E-B ook เรื่อง สามัคคีเภทคําฉันท์ โดย นายธนาธิป แผนพุฒา ม.๖.๓ เลขที่ ๘ นายปฏิพล ดําทอง ม.๖.๓ เลขที่ ๙ นายสุทธิชาติ วงศ์สัจจา ม.๖.๓ เลขที่ ๑๑ นางสาวมุฑิตา เอือยตะคุ ม.๖.๓ เลขที่ ๒๙ นางสาวสุภาพร สําอางค์ ม.๖.๓ เลขที่ ๓๔ เสนอ ครู ณัฐยา อาจมังกร รายงานวิชาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยท๓๓๑๐๑ ภาคเรียนที่๑ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม
คํานํา E-Bookเล่มนี้จัดทําขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เพื่อให้ได้ ศึกษาหาความรู้เรื่อง สามัคคีเภทคําฉันท์ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน คณะผู้จัดทําหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือ นักเรียน ที่กําลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่หากมีข้อแนะนําหรือข้อผิดพลาด ประการใดผู้จัดทําขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ นายธนาธิป แผนพุฒา นายปฏิพล ดำทอง นายสุทธิชาติ วงศ์สัจจา นางสาวมุฑิตา เอื้อยตะคุ นางสาวสุภาพร สำอาง
สารบัญ ๑ ๒ เรื่อง ๓ ๔ คํานํา ๔ สารบัญ ๕ ผู้แต่งและประวัติ ๗ จุดประสงค์ในการแต่ง ๗ ที่มาของเรื่อง ๓๒ ลักษณะคําประพันธ์ ๓๗ เรื่องย่อก่อนบทเรียน ถอดคําประพันธ์ คุณค่าวรรณคดี บรรณานุกรม
๓ ผู้แต่งและประวัติ ผู้แต่งสามัคคีเภทคําฉันท์ คือนายชิต บุรทัต กวีในรัชกาลที่ ๖ โดย นายชิต บุรทัต เกิดเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นบุตรนายชู และ นางปริก ได้รับการศึกษาขั้นต้นจากบิดาซึึ่งเป็นเปรียญ ๕ ประโยค และได้เข้าเรียนในโรงเรียนวัดราชบพิธเป็นแห่งแรก แล้วย้ายมาเรียนต่อ จนสําเร็จ ชั้นมัธยมบริบูรณ์ที่โรงเรียนวัดสุทัศน์ ขณะนั้นอายุได้ ๑๕ ปี บิดาจึงจัดการให้บวชเป็นสามเณร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชิน วรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเป็นอุปัชฌาจารย์ นายชิต บุรทัต เป็นผู้รักรู้ รักเรียน มีความรู้ ในภาษาบาลี และฝึกฝนภาษาอังกฤษด้วยตนเองจนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ นายชิต เริ่มการประพันธ์เมื่ออายุ ๑๘ ปี ขณะนัั้นได้กลับมาบวชเป็นสามเณรอีก เป็นครั้งที่สอง ณ วัดเทพศิรินทราวาสและได้ย้ายไปอยู่ทีี่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้อุปสมบททีี่วัดนี ในฐานะศิษย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า- กรมพระวชิรญาณวโรรส สามเณรชิตได้สร้างงานประพันธ์ โดยใช้นามปากกาเป็นครั้งแรกว่า “เอกชน” จนเจริญรุ่งโรจน์ขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว นายชิตใช้นามสกุลเดิมว่า “ชวางกูร” โดยได้รับพระราชทานนามสกุล “บุรทัต” จาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นามปากกา ของนายชิต บุรทัต คือ “เจ้าเงาะ” “เอกชน” “แมวคราว” นายชิต บุรทัตถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๕ ด้วยโรคลําไส้พิการ ณ บ้านถนนวิสุทธิกษัตริย์ รวมอายุได้ ๕๐ ปี โดยสํานักงานสุดท้ายที่ประจําอยู่คือหนังสือพิมพ์เอกชน
๔ จุดประสงค์ในการแต่ง - ไว้ปากไว้วากย์วาที ไว้วงศ์กวี ไว้เกียรติและไว้นามกร - ไว้เฉลิมเสริมศรีพระนคร คือพิทยาภรณ์ พิเศษประดับสรรพงาม นายชิต บุรทัต อาศัยเค้าคําแปลของเรื่องสามัคคีเภทมาแต่งเป็นคําฉันท์ เพื่อแสดงความสามารถในเชิงกวีให้เป็นที่ปรากฏ และเป็นพิทยาภรณ์ ประดับบ้านเมือง เเละเพื่อมุ่งชี้ถึงความสําคัญของการรวมเป็นหมู่คณะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้มีความเป็นปึกแผ่น สามัคคีเภทคําฉันท์ เป็นกวีนิทานสุภาษิต ว่าด้วย “โทษแห่งการแตกสามัคคี” ภายหลังได้รับการยกย่องเป็นตําราเรียนวรรณกรรมไทยที่สําคัญเล่มหนึ่ง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่มาของ เรื่อง สามัคคีเภท” เป็นคําสมาส ระหว่าง “สามัคคี” และ “เภท” ซึ่ง “เภท” มีความหมายว่า การแตกแยก ดังนั้น “สามัคคีเภท” จึงหมายถึง “การแตกความสามัคคี” “สามัคคีเภทคําฉันท์” เกิดจากวิกฤตการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เช่น สงครามโลกครั้งที่ ๑, กบฏ ร.ศ. ๑๓o ประกอบกับ คนไทยในสมัยนั้น ได้รับการศึกษามากขึ้น ทําให้เกิดแนวความคิด เกี่ยวกับ กิจการบ้านเมืองที่หลากหลาย ส่งผลกระทบต่อความมั้นคงของบ้านเมือง ทําให้ในช่วงดังกล่าว มักเกิดความนิยม แต่งวรรณคดีปลุกใจให้รักชาติ นายชิต บุรทัต จึงได้แต่งเรื่อง สามัคคีเภทคําฉันท์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ เรื่องสามัคคีเภท เป็นนิทานสุภาษิต ในมหาปรินิพพาน-สูตร และ อรรถกถาสุมังคลวิลาสินี ทีฆนิกายมหาวรรค ลงพิมพ์ในหนังสือธรรมจักษุ ของมหามกุฎ-ราชวิทยาลัย โดยเรียบเรียง ภาษาบาลี สามัคคีเภทคําฉันท์ก็ เป็นวรรณคดีเรื่องหนึ่งที่มุ่งชี้ให้เห็น ความสําคัญของความสามัคคี การรวม เป็นหมู่คณะ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามัคคีเภทคําฉันท์จึงถือเป็นวรรณคดี ที่มีเนื้อหาเป็นคติสอนใจให้ข้อคิด
ลักษณะของคําประพันธ์ ๕ สามัคคีเภทคําฉันท์ แต่งด้วยคําประพันธ์ประเภทฉันท์ ๑๙ ชนิด กาพย์ ๑ ชนิด คือ - สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ เป็นฉันท์ทีมีลีลาการอ่านสง่างาม เคร่งขรึม มีอํานาจดุจ เสือผยอง ใช้แต่งสําหรับบทไหว้ครู บทสดุดี ยอพระเกียรติ - วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เป็นฉันท์ที่มีลีลาไพเราะ งดงาม เยือกเย็นดุจเม็ดฝน ใช้สําหรับบรรยายหรือพรรณนาชื่นชมสิ่งที่สวยงาม - อุปชาติฉันท์ ๑๑ นิยมแต่งสําหรับบทเจรจาหรือบรรยายความเรียบๆ - อีทิสังฉันท์ ๒๑ เป็นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระทัน เกรียวกราด โกรธแค้น และอารมณ์รุนแรง เช่น รักมาก โกรธมาก ตื่นเต้น คึกคะนอง หรือพรรณนา ความสับสน - อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสวยงามดุจสายฟ้าพระอินทร์ มีลีลาอ่อนหวาน ใช้บรรยายความหรือพรรณนาเพื่อโน้มน้าวใจให้อ่อนโยน เมตตา สงสาร เอ็นดู ให้อารมณ์เหงาและเศร้า แผนผังฉันทลักษณ์ของ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ - วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ หมายถึง ระเบียบแห่งสายฟ้า เป็นฉันท์ที่ใช้ในการบรรยายความ แผนผังฉันทลักษณ์ของ วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ - อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลาตอนท้ายไม่ราบเรียบคล้ายกลบทสะบัดสะบิ้ง ใช้บรรยายความหรือพรรณนาความ -วังสัฏฐฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีสำเนียงอันไพเราะเหมือนเสียงปี่ -มาลินีฉันท์ ๑๕ เป็นฉันท์ที่ใช้ในการแต่งกลบทหรือบรรยายความที่เคร่งขรึม เป็นสง่า -ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลางามสง่าดุจงูเลื้อย นิยมใช้แต่งบทที่ ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วและคึกคัก
๖ -มาณวกฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่มีลีลาผาดโผน สนุกสนาน ร่าเริง และตื่นเต้น ดุจชายหนุ่ม - อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีความไพเราะใช้ในการบรรยายบทเรียบๆ -สัทธราฉันท์ ๒๑มีความหมายว่า ฉันท์ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ฟังจึงเหมาะ เป็นฉันท์ที่ใช้สำหรับแต่งคำนมัสการ อธิษฐาน ยอพระเกียรติ หรืออัญเชิญ เทวดา ใช้แต่งบทสั้นๆ -สาลินีฉันท์ ๑๑ เป็นบทที่มีคำครุมาก ใช้บรรยายบทที่เป็นเนื้อหาสาระเรียบๆ -อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับใช้บรรยายบทเรียบๆ แต่ไม่ใคร่ มีคนนิยมแต่งมากนัก -โตฏกฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสะบัดสะบิ้งเหมือนประตักแทงโค ใช้แต่งกับ บทที่แสดงความโกรธเคือง ร้อนรน หรือสนุกสนาน คึกคะนอง ตื่นเต้น และเร้าใจ -กมลฉันท์ ๑๒ หมายถึง ฉันที่มีความไพเราะเหมือนดังดอกบัว ใช้กับบทที่มี ความตื่นเต้นเล็กน้อยและใช้บรรยายเรื่อง -จิตรปทาฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับบทที่น่ากลัว เอะอะ เกรี้ยวกราด ตื่นเต้นตกใจและกลัว -สุรางคนางค์ฉันท์ ๒๘ มีลักษณะการแต่งคล้ายกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ แต่ต่างกันที่มีข้อบังคับ ครุ ลหุ เพิ่มขึ้นมา ทำให้เกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับข้อความที่คึกคักสนุกสนาน โลดโผน ตื่นเต้น -กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่มีลีลาสง่างาม ใช้สำหรับบรรยายความงามหรือ ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว
เรื่องย่อก่อนบทเรียน ๗ เนื้อเรื่องย่อ พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธทรงมี วัสสการ พราหมณ์ผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์เป็นที่ปรึกษา มีพระประสงค์จะขยายอาณาจักร ไปยังแคว้นวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ซึ่งปกครองแคว้นโดยยึดมั่นในอปริหานิยธรรม (ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้ง แห่งความเสื่อม) เน้นสามัคคีธรรมเป็นหลัก การโจมตีแคว้นนี้ให้ได้ จะต้องทำลายความสามัคคีนี้ให้ได้เสียก่อน วัสสการพราหมณ์ปุโรหิต จึงอาสาเป็นไส้ศึกไปยุแหย่ให้กษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคี ถอดคำประพันธ์ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วัญจโนบาย มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร ถอดความได้ว่า พราหมณ์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ลิจฉวีวางใจคลายความ หวาดระแวง เป็นโอกาสเหมาะที่จะเริ่มดําเนินการตามกลอุบายทําลายความสามัคคี ณวันหนึ่งลุถึงกา ลศึกษาพิชากร กุมารลิจฉวีวร เสด็จพร้อมประชุมกัน ตระบัดวัสสการมา สถานราชเรียนพลัน ธแกล้งเชิญกุมารฉันสนิทหนึ่งพระองค์ไป ลุห้องหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด มิลี้ลับอะไรใน กถาเช่นธปุจฉา ถอดความได้ว่า วันหนึ่งเมื่อถึงโอกาสที่จะสอนวิชา กุมารลิจฉวีก็เสด็จมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทันใดวัสสการ พราหมณ์ก็มาถึงและแกล้งเชิญพระกุมารพระองค์ที่สนิทสนม เข้าไปพบในห้องส่วนตัว
๘ จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษย์ผู้กระทํานา และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ กุมารลิจฉวีขัตติย์ ก็รับอรรถอออือ กสิกเขากระทําคือ ประดุจคําพระอาจารย์ ก็เท่านั้นธเชิญให้ นิวัตในมิช้านาน ประสิทธิ์ศิลป์ประศาสน์สาร สมัยเลิกลุเวลา ถอดความได้ว่า ดังเช่นถามว่า ชาวนาจูงโคมาคู่หนึ่งเพื่อเทียมไม่ใช่หรือไม่ พระกุมารลิจฉวี ก็รับสั่งเห็นด้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทําดังคําของพระอาจารย์ ถามเพียงเท่านั้น พราหมณ์ก็เชิญให้เสด็จกลับออกไป อุรสลิจฉวีสรร พชวนกันเสด็จมา และต่างซักกุมารรา ชองค์นั้นจะเอาความ พระอาจารย์สิเรียกไป ณข้างในธไต่ถาม อะไรเธอเสนอตาม วจีสัตย์กะสําเรา กุมารนั้นสนองสา รวากย์วาทตามเลา เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดีมา ถอดความได้ว่า ครั้นถึงเวลาเลิกเรียนเหล่าโอรสลิจฉวีก็พากันมาซักไซ้พระกุมารว่าพระอาจารย์ เรียกเข้าไปข้างใน ได้ไต่ถามอะไรบ้าง ขอให้บอกมาตามความจริง พระกุมารพระองค์นั้นก็ เล่าเรื่องราวที่พระอาจารย์เรียกไปถาม
๙ กุมารอื่นก็สงสัย มิเชื่อในพระวาจา สหายราชธพรรณนา และต่างองค์ก็พาที ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่าประโยชน์มี เลอะเหลวนักละล้วนนี้ รผลเห็นบเป็นไป เถอะถึงถ้าจะจริงแม้ ธ พูดแท้ก็ทําไม แนะชวนเข้าณข้างใน จะถามนอกบยากเย็น ถอดความได้ว่า แต่เหล่ากุมารสงสัยไม่เชื่อคําพูดของพระสหาย ต่างองค์ก็วิจารณ์ว่า พระอาจารย์ จะพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ และหากว่าจะพูดจริง เหตุใดจะต้องเรียกเข้า ไปถามข้างในห้อง ถามข้างนอกห้องก็ได้ มาณเวกฉันท์ ๘ ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์ เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง เชิญวรองค์ เอกกุมาร เธอจรตาม พราหมณไป โดยเฉพาะใน ห้องรหุฐาน จึ่งพฤฒิถาม ความพิสดา ขอธประทาน โทษะและไข ถอดความได้ว่า เวลาผ่านไปตามลําดับ เมื่อถึงคราวที่จะสอนวิชาก็จะเชิญพระกุมาร พระองค์หนึ่ง พระกุมารก็ตามพราหมณ์เข้าไปในห้อง เฉพาะพราหมณ์จึงถามเนื้อความแปลก ๆ ว่า ขออภัย ช่วยตอบด้วย
อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย ๑๐ เธอน่ะเสวย ภัตกะอะไร ในทินนี่ ดีไฉน พอหฤทัย ยิ่งละกระมัง ราชธก็เล่า เค้าณประโยค ตนบริโภค แล้วขณะหลัง วาทะประเทือง เรื่องสิประทั้ง อาคมยัง สิกขสภา ถอดความได้ว่า อย่าหาว่าตําหนิหรือลบหลู่ ครูขอถามว่าวันนี้พระกุมารเสวยพระกระยาหารอะไร รสชาติดี หรือไม่ พอพระทัยมากหรือไม่ พระกุมารก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระกระยาหารที่เสวย หลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องทั่วไป แล้วก็เสด็จกลับออกมายังห้องเรียน เสร็จอนุศาสน์ ราชอุรส ลิจฉวิหมด ต่างธก็มา ถามนยมาน ท่านพฤฒิอา จารยปรา รภกระไร เธอก็แถลง แจ้งระบุมวล ความเฉพาะล้วน จริงหฤทัย ต่างบมิเชื้อ เมื่อตริไฉน จึงผลใน เหตุบมิสม ถอดความได้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นการสอนราชกุมารลิจฉวีทั้งหมดก็มาถามเรื่องราวที่มีมาว่า ท่านอาจารย์ได้พูด เรื่องอะไรบ้าง พระกุมารก็ตอบตามความจริง แต่เหล่ากุมาร ต่างไม่เชื่อ เพราะคิดแล้วว่า ไม่สมเหตุสมผล
ขุ่นมนเคือง เช่นกะกุมาร ๑๑ เลิกสละแยก เกลียวบนิยม เรื่องนฤสาร ก่อนก็ระ แตกคณะกล คบดุจเดิม ถอดความได้ว่า ต่างขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับพระกุมารพระองค์ก่อน และเกิดความแตกแยกไม่คบกันอย่างกลมเกลียวเหมือนเดิม อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธก่อการณ์ ละครั้งระหว่างครา ทินวารนานนาน เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป บห่อนจะมีสา รฤหาประโยชน์ไร กระนั้นเสมอนัย เสาะแสดงธแสร้งถาม ถอดความได้ว่า พราหมณ์เจตนาหาเหตุยุแหย่ซ้ำเติมอยู่เสมอ ๆ แต่ละครั้ง แต่ละวัน นานนาน ครั้ง เห็นโอกาสเหมาะก็จะเชิญพระกุมารเสด็จไปโดยไม่มีสารประโยชน์อันใด แล้วก็แกล้งทูลถาม และบ้างก็พูดว่า นะแนะข้าสดับตาม ยุบลระบิลความ พจแจ้งกระจายมา ละเมิดติเตียนท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา พัดทลิทภา วและสุดจะขัดสน จะแน่มแน่เหลือ พิเคราะห์เชื่อเพราะยากยล ณที่บมีคน ธก็ควรขยายความ ถอดความได้ว่า วบ่าาพงคระรัอ้งงก็คพ์ูแดสวน่าจนะี่ยแาน่กะจข้นาพแรละะอขังดคส์ไนด้ยจินะเขป่็าน วเเชล่่นาลนัื้อนกแันน่ทหั่วรืไอปพเิขเคานริานะทห์าแพล้รวะกุมาร ไม่น่าเชื่อ ณ ที่นี้ไม่มีผู้ใด ขอให้ทรงเล่ามาเถิด
๑๒ และบ้างก็กล่าวว่า น่ะแนะข้าจะขอถาม เพราะทราบคดีตาม วจลือระบือมา ติฉินเยาะหมิ่นท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา รพันพิกลกา ยพิลึกประหลาดเป็น จะจริงมิจริงเหลือ มนเชื่อเพราะไปเห็น ผิข้อบลําเค็ญ ธก็ควรขยายความ ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดว่าข้าพระองค์ขอทูลถามพระกุมาร เพราะได้ยินเขาเล่าลือกันทั่วไป เยาะเย้ยดูหมิ่นท่าน ว่าท่านนี้มีร่างกายผิดประหลาดต่าง ๆ นานาจะเป็นจริงหรือไม่ ในใจไม่อยากเชื่อเลยเพราะไม่เห็น ถ้าหากมีสิ่งใดที่ลําบากยากแค้นก็ตรัสมาเถิด กุมารองค์เสา วนเค้าคดีตาม กระทู้พระครูถาม นยสุดจะสงสัย ก็คํามิควรการณ์ ครูท่านจะถามไย ธซักเสาะสืบใคร ระบุแจ้งกะอาจารย์ ทวิชแถลงว่า พระกุมารโน้นขาน ยุบลกะตูกาล เฉพาะอยู่กะกันสอง ถอดความได้ว่า พระกุมารได้ทรงฟังเรื่องที่พระอาจารย์ถามก็ตรัสถามกลับว่า สงสัยเหลือเกิน เรื่องไม่สมควรเช่นนี้ท่านอาจารย์จะถามทําไม แล้วก็ซักไซ้ว่าใครเป็นผู้มาบอกกับ อาจารย์ พราหมณ์ก็ตอบว่าพระกุมารพระองค์โน้นตรัสบอกเมื่ออยู่กัน เพียงสองต่อสอง
๑๓ กุมารพระองค์นัน ธมิทันจะไตร่ตรอง ก็เชื่อณคําของ พฤฒิครูและขู่วาม พิโรธกุมารองค์ เหมาะเจาะจงพยายาม ยุครูเพราะเอาความ บมิดีประเดตน ก็พอและต่อพิษ ทุรทิฐิมานจน ลุโทสะสืบสน ธิพิพาทเสมอมา ถอดความได้ว่า กุมารพระองค์นั้นไม่ทันได้ไตร่ตรอง ก็ทรงเชื่อในคําพูดของอาจารย์ ด้วยความวู่วามก็กริ้ว พระกุมารที่ยุพระอาจารย์ใส่ความตน จึงตัดพ้อต่อว่ากัน ขึ้น เกิดความโกรธ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ และฝ่ายกุมารผู้ ทิชครูมิเรียกหา ก็แหนงประดารา ชกุมารทิชงค์เชิญ พระราชบุตรลิจ ฉวิมิตรจิตเมิน ณกันและกันเห็น คณะห่างก็ต่างถือ ทะนงชนกตน พลล้นเถลิงลือ ก็หาญกระเหิมฮือ มนึกบนึกขามฯ ถอดความได้ว่า ฝ่ายพระกุมารที่พราหมณ์ไม่เคยเรียกเข้าไปหาก็ไม่พอพระทัยพระกุมาร ที่พราหมณ์เชิญไปพบ พระกุมารลิจฉวีหมางใจและเหินห่างกัน ต่างองค์ทะนงว่า พระบิดาของตนมีอํานาจล้นเหลือ จึงมีใจกําเริบไม่เกรงกลัวกัน
๑๔ สัทธราฉันท์ ๒๑ ลําดับนั้นวัสสการพราหมณ์ ธ ก็ยุศิษยตาม แต่งอุบายงาม ฉงนงำ ปวงโอรสลิจฉวีดํา ริณวิรุธก็สํา คัญประดุจคํา ธเสกสรร ไป่เหลือเลยสักพระองค์อัน มิละปิยะสหฉันท์ ขาดสมัครพันธ์ ก็อาดูร ถอดความได้ว่า ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์ แต่งกลอุบายให้เกิด ความแคลงใจ พระโอรสของกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการ น่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็นจริงดังถ้อยคําที่อาจารย์ปั้ น เรื่องขึ้น ไม่มีเหลือเลย สักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่กลมเกลียว ต่างขาดความสัมพันธ์ เกิดความเดือดร้อนใจ ต่างองค์นําความงามทูล พระชนกอดิศูร แห่งธโดยมูล ปวัตติความ แตกร้าวก้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม ที่ละน้อยตาม ณเหตุผล ฟันเฟือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน สืบจะหมองมล เพราะหมายใด ถอดความได้ว่า แต่ละองค์นําเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นไปทูลพระบิดาของตน ความแตกแยกก็ค่อย ๆ ลุกลามไปสู่พระบิดา เนื่องจาก ความหลงเชื่อโอรสของตน ปราศจากการใคร่ครวญเกิด ความผิดพ้อง หมองใจกันขึ้น
๑๕ แท้ท่านวัสสการใน กษณะตรีเหมาะไฉน เสริมเสมอไป สะดวกดาย หลายอย่างต่างกลธขวนขวาย พจนยุปริยาย วัญจโนบาย บเว้นครา ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย ถอดความได้ว่า ฝ่ายวัสสการพราหมณ์ครั้นเห็นโอกาสเหมาะสมก็คอยยุแหย่อย่างง่ายดาย ทํากลอุบาย ต่าง ๆ พูดยุยงตามกลอุบายตลอดเวลา เวลาผ่านไปประมาณ ๓ ปี ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์ลิจ ฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูกทําลาย ลงสิ้น สามัคคีธรรมทําลาย มิตรภิทนะกระจาย สรรพเสื่อมหายน์ ก็เป็นไป ต่างองค์ทรงแคลงระแวงใน พระราชหฤทยวิสัย ผู้พิโรธใจ ระวังกันฯ ถอดความได้ว่า ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูกทําลายลงสิ้น ความเป็นมิตรแตกแยก ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้น กษัตริย์ต่างองค์ ระแวงแคลงใจ มีความขุ่น เคืองใจ ซึ่งกันและกัน
๑๖ สาลินีฉันท์ ๑๑ พราหมณ์กรูรู้สังเกต ตระหนักเหตุถนัดครัน ราชาวัชชีสรร พจักสู่พินาศสม ยินดีบัดนี้กิจ จะสัมฤทธิมนารมณ์ เริ่มมาด้วยปรากรม และอุตสาหแห่งตน ให้ลองตีกลองนัด ประชุมขัตติย์มณฑล เชิญซึ่งส่ำสากล กษัตริย์สู่สภาคาร ถอดความได้ว่า พราหมณ์ผู้เป็นครูสังเกตเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีจะประสบความพินาศ จึงยินดีมากที่ภารกิจประสบผลสําเร็จสมดังใจ หลังจากเริ่มต้นด้วยความบากบัน และ ความอดทนของตน จึงให้ลองตีกลองนัดประชุมกษัตริย์ฉวี เชิญทุกพระองค์ เสด็จมายังที่ประชุม วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน ทุกไห้ไปเอาการ ณกิจเพื่อเสด็จไป ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย เราใช้เป็นใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ ท่านใดที่เป็นใหญ่ และกล้าใครมิเปรียบปาน พอใจใคร่ในการ ประชุมชอบก็เชิญเขา ถอดความได้ว่า ฝ่ายกษัตริย์วัชชีทั้งหลายทรงสดับเสียงกลองดังกึกก้อง ทุกพระองค์ไม่ทรงเป็น ธุระในการเสด็จไป ต่างองค์รับสั่งว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใด เราไม่ได้เป็นใหญ่ ใจก็ขลาด ไม่กล้าหาญ ผู้ใดเป็นใหญ่ มีความกล้าหาญไม่มีผู้ใดเปรียบได้ พอใจจะเสด็จไปร่วมประชุมก็เชิญเขาเถิด
๑๗ ปรึกษาหารือกัน ไฉนนั้นก็ทําเนา จักเรียกประชุมเรา บแลเห็นประโยชน์เลย รับสั่งผลักไสส่ง และทุกองค์ธเพิกเฉย ไปได้ไปดังเคย สมัครเข้าสมาคมฯ] ถอดความได้ว่า จะปรึกษาหารือกันประการใดก็ช่างเถิด จะเรียกเราไปประชุมมองไม่เห็น ประโยชน์ประการใดเลย รับสั่งให้พ้นตัวไป และทุกพระองค์ก็ทรงเพิกเฉย ไม่เสด็จไปเข้าร่วมการประชุมเหมือนเคย อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม พราหมณ์เวทอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์ ให้วัลลภชน คมดลประเทศฐาน กราบทูลนฤบาล ภิเผ้ามคธไกร แจ้งลักษณสา สนว่ากษัตริย์ใน วัชชีบุรไกร วลหล้าตลอดกัน ถอดความได้ว่า เมื่อพิจารณาเห็นช่องทางที่จะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย พราหมณ์ผู้รอบรู้พระเวท ก็ลอบส่งข่าว ให้คนสนิทเดินทางกลับไปยังบ้านเมือง กราบทูลกษัตริย์ แห่งแคว้นมคธอันยิ่งใหญ่ ในสาสน์แจ้งว่ากษัตริย์วัชชีทุกพระองค์
๑๘ บัดนี้สิก็แตก คณะแผกและแยกพรรค์ ไปเป็นสหฉัน ทเสมือนเสมอมา โอกาสเหมาะสมัย ขณะไหนประหนึ่งครา นี้หากผิจะหา ก็บได้สะดวกดี ขอเชิญวรบาท พยุหยาตรเสด็จกรี ธาทัพพลพี ริยยุทธโดยไวฯ ถอดความได้ว่า ขณะนี้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่สามัคคีกันเหมือนแต่เดิม จะหาโอกาสอันเหมาะสมครั้งใดเหมือนดังครั้งนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว ขอทูลเชิญพระองค์ยกกองทัพอัน ยิ่งใหญ่มาทําสงครามโดยเร็วเถิด วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ ข่าวเศิกเกอง ทราบถึงบัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ตื่นตาหน้าเลือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซูกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน ถอดความได้ว่า ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวสาลี แทบทุกคนในเมืองต่างตกใจและหวาดกลัว กันไปทั่ว หน้าตาตื่น หน้าซีดไม่มีสีเลือด ตัวสั่น พากันหนีตายวุ่นวาย พากันอพยพ ครอบครัวหนีภัย ทิ้งบ้านเรือนไปซุ่มซ่อนตัวเสียในป่า
เหลือจักห้ามปราม ชาวคามล่าลาด ๑๙ พันหัวหน้าราษฎร์ ขุนด่านตําบล หารือแก่กัน คิดผันผ่อนปรน จักไม่ให้พล มาคธข้ามมา จึงให้ตีกลอง ป่าวร้องทันที แจ้งข่าวไพรี รุกเบียนบีฑา เพื่อหมู่ภูมี วัชชีอาณา ชุมนุมบัญชา ป้องกันฉันใด ถอดความได้ว่า ไม่สามารถห้ามปรามชาวบ้านได้ หัวหน้าราษฎรและนายด่านตําบลต่าง ๆ ปรึกษากัน คิดจะยับยั้งไม่ให้กองทัพมคธข้ามมาได้ จึงตีกลองป่าวร้องแจ้งข่าว ข้าศึกเข้ารุกราน เพื่อให้เหล่ากษัตริย์แห่งวัชชีเสด็จมาประชุมหาหนทางป้องกัน ประการใด ราชาลิจฉวี ไปมีสักองค์ อันนึกจํานง เพื่อจักเสด็จไป ต่างองค์ดํารัส เรียกนัดทําไม ใครเป็นใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี เชิญเทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน ปรึกษาปราศรัย ตามเรื่องตามที ส่วนเราเล่าใช้ เป็นใหญ่ยังมี ใจอย่างผู้ดี รุกปราศอาจหาญ ถอดความได้ว่า ไม่มีกษัตริย์ลิจฉวีแม้แต่พระองค์เดียวคิดจะเสด็จไป แต่ละพระองค์ทรงดํารัส ว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใด ผู้ใดเป็นใหญ่ ผู้ใดกล้าหาญ เห็นดีประการใด ก็เชิญเถิด จะปรึกษาหารือ อย่างไรก็ตามแต่ใจ ตัวของเรานั้นไม่ได้มีอํานาจยิ่งใหญ่ จิตใจก็ขี้ขลาด ไม่องอาจกล้าหาญ
ต่างทรงสําแดง ความแขงอํานาจ ๒๐ สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน ภูมิศลิจฉวี วัชชีรัฐบาล ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์ฯ ถอดความได้ว่า แต่ละพระองค์ต่างแสดงอาการเพิกเฉย ปราศจากความสามัคคีปรองดอง ในจิตใจ กษัตริย์ลิจฉวีแห่งวัชชีไม่เสด็จมาประชุมกันแม้แต่พระองค์เดียว อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ปิ่ นเขตมคธขัต ติยรัชธํารง ยั้งทัพประทับตรง นคเรศวิสาลี ภูธรธสังเกต พิเคราะห์เหตุณธานี แห่งราชวัชชี ขณะเชิกประชิดแดน เฉยดูบรู้สึก และมนึกจะเกรงแกลน ฤาคิดจะตอบแทน รณทัพระงับภัย ถอดความได้ว่า จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธหยุดทัพตรงหน้าเมืองเวสาลี พระองค์ทรงสังเกต วิเคราะห์เหตุการณ์ทางเมืองวัชชีในขณะที่ข้าศึกมาประชิดเมือง ดูนิ่งเฉยไม่รู้สึก เกรงกลัว หรือ คิดจะทําสิ่งใดโต้ตอบระงับเหตุร้าย
๒๑ นิ่งเงียบสงบงํา บมิทําประการใด ปรากฏประหนึ่งใน บุรว่างและร้างคน แน์โดยมิพักสง สยองกระทบกล ท่านวัสสการจน ลูกระนี้ถนัดตา ภินท์พัทธสามัค คิยพรรคพระราชา ชาวลิจฉวีวา รจะพ้องอนัตถ์ภัย ถอดความได้ว่า กลับอยู่อย่างสงบเงียบไม่ทําการสิ่งใด มองดูราวกับเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คน แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะถูกกลอุบายของวัสสการพราหมณ์จนเป็นเช่นนี้ ความสามัคคีความผูกพันแห่งกษัตริย์ลิจฉวีถูกทําลายลงและจะประสบกับภัยพิบัติ ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนั้นหนอ ครูวัสสการแส กลแหยุดีพอ ปั่ นป่วนบเหลือหลอ จะมีร้าวมิรานกัน ครั้นทรงพระปรารภ ธุระจบธจึงบัญ ชานายนิกายสรร พทแกล้วทหารหาญ ถอดความได้ว่า ลูกข่างที่เด็กขว้างเล่นได้สนุกฉันใด วัสสการพราหมณ์ก็สามารถยุแหย่ให้ เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี แตกความสามัคคีได้ตามใจชอบและคิดที่จะสนุกฉันนั้น ครั้นทรงคิดดังนั้นจึงมีพระราชบัญชาแก่เหล่าทหารหาญ
๒๒ สุคะเนกะเกณฑ์การ เพื่อข้ามนที่ธาร จรเข้านครบร เขารับพระบัณฑูร อดิศรบดีศร ภาโรปกรณ์ตอน ทิวรุ่งสฤษฎ์พลัน จอมนาถพระยาตรา พยุหาธิทัพขันธ์ โดยแพและพ่วงปัน พลข้ามณคงคา จนหมดพหลเนื่อง พิศเนื่องขนัดคลา ขึ้นฝั่ งลุเวสา ลิบุเรศสะดวกดายฯ ถอดความได้ว่า ให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำจะเข้าเมืองของฝ่ายศัตรู พวกทหาร รับราชโองการ แล้วก็ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับ ในตอนเช้างานนั้นก็เสร็จทันที จอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมีกําลัง พลมากมายลงในแพที่ติดกัน นํากําลัง ข้ามแม่น้ำจนกองทัพหมดสิ้น มองดูแน่นขนัด ขึ้นฝั่ งเมืองเวสาลีอย่าง สะดวกสบาย
๒๓ เร่งทําอุสุมป์เว ฬุคะเนกะเกณฑ์การ เพื่อข้ามนที่ธาร จรเข้านครบร เขารับพระบัณฑูร อดิศรบดีศร ภาโรปกรณ์ตอน ทิวรุ่งสฤษฎ์พลัน จอมนาถพระยาตรา พยุหาธิทัพขันธ์ โดยแพและพ่วงปัน พลข้ามณคงคา จนหมดพหลเนื่อง พิศเนื่องขนัดคลา ขึ้นฝั่ งลุเวสา ลิบุเรศสะดวกดายฯ ถอดความได้ว่า ให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ําจะเข้าเมืองของฝ่ายศัตรู พวกทหาร รับราชโองการ แล้วก็ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับ ในตอนเช้างานนั้นก็เสร็จทันที จอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมีกําลัง พลมากมายลงในแพที่ติดกัน นํากําลัง ข้ามแม่น้ําจนกองทัพหมดสิ้น มองดูแน่นขนัด ขึ้นฝั่ ง เมืองเวสาลีอย่าง สะดวกสบาย ข่าวเชิกเอิกถึง ทราบถึงบัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ตื่นตาหน้าเลือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซูกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน ถอดความได้ว่า ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวสาลี แทบทุกคนในเมืองต่างตกใจ และหวาดกลัวกันไปทั่ว หน้าตาตื่น หน้าซีดไม่มีสีเลือด ตัวสั่น พากันหนีตาย และวุ่นวาย โดยพากันอพยพครอบครัวหนีภัย ทิ้งบ้านเรือนไปซ่อนเสียในป่า
๒๔ จิตรปทาฉันท์ ๘ นาครธา นิวิสาลี เห็นริปุมี พลมากมาย ข้ามติรชล ก็ลุพ้นหมาย มุ่งจะทลาย พระนครตน ต่างก็ตระหนก มนอกเต้น ตื่นบมิเว้น ตะละผู้คน ทั่วบุรคา มจลาจล เสียงอลวน อลเวงไป ถอดความได้ว่า ฝ่ายเมืองเวสาลีมองเห็นข้าศึกจํานวนมากข้ามแม่น้ํามาเพื่อจะทําลายล้างบ้านเมือง ของตน ต่างก็ตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า ในเมืองเกิดจลาจลวุ่นวายไปทั่วเมือง สรรพสกล มุขมนตรี ตรอมมน รุกเภทภัย บางคณะอา ทรปราศรัย ยังมิกระไร ขณะนี้หนอ ควรบริบาล พระทวารมั่น ต้านปะทะกัน อริก่อนพอ ขัตติยรา ชสภารอ ดําริจะขอ วรโองการ ถอดความได้ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวภัย บางพวกก็พูดว่าขณะนี้ยังไม่เป็นไรหรอก ควรจะป้องกันประตูเมืองเอาไว้ให้มั่นคง ต้านทานข้าศึกเอาไว้ก่อน รอให้ที่ประชุม เหล่ากษัตริย์มีความเห็นว่าจะทรงทําประการใด
๒๕ ทรงตริไฉน ก็จะได้ทํา โดยนยดํา รัสภูบาล เสวกผอง ก็เคาะกลองขาน อาณัติปาน ดุจกลองฟัง ศัพทอุโฆษ ประลุโสตท้าว ลิจฉวีด้าว ขณะทรงฟัง ต่างธก็เฉย และละเลยดัง ไท้มิอินัง ธุระกับใคร ถอดความได้ว่า ก็จะได้ดําเนินการตามพระบัญชาของพระองค์ เหล่าข้าราชการทั้งหลายก็ตีกลอง สัญญาณขึ้นราวกับกลองจะพัง เสียงดังกึกก้องไปถึงพระกรรณกษัตริย์ลิจฉวี ต่างองค์ทรง เพิกเฉยราวกับไม่เอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้ใด ต่างก็บคลา ณสภาคา แม้พระทวาร บูรทั่วไป รอบทิศด้าน และทวารใด เห็นนรไหน สิจะปิดมีฯ ถอดความได้ว่า ต่างองค์ไม่เสด็จไปที่ประชุม แม้แต่ประตูเมืองรอบทิศทุกบานก็ไม่มีผู้ใดปิด
๒๖ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ จอมทัพมาคธราษฎร์ธยาตรพยุหกรี ธาสู่วิสาลี นคร โดยทางอันพระทวารเปิดนรนิกร ฤารอต่อรอน อะไร เบื้องนั้นท่านครูวัสสการทิชก็ไป นําทัพชเนนทร์ไท มคธ ถอดความได้ว่า จอมทัพแห่งแคว้นมคธกรีธาทัพเข้าเมืองเวสาลีทางประตูเมืองที่เปิดอยู่โดยไม่มีผู้คน หรือทหารต่อสู้ประการใด ขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไปนําทัพของ กษัตริย์แห่งมคธ เข้าปราบลิจฉวิขัตติย์รัฐชนบท สู่เอื้อมพระหัตถ์หมด และโดย ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหลโรย แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์ ราบคาบเสร็จธเสด็จลุราชคฤหอุต คมเขตบุเรศดุจ ณ เดิม ถอดความได้ว่า เข้ามาปราบกษัตริย์ลิจฉวี อาณาจักรทั้งหมดก็ตกอยู่ในพระหัตถ์ โดยที่กองทัพ ไม่ต้องเปลืองแรงในการต่อสู้ ปราบราบคาบแล้วเสด็จยังราชคฤห์เมืองยิ่งใหญ่ ดังเดิม
๒๗ เรื่องต้นยุกติก็แต่จะต่อพจนเติม ภาษิตลิขิตเสริม ประสงค์ ปรุงโสตเป็นคติสุนทราภรณจง จับข้อประโยชน์ตรง ตริด ถอดความได้ว่า เนื้อเรื่องแต่เดิมจบลงเพียงนี้ แต่ประสงค์จะแต่งสุภาษิตเพิ่มเติมให้ได้รับฟัง เพื่อเป็นคติอันทรงคุณค่านําไปคิดไตร่ตรอง อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อันภูบดีรา ชอชาตศัตรู ได้ลิจฉวีภู วประเทศสะดวกดี แลสรรพบรรดา วรราชวัชชี ถึงซึ่งพิบัติปี ฑอนัตถ์พินาศหนา เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง ถอดความได้ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายก็ถึง ซึ่งความพินาศล่มจม เหตุเพราะความแตกแยกกัน ต่างก็มีความยึดมั่นในความ คิดของตน ผูกโกรธ ซึ่งกันและกัน
๒๘ แยกพรรคสมรรคกิน ทนสิ้นบปรองดอง ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ เหตุหากธมากเมื่อ คติโมหเป็นมูล ถอดความได้ว่า ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณา ไตร่ตรอง เชื่อถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ ทรงมากไปด้วยความหลง จึงดาลประการหา ยนภาวอาดูร เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิ์เสือมนาม ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์ เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทํามา ถอดความได้ว่า จึงทําให้ถึงซึ่งความฉิบหาย มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศ และชื่อเสียงที่เคยมีอยู่ ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการก ระทํากลอุบาย
๒๙ พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล ดีสู่ณหมู่ตน บนิราศนิรันดร หมู่ใดผิสามัก คยพรรคสโมสร ไปปราศนิราศรอน คุณไว้ไฉนดล ถอดความได้ว่า ผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้ว ในเรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน ความสามัคคีอาจอํานวยให้ถึงซึ่งสภาพ แห่งความผาสุก ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคี ร่วมชุมนุมกันไม่ห่างเหินกัน สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู้ได้อย่างไร พร้อมเพรียงประเสริฐครัน เพราะฉะนั้นแหละบุคคล ผู้หวังเจริญตน ธุระเกี่ยวกะหมู่เขา พึ่งหมายสมัครเป็น มุขเป็นประธานเอา ธูรทั่วณตัวเรา บมิเห็นณฝ่ายเดียว ควรยกประโยชน์ยื่น นรอื่นก็แลเหลียว ดูบ้างและกลมเกลียว มิตรภาพผดุงครอง ถอดความได้ว่า ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก เพราะฉะนั้นบุคคลใดหวังที่จะได้รับ ความเจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม ก็พึงตั้งใจเป็นหัวหน้าเอาเป็นธุระ ด้วยตัวของเราเอง โดยไม่เห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ควรยกประโยชน์ให้ บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง ต้องกลมเกลียว มีความเป็นมิตรกันไว้
๓๐ ยังทิฐิมานหย่อน ทมผ่อนผจงจอง อารีมีมีหมอง มนเมื่อจะทําใด ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป ตามน้อยและมากใจ สุจริตนิยมธรรม์ พึงมรรยาทยืด สุประพฤติสงวนพรรค์ รื้อริษยาอัน อุปเฉทไมตรี ถอดความได้ว่า ต้องลดทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทําสิ่งใดก็เอื้อเฟื้ อกันไม่มีความบาดหมางใจ ผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นใน มารยาทและความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยา กันอันจะตัดรอนไมตรี ดังนั้นณหมู่ใด ผิบไร้สมัครมี พร้อมเพรียงนิพัทธ์นี รวิวาทระแวงกัน หวังเทอญมิต้องสง สยองประสบพลัน ซึ่งสุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวิการ ใครเล่าจะสามารถ มนอาจระรานหาญ หักล้างบแหลกลาญ ก็เพราะพร้อมเพราะเพรียงกัน ถอดความได้ว่า ดังนั้นถ้าหมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ ไม่มีการวิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และ ประกอบด้วยประโยชน์มากมาย ใครเล่าจะมีใจกล้าคิดทําสงคราม หวังจะทําลายล้างก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะความพร้อมเพรียงกันนั่นเอง
๓๑ แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง มัดกำกระนั้นปอง พลหักก็เต็ม เหล่าไหนผิไมตรี สละลี้ณหมู่ตน กิจใดจะขวายขวน บมิพร้อมมิเพรียงกัน อย่าปรารถนาหวัง สุขทั้งเจริญอัน มวลมาอุบัติบรร ลุไฉนบได้ม ปวงทุกข์พิบัติสรร พภยันตรายกลี แม้ปราศนิยมปรี ติประสงค์ก็คงสม ควรชนประชุมเช่น คณะเป็นสมา สามัคคิปรารม ภนิพัทธรำพึง ไป่มีก็ให้มี ผิวมีก็คำนึง เนื่องเพื่อภิยโยจึง จะประสบสุขาลัยฯ ถอดความได้ว่า แม้แต่กิ่งไม้หากใครจะใคร่ลองเอามามัดเป็นกำ ตั้งใจใช้กำลังหักก็ยากเต็มทน หากหมู่ใดไม่มีความสามัคคีในหมู่คณะของตน และกิจการอันใดที่จะต้อง ขวนขวายทำก็มิพร้อมเพรียงกัน ก็อย่าได้หวังเลยความสุขความเจริญจะเกิดขึ้น ได้อย่างไร ความทุกข์พิบัติอันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวง ถึงแม้จะไม่ต้องการ ก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้ ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะหรือสมาคม ควรคำนึงถึง ความสามัคคีอยู่เป็นนิจ ถ้ายังไม่มีก็ควรจะมีขึ้น ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรให้ เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย
๓๒ คุณค่าวรรณคดี ด้านวรรณศิลป์ สุนทรียภาพ คือ ความงามในงานศิลปะที่แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้กวีได้ใช้ กลวิธีทางภาษาในการถ่ายทอดความงามดังกล่าวได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะ สุนทรียภาพด้านเสียงกวีมุ่งเน้น การเลือกสรรถ้อยคําเพื่อทําให้เกิดเสียงเสนาะ ดังปรากฏว่ามีการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ เล่นเสียง สัมผัสสระ และ เล่นเสียงวรรณยุกต์ตลอดเรื่อง ส่งผลให้วรรณคดีเรื่องนี้มีความไพเราะและงดงามยิ่ง ตัวอย่างการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย (ชงค์-ชาติ-ฉ, เน-นึง, กล-การ, (ฉ)วี-วาร, วัง-แกการ, (ฉ)วี-วาร, วัง-แวง, เหือด-หาย) ตัวอย่างการเล่นเสียงสัมผัสสระ ชะรอยว่าทิชาจารย์ รหัสเหตุประเภทเห็น ธ คิดอ่านกะท่านเป็น ละแน่ชัดถนัดความ (ว่า-ชา, อ่าน-ท่าน, เหตุ-เภท, ชัด-(ถ)นัด) ตัวอย่างการเล่นเสียงขออณยุกต์ แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง มัดกํากระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน (ใคร-ใคร่) นอกจากนี้ ยังปรากฏการใช้วรรณศิลป์สร้างสุนทรียภาพด้านความหมาย มีการใช้ ความเปรียบ เพื่อให้เข้าใจความคิด เช่น เรื่องการปลุกปั่ นยุยง ดังบทประพันธ์ที่ว่า ลูกข่างประดาทา หมุนเล่นสนุกไฉน รกกาลขว้างไป ดุจกันฉะนั้นหนอ เรื่องความสามัคคี ดังบทประพันธ์ที่ว่า ผิวใครจะใคร่ลอง แม้มากผิกิ่งไม้ พลหักก็เต็มทน มัดกํากระนั้นปอง
๓๓ ด้านสังคมและวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง กษัตริย์แห่งแคว้นวัชชีทั้งหลายปกครองโดยยึดมั่นตามหลักอปริหานิยธรรมซึ่ง เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ มีเนื้อหาเน้นความสามัคคี เป็นหลักธรรม อันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว สําหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง มี ๗ ประการคือ ๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทํากิจที่พึงทํา ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม ๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคําของท่าน ว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง ๕. บรรดากุลสตรีกุลกุมารทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมถูกข่มเหงหรือฉุดคร่าขึ้นใจ ๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดจนอนุสาวรีย์ต่างๆ) ของวัชชีทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้ทําแก่เจดีย์ เหล่านั้นเสื่อมทรามไป ๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง และป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ใน แว่นแคว้นโดยผาสุก หากมีศัตรูเข้ามาโจมตี กษัตริย์แห่งแว่นแคว้นวัชชีทั้งหลาย ก็จะทรงรวมกันต่อสู้ศัตรู จนพ่ายแพ้ การศึกษา ในอดีตกษัตริย์หรือราชกุมารจะได้รับการศึกษาจากอาจารย์ผู้ชํานาญในวิทยาการ แขนงต่าง ๆ เพราะถือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการปกครองบ้านเมือง เช่นเดียวกับ กษัตริย์ลิจฉวีที่เห็นว่า พระราชโอรสควรได้ร่ำเรียนวิชาจากผู้ที่มีความรอบรู้และ มีสติปัญญา และต่างเห็นว่าวัสสการพราหมณ์ เป็นพราหมณ์อาวุโสที่มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ในหลักวิชา และชํานาญด้านศิลปวิทยาการ ต่าง ๆ จึงทรงแต่งตั้งให้ วัสสการพราหมณ์เป็นอาจารย์สอนศิลปวิทยาการให้แก่เหล่าพระราชกุมาร ประจําแคว้นวัชชี
๓๔ การขยายอาณาเขต พระมหากษัตริย์ที่ปกครองแคว้นต่าง ๆ จะขยายอาณาเขตให้กว้างขวาง ขึ้นเรื่อย ๆ โดยการสู้รบเพื่อยึดครองดินแดนที่อ่อนแอกว่ามาเป็นของตนเอง และหากดินแดนที่ยึดครองได้นั้น มีความรุ่งเรืองมาก ก็ยิ่งจะแสดงถึงชัยชนะ และความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้ที่ได้ครอบครองมาก เท่านั้นซึ่งในสมัยนั้น แคว้นวัชชีเป็นแคว้นขนาดใหญ่และรุ่งเรืองกว่าแคว้นอื่น ๆ จึงเป็นสาเหตุให้ พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ มีพระราชประสงค์จะครอบครอง เพื่อขยายอาณาจักรของตน ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ด้านการนำไปใช้ ๑. การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองก่อนทำการใดๆ เป็นสิ่งที่ดี ๒. การสามัคคีกันทำให้ประสบความสำเร็จ ๓. การเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จ ได้ด้วยดี ๔. การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม ๕. การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรู
๓๕ อธิบายคำศัพท์ยาก: กถา [กะ-] ถ้อยคํา เรื่อง คําอธิบาย คํากล่าว กลห์เหตุ [กน-เหด] เหตุแห่งการทะเลาะ กสิก [กะ-สิก] ชาวนา ไกวล [ไก-วน] ทั่วไป ขัตติย์ [ขัด-ติ] กษัตริย์ คดี [คะ-ดี] เรื่อง, มักใช้ประกอบคำศัพท์ เช่น โบราณคดี คดีโลก คม [คม] ไป ชเนนทร์ [ชะ-เนน] ผู้เป็นใหญ่ในชน (ชน+อินทร) ทม [ทม] การข่มใจ การทรมาน ทลิทภาว [ทะ-ลิด-พา-วะ] ยากจน ทั่วบุรคาม [ทั่ว-บุ-ระ-คาม] ทั่วบ้านทั่วเมือง ทิช [ทิ-ชะ] ผู้เกิด ๒ ครั้ง คือ นก และพราหมณ์ ทิน [ทิน,ทิน-นะ] วัน เช่น ปฏิทิน อนุทิน นครบร [นะ-คอน-บอ-ระ] เมืองของข้าศึก นย ,นัย [นะ-ยะ,ไน,ไน-ยะ] ความหมาย เค้าความ นยนาม [นะ-ยะ-นาม] ใจความ นรนิกร [นอ-ระ-นิ-กอน] ฝูงชน นฤพันธ,นิพัทธ์[นะ-รึ-พัด-ทะ,นิ-พัด] เนืองๆ เนื่องกัน นฤสาร [นะ-รึ-สาน,นะ-รึ-สา-ระ] ไม่มีสาระ นิวัต [นิ-วัด] กลับ นีรผล [นี-ระ-ผน] ไม่เป็นผล ประเค [ประ-เค] มอบให้หมด ประศาสน์ [ประ-สาด] การแนะนำ, การสั่งสอน ปรากรม [ปะ-รา-กรม] ความเพียร ความบากบั่น ปรุงโสต [ปรุง-โสต] ในที่นี้หมายความว่า แต่งให้เพราะน่าฟัง ปลาด [ปะ-หลาด] หายไป ปวัตน์ [ปะ-วัด] ความเป็นไป”ปวัตติ์”ก็ใช้ พฤฒิ [พรึด,พรึด-ทิ] ผู้เฒ่า พิเฉท [พิ-เฉด] ตัดขาด ทำลาย พุทธาทิบัณฑิต [พุด-ทา-ทิ-บัน-ดิด] ผู้รู้ มีพระพุทธเจ้าเป็นอาทิ ภัต [พัด,พัด-ตะ] อาหาร ข้าว
ภาโรปกรณ์ [พา-โร-ปะ-กอน] ๓๖ ในที่นี้แปลว่า ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ภินท์พัทธสามัคคิย [พิน-พัด-ทะ-สา-มัก-คิ-ยะ] การแตกสามัคคี ภิยโย [ภิ-ยะ-โย,พิน-โย] ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป ภีรุก [พี-รุ-กะ] กลัว, ขี้ขลาด ภูมิศ [พูม-มิ-สะ] กษัตริย์ มน [มน,มะ-นะ] ใจ มนารมณ์ [มะ-รา-รม] สมดังที่ตั้งใจ มาน [มาน] ความถือตัว ยุกติ [ยุก-ติ] ยุติ จบสิ้น รหุฐาน [ระ-หุ-ถาน] ที่ลับ ที่เงียบ ที่สงบ ที่สงัด ลักษณสาสน [ลัก-สะ-น่ะ-สาน] ในที่นี้หมายถึงจดหมาย เลา [เลา] เค้า วัญจโนบาย [วัน-จะ-โน-บาย] อุบายหลอกลวง วัลลภชน [วัน-ลบ-ชน] คนสนิท คนโปรด วิรุธ [วิ-รุด] ผิดปกติ พิรุธ สมรรคภินทน [สะ-หมัก-พิน-ทะ-นะ] ความแตกสามัคคี สมัครภาพ [สะ-หมัก-พาบ] ความสามัคคี สหกรณ [สะ-หะ-กอน] หมู่เหล่า ส่ำ [สั่ม] หมู่ เหล่า พวก ชนิด สิกขสภา [สิก-ขะ-สะ-ภา] ห้องเรียน สุขาลัย [สุ-ขา-ลัย] สถานที่ที่มีความสุข เสาวน [เสา-วะ-นะ] การฟัง การได้ฟัง เสาวภาพ [เสา-วะ-พาบ] สุภาพ หายน์, หายน [หาย,หา-ยะ-นะ] ความเสื่อม ความเสียหาย ความฉิบหาย หิตะ [หิ-ตะ] ความเกื้อกูล ประโยชน์ เหี้ยมนั้น [เหี้ยม-นั้น] เหตุนั้น [อะ-นัด] อนัตถ์ ไม่เป็นประโยชน์ อนุกรม [อะ-นุ-กรม] ตามลำดับ อภิเผ้า [อะ-พิ-เผ้า] ผู้เป็นใหญ่ อาคม [อา-คม] มา มาถึง อุปเฉทไมตรี [อุบ-ปะ-เฉท-ทะ-ไม-ตรี] ตัดไมตรี อุรส [อุ-รด] โอรส ลูกชาย “ผู้ที่เกิดแต่อก” คือ ลูก อุฬุมป์เวฬุ [อุ-ลุม-เว-ลุ] แพไม้ไผ่ เอาธูร [เอา-ธู-ระ] เอาเป็นธุระ เอาภาร [เอา-พา-ระ] รับภาระ หรือรับผิดชอบ
บรรณานุกรม ๓๗ CAMPUS สืบค้น ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕,จาก https://campus.campus-star.com/variety/113938.html? fbclid=IwAR0Nothsnw4RXJQPPqF_ovzuy0My3pyEXs6_Azs GH32bxFT6Wkz3ymUcpoQ Faiitanradee ๑๙ สืบค้น ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕,จาก https://sites.google.com/site/faiitanradee19/samakhkhi- pheth-kha-chanth? fbclid=IwAR0fMj7QHn7RSQwZmEa08CRLqEBQy4_Bs0Rpp Lin1FafSS7iHh5EfuuNHkg Gotoknow สืบค้น ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕,จาก https://www.gotoknow.org/posts/406381? fbclid=IwAR0WsQrtMlRcH2iTCP1kiuu8gm1weqPqO0kIvolJc NjySTK2UtKA5chAPEw Gotoknow สืบค้น ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕,จาก https://www.gotoknow.org/posts/280111? fbclid=IwAR1LQqFCpnO7Jd299JNgpKQ7bmG3pKMHZaAsq QlpwKenNRmzrGiB5DtWbSk Krunatchaya สืบค้น ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕,จาก https://sites.google.com/a/watpa.ac.th/krunatchaya/bi- khwam-ru-reuxng-samakhkhi-pheth-kha-chanth? fbclid=IwAR3FHgEbw2MR3sQZzsQ6K8lA2Tmi41EnGjObH5 QiF_HfAuCtRk-1VOjMFjE
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: