Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

07

Published by Chalermpon Laothiang, 2021-02-20 03:30:51

Description: 07

Search

Read the Text Version

1 กลุมสาระการเรียนรูส งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี ๒ ตาํ แหนง ครู วิทยฐานะครชู าํ นาญการพเิ ศษ โรงเรียนมธั ยมศกึ ษาเทศบาลเมอื งปทุมธานี เทศบาลเมอื งปทุมธานี อาํ เภอเมืองปทุมธานี จงั หวดั ปทมุ ธานี

ก รปู แบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพ่ือสงเสริมทักษะ การเรียนรแู บบ Active learning กลมุ สาระการเรยี นรูสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชัน้ มธั ยมศึกษา ปที่ ๒ เน้ือหาเลมนี้สอดคลองกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อเสริมสรางความรูและความเขาใจประวัติ ความสําคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ ถูกตอ ง ยึดม่ันและปฏิบัติตามหลกั ธรรมเพือ่ อยรู วมกันอยา งสนั ติสุข รปู แบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพื่อสงเสริมทักษะ การเรียนรแู บบ Active learning กลมุ สาระการเรยี นรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชนั้ มธั ยม ศึกษาปท่ี ๒ เลมที่ ๗ เรอ่ื ง การบรหิ ารจิตและการเจรญิ ปญ ญา จัดทําเพ่ือใหนักเรียนสามารถบอก ลกั ษณะวธิ ีคิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คุณธรรมวธิ คี ดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธได ระบกุ ารปฏบิ ัติตนทด่ี ีตาม วธิ ีคิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คุณธรรมวิธคี ิดแบบอรรถธรรมสมั พันธได บอกขั้นตอนของการสวดมนตแปล และแผเ มตตาได ปฏบิ ตั ิการบรหิ ารจติ ตามหลกั อานาปานสติได เห็นคุณคา การบริหารจติ และการ เจริญปญ ญาในการทําสมาธแิ ละนาํ มาปฏบิ ตั ติ นในชีวติ ประจาํ วันได ขอขอบพระคุณผูเชี่ยวชาญทุกทานท่ีใหคําปรึกษา แนะนําในการจัดทํารูปแบบการจัดการ เรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคาํ สอนของพระพุทธเจา เพ่ือสง เสริมทักษะการเรียนรูแ บบ Active learning กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๒ ชุดนี้จน สาํ เรจ็ สามารถนําไปใชพัฒนาใหคงอยูตอไป หวังเปนอยางย่ิงวารูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคาํ สอนของพระพุทธเจา เพื่อสงเสริมทักษะการเรียนรูแบบ Active learning กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๒ ชุดนี้จะเปนประโยชนตอการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของ ครู ชวยพัฒนานักเรียนและเยาวชนทุกคนใหเปนศาสนิกชนที่ดี และธํารงรักษาพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนับถือสืบไป นางอมรรัตน ภูมิประหมัน

ข เร่ือง หนา คํานํา ก สารบัญ ข คําช้แี จง ค มาตรฐานและตวั ชี้วัด ง จดุ ประสงคก ารเรยี นรู ๑ แบบทดสอบกอ นเรยี น ๒ ใบความรทู ่ี ๑ เรื่อง วธิ ีคดิ แบบอุบายปลุกเราคุณธรรม และวิธีคิดแบบอรรถธรรมสมั พนั ธ ๔ ใบกิจกรรมท่ี ๑ เร่อื ง วิธีคดิ แบบแบบอบุ ายปลุกเราคุณธรรม วธิ คี ิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธ ๗ ใบความรทู ่ี ๒ เรอ่ื ง การสวดมนตแปล และแผเมตตา ๙ ใบกิจกรรมท่ี ๒ เรือ่ ง การสวดมนตแปลและแผเ มตตา ๑๒ ใบความรทู ี่ ๓ เรอื่ ง การบริหารจิตและเจรญิ ปญ ญา ๑๓ ใบกิจกรรมที่ ๓ เรื่อง การบริหารจติ และเจริญปญ ญา ๑๗ แบบทดสอบหลังเรยี น ๑๙ ภาคผนวก ๒๑ เฉลยแบบทดสอบกอ นเรยี น ๒๒ เฉลยใบกิจกรรมที่ ๑ เรื่อง วิธีคดิ แบบแบบอุบายปลุกเราคุณธรรมวิธีคิดแบบอรรถธรรมสมั พนั ธ ๒๓ เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๒ เร่ือง การสวดมนตแ ปลและแผเ มตตา ๒๕ เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๓ เรือ่ ง การบรหิ ารจติ และเจริญปญ ญา ๒๖ เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ๒๘ บรรณานกุ รม ๒๙

ค รูปแบบการจดั การเรยี นรูพระพทุ ธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพทุ ธเจา เพ่ือสง เสรมิ ทกั ษะการ เรียนรแู บบ Active learning กลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชน้ั มัธยมศึกษา ปท ี่ ๒ พฒั นาขึน้ มาเพื่อเปนแหลง ความรูข องนักเรียนสามารถบอกลกั ษณะวิธีคิดแบบอุบายปลุกเรา คุณธรรมวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธได ระบกุ ารปฏบิ ตั ิตนท่ดี ตี ามวธิ คี ดิ แบบอบุ ายปลุกเรา คณุ ธรรม วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธได บอกข้ันตอนของการสวดมนตแปลและแผเมตตาได ปฏิบัติการ บริหารจิตตามหลกั อานาปานสตไิ ด เห็นคณุ คา การบรหิ ารจิตและการเจริญปญญาในการทําสมาธิ และนาํ มาปฏิบตั ิตนในชีวติ ประจําวันได รูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพ่ือสงเสริมทักษะ การเรยี นรแู บบ Active learning กลมุ สาระการเรยี นรูส งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ ๒ มที ง้ั หมด ๗ เลม ดงั นี้ เลม ที่ ๑ เรอ่ื ง พระพทุ ธศาสนาในประเทศเพอื่ นบาน เลมท่ี ๒ เรื่อง พุทธประวตั ิ พระสาวก ศาสนกิ ชนตวั อยาง และชาดก เลมท่ี ๓ เรื่อง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา เลมท่ี ๔ เรื่อง พระไตรปฎกและพุทธศาสนสุภาษิต เลมท่ี ๕ เรอ่ื ง หนา ที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพทุ ธ เลมท่ี ๖ เรื่อง วันสําคญั ทางพทุ ธศาสนาและศาสนพิธี เลมท่ี ๗ เรอื่ ง การบรหิ ารจติ และการเจริญปญ ญา เพ่ือใหบรรลุจุดประสงคของรปู แบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของ พระพุทธเจา เพื่อสง เสรมิ ทักษะการเรยี นรูแบบ Active learning กลุมสาระการเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ ๒ เลมที่ ๗ เร่อื ง การบริหารจติ และการเจรญิ ปญญา มขี อเสนอแนะใหน ักเรยี นปฏบิ ตั ติ ามข้ันตอน ดงั น้ี ๑. ศกึ ษาทาํ ความเขาใจจดุ ประสงคของรูปแบบการจดั การเรยี นรู ๒. ทําแบบทดสอบกอนเรียนจํานวน ๑๐ ขอ กอนศึกษาเนื้อหาในเลม เพ่ือตรวจความรู พื้นฐาน ๓. นักเรยี นศกึ ษาใบความรแู ละทําใบงานท่กี ําหนดให ๔. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน พรอมกับตรวจคําตอบจากเฉลยเพื่อจะไดทราบ วาตนเองมีการพัฒนาดา นความรเู พิม่ เตมิ เพยี งใด

ง สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม มาตรฐาน ส ๑.๑ รูแ ละเขา ใจประวัติ ความสาํ คัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนาอน่ื มศี รัทธาทีถ่ กู ตอง ยึดมั่น และปฏิบตั ิตาม หลกั ธรรม เพ่ืออยูรวมกันอยา งสนั ติสขุ ตัวชี้วัด ส ๑.๑ ม.๒/๙ เห็นคณุ คาของการพัฒนาจติ เพ่ือการเรยี นรแู ละดําเนินชวี ิตดวยวธิ คี ดิ แบบ โยนิโสมนสกิ ารคือวิธคี ดิ แบบอุบายปลกุ เราคุณธรรมและวิธีคดิ แบบอรรถ ธรรมสมั พนั ธห รือการพฒั นาจิตตาม แนวทางของศาสนาท่ีตนนบั ถอื ส ๑.๑ ม.๒/๑๐ สวดมนต แผเ มตตา บรหิ ารจติ และเจรญิ ปญญาดว ยอานาปานสติหรอื ตาม แนวทางของศาสนาทตี่ นนบั ถือ สาระสําคัญ การบรหิ ารจิตใจ คือ การฝกฝนอบรมจิตใจใหด งี าม นมุ นวลมคี วามหนกั แนน ม่นั คง แข็งแรง ผอ นคลาย และสขุ สงบสว นการเจรญิ ปญญา คอื การใหรูจกั คดิ อยางท่เี รียกกนั วา \"คิดเปนแกปญหา เปน\" การฝกจิตใหเ ปนสมาธิ โดยการสวดมนต แผเ มตตาบริหารจิตและการเจริญปญญาดวยการ กําหนดลมหายใจเขา ออกตามหลักอานาปานสตเิ ปนวิธียกระดับจติ ใจใหสงู ขน้ึ เปน วธิ ที ่ีมปี ระโยชน ตอ การดาํ เนนิ ชีวิต โดยมจี ุดมงุ หมายคือการหลดุ พนจากกเิ ลสและทุกขทง้ั ปวง

๑ เมือ่ ศกึ ษารปู แบบการจดั การเรียนรพู ระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพทุ ธเจา เพือ่ สงเสริมทกั ษะการเรยี นรูแบบ Active learning กลมุ สาระการเรียนรสู งั คมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี ๒ เลม ที่ ๗ เรอื่ ง การบริหารจติ และการเจรญิ ปญญา นกั เรียน สามารถแสดงพฤติกรรมดังตอไปนี้ ดา นความรู (K) ๑. นกั เรยี นบอกลกั ษณะวิธีคิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คุณธรรมวธิ คี ดิ แบบอรรถ ธรรมสัมพนั ธได ๒. นักเรียนระบุการปฏบิ ัตติ นที่ดตี ามวธิ คี ดิ แบบอุบายปลุกเราคุณธรรมวิธีคดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธได ๓. นกั เรียนบอกขั้นตอนของการสวดมนตแ ปลและแผเ มตตาได ๔. นักเรียนปฏบิ ตั กิ ารบริหารจติ ตามหลักอานาปานสติได ๕. นักเรียนเห็นคุณคา การบริหารจิตและการเจริญปญญาในการทําสมาธิและ นํามาปฏิบัติตนในชวี ติ ประจําวันได ดานทกั ษะ (P) ๑. นักเรยี นมีความสามารถในการแกป ญ หา ๒. นกั เรยี นมีความสามารถในการใหเ หตผุ ล ๓. นักเรียนมคี วามสามารถในการสอ่ื สาร สื่อความหมาย ดานคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค (A) ๑. นักเรยี นมีความซือ่ สัตยสุจริต ๒. นักเรียนมีการใฝเรยี นรู ๓. นกั เรยี นมีความมุงม่นั ในการทํางาน

๒ แบบทดสอบกอนเรียน เลมที่ ๗ เรื่อง การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญญา คําช้แี จง ใหนักเรียนทําเคร่อื งหมาย  ลงบนหนาขอที่ถูกตอ งมากทส่ี ดุ ๑. ขอ ใดตอไปนีม้ ีความสมั พนั ธ ก. ทุกคร้งั น่ังสมาธิ -ทําความสะอาดรา งกาย ข. การสวดมนต -นงั่ ทา เทพธิดา ทาเทพบุตร ค. แผเ มตตา อทุ ิศสว นกศุ ลใหก บั บรรพบรุ ุษ ง. เจรญิ ปญ ญา- เกิด แก เจบ็ ตาย ๒. บคุ คลใดทเี่ ก่ียวขอ งกับสตุ ยมปญ ญา ก. สายใจตดั สนิ ใจซ้อื ชุดกีฬา ๒ ชุด ข. เพยี งเพ็ญต้งั ใจฟงคณุ ครสู อนวิชาสงั คมศกึ ษา ค. อมิ่ เอมไดน ่งั สมาธิ ทําใหมสี ติในการแกป ญ หา ง. สมศักดิ์ไดฝ กการน่งั สวดมนต โดยจะนง่ั ในทาเทพธดิ า ๓. จดุ มงุ หมายของ “จติ ภาวนา” คอื ขอ ใด ก. การมีระเบยี บวนิ ัย สํารวมกายวาจา ข. การแผค วามดไี ปสมู วลมนุษย ค. การสวดออนวอนใหบรรลผุ ล ง. การสรา งความสงบในจิตใจ ๔. บุคคลใดเตรยี มตัวเพื่อการบริหารจิตไดดที สี่ ดุ ก. กานต ถวายสงั ฆทานเพื่อเปนอามสิ บูชากอ นที่จะปฏิบัตบิ ูชา ข. ปงปอนด นอนหลบั พกั ผอ นมากอ นเพ่อื เตรยี มใจใหพ รอม ค. ยงยุทธ มีศรัทธา ตดั ความวติ กกังวล ง. ศรชยั บริหารรา งกายมากอ น ๕. เพื่อนๆ ไมยอมใหบ ีมเขากลุม ทาํ รายงาน เพราะมอบหมายใหทาํ สงิ่ ใดก็มกั หลงลืม อยูเ สมอ ดังนนั้ บีมควรตดั สินใจทาํ อยางไร ก. ขอทดสอบแทนการทํารายงาน ข. ขออนญุ าตคณุ ครทู ํารายงานเดย่ี ว ค. พยายามฝกตนใหมีสตสิ ัมปชัญญะอยูเสมอ ง. พยายามขอเขาไปทํารายงานกบั เพ่อื นในกลุม อนื่

๓ ๖. การคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ ารกอใหเกิดผลดีตา งๆ ยกเวนขอ ใด ก. ธนาใชก ารคดิ แบบโยนิโสมนสิการ สามารถทําสิง่ ตางๆ ไดตามท่ใี จตองการ ข ธิติใชการคิดแบบโยนิโสมนสกิ ารสรางความสามคั คแี ละรจู กั ใหอ ภัยกนั ค. วันดีใชการคดิ แบบโยนโิ สมนสิการทําใหป ระสบความสําเร็จในชีวติ ง. พรชัยใชก ารคดิ แบบโยนิโสมนสิการทําส่ิงตา งๆ ถูกตอ งเหมาะสม ๗. ขอ ใดกลาวถึงการแผเมตตาไดถกู ตอง ก. การแผเมตตาแสดงถึงความบริสุทธิใ์ จ ข. ควรแผเมตตาใหกบั คนที่เปนท่รี กั เทา น้นั ค. แผเ มตตาในวนั พระจะมีอานสิ งสก วา วนั ธรรมดา ง. การแผเมตตาตองกรวดนํา้ อุทศิ สวนกุศลกอ นเสมอ ๘. ส่งิ ที่ขาดไมไดขณะฝก สมาธคิ อื อะไร ก. การน่ังหลับตา ข. การกําหนดสติ ค. การน่ังสมาธิ ง. การภาวนาพุท – โธ ๙. ขอ ดขี องการบรหิ ารจิตมีหลายประการยกเวน ขอ ใด ก. มสี ตสิ มบูรณข ้ึน ข. มอี ารมณเ ยอื กเยน็ ขึ้น ค. ชีวิตมีความสขุ สงบขน้ึ ง. มีอาํ นาจและวาสนาเพิม่ ขนึ้ ๑๐. ขอใดไมใชผ ลจากการฝก บรหิ ารจิตและเจรญิ ปญ ญา ก. วภิ ารสู ึกโมโหทกุ ครั้งที่ตอ งยืนรอรถโดยสารนานๆ ข. วไิ ลพรสามรถจดจําและเขา ใจความรูทค่ี รสู อนไดดี ค. วไิ ลวรรณไมร ูสึกหงุดหงิดเมอ่ื ตอ งน่งั อยบู นรถในขณะรถตดิ ง. วรรณพรทาํ งานตามทีห่ ัวหนา มอบหมายใหอยางมีประสทิ ธภิ าพ

๔ ใบความรทู ี่ ๑ เรอ่ื ง วธิ ีคดิ แบบอุบายปลุกเราคุณธรรม และวธิ ีคดิ แบบอรรถธรรมสมั พันธ โยนิโสมนสกิ าร เปน วิธกี ารคิดในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การคิดโดยแยบคาย คอื คิดดี คดิ เปน คิดถูกตองและรอบคอบ ซงึ่ การคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารนี้เปน วิธีคดิ ที่ควรแกการฝกฝนและ พฒั นาใหเกิด เพ่อื ใหชวี ิตของเราดาํ เนนิ ไปสูค วามสุข การคิดแบบโยนิโสมนสกิ าร มวี ิธีการคิด ๑๐ วธิ ี ดงั น้ี ๑. วธิ คี ดิ แบบสบื สาวเหตุปจจัย คอื คดิ แบบมีเหตผุ ล เชนพระพทุ ธเจาทรงตรัสรโู ดยใชว ธิ กี าร คดิ แบบสบื สาวหาเหตุจากปจจัย พระองคตัง้ คําถามขึน้ มาเกย่ี วกับเวทนา ไดแ ก ความรูสึกสขุ ทกุ ข โดยทรงพิจารณาวา เวทนาทเ่ี ปน สุขเปนทกุ ขนเ้ี กดิ ขึน้ โดยมอี ะไรเปนปจ จยั แลว พระองคก ส็ บื สาวไป กท็ รงคน พบวา มีผัสสะ เปนตน ๒. วธิ คี ิดแบบแยกแยะ สวนประกอบ คอื การคิดจาํ แนกแยกแยะองคร วมของสง่ิ ตาง ๆ ออก เปนองคยอ ย ๆ ทําใหมองเห็นความสมพนั ธขององคประกอบยอ ยเหลานน้ั วา มีความเกีย่ วเนอ่ื งกนั เปน เหตเุ ปนผลและพ่ึงพาอาศยั กันอยางไร จึงประสานสอดคลอ งกันเปนองครวม วิธคี ดิ แบบนีจ้ ะทาํ ให เรารแู ละเขา ใจส่ิงตาง ๆ ตามสภาพความเปน จรงิ ๓. วธิ แี บบสามญั ลกั ษณะ คอื คดิ แบบไตรลักษณ (อนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา) คือคิดแบบรูเทาทัน ธรรมดา ชีวติ ของคนเราก็เปน เชนนี้เปน อนจิ จังไมเ ทยี่ งแท ทุกขังมีแตความทุกข อนตั ตาไมม ีตวั ตนท่ี แนนอน ๔. วธิ คี ดิ แบบอริยสจั หรอื วิธีคดิ แบบแกป ญหา คือ การพจิ ารณาปญ หามีอะไรบา ง (ทกุ ข) สาเหตุอยูท่ีใด (สมุทัย) แนวทางและเปาหมายของการแกปญหาท่ีตั้งไว (นิโรธ) พิจารณาวธิ กี าร ดาํ เนินงานเพ่ือบรรลเุ ปาหมาย (มรรค) ซงึ่ เราสามารถใชเ ปน หลักยึดในการพิจารณาถงึ ความเปนจรงิ และนําไปสูการคิด ตามกระบวนการน้ี ๕. วิธคี ดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ คิดตามหลักการและความมงุ หมาย เปนการคดิ แบบสตุ บรุ ุษ หรอื สัปปรุ ิสธรรมอันเปนคุณสมบัติของคนดี คือ รจู ักเหตุ รจู กั ผลรจู ักตน รูจกั ประมาณ รูจักบุคคล รจู กั ชมุ ชน ๖. วิธคี ดิ แบบเหน็ คณุ โทษและทางออก คอื มองในเชิงคณุ คาวาสงิ่ นน้ั ๆ มีคุณในแงไ หน มโี ทษ ในแงไหน มองทง้ั คุณและโทษ แลวก็หาทางออกท่จี ะแกไ ข ๗. วิธคี ดิ แบบคณุ คา แท-คุณคา เทียม รจู ักแยกแยะสงิ่ ดีชว่ั ไดอ ยา งมเี หตผุ ล ๘. วิธีคิดแบบปลุกเราคณุ ธรรม คิดแบบปลกุ เราคณุ ธรรมหรอื ชุดความดี หมายถงึ การบําเพญ็ ความดี ซง่ึ จะตอ งกระทาํ ใหถ ึงที่สดุ ๙. วิธคี ิดแบบเปนอยใู นขณะปจ จบุ ัน คอื คดิ อยูในปจ จุบนั แนวเพงพจิ ารณามสี ตริ ะลกึ อยกู บั ส่ิงที่กําลงั เปนอยู เกิดขึน้ หรอื รูการกระทําทกุ ขณะจติ เปน แนวคดิ แหงปญญา ๑๐. วธิ ีคิดแบบวิภชั ชวาท (แบบจาํ แนก) คอื คิดแบบรอบดาน แยกแยะ มองสง่ิ ตาง ๆ ใน หลาย ๆ มมุ อยางละเอียดรอบคอบ

๕ วิธีคิดแบบอุบายปลกุ เราคณุ ธรรม วิธคี ดิ แบบอุบายปลกุ เราคุณธรรม หมายถงึ การคิดในทางทด่ี ี คดิ ในเชิงบวก คิดในทางที่เปน กศุ ลหรอื เรียกวา การมองโลกในแงด ี การคดิ แบบอุบายปลุกเราคุณธรรม มคี วามสําคัญในการทจ่ี ะทําใหเกดิ ความคดิ และการกระทําท่ี ดีงาม เปน ประโยชนใ นขณะนนั้ ๆ และชวยขจดั ความคิดอกุศลท่มี ีอยใู นจติ ใจใหลดนอ ยลงและหมดไป และในขณะเดียวกันก็ฝกฝนจติ ใจใหเปน ผูท่มี องโลกในแงด ดี ว ยเชน กนั ภาพ : นกั เรยี นโรงเรียนมธั ยมศึกษาเทศบาลเมืองปทุมธานีรวมมุทิตาจติ ในกจิ กรรมปารชิ าตลาชอ ทม่ี า : นางอมรรัตน ภมู ปิ ระหมัน วธิ ีคดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ คาํ วา อรรถ หมายถึง เน้ือความ ความหมาย ความมุงหมาย ผล สว นคําวา ธรรม หมายถึง หลกั การ แบบแผน หรือหลกั ประพฤติปฏิบัติ ซ่ึงคําวา อรรถ และ ธรรม มคี วามสัมพนั ธกันในแงข อง หลกั การหรือหลักประพฤตปิ ฏบิ ัติและความมุงหมายหรอื ผลของหลกั การนนั้ ๆ วธิ คี ดิ แบบอรรถธรรมสมั พันธ คือ การคดิ ท่ีเปนเหตุเปนผลกนั ของหลกั การและผลของการ กระทาํ นน้ั ๆ วา การกระทําดงั กลาว ทาํ เพ่อื ใครหรืออะไร แลวผลท่ีตามมาของการกระทําน้ันคอื อะไร เปนประโยชนหรือเปน โทษอยางไร เชน นักเรียนทีม่ ีความมงุ หมายจะศกึ ษาตอในระดับอดุ มศกึ ษา ก็ ตองรจู ักคดิ วางแผนการเรียน มีความขยันหม่ันเพยี รศกึ ษาคนควา อยเู สมอ และไมป ระพฤตปิ ฏิบตั ติ น ออกนอกลูนอกทางท่จี ะทําใหเ สยี การเรียน เมือ่ คดิ ไดดงั นแ้ี ลว ก็ปฏิบัตติ ามนน้ั ภาพ : นกั เรยี นท่ีมีความมุงหมาย ขยนั หม่ันเพียรศกึ ษาคนควาอยูเสมอ ทม่ี า : นางอมรรตั น ภมู ปิ ระหมนั

๖ การคิดดว ยวธิ คี ดิ แบบอรรถธรรมสมั พนั ธน ี้เปน การคิดแบบรอบคอบ กอนท่จี ะตัดสินใจกระทาํ สิง่ ใดสิ่งหน่งึ ไป ซึ่งเปน วิธคี ิดท่จี ะชว ยเตือนสติของตัวเราเอง เพราะในบางครง้ั คนเราอาจจะกระทํา บางสง่ิ บางอยา งโดยขาดการวนิ จิ ฉัยไตรต รองใหถ ีถ่ วน หรือกระทาํ ไปดว ยความประมาท ขาดความยง้ั คิด ทําใหเกดิ ความผิดพลาดเสยี หาย หรือเปนโทษท้งั ตอ ตนเองและผอู น่ื ได ดังน้นั เราจึงควรฝก ฝนตน ใหมวี ธิ ีการคิดแบบอรรถธรรมสมั พนั ธ คอื คิดแบบมเี ปา หมาย เพื่อเปน การพฒั นาปญญาและเปน แนว ทางการดาํ เนินชวี ติ อยางไมประมาท ภาพ : นักเรียนทม่ี คี วามมงุ หมาย ขยันหม่ันเพยี รศกึ ษาคน ควาอยเู สมอ ทม่ี า : นางอมรรตั น ภมู ปิ ระหมัน

๗ ใบกิจกรรมที่ ๑ เรื่อง วธิ คี ิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คณุ ธรรม วิธีคิดแบบอรรถธรรมสมั พนั ธ กิจกรรมที่ ๑ คําชี้แจง : ใหนกั เรยี นวิเคราะหสถานการณทกี่ ําหนดให แลว พิจารณาดังกลา วเปน วิธีคดิ แบบแบบอุบาย ปลุกเรา คุณธรรมหรือวิธคี ดิ แบบอรรถธรรม ๑. ราตรีสอบตกวิชาภาษาไทย แตไ มย อทอ เพราะคิดวา สอบคร้งั ตอ ไปจะตงั้ ใจอานหนังสอื และทาํ ขอสอบใหผา น วิธคี ดิ แบบ ............................................................................................................ ๒. ดวงใจเก็บกระเปาสตางคไ ดระหวางเดินทางไปโรงเรียน จึงคิดจะตามหาเจาของกระเปาสตางคไ ปนนั้ วิธคี ดิ แบบ ............................................................................................................ ๓. ประกอบอยากเปนตวั แทนนกั กีฬาฟตุ บอลของโรงเรยี น จึงพยายามฝกซอ มฟุตบอลทกุ วนั วธิ ีคิดแบบ ............................................................................................................ ๔. นราชัยไมโกรธเพ่ือนทเ่ี พื่อนวงิ่ มาชน เพราะคดิ วา เพอ่ื นคงไมไดตั้งใจ วธิ ีคิดแบบ ............................................................................................................ ๕. พรชัยแพการแขงขันเรอื ใบ แตไมร ูสึกเปนทกุ ข เพราะคดิ วาการแขงขนั มแี พมีชนะเปน เร่ืองธรรมดา วิธคี ดิ แบบ ............................................................................................................ ๖. ธนพลอยากเปน ผูพิพากษา จึงเลือกเรียนตอระดับอุดมศกึ ษาในคณะนิตศิ าสตร วิธีคิดแบบ ............................................................................................................ ๗. สกุ ญั ญาคิดวา เคร่อื งดมื่ แอลกอฮอลเ ปน สง่ิ ไมดีไมม ีประโยชน จงึ หลีกเลยี่ งการด่มื แอลกอฮอล วิธีคิดแบบ ............................................................................................................ ๘. ไชยยามีนา้ํ หนกั เกนิ เกณฑม าตรฐานจงึ ตงั้ ใจวาจะออกกําลังกายทุกวนั และควบคุมอาหารเพ่ือลด นา้ํ หนักใหได ๕๐ ก.ก. วธิ ีคิดแบบ ............................................................................................................ ๙. ศริ ิวฒั นเ หน็ สะพานขา มคลองในหมบู า นชํารุดเกรงวา ผสู ัญจรไปมาจะเกิดอันตรายจงึ แจงเจา หนาที่ มาซอมแซม วิธีคิดแบบ ............................................................................................................ ๑๐. สายชลต้ังใจเก็บเงนิ คา ขนม วันละ ๕ บาท เพอ่ื ซือ้ ของขวญั วนั เกิดใหค ณุ แมในเดอื นหนา วิธีคิดแบบ ............................................................................................................

๘ กจิ กรรมท่ี ๒ คําช้แี จง : ใหน ักเรยี นยกตัวอยา งปญหาจากขา วมา ๑ ปญหา เสนอวิธคี ดิ แบบโยนิโสมนสกิ ารตาม แบบวธิ คี ิดแบบแบบอุบายปลกุ เรา คณุ ธรรมหรือวธิ ีคดิ แบบอรรถธรรม แลว ตอบคําถามลง ในแผนภาพ ปญ หา ........................................................................................................ วิธคี ิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คณุ ธรรม วธิ ีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ การคิดดว ยวธิ นี ท้ี ําใหนกั เรียนรูส กึ อยา งไร การคิดดวยวธิ นี ้ีทําใหน ักเรียนรูส กึ อยางไร

๙ ใบความรูท ี่ ๒ เรื่อง การสวดมนตแปล และแผเ มตตา การบรหิ ารจิตและเจรญิ ปญญาควรเริม่ ดวยการสวดมนต แผเ มตตา กอนฝก สมาธิตามหลักสติปฏ ฐานเนน อานาปานสติ โดยการสวดมนต ชายจะนัง่ ทาเทพบตุ ร หญิงนง่ั ใน ทา เทพธดิ า ประนมมอื ชิดกันอยูระหวางหนาอก สาํ รวมกาย วาจา ใจ ขอ ปฏิบตั ิเบ้อื งตนกอ นทีจ่ ะไหวพระสวดมนต เปนพธิ ีการ ควรมีการเตรียมการดงั น้ี ๑. จดั ตั้งโตะ หมบู ชู าและอญั เชิญพระพทุ ธรปู มาตั้ง ๒. ตง้ั กระถางธปู และธูป ๓ ดอก หมายถงึ การบชู าพระคุณของพระพุทธเจาท่ีทรงมตี อ ชาวโลก ๓ ประการ คอื พระบรสิ ุทธคิ ณุ พระปญญาคณุ พระกรณุ าคุณ ๓. เทยี น ๒ เลม หมายถงึ การบชู าพระธรรมและพระวินัย ๔. ประดับดวยแจกันดอกไม หมายถงึ การบูชาพระสงฆ เมือ่ พรอ มแลว หวั หนา เริม่ จุดเทยี นเลมดา นขวาพระหัตถ พระพุทธรูปกอนแลวจึงจุดเลมซายพระหัตถของพระพุทธรูป จุดธูป ๓ ดอก ตามลําดบั ขณะที่หัวหนาจดุ ธปู เทียนบูชาพระ ใหน ักเรยี นชาย นงั่ กระโหยงประนมมอื นักเรยี นหญิงน่ังพับเพยี บประนมมอื เมอื่ หัวหนาดบั เทียน เรียบรอ ยแลว ใหน ักเรยี นกราบพระพรอมกนั ตามข้ันตอน คือ อัญชลี วนั ทา อภิวาท ดวยเบญจางคประดิษฐ ดงั น้ี - กราบครง้ั แรกใหภาวนาวา พุทโธ เม นาโถ - กราบครง้ั ท่ีสองใหภ าวนาวา ธัมโม เม นาโถ - กราบครง้ั ท่ีสามใหภาวนาวา สังโฆ เม นาโถ ดวยจติ ท่เี ปนสมาธดิ ว ยความตง้ั ใจ ดวยความสาํ รวมเพราะวา พระพุทธเจาช่ือวาเปน ศาสดา ผูยงิ่ ใหญของชาวโลก เปนพระราชายงิ่ กวาพระราชาใด ๆ ในโลก

๑๐ การที่เขาเฝา พระพุทธองคจะตองสํารวมระวังกาย วาจา ใจ แลวเปลงวาจาไหวพ ระสวดมนต ดังน้ี คําบชู าพระรัตนตรยั (นํา) หันทะ มะยัง พุทธสั สะ ภะคะวะโต ปพุ พะภาคะมะนะการงั กะโรมะ เส. นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต ขอนอบนอมแดพ ระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ้ัน อะระหะโต ซ่ึงเปน ผไู กลจากกิเลส สมั มาสมั พุทธสั สะ ตรัสรูชอบไดโ ดยพระองคเอง (๓ จบ) อิมนิ า สักกาเรนะ พุทธงั อะภปิ ชู ะยามะ ขา พเจาท้งั หลาย ขอบชู าดว ยยง่ิ ซง่ึ พระพทุ ธเจา ดวยเคร่ืองสกั การะนี้ อิมินา สักกาเรนะ ธมั มัง อะภิปูชะยามะ ขา พเจาทงั้ หลาย ขอบูชาดวยย่งิ ซึ่งพระธรรม ดวยเคร่อื งสกั การะนี้ อมิ ินา สกั กาเรนะ สงั ฆัง อะภปิ ชู ะยามิ ขาพเจา ท้งั หลาย ขอบูชาดวยย่งิ ซงึ่ พระสงฆ ดวยเครือ่ งสกั การะนี้ อะระหัง สัมมาสมั พทุ โธ ภะคะวา พระผมู พี ระภาคเจา เปน พระอรหนั ต ดับเพลงิ กเิ ลส เพลงิ ทกุ ขสน้ิ เชิง ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อะภิวาเทมิ ขา พเจา อภิวาทพระผูมพี ระภาคเจา ผรู ู ผตู ืน่ ผูเบกิ บาน (กราบ) สวฺ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมเปน ธรรมที่พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ไวด แี ลว ธัมมัง นะมสั สามิ ขา พเจา นมสั การพระธรรม (กราบ) สุปะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆส าวกของพระผูมีพระภาคเจา ปฏบิ ัตดิ ีแลว สังฆงั นะมามิ ขา พเจา ขอนอบนอ มพระสงฆ (กราบ) บทสวดพุทธานสุ สติ (นาํ ) หนั ทะ มะยงั พุทธานุสสะตินะยํ กะโรมะ เส อติ ปิ  โส ภะคะวา เพราะเหตุอยา งนี้ ๆ พระผูมพี ระภาคเจานัน้ อะระหัง เปนผูไกลจากกเิ ลส สมั มาสัมพุทโธ เปนผูตรสั รูชอบไดโดยพระองคเอง วิชชาจะระณะสัมปนโน เปนผถู งึ พรอมดว ยวชิ าและจรณะ สุคะโต เปน ผไู ปแลว ดว ยดี โลกะวิทู เปน ผรู โู ลกอยา งแจมแจง อะนุตตะโร ปรุ ิสะทมั มะสารถิ เปน ผูสมควรฝกบรุ ุษท่ีสมควรฝกได อยา งไมมีใครย่งิ กวา สตั ถา เทวะมะนุสสานงั เปนครผู ูส อนของเทวดาและมนษุ ยท้งั หลาย พทุ โธ เปน ผรู ู ผตู น่ื ผูเบกิ บานโดยธรรม ภะคะวา ติ เปนผูมีความจําเรญิ จาํ แนกธรรมส่ังสอนสัตว ดังนี้ ฯ

๑๑ บทสวดธมั มานสุ สติ (นาํ ) หันทะ มะยัง ธัมมานสุ สะตินะยัง กะโรมะ เส สฺวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมเปนธรรมที่พระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวด ีแลว สนั ทฏิ ฐโิ ก เปนส่ิงท่ีผศู กึ ษาและปฏบิ ัตพิ ึงเหน็ ไดด วยตนเอง อะกาลโิ ก เปนสิ่งท่ีปฏิบัตไิ ดและใหผลไดไ มจาํ กัดกาล เอหปิ ส สิโก เปนสง่ิ ทค่ี วรกลาวกะผอู ่นื วา ทา นจงมาดูเถิด โอปะนะยิโก เปน สงิ่ ท่คี วรนอ มเขามาใสต น ปจ จตั ตงั เวทติ พั โพ วิญหู ตี ิ เปน ส่ิงที่ผูร ูก ็รไู ดเฉพาะตน ดังนีฯ้ บทสวดสงั ฆานสุ สติ (นํา) หันทะ มะยงั สงั ฆานุสสะตินะยงั กะโรมะ เส สุปะฏปิ นโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา หมูใด ปฏิบตั ดิ แี ลว อชุ ปุ ะฏปิ นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา หมูใ ด ปฏบิ ตั ิตรงแลว ญายะปฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงฆส าวกของพระผูมพี ระภาคเจา หมูใด ปฏิบตั ิเพื่อรู ธรรมเปนเคร่อื งออกจากทุกขแ ลว สามจี ิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคเจา หมใู ด ปฏิบัติสมควรแลว ยะทิทัง ไดแกบคุ คลเหลา นีค้ ือ จตั ตาริ ปุรสิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปรุ ิสะปคุ คะลา คูแหง บุรุษ ๔ คู นับเรียงตัวบุรุษได ๘ บรุ ุษ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ นั่นแหละสงฆสาวกของพระผมู ีพระภาคเจา อาหเุ นยโย เปนสงฆค วรแกสักการะทเี่ ขานาํ มาบูชา ปาหเุ นยโย เปน สงฆควรแกสักการะทเี่ ขาจัดไวตอนรับ ทักขิเนยโย เปนผูควรรบั ทักษิณาทาน อญั ชะลีกะระณโี ย เปนผทู ี่บุคคลทวั่ ไปควรทําอญั ชลี อะนตุ ตะรัง ปุญญกั เขตตัง โลกสั สาติ เปนเนื้อนาบญุ ของโลก ไมม ีนาบญุ อน่ื ยิ่งกวา ดงั น้ีฯ สัพเพ สัตตา, บทแผเมตตา สตั วท ้งั หลายทเี่ ปนเพ่ือนทุกข, เกดิ แก เจ็บ ตาย, อะเวรา โหนต,ุ ดว ยกันหมดท้ังส้นิ , อัพยาปชฌา โหนต,ุ จงเปน สุขเปน สขุ เถิด, อยา ไดม เี วรซง่ึ กันและกนั เลย, จงเปนสขุ เปนสุขเถดิ , อยา ไดพยาบาท เบยี ดเบยี นซงึ่ อะนีฆา โหนต,ุ กนั และกันเลย, จงเปนสุขเปน สุขเถิด, อยา ไดม ีความทกุ ขกาย สุขี อตั ตานัง ปะรหิ ะรนั ต,ุ ทุกขใจเลย, จงมคี วามสุขกายสุขใจ, รกั ษาตนใหพ นจากทกุ ขภ ัย, ดว ยกนั ท้งั หมดทัง้ สนิ้ เทอญ

๑๒ ใบกิจกรรมที่ ๒ เร่อื ง การสวดมนตแ ปลและแผเ มตตา กจิ กรรมท่ี ๑ คําชแี้ จง : ใหนักเรยี นจับกลมุ ๑๐ คน ปฏิบตั ิตามขน้ั การสวดมนตแปลและแผเ มตตา ใชรูปแบบ การสวดทํานองสรภญั ญะ (สําหรับครปู ระเมนิ ) ผา น ไมผ าน กิจกรรมท่ี ๒ คําชี้แจง : ใหนักเรยี นพจิ ารณาขอความตอ ไปนต้ี รงกบั บทสวดมนตหรอื บทแผเ มตตา โดย √ ลงใน ตารางทีก่ าํ หนด ขอ ความ บทสวด บทสวด บทสวด แผเมตตา พทุ ธานสุ สติ ธมั มานุสสติ สังฆานุสสติ ๑. เปน ขัน้ ตอนสดุ ทาย ของการบรหิ ารจติ และ เจรญิ ปญ ญา ๒. นอมจติ ระลกึ ถึงคุณ พระพุทธ ๓. สง ความปรารถนาดี ไปยังมนุษยแ ละสัตว ทุกจาํ พวก ๔. เปนผปู ฏบิ ตั ิตรง เปน ผปู ฏิบตั เิ ปนธรรม ๕. ผบู รรลจุ ะพึงเห็นได ดวยตนเอง ๖. ทรงเปน ผูรูแจงโลก ๗. เปน ผคู วรแกการ ทําบุญ ๘. ผรู ู ผูต่นื ผูเบิกบาน โดยธรรม ๙. ส่งิ ทค่ี วรนอ มเขามา ใสต น ๑๐. ครผู สู อนของ เทวดาและมนุษย ท้งั หลาย

๑๓ ใบความรูท่ี ๓ เร่ือง การบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญา การบริหารจติ หมายถึง การฝกฝนอบรมจิตใหด ีงาม นุมนวล มีความหนักแนน มั่นคง แขง็ แกรง ผอนคลาย และสงบสุข ซ่งึ มีการฝก เพื่อใหบรรลผุ ลดังกลา วมากมาย หลายวธิ ี สว นการเจริญปญญาน้นั คือ การฝก ใหรจู กั คิด หรอื ที่เรยี กวา “คิดเปน แกปญ หาเปน ” นน่ั เอง การเจริญปญ ญา หมายถงึ การสงเสรมิ พัฒนาปญญาให เกิดข้นึ ดว ยการฝกอบรม (ภาวนา) ใหเกิดความรูและเขาใจสงิ่ ตา งๆ ตามความเปนจริง ภาพ : การบรหิ ารจติ และเจริญปญ ญาของนักเรยี นโรงเรียนมัธยมศกึ ษาเทศบาลเมืองปทุมธานี ที่มา : นางอมรรตั น ภมู ปิ ระหมนั วธิ ีการเจริญปญญา ปญ ญา คือ ความรูท วั่ ถงึ ความรอบรู ความรคู วามเขาใจ อยา งชัดเจน สามารถแยกแยะเหตผุ ล ชวั่ ดี คุณโทษได เปน ความรู ทจ่ี ะจัดแจงจดั สรร และจดั การกบั สิง่ ตางๆ ได ภาพ : การบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญา ทมี่ า : https://mentalmanagementblog.wordpress.com/

๑๔ คนแตล ะคนมีปญ ญามากนอ ยแตกตา งกนั ขึน้ อยกู ับวา ใครไดรบั การฝกฝน หรือพฒั นามามากนอยเพียงใด การฝก ฝน หรือพัฒนาปญ ญาใหเกดิ ขึ้นมขี ้นึ ในตน ทาํ ได ๓ วธิ ี ดังนี้ ๑. การฟง การอาน หรือการศกึ ษาเลาเรยี น ปญญาที่เกิดจากวิธนี ้เี รยี กวา สุตมยปญญา ซ่งึ ถือ วา เปน ปญ ญาระดบั คอนขางตาํ่ เพราะไมมีกระบวนการซบั ซอ นมากนัก ๒. การคดิ พจิ ารณา โดยนาํ ขอ มลู ที่ไดจ ากการฟง อาน หรือศกึ ษาเลาเรยี นมาคิดพจิ ารณาอยาง รอบคอบ แลว สรา งเปนองคความรใู หม ปญญาท่เี กิดจากวธิ นี ้ีเรยี กวา จนิ ตามยปญ ญา ๓. การลงมอื ปฏิบตั ิ ปญ ญาท่ีเกิดจากวิธนี ี้เรยี กวา ภาวนามยปญญา ซ่งึ ถอื วา เปนปญญา ระดบั สูง พระพุทธศาสนาสอนเนนใหเ ราฝกฝนหรอื พัฒนาใหเ กิดปญญาประเภทนี้ เพราะมีจดุ เดน คือ เปนความรทู ีแ่ ทจ รงิ มีสภาพความเปนจรงิ มากกวา สุตมยปญ ญาละจนิ ตามยปญญา เน่อื งจากเกิดจาก การสัมผสั และปฏิบัตจิ ริงๆ ดว ยตนเอง ไมใชเกดิ จากการฟง การดู การอาน หรือ การคดิ พจิ ารณาเพยี ง อยางเดยี ว การบริหารจิตและเจริญปญญาตามหลกั สติปฏ ฐานเนนอานาปานสติ สมาธิ แปลวา ความมใี จตั้งมั่น การทําใหใจสงบ ไมฟ งุ ซาน สมาธิ แยกออกเปน ๓ ระดับ คือ ๑. ขณกิ สมาธิ หมายถึง สมาธิชว่ั ขณะ ๒. อปุ จาร สมาธิ หมายถงึ สมาธขิ ้ันระงบั อกุศลกรรมทป่ี ด ก้นั ไมใหบ รรลุความดี ๓. อัปปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิแนวแนเปนสมาธิระดับสูงสุด จิตที่เปนสมาธิหรือมี สมรรถภาพสงู น้นั จะเปน จิตที่มีพลงั มาก มคี วามสงบ ใสกระจาง นมุ นวล เหมาะแกการใชง าน เพราะ ไมเครียด ไมกระดา ง ไมวนุ วาย ไมส ับสน ภาพ : สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรูสึกเปนสุขอยา งยิ่งทมี่ นษุ ยส ามารถสรา งข้นึ ไดด ว ยตนเอง ทมี่ า : https://www.facebook.com/media/set/?vanity=WangnaamkeawMeditationCenter&set

๑๕ อานาปานสติ แปลวา การระลกึ ถึงลมหายใจ เขา – ออก การบรหิ ารจติ และเจริญปญ ญาตามหลกั สตปิ ฏ ฐานเนนอานาปานสติ คือ การกําหนดรูทุกคร้ังที่ ลมผานเขาออกจมกู เพ่ือใหจิตเปนสมาธิ การฝกสมาธติ ามหลักอานาปานสติ มีขั้นตอนการปฏิบตั ิ ดังน้ี ๑. ทา นัง่ ใหนัง่ บนพื้นในทา “สมาธิ” เสมอื นพระพุทธรปู ปางสมาธิ อาจทําได ๒ ลักษณะ คอื ๑) นั่งขัดบลั ลังก ที่เรียกวา “ขัดสมาธิราบ” โดยเอาขาขวาทับขาซาย มอื ขวาทับ มือซาย ตัวตง้ั ตรง ๒) น่ังขดั สมาธิเพชร คอื นง่ั เอาขาซายทบั ขาขวา เทา ขวาทบั ขาซาย มือซา ยทบั มอื ขวา ตัวตง้ั ตรง ๒. วธิ ีกาํ หนดลมหายใจ อาจทาํ ไดห ลายวิธี ดังน้ี ๑) ใหน บั ลมหายใจเขาออก การนบั อาจทําเปน ขัน้ ตอนตามลําดับ คอื นับเปนคๆู ไป เชน หายใจเขา นับ ๑ หายใจออกนับ ๑ ๒) ใหกําหนดเฉยๆ ไมตอ งนับ เชน เวลาหายใจเขา หายใจออก ไมวา ยาวหรือสั้นให กําหนดรวู า หายใจเขา หายใจออกยาวหรือส้นั ใชสตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออกรูตวั ทั่วพรอม ไมเผลอ ๓) ใหส ังเกตอาการพองและยุบของทอง ขณะหายใจเขา หายใจออก คอื เวลาหายใจ เขาทองจะยบุ ลง ใหใชสตกิ ําหนดทท่ี องใหทนั กับการยบุ ของทอง เวลาหายใจออกทองจะพองขึน้ ใหใชสติกาํ หนดใหท ันกับการพองของทอง จะภาวนาในใจวา “ยบุ หนอพองหนอ” ดว ยก็ได ๔) ใหภาวนาในใจวา “พุท – โธ” ขณะหายใจเขาออก คอื ขณะหายใจเขาภาวนาวา “พทุ ” ขณะหายใจออกภาวนาวา “โธ” หรือหายใจเขาวา “พุทโธ” หายใจออก “พุทโธ” ดังน้กี ไ็ ดตามสะดวกและสมัครใจ แตวธิ แี รกอาจดกี วาเพราะมพี ยางคเดียว สามารถกาํ หนดให สอดคลองกบั จงั หวะการหายใจไดด กี วา นอกจากน้นั อาจเลือกใชค ําวา “อรหงั ” กไ็ ด เปนตน นอกจากจะใชค าํ เหลานี้ภาวนากํากับการกาํ หนดลมหายใจ จะใชคําภาวนาเปนจุดเริ่มตนทํา ใหเ กดิ สมาธิกไ็ ด ภาพ : การนง่ั สมาธขิ องนกั เรยี นโรงเรียนมธั ยมศกึ ษาเทศบาลเมืองปทมุ ธานี ทีม่ า : นางอมรรตั น ภมู ปิ ระหมัน

๑๖ ประโยชนของการบริหารจิตและเจรญิ ปญญา และการนําวธิ กี ารบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญาไปใชในชวี ติ ประจําวนั ๑. ประโยชนท่ีเปน ความมุงหมายแทจรงิ ของการบริหารจิตและเจริญปญ ญาตามหลกั พระพุทธศาสนา คอื ความหลุดพน จากกเิ ลสและทุกขทงั้ ปวง ๒. ประโยชนในดานความสามารถพเิ ศษ การใชสมาธิระดบั ฌานสมบตั ิเปนฐานทาํ ใหเกดิ อภิญญา คอื แสดงฤทธไ์ิ ด หูทพิ ย ตาทพิ ย รใู จผอู ื่น ระลกึ ชาติได และรจู กั ทาํ กิเลสใหส นิ้ ไป ๓. ประโยชนใ นดานสุขภาพจติ และการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพ ๑) ทําใหเ ปน ผูมจี ิตใจสงบ เขม แขง็ หนักแนน มั่นคง รูจ ักตนเองและผอู ่ืนตามความ เปน จริง ๒) ทาํ ใหจติ อยูใ นสภาพพรอมตอ การปลกู ฝง คณุ ธรรมและการเสรมิ สรางนิสัยทีด่ ี ๓) ทาํ ใจใหส งบและผอ นคลายความทกุ ขทเ่ี กดิ ขึ้นในใจได ซึ่งปจจุบันเรียกวามคี วาม ม่ันคงทางอารมณ (EQ) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินชวี ติ รว มกบั ผอู ืน่ อยางสรางสรรค และมคี วามสขุ ๔. ประโยชนใ นชีวิตประจาํ วัน มดี ังน้ี ๑) ชวยทําใหจ ิตใจผอ นคลาย หายเครียด มีความสงบ ไมกระวนกระวาย ไมก ลัดกลุม วิตกกงั วล ซ่ึงอาจทําอานาปานสติดวยการกาํ หนดลมหายใจเขา – ออกไดในเวลาท่ี จาํ เปนตองรอคอย หรือทําขณะนง่ั อยูบนรถในเวลาทร่ี ถติด ๒) เปน เครอ่ื งเสรมิ ประสิทธภิ าพในการทํางาน การเรียน และการทาํ กิจทุกอยาง เพราะจิตเปนสมาธิแนวแนอยูกับส่ิงทกี่ ําลังกระทํา ผูท ม่ี ีการบรหิ ารจติ เจริญปญญา และฝก สมาธิอยูเปน ประจํายอ มชวยใหการเรยี นและการทาํ งานไดผ ลดี ๓) ชวยเสรมิ สขุ ภาพ เนื่องจากรางกายกบั จิตมีความสมั พันธก นั บุคคลที่มจี ิตใจผอ ง ใสเบกิ บานยอ มสง ผลใหม ีสขุ ภาพกายดี การบริหารจิต เจริญปญญา และการฝกสมาธิ จึงนับ เปน การเสรมิ ภูมิตา นทานโรคไดอ กี ทางหน่ึง ภาพ : การนงั่ สมาธิกอ นเรยี นของนกั เรียนโรงเรียนมธั ยมศึกษาเทศบาลเมืองปทุมธานี ทมี่ า : นางอมรรัตน ภมู ิประหมัน

๑๗ ใบกจิ กรรมท่ี ๓ เร่อื ง การบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญา กิจกรรมที่ ๑ คําช้ีแจง : ใหน กั เรยี นเตมิ คาํ หรอื ขอ ความลงในชองวา งใหถูกตอง ๑. การบริหารจิต หมายถึง .................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๒. การเจริญปญญา หมายถึง .............................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๓. การฝก ฝนหรือพัฒนาปญญาใหเ กิดขึน้ มีในตนทําได ๓ วิธี คอื ....................................................... .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๔. อานาปานสติ หมายถงึ .................................................................................................................... .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ๕. ประโยชนท ่เี ปนความมงุ หมายแทจ รงิ ของการบริหารจิตและเจรญิ ปญญาตามหลักพระพทุ ธศาสนา คอื .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................

๑๘ กจิ กรรมที่ ๒ คําชแ้ี จง : ใหนักเรยี นอา นขอความจากสถานการณที่กําหนด แลวประเมินสถานการณและเขยี น เครอ่ื งหมาย √ ลงในชอ งท่เี ห็นดว ยและไมเห็นดว ย พรอมบอกเหตุผลประกอบ สถานการณ เห็นดว ย ไมเหน็ ดว ย เหตผุ ล ๑. มานติ เลกิ นงั่ สมาธิเพราะคดิ วา เปน การเสยี เวลาในการอานหนังสือ และเลนกีฬา ๒. สุดาฝกนั่งสมาธิทวี่ ัดกบั เพื่อนเปน ประจําเพ่อื บรรเทาความกังวลตางๆ ๓. คุณยายพรกอนจะน่งั สมาธิคุณ ยายจะสมาทานศีลกอ นทุกครัง้ เพอ่ื ทาํ ความดี ๔. สุพรชยั ไมชอบนงั่ สมาธิเพราะ รสู ึกงวงนอน ๕. พรนิภาผวิ พรรณผอ งใสเชอ่ื วา เกิดจากการน่งั สมาธิ ๖. คุณครูบอกสิทธิชัยวา การบรหิ าร จิตและการเจรญิ ปญญาชวยพฒั นา ใหฉลาดทางอารมณ ๗. ทองใสเปด สํานักปฏบิ ัติธรรมเพ่ือ ตองการใหคนศรทั ธา ๘. สมศกั ดติ์ ั้งใจฝก ปฏบิ ตั ิสมาธิ ทุกวนั เพอ่ื มุงหวงั เปนพระอรหนั ต ๙. ศริ พิ รเขาคา ยพทุ ธบตุ ร วิทยากร มกั ใหน่ังสมาธิกอ นทํากิจกรรม พฒั นาจติ เสมอ ๑๐. รุง โรจนจาํ วิธีการแกส มการได ทง้ั หมด เพราะเขามสี มาธิ

๑๙ แบบทดสอบหลังเรียน เลมที่ ๗ เร่ือง การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญ ญา คําชี้แจง ใหน ักเรยี นทําเครอื่ งหมาย  ลงบนหนาขอ ทถ่ี ูกตอ งมากท่ีสดุ ๑. บคุ คลใดเตรยี มตัวเพ่อื การบรหิ ารจติ ไดดที ีส่ ดุ ก. กานต ถวายสังฆทานเพ่ือเปนอามิสบชู ากอนท่จี ะปฏิบตั ิบชู า ข. ปงปอนด นอนหลับพกั ผอ นมากอ นเพอื่ เตรยี มใจใหพ รอม ค. ยงยทุ ธ มศี รทั ธา ตดั ความวติ กกังวล ง. ศรชัย บริหารรา งกายมากอ น ๒. เพ่ือนๆ ไมยอมใหบ ีมเขากลมุ ทาํ รายงาน เพราะมอบหมายใหทําสิ่งใดกม็ ักหลงลมื อยเู สมอ ดงั นัน้ บีมควรตัดสินใจทําอยา งไร ก. ขอทดสอบแทนการทํารายงาน ข. ขออนุญาตคณุ ครทู ํารายงานเดี่ยว ค. พยายามฝกตนใหมสี ตสิ ัมปชัญญะอยเู สมอ ง. พยายามขอเขาไปทาํ รายงานกบั เพื่อนในกลมุ อื่น ๓. ขอใดตอไปน้มี ีความสมั พนั ธ ก. ทุกคร้งั นัง่ สมาธิ - ทาํ ความสะอาดรา งกาย ข. การสวดมนต - นง่ั ทาเทพธิดา ทา เทพบุตร ค. แผเมตตา - อทุ ิศสว นกุศลใหก ับบรรพบรุ ุษ ง. เจริญปญญา - เกิด แก เจ็บ ตาย ๔. บุคคลใดท่เี กีย่ วของกับสตุ ยมปญ ญา ก. สายใจตัดสนิ ใจซือ้ ชดุ กีฬา ๒ ชุด ข. เพยี งเพญ็ ตั้งใจฟงคณุ ครสู อนวชิ าสังคมศกึ ษา ค. อ่ิมเอมไดน ั่งสมาธิ ทาํ ใหม สี ติในการแกป ญ หา ง. สมศกั ดิ์ไดฝ กการน่ังสวดมนต โดยจะนั่งในทา เทพธดิ า ๕. จุดมุงหมายของ “จติ ภาวนา” คอื ขอใด ก. การมีระเบียบวินัย สํารวมกายวาจา ข. การแผค วามดีไปสูมวลมนุษย ค. การสวดออนวอนใหบ รรลุผล ง. การสรา งความสงบในจิตใจ

๒๐ ๖. สงิ่ ทข่ี าดไมไดข ณะฝกสมาธคิ อื อะไร ก. การน่งั หลับตา ข. การกําหนดสติ ค. การนั่งสมาธิ ง. การภาวนาพุท – โธ ๗. ขอดขี องการบริหารจิตมหี ลายประการยกเวนขอใด ก. มสี ตสิ มบูรณข ึน้ ข. มอี ารมณเ ยอื กเยน็ ขึน้ ค. ชวี ิตมคี วามสุขสงบข้ึน ง. มอี ํานาจและวาสนาเพิม่ ขนึ้ ๘. ขอใดไมใ ชผลจากการฝกบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญา ก. วภิ ารูสึกโมโหทกุ ครงั้ ท่ีตอ งยนื รอรถโดยสารนานๆ ข. วไิ ลพรสามรถจดจาํ และเขา ใจความรูท่ีครสู อนไดดี ค. วิไลวรรณไมร สู ึกหงุดหงิดเมอ่ื ตองนง่ั อยูบนรถในขณะรถติด ง. วรรณพรทาํ งานตามทหี่ ัวหนา มอบหมายใหอ ยางมีประสทิ ธิภาพ ๙. การคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารกอ ใหเกิดผลดีตางๆ ยกเวน ขอใด ก. ธนาใชก ารคิดแบบโยนโิ สมนสิการ สามารถทาํ ส่งิ ตางๆ ไดตามทีใ่ จตองการ ข ธติ ิใชการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ ารสรางความสามคั คแี ละรจู ักใหอภัยกัน ค. วันดีใชก ารคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารทําใหประสบความสาํ เรจ็ ในชีวิต ง. พรชยั ใชการคดิ แบบโยนิโสมนสิการทําสิง่ ตางๆ ถกู ตอ งเหมาะสม ๑๐. ขอ ใดกลา วถงึ การแผเ มตตาไดถ ูกตอ ง ก. การแผเมตตาแสดงถงึ ความบริสทุ ธ์ใิ จ ข. ควรแผเ มตตาใหกับคนท่เี ปน ทร่ี กั เทา น้นั ค. แผเมตตาในวันพระจะมอี านสิ งสก วาวันธรรมดา ง. การแผเมตตาตองกรวดนาํ้ อทุ ศิ สวนกุศลกอ นเสมอ

๒๑ ภาคผนวก

๒๒ เฉลยแบบทดสอบกอนเรยี น ขอ เฉลย ๑ข ๒ข ๓ง ๔ค ๕ค ๖ก ๗ก ๘ข ๙ข ๑๐ ก

๒๓ เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๑ เรือ่ ง วิธคี ิดแบบแบบอบุ ายปลุกเรา คณุ ธรรม วิธีคดิ แบบอรรถธรรมสมั พนั ธ กิจกรรมที่ ๑ คําช้แี จง : ใหนกั เรียนวิเคราะหสถานการณท กี่ ําหนดให แลวพิจารณาดังกลา วเปนวิธีคดิ แบบแบบอุบาย ปลกุ เรา คุณธรรมหรือวิธคี ดิ แบบอรรถธรรม ๑. ราตรสี อบตกวชิ าภาษาไทย แตไมยอทอ เพราะคิดวา สอบคร้ังตอไปจะตง้ั ใจอานหนงั สอื และทํา ขอสอบใหผา น วธิ คี ิดแบบ ...ว..ิธ..ีค..ิด...แ..บ...บ..อ...ร..ิย..ส..ัจ....พ...จิ ..า..ร..ณ...า..ว..ธิ..กี...า..ร...ด..ํา..เ..น..ิน...ง..า..น..เ.พ...่ือ...บ..ร..ร..ล...ุเ.ป...า.ห...ม...า.ย..... ๒. ดวงใจเกบ็ กระเปาสตางคไ ดระหวางเดินทางไปโรงเรยี น จึงคดิ จะตามหาเจา ของประเปา สตางคไ ปน้นั วธิ คี ิดแบบ ..ว..ิธ..ีค...ดิ..แ...บ..บ...ป...ล..กุ ..เ..ร.า..ค...ุณ...ธ..ร..ร..ม....ก...า.ร..บ...ํา..เ.พ...็ญ...ค...ว..า..ม..ด...ี .ซ..ึง่..จ..ะ...ต..อ..ง..ก...ร..ะ..ท..ํา..ใ..ห..ถ ึงทส่ี ดุ ๓. ประกอบอยากเปนตวั แทนนกั กีฬาฟุตบอลของโรงเรยี น จึงพยายามฝกซอมฟุตบอลทกุ วัน วิธคี ิดแบบ ...ว..ธิ ..คี ..ิด...แ..บ...บ..อ...ร..ร..ถ..ส..ัม...พ..ัน...ธ...พ...ิจ...า.ร..ณ....า..ว..ธิ ..กี ..า..ร...ด...ํา..เ.น...นิ ..ง..า..น...เ.พ...ือ่ ..บ...ร..ร..ล..ุเ.ป...า..ห..มาย ๔. นราชัยไมโกรธเพ่ือนท่เี พอื่ นวง่ิ มาชน เพราะคิดวา เพือ่ นคงไมไ ดต้งั ใจ วธิ คี ิดแบบ ..ค..ิด...แ..บ...บ..ค...ุณ...ค...า ..แ..ท... .ร..จู ..ัก..แ...ย..ก...แ..ย..ะ..อ...ย..า..ง..ม..ีเ..ห..ต...ุผ..ล..................................... ๕. พรชัยแพการแขงขันเรอื ใบ แตไมร สู กึ เปน ทุกข เพราะคิดวาการแขงขนั มแี พม ีชนะเปน เร่ืองธรรมดา วิธคี ดิ แบบ .ว..ิธ..ีค...ดิ ..แ...บ..บ...ส..า..ม...ัญ...ล..ัก...ษ..ณ....ะ...ค...ือ...ค...ิด..แ..บ...บ...ไ.ต...ร..ล..กั..ษ...ณ.....(.อ..น...ิจ..จ..ัง....ท..กุ...ข..งั...อ..น...ตั ตา) ๖. ธนพลอยากเปน ผูพิพากษา จงึ เลอื กเรยี นตอ ระดบั อุดมศกึ ษาในคณะนิตศิ าสตร วิธคี ดิ แบบ ...ว..ิธ..คี..ดิ...แ..บ...บ..อ...ร..ร..ถ..ธ..ร..ร..ม...ส..ัม..พ...นั...ธ.. .ร..ูจ..ัก...เ.ห...ต..ุ.ร..จู...ัก..ผ..ล...ร..จู ..กั..ต...น....................... ๗. สุกญั ญาคดิ วาเครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลเ ปน ส่งิ ไมดไี มม ีประโยชน จึงหลกี เล่ียงการด่ืมแอลกอฮอล วิธคี ิดแบบ ....ว..ิธ..คี...ดิ ..แ..บ...บ...แ..ย..ก...แ..ย..ะ....ก..า..ร..ค...ดิ ..จ..าํ..แ...น..ก...แ..ย..ก...แ..ย..ะ....เ.ข..า..ใ..จ..ส..งิ่..ต...า ..ง...ๆ....ต..า..ม..ค...วามเปน จรงิ ๘. ไชยยามนี ้ําหนกั เกนิ เกณฑม าตรฐานจงึ ต้งั ใจวาจะออกกําลงั กายทุกวันและควบคมุ อาหารเพ่ือลด น้าํ หนักใหได ๕๐ ก.ก. วธิ คี ดิ แบบ ..ว..ิธ..คี...ดิ ..แ..บ...บ...อ..ร..ร..ถ..ธ..ร..ร..ม...ส..มั...พ..ัน...ธ...พ...จิ..า..ร..ณ....า..ว..ธิ ..กี ..า..ร...ด...าํ..เ.น...นิ ..ง..า..น...เ.พ...่อื ..บ...ร..ร..ล..ุเปา หมาย ๙. ศริ ิวัฒนเ ห็นสะพานขา มคลองในหมบู า นชํารุดเกรงวา ผสู ัญจรไปมาจะเกดิ อันตรายจึงแจงเจา หนาท่ี มาซอมแซม วิธีคิดแบบ .ว..ิธ..คี ..ดิ...แ..บ...บ..ป...ล..กุ...เ.ร..า..ค..ุณ....ธ..ร..ร..ม...ก...า..ร..บ..าํ..เ..พ..็ญ....ค..ว..า..ม...ด..ี.ซ...ึง่ .จ...ะ..ต..อ...ง..ก..ร..ะ..ท...ํา..ใ.ห...ถ . ึงทส่ี ุด ๑๐. สายวธิชคีลดิตแัง้ ใบจบเก.ว็บ..ิธ.เ.งคี..นิ.ดิ ..คแ..าบ..ข.บ.น..อ.ม.ร..ร.ว.ถ.นั.ธ.ล..ร.ะ.ร.๕.ม..ส.บ.มั..า.พ.ท..ัน..เธ.พ...พื่อ..ซิจ..้ือ.า..รข..ณอ...งา.ข.ว..วธิ..ญักี..า.ว.ร.นั...รเ.ก.จู .ิด.กั ..ใต.ห..น.ค..ณุ..ร..แูจ..มัก..ใ.ป.น.ร.เ.ะ.ด.ม.อื..าน..ณ.หตนนา

๒๔ กจิ กรรมที่ ๒ คําชี้แจง : ใหน ักเรยี นยกตัวอยางปญหาจากขา วมา ๑ ปญหา เสนอวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสิการตาม แบบวธิ คี ิดแบบแบบอุบายปลกุ เราคุณธรรมหรอื วธิ คี ิดแบบอรรถธรรม แลว ตอบคําถามลง ในแผนภาพ ปญ หา ..............................อ..ย..ูใ..น...ด..ลุ..พ...นิ...ิจ..ข..อ...ง.ค...ร..ูผ..สู...อ..น................................... วธิ คี ิดแบบอบุ ายปลกุ เราคณุ ธรรม วธิ ีคดิ แบบอรรถธรรมสัมพันธ อยูใ นดุลพนิ ิจของครูผูสอน อยูในดุลพินิจของครผู สู อน การคิดดว ยวธิ นี ี้ทําใหน ักเรียนรูสึกอยา งไร การคิดดว ยวธิ นี ท้ี ําใหน กั เรียนรูสึกอยา งไร อยใู นดุลพนิ ิจของครผู สู อน อยูในดุลพนิ ิจของครผู สู อน

๒๕ เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๒ เรือ่ ง การสวดมนตแปลและแผเ มตตา กิจกรรมที่ ๑ คําชแี้ จง : ใหนักเรยี นจับกลุม ๑๐ คน ปฏิบัตติ ามขนั้ การสวดมนตแ ปลและแผเ มตตา ใชรูปแบบ การสวดทํานองสรภัญญะ (สําหรบั ครูประเมิน) ผา น ไมผ าน อยูในดุลพนิ ิจของครูผสู อน อยูในดุลพินิจของครผู ูส อน กจิ กรรมท่ี ๒ คําชี้แจง : ใหน ักเรยี นพจิ ารณาขอความตอไปนีต้ รงกับบทสวดมนตห รอื บทแผเ มตตา โดย √ ลงใน ตารางที่กําหนด ขอความ บทสวด บทสวด บทสวด แผเมตตา พุทธานสุ สติ ธมั มานุสสติ สงั ฆานุสสติ √ ๑. เปน ขั้นตอนสดุ ทา ย ของการบรหิ ารจิตและ √ √ เจริญปญ ญา ๒. นอ มจิตระลึกถึงคุณ √ √ พระพุทธ √ ๓. สง ความปรารถนาดี ไปยงั มนุษยและสัตว ทกุ จาํ พวก ๔. เปน ผูป ฏบิ ัติตรง เปน ผปู ฏิบัตเิ ปน ธรรม ๕. ผบู รรลุจะพึงเห็นได ดว ยตนเอง ๖. ทรงเปน ผรู ูแจงโลก ๗. เปนผูควรแกการ √ √ ทาํ บุญ √ ๘. ผูรู ผตู นื่ ผูเบิกบาน โดยธรรม ๙. สง่ิ ท่ีควรนอมเขา มา ใสต น ๑๐. ครูผสู อนของ เทวดาและมนุษย ทง้ั หลาย

๒๖ เฉลยใบกิจกรรมที่ ๓ เร่ือง การบริหารจติ และเจริญปญ ญา กิจกรรมที่ ๑ คาํ ช้แี จง : ใหน ักเรยี นเติมคําหรือขอความลงในชองวางใหถูกตอง ๑. การบรหิ ารจติ หมายถึง .ก...า..ร..ฝ..ก...ฝ..น..อ...บ..ร..ม...จ..ิต...ใ.ห...ด..ีง..า..ม....น..ุม...น..ว..ล....ม...ีค..ว..า..ม...ห..น...ัก..แ..น...น....ม..นั่...ค...ง...แ..ข..็ง..แ..ก...ร..ง... .......ผ..อ..น...ค..ล...า..ย...แ...ล..ะ..ส...ง.บ...ส..ุข....ซ..งึ่..ม...กี ..า..ร..ฝ..ก...เ.พ...่ือ..ใ..ห..บ...ร..ร..ล..ุผ...ล..ด..ัง..ก...ล..า..ว..ม..า..ก...ม..า..ย....ห..ล...า..ย..ว..ธิ..ี..ส..ว ..น..ก...า..ร..เ.จ..ร..ญิ........... .......ป..ญ...ญ....า..น..ั้น....ค...อื ...ก...า..ร..ฝ..ก..ใ..ห..ร..จู...กั ..ค...ดิ ...ห...ร..ือ..ท...ี่เ.ร..ยี..ก...ว..า...“...ค..ดิ ..เ..ป..น....แ..ก...ป ...ญ ...ห..า..เ..ป..น...”...น...่ัน...เ.อ..ง............................ ๒. การเจรญิ ปญ ญา หมายถงึ .ก..า..ร..ส..ง..เ.ส...ร..มิ ..พ...ฒั...น...า..ป..ญ....ญ...า..ใ.ห...เ.ก...ิด..ข..ึ้น...ด..ว..ย...ก..า..ร..ฝ..ก...อ..บ...ร..ม....(.ภ...า.ว..น...า..)...ใ.ห...เ.ก..ดิ... ..........ค..ว..า..ม...ร..แู ..ล..ะ..เ..ข..า..ใ.จ...ส..ง่ิ..ต..า..ง..ๆ....ต..า..ม...ค..ว..า..ม...เ.ป...น ..จ..ร..งิ................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๓. การฝกฝนหรือพฒั นาปญญาใหเ กดิ ขน้ึ มีในตนทําได ๓ วิธี คอื ....................................................... .....๑.....ก..า..ร..ฟ...ง ...ก..า..ร..อ...า.น....ห...ร..อื..ก...า..ร..ศ..ึก...ษ..า..เ.ล...า ..เ.ร..ีย..น....ป...ญ...ญ...า..ท...่ีเ.ก...ดิ ..จ..า..ก...ว..ธิ ..ีน..ี้เ.ร..ีย...ก..ว..า....ส..ุต...ม..ย..ป...ญ....ญ...า....ซ..งึ่..ถ..ือ...ว..า ... .....เ.ป..น...ป...ญ...ญ...า..ร..ะ..ด...บั ..ค...อ ..น...ข..า..ง..ต..่ํา...เ..พ..ร..า..ะ...ไ.ม...ม..ีก..ร..ะ...บ..ว..น...ก..า..ร..ซ...บั ..ซ...อ..น...ม..า..ก..น...ัก................................................. .....๒.....ก..า..ร..ค..ดิ...พ...จิ ..า..ร..ณ...า...โ..ด..ย...น..าํ..ข..อ...ม..ูล...ท..ี่ไ..ด..จ..า..ก...ก..า..ร..ฟ...ง...อ..า..น....ห...ร..อื..ศ...ึก..ษ...า..เ.ล..า..เ..ร..ยี ..น..ม...า..ค..ิด...พ...จิ ..า..ร..ณ...า..อ..ย...า..ง....... .....ร..อ..บ..ค...อ..บ....แ...ล..ว..ส..ร..า..ง..เ.ป...น...อ..ง..ค..ค...ว..า..ม..ร..ใู..ห..ม... .ป...ญ...ญ...า..ท...่ีเ.ก..ิด...จ..า..ก..ว..ธิ..น.ี ..เี้.ร..ยี...ก..ว..า...จ...นิ ...ต..า..ม...ย..ป...ญ...ญ....า.................... .....๓.....ก..า..ร..ล..ง..ม...ือ..ป...ฏ..บิ...ัต..ิ..ป..ญ...ญ....า..ท..่เี.ก...ิด..จ...า.ก...ว..ธิ..นี...้ีเ.ร..ยี ..ก...ว..า ...ภ...า..ว..น...า..ม..ย...ป..ญ....ญ...า....เ.ก..ดิ...จ..า..ก..ก...า..ร..ส..มั...ผ..สั ..แ...ล..ะ............ .....ป..ฏ...ิบ..ตั...จิ ..ร..งิ..ๆ....ด..ว..ย...ต..น...เ.อ..ง...เ..ป..น...ค..ว..า..ม...ร..ูท..ีแ่...ท..จ...ร.ิง...................................................................................... .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๔. อานาปานสติ หมายถึง .ก...า..ร..ร..ะ..ล..กึ...ถ..งึ..ล..ม...ห..า..ย...ใ.จ..เ..ข..า...–....อ..อ...ก...ก...า..ร..บ..ร..หิ...า..ร..จ..ติ..แ...ล..ะ..เ..จ..ร..ิญ...ป...ญ...ญ...า..ต...า.ม........ .....ห...ล..ัก...ส..ต..ิป...ฏ...ฐ..า..น..เ.น...น...อ..า..น...า.ป...า..น...ส..ต..ิ..ค..ือ....ก..า..ร..ก...ํา..ห..น...ด..ร..ทู...ุก..ค...ร..้งั .ท...่ีล..ม...ผ..า..น...เ.ข..า..อ...อ..ก...จ..ม..ูก...เ.พ...ือ่ ..ใ..ห..จ..ิต...เ.ป...น ......... .....ส...ม..า..ธ..ิ ............................................................................................................................................... ๕. ประโยชนท เ่ี ปนความมุงหมายแทจ ริงของการบรหิ ารจิตและเจรญิ ปญญาตามหลกั พระพุทธศาสนา คอื .....ค..ว..า..ม..ห...ล..ุด...พ...น..จ..า..ก...ก..ิเ.ล...ส..แ..ล...ะ..ท...ุก..ข..ท...ั้ง..ป..ว...ง............................................................................................. .............................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................

๒๗ กจิ กรรมที่ ๒ คําชี้แจง : ใหนักเรยี นอานขอความจากสถานการณทกี่ าํ หนด แลว ประเมนิ สถานการณและเขยี น เคร่อื งหมาย √ ลงในชองทีเ่ ห็นดวยและไมเ หน็ ดวย พรอ มบอกเหตผุ ลประกอบ สถานการณ เหน็ ดว ย ไมเ ห็นดวย เหตุผล ๑. มานติ เลิกนั่งสมาธิเพราะคดิ วา √ เปน การเสยี เวลาในการอานหนงั สือ √ √ การฝก สมาธิอยเู ปนประจํายอม และเลน กีฬา √ ๒. สดุ าฝกนัง่ สมาธิที่วัดกบั เพอื่ นเปน √ ชว ยใหก ารเรียนและการทํางาน ประจาํ เพ่ือบรรเทาความกังวลตา งๆ ๓. คุณยายพรกอนจะนง่ั สมาธิคณุ √ ไดผลดี ยายจะสมาทานศลี กอ นทุกครั้งเพื่อ √ ทาํ ความดี ทําใจใหส งบและผอ นคลาย ๔. สุพรชัยไมชอบนัง่ สมาธเิ พราะ รูสกึ งว งนอน ความทุกขท ่เี กดิ ขนึ้ ในใจได ๕. พรนิภาผวิ พรรณผองใสเชอื่ วา เกดิ จากการนงั่ สมาธิ เพ่ือใหตนเองบริสุทธิท์ างกาย ๖. คณุ ครูบอกสิทธิชยั วาการบรหิ าร จติ และการเจริญปญญาชว ยพัฒนา วาจา ใจบริสทุ ธ์นิ ั้นรับบญุ ทท่ี าํ ใหฉ ลาดทางอารมณ ไดเต็มที่ ๗. ทองใสเปดสาํ นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมเพ่อื ตอ งการใหค นศรทั ธา √ การฝก สมาธชิ วยทําใหจ ิตใจมี ๘. สมศกั ดติ์ ัง้ ใจฝก ปฏบิ ตั ิสมาธิ ทกุ วันเพื่อมุงหวงั เปนพระอรหนั ต ความสงบ ไมกลัดกลมุ วติ กกังวล ๙. ศริ พิ รเขา คายพุทธบุตร วิทยากร บุคคลทมี่ ีจติ ใจผอ งใสเบิกบาน มักใหนงั่ สมาธกิ อ นทาํ กจิ กรรม พฒั นาจิตเสมอ ยอมสง ผลใหมีสขุ ภาพกายดี ๑๐. รงุ โรจนจาํ วธิ กี ารแกสมการได การฝก สมาธชิ วยทําใหความ ทง้ั หมด เพราะเขามสี มาธิ สามารถในการดําเนินชวี ติ รวม กบั ผูอน่ื อยา งสรา งสรรคและมี ความสุข √ เปน การหลอกลวงผอู ื่นให หลงเชอื่ √ สมศกั ด์ิควรยึดหลักสายกลาง คอื อริยมรรคมีองค 8 เมอ่ื สรุป แลวเรยี ก ไตรสิกขา ไดแ ก ศลี สมาธิ ปญญา การฝก สมาธิเปน เครื่องเสริม ประสิทธภิ าพในการทํางานชวย ใหการเรยี นและการทาํ งาน ไดผ ลดี การฝกสมาธิเปน เคร่ืองเสรมิ ประสิทธภิ าพในการเรียนชว ยให การเรยี นไดผ ลดี

๒๘ เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ขอ เฉลย ๑ค ๒ค ๓ข ๔ข ๕ง ๖ข ๗ง ๘ก ๙ก ๑๐ ก

๒๙ บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. สาํ นักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (๒๕๔๗). เรยี นรูจากกระแสพระราชดํารสั พระบาท สมเดจ็ พระเจาอยูหัวพระราชทานเม่อื วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖ ที่เกย่ี วของกบั การศึกษา. กรุงเทพฯ : สาํ นักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. _______________. (๒๕๕๒). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพช มุ นุมสหกรณก ารเกษตรแหงประเทศไทย. _______________. (๒๕๕๑). หนงั สอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน กลุมสาระการเรยี นรูส ังคมศึกษา ศาสนา และ วฒั นธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ พระพุทธศาสนา ม.๒. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พคุรุสภาลาดพราว. ณัทธนัท เลี่ยวไพโรจน. (๒๕๕๘). หนงั สือเรยี น รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้นั มัธยมศึกษาปที่ ๒ กลุมสาระการเรียนรสู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จํากัด. สถาบนั พฒั นาวิชาการ. (๒๕๕๘). คมู ือครหู นงั สือเรียนสาระการเรียนรูพืน้ ฐาน สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๒ ตามหลักสูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พัฒนา คณุ ภาพวชิ าการ(พว.) จํากดั . อรทิรา รัตนพงษโ สภติ . (๒๕๕๒). New สรุปเขม สังคมศกึ ษา ม.๒. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพว ัฒนาพานชิ .

๓๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook