การจดั การความขดั แยง้ ทางสงั คม รหสั วชิ า 2134443 โดย อ. นาเดยี ปายอ
กระบวนการของความขดั แยง้ แบง่ ออกเป็น 5 ระยะ
กระบวนการของความขดั แยง้ ระยะท่ี 1 การกอ่ ตวั ของการตอ่ ตา้ น (Potential Opposition or Incompatibility) กระบวนการขดั แยง้ ในขน้ั น้ีปรากฏมเี งอ่ื นไขต่าง ๆ ทแ่ี สดงวา่ มโี อกาสเกดิ ความขดั แยง้ ข้นึ โดยอาจ ไมใ่ ช่ทกุ เงอ่ื นไขท่ี ก่อใหเ้กดิ ความขดั แยง้ โดยตรง ซง่ึ ไดแ้ ก่ เงอ่ื นไขดา้ นการสอ่ื ความหมาย ดา้ นโครงสรา้ ง และดา้ นทเ่ี ป็นตวั แปรส่วนบคุ คล 1.ดา้ นการสอ่ื กสาร 2.ดา้ นโครงสรา้ ง 3. ดา้ นตวั แปรสว่ นบคุ คล
ระยะท่ี 2 ระยะรบั รูถ้ งึ ความขดั แยง้ (Cognition and Personalization) เมอ่ื ฝ่ายใด ฝ่ายหน่ึงทราบและผูกใจกบั ปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ ในระยะท่ี 1 แลว้ ซง่ึ จะยง่ิ รูส้ กึ ทต่ี ่อตา้ นและมคี วามขดั แยง้ มาก ข้นึ กลา่ วคอื จะเกดิ อารมณ์ท่เี ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั การขดั แยง้ น้ันจนเกดิ ภาวะวติ กกงั วลใจ มคี วามตงึ เครยี ด คบั ขอ้ งใจ และอาจถงึ ขน้ั เป็นปฏปิ กั ษต์ ่อกนั กไ็ ด้
ระยะท่ี 3 ตง้ั ใจแสดงออกกบั การเผชิญความขดั แยง้ (Intentions) เป็นขนั้ ตอนท่ี เมอ่ื ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงหรอื ทง้ั สองฝ่ายรบั รู้ และมคี วามรูส้ กึ ดา้ นอารมณต์ ่อปญั หาความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ ทง้ั สองฝ่ายจะพยายามหาทางแกป้ ญั หาหรอื ยตุ ขิ อ้ ขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ ซง่ึ ถอื เป็นขน้ั ตอนทส่ี าํ คญั เพราะเป็นการหาทางเลอื กใน การจดั การกบั ความขดั แยง้ ดงั กลา่ ว จากการศึกษาของ Thomas & Kilmann เพอ่ื จาํ แนกพฤตกิ รรมของบคุ คลในการเผชญิ ความขดั แยง้ และจดั การความขดั แยง้ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 มติ ิ คอื มติ ติ ามแกนนอนบอกถงึ ระดบั การใหค้ วามร่วมมอื (Cooperativeness) ส่วนมติ ติ ามแกนตง้ั แทน การม่งุ ทต่ี นเอง (Assertiveness) ซง่ึ หมายถงึ ระดบั ทฝ่ี ่ายหน่ึงพยายามทจ่ี ะตอบสนองความพอใจ ของตนเอง จากมติ ทิ งั้ สองทาํ ใหเ้กดิ วธิ กี ารทต่ี ง้ั ใจใชเ้พอ่ื จดั การกบั ความขดั แยง้ ข้นึ 5 วธิ ี ไดแ้ ก่ การแขง่ ขนั (Competing) การร่วมมอื (Collaborating) การหลกี เลย่ี ง (Avoiding) การยนิ ยอม (Accommodating) และการประนปี ระนอม (Compromising)
ระยะท่ี 4 พฤตกิ รรมท่แี สดงออก (Behavior) คนส่วนมากคดิ วา่ ความขดั แยง้ ทแ่ี ทจ้ รงิ อยู่ในขน้ั น้ี เพราะเป็นระยะทค่ี วามขดั แยง้ ถกู แสดงออกมาเป็นพฤตกิ รรมท่ี สามารถเหน็ ไดช้ ดั เจน จากการใชว้ าจาการกระทาํ และการตอบโต้ กลบั ดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ ของคู่กรณีทงั้ สองฝ่าย เช่น ใช้ คาํ ถามชวนทะเลาะกบั ฝ่ายตรงขา้ ม ใชว้ าจาด่าทอ ทาํ รา้ ย ใชก้ าํ ลงั ทาํ รา้ ย จนไปถงึ พยายามทาํ ลายลา้ งอกี ฝ่ายทกุ วถิ ที าง
ระยะท่ี 5 ผลลพั ธท์ ่เี กดิ ข้นึ จากความขดั แยง้ 1. ผลลพั ธด์ า้ นดที ส่ี ่งผลต่อผลการปฏบิ ตั งิ านของกลมุ่ และองคก์ าร 2. ผลลพั ธด์ า้ นลบทส่ี ง่ ผลต่อผลการปฏบิ ตั งิ านของกลมุ่ และองคก์ าร
ความขดั แยง้ ความรุนแรง สนั ตภิ าพ
ความรุนแรง (Violence) คอื อะไร? องคก์ ารสหประชาชาติ (2544) ไดใ้ หค้ วามหมายของความรุนแรงไวว้ า่ เป็นการกระทาํ ใดๆ ท่ี เป็นเหตหุ รอื เป็นสง่ิ ท่โี นม้ นา้ วใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ ทรมาน อรนุงคแกร์ งาไรวอว้นา่ ามยั โลก (World Health Organization (WHO)) ไดน้ ิยามความ การจงใจใชก้ าํ ลงั หรอื อาํ นาจทางกายเพอ่ื ข่มขู่ หรอื กระทาํ ต่อตนเอง ต่อผูอ้ น่ื ต่อกลมุ่ บคุ คล หรอื ชมุ ชน ซ่ึงมผี ลทาใหเ้ กดิ หรอื มีแนวโนม้ ท่จี ะมผี ลทาํ ใหเ้ กดิ การบาดเจบ็ ตาย หรอื เป็นอนั ตรายต่อจติ ใจ หรอื เป็นการ ยบั ยง้ั การเจรญิ งอกงามหรอื การกดี กนั หรอื ปิดกน้ั ทาํ ใหส้ ูญเสยี สทิ ธิบางประการ และขาด การไดร้ บั ในสง่ิ ท่ี สมควรจะไดร้ บั
องคป์ ระกอบของความรนุ แรง ปจั จยั นาํ เขา้ ความจงใจทจ่ี ะทาํ ใหเ้กดิ ผลของการกระทาํ International Physical Force (Input) (Intentionality)ในรูปแบบของ Sexual Psychological เหยอ่ื (Victim) ผูถ้ กู กระทาํ ซง่ึ มหี ลายระดบั Personal / Individual ผลจากการกระทาํ ทเ่ี กดิ จากการจงใจทม่ี ตี ่อ Group / Interpersonal ผลลพั ธ์ เหยอ่ื แสดงออกมาในรูปแบบของ Community Societal Injury Death Psychological harm Maldevelopment / Deprivation
ลกั ษณะของความรุนแรง 1. ความรนุ แรงทางร่างกาย (Physical Violence) หมายถงึ การไดร้ บั บาดเจบ็ โดยผูก้ ระทาํ ความรุนแรง 2. ความรุนแรงทางเพศ (Sexual Violence) หมายถงึ การกระทาํ ใดๆ ทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใชผ้ ูถ้ กู กระทาํ เป็นเครอ่ื งมอื ตอบสนองความตอ้ งการทางเพศ ของผูก้ ระทาํ 3. ความรุนแรงทางจติ ใจ (Psychological Violence) หมายถงึ การ ทาํ รา้ ยจติ ใจ ควบคมุ บงั คบั อย่างไม่มเี หตผุ ล ทาํ ใหไ้ ดร้ บั ความอบั อาย รูส้ กึ ดอ้ ย ค่าหรอื ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ 4. ความรุนแรงทก่ี ่อใหเ้กดิ ความสูญเสยี หรอื การละเลย/ทอดท้งิ (Deprivation or Neglect) หมายถงึ การไม่ไดร้ บั การดูแลเอาใจใส่ และคมุ้ ครอง อย่างเหมาะสมเพยี งพอ รวมถงึ การทอดท้งิ ทางกาย ไมเ่ ล้ยี งดู
สาเหตขุ องการใชค้ วามรนุ แรง 1. ลกั ษณะสว่ นตวั ของผูก้ ระทาํ ความรุนแรง เป็นกมลสนั ดาน ถกู ปลูกฝงั มาตงั้ แต่เดก็ เลยี นแบบบดิ า มารดา ทช่ี อบใชค้ วามรุนแรง ไดแ้ บบอยา่ งจาก หนงั สอื โทรทศั น์ ไมไ่ ดร้ บั การอบรมสงั่ สอนในเร่อื งผดิ ชอบชวั่ ดี ครอบครวั ขาดความ อบอ่นุ เจบ็ ป่วยดว้ ยโรคบางอย่าง ทาํ ใหค้ วบคุมตนเองไมไ่ ด้ เช่น โรคจติ โรคประสาท เป็นตน้ 2. สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี อ้อื อาํ นวยใหเ้กดิ ความรุนแรง เช่น สอ่ื ต่างๆ เป็นตน้
สาเหตขุ องการใชค้ วามรุนแรง (ต่อ) 3. ทศั นคติ ค่านยิ ม และความเช่อื ผดิ ๆ ของผูก้ ระทาํ ความรุนแรง ตลอดจนความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ผดิ ๆ ทเ่ี รยี กวา่ มายาคติ (myths) ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลต่อ วธิ คี ดิ และพฤตกิ รรมทงั้ ของผูก้ ระทาํ ผูถ้ กู กระทาํ และบคุ คลอน่ื ๆ ความเช่อื บางอย่างส่งเสรมิ ใหเ้กดิ ความรนุ แรง เช่น ผูท้ ม่ี อี าํ นาจมสี ทิ ธกิ ระทาํ อะไรกไ็ ดก้ บั ผูท้ ด่ี อ้ ยกวา่ ภรรยาเป็น สมบตั ขิ องสามี เป็นตน้ ความเช่อื บางอย่างส่งเสรมิ ใหผ้ ูก้ ระทาํ ไม่ตอ้ งรบั ผดิ ชอบต่อการใชค้ วามรนุ แรง เช่น ความเมาทาํ ใหค้ วบคมุ ตนเองไม่ ได้ ไม่ไดต้ งั้ ใจกระทาํ เป็นตน้ ความเช่อื บางอย่างเป็นการยอมรบั ใหม้ กี ารใชค้ วามรุนแรง เช่น ความรนุ แรงเป็นเร่อื งสว่ นตวั น่าอบั อาย คนทะเลาะกนั ผูอ้ น่ื ไม่ควรเขา้ ไปยุ่งเก่ยี ว เป็นตน้ ความเช่อื บางอย่างส่งเสรมิ ใหผ้ ูถ้ กู กระทาํ ความรนุ แรงเป็นฝ่ายรบั ผดิ ชอบ เช่น ผูถ้ กู กระทาํ เป็นผูย้ วั่ ยุหรอื ยวั่ ยวน ทาํ หนา้ ทบ่ี กพร่องประพฤตติ วั ไม่ดเี ป็น ตน้ ความเช่อื บางอย่างทาํ ใหข้ าดความระมดั ระวงั ตวั เช่น คนทเ่ี รารูจ้ กั จะไมก่ ลา้ ลว่ งเกนิ ทางเพศเราคนในครอบครวั หรอื บคุ คลใกลช้ ิดจะไมท่ าํ รา้ ยเรา เป็นตน้ ความเช่อื บางอย่างทาํ ใหข้ าดการเอาใจใส่คนบางกลมุ่ ไป เช่น ความรุนแรงเกดิ ข้นึ เฉพาะคนในกลมุ่ ทม่ี ฐี านะยากจน เป็นตน้ ผูท้ ถ่ี กู กระทาํ บางคนไม่ทราบวา่ ตนเอง ถกู กระทาํ เขา้ ใจผดิ วา่ เป็นเร่อื งปกติ ทาํ ใหถ้ กู กระทาํ ซาํ้ ซาก บางรายมคี วามเช่อื ผดิ ๆ วา่ การถกู กระทาํ เป็นเร่อื ง น่าอบั อาย เป็นความผดิ ของตนเอง เกรงวา่ ถา้ ผูป้ กครองหรอื อาจารยท์ ราบแลว้ จะถกู ลงโทษ ทาํ ให้ ปกปิดเร่อื งไว้ และทนต่อการ ถกู กระทาํ ซาํ้ แลว้ ซาํ้ อกี โดยไม่ไดร้ บั ความช่วยเหลอื
ประเภทของความรุนแรง Johan Galtung (1969) แบ่งความรุนแรงออกเป็น 1. ความรนุ แรงทางตรง (Direct Violence) เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนและคนทวั่ ไปน่าจะเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ เป็นความ รนุ แรง เพราะมรี ่องรอยปรากฏใหเ้หน็ บนร่างกายของ มนุษยใ์ นรูปของบาดแผล เลอื ดเน้ือและการสูญเสยี ชวี ติ รวมทงั้ ความเสยี หายต่อ วตั ถแุ ละทรพั ยส์ นิ ของผูค้ น 2. ความรุนแรงเชิงโครงสรา้ ง (Structural Violence) หมายถงึ โครงสรา้ งทท่ี าํ ใหเ้กดิ ความไดเ้ปรยี บเสยี เปรยี บระหว่างคนท่ี มตี าํ แหน่งแห่งทแ่ี ตกต่างกนั ในโครงสรา้ งนน้ั ผูท้ ม่ี อี าํ นาจมากกวา่ เอารดั เอาเปรยี บผูท้ ม่ี อี าํ นาจนอ้ ยกวา่ ในกระบวนการปฏสิ มั พนั ธแ์ ละ แลกเปลย่ี นระหวา่ งกนั ซง่ึ กระทบความอยู่รอดและความเป็นอยู่ของผูท้ เ่ี สยี เปรยี บในโครงสรา้ ง ทาํ ใหต้ อ้ งทรมานจากความยากจน ขาด แคลนยารกั ษาโรคและบรกิ ารดา้ นสุขภาพเป็นตน้ นอกจากผลกระทบทางร่างกายแลว้ ความรนุ แรงเชงิ โครงสรา้ งยงั มผี ลต่อจติ ใจ และจติ วญิ ญาณของผูค้ นใน สงั คม 3. ความรุนแรงเชิงวฒั นธรรม (Cultural Violence) คือ ระบบความเช่อื ความหมายของสงั คมมคี าอธบิ ายทท่ี าํ ใหเ้อารดั เอา เปรยี บ รวมทงั้ การทาํ รา้ ยร่างกายและจติ ใจระหวา่ งคนในสงั คม กลายเป็นเร่อื งทย่ี อมรบั ได้ หรอื ตอ้ งยอมรบั วฒั นธรรมใน ทาํ ให้ ปรากฏการณท์ เ่ี ป็นความรนุ แรงทางตรงและความรุนแรงเชงิ โครงสรา้ งกลายเป็นเร่อื งทย่ี อมรบั ไดห้ รือเป็นเร่อื งถกู ตอ้ ง หลายสง่ิ หลายอย่างท่ี ทาํ ใหเ้กดิ ความทกุ ขย์ ากทางกายและทางใจ ใหก้ บั คนในสงั คมจงึ ไมถ่ กู จดั หรอื มองเหน็ เป็นความรุนแรง
ผลกระทบของความรุนแรง ดา้ นร่างกาย ทาํ ใหร้ ่างกายไดร้ บั บาดเจบ็ ทพุ พลภาพ พกิ าร หรอื เสยี ชวี ติ ดา้ นจติ ใจ เสยี ใจ ซมึ เศรา้ รูส้ กึ ตนเองไรค้ ุณค่า โกรธ อบั อาย เครยี ด วติ กกงั วล ทาํ รา้ ยตวั เอง หนั มาใชค้ วามรุนแรงในการตอบโต้ บางคนอาจไมส่ นใจเรยี นหนงั สอื ประพฤตติ วั ประชด ประชนั โดย การใชย้ าเสพตดิ เทย่ี วเตร่ หนีออกจากบา้ น ทาํ ใหเ้สยี อนาคต และนาํ ความเสยี ใจมาสู่บดิ ามารดา ดา้ นสงั คม ทาํ ใหส้ งั คมสูญเสยี ทรพั ยากรต่างๆ โดย เฉพาะทรพั ยากรบคุ คล เป็นอปุ สรรคในการ พฒั นาสงั คม สง่ ผลให้ สงั คมไมเ่ จรญิ กา้ วหนา้
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: