราชการ คงเป็นกวีคนสาคญั ในสมยั เม่ือแตง่ หนงั สือเรื่องนี ้หนงั สือเร่ืองยวน พา่ ยจงึ เป็นท่ีนบั ถือกนั วา่ เป็นตาราเรื่องหนง่ึ ทกุ สมยั สืบมาจนกาลบดั นี”้ ลิลิตยวนพ่าย หรือ ยวนพ่ายโคลงดัน้ ฉบบั ที่ตกทอดมาจนถึงทกุ วนั นี ้มีความสมบรู ณ์ไมไ่ ด้ชารุด หรือถกู แตง่ เติม เหมือนวรรณคดีเร่ืองอ่ืน ๆ ส่วนใหญ่ ดงั เชน่ ท่ีได้กล่าวไปแล้วข้างต้นวา่ ลิลิตยวนพ่าย ใช้ คาโบราณและคาสันสกฤตมากมาย ในเมื่อคาเหล่านีย้ ังไม่ถูกดัดแปลงแก้ไขจากคนชัน้ หลัง จึงเป็น ประโยชน์แต่การศึกษาด้านภาษาอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีถ้อยคาสานวนไม่น้อยที่เข้าใจความหมายได้ยากก็ ตาม และนา่ จะเป็นเพราะลิลติ ยวนพ่ายมีเรื่องสว่ นใหญ่เก่ียวกบั การรบทพั จบั ศกึ จงึ อาจทาให้ขาดรสสวาท หรืออารมณ์สะเทือนใจอนั หลากหลายท่ีเกิดจากการอา่ นวรรณคดีเร่ืองนีไ้ ปบ้าง แตผ่ ้แู ตง่ ก็ยงั สามารถสร้าง รสวรรณคดดี ้านอื่น ๆ อีกหลายด้านเป็นการชดเชยได้เป็นอยา่ งดี นอกจากนี ้ลิลติ ยวนพ่าย ยงั มีคณุ คา่ ในความเป็นวรรณคดีอีกหลากหลายประการ ได้แก่ ๑) ในด้านอิทธิพลตอ่ วรรณคดีรุ่นหลงั ลิลิตยวนพา่ ยมีอิทธิพลตอ่ นกั กวีรุ่นหลงั อยา่ งแนน่ อน จะเห็นได้ จาก ลลิ ิตตะเลงพ่าย ท่ีประพนั ธ์โดยสมเดจ็ พระปรมานชุ ิตชิโนรส ๒) ในด้านอกั ษรศาสตร์ ลิลิตยวนพ่านนบั เป็นวรรณคดียอพระเกียรติเล่มแรก ที่เป็นบทกวี มีสานวน โวหารไพเราะอยา่ งยง่ิ แตก่ ็ยากที่จะเข้าใจเหมือนกนั เพราะเตม็ ไปด้วยศพั ท์คายาก ๓) ในด้านวิถีชีวิต ได้แสดงถึงชีวิตความเป็นอย่ขู องผ้คู นในสมยั อยธุ ยาวา่ นิยมยกยอ่ งพระมหากษัตริย์ ของตนและจงรักภกั ดยี ่ิงนกั ถือวา่ พระมหากษัตริย์เป็นศนู ย์รวมของชาติ ๑๖
๔) ในด้านประวตั ิศาสตร์ ทาให้ได้รู้เรื่องราวเหตกุ ารณ์ความเป็นไปในสมยั นนั้ ได้รู้ถึงการทาสงคราม ระหวา่ งพระมหากษัตริย์ตา่ งเมืองกนั การรบซึง่ ใช้ช้างและม้าเป็นพาหนะ และมีอาวธุ ด้วย ได้แลเห็นว่าชาติ กวา่ จะเป็นชาตมิ าได้ ต้องมีบาดแผลไมน่ ้อยเลย ชีวติ ของชาติ ชีวติ ของคนก็เชน่ กนั ๔. ลลิ ิตพระลอ ผ้แู ต่งและสมัยท่ีแตง่ เพื่อพิจารณาจากร่ายบท นาเรื่อง ซง่ึ กลา่ วสดดุ ีพระเจ้าแผน่ ดนิ กรุงศรีอยธุ ยา ท่ีทรง มีชยั แก่ชาวล้านนาท่ีว่า \"ฝ่ ายช้างยวนแพพ้ ่าย ฝ่ ายช้าง ลาวประลยั ฝ่ายชา้ งไทยชเั ยศคืนยงั ประเทศพิศาล\" ทาให้พอจะสนั นิษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่แตง่ ลิลิตพระลอจะต้องอยภู่ ายหลงั การชนะศกึ เชียงใหม่ครัง้ ใดครัง้ หนึ่ง อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.๒๐๑๗) หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๒๐๕) เมื่อพิจารณาถึงลกั ษณะคาประพนั ธ์ ลิลิตพระลอแตง่ ด้วยลิลิต ซ่ึงเป็นลกั ษณะคาประพนั ธ์ที่นิยม ใช้ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนต้น เช่น ลิลิตโองการแช่งนา้ ลิลิตยวนพา่ ย ส่วนในรัชสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ มหาราชมกั แตง่ โคลงฉันท์เป็นสว่ นมาก เชน่ โคลงเฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระนารายณ์มหาราช สมทุ รโฆษ คาฉนั ท์ และอนิรุทธ์คาฉนั ท์ ลิลิตพระลอยงั ใช้ภาษาเกา่ กวา่ ภาษาในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เช่น คาวา่ \"ชิ่นแล\" และคาวา่ \"แว่น\" ซงึ่ เป็นคาที่มีใช้ในมหาชาตคิ าหลวง วรรณคดใี นสมยั สมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ นอกจากนีห้ นงั สือจินดามณี ของพระโหราธิบดี สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ได้ยกโคลงใน ลิลติ พระลอเป็นตวั อยา่ งโคลงส่ีสภุ าพที่วา่ เสียงฦาเสียงเลา่ อ้าง อนั ใด พี่เอย เสียงยอ่ มยอยศใคร ทวั่ หล้า สองเขือพ่ีหลบั ใหล ลืมต่ืน ฦาพ่ี สองพ่ีคดิ เองอ้า อยา่ ได้ถามเผือ ฯ จากเหตผุ ลดงั กล่าว ทาให้พอสรุปได้วา่ ลิลิตพระลอ จะต้องแตง่ ก่อนสมยั สมเด็จพระนารายณ์ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงพิจารณาคาโคลงเพ่ือสืบค้นหานามผ้แู ตง่ ทรง ๑๗
สงั เกตจากโคลงสองบทท้ายเร่ืองท่ีขึน้ ต้นว่า \"จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์\" และ \"จบเสร็จเยาวราชบรรจง\" จึงทรงสนั นิษฐานวา่ วรรณคดีเร่ืองลิลิตพระลอนี ้อาจจะเป็นวรรณคดีท่ีแต่งขึน้ เพ่ือถวายพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะท่ีผู้แต่งยังเป็นดารงพระยศเป็นพระมหาอุปราช ต่อมา พระมหาอุปราชพระองค์นัน้ ได้รับการ สถาปนาเป็นรัชทายาท เป็นพระเจ้าแผน่ ดนิ ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนต้น อาจเป็นสมเดจ็ พระบรมราชาธิบดี ท่ี ๓ สมเดจ็ พระรามาธิปดที ี่ ๒ หรือ สมเดจ็ พระบรมราชาหนอ่ พทุ ธางกรู ก็เป็นได้ สว่ นข้อสนั นิษฐานอีกฝ่ ายหนึ่งท่ีเห็นวา่ ลิลิตพระลอ น่าจะแตง่ ขนึ ้ ในสมยั พระนารายณ์มหาราช เน่ืองจากพิจารณาจากคาประพนั ธ์ตอนท้ายในเร่ืองที่ว่า \"มหาราชเจ้านิพนธ์\" และ \"สมเดจ็ เยาวเจ้าบรรจง\" ในโคลงสองบทดงั กลา่ วว่านา่ จะหมายถึง สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ และเจ้าฟ้าอภยั ทศ ผ้ทู รงเป็นพระราชอนชุ าทรงเขียน ลิลิตพระลอแต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสภุ าพและโคลงสุภาพ เป็นสว่ นใหญ่ บางโคลงมีลกั ษณะคล้ายโคลงดนั้ และโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณและร่าย ดนั้ คาประพนั ธ์บางตอนแสดงให้เห็นถึงความมงุ่ หมายหรือจดุ มงุ่ หมายในการแตง่ เพ่ือถวายพระเจ้าแผ่นดิน ให้เป็นท่ีสาราญพระราชหฤทยั วรรณคดีเรื่องนีก้ ล่าวถึงเมืองสรวงและเมืองสรองซึ่งเป็นศตั รูกัน พระลอ กษัตริย์เมืองสรวงทรง พระสิริโฉมย่ิงนกั จนเป็นที่ต้องพระทยั พระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชยั พิษณุกร กษัตริย์แห่งเมือง สรอง นางร่ืนนางโรยพระพี่เลีย้ งได้ขอให้ปเู จ้าสมิงพรายช่วยทาเสน่ห์ให้พระลอเสดจ็ มาเมืองสรวง เมื่อพระ ลอต้องเสนห่ ์ได้ตรัสลาพระนางบญุ เหลือพระราชมารดา และนางลกั ษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อม กับนายแก้วนางขวัญพระพ่ีเลีย้ ง พระลอทรงเส่ียงนา้ ท่ีแม่นา้ กาหลง ถึงแม้จะปรากฏลางร้ ายก็ทรงฝืน พระทยั เสด็จตอ่ ไป ไก่ผีของปเู จ้าสมิงพรายล่อพระลอกบั นายขวญั และนายแก้วไปจนถึงสวนหลวง นางร่ืน นางโรยออกอุบายลอบพาพระลอกับนายแก้วและนายขวญั ไปประทับในตาหนกั ของพระเพื่อนพระแพง อยา่ งลบั ๆ ที่สุด ท้าวพิชยั พิษณุกรทรงทราบเรื่องก็กริว้ มาก แตเ่ ม่ือทรงได้พบพระพักตร์ของพระลอก็บงั เกิด พระเมตตาตอ่ พระลอและพระเพ่ือนพระแพงจนความกริว้ โกรธนนั้ หายไปสนิ ้ ทงั้ ยงั ได้รับสงั่ จะจดั การอภิเษก พระลอกบั พระเพื่อนและพระแพงให้ แตพ่ ระเจ้าย่าของพระเพ่ือนพระแพงยงั ทรงพยาบาทพระลอซงึ่ เป็นเชือ้ สายของผู้ที่สังหารพระราชสวามีของตน จึงทรงอ้างรับส่ังท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสส่ังใช้ให้ทหารไปรุมจับ พระลอ พระเพื่อนพระแพงและพระพี่เลีย้ งทงั้ สี่ช่วยกันต่อสู้จนสิน้ ชีวิตทงั้ หมดท้าวพิชยั พิษณุกรทรงพระ พิโรธพระเจ้ายา่ และทหารมาก รับสง่ั ให้ประหารชีวิตทกุ คน พระนางบญุ เหลือทรงส่งทตู มาร่วมงานพระศพ กษตั ริย์สาม ในท่ีสดุ เมืองสรวงและเมืองสรองก็กลบั เป็นไมตรีตอ่ กนั ๑๘
ตัวอย่างคาประพนั ธ์บางตอน ภมู ี พอ่ แล (๑) คงชีพหวงั ได้พง่ึ พอ่ ได้ ดงั ฤา ม้วยชีพหวงั ฝากผี อกนา พอ่ จกั ลีลาจาก ฝากให้ใครเผา ฯ ผีแมต่ ายจกั ได้ เรือนหลวง (๒) เสียงโหยเสียงไห้มี ป่ วยชา้ ขนุ หมื่นมนตรีปวง ทกุ ข์ทวั่ กนั นา เรือนราษฎร์ร่าตีทรวง ยอ่ มนา้ ตาครวญ ฯ เมืองจะเยน็ เป็นนา้ (๓) ร้อยช้ฤู าเทา่ เนือ้ เมียตน เมียแลพ่ นั ฤาดล แมไ่ ด้ ทรงครรภ์คลอดเป็นคน ฤาง่า เลยนา เลีย้ งยากนกั ท้าวไท้ ธิราชผ้มู ีคณุ ฯ (๔) เมืองกว้างช้างม้าซู่ ละเสีย ออ่ นเอย เสียแมเ่ สียเมียมา สนู่ ้อง เสียสนมดจุ ดวงพเยีย งามแง่ งามนา มาแตต่ วั เข้าข้าง ขา่ ยท้าวทงั้ สอง ฯ (๕) พี่พบน้องเพีย้ งแต่ ยามเดียว คือเชือกผสมสามเกลียง แฝดฝัน้ ดง่ั ฤาจะพลนั เหลียว คืนจาก เรียมนา เจ้าจากเรียมจกั กลนั้ สวาทกลนั้ ใจตาย ฯ (๖) ใดใดในโลกล้วน อนจิ จงั คงแตบ่ าปบญุ ยงั เที่ยงแท้ คือเงาตดิ ตวั ตรัง ตรึงแนน่ อยนู่ า ตามแตบ่ ญุ บาปแล้ กอ่ เกือ้ รักษา ฯ ๑๙
(๗) เรานีเ้ราเผา่ ผู้ ภกั ดี ผดิ เทา่ ธุลีกลวั เกลียดใกล้ ผิผดิ กึง่ เกศี แหนง่ วา่ ตายนา ดีกวา่ เป็นคนให้ ทา่ นชีห้ ลงั ตน ฯ การที่ลิลิตพระลอได้เค้าเรื่องมาจากนิทานพืน้ เมือง ทาให้สามารถแสดงให้เห็นถึงสภาพความ เป็นไปของสงั คมในเวลานนั้ อยา่ งเดน่ หลายประการในด้านการปกครองแสดงให้เห็นการปกครองแบบนคร รัฐ คือ เมือง เล็ก ๆ ตงั้ เป็นอิสระแก่กัน อนั เป็นลกั ษณะที่ปรากฏทว่ั ไปก่อนสมยั สโุ ขทัยและกรุงศรีอยุธยา ตอนต้น โดยดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากนีเ้ รื่องพระลอยงั เป็นตวั อยา่ งชดั เจนเก่ียวกบั การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอานาจสงู สุดในการปกครองประเทศตกอย่แู ก่ประมุขผ้เู ดียว เกี่ยวกับลทั ธิความเช่ือของสังคมก็ปรากฏเด่นชัดในด้านภูตผีปีศาจ เสน่ห์ยาแฝดโชคลาง ความฝัน และ ความช่ือสตั ย์จงรักภกั ดีตอ่ พระเจ้าแผน่ ดนิ พระพ่ีเลีย้ งทงั้ ๔ ดงั ปรากฏในสุภาษิตพระร่วง ที่ว่า \"อาสาเจ้า จนตัวตาย\"สภาพสงั คมทั่วไปท่ีเห็นได้จากวรรณคดีเร่ืองนีไ้ ด้แก่ การใช้ช้างทาสงครามและเป็นพาหนะ ความนยิ มและขบั ร้อง และการบรรจพุ ระศพกษัตริย์ลงโลงทองแทนพระโกศอยา่ งในสมยั หลงั ในสมยั รัชกาลที่ ๖ ลิลิตพระลอได้รับการตดั สินให้เป็นยอดแห่งวรรณคดีประเภทลิลิต วรรณคดี เร่ืองนีม้ ีลกั ษณะเดน่ หลายประการ ซง่ึ อาจพจิ ารณาได้จากเหตผุ ลหลายประการ อาทิ ประการท่ี ๑ โครงเร่ือง ประกอบด้วยเหตกุ ารณ์ที่ตื่นเต้น สะเทือนใจตลอด มีตอนรัก ตอนสยดสยอง ประการท่ี ๒ การใช้ถ้อยคาและโวหารคมคาย จงึ เป็นท่ีนยิ มตลอดมา และยงั ถือเป็นวรรณคดีแบบ ฉบบั คือ เป็นแบบครูท่ีวรรณคดีในสมยั หลงั นิยมเลียนอย่างในการพรรณนาและบรรยายขยายความ เช่น ลลิ ิตเพชรมงกุฎและลลิ ติ ตะเลงพ่าย เป็นต้น ๕. โคลงกาสรวล วรรณคดีเร่ืองนีม้ ีชื่อเรียกหลากหลาย เดิมเป็นที่รู้จัก กันในช่ือ “กาสรวลศรีปราชญ์ ” แต่ความก้ าวหน้ าใน การศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและ วรรณคดี ก่อให้เกิดข้อสนั นิษฐานซง่ึ นามาสขู่ ้อสรุปใน ปัจจบุ นั เก่ียวกบั ผ้แู ตง่ สง่ ผลให้มีการเรียกช่ือวรรณคดีเร่ืองนีเ้สียใหม่ ทงั้ “กาสรวลโคลงดนั้ ”, โคลงกาสรวล” และ “กาสรวลสมทุ ร” ๒๐
เดิมเคยเช่ือกนั มาแตเ่ ดิมว่า “ศรีปราชญ์” ราชกวีคนหนึ่งในราชสานกั อยธุ ยาเป็นผ้แู ตง่ วรรณคดีเรื่อง นี ้ได้ถกู เนรเทศไปนครศรีธรรมราชในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหญิงที่ศรีปราชญ์คร่าครวญ อาลัย คือ พระสนมศรีจุฬาลักษณ์ แต่ภายหลังมีผู้ออกความเห็นค้านความเช่ือดังกล่าวว่าเรื่องโคลง กาสรวลไมไ่ ด้เกี่ยวข้องกบั เมืองนครศรีธรรมราช แตก่ ลา่ วถงึ เส้นทางการเดินทางจากกรุงศรีอยธุ ยาไปสดุ แค่ จงั หวดั ประจวบคิรีขนั ธ์ ทงั้ ไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ร้อนและมลู ที่ต้องเนรเทศ เมื่อพิจารณาถึงลกั ษณะคา ประพนั ธ์และถ้อยคาสานวนภาษาที่ใช้แล้ว จะเห็นวา่ โคลงกาสรวลนี ้มีความเป็นไปได้ที่จะแตง่ ขึน้ ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนต้น สจุ ิตต์ วงษ์เทศ ได้อธิบายประเดน็ เร่ืองผ้แู ตง่ โคลงกาสรวลนี ้ไว้ในบทความ \"ศรีปราชญ์ไม่มีตัวตน จริง และไม่ได้แต่งกาสรวลศรีปราชญ์” ในคอลมั น์ สยามประเทศไทย วารสารศลิ ปวัฒนธรรม วา่ “ศรีปราชญ์แตง่ โคลงกาสรวลศรีปราชญ์และอนริ ุทธคาฉนั ท์ ใคร ๆ ก็เรียนมาอย่าง นีแ้ ละรู้มาอย่างนี ้ผมเองก็เรียนและรู้อย่างนนั้ ไม่ผิดเพีย้ น ยงั เคยลงไปสารวจถึง สระล้าง ดาบ เลม่ ท่ีฆา่ ศรีปราชญ์ เมืองนครศรีธรรมราช ตอ่ มาอีกนานถึงได้อ่านหนงั สื่อชื่อ กาสรวญศรีปราชญ์ - นิราศนรินทร์ โดย พ.ณ. ประมวญมารค พิมพ์ครัง้ แรก พ.ศ. ๒๕๐๒ เกือบ ๕๐ ปีแล้ว จนได้เฝา้ หมอ่ มเจ้าจนั ทร์ จิรายุ รัชนี \"ท่านจันทร์\" ถึงได้รู้ว่าเป็นนามปากกาของท่าน แล้วทรงเมตตาให้ถกถาม รายละเอียดเพ่มิ เตมิ เป็นครัง้ คราว บรรดานกั ปราชญ์กบั นกั ค้นคว้า รวมถึงนกั วิชาการเกือบหมดประเทศ ตา่ งเช่ือถือ แล้ วแต่ง \"ตารา\" ใช้ สอนในสถาบันทุกระดับว่า ศรีปราชญ์ แต่งกาสรวลศรีปราชญ์ แต่ พ. ณ ประมวญมารค (หม่อมเจ้าจนั ทร์จิรายุ รัชนี) คดั ค้านเร่ืองนีไ้ ว้นานแล้ว วา่ ศรีปราชญ์ไมไ่ ด้แตง่ กาสรวลศรีปราชญ์ ทรงมีพระนพิ นธ์เป็นหนงั สือเลม่ โต พมิ พ์ครัง้ แรก เมื่อ พ.ศ.2502 มีความตอนหนงึ่ โดยสรุปวา่ \"ข้าพเจ้าจะแสดงจากตวั บทกาสรวลวา่ ปฏิภาณกวีในสมยั พระนารายณ์ ที่เรารู้จกั กนั วา่ ศรีปราชญ์ มไิ ด้แตง่ นริ าศท่ีเรารู้จกั กนั วา่ กาสรวลศรีปราชญ์\" พ.ณ. ประมวญมารค เรียกช่ือวรรณคดีนีว้ า่ กาสรวลสมทุ ร (ตามชื่อในจินดามณี) แทนชื่อเรียกผิด ๆ วา่ กาสรวลศรีปราชญ์ โดยมีพยานหลกั ฐาน และลกั ษณะกวีโวหาร ฉนั ท ลกั ษณ์ รวมถึงประวตั ิศาสตร์โบราณคดที ี่กรุงศรีอยธุ ยา สอดคล้องกนั วา่ กาสรวล เป็นพระ ราชนิพนธ์ใน สมเดจ็ พระบรมราชาธิราช (พระโอรสในสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ) ๒๑
หลงั ทาพจนานกุ รมฉบบั มติชนเสร็จแล้ว ผมเลยอาราธนาอาจารย์ ล้อม เพ็งแก้ว และคณะ ชว่ ยเอาเวลาว่าง ๆ ชาระกาสรวลสมทุ รขนึ ้ ใหม่อีกครัง้ เสร็จแล้วได้พิมพ์เป็นเล่ม ให้ชื่อ กาสรวลสมทุ ร หรือ กาสรวลศรีปราชญ์ เป็นพระราชนิพนธ์ยคุ ต้นกรุงศรีอยธุ ยา โดย สรุปว่า \"ศรีปราชญ์\" ไม่มีตัวตนจริง และไม่ได้แต่ง \"กาสรวลศรีปราชญ์\" โดยรวบรวม เอกสารท่ีเป็นพยานหลกั ฐานเก่ียวข้องมาพิมพ์รวมไว้หมด ความทรงจาเรื่องศรีปราชญ์มีขึน้ จากความพยายามยกย่องของ พระยาตรัง กวี สมยั ต้นกรุงเทพฯ แผ่นดนิ รัชกาลท่ี ๑ – ๓ ท่ีประวตั ิสว่ นตวั ใกล้เคยี งกบั \"ตานานศรีปราชญ์\" ของ พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) แต่งขึน้ ใหม่เมื่อเรือน พ.ศ. ๒๔๖๒ แผ่นดินรัชกาลท่ี ๖ นีเ้ อง แต่เราเอามายึดเป็นเร่ืองจริงทัง้ หมด แล้วบรรจุเป็นตาราว่า ถกู ต้องทกุ อยา่ งจนปัจจบุ นั สถาบนั การศกึ ษาทั่วประเทศ ควรเผยแพร่แบ่งปันความรู้ที่มีพยานหลกั ฐานจริง ๆ และรอบด้าน ไมค่ วร \"ยกเมฆ\" ท่ีนามาฝากทัง้ หมดก็เป็นการแสดงความคิดเห็น ยังไม่ใช่คาตอบที่ถูกหรือผิด ดงั นนั้ ขอให้ท่านผ้อู ่านแสดงความคิดเห็นได้ตามสะดวก ถือเป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้นะ ครับ” นอกจากบทความข้างต้นนีแ้ ล้ว สจุ ิตต์ วงษ์เทศยงั ได้เขียนไว้ใบบทความอีกเรื่องหนึ่ง ช่ือ \"กาสรวล สมุทร หรือ กาสรวลศรีปราชญ์ เป็นพระราชนิพนธ์ยุคต้นกรุงศรีอยุธยา\" ใน วารสารศิลปวัฒนธรรม เนือ้ หาจะสรุปว่า ศรีปราชญ์ไม่มีตวั ตนและวรรณคดีโคลงดนั้ ทัง้ ๓ คือ ยวนพ่าย (แต่งประมาณ พ.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๕) กาสรวลสมุทร (แต่งประมาณ พ.ศ.๒๐๒๕-๒๐๓๐ (หรือ ๓๔) และทวาทศมาส (แต่ง ประมาณ พ.ศ.๒๐๒๗-๒๐๓๑) ทงั้ หมดน่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ของ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ที่ ๓) โดย มี ขนุ พรหมมนตรี ขนุ ศรีกวีราช ขนุ สารประเสริฐ เป็นขนุ นางท่ีชว่ ยเกลาคาประพนั ธ์ให้ไพเราะเหมาะสม โคลงกาสรวลแต่งด้วยโคลงดนั้ บาทกุญชร บทแรกเป็นร่ายดนั้ มีร่าย ๑ บท โคลงดนั้ ๑๒๙ บท เนือ้ หาหลกั กลา่ วถึงการแสดงความเจ็บปวดอาลยั ที่ต้องจากคนรักเพราะผ้แู ตง่ ต้องเดนิ ทางจากไป คาประพนั ธ์ในวรรณคดีเร่ืองนี ้เร่ิมด้วยร่ายสดดุ ีกรุงศรีอยธุ ยาว่ารุ่งเรืองงดงาม เป็นศนู ย์กลางแห่ง พทุ ธศาสนา ราษฎรสมบรู ณ์พนู สขุ ตอ่ จากนนั้ กล่าวถึงการท่ีต้องจากนาง แสดงความหว่ งใย ไมแ่ นใ่ จวา่ ควร จะฝากนางไว้กบั ผ้ใู ด เดนิ ทางผ่านตาบลหน่งึ ๆ ก็ราพนั เปรียบเทียบช่ือตาบลเข้ากบั ความอาลยั ท่ีมีตอ่ นาง ตาบลที่ผา่ น เชน่ บางกะจะ เกาะเรียน ดา่ นขนอน บางไทรนาง บางขดาน ยา่ นขวาง ราชคราม ทงุ่ พญา เมือง ทะเลเชิงราก นอกจากนีไ้ ด้นาบุคคลในวรรณคดีมาเปรียบเทียบกับเหตกุ ารณ์ในชีวิตของตน เกิด ๒๒
ความทกุ ข์ระทมท่ียงั ไม่ได้พบนางอีกอย่างบุคคลในวรรณคดีเหล่านนั้ โดยกล่าวถึง พระรามกบั นางสีดา พระสตู รธนู (สธุ น)ู กบั นางจิราประภา และพระสมทุ รโฆษกบั นางพษิ ทมุ ดีวา่ ตา่ งได้อยรู่ ่วมกนั อีก ภายหลงั ท่ีต้องจากกนั ชว่ั เวลาหนง่ึ การพรรณนาสถานที่สนิ ้ สดุ ลงโดยที่ไมถ่ งึ นครศรีธรรมราช ตวั อย่างคาประพันธ์บางตอน (๑) อยธุ ยายศยง่ิ ฟา้ ลงดนิ แลฤา อานาจบญุ เพรงพระ กอ่ เกือ้ เจดียลอออนิ ทร ปราสาท ในทาบทองแล้วเนือ้ นอกโสม ฯ จยนจนั ทร์ แจม่ แฮ (๒) พรายพรายพระธาตเุ จ้า คา่ เช้า ไตรโลกยเลงคือโคม รุจิเรข เรืองเฮ พิหารรบยงบรรพ นง่ งเนือง ฯ ทกุ แหง่ ห้องพระเจ้า (๓) โฉมแมจ่ กกฝากฟา้ เกรงอินทร์ หยอกนา อินทรทา่ นเทอกโฉมเอา สฟู่ ้า โฉมแมจ่ กกฝากดนิ ดนิ ทา่ น แล้วแฮ ดนิ ฤาขดดเจ้าหล้า สสู่ สองส ฯ (๔) โฉมแมฝ่ ากนา่ นนา้ อรรณพ แลฤา ยยวนาคเชอยชอก พี่ไหม้ โฉมแมร่ าพงึ จบ ไตรโลก โฉมแมใ่ ครสงวนได้ เทา่ เจ้าสงวนเอง ฯ จากตวั อย่างคาประพนั ธ์บางตอนข้างต้นนี ้จะเห็นวา่ มีใช้คาและอกั ขรวิธีแบบภาษาโบราณ มีทงั้ ภาษาถิ่น ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤตและภาษาเขมรอย่มู าก คาประพนั ธ์ท่ีร้อยเรียงกนั เหล่านีไ้ ด้แสดงให้ เห็นความวิจิตรตระการตาของปราสาทราชวัง และวัดวาอารามของกรุงศรีอยุธยา ความเป็นอยู่ของ ๒๓
ประชาชนในด้านการแตง่ กาย อาหารการกิน การเล่นร่ืนเริง และสภาพภมู ิศาสตร์เส้นทางการเดนิ ทางของ กวี โคลงกาสรวล มีถ้อยคาสานวนโวหารท่ีคมคายจบั ใจ แสดงความเป็นต้นคดิ หลายตอน ทาให้กวี รุ่นหลงั พากนั เลียนแบบ เช่น ตอนชนเมือง และตอนฝากนาง นอกจากนีย้ งั ให้ความรู้เก่ียวกบั วรรณคดีเรื่อง อื่น ๆ บางเร่ือง เช่น รามเกียรติ์ สมุทรโฆษคาฉันท์ นบั ว่าเป็นต้นฉบบั แห่งขนบนิยมของการแต่งนิราศ ส่ง อทิ ธิพลตอ่ วรรณคดีนิราศในสมยั ตอ่ มา ซงึ่ จะเห็นได้อยา่ งชดั เจนโดยเฉพาะ นิราศนรินทร์ ซึง่ เป็นวรรณคดี สมยั รัตนโกสินทร์ตอนต้น ตัวอย่างคาประพนั ธ์ตอนอ่ืนๆ แรมรักษ์ แลน่ ให้ หน้าเจ้าช้ชู ้อยฉาบ เสาวภาค กเู อยย สาวสื่อมาพลางลืม สง่ งเทา ฯ บาศรีจฬุ าลกั ษณ์ รยมรยกฝงู เข้าใกล้ อารักษ์ ทา่ นฮา บอกบ้าง เดชานภุ าพเรือ้ ง ยศยิ่ง พ้นู แม่ รักเทพจาสารโดย โอส่ าร ฯ บาศรีจฬุ าลกั ษณ์ ไปยอ่ มโหยให้อ้าง ษีดา เศกได้ เพรงพลดั นรนารถสร้อย พดั จาก จยรแฮ ยงงขวบคืนสสอง สสู่ สองส ฯ สทุ ธนปู ระภาฟอง ยงงคอบคืนหว้ายได้ ๖. โคลงทวาทศมาส จากคาประพนั ธ์ชว่ งท้ายในโคลงบทที่ ๒๕๘ – ๒๖๑ ซง่ึ ปรากฏเป็นข้อความวา่ ๒๔
๒๕๘ จบเสร็จกลา่ วกาพย์เกลีย้ ง กลอนการ คอื มณีมาไลย เรียบร้ อย เปนเฉลมิ กวีสาร เสาวนิศ รัตนมณีมาลย์สร้ อย เษกสร้อยสวมกรรณ ฯ ๒๕๙ บทใดบถ่องแท้ โดยอรรถ ก็ดี เชญิ กวีวานสรรค์ เษกสร้ อง จงเปนมไหสวสั ด์ิ ดเิ รก บทสิง่ ใดขดั ข้อง อา่ นซา้ ยาไฉน ฯ ๒๖๐ การกลอนนีต้ งั้ อาทิ์ เยาวราชสามนต์ไตร กวี หนง่ึ นา ขนุ พรหมมนตรีศรี แผน่ หล้า สารประเสริฐฦาช้า กวีราช ชว่ ยแกล้งเกลากลอน ฯ คาประพนั ธ์นี ้กล่าวถึงผู้แต่งและผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการแต่ง กล่าวคือ “พระเยาวราช” คือผู้ที่ แตง่ โคลงทวาทศมาสโดยมี “ขนุ พรมมนตรี”, “ขนุ กวีราช” และ “ขนุ สารประเสริฐ” เป็นผ้ชู ว่ ยเหลือ ขดั เกลา ถ้อยคาสานวนโวหาร ก่อนหน้านี ้ประเด็นเร่ืองผ้แู ตง่ นนั้ มีการสนั นิษฐานผ้แู ต่งตา่ งกันไป เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสนั นิษฐานวา่ ผ้แู ตง่ คือ ขนุ ศรีกวีราช ขนุ พรหมมนตรี และขนุ สารประเสริฐ บางท่านว่า พระเยาวราช ทรงนิพนธ์ ท่ีเหลือช่วยแก้ไข ส่วนพระยาตรังคภูมิบาล และนายนรินทรธิเบศร กลา่ วแตเ่ พียงสามคนร่วมกนั แตง่ คาประพนั ธ์ท่ีใช้คือ ฉนั ทลกั ษณ์ประเภทโคลงชนิดหน่งึ ท่ีมีช่ือเรียกว่า “โคลงดนั้ วิวิธมาลี” สนั นิษฐาน วา่ แตง่ ขนึ ้ เพ่ือเฉลิมพระเกียรตพิ ระเจ้าแผ่นดิน โดยที่กวีมิได้พลดั พรากจากนางจริง เพียงแตเ่ ป็นการสมมติ ขึน้ ว่าตนได้พลดั พรากจากนางอนั เป็นที่รัก ซึ่งหากจะพิจารณาวา่ โคลงทวาทศมาสจดั เป็นวรรณคดีนิราศ เพราะมีการบรรยายและพรรณนาถึงความโศกเศร้ าอาดูรที่ต้องจากนาง วรรณคดีเร่ืองนีก้ ็จะถือเป็น วรรณคดีนิราศท่ีมีจดุ เดน่ แตกตา่ งจากนิราศเรื่องอื่นอยา่ งชดั เจน เพราะกวีมิได้พลดั พรากจากนาง ห่างไกล กนั เพราะระยะทาง หากแตเ่ ป็นเพราะกาลเวลาท่ีเดินทางเปลี่ยนผนั ไปในรอบ ๑ ปี ท่ีเป็นสาเหตใุ ห้กวีต้อง อยหู่ า่ งจากนางอนั เป็นท่ีรัก ๒๕
เหตทุ ่ีโคลงเร่ืองนีไ้ ด้ช่ือว่าทวาทศมาส เพราะพรรณนาถึงความรักความอาลยั รักของกวี ท่ามกลาง ความเปล่ียนแปลงของฤดกู าล ประเพณีและพิธีกรรมตา่ ง ๆ ในรอบสิบสองเดือน “ทวาทศมาส” แปลว่าสิบ สองเดือน เนือ้ หาในตอนต้น เป็นการเร่ิมเรื่องด้วยการสรรเสริญเทพเจ้าและพระเจ้าแผ่นดิน ดงั ตัวอย่างคา ประพนั ธ์วา่ ๑ ศรีสวสั ดกิ์ มลาสลา้ เลอสรวง พลู ภิรมย์นาภี สอ่ งสร้อย ไตรรัตนจฑุ าดวง กมลาส บานเบิกบงกชช้อย ชอ่ มาลย์ฯ ๒ จกั รีจกั รกฤษณเกล้า จกั รพรรดิ เสวยภิรมย์สงสาร เษกสร้ อง กามาฤดีรัตน์ รมเยศ รมยวิธีธารคล้อง หว่ งกาม ฯ ๓ เทวาเทเวศถ้วน เทวินทร์ เสวยสขุ รมย์ย่ายาม ยว่ั เย้า วไิ ลวลิ าพนิ ท์ุ เพาโพธ สขุ ภิรมย์สมเหน้า แนง่ มาลย์ ฯ ๔ จกั รพาฬภวู นาถเกล้า กรุงกษตั ร ผายผา่ นภดุ าธาร แผน่ แผ้ว ภวู ไนยวนานตั ว์ กมทุ มาศ โอนมกฏุ ิเกล้าแก้ว เกือบเศยี ร ฯ ๕ รังสฤษฎิรังเรขไท้ ทรงทศ ธรรมวิมลพงึ เพียร แผน่ หล้า เสวยสวรรค์สโุ สฬศ เลื่องโลก บลบ่าบวงสรวงหม้า ใหมศ่ รี ฯ จากนนั้ จงึ เริ่มกลา่ วถึงนางอนั เป็นที่รักของตน เป็นการชมความงามของนางที่ต้องจากมา อีกทงั้ ยงั คร่าครวญคานงึ ถึงความสขุ อนั รื่นรมย์ในยามที่เคยได้ใกล้ชิดกนั อยา่ งลกึ ซงึ ้ ๒๖
๖ ดวงเดียวยพุ โยคพ้น พรรณนา สงวนม่งิ มาลย์จาวจี แกลก่ ลา้ อาลงิ ค์บงั อรสา รสเรข ฤาหอ่ นเอองค์กา้ กงึ่ ยาม ฯ ๗ เรียมรักรัตนน้อง นางเดียว เบญจฤดีดษั กาม เกลศกลวั ้ สงวนศรีสมุ าลย์เกลียว กลมสวาท เยียวราเพยพานดวั ้ ดว่ นหมอง ฯ ๘ สงวนสร้อยเสาวภาคย์เนือ้ นวลนาง ฤาหอ่ นนาสาสอง หา่ งหนั้ ในทิพย์บรรจฐรณ์กลาง ชนม์ชีพ ฤาหา่ งองคแ์ ก้วกนั้ กงึ่ กร ฯ ๙ บไ่ กลอกอาสน์อ้า อกองค์ หนง่ึ เลย ฤาดว่ นมาจาจร จากข้าง คดิ ศรีสมบรู ณ์บง กชมาศ กเู อย รสภิรมย์แรมร้ าง เร่งตรอม ฯ ๑๐ เรียมคิดสงั วาสรู้ รสรมย์ ดวงเสียดดวงเดยี วจอม จอดเจ้า คดิ ปางพโิ ดรฉม พกั เตรส ฤาหอ่ นเอองค์เคล้า คลาศยาม ฯ ๑๑ เรียมคดิ พเิ ศษช้อย ชวิ หา รนฤดีดษั กาม ก่อเกือ้ ถวลิ ทิพย์สนุ าสา เสาวณิศ เนือ้ แนบนวลนชุ เนือ้ แนบใน ฯ ๑๒ คิดเคยประพาศเพีย้ ง ภชุ เคนทร์ กรกระหวดั ดวงได กอดเกีย้ ว วิไลยวิลาเรนทร์ รสราค ๒๗
ดกึ ดาฤษณ์เลือ้ ยเลีย้ ว กอดไกร ฯ ๑๓ คิดคลงึ บวั มาศสร้อย สระศรี ผลิดดอกบษุ บาใน แบง่ ไว้ คดิ ชมมง่ิ มาลี ไลยเลศ แบะผกาเกลียวใต้ ต่าเมรุ ฯ ๑๔ คดิ เคยเยาวราชท้าว พาลสอง โสดแฮ แนบกาโบลปรางเปรม เปรียบแก้ม คดิ สนิ ธ์ุภชุ คฉ์ ลอง บวั มาศ ตฤบเตรียมรสยา้ แย้ม ยอ่ งกาม ฯ ๑๕ คิดสร้อยสาโรชแก้ว บวั บง บดั แบง่ ใบย่ายาม กลีบแกล้ง ภ่พู รรณตฤบรสสรง สระมาศ ทรงสคุ นธ์ธารแสร้ง สอดสม ฯ นอกจากนี ้ยงั กล่าวถึงตวั ละครในวรรณคดีหลายเร่ือง เช่น พระอนิรุทธ์ พระสมุทรโฆษ พระสธุ นู เป็นต้น จากนนั้ กวีได้แสดงความน้อยใจท่ีตนไมอ่ าจกลบั คนื ไปอยรู่ ่วมกบั นางอีกอย่างบคุ คลเหลา่ นนั้ ๒๑ ปางบตุ รนคเรศไท้ ทศรถ จากสีดาเดียวลี ลาสแล้ว ยงั คนื สเู่ สาวคต ยพุ ราช ฤาอนชุ น้องแคล้ว คลาศไกล ฯ ๒๒ ศรีอนิรุทธราสร้าง แรมสมร ศรีอสุ าเจียรไคล คลาศแคล้ว เทวานราจร จาจาก ยงั พร่าน้าวน้องแก้ว คอบคืน ฯ ๒๓ สมทุ รโฆษเริศร้าง แรมพนิ ทมุ ดีดาลฝืน ใฝ่ เต้า ปางเจบ็ ชางือถวิล ลวิ โลด ๒๘
ยงั พร่าน้าวน้องเหน้า ร่วมเรียง ฯ ๒๔ พระศรีเสาวเลขสร้อย สธุ น จากมโนราห์เคยี ง คดิ น้อง ยงั เสดจ็ ไพรสณฑ์ สงั วาส สงั เวชนงคน์ ชุ คล้อง เคลือกองค์ ฯ ๒๕ ปราจิตตเ์ จียรเหน้าหนอ่ อรพนิ ท์ พระพิราไลยปลง ชีพแล้ว คนื สมสดุ าจนิ รสร่วม กนั นา กรรมแบง่ กรรมแก้วแก้ว ชว่ ยกรรม์ ฯ ๒๖ ปางศลิ ปปรเมศร์ท้าว สธุ นู จากสมเดจ็ นชุ จนั ทร์ แจม่ หน้า เจียรัปประภาตรู เตราสวาท ยงั พร่าน้าวน้องเข้า คอบสมร ฯ ตอนตอ่ ไปเป็นการกล่าวถึงลมฟ้าอากาศในรอบปีหน่ึง ๆ โดยเริ่มกล่าวตงั้ แต่เดือน ๕ ถึง เดือน ๔ มาพรรณนา เดือนใดมีประเพณีพิธีใดก็นามากล่าวไว้อย่างละเอียดละออ เช่น เดือนสิบเอ็ดมีพิธีอาศวยุช เดือนสิบสองมีพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เดอื นย่ีประกอบพธิ ีตรียมั ปวาย และเดือนสี่กระทาพิธีตรุษ เป็น ต้น ๑๐๓ เดอื นสิบถถนั่ แท้ เททรวง พี่แม่ เดือนยาตรมาเยียวหยิบ แมผ่ ้าย เรียมโหยรลงุ ลวง ลาญสวาท ละพ่ีเดยี วให้หว้าย โศกศลั ย์ ฯ ๑๐๗ แม้ม้วยบรเมศรไท้ ทนิ กร ก็ดี สนิ ้ สดุ พระเมรุเอน ออ่ นล้ม สามภพเป่ือยเป็นบร นรนาศ ก็ดี เจ็บไป่ ปานน้ องล้ ม หลอ่ องค์ ฯ ... ๒๙
๑๑๒ พาลแขไขแขง่ แย้ม ตรูตรัส อาสยชุ ดลเดือนเคย แนบน้อง ฤามานริ ารัตน์ ชาเยศ สบประชาชลซร้ อง คร่าสนิ ธ์ุ ฯ ๑๑๓ มาสาสาวเลขนา้ นองใน ฝั่งนทีธารถวิล แกแ่ ก้ว นาเวศประภาไสว ขบั แขง่ กนั นา โอ้อนชุ น้องแคล้ว คลาศกู ฯ ๑๑๔ สรมขุ ไมยมาศแต้ม ตรูตรัส ศรีสมรรถไชยตรู เตรียบฟา้ พายค่าจารัสแครง ใสส่ อ่ ง หมกึ สกั หลงั รัง้ หน้า ฮดึ ฮือ ฯ ตอ่ จากนนั้ เป็นการถามขา่ วคราวของนาง เรียงลาดบั จาก ปี เดอื น วนั และยาม ๑๕๓ ลมพดั เผยอข่าวด้วย ลมเฮย ลมแลน่ รับขวญั บนิ บา่ ไส้ เรียมรักร่ายงั เลย ลาญสวาท สารสง่ วา่ ววานให้ แมม่ า ฯ ๑๕๔ วา่ วรับขา่ วแล้วว่าว บนิ บน ลมสง่ สายทรุงพา วา่ วหว้าย เรียมฟังขา่ วนชุ ฉงน ไฉนอยู่ วา่ วบบ่ อกสารหน้าย แสบทรวง ฯ กวีได้ขอพระเทพเจ้าให้ตนได้พบนาง กระทงั่ ในตอนสดุ ท้าย กวีกล่าวสรรเสริญพระบารมีของพระ เจ้าแผน่ ดนิ ๒๕๓ สบกษัตริย์สรุ ิยเดชลา้ ดนิ บน พืน้ แผน่ ภพเปรมแปร กราบเกล้า เดโชชโยรณ ฤทธิ์เดช พระนา ๓๐
ถวายรัชมาลย์ท้าว ทว่ั เท้ามามือ ฯ ๒๕๔ โสฬศเลื่องโลกฟ้า ดนิ ดาน เดชนา ทกุ ทวั่ ไตรภพฦา ลง่ ฟ้า จกั รพรรดปิ ิ่นจกั รพาฬ พนั เดช อคั รราชเสวยรมย์หล้า เร่ือยรมย์ ฯ ๒๕๕ จงนฤภยั พยาธิแล้ว นฤศลั ย์ โศกแฮ นฤโรคโรคาคม ไปลเ่ ปลือ้ ง จงเสวยมไหศวรรย์ สบสิง่ เทา่ ตอ่ เสวยสขุ เบอื ้ ง บา่ วด้าวนฤพาน ฯ ๒๕๖ บญุ ญาดเิ รกจ้า จอมกษัตริย์ ครองครอบภดุ าธาร ทวั่ ไท้ จงเปนปิ่นจกั รพรรด์ิ จอมโลก ธรพอ่ ร้ อยราชถวายกรไหว้ หวา่ นมาลย์ ฯ ๒๕๗ ตราบสนิ ้ สรุ ิเยศฟา้ ดนิ หาย ก็ดี ยงั พระยศยงั สถาน อยา่ งแคล้ว ตราบสเุ มรุคริ ีทลาย ทบเทา่ ลงแฮ คงควบบญุ ท้าวแผ้ว แผน่ ฟ้าภพไตร ฯ ๒๖๑ อยธุ ยายศโยคฟา้ ธรณี เกษมบรุ ีภธู ร ป่ินเกล้า ทวาทศสิบสองมี สงั เวช สงั วาสเกษมสขุ ท้าว ทวั่ หล้าเสวยรมย์ เสวยรมย์ชมมหามไหศวรรย์ ตราบสิน้ จนั ทร์สรุ ิยศรี ม้วยปรัถพีแผน่ ฟา้ เกษมสมบรู ณ์ถ้วน หน้า ทว่ั ท้าวยอยศ ทา่ นนา ฯ วรรณคดีเรื่องนี ้ นอกจากประกอบด้ วยรสกวีนิพนธ์ดังกล่าวมาแล้ ว ยังให้ ความรู้เกี่ยวกับ ขนบประเพณี และสภาพความเป็นอย่ใู นสมยั กรุงศรีอยธุ ยาอยา่ งละเอียดแจ่มแจ้ง โดยบรรยายสภาพดนิ ฟ้า อากาศและกิจพิธีตา่ ง ๆ ในแตล่ ะเดอื น ๓๑
๗. โคลงนิราศหริภุญชัย วรรณกรรมโบราณเรื่อง โคลงหริภุญไชย เป็นโคลง เก่าแก่ของล้านนา และกวีอยธุ ยาได้นามาคดั ลอกดดั แปลง เป็นคาอยธุ ยาในสมยั ตอ่ มา แตก่ ็ยงั มีคาภาษาล้านนา ปะปนอยู่เป็นจานวนมาก ผู้แปลงนิราศหริภุญไชยฉบับนีน้ ่าจะเป็นกวีทางเหนือท่ีเข้าใจภาษาทางใต้ ดี เพราะยงั แลเห็นภาษาและสาเนียงทางภาคเหนือปนอยใู่ นคาโคลงนนั้ มาก การท่ีมีการนาเอาโคลงหริภุญไชยมาดดั แปลงเป็นโคลงอยธุ ยา แม้ว่าจะยงั ไม่มีข้อยุติในเร่ืองของ สาเหตทุ ่ีแท้จริงในการดดั แปลง แตจ่ ากท่ีมีการคดั ลอกตอ่ ๆ กนั มาจงึ เชื่อได้วา่ โคลงหริภญุ ไชยนีค้ งจะเป็นท่ี ยอมรับ และเป็นท่ีนยิ มกนั อยา่ งแพร่หลายในล้านนาและอยธุ ยา เนือ้ ความในโคลงนิราศหริภญุ ไชย เป็นการกลา่ วเลา่ ถึงผ้แู ตง่ ที่เดินทางด้วยกองเกวียนจากเชียงใหม่ ไปนมสั การพระธาตุหริภุญไชยท่ีนครลาพูนในเทศกาลไหว้พระธาตุ ซึ่งตรงกับวนั เพ็ญเดือน ๖ (เดือน ๘ เหนือ) เนือ้ เรื่องเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงนางอันเป็นท่ีรัก เหตุที่ต้องจากไป พรรณนาการเดินทางจาก เชียงใหม่ไปลาพนู ผา่ นสถานที่สาคญั ต่าง ๆ ของเมืองเชียงใหม่ แล้วพกั นอน ๑ คืน รุ่งเช้าออกเดินทางต่อ ถึงลาพนู ไปไหว้พระธาตุ ตกกลางคืน เที่ยวชมดฟู ้อนรา ดนตรี และการละเลน่ ตา่ ง ๆ จากนนั้ ไปไหว้พระยืน แล้วกลบั มาวดั พระธาตหุ ลวง ได้พบพระราชโอรสท่ีทรงเสด็จมาบูชาพระธาตุ แล้วค้างพกั อยู่ ๑ คืนแล้วจึง เดนิ ทางกลบั เชียงใหม่ ปัจจุบัน ปรากฏต้นฉบบั โคลงนิราศหริภุญไชยกว่า ๕ สานวน เม่ือศึกษาการคดั ลอกต่อ ๆ กันมา พบวา่ มีคาและข้อความที่ผดิ พลาดคลาดเคล่ือนไปจากต้นฉบบั เดมิ มาก จงึ ยากที่จะกลา่ ววา่ ฉบบั ใดถกู ต้อง ที่สดุ การอธิบายความหมายก็เป็นเรื่องยงุ่ ยากเนื่องจากคาหลายคาที่พบนนั้ ปัจจบุ นั คาเหลา่ นนั้ ไมพ่ บการ ใช้ และไม่ได้บญั ญัติคาศพั ท์เหล่านนั้ ในพจนานกุ รม ดงั นนั้ จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะได้มีการศึกษาในแง่มุม ตา่ ง ๆ เช่น ที่มา การอธิบายความหมาย การศกึ ษาเปรียบเทียบ เพ่ือให้รู้ถึงความงามของบทกวี สภาพทาง ธรรมชาติ ศาสนวตั ถแุ ละศาสนสถานท่ีสาคญั คติความเชื่อ ประเพณีและวฒั นธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวล้านนาในสมยั นนั้ ในการศกึ ษาวรรณกรรมเร่ืองนีจ้ งึ ควรท่ีการศกึ ษาออกเป็น ๒ ฉบบั คือ ฉบบั ที่แตง่ และคดั ลอก ด้วยอกั ษรธรรมล้านนาและอกั ษรไทยนิเทศ ภาษาไทยยวนหรือภาษาถ่ินเหนือ เรียกว่า “โคลงหริภุญไชย” และฉบบั ภาคกลาง เรียกวา่ “โคลงนิราศหริภญุ ไชย” ตามแบบแผนของคาประพนั ธ์ในแตล่ ะท้องถิ่น ๓๒
กวีผ้แู ต่งเร่ืองโคลงนิราศหริภุญไชยไม่ทราบแน่ชดั ว่าใครเป็นผ้แู ต่ง เนื่องจากในสมยั โบราณนนั้ ผู้ แตง่ ไม่นิยมบอกชื่อของตน สมเด็จกรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงประทานข้อวินิจฉัยไว้ว่า “นิราศหริภุญ ไชยนี ้ แต่งขึน้ เม่ือปี ฉลู พ.ศ. ๒๑๘๐ ตรงกับรัชกาลพระเจ้ าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๗) ครอบครองกรุงศรีอยธุ ยา หรือก่อนหน้านนั้ ขนึ ้ ไป” สาหรับปีที่แตง่ นี ้ประเสริฐ ณ นคร ได้สนั นิษฐานวา่ เป็นเรื่องท่ีแตง่ ขึน้ ในปี พ.ศ.๒๐๖๐ ตรงกับรัช สมยั พระรามาธิบดีที่ ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔ - ๒๐๗๒) ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) โดยอ้างถึงโคลงบทหนึ่งซึ่งกล่าวถึงพระแก้วมรกตว่ายงั คงประดิษฐานอย่ใู นเมือง เชียงใหม่ ความวา่ มหาอาวาสส้อย สรีสถาน ชินรูปองคอ์ ฬุ าร เลศิ หล้า อมรกตคา่ ควรปาน บรุ ีนง่ึ นชุ เอ่ ถวายประหนมเบือ้ งหน้า เพื่อไธ้นารีรมย์ ฯ กล่าวคือ ระหว่างปีท่ีพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ ในระหว่างปีพ.ศ. ๒๐๑๑ - ๒๐๙๑ เป็นเวลา ๘๐ ปี นนั้ ปีเมิงเปา้ ที่ระบไุ ว้ในโคลงนิราศหริภุญไชยมีเพียงปีเดียว คือ ปี จ.ศ. ๘๗๙ ตรง กบั ปี พ.ศ. ๒๐๖๐ นอกจากท่ีมีการกล่าวถึงพระแก้วมรกตแล้ว ยงั ได้กล่าวถึงพระพทุ ธสิหิงค์ประดิษฐานท่ี เมืองเชียงใหม่ ความวา่ นบพระวรเชษฐช้อย สิหิงค์ สาเทพเบงจาจริง จง่ิ ผ้าย วานดลเจตใจตริง กระหมอ่ ม บารา เทาต่าเนินเยือ้ นย้าย พร่าพร้อมเดนิ เดยี ว ฯ จากหลกั ฐานดงั ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนนั้ จึงพอที่จะสนั นิษฐานได้ว่า โคลงนิราศหริภุญไชยคงจะ แตง่ ขึน้ ในปีเมิงเป้า จลุ ศกั ราช ๘๗๙ ซ่งึ ตรงกบั พุทธศกั ราช ๒๐๖๐ โดยอาศยั หลกั ฐาน คือ สมยั ท่ีพระแก้ว มรกตและพระพทุ ธสิหิงค์ยงั คงประดิษฐานอย่พู ร้อมกนั ที่เมืองเชียงใหม่ และตรงกบั ปีหนไทย คือ ปีเมิงเป้า ในระยะเวลาดงั กลา่ วมีเพียงปีเดยี วเทา่ นนั้ เนือ้ ความในโคลงหริภญุ ไชย กวีได้พรรณนาถึง พระพทุ ธรูป ๔ องคท์ ่ีประดิษฐานในพทุ ธมหาวหิ าร วดั พระยืน ตงั้ อยบู่ นฝั่งแมน่ า้ ไปด้านทิศตะวนั ออกของพระธาตหุ ริภญุ ชยั ความว่า ๓๓
ยงั มีคพู่ ร้อม จตตุ น (จตตุ น, ๔ องค์) ยืนเหยียบปาจีนะหน แหง่ โน้น (ปราจีน, ทิศตะวนั ออก) เพราะรสทกุ ข์ฉงาย ฉงนเชน่ รักเอ่ ปรายโปรดขอหือ้ พ้น เพื่อแก้ กรรมเรียม ฯ ๘. กาพย์มหาชาติ วรรณคดีเรื่องนีเ้ ป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ด้วย ทานองการแต่งเป็ นร่ายยาวด้ วยภาษาง่าย ๆ ไม่มี คาศัพท์โบราณ ทาให้กล่าวกันว่ากาพย์มหาชาติน่า อา่ นนา่ ฟังมากกวา่ มหาชาตคิ าหลวง ผ้แู ตง่ วรรณคดีเรื่องนีค้ ือ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงพระนามเดิมวา่ พระศรีศลิ ป์ ปราบดาภิเษก เป็ นกษัตริย์เม่ือ พ.ศ. ๒๑๖๓ อยู่ในราชสมบัติเป็ นเวลา ๘ ปี สมเด็จพระเจ้ าทรงธรรมทรงเป็ น พระมหากษัตริย์ที่ใฝ่ พระทยั ในพระพทุ ธศาสนา รับสงั่ ให้ค้นหาพระพทุ ธบาทจนพบ ณ บริเวณไหลเ่ ขา เขต เมืองสระบรุ ี และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปสวมรอยพระพทุ ธบาทนนั้ ไว้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงให้ความเห็นเก่ียวกับหนังสือนีว้ ่า “ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ประชุมนกั ปราชญ์ราชบณั ฑิตแต่งขึน้ เม่ือในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๑๗๐ ด้วยมีเนือ้ ความในหนงั สือพระราชพงศาวดารกลา่ วไว้วา่ ในแผน่ ดินนนั้ ได้ แตง่ มหาชาติคาหลวงอีกครัง้ หนง่ึ กาพย์มหาชาตินี ้ฉบบั เดิมเห็นจะสญู หายมากกว่ามหาชาตคิ าหลวง” หนงั สือกาพย์มหาชาติเทา่ ที่ค้นพบมีเพียงสามกัณฑ์ คือ กณั ฑ์ประเวศน์ กณั ฑ์กมุ าร และกณั ฑ์สกั รบรรพ สว่ นกณั ฑ์ท่ีเหลือนอกจากนี ้นา่ จะสญู หายไปครัง้ เสียกรุงฯ ครัง้ ที่ ๒ เนือ้ หาเป็นเร่ืองพระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า คือ ชาติที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระ เวสสนั ดร แตส่ ิ่งท่ีแตกตา่ งกนั อย่างชดั เจน คือ รูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ท่ีใช้แตง่ กาพย์มหาชาติมีคาวา่ “กาพย์” ประกอบเป็นช่ือวรรณคดีเร่ืองนีก้ ็จริง แต่มิได้หมายความว่าคาประพันธ์ที่ใช้จะเป็นฉันทลกั ษณ์ประเภท กาพย์ เพราะเรื่องนีแ้ ต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทเดียว กล่าวคือ ร่ายยาว มีคาถาบาลีแทรกเป็นตอน ๆ เพ่ือให้ฟังเร่ืองติดต่อกันได้สะดวก ซ่ึงเป็นวิธีการแปลที่แตกต่างกับการแต่งมหาชาติคาหลวง เพราะ มหาชาติคาหลวงจะยกคาถาบาลีมาวรรคหน่ึงแล้วแปลเป็นภาษาไทยวรรคหน่ึงสลับกันไป นอกจากนี ้ กาพย์มหาชาตแิ ตง่ ด้วยถ้อยคาง่าย ๆ ใช้คาโบราณไมม่ ากนกั ทาให้ฟังเข้าใจงา่ ยกวา่ มหาชาตคิ าหลวงมาก ๓๔
แม้ว่ากาพย์มหาชาติมีจดุ ม่งุ หมายในการแตง่ เพื่อไว้ใช้เทศน์ให้อบุ าสกอบุ าสิกาฟัง แตม่ ีเนือ้ ความยืด ยาวจนเกินไป ทาให้ไมส่ ามารถเทศน์ให้จบทงั้ ๑๓ กณั ฑ์ในวนั เดยี วได้ จงึ ขดั กบั ความเช่ือของผ้ฟู ัง ซง่ึ เช่ือว่า จะต้องฟังให้จบในวนั เดียว จึงจะได้อานิสงส์แรง และจะได้เกิดในศาสนาหรือยุคพระศรีอาริย์ เป็นเหตใุ ห้ กาพย์มหาชาติเสื่อมความนิยมไป ต่อจากนนั้ จงึ มีการแตง่ มหาชาตสิ าหรับเทศน์ให้จบใน ๑ วนั ขนึ ้ ใหมอ่ ีก หลายสานวน ตอ่ มาเรียกกนั วา่ “มหาชาตกิ ลอนเทศน์” ส่วนเหตุท่ีเรียกว่า “กาพย์มหาชาติ” นัน้ ก็เพราะความหมายของคาว่า “กาพย์” ในสมัยก่อน แตกตา่ งกบั ความหมายและความเข้าใจของคนในปัจจบุ นั เดมิ คาวา่ “กาพย์” ใช้ในความหมายกว้าง เพราะ ใช้หมายถึงคาประพันธ์ร้อยกรองโดยทั่ว ๆ ไป โดยมิได้กาหนดว่าจะต้องเป็นฉันทลักษณ์ชนิดใด แต่ใน ปัจจบุ นั คาว่า “กาพย์” มีความหมายแคบลง โดยใช้หมายถึง ฉันทลกั ษณ์ในการประพนั ธ์วรรณกรรมร้อย กรองประเภทหนงึ่ มี ๓ ชนิดยอ่ ย ได้แก่ กาพย์ยานี กาพย์ฉบงั และกาพย์สรุ างคนางค์ เป็นต้น ตัวอย่างคาประพนั ธ์บางตอน โภ เวส์สนั ์ดร ดกู รมหาเวสสนั ดรดาบสผ้ทู รงพรตพฤธี นามช่ือวา่ ฤาษียอ่ มทรงสตั ว์ ให้ม้วย มุดเป็นบรมรรถไม่มุสา นีม้ าเสียซึ่งสจั จาไม่จริง เดิมดนู ีเ้ ห็นเป็นยวดย่ิง จะขอยอดพระบารมี มาตรออก ปากขอพระชาลีกณั หา ก็ให้โดยปรีดาโดยดว่ น แล้วเชิญชวนให้ข้าท่าท้วงนาง ครัน้ ขดั ขวาง ก็ยอยกยใุ ห้ไป ยงั ยงั พระเจ้าป่ งู ดงามงงเป็นพะวงพะวกั แล้วลอบลกั ดหู น้า ให้ควิ ้ ตาเตือนพระลกู น้อย เธอทาเชิงเฉยเมย เป็นไมร่ ู้เห็น ตกจะลว่ งกนั เลน่ พบให้เล่ือยฦาฉนี ้ ฦาประการใดในโลกนีท้ ี่จะกล่าวมสุ าวาทีเทียมเทา่ ถึงพระ เวสสนั ดรเจ้าองค์นีก้ ็เป็นวา่ มิได้แล้วแล ฯ เรื่องมหาชาติ หรือที่เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า มหาเวสสันดรชาดกนัน้ เป็ นที่ยอมรับนับถือของ พทุ ธศาสนิกชนมาแต่โบราณว่าดีกว่าชาดกเร่ืองอ่ืนๆ เพราะได้ประมวลพระบารมีทงั้ สิบของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าไว้ในเรื่องเดียวกนั เชน่ ทานบารมี ด้วยการบริจาคส่ิงของตา่ งๆ ตลอดถึงบตุ รและภริยา ขนั ตบิ ารมี ด้วยการอดทนตอ่ ถ้อยคาเสียดสีและการโบยตีชาลีกณั หาตอ่ หน้าของชชู ก และในขณะเดียวกนั ยงั ได้สอน ให้มีคณุ ธรรมในด้านตา่ ง ๆ สอนลกู ให้มีความกตญั ญตู อ่ พ่อแม่ และแสดงให้เห็นวา่ พ่อแมม่ ีแตห่ วงั ดีตอ่ ลกู ความจงรักภกั ดีซ่ือสตั ย์ต่อกันระหวา่ งสามีภรรยา การเสียสละความสขุ ของตนเพื่อผ้อู ื่นด้วยการไม่เห็นแก่ ตน เป็นต้น การเทศน์มหาชาตนิ นั้ มีความเชื่อมาแต่โบราณว่า ถ้าเทศน์และฟังให้จบในวนั เดียวทงั้ สิบสาม กณั ฑ์จะมีผลานิสงส์มาก และเป็นอดุ มมงคลอยา่ งยงิ่ ดงั นนั้ จงึ เป็นที่นิยมแพร่หลายของพทุ ธศาสนิกชนมา จนถึงปัจจบุ นั ๓๕
คาถามทบทวน คาชีแ้ จง จงตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. วรรณคดีในสมยั อยธุ ยาตอนต้นนีม้ ีเนือ้ หาเกี่ยวกบั อะไรบ้าง ๒. วรรณคดใี นสมยั อยธุ ยาตอนต้นนีม้ ีการใช้รูปแบบคาประพนั ธ์ชนิดใดบ้าง ๓. การใช้ถ้อยคาหรือภาษาในวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้นนีแ้ ตกต่างวรรณคดีในสมัยสุโขทัยหรือไม่ อยา่ งไร ๔. รูปแบบการเมืองการปกครองท่ีแตกต่างกันระหว่างสมัยอยุธยากับสุโขทัย ส่งผลต่อการสร้ างสรรค์ วรรณคดีในสมยั อยธุ ยาตอนต้นหรือไม่ อยา่ งไร ๕. ในสมยั อยธุ ยาตอนต้นนี ้มีวรรณคดปี ระเภทใดบ้างที่ไมม่ ีปรากฏมาก่อนในสมยั สโุ ขทยั เอกสารอ้างอิง เซอร์จอห์น เบาริง, แปล นนั ทนา ตนั ตเิ วสส์.(๒๕๒๗). ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศสยามกบั ตา่ งประเทศ สมยั กรุงศรีอยธุ ยา. กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร. เทือก กสุ มุ า ณ อยธุ ยา. (๒๕๑๔). “นิราศร้างหา่ งเหเสนห่ า,” ใน ส่ือภาษา. กรุงเทพฯ: ครุ ุสภา. น้อมนจิ วงศ์สทุ ธิธรรม. (๒๕๓๖). วรรณกรรมนิราศ (พมิ พ์ครัง้ ที่ ๒). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง. นิตยา กาญจนะวรรณ. (๒๕๔๘). วรรณกรรมอยธุ ยา (พิมพ์ครัง้ ที่ ๙). กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. นิรันตร์ นวมารค. (๒๕๑๘). คาบรรยายภาษาไทยชนั้ สงู ของชมุ นมุ ภาษาไทย ของครุ ุสภา. กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์ครุ ุสภา ลาดพร้าว. เปลือ้ ง ณ นคร. (๒๕๑๐). ประวตั วิ รรณคดไี ทยสาหรับนกั ศกึ ษา (พิมพ์ครัง้ ที่ ๕). พระนคร: ไทยวฒั นา พานชิ . ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๓๐). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ (พมิ พ์ครัง้ ที่ ๓). ๓๖
กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทศั น์. อุดม รุง่ เรืองศร.ี (๒๕๔๖). วรรณกรรมล้านนา (พิมพ์ครัง้ ที่ ๒). กรุงเทพฯ: ศนู ย์หนงั สือจฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . วไิ ลวรรณ ขนิษฐานนั ท์. (๒๕๓๒). “ภาษาศาสตร์เชิงประวตั แิ ละเปรียบเทียบกบั การศกึ ษาภาษาโบราณ.” ใน ภาษาจารึก ฉบบั ครุ ุราลกึ . กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาตะวนั ออก มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ศลิ ปากร, กรม. (๒๕๐๔). “คานา,” ใน วรรณคดใี นสมยั อยธุ ยาและรัตนโกสินทร์. โครงการพฒั นาการศกึ ษา กรมฝึกหดั ครู กระทรวงศกึ ษาธิการ. พระนคร: โรงพิมพ์สง่ เสริมอาชีพ. ศลิ ปากร, กรม. (๒๕๕๐), กองวรรณกรรมและประวตั ศิ าสตร์. วรรณกรรมสมยั อยธุ ยา เลม่ ๑ (พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑). กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร. หลวงบวรบรรณรักษ์, นายร้อยเอก (นิยม รักไทย). สนั สกฤต – ไท – องั กฤษ ของ กรมวิชาการ อดุ ม รุ่งเรืองศรี. (๒๕๔๗). พจนานกุ รมล้านนา – ไทย ฉบบั แมฟ่ ้าหลวง (ฉบบั ปรับปรุงครัง้ ท่ี ๑). เชียงใหม่ : คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ อดุ รคณาธิการ (ชวินทร์ สระคา) และจาลอง สารพดั นกึ .” (๒๕๓๘). ผ้รู วบรวมและเรียบเรียง. พจนานกุ รม บาลี– ไทย (พิมพ์ครัง้ ที่ ๓). กรุงเทพฯ: ร้านเรืองปัญญา ทา่ พระจนั ทร์. ๓๗
Search
Read the Text Version
- 1 - 37
Pages: