วชิ าภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๔ สอนโดย นางสาวพรรณทิราภรณ์ อินทรพ์ รหม (ครบู วิ )
หน่วยการ เรียนรู้เรื่อง สานวน
ช่วงน้ชี ้แี นะ กจิ กรรมวนั นี้ ทบทวน การบา้ น กิจกรรมวนั นี้ ความหมาย และทีม่ าของ ใบงานเร่อื งสานวน คณุ คา่ ขอทงบสทาวนนวน สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย สุภาษิต กคาารพบงั า้เพนย
สานวน สุภาษติ คาพงั เพย ทบทวนนะคะ ความหมาย ท่มี า ประวตั ิ ประเภท
สานวน
สานวน หมายถึง ถอ้ ยคาหรอื ข้อความที่กลา่ วสบื ตอ่ กันมา ชา้ นานแล้ว มคี วามหมายไม่ตรงตามตัว หรอื มคี วามหมายอน่ื แฝงอยู่ เขน็ ครกขึ้นภเู ขา หมายถึง ทางานท่ียาก เกนิ ความสามารถหรอื สตปิ ญั ญาของตน คางคกขนึ้ วอ หมายถงึ คนทฐ่ี านะต่าตอ้ ย พอไดด้ แี ล้วทาแสดงกิริยาอวดดลี มื ตวั
ตัวอยา่ งสานวน คางเหลอื ง (อาการหนกั , สาหัส) เชน่ รถชนกันเมอ่ื เชา้ นา่ กลวั มาก คลุมถงุ ชน คดิ วา่ คนขบั ไม่ตายกค็ งคางเหลอื งแน่ ๆ กระดี่ไดน้ า้ กาฝาก (การแตง่ งานทถ่ี กู ผูใ้ หญบ่ งั คับ) เช่น สมัยนีห้ มดยุคคลุมถงุ ชนกนั แล้ว ทุกคนมีสทิ ธเ์ิ ลือก (อาการแสดงความดใี จ หรือตื่นเตน้ จนตวั สัน่ ) เชน่ ทุกคนพากนั แสดง ท่าทางดีใจเหมอื นปลากระดี่ได้นา้ (แฝงอยกู่ ับคนอนื่ โดยไมท่ าประโยชน์ให้) เช่น ทารายงานเปน็ กลุม่ ครั้งไหน มักมกี าฝากมาอยู่ดว้ ยทุกคร้งั
สานวน มลี ักษณะ ดงั นี้ ๑. มีการซา้ คา หรอื ใชค้ าทม่ี ีสมั ผสั คล้องจองกัน เชน่ ขับไสไล่ส่ง มสี ัมผัสสระไอ ระหวา่ ง ไล่ - ไส ปากว่าตาขยิบ มีสมั ผัสสระอา ระหวา่ ง ว่า - ตา หามรุ่งหามค่า มกี ารซา้ คา คอื หาม ฝากผีฝากไข้ มีการซา้ คา คอื ฝาก
๒. มีการเปรยี บเทียบส่ิงหนึ่งว่าเหมอื นอกี ส่ิงหนงึ่ เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยย่งิ ข้ึน เช่น แกม้ แดงเปน็ ลูกตาลึงสุก เปน็ การกล่าวเปรยี บเทยี บ สขี องแก้มกับสขี องลกู ตาลงึ สุก เงยี บเหมอื นเปา่ สาก เป็นการกลา่ วเปรียบเทยี บถงึ ลกั ษณะความเงยี บว่า เงียบมากไม่ มเี สยี งอะไร
๓. มีลักษณะเป็นคาคมหรือคากลา่ วท่ีให้แง่คดิ ต่าง ๆ เชน่ มีวชิ าเหมือนมที รัพย์อยนู่ บั แสน ไม่มคี าวา่ แกเ่ กินไปสาหรับเรียน อกหกั ดีกวา่ รักไม่เปน็ คาโบราณทา่ นวา่ ชา้ เปน็ การ ถึงจะนานกเ็ ปน็ คุณอย่าวุ่นวาย รสู้ ง่ิ ใดไมส่ ูร้ ้วู ิชา ไปเบ้อื งหนา้ เติบใหญ่จะให้คุณ
สภุ าษติ
สุภาษิต หมายถึง ข้อความหรอื ถ้อยคาส้ัน ๆ กะทัดรดั มกั มีความหมายไปในทางแนะนาสง่ั สอน มีคตสิ อนใจ ใหค้ วาม จรงิ เกย่ี วกับความคดิ และแนะแนวปฏบิ ัติ ซึ่งสามารถพิสูจนแ์ ละ เชอ่ื ถือได้ ลักษณะของสุภาษิต สุภาษิตมักจะเป็นข้อความสัน้ ๆ ใช้คางา่ ย ๆ แบบเอกรรถประโยค หรือเปน็ ประโยคแบบอเนกรรถประโยคก็ได้ และมกั จะมีลกั ษะเปรยี บเทยี บหรืออุปมาอุปไมย สามารถแบ่งได้ ดงั นี้
หว่านพชื เช่นใด ย่อมไดผ้ ลเชน่ น้นั หมายถงึ ผ้ทู ากรรมดียอ่ มได้ดี ผ้ทู ากรรมช่วั ยอ่ มได้ชัว่ ทาดไี ด้ดี ทาช่ัวได้ช่ัว หมายถึง คนเราทาอย่างไรก็จะได้อยา่ งนัน้
สภุ าษติ แบง่ ออกเป็น ๒ กล่มุ ใหญ่ ๆ ดังนี้ ๑. สุภาษติ ของนักปราชญต์ า่ ง ๆ รวมถึงพทุ ธศาสนสภุ าษติ เชน่ ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว หมายถึง คนเราทาอย่างไรก็ไดอ้ ยา่ งนน้ั ความกตญั ญกู ตเวที เป็นเคร่อื งหมายของคนดี หมายถงึ การตอบแทนตอ่ สิง่ หรอื บุคคลที่มีพระคณุ ต่อเรา ความไม่มโี รค เปน็ ลาภอนั ประเสริฐ หมายถงึ จงดแู ลสุขภาพร่างกาย และจติ ใจของตนเองให้ดี หากดแู ลดไี มม่ โี รคใด ๆ มากระทบกถ็ ือว่าโชคดี
๒. สภุ าษิตชาวบา้ น เปน็ สภุ าษิตทไ่ี มท่ ราบวา่ ใครเปน็ ผู้กลา่ ว เช่น นอนสงู ใหน้ อนคว่า นอนตา่ ใหน้ อนหงาย ยกตวั อย่าง คนทีเ่ ปน็ ผู้นาหรอื ผปู้ กครองอยา่ หลงลืมตน ควรก้มมองดลู กู น้องหรือคนท่ีต่าต้อยกวา่ วา่ เขาเปน็ อย่างไร เอาใจใส่ดูแล ฟังเสียงเขาบา้ ง ส่วนคนทเี่ ปน็ ลกู น้อง ก็สมควรทาหน้าท่ใี หเ้ รยี บร้อยไมใ่ หม้ ีขอ้ บกพร่อง ดแู บบอย่างจากเจา้ นายเพื่อนามาพฒั นาตนเอง
ตัวอยา่ ง สุภาษติ ธรรมย่อมรกั ษาผู้ประพฤตธิ รรม จงรกั ษาความดปี ระดุจเกลอื รักษาความเคม็ ปญั ญาประเสริฐกว่าทรพั ย์ จงเตอื นตนเองด้วยตนเอง พงึ ตัดความโกรธด้วยความข่มใจ อยา่ รกั เหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้า อย่ารกั ถ้ากวา่ เรอื น อย่ารกั เดอื นกวา่ ตะวัน
ขี้เกยี จเปน็ แมลงวัน ขยันเปน็ แมลงผง้ึ ขี้หงึ เป็นแมลงป่อง จองหองเปน็ แมลงวัน ชอบของเหมน็ เปรียบเช่นคนมักง่าย ไมข่ วนขวายหาส่งิ มคี ณุ ค่า แมลงผ้งึ แมลงปอ่ ง ขยันไปหาความหวานจากเกสรดอกไมม้ าเพิ่มคุณค่าใหต้ น แมลงสาบ มีพิษร้ายทหี่ าง เหมือนน้องนางขีห้ ึง จงึ มีเรื่องววิ าทบ่อย ไม่ชอบออกหากินในถน่ิ เปิดเผย เลยเปรยี บเหมือนคนจองหอง คอยจ้องฉอ้ โกงฉกลัก เมื่อคนเผลอ
คาพงั เพย
คาพงั เพย หมายถึง ถอ้ ยคาทม่ี ีความหมายลกึ ซึ้งกว่าสานวน โดยมี ลักษณะตชิ ม หรอื แสดงความเหน็ อยูใ่ นตวั แต่ไม่ถงึ กบั เปน็ คาสอน คาพงั เพย มลี ักษณะคล้ายสุภาษติ แต่ไม่ได้เป็นคติสอนใจ เพยี งแต่เป็น คากลา่ วท่มี ลี กั ษณะติชม และแสดงความเห็นอยูใ่ นตวั โดยมากจะมคี วามหมาย ซอ่ นอยู่ ดังนนั้ การใช้คาพังเพยจะตอ้ งตีความหมายให้เข้ากับสถานการณ์
ตวั อย่างคาพังเพย ไกเ่ หน็ ตนี งู งูเห็นนมไก่ การทค่ี นสองคน ตา่ งกร็ ู้ความลับ หรือนสิ ัยใจคอของกนั และกนั เป็นอยา่ งดี แตค่ นอืน่ นัน้ ไมร่ เู้ รอ่ื งของทัง้ สอง
ขช่ี า้ งจับต๊กั แตน การลงทนุ ลงแรงหรอื เวลาเป็น จานวนมากจนเกินความจาเป็น เพอื่ ทาในสงิ่ ที่จะไดร้ ับผลตอบแทน กลบั คนื มาจานวนนอ้ ยนดิ
เด็ดบัวไม่ไว้ใย การตัดความสัมพันธ์กนั แบบเดด็ ขาด ตัดญาตขิ าดมิตรกันเด็ดขาดอยา่ งไรเ้ ยอ่ื ใย มักใชเ้ ขา้ คู่กับ “เด็ดดอกไม่ไวข้ ัว้ ” ว่า เด็ดดอกไมไ่ วข้ ้ัว เด็ดบวั ไมไ่ วใ้ ย
จบั ปลาสองมอื การทค่ี น ๆ หน่ึงทาสิ่งใดท่ี ยากพรอ้ ม ๆ กนั ทาให้ ล้มเหลวท้ังสองสิ่งนัน้
๑.) เปน็ เครอ่ื งอบรมสงั่ สอนและชี้แนะใหเ้ ปน็ คนดี คณุ คา่ ของ ๒.) สะท้อนใหเ้ ห็นความคดิ ความเช่อื ในสังคมไทย สานวนไทย ๓.) สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ภาวะความเป็นอยู่
๔.) การศึกษาสานวนต่างๆ ชว่ ยทาให้เราใช้ภาษาได้ถกู ตอ้ งและ คณุ ค่าของ สละสลวย ไม่ต้องใชค้ าพูดท่ีเย่นิ เย้อยืดยาวแต่สามารถเรียกรอ้ งความ สานวนไทย สนใจจากผู้อา่ นไดม้ ากนอกจากนน้ั การศึกษาสภุ าษติ คาพังเพย และ สานวนของภาคต่างๆทาให้เราได้เรยี นร้ภู าษาถิ่นไปด้วยในตวั ๕.) การเรยี นรเู้ ร่ืองสภุ าษติ คาพงั เพย และสานวนต่างๆ เป็น การสืบตอ่ วัฒนธรรมของชาตเิ อาไวม้ ิให้สูญหาย และเกิดความ ภูมิใจที่บรรพชนได้คิดสร้างสิ่งเหล่านีไ้ ว้แกเเรา
สานวน สุภาษิต และคาพงั เพย ที่คาดวา่ จะไม่ใช้กนั แล้วในปัจจบุ ันนี้คอื .. “ รกั ววั ให้ผู ก รกั ลูกให้ตี ”
คาช้ีแจง นาสานวนท่ีกาหนดให้ เตมิ ลงในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง ญาตดิ ี ป้นั น้าเปน็ ตัว มะนาวไมม่ นี า้ สู้ยิบตา เขียนเสือใหว้ วั กลวั ดนิ พอกหางหมู ราไมด่ โี ทษปโี่ ทษกลอง ชักแม่นา้ ท้ังห้า ขมเหมอื นบอระเพ็ด เถียงคาไม่ตกฟาก ดูหน้าตอ่ ไป.......
๑. เธอไม่ยอมทางาน เกบ็ สะสมไวจ้ นเป็น....................................................... ๒. เธอไมต่ ้องพูด.......................................หรอก เพราะอย่างไรฉันกไ็ ม่เช่อื เธออกี แลว้ ๓. ฉนั ไม่ชอบกนิ ยานีเ้ ลย เพราะมันมีรส......................................................... ๔. คุณไมต่ อ้ งกลวั หรอก ฉนั แคข่ ่เู ขาเพื่อ........................................เทา่ นนั้ เอง ๕. แม่คา้ คนนี้เปน็ คนพูดจา.......................................จนไมม่ ีลกู คา้ ซื้อของเธอแลว้ ๖. เขาถกู นักเลงรุมทารา้ ย แตเ่ ขาก็................................ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนเมอ่ื ก่อน ๗. เธอทาผดิ กย็ อมรบั ผดิ เถอะ ไมม่ ีใครว่าอะไรหรอก อยา่ ...........................................เลย ๘. ฟา้ กับต๋อมไม่มีทาง.............................กนั ได้หรอก เพราะคนู่ ีเ้ ขาเกลยี ดกนั มาก ๙. นอ้ งคนน้นี ่าตีนัก พี่พูดอะไรกไ็ ม่ยอมฟงั เอาแต่............................................. ๑๐. ผู้หญงิ คนนี้ชอบพูดเพอ้ เจ้อเป็นตเุ ป็นตะแบบ.................................ใคร ๆ จงึ ไมเ่ ชอ่ื
๑. เธอไมย่ อมทางาน เก็บสะสมไวจ้ นเปน็ .........ด..นิ...พ..อ...ก..ห...า.ง..ห...ม..ู....................... ๒. เธอไม่ต้องพดู ....ช...กั ..แ..ม...น่ ..้า..ท...ัง้ .ห...า้..............หรอก เพราะอยา่ งไรฉันก็ไม่เชอื่ เธออีกแล้ว ๓. ฉนั ไม่ชอบกนิ ยาน้ีเลย เพราะมนั มีรส.........ข...ม..เ.ห...ม..อื...น..บ...อ..ร..ะ..เ.พ...็ด................... ๔. คณุ ไมต่ ้องกลัวหรอก ฉนั แคข่ เู่ ขาเพอื่ ....เ.ข...ีย..น..เ..ส..ือ..ใ..ห..้ว...ัว..ก..ล..วั.........เทา่ นนั้ เอง ๕. แมค่ ้าคนนี้เป็นคนพดู จา..........ม..ะ..น...า..ว..ไ.ม...่ม..ีน...า้ .........จนไมม่ ลี ูกค้าซ้ือของเธอแลว้ ๖. เขาถูกนักเลงรุมทารา้ ย แตเ่ ขาก็.........ส..ยู้...ิบ..ต..า..............ไม่ยอมแพง้ า่ ย ๆ เหมอื นเมื่อก่อน ๗. เธอทาผดิ ก็ยอมรับผดิ เถอะ ไมม่ ใี ครว่าอะไรหรอก อย่า.....ร..า..ไ..ม..่ด..โี..ท..ษ...ป...่โี .ท...ษ..ก...ล..อ..ง.....เลย ๘. ฟ้ากับตอ๋ มไม่มีทาง..........ญ...า..ต..ิด...ี .........กนั ได้หรอก เพราะคนู่ ้เี ขาเกลียดกนั มาก ๙. น้องคนนี้นา่ ตนี กั พพ่ี ดู อะไรกไ็ ม่ยอมฟงั เอาแต่.......เ..ถ..ีย..ง..ค..า..ไ..ม..่ต...ก..ฟ...า..ก............ ๑๐. ผู้หญงิ คนน้ชี อบพูดเพอ้ เจอ้ เป็นตุเป็นตะแบบ......ป...ัน้...น..้า..เ.ป...น็..ต...ัว........ใคร ๆ จึงไมเ่ ชอ่ื
สรปุ สภุ าษิตและคาพังเพย จดั เป็น สานวน ดว้ ยกันทงั้ คู่ เพราะมีความหมายใน เชงิ เปรยี บเทียบ และเป็นถ้อยคาทีใ่ ชส้ ืบเนื่องกนั มานาน สุภาษติ เป็นถอ้ ยคาทมี่ กั ใช้ คาสั้น ๆ กะทดั รัดแต่มีความหมายลึกซง้ึ มสี ัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษติ ท่ใี ช้ใน สังคมไทยมกั มีที่มาจากคาสอนทางพุทธศาสนา หรอื อาจนามาจากธรรมชาติ และสิง่ รอบ ๆ ตวั คาพงั เพย เปน็ ถอ้ ยคาท่ใี หข้ ้อคดิ โดยกล่าวถงึ พฤตกิ รรมหรอื ธรรมชาติ รอบตัว สว่ นมากมกั เป็นถอ้ ยคาท่ีเปน็ ขอ้ สรุปการกระทาหรือพฤติกรรมทว่ั ไป อาจมี ท่ีมาจากนิทาน ตานาน วรรณคดี สานวนไทยมีคณุ คา่ หลายประการ เชน่ สะท้อน วฒั นธรรม ประเพณี ศาสนา และวถิ ีชีวติ ความเป็นอยู่ของคนไทย
การบา้ น *** ใหน้ ักเรียนทาแบบฝกึ หัด เร่ืองสานวน สุภาษติ คาพังเพย ในหนงั สอื แบบฝกึ หดั ภาษาไทย ป.4 หน้าที่ 98 นะคะ ***
ก่อนจากกนั กจิ กรรมถัดไป ทบทวน การบ้าน กิจกรรมวนั นี้ แบบฝึกหัด ทาแบบฝกึ หดั เรอ่ื ง หน่วยการเรทยี บนทรว้ภู นาษาถิ่น สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย ในหนงั สอื การบา้ น แบบฝึกหัดภาษาไทย หน้า 98
เจอกนั ใหม่คาบหน้าจ้า
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: