อาหารต้องห้ามในศาสนา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญวดี มนตรีกลุ ณ อยธุ ยา ภาควชิ ามนุษยศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
บทนา • ความเช่ือในเรื่องขอ้ ห้ามต่าง ๆ ที่เก่ียวกบั การรับประทาน อาหารในศาสนาท่ีต่าง ๆ เนื่องจากอาหารเป็ นประตูสาคญั ประการหน่ึงของวฒั นธรรม ท่ีจะทาใหเ้ ราเขา้ ใจวฒั นธรรม ต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็ นรู ปธรรมและนามธรรม ส่วนท่ีเป็ น รูปธรรม คือ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาหารไม่ว่าจะเป็ น ผกั ผลไม้ เน้ือสัตว์ หรือเคร่ืองเทศ ลว้ นเป็ นส่ิงที่แสดงให้ เห็นถึงสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศของวฒั นธรรมน้ัน ๆ รวมถึงนวตั กรรมในการประกอบอาหาร เครื่องมือเครื่องใช้ ต่าง ๆ เป็ นการแสดงออกถึงความเป็ นเอกลกั ษณ์ของแต่ละ ทอ้ งถ่ินอีกดว้ ย ในส่วนของวฒั นธรรมที่เป็นนามธรรม คือ ความคิด ความเช่ือ และความศรัทธาในแต่ละวฒั นธรรม รวมถึงความเชื่อความศรัทธาในศาสนาด้วย ซ่ึงในท่ีสุด ท้งั หมดน้ีไดก้ ลายมาเป็นประเพณีท่ีปฏิบตั ิสืบทอดกนั มา
เพราะเหตุใดต้องศึกษา • วฒั นธรรม เป็ นการแสดงออกซ่ึงเอกลกั ษณ์ของแต่ละทอ้ งถ่ินทาให้เกิดความความแตกต่าง กนั ไป ส่วนใหญ่แลว้ เมื่อสภาพแวดลอ้ มต่างกนั วิถีชีวิตการดาเนินชีวิตกส็ ่งผลใหม้ ีความคิด ความเช่ือท่ีอาจแตกตา่ งกนั ไปดว้ ย วฒั นธรรมในเรื่องอาหารการกินมีขอ้ กาหนดเร่ืองขอ้ หา้ ม ต่าง ๆ มาจากสาเหตุหลัก ๒ ประการ คือ ความเชื่อของแต่ละวฒั นธรรมและศาสนา วฒั นธรรมอาหารยอ่ มตอ้ งพ่ึงพาอาศยั สภาพแวดลอ้ ม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศทาให้คนแต่ละ ทอ้ งถิ่นเลือกท่ีจะรับประทานหรือไม่รับประทานอะไรแตกต่างกนั ไป นอกจากน้ัน ความ เช่ือ ท่ีแตกต่างกนั ในแตล่ ะทอ้ งถ่ินยงั ทาใหเ้ กิดขอ้ หา้ มต่าง ๆ ที่แตกต่างกนั ดว้ ย
• ในปัจจุบนั วฒั นธรรมต่าง ๆ จะแพร่ถึงกนั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่ง วัฒนธรรมอาหาร เนื่องจากมีการติดต่อส่ือสารทางโซเชียล เนื่องจากนอกจากสภาพแวดลอ้ มแต่ละทอ้ งถ่ินแลว้ ศาสนาเป็นปัจจยั สาคญั อีกประการหน่ึงที่มีผลต่อวฒั นธรรมอาหาร ในบางศาสนามี การกาหนดขอ้ ห้ามเก่ียวกบั อาหาร สิ่งท่ีใช้ทาอาหาร กรรมวิธีการ ทาอาหาร หรือช่วงเวลาในการรับประทานอาหาร ฯลฯ เมื่อโลกแคบ ลง ความเป็ นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถ่ินได้รับผลกระทบจาก วฒั นธรรมอ่ืน ๆ ทาให้ความเช่ือ ประเพณี หรือแมแ้ ต่จารีตด้งั เดิม อาจจะเลือนหายไปในท่ีสุด
อาหารกบั มนุษย์ อาหาร เป็นสิ่งสาคญั ที่สุดประการหน่ึงที่เกี่ยวขอ้ งกบั มนุษยม์ ากที่สุดต้งั แต่เกิดจนตาย ในภาวะ ปกติเราจะรับประทานอาหารกนั ทุกวนั วนั ละมากกว่า ๑ ม้ือ เมื่อศึกษาจากประวตั ิศาสตร์จะ พบวา่ อาหารที่เรารับประทานกนั ทุกวนั น้ีกบั เม่ือ ๑๐๐ ปี หรือ ๑๐๐๐ ปี ที่แลว้ มีความแตกต่าง กนั หลายประการ เช่น วตั ถุดิบ วธิ ีการปรุงอาหาร และความคิดความเชื่อต่าง ๆ ฯลฯ วตั ถุดิบท่ี ใชป้ รุงอาหารท้งั พืชและสัตวห์ ลายชนิดพบวา่ มีบางสายพนั ธุ์ที่สูญพนั ธุ์ไปแลว้ และมีบางสาย พนั ธุ์ท่ีเกิดข้ึนมาใหม่ ท้งั โดยความบงั เอิญและต้งั ใจที่จะรักษาพนั ธุ์ท่ีตอ้ งการไว้ และละเลย หรือทาลายพนั ธุ์ที่ไม่ตอ้ งการทิ้งไป นอกจากน้นั บางคร้ังธรรมชาติกม็ ีผลต่อการเปล่ียนแปลง พนั ธุ์พชื และสตั ว์ นอกจากสายพนั ธุ์ต่าง ๆ จะเปล่ียนแปลงไป วธิ ีการปรุงอาหารกเ็ ปลี่ยนแปลง ไปเช่นกนั เน่ืองจากมนุษยไ์ ดห้ าทางทาใหว้ ธิ ีทาอาหารง่ายข้ึน สะดวกสบายมากข้ึน จึงเกิดเป็น นวตั กรรม เคร่ืองมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ในการทาอาหารท่ีหลากหลายมากข้ึนดว้ ย และสุดทา้ ย แมค้ วามเช่ือต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกบั อาหารกอ็ าจเปล่ียนแปลงได้
• เช่น ในอดีต ชาวมายาเช่ือว่า ขา้ วโพดน้นั คือเน้ือของเทพเจา้ อันศักด์ิสิทธ์ิ และในช่วงเก็บ เก่ียว เทพเจา้ ก็ได้สังเวยตวั เอง เพ่ือค้ าจุนมนุ ษยชาติเอาไว้ (โตมร สุขปรีชา ๒๕๕๙ หน้า ๘๒) โดยนัยน้ี มนุษยจ์ ึงตอ้ งมี พิธีบูชายญั ดว้ ยมนุษย์ เพ่ือเป็ น การจ่ายคืนแก่เทพเจา้ ดว้ ยเลือด ซ่ึงเป็ นสิ่งสาคญั ท่ีสุด ปัจจุบนั ความเชื่อน้ีไดเ้ ลือนหายไป
• วัฒนธรรมชาวตะวันตกไม่นิ ยม รับประทาน หนูเพราะส่วนใหญ่เห็น ว่า หนูเป็นสัตวท์ ี่น่ารังเกียจ อาจมีบาง คนเล้ืยงหนูบางสายพนั ธุ์เพื่อเป็ นสัตว์ เล้ียง ไม่ว่าอยา่ งไรก็ตามคนส่วนใหญ่ ลงความเห็นว่า หนูไม่เหมาะสาหรับ การบริโภค นอกจากน้ัน หนูยงั เป็ น พาหะของโรคระบาด (กาฬโรค) อีก ดว้ ย แต่ชาวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เช่น ไทย เวียดนามและชาวแอฟริกา ยังนิ ยมรับประทานหนู กันทั่วไป
ข้อห้ามเกย่ี วกบั อาหารในศาสนาต่าง ๆ • ขอ้ หา้ มในศาสนาน้นั แตกต่างกบั ขอ้ ห้ามท่ีเกิดข้ึนวฒั นธรรม เน่ืองจากขอ้ หา้ ม ท่ีเกิดข้ึนจากหลกั ความเช่ือทางศาสนาน้นั เป็ นขอ้ ห้ามท่ีมาจากความเชื่อที่ไม่ สามารถเปล่ียนแปลงได้ มีลกั ษณะท่ีเรียกวา่ (dogma)
สารานุกรมออนไลน์ Encyclopedia Britannica อธิบายไวว้ า่ dogma คือ หลกั คาสอนและความเช่ือ และเป็ นคาสอนท่ีเป็ นที่ยอมรับกนั อยา่ งเป็ น ทางการ (http://www.britanica.com) ดงั น้นั ความเชื่อในศาสนาน้ี จึงไม่ จาเป็นตอ้ งมีการอธิบายเหตุผล เพราะเป็นการปฏิบตั ิตามหลกั คาสอนใน ศาสนา หน้าที่สาคญั ของขอ้ ห้ามและความเช่ือในศาสนา เป็ นไปตาม หลกั คาสอนและหลกั ปฏิบตั ิในแต่ละศาสนา หลกั ปฏิบตั ิต่าง ๆ น้ีทาให้ เกิดเป็ นประเพณีของแต่ละศาสนาข้ึนมา ซ่ึงข้อห้ามเหล่าน้ันอาจมี ข้อจากัดหรือยืดหยุ่นได้แตกต่างกันไป ข้อห้ามต่าง ๆ เหล่าน้ี อาจ เช่ือมโยงกบั จุดหมายสูงสุดในแต่ละศาสนาดว้ ย
ตวั อยา่ งของขอ้ ห้ามในเร่ืองการรับประทานอาหาร เช่น การปฏิบตั ิ ตนเป็ นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดตามหลักศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ศาสนาเชนและศาสนาฮินดู ในเรื่องของการงดรับประทานเน้ือสัตว์ รับประทานอาหารมงั สวิรัติเป็ นขอ้ ห้ามสะทอ้ นให้เห็นถึงหลกั การทาง ศาสนาในเรื่องความเช่ือเรื่องการไม่ฆ่าสัตวต์ ดั ชีวิต สอดคลอ้ งกบั ความ เชื่อในเร่ืองของกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวฏั การงด รับประทานเน้ือสัตวบ์ างชนิดของชาวมุสลิม การงดดื่มเหลา้ ของชาว พทุ ธและมุสลิม เป็นตน้
ศาสนายูดาย • ศาสนายดู ายเป็นศาสนาเก่าแก่ ไม่ปรากฏวา่ ท่านใดเป็นศาสดา แตม่ ีหลกั คาสอนและถือ ปฏิบตั ิกนั มาชา้ นานในหมู่ผนู้ บั ถือศาสนาน้ี สาหรับขอ้ หา้ มในศาสนาน้ี เช่น - มีขอ้ หา้ มรับประทานอาหารทะเล เช่น หอย , กงุ้ , เป็นส่ิงตอ้ งหา้ ม - การบริโภคผลิตภณั ฑท์ ี่ทาจากนมพร้อมกบั เน้ือสตั วน์ ้นั \"จะไม่ตม้ ลูกแพะตวั นอ้ ยใน น้านมแม่\" (เฉลยธรรมบญั ญตั ิ 14:21: \") - เลวนี ิติ 11:13 นกแร้งและนกบางชนิด เช่น นกกระจอกเทศถูกหา้ มอยา่ งชดั เจน (เลวนี ิติ 11:16 ) ส่วนไก่ , เป็ด , ห่านและไก่งวงไดร้ ับอนุญาตใหร้ ับประทานได้ - ไข่ท่ีมีจุดเลือดตามธรรมชาติอาจไม่สามารถรับประทานได้ แตไ่ ข่ท่ีไม่มเี ลือดสามารถ รับประทานได้
ศาสนายูดาย - สัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าเช่นกบ ขอ้ จากดั อธิบายไวใ้ นเลวนี ิติ 11: 29-30 และ 42-43 - คา้ งคาว ในเฉลยธรรมบญั ญตั ิและประมวลกฎหมายอยา่ งชดั เจนหา้ มคา้ งคาว - อูฐเป็นสัตวต์ อ้ งหา้ มอยา่ งเคร่งครัดโดยในคมั ภีร์โตราห์ (เฉลยธรรมบญั ญตั ิ 14: 7และเลวี นิติ 11: 4) เห็นวา่ อูฐเป็นสัตวม์ ีมลทิน ซ่ึงต่างจากในศาสนาอิสลามท่ีอนุญาตให้ รับประทานอูฐไดแ้ ละเป็นประเพณีด้งั เดิมในดินแดนอิสลามในซาอุดิอาระเบียและ คาบสมุทรอาหรับโดยทวั่ ไป - หา้ มรับประทานเน้ือแมวท้งั ชาวยวิ และศาสนาอิสลาม - การกินสัตวเ์ ล้ือยคลานเป็นสิ่งตอ้ งหา้ มในยดู าย - หา้ มมิใหบ้ ริโภคเลือดเพราะเลือดถือวา่ เป็นส่ิงท่ีไม่สะอาด
ศาสนาคริสต์ - งดเวน้ การบริโภคเลือด “เพราะเป็นการดีที่พระวิญญาณบริสุทธ์ิและเรา จะไม่วางภาระใดยง่ิ กวา่ สิ่งจาเป็นเหล่าน้ี ให้เจา้ งดเวน้ จากอาหารท่ีบูชา แก่รูปเคารพและจากเลือด... (กิจการ 15: 28-29)
ศาสนาอสิ ลาม • ศาสนาอิสลาม เกิดข้ึนราว ๑,๔๐๐ กวา่ ปี มาแลว้ มีท่านศาสดามูฮมั หมดั เป็นผปู้ ระกาศศาสนา หลกั คาสอน เกี่ยวกบั อาหารในศาสนาอิสลามแบ่งเป็นอาหารท่ีเป็นฮาราล (ใหร้ ับประทานได)้ และ ฮารอม (หา้ ม รับประทาน) ตวั อยา่ ง เช่น - หมู รวมถึงสตั วท์ ่ีมีกีบและมีเข้ียว เช่น สุนขั เป็นตน้ - เน้ือคา้ งคาว คือ Haram (หา้ ม) ในศาสนาอิสลาม - ไข่ท่ีเป็นตวั อ่อนที่พฒั นาแลว้ บางส่วน (ไข่ขา้ ว) - ชาวมุสลิมถือวา่ \"ฮาราม\" หรือ \"ตอ้ งหา้ ม\" - ศาสนาอิสลามอยา่ งเคร่งครัดหา้ มการบริโภคของสตั วเ์ ล้ือยคลานเช่นจระเขแ้ ละงู - หอยทาก - หา้ มดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์หรือของมึนเมา - หา้ มมิใหบ้ ริโภคเลือด ควรฆ่าสตั วฮ์ าลาลอยา่ งถูกตอ้ งเพ่ือใหเ้ ลือดไหลออกใหห้ มด
ศาสนาฮินดู • อาหารต่าง ๆ ที่หา้ มรับประทานตามความเช่ือในศาสนามีดงั ต่อไปน้ี - ไข่ แมไ้ ขจ่ ะเป็นแหล่งโปรตีนท่ีสาคญั ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ในปัจจุบนั น้ี แต่ผทู้ ี่ รับประทานอาหารมงั สวิรัติกง็ ดไขด่ ว้ ย - ววั ถือสตั วท์ ่ีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอินเดียใหค้ วามเคารพ เพราะเชื่อวา่ ววั คือสตั วท์ ่ีพระเจา้ ประทานใหแ้ ก่มนุษย์ ชาวฮินดูรับประทานอาหารมงั สวริ ัติ และงดการกินเน้ืออยา่ งเคร่งครัด ดงั น้นั จึงงดเวน้ จากการบริโภคเน้ือววั ซ่ึงถือ สตั วศ์ กั ด์ิสิทธ์ิในศาสนาฮินดู แต่การบริโภคผลิตภณั ฑน์ ม เช่น นม โยเกิร์ตและ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เนยฆี (รูปแบบหน่ึงของเนย ) เป็นเรื่องธรรมดาในอินเดีย และมีบทบาทอยา่ งยง่ิ ในการประกอบพธิ ีศกั ด์ิสิทธ์ิ
พุทธศาสนา • สาหรับหลกั คาสอนในพุทธศาสนา สาหรับพุทธศาสนาเถรวาทน้นั มิไดบ้ ญั ญตั ิ ให้พุทธศาสนิกชนตอ้ งรับประทานอาหารมงั สวิรัติหรืองดเวน้ เน้ือสัตว์ และได้ แบ่งผทู้ ี่นบั ถือเป็นคฤหสั ถก์ บั บรรพชิต ซ่ึงมีขอ้ หา้ มขอ้ กาหนดต่างกนั สาหรับผู้ ท่ีเป็ นคฤหัสถน์ ้นั พระพุทธเจา้ ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิห้ามการรับประทานอาหารไว้ ส่วน ผูท้ ี่เป็ นบรรพชิตน้นั ห้ามรับประทานเน้ือสัตว์ ๑๐ ชนิด ไดแ้ ก่ เน้ือมนุษย์ เน้ือ ชา้ ง เน้ือมา้ เน้ือราชสีห์ เน้ือเสือโคร่ง เน้ือเสือดาว เน้ือเสือเหลือง เน้ือหมี เน้ือ สุนัข และเน้ืองู ส่วนเน้ือสัตวอ์ ื่นท่ีห้ามไวน้ ้ัน คือ เน้ือสัตวท์ ี่เขาเจาะจงฆ่าเพ่ือ ถวายพระภิกษุ ไม่วา่ จะไดย้ นิ ไดเ้ ห็น หรือสงสยั วา่ เขาฆ่าเพื่อเฉพาะตน - หา้ มดื่มเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอร์หรือของมึนเมา
พทุ ธศาสนานิกายมหายาน • สาหรับผูท้ ี่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน มีความเชื่อที่ต่าง ออกไป คือ นิยมรับประทานอาหารเจ ซ่ึงมีข้อห้ามมากกว่าการ รับประทานอาหารมงั สวริ ัติทวั่ ไป - การงดรับประทานเน้ือววั เช่น ชาวจีนหรือผูท้ ่ีมีเช้ือสายจีน ชาวพม่า เป็ นตน้ - ผู้ที่รับประทานเจ ห้ามรับประทานผกั มีกล่ินฉุน เช่น กระเทียม, หอมแดง, กยุ ช่าย
ศาสนาเชน • ศาสนาเชนเป็ นศาสนาหน่ึงท่ีเกิดข้ึนในประเทศอินเดีย ระยะเวลาเดียวกันกบั ที่มีพุทธศาสนาเกิดข้ึน หลกั คาสอน สาคัญของศาสนาเชน คือ หลักอหิงสา ศาสนาเชนเป็ น ศาสนาที่มีขอ้ ปฏิบตั ิท่ีเคร่งครัดการดารงชีวิต รับประทาน อาหารมงั สวิรัติ ละเวน้ จากการบริโภคเน้ือสัตว์ และยงั งด รับประทานผกั รากต่าง ๆ เช่น แครอท มนั ฝร่ัง หวั ไชเทา้ หวั ผกั กาด ฯลฯ เพราะเช่ือวา่ เป็นการฆ่าพชื เหล่าน้นั
สรุป • อาหาร ๑ ในปัจจยั ๔ ที่สาคญั จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตมนุษย์ มนุษยส์ ร้าง อาหาร และอาหารก็เล้ียงดูมนุษย์ ไม่เคยมีคร้ังใดในประวตั ิศาสตร์ที่ไม่มี อาหารเขา้ มาเก่ียวขอ้ ง มนุษยไ์ ดส้ ร้างวฒั นธรรมท่ีเกี่ยวกบั อาหารไวม้ ากมาย อาหารไดท้ าหนา้ ท่ีแทนเงินตรา อาหารเป็นขมุ กาลงั ของผมู้ ีอานาจ อาหารเป็น ส่ วนหน่ึงในการจัดลาดับสังคม ฯลฯ ท่ีสาคัญกว่าน้ัน คือ อาหารมี ความสาคญั ในระดบั จิตวิญญาณ ดงั ที่ปรากฏเป็นความเช่ือในศาสนาต่าง ๆ ที่ ไดก้ ล่าวถึงขอ้ ห้ามและขอ้ ปฏิบตั ิต่าง ๆ ที่เก่ียวกบั อาหารไว้ แมร้ ายละเอียด ต่าง ๆ อาจเปล่ียนแปลงไป ทว่า อาหาร ยงั คงมีความสาคญั ต่อร่างกายและจิต วญิ ญาณมนุษยไ์ ม่เปลี่ยนแปลง
Thank you
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: