Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สูจิบัตรงานมหกรรมสี่ภาค จ.อ่างทอง (Final)

สูจิบัตรงานมหกรรมสี่ภาค จ.อ่างทอง (Final)

Published by Tery Tanapat, 2022-05-30 13:40:00

Description: สูจิบัตรงานมหกรรมสี่ภาค จ.อ่างทอง (Final)

Search

Read the Text Version

เพลงจระเขห้ างยาว ๓ ชน้ั โดยวิทยาลยั นาฏศลิ ปนครศรธี รรมราช ประวัตเิ พลงจระเขห้ างยาว ๓ ชั้น เพลงจระเข้หางยาว เถา ของเดิมอัตรา ๓ ช้ัน นิยมร้องกันมากท้ังทางธรรมดาและทางสักวา เกิดในสมัย รัชกาลที่ ๔ หลวงประดิษฐไพเราะไดแ้ ต่งขยายข้ึนเป็นอัตรา ๔ ชั้น (ทางธรรมดา) ส่วน ๒ ชั้น น�ำมาจากเพลงสามเส้า เป็นเพลงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา และช้ันเดียวของเดิมไม่ปรากฏช่ือ หลวงประดิษฐไพเราะ ได้น�ำมารวมไว้จนครบเถา (๔ ชั้น ๓ ช้ัน ๒ ช้ัน และช้ันเดียว) เรียกชื่อใหม่ว่า เพลงดาวจระเข้ เถา ส�ำหรับผู้ที่นิยมบรรเลงต้ังแต่ ๓ ชั้น ลงไปถึงชั้นเดียว มักจะเรียกว่าจระเข้หางยาว เถา เพลงจระเข้หางยาว ทางธรรมดาจะเป็นเพลงแบบแผนเพลงหนึ่ง ในการบรรเลงเพลงเสภาพอมาถงึ อตั รา ๒ ชั้นที่เรียกแยกวา่ สามเสา้ นยิ มใช้รอ้ งสง่ ในการละครอยา่ งแพร่หลาย 50 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถนิ่ อ่างทอง”

บทร้องเพลงจระเขห้ างยาว ๓ ชั้น ไม่เกรงองคน์ รินทร์ปนิ่ ธเรศ อันเรืองเดชเกรยี งไกรมไหสวรรค์ มานพจบเจนสกาพนัน ใครหมายมัน่ มงุ่ มาดใหม้ ามี เธอก็เปน็ พญาครุฑอุดมเดช วสิ ัยเพศพงศร์ าชปักษี เนาวส์ ถานวิมานฉิมพล ี เพราะบารมีอบรมสร้างสมมา ฯ รายช่ือผบู้ รรเลงและขบั รอ้ ง นพการ บรรเลง ปใ่ี น ๑. นายตณิ ภพ บรรเลง ระนาดเอก ๒. นายสริ ภพ พรหมเทพ บรรเลง ระนาดทุม้ ๓. นางสาวอารณุ ี สังขจ์ ันทร ์ บรรเลง ฆอ้ งวงใหญ่ ๔. นายสุขอนันต์ เวชกลุ บรรเลง ฆอ้ งวงเล็ก ๕. นายกวีวัชร แซ่เตื้อง บรรเลง ฉ่ิง ๖. นายโสตถิ์ ฉิมหาด บรรเลง กลองแขก ๗. นายนภิ ทั ร มง่ิ ขวัญ บรรเลง กลองแขก ๘. นายภทั รพงษ์ สงิ หแ์ ก้ว บรรเลง ฉาบเล็ก ๙. นายธีรศักด์ิ บญุ แทน บรรเลง กรับ ๑๐. นายพฒั กิจ พฒั ฉมิ ขับร้อง ๑๑. นายอัครเดช เสนาภัคดี ผฝู้ กึ ซอ้ มการบรรเลงและขบั รอ้ ง คณาจารย์ภาควิชาดุรยิ างคศลิ ป์ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ชยพร ไชยสิทธ ์ิ อำ� นวยการบรรเลงและขับร้อง นายศวิ พงศ ์ ก้งั สกุล ผอู้ �ำนวยการวทิ ยาลยั นาฏศิลปนครศรธี รรมราช มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศิลป์ ณ ถ่นิ อา่ งทอง” < 51

เพลงม้ายอ่ ง เถา โดย วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปพทั ลุง ประวตั ิเพลงม้ายอ่ ง เถา เพลงม้าย่องอัตรา ๒ ชั้น เป็นเพลงทํานองเก่า ประเภทหน้าทับปรบไก่ มีท่อนเดียว ๗ จังหวะ เป็นเพลง สําหรบั ร้อง ประกอบละครในมาแต่โบราณ ครูช้อย สนุ ทรวาทิน ได้แตง่ ทํานองขยาย ขึน้ เปน็ อตั รา ๓ ชน้ั เพอ่ื บรรเลง ใช้เป็นเพลงโหมโรงตอ่ จากเพลงโหมโรงครอบจกั รวาล เรยี กว่า “เพลงโหมโรงครอบจกั รวาลออกมา้ ย่อง” และยงั มีการนํา เพลงน้ีไปบรรเลงเป็นเพลงโหม โรงเอกเทศเรียกว่า “เพลง โหมโรงม้าย่อง ๓ ช้ัน” ประมาณพุทธศักราช ๒๔๙๘ ครพู ุ่ม บาปยุ ะวาทย์ และครบู ุญยงค์ เกตุคง ได้นําเพลงโหมโรงมา้ ย่อง อตั รา ๓ ชน้ั ของครชู ้อย สุนทรวาทนิ มาปรบั ปรุง และได้ใช้ทางของครูเพชร จรรย์นาฏย์ เข้ามาผสมโดยยังคงใช้ทางของครูช้อย สุนทรวาทิน เป็นทางบรรเลง เที่ยวกลับ ในอัตรา ๓ ชั้น เที่ยวแรกยังใช้ทางของเดิม แต่เท่ียวหลังใช้ เพลง อัศวลีลาของครูมนตรี ตราโมท เข้ามาผสมแล้วตัด ลงเป็นชั้นเดียวเรียบเรียงเป็นเพลงเถา ส่วนทางร้องเดิม ครูจําเนียร ศรีไทยพันธุ์ เป็นผู้ประพันธ์ ต่อมาประมาณ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๐๖ ครูบญุ ยงค์ เกตุคง และครูกญั ญา โรหติ าจล ได้นํามาปรบั ปรงุ แกไ้ ขซ่ึงเป็นทางท่ไี ดร้ บั ความนิยม ขบั ร้องมาจนปจั จุบนั 52 > มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศิลป์ ณ ถนิ่ อา่ งทอง”

บทรอ้ งเพลงมา้ ยอ่ ง เถา สามชัน้ คราน้ันจึงท่านหลวงทรงพล อนสุ นธเ์ิ ลา่ แจง้ แถลงไข อนั มา้ สหี มอกตัวน้ันไซร้ มิใช่ม้าหลวงทหี่ วงกัน มนั เปน็ ลูกม้าเมอื งมะรดิ ตดิ แม่มาแต่มะริดนนั่ รูปรา่ งท่วงทีกด็ คี รัน แต่ว่ามนั ซกุ ซนจนระอา สองชนั้ เผลอไมไ่ ดไ้ ลก่ ดั เอามา้ หลวง ตอ้ งเป็นห่วงบ่วงใยอย่หู นักหนา ท่านซือ้ เราจะหย่อนผอ่ นราคา เอาเถดิ สิบหา้ ตำ� ลงึ นาย ฯ ช้ันเดยี ว ขุนแผนได้ฟังเจา้ ของว่า สมมาดปรารถนาทม่ี ุง่ หมาย แกเ้ งินนับใหไ้ ม่กลับกลาย แลว้ เยอ้ื งกรายมาทสี่ ีหมอกมา้ รายชอ่ื ผู้บรรเลงและขับร้อง ๑. นายปุรินทร์ สันดานดี บรรเลง ป่ใี น ๒. นายณัฐิวฒุ ิ รอ่ นแกว้ บรรเลง ระนาดเอก ๓. นายปวเรศ หตี แก้ว บรรเลง ระนาดทุ้ม ๔. นายชยั ณรงค ์ ฉมิ สอาด บรรเลง ฆ้องวงใหญ่ ๕. นายปริวฒั น์ ไชยณรงค์ บรรเลง ฆอ้ งวงเลก็ ๖. นายธรี ภัทร ไชยแก้ว บรรเลง กลองแขก ๗. นายวศิ วกร ทองจันทร์ บรรเลง กลองแขก ๘. นางสาวจรญิ ญา หนรู กั ษ์ บรรเลง ฉ่ิง ๙. นายธนากฤต แสงจนั ทร์ บรรเลง กรับ ๑๑. นายสรุ ชาติ ชนะกลุ บรรเลง ฉาบเลก็ ๑๒. นายมนตร ี จริงเสถยี ร ขับรอ้ ง ผฝู้ ึกซ้อมการบรรเลงและขบั รอ้ ง นายสุภเชฏฐ์ กิจวาส นายก�ำธร ข�ำทพิ ย์ นายมนตรี จริงเสถียร อำ� นวยการบรรเลงและขบั รอ้ ง ผ้ชู ว่ ยศาตราจารย์กิตตชิ ยั รตั นพนั ธ์ ผูอ้ ำ� นวยการวิทยาลัยนาฏศลิ ปพัทลงุ มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พัฒนศลิ ป์ ณ ถนิ่ อา่ งทอง” < 53

เพลงมา้ รำ� เถา โดย วิทยาลัยนาฏศลิ ปจันทบุรี ประวัติเพลงม้ารำ� เถา เพลงมา้ ร�ำ อตั รา ๒ ช้นั ของเกา่ ประเภทหนา้ ทบั ปรบไก่ เปน็ เพลงเกา่ สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา หลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) ไดน้ �ำมาแต่งขยายขึน้ เป็นอัตรา ๓ ช้นั เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใชเ้ ป็นเพลงโหมโรงจดั เขา้ เป็นเพลง ชดุ ม้า มีเพลงม้ารำ� มา้ ย่องและม้าสะบดั กีบ ซึง่ อาจจะบรรเลงรวมถงึ ทัง้ สามเพลง เรียกว่า “เพลงโหมโรงสามม้า” เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๘ ครูพุ่ม บาปุยะวาทย์ และนายบุญยงค์ เกตุคง ได้น�ำเพลงม้าร�ำในอัตรา ๒ ช้ันของเก่า มาแตง่ ขยายขน้ึ เปน็ อตั ราสามชนั้ และตดั ลงเปน็ ชน้ั เดยี ว ครบเปน็ เพลงเถา พรอ้ มทง้ั ทำ� ทางเปลยี่ นใชท้ ำ� นองเพลงอศั วลลี า ของนายมนตรี ตราโมท มาผสมดว้ ย จนกลายเปน็ เพลงมา้ รำ� เถา ทน่ี ยิ มใชบ้ รรเลงมาจนทกุ วนั น้ี สว่ นทางรอ้ ง นายจำ� เนยี ร ศรไี ทยพนั ธ์ุ เปน็ ผแู้ ตง่ เพลงนม้ี คี วามหมายถงึ เทพอสั ดร (มา้ แหง่ เทพนยิ าย) รา่ ยรำ� ดว้ ยความคกึ คะนอง นยิ มบรรเลงออก ดว้ ยเพลงม้ายอ่ งสามชั้น 54 > มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑติ พัฒนศิลป์ ณ ถนิ่ อา่ งทอง”

สามช้ัน บทร้องเพลงมา้ รำ� เถา ม้าเอยม้าทรง สนิ ธพชาติอาจองสงู ใหญ่ เย้อื งอกยกเท้าว่องไว ดงั ไกรสรสหี ราชจรลี ม้วนขอ้ ย่อเทา้ เป็นทรี �ำ ลูกนอ้ ยซอยยำ่� อยกู่ บั ที่ สองชั้น ผกู เครื่องเรืองรตั น์รูจี หอ้ ยพู่จามรพี รายพรรณ อนั มา้ แซงน้นั พวกอาสา มา้ ทหารแห่หน้าแขง็ ขัน ชนั้ เดียว ม้าพเี่ ลี้ยงเคยี งมา้ พระทรงธรรม์ แลว้ ม้ากดิ าหยนั ตามไป สังคามาระตาเปน็ ม้านำ� ทางถ�ำ้ แดนดงไมห่ ลงใหล หน้าหลงั คัง่ คนคบไฟ ส่องสวา่ งมาในไพรพง รายชอ่ื ผบู้ รรเลงและขับรอ้ ง บรรเลง ๑. นายธนกฤต วงษร์ ตั น ์ บรรเลง ปีใ่ น ๒. นายพลกฤต แก้วเกา้ บรรเลง ระนาดเอก ๓. นายดริ ศักด์ิ สมตวั บรรเลง ระนาดทุ้ม ๔. นางสาวสริ ธี ร แซค่ ู บรรเลง ฆอ้ งวงใหญ่ ๕. นายชยั วัฒน ์ แสนพิมพ ์ บรรเลง ฆ้องวงเล็ก ๖. นายธนพัฒน์ ศรวี อ บรรเลง กลองแขก ๗. นายณัฐวัฒน์ ผาสุขพนั ธ์ บรรเลง กลองแขก ๘. นางสาวบงกช ขนั งาม บรรเลง ฉิ่ง ๙. นางสาวจิรวัฒน์ สงั ข์เงนิ บรรเลง กรบั ๑๐. นายณุภาวัฒร แกว้ โบราณ ขบั รอ้ ง ฉาบเล็ก ๑๑. นางสาวลักษมณ อินทรพ์ งษ ์ ผฝู้ กึ ซ้อมการบรรเลงและขบั รอ้ ง นายดำ� รงค ์ เชอื้ เกษร นายนิรันดร์ จิตรมณ ี นายพงศกร สุทตั โต นายพงศธร สุธรรม นางพรอุษา แกว้ สว่าง อำ� นวยการบรรเลงและขับรอ้ ง ผู้อ�ำนวยการวิทยาลยั นาฏศิลปจันทบรุ ี ผชู้ ว่ ยศาตราจารย์ ดร.สมเกยี รติ ภมู ิภกั ด์ิ มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พฒั นศลิ ป์ ณ ถิ่นอา่ งทอง” < 55

เพลงใบ้คลัง่ เถา โดย วทิ ยาลัยนาฏศิลป ประวตั เิ พลงใบค้ ลัง่ เถา เพลงใบ้คลั่ง ๒ ช้ันของเดิม เป็นเพลงเก่าซ่ึงใช้บรรเลงกันมานานแล้ว (บางทีเรียกว่า “ใบ้คล่ังบางช้าง”) เข้าใจวา่ อาจจะมาจากทางสมทุ รสงคราม ต่อมาครูชอ้ ย สุนทรวาทิน ไดแ้ ตง่ เพลงนีข้ ้นึ เปน็ ๓ ชน้ั ส่วนชัน้ เดยี ว ครมู นตรี ตราโมท ไดแ้ ต่งขึน้ เป็น ๓ ทาง คือสำ� หรบั บรรเลงเถาทางหนง่ึ เปน็ เพลงเรว็ ทางหนึง่ และเป็นลกู หมดอีกทางหนึ่งท�ำนอง ของเพลงน้ี มีความหมายแสดงอาการร�ำพึงถึงความรักที่ก่อให้เกิดความอัดอ้ันตันใจชนิด “พูดไม่ออก บอกไม่ถูก” ฉะน้นั ช่อื \"ใบ้คล่ัง\" จงึ นับวา่ เป็นชื่อทีเ่ หมาะสมทสี่ ดุ สามชัน้ บทรอ้ งเพลงใบค้ ลงั่ เถา เสยี ดายเอ๋ยเคยพลอดอย่กู อดกก โอ้อกเยอื กเยน็ เหน็ แต่หมอน ได้ยนิ เสยี งเรไรใจรอนรอน หอมซ่อนชู้ชชู น่ื รื่นอรุ า หอมละมา้ ยคล้ายกลน่ิ ผา้ ห่มนอ้ ง ละเมอมองแหวกมา่ นชะแง้หา ไมเ่ หน็ เจ้าลาวทองของพ่ีอา เคยแนบหน้านวดพดั แล้วพาที ขวัญออ่ นเจ้าเคยนอนชมเดอื นหงาย เลา่ นยิ ายแยม้ ยม้ิ แลว้ หยอกพี่ เจ้าเปา่ แคนแสนเพราะเสนาะด ี กรรมมแี ล้วจึงพรากไปจากกนั 56 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑติ พฒั นศิลป์ ณ ถนิ่ อา่ งทอง”

สองชั้น โออ้ นาถคลาดรักหนกั ทรวงเอ๋ย กระไรเลยยากเข็ญเหมือนเปน็ ใบ ้ จะออกปากยากจริงทุกสิง่ ไป ตอ้ งคลง่ั ไคลส้ น้ิ สขุ ทกุ เวลา ทุกคำ�่ เชา้ เฝา้ ครวญหวนถวลิ หกั เท่าไรกไ็ ม่สิน้ เสนห่ า คะนึงถึงลาวทองของพย่ี า เจียนเปน็ บ้าเพราะรักปักดวงใจ โอก้ รรมใดมาซ้ำ� ใหจ้ �ำจาก พลัดพรากจากยอดพสิ มัย ช้นั เดยี ว เสียดายรกั หนกั อุรานจิ จาเอ๋ย ตอ้ งชวดเชยคดิ ไปน่าใจหาย ฟงั นอ้ งร้องใบ้คล่งั ยงั เสียดาย หวานมิวายนำ�้ คำ� เจา้ รำ่� วอน ตอ้ งจากนุชสุดสวาทเพียงขาดจิต เคยแนบชิดพุ่มพวงดวงสมร สกั เมอ่ื ไรจะประสบพบบังอร โอ้ภธู รหมดทรงพระเมตตา แม้ไมเ่ กรงบาทบงสพ์ ระทรงฤทธิ์ จะลอบไปชมชิดเสน่หา (ให้สมจิตท่พี ษิ รกั ปักอรุ า แม้นจะตายมวิ ่าไม่วอนเลย) รายช่ือผบู้ รรเลงและขบั รอ้ ง (เร่อื งขนุ ชา้ งขุนแผน) ๑. นายยทุ ธพงษ์ คงกำ� เนดิ บรรเลง ปใี่ น ๒. นายสุวัฒน์ แสงนม่ิ บรรเลง ระนาดเอก ๓. นายพงศธร พุ่มพฤกษ ์ บรรเลง ระนาดทุ้ม ๔. นายวรี ภัทร พงษ์พรหม บรรเลง ฆ้องวงใหญ ่ ๕. นายณัฐวฒุ ิ ส�ำราญใจ บรรเลง ฆ้องวงเล็ก ๖. นายณฤศชภณ สอา้ ง บรรเลง ฉ่ิง ๗. นายชยพล เชยนิ่ม บรรเลง กลองแขก ๘. นายธนติ ฉ่มิ งามข�ำ บรรเลง กลองแขก ๙. นายมนตรี เกตแุ กว้ บรรเลง ฉาบเลก็ ๑๐. นายภานมุ าศ บวั อ่อน บรรเลง ฉาบใหญ่ ๑๑. นายภูรินทร์ เดชารัตนเจริญไข บรรเลง กรบั ๑๒. นางสาวอนันตญา หงส์พงศ ์ ขบั รอ้ ง ผ้เู ช่ียวชาญ นายลำ� ยอง โสวตั ร นายสจุ ิตต์ ชูวงษ์ นายสรุ พงษ์ บัวหลวง นางสาวพชิ ญญ์ า สินธุ์แกว้ ผู้ฝึกซอ้ มการบรรเลงและขับร้อง คณาจารยภ์ าควชิ าดุรยิ างคไ์ ทย อำ� นวยการบรรเลงและขบั ร้อง ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ กิตติ อัตถาผล ผ้อู �ำนวยการวทิ ยาลัยนาฏศลิ ป มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถน่ิ อา่ งทอง” < 57

การแสดงนาฏดรุ ิยางคศลิ ปส์ รา้ งสรรค์ ตะกรอ้ ลอ้ ทา่ โดย คณะศิลปศึกษา ตะกรอ้ ลอ้ ทา่ เปน็ ผลงานสรา้ งสรรคก์ ารแสดงของคณะศลิ ปศกึ ษา ตามโครงการสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรมวฒั นธรรม สรา้ งสรรค์ เพม่ิ ศกั ยภาพในการแขง่ ขนั ของสถาบันบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ กระทรวงวฒั นธรรม ประจ�ำปงี บประมาณ ๒๕๖๔ โดยไดแ้ นวคดิ มาจากกฬี าตะกรอ้ ซงึ่ เปน็ การละเลน่ ของไทยมาแตโ่ บราณเรม่ิ จากการเลน่ ในหมชู่ าวบา้ นสกู่ ารเปน็ กฬี าสากล ท่ีนยิ มแขง่ ขนั กันในระดับชาตแิ ละนานาชาติ การแสดงชุดตะกร้อล้อท่า เป็นการแสดงแม่ท่าท่ีเป็นเอกลักษณ์ของกีฬาตะกร้อ ได้แก่ การใช้อวัยวะศีรษะ ศอก เข่า เท้าในการบงั คับลกู ไม่ใหต้ กพนื้ การกระโดดตลี งั กาและการแสดงลูกเลน่ ทีว่ อ่ งไวของนกั กฬี าผสมผสานกับรูป แบบการแสดงนาฏศิลป์ไทยแนวสรา้ งสรรค์ แบ่งการแสดงเปน็ ๔ ช่วง คอื ยดื เสน้ ยืดสาย ฝกึ ลายลีลา ท้าเล่นลองเชงิ รื่นเรงิ สามคั คี ประพันธเ์ พลงข้นึ ใหม่ โดยนายปวรนิ ทร์ พิเกณฑ์ โดยใช้แนวดนตรีภาคกลางเปน็ หลัก ออกแบบเครอ่ื งแต่งกาย โดยนายภวตั จันดารกั ษ์ 58 > มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถ่นิ อา่ งทอง”

นาฏ ณ วัง โดย คณะศิลปนาฏดุริยางค์ นาฏ ณ วัง เป็นผลงานสร้างสรรค์ท่ีสื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ความส�ำคัญของพระราชวังบวรสถานสุทธาวาส (วังหน้า) ตลอดจนนาฏกรรมท่ีปรากฏอย่างหลากหลายและงดงาม ส่งผลให้เกิดเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อนั เปน็ สุนทรียศาสตรท์ ่ที รงคณุ คา่ มาถึงปัจจบุ ัน การสร้างสรรคก์ ารแสดงในครัง้ น้ีเป็นการผสมผสานระหว่างการแสดงที่ หลากหลาย ประกอบดว้ ย ละครร�ำ อุปรากรจีน (งิ้ว) หนงั ใหญ่ ตลอดจนการแสดงแบบราชสำ� นกั ท่ีนับวา่ เป็นอตั ลักษณ์ เฉพาะของ “นาฏกรรมวังหน้า” น�ำเสนอผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายและการใช้พ้ืนที่บนเวทีที่หลากหลาย เพ่ือสื่อถึง ความงาม ความหลากหลายของนาฏกรรมท่ีปรากฏเป็นศิลป์ของแผ่นดินวังหน้า น�ำเสนอสู่สาธารณชนย้อนร�ำลึกด้วย ความภาคภมู ใิ จในมรดกวฒั นธรรมล�้ำค่า ในการแสดงนาฏศลิ ปส์ รา้ งสรรค์ ชดุ “นาฏ ณ วงั ” นาฏศิลปส์ ร้างสรรค์ ชุด นาฏ ณ วัง มรี ูปแบบการแสดง มีดงั น้ี เบกิ โรง เบิกรำ� สอ่ื ถึงการเริม่ ต้นการแสดง ความจารตี อันงดงาม เบกิ นาฎกรรม ณ วัง สอ่ื ถึงนาฏกรรมรปู แบบต่าง ๆ ท่ีปรากฏในวังหนา้ เปน็ ต้นแบบสกู่ ารอนรุ กั ษ์ สืบสาน สรา้ งสรรคก์ ารศกึ ษางานศิลปข์ องแผ่นดิน มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบณั ฑติ พฒั นศิลป์ ณ ถิ่นอา่ งทอง” < 59

ทศาวตาร โดย วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป การแสดงชุดทศาวตาร เป็นการน�ำวรรณกรรมลิลิตนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สู่กระบวนการแสดงในรูปแบบของนาฏศิลป์ร่วมสมัยเพ่ือให้เกิดความเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยน�ำเสนอเร่ืองราวของพระนารายณ์ที่อวตารมาเกิด ยังโลกมนุษย์เพ่ือปราบเหล่าอธรรม จ�ำนวน ๑๐ ปาง ถ่ายทอด เรอื่ งราวเปน็ สญั ลักษณ์ทีส่ �ำคัญของแตล่ ะปาง แบ่งเปน็ ๓ ช่วง คอื ช่วงที่ ๑ ดุษณี กล่าวถึงองค์พระนารายณ์ เทพเจา้ ผูร้ ักษาโลกมนุษย์ ประทบั อยู่ ณ เกษยี รสมุทรเหนือบัลลังก์ พญาอนันตนาคราช ชว่ งที่ ๒ อวตาร กลา่ วถงึ การอวตารของพระนารายณล์ งมาบนโลกมนษุ ย์ เพอ่ื ขจดั เหลา่ มารอธรรม ผา่ นรา่ งอวตาร ทง้ั ๑๐ ปาง ช่วงที่ ๓ บูชติ กลา่ วถึงการสรรเสริญองคพ์ ระนารายณ์ 60 > มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถิ่นอา่ งทอง”

ป้าดเก่งิ ต๊มุ เกิง่ โดย วิทยาลัยนาฏศิลปเชยี งใหม่ การแสดงสร้างสรรค์ ชุด ป้าดเกิ่งตุ๊มเก่ิง คณะผู้สร้างสรรค์ได้แรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง วิหารลายค�ำ ที่ได้แสดงถึงการหลอมรวมทางวัฒนธรรมท่ีอยู่ด้วยกันในเชียงใหม่ คณะผู้สร้างสรรค์เห็นถึงความส�ำคัญ และความนา่ สนใจของการแสดงชุดน้ี เพอ่ื ต้องการส่อื สารให้เหน็ ถงึ ความหลากหลายกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ วัฒนธรรม ทปี่ รากฏ จากภาพจิตรกรรมฝาผนังผ่านการแสดงเพ่ือบอกเล่าถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ (เงี้ยว) ตามภาพจิตรกรรม ซ่ึงมีความแปลกและแตกต่างจากการแสดงชุดอื่น และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ซึ่งคนเมืองหรือคนเชียงใหม่เรียกขานกันว่า “ปา้ ดเกง่ิ ตมุ๊ เกงิ่ ” ซงึ่ มลี กั ษณะเอกลกั ษณเ์ ฉพาะและหาชมไดอ้ ยาก สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาในการประดษิ ฐเ์ ครอื่ งนงุ่ หม่ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในอดีต โดยมีลักษณะการแต่งกายแบบนุ่งครึ่งห่มครึ่ง (พาดบ่า) ซ่ึงไม่ปรากฏให้เห็นการแต่งกาย ลักษณะนี้ในปัจจุบัน การสร้างสรรค์การแสดง ชุด ป้าดเก่ิงตุ๊มเกิ่ง จึงเป็นผลงานสร้างสรรค์ของคณะผู้สร้างสรรค์ท่ีได้ สรา้ งสรรคเ์ รอ่ื งราวผา่ นการแสดง และเปน็ การอนรุ กั ษไ์ วซ้ ง่ึ เอกลกั ษณก์ ารแตง่ กายตามแบบอยา่ งในภาพจติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารลายค�ำท่ีประดษิ ฐานพระพุทธสหิ งิ ค์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวดั เชียงใหม่ ในรูปแบบกายแตง่ กายแบบปา้ ดเก่งิ ตมุ๊ เกงิ่ มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถ่ินอ่างทอง” < 61

ระบ�ำสามรากนครนิ ทร์ โดย วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปสุโขทัย ระบ�ำสามรากนครินทร์ สร้างสรรค์ขึ้นโดยวิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย มีแนวคิดด้านการสร้างสรรค์งาน มาจากค�ำสัจปฏิญาณของสามกษัตริย์ ได้แก่ พ่อขุนรามค�ำแหง (สุโขทัย) พ่อขุนมังราย (เชียงราย) และพ่อขุนง�ำเมือง (พะเยา) วา่ “ต่อไปจะเป็นมติ รสหายท่ีซื่อตรงตอ่ กัน ไม่ทำ� ศกึ สงครามตอ่ กนั ไมว่ ่ากรณีใดๆ” ดนตรี และทำ� นองเพลง ประพันธ์ขึ้นโดย นายบัณฑติ ศรบี ัว มีแนวคิดเพอื่ ผสมผสานทำ� นองดนตรีทีป่ รากฏอยู่ ในอาณาจักรลา้ นนาและอาณาจักรสโุ ขทัย ให้สอดคลอ้ งกลมกลนื กัน แบ่งเพลงออกเป็น ๓ ชว่ ง คือ สโุ ขทยั ภูกามยาว และเจียงฮาย เครือ่ งดนตรปี ระกอบด้วย ฆ้องวงใหญ่ ซอสามสาย กระจบั ปี่ สะลอ้ ซงึ ขลุย่ หลิบ ฉ่ิง โหมง่ ฆ้องหยุ่ ตะโพน กลองโปง่ โปง้ กลองถง้ิ บอ้ ม ฉาบเลก็ และฉาบใหญ่ รปู แบบการแสดงแบง่ ออกเปน็ ๕ ชว่ ง คอื ชว่ งท่ี ๑ ความสามคั คขี อง ๓ อาณาจกั ร ชว่ งท่ี ๒ ลลี าเฉพาะทแี่ สดงออก ถึงความเป็นเมืองสุโขทัย ช่วงที่ ๓ ลีลาเฉพาะที่แสดงออกถึงความเป็นเมืองพะเยา ช่วงท่ี ๔ ลีลาเฉพาะที่แสดงออก ถึงความเป็นเมืองเชียงราย ช่วงท่ี ๕ ลีลาการร่ายร�ำในรูปแบบขบวน อันส่ือถึงการน้อมส�ำนึกในค�ำสาบานแห่งกษัตริย์ ทง้ั ๓ พระองค์ 62 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พฒั นศิลป์ ณ ถิน่ อา่ งทอง”

รอยศรทั ธา มาลยั หม่ืน มาลยั แสน โดย วิทยาลัยนาฏศลิ ปร้อยเอ็ด การแสดงชุด รอยศรัทธา มาลัยหมื่น มาลัยแสน มีแนวคิดและแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวพระมาลัยในการ เทศนากัณฑ์มาลัยหมื่นมาลัยแสนในประเพณีบุญผะเหวดของชาวอีสาน โดยผสมผสานกับรูปสัณฐานทางศิลปะของ จติ รกรรมฝาผนงั ในพทุ ธอโุ บสถอสี านวดั ยางทวงวราราม ตำ� บลบวั มาศ อำ� เภอบรบอื จงั หวดั มหาสารคาม มาถา่ ยทอดผา่ น จินตนาการในรปู แบบการแสดงทางดา้ นนาฏศิลป์พนื้ เมืองอีสานรว่ มสมยั ด้วยการสร้างสรรค์กระบวนท่าร�ำ การแปรแถว การแต่งกาย ดนตรี และองค์ประกอบศลิ ป์ โดยใช้แนวคิดและ ทฤษฎที เี่ ก่ยี วกับนาฏศิลปพ์ ื้นเมอื งอสี าน นาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลปส์ ากล ประกอบด้วยช่วงของการแสดง ดังนี้ ชว่ งท่ี ๑ รอยศรทั ธา การเทศนาธรรมเร่อื งตน้ เหตแุ หง่ ความดแี ละความช่ัว ชว่ งที่ ๒ แดนนรก แดนสวรรค์ สอื่ ถงึ อารมณแ์ ละความรสู้ กึ เพอ่ื สะทอ้ นเหตกุ ารณต์ ามคตคิ วามเชอ่ื ในภาพฮปู แตม้ ท่ีปรากฏเรือ่ งราวของนรกและสวรรค์ ช่วงที่ ๓ หนทางพบพทุ ธอาริยเมตไตร การแสดงทีส่ ่ือให้เหน็ ถงึ แก่นปรัชญาในเรือ่ งพระมาลยั ที่ อนั แสดงสัญญะ ศาสตร์ใหม้ นุษยส์ ง่ั สมคณุ งามความดี กอ่ นความตายจะมาถงึ ซงึ่ ในทางธรรมได้อธบิ ายวา่ หลักการท่ีมนษุ ยก์ ระท�ำกรรมดี ย่อมไปสู่สุขคตภิ ูมิ พบพระศรอี าริยเมตไตรยในภทั รกัปตอ่ ไป มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพฒั นศลิ ป์ ณ ถ่ินอ่างทอง” < 63

นวยนาดวาดวี โดย วิทยาลยั นาฏศลิ ปกาฬสินธ์ุ นวยนาดวาดวี เป็นการแสดงนาฎศิลป์พ้ืนบ้านอีสานที่มีพัดเป็นองค์ประกอบส�ำคัญส่ือถึงวิถีชีวิตของหญิงสาว ชาวอีสาน โดยออกแบบกระบวนท่าฟ้อน ดนตรี เพ่ือสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานวิถีชีวิตกับศิลปะการแสดงและ ความส�ำคญั ของพดั อสี าน รปู แบบการแสดงแบง่ ออกเปน็ สามช่วงดังนี้ ช่วงที่ ๑ ซอดแสงแกว่งวี ดนตรีสื่อในการแสดงถึงแสงของพระอาทิตย์ในยามเช้าและการใช้วี เพื่อประกอบ การหงุ หาอาหาร ชว่ งท่ี ๒ วาดวี คลายฮอ้ น ดนตรีสอื่ ถงึ พดั คลายความรอ้ นและบงั แสงแดดในยามบ่าย ช่วงที่ ๓ วีวอ่ น นวยนาด ดนตรสี อ่ื ถงึ การเยอ้ื งกรายทีง่ ดงามของหญงิ สาวชาวอีสานและการใช้ วี เพื่อปดั แมลง ฝุ่นละอองก่อนหลับนอน และพักผ่อนหลับสบาย การสร้างสรรค์ท่าร�ำ นวยนาดวาดวี ผู้สร้างสรรค์ได้ประดิษฐ์ท่าร�ำ โดยใชท้ า่ รำ� ในแมบ่ ทอสี านเปน็ หลกั และเลยี นแบบกริ ยิ าของหญงิ สาวชาวอสี านทใี่ ชพ้ ดั ในวถิ ชี วี ติ ประจำ� วนั การใชพ้ ดั เปน็ อุปกรณใ์ นการแสดงสอ่ื ความหมายเชงิ สัญลกั ษณ์เพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจและสนุ ทรียรสในการรบั ชมการแสดง 64 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถ่ินอ่างทอง”

ท้าวโสวตั ชมไพร โดย วิทยาลยั นาฏศิลปนครราชสีมา การแสดงชุด ท้าวโสวัตชมไพร เป็นการน�ำแก่นเรื่อง บุญธรรมกรรมแต่ง พลังบุญจะชูชัก และเหนี่ยวน�ำคู่แท ้ ให้สมปรารถนา เรื่องทา้ วโสวตั ซงึ่ เป็นกษัตริยท์ ม่ี ีบญุ ญาบารมี มคี วามสามารถในการต่อสู้ เปน็ โอรสของท้าวพรหมทตั กับนางจันทาเทวี เกิดมาพร้อมกับพระขรรค์ และม้าอาชาไนย เมื่อเจริญวัยได้รับสารเส่ียงทายมาตามน�้ำเพื่อหาเนื้อค ู่ ดว้ ยบพุ เพสนั นวิ าสพระองคจ์ งึ มมี เหสี ๔ พระองค์ และมเหสที งั้ ๔ พระองคต์ า่ งมคี วามรกั ความอดทน ความสามคั คเี กอื้ กลู ไม่อิจฉาริษยากัน จนท�ำให้ท้าวโสวัตพามเหสี ๔ พระองค์ และลูกทั้ง ๒ คนกลับเมืองพรหมกุฎเพ่ือครองเมืองสืบต่อ พระบิดา และท้ังหมดก็ครองรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขปกครองเมืองอย่างทศพิธราชธรรมจนราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ตลอดมา นิทานเร่ืองโสวัตเป็นเรื่องราวท่ีชวนติดตามและน่าสนใจ ซ่ึงคณะผู้สร้างสรรค์ได้หยิบยกเรื่องราวมาผ่าน กระบวนการตีความ วิเคราะห์ จนสรปุ ไดถ้ งึ เนอื้ เรอ่ื งเสมอื นด่งั บุพเพสนั นวิ าส คณะผสู้ ร้างสรรคจ์ งึ น�ำ อนภุ าพความรัก และความสามัคคี ของเนื้อเรื่องท้าวโสวัตและมเหสีท้ัง ๔ ท่ีผ่านอุปสรรคมามากมาย มาเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ การแสดง ชุด “ทา้ วโสวตั ชมไพร” มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศิลป์ ณ ถน่ิ อา่ งทอง” < 65

กฏี ฤทธ์ิ โดย วทิ ยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี การแสดงสรา้ งสรรค์ ชดุ กฏี ฤทธ์ิ เปน็ การแสดงทไ่ี ดร้ บั แรงบนั ดาลใจจาก ตำ� นานพญาตอ่ วดั แค จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี ซ่ึงเป็นวัดท่ีมีความเก่าแก่และมีชื่อเสียงปรากฏในวรรณคดีไทยพ้ืนบ้าน เรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน” องค์ประกอบของ การแสดงสร้างสรรค์ ชุด กีฏฤทธิ์ มีดังนี้ ผู้แสดง ใช้ผู้แสดงชายและหญิงจ�ำนวน ๑๖-๑๘ คน เคร่ืองแต่งกาย แต่งกายเลยี นแบบตวั ตอ่ ในรูปแบบของนาฏศิลป์ไทย ทัง้ ตัวตอ่ เพศผู้ เพศเมยี และตัวนางพญา วงดนตรี ใช้วงปพี่ าทย์ บรรเลงประกอบการแสดง การใช้พ้ืนที่เวที มีการแปรแถวและการเข้าออกของผู้แสดงตามช่วงการแสดง อุปกรณ์ ประกอบการแสดงเป็นตัวหนังใหญ่ที่แกะสลักเป็นลวดลายต้นมะขาม กระบวนท่าร�ำสร้างสรรค์ ชุด กีฏฤทธ์ิ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง คือ เร่ิมด้วยการเชิดหนังใหญ่รูปต้นมะขาม ช่วงท่ีสองแสดงกระบวนท่าร�ำ ท่าทางการใช้ชีวิต ของตัวต่อ โดยผสมผสานพฤติกรรมวงจรชีวิตของตัวต่อ นับตั้งแต่การบิน การใช้ปีก หัว ล�ำตัว ขา ของตัวต่อ ในอากัปกิริยาต่าง ๆ ผสมผสานท่าร�ำของการแสดงโขนที่รวดเร็ว แข็งแรง และดุดัน ช่วงสุดท้ายเป็นการอยู่รวมกัน โดยมีตัวนางพญาต่อเป็นผู้น�ำของฝูง แสดงให้เห็นการด�ำรงเผ่าพันธุ์ โดยมุ่งถึงความงดงามและอ่อนช้อยของตัวต่อ เพศเมยี และการเกี้ยวพาราสขี องตัวต่อเพศผ้แู ละเพศเมีย 66 > มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พฒั นศลิ ป์ ณ ถนิ่ อ่างทอง”

ทวารปาล โดย วทิ ยาลัยนาฏศิลปลพบุรี ผลงานสรา้ งสรรคก์ ารแสดงชดุ ทวารปาล ไดน้ ำ� แรงบนั ดาลใจจากคตคิ วามเชอื่ เรอ่ื ง ทวารบาลในฐานะเทพเทวดา ผู้คุ้มครองปกปักรักษาศาสนสถาน และภาพจิตรกรรมลายรดน้�ำทวารบาลบนบานประตูพระวิหารวัดตองปุ อ�ำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มาเป็นแนวคิดในการสร้างสรรค์การแสดง ท่วงท�ำนองเพลงเป็นดนตรีร่วมสมัยประกอบบทร้องท�ำนอง สรภญั ญะ แสดงถงึ คตคิ วามเชอ่ื และอตั ลกั ษณข์ องเทวดาผคู้ มุ้ ครองรกั ษาประตู ณ พระวหิ ารวดั ตองปุ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ลพบุรี แบง่ การแสดงเป็น ๓ ช่วง คือ ช่วงท่ี ๑ ทวารปาลสถิต แสดงถึง อตั ลักษณ์ของทวารปาลทัง้ ๔ องค์ พรอ้ มทง้ั เหลา่ เทวดาบรวิ ารที่เคารพยกย่อง เสริมให้ศกั ดข์ิ องทวารปาลสงู ข้นึ ช่วงที่ ๒ สง่างามฤทธี แสดงถึง ความสง่างามและความสามารถในการใช้อาวุธประจ�ำกายของทวารปาล ซ่ึงมี คณุ สมบตั ิของการใชอ้ าวธุ แตกตา่ งกนั ออกไปตามลักษณะของอาวธุ นน้ั ๆ ชว่ งท่ี ๓ นำ� สวสั ดมิ งคล แสดงถงึ ความเปน็ สริ มิ งคล ไดน้ ำ� หนา้ ทบั “เพลงกราวรำ� ” สอื่ ถงึ “ทวารปาลทงั้ ๔ องค”์ ในฐานะเทวดาผูค้ ุ้มครองปกปกั รกั ษาแล้วยงั นำ� มาซึง่ ความเป็นสิริมงคลต่างๆ อีกด้วย มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถน่ิ อ่างทอง” < 67

นาฏยาภวิ าทปราสาทนครหลวง โดย วทิ ยาลัยนาฏศิลปอา่ งทอง การแสดงสร้างสรรคช์ ุด นาฏยาภวิ าทปราสาทนครหลวง เป็นผลงานสรา้ งสรรค์ประจำ� ปี ๒๕๖๔ ของวิทยาลยั นาฏศิลปอ่างทอง การแสดงชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ปราสาทนครหลวง” โบราณสถานและสถานที่ท่องเท่ียว เชงิ ประวัตศิ าสตร์ ซงึ่ ตั้งอยู่ที่ต�ำบลนครหลวง อ�ำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ปราสาทนครหลวงน้ีสรา้ งขนึ้ ในสมัยอยุธยา ช่วงรชั กาลของพระเจ้าปราสาททอง โดยให้ช่างไปถา่ ยโอนรปู แบบมาจากนครหลวงของกมั พชู า เพือ่ เปน็ ทป่ี ระทับร้อนในคราวเสด็จ ฯ นมสั การพระพุทธบาทสระบรุ ี นบั ว่าเปน็ สถาปตั ยกรรมที่มีเอกลกั ษณ์อันโดดเดน่ แห่งหนึง่ ของจงั หวดั พระนครอยุธยา การแสดงสร้างสรรค์ชดุ “นาฏยาภิวาทปราสาทนครหลวง” เป็นการแสดงสรา้ งสรรคป์ ระเภทระบำ� ท่มี ีรปู แบบ การแสดงนาฏศิลป์ไทยเป็นหลัก โดยมีกลิ่นอายของนาฏศิลป์เขมรมาผสมผสาน เป็นการแสดงที่น�ำเสนอความส�ำคัญ อตั ลกั ษณ์ และความงามของปราสาทนครหลวง และการรา่ ยรำ� เพอ่ื สกั การะรอย พระพทุ ธบาทและสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธใิ์ นปราสาท นครหลวง 68 > มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถ่นิ อา่ งทอง”

ระบำ� จันทปรุ ะเทวปูชา โดย วิทยาลัยนาฏศลิ ปจนั ทบุรี ระบำ� จนั ทปรุ ะเทวปชู า เป็นระบำ� ทส่ี รา้ งสรรคข์ ึน้ โดยได้รับแนวคิดและแรงบนั ดาลใจจากการศกึ ษาภมู ิหลังและ ประวัตคิ วามเปน็ มาของโบราณสถานเพนียด (เมืองควนคราบุรี) หรอื “เมอื งจนั ทราปุระ” ปรากฏรอ่ งรอยอารยธรรม ขอมโบราณท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองในยุคอาณาจักรเจนละ ซ่ึงมีวิวัฒนาการความเจริญรุ่งเร่ืองยาวนานราวพุทธศตวรรษท ี่ ๘ - ๑๘ ซง่ึ จากหลกั ฐานโบราณคดสี นั นษิ ฐานวา่ เพนยี ดเปน็ เทวสถานทปี่ ระดษิ ฐานเทวรปู “พระหรหิ ระ” ซง่ึ เปน็ เทวรปู ที่มีลักษณะรวมกันระหว่าง พระศิวะและพระนารายณ์เป็นการผสมระหวา่ ง ๒ นกิ าย เข้าดว้ ยกัน คือ ไศวะนิกายและ ไวษนพนกิ ายลกั ษณะของพระหรหิ ระจงึ มรี ปู รา่ งเฉพาะพระองค์ คอื ซกี ขวาของพระหรหิ ระเปน็ พระศวิ ะและซกี ซา้ ยเปน็ พระนารายณ์ และจากหลกั ฐานจารกึ เพนียดพบการถวายข้าราชบรพิ ารและพธิ พี ลีกรรมบูชาเทพเจ้า วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี จึงน�ำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยน�ำเสนอเร่ือง ราวเกย่ี วกับพิธพี ลีกรรมบชู าพระหรหิ ระของเทวสถานเมืองเพนยี ด ประกอบด้วย การแสดง ๓ ช่วง คือ ชว่ งที่ ๑ ศานต ิ การชำ� ระล้างร่างกายใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธิก์ อ่ นเขา้ สูพ่ ธิ กี รรมการสวดมนตเ์ พอ่ื บูชาและขอพรต่อ พระหรหิ ระ ช่วงท่ี ๒ อารต ี การอารตีไฟเพ่ือใหพ้ ระหรหิ ระประทานพร ชว่ งที่ ๓ พระหรหิ ระประทานพร เป็นจนิ ตภาพของการประทานพรของพระหรหิ ระ มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พัฒนศิลป์ ณ ถ่นิ อ่างทอง” < 69

แล เลน้อย โดย วิทยาลัยนาฏศลิ ปพัทลุง เลนอ้ ยหรือทะเลน้อยเปน็ ชุมชนหน่งึ ในอำ� เภอควนขนุน จงั หวดั พทั ลงุ เปน็ แหล่งทะเลสาบนำ้� จืดตามธรรมชาตทิ ่ี ยังคงระบบนิเวศนส์ มบรู ณ์ท้ังพชื พนั ธ์ุ สตั ว์นำ้� สตั ว์ปกี พนื้ ท่ีโดยรอบเป็นปา่ พรุ นาขา้ ว ทงุ่ หญ้า พชื บกและพืชน�้ำ ท�ำให้ ทะเลน้อยได้ขน้ึ ทะเบียนเปน็ พ้นื ทชี่ มุ่ น�้ำ หรือ “แรมซาร์ไซด์” แหง่ แรกในประเทศไทย และกลายเปน็ แหล่งท่องเที่ยวเชงิ นิเวศน์ท่ีส�ำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง ซ่ึงสถานที่ ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของทะเล คือ การล่องเรือชมทุ่งบัวแดง ท่ีได้รับ สมญานามว่า ทะเลล้านบัว ชมวถิ ีควายนำ�้ ชมนกน�ำ้ ชมวิถชี ีวิตการยกยอยกั ษ์ และนอกจากน้ียังมสี นิ คา้ ชุมชน ที่ขน้ึ ช่ือ คือ ผลิตภัณฑ์กระจูด ดังน้ันเพ่ือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพัทลุง โดยเฉพาะชุมชนทะเลน้อย ที่ยังคง มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และวิถีชีวิตให้เป็นที่รู้จัก วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุงจึงได้น�ำข้อมูลวิถีชีวิตของชาวทะเลน้อย การยกยอยักษ์ การทำ� ผลิตภณั ฑ์กระจูด แหลง่ ธรรมชาติ เชน่ ทะเลลา้ นบัว วิถคี วายนำ้� นกน้�ำ มาน�ำเสนอเป็นรูปแบบ การแสดงสร้างสรรค์ ชุด แล เลน้อย เพ่ือเผยแพร่ใหท้ กุ คนได้รู้จักทะเลนอ้ ย และเป็นการสง่ เสริมการท่องเท่ยี วเชิงนเิ วศน์ ทั้งยงั เปน็ การส่งเสริมรายได้ให้ชมุ ชนทะเลนอ้ ย ท�ำใหน้ ักทอ่ งเทย่ี วได้เข้าถึงความเปน็ ทะเลนอ้ ย จังหวดั พทั ลงุ สถานทซี่ ่งึ ไดช้ ่ือว่า “อัญมณีแหง่ ลุ่มน้�ำพัทลุง” 70 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถ่ินอ่างทอง”

สาวปากใต้ โดย วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรธี รรมราช การสรา้ งสรรคก์ ารแสดงชดุ “สาวปากใต”้ เปน็ การนำ� เสนอภาพอตั ลกั ษณข์ องผหู้ ญงิ ภาคใตท้ ม่ี รี ปู ลกั ษณภ์ ายนอก และลกั ษณะนิสยั ภายในเปน็ ไปตามอุดมคติ โลกทัศนห์ รอื ความคาดหวังของสังคม และทไ่ี ม่เป็นไปตามอุดมคติ โลกทศั น์ และความคาดหวงั ของสงั คมดว้ ยแตม่ คี วามเปน็ ธรรมชาตติ ามแบบมนษุ ยโ์ ดยทว่ั ไป นนั่ คอื การผสมผสานทง้ั ความเรยี บรอ้ ย นุ่มนวลอ่อนหวานกับความว่องไว มีจริตจะก้าน ความมาดมั่นและมั่นใจในการพูดจาและความเข้มแข็งซึ่งข้อมูลเหล่าน้ี ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ จากวรรณกรรมลายลกั ษณ์ วรรณกรรมมขุ ปาฐะ และการสมั ภาษณแ์ ละนำ� มาผา่ นกระบวนการสรา้ งสรรค์ ทง้ั ดา้ นการออกแบบการแสดง การออกแบบดนตรี ทำ� นองและเนอื้ ร้อง การออกแบบเคร่อื งแตง่ กาย และองค์ประกอบ การแสดงอน่ื ๆ องคป์ ระกอบเหล่านีล้ ้วนมีการผสมผสานวัฒนธรรมการแสดงพืน้ บ้านของภาคใต้ทง้ั ตอนลา่ งและตอนบน อนั จะเปน็ การน�ำเสนออัตลักษณ์ของ “สาวปากใต้” ไดค้ รอบคลมุ ในความเปน็ ภาคใตข้ องประเทศไทยได้มากทีส่ ุด มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พัฒนศลิ ป์ ณ ถนิ่ อ่างทอง” < 71

โตยฮัก โดย สาชาวชิ านาฏยศลิ ป์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา การสรา้ งสรรคน์ าฏยศลิ ป์ ชดุ โตยฮกั เปน็ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทไี่ ดแ้ รงบนั ดาลใจมาจากเรอ่ื งราวตำ� นานความรกั ของมะเมี๊ยะสาวชาวพม่าและเจ้าน้อยศุขเกษมเจ้าน้อยแห่งเมืองเชียงใหม่ โดยมีรูปแบบการแสดงแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วงท่ี ๑ “พบรัก” กล่าวถึง การพบเจอของเจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเม๊ียะและจุดก�ำเนิดของความรักของ ท้ังสองคน ช่วงท่ี ๒ “อุปสรรค” กล่าวถึง อิทธิพล การเมือง การปกครอง เช้ือชาติ และชนช้ันท่ีส่งผลให้ความรักของ เจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเมี๊ยะพบเจอกบั อปุ สรรค ชว่ งท่ี ๓ “จากลา” กล่าวถึง ความรักท่ีไมส่ มหวังของเจ้านอ้ ยศขุ เกษมกบั มะเม๊ยี ะ และตอ้ งจากลากนั ในทสี่ ุด ดนตรีประกอบการแสดงมีการเรียบเรียงข้ึนใหม่โดยผสมผสานดนตรีพม่าและล้านนาให้เกิดเอกลักษณ์ ตลอดจนมีการเสรมิ เคร่ืองดนตรีสากลเพอ่ื ให้มคี วามเป็นรว่ มสมัยมากยง่ิ ขึ้น เครอ่ื งแต่งกาย มีการแตง่ กายโดยเลียนแบบ การแตง่ กายจรงิ ตามทอ้ งเรอ่ื งและตามยคุ สมยั ทา่ รำ� ในการสรา้ งสรรคน์ น้ั ยดึ ทา่ รำ� ทางนาฏยศลิ ปไ์ ทยเปน็ หลกั ผสมผสาน เข้ากับท่านาฏยศิลป์ของพม่าและล้านนา อีกท้ังใช้ท่าทางในชีวิตประจ�ำวัน และมีการเพ่ิมเทคนิคการใช้แสงและเงา ตลอดจนการใชพ้ ื้นทีบ่ นเวทีเพื่อใหเ้ กิด ความสวยงาม 72 > มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถ่ินอา่ งทอง”

ฮูปไกแ่ ก้ว โดย สาขาวิชานาฏศลิ ปไ์ ทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า การแสดงชุด “ฮูปไก่แก้ว” เป็นผลงานสร้างสรรค์จากงานวิจัยเรื่อง “การสร้างสรรค์งานนาฏศิลป์ในรูปแบบ ร�ำเดยี่ วจากนทิ านพื้นบา้ นโคราช เร่อื งกำ� พรา้ ไก่แกว้ ” มีแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมพ้นื บ้านโคราช เร่ืองก�ำพรา้ ไก่แก้ว ท่ีปรากฏในอ�ำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา น�ำเอาเน้ือเรื่องในบ้ัน (ตอน) นางสีดานิรมิตเพศเป็นไก่แก้ว มาสร้างสรรค์ เป็นการแสดงในรูปแบบร�ำเด่ียว ตามอย่างการแสดงนาฏศิลป์ไทย ละครพันทาง โดยมีผู้แสดงบทไก่แก้ว ๑ คน และกล่มุ ผู้แสดงบทไกป่ า่ เป็นตวั ละครเสริมในช่วงทา้ ยเพอ่ื น�ำไปสคู่ วามเขา้ ใจในเร่ืองราวตอนตอ่ ไป แนวทางในการรังสรรคก์ ารแสดง ใช้หลักการจารตี ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย กับเร่ืองราวในวรรณกรรมพื้นบา้ น หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ป่ี รากฏในพน้ื ที่ ศลิ ปวฒั นธรรมอสี าน และวฒั นธรรมของชาวโคราช ถอื เปน็ การคน้ หาแนวทาง การสรา้ งสรรค์งานนาฏศิลปใ์ นรปู แบบร�ำเด่ียวจากนทิ านพ้ืนบ้าน ในมิตขิ องพหุวัฒนธรรม มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พัฒนศิลป์ ณ ถน่ิ อ่างทอง” < 73

ขา้ โอกาส โดย สาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธานี ผลงานการแสดงนาฏศิลป์พ้ืนบ้านสร้างสรรค์ ชุด ข้าโอกาส ผู้สร้างสรรค์ได้ศึกษาเก่ียวกับวิถีชีวิตของเหล่า ขา้ โอกาส (บงั้ จมุ้ ) และการเดนิ ทางเพอ่ื มากาสกั การะองคพ์ ระธาตพุ นม โดยจะมงุ่ เนน้ ประเพณบี ญุ เดอื นสามเอาไวม้ าชา้ นาน และส่ือให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาต่อองค์พระธาตุพนมตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้ออกแบบ การแตง่ กายแบบในสมยั อดตี โดยผชู้ ายจะแตง่ กายดว้ ยการนงุ่ เตยี่ วไมใ่ สเ่ สอ้ื แตใ่ ชเ้ ปน็ ผา้ พาดบา่ หรอื ผา้ พนั คอ และพนั หวั สว่ นผหู้ ญงิ แตง่ กายดว้ ยการใสผ่ า้ ถงุ ยาวหม่ สไบ มวยผมกลางหวั ใสเ่ ครอื่ งประดบั ตามฐานะใชอ้ ปุ กรณใ์ นการแสดงคอื พาน หานกยงู ขนั หมากเบง็ และบงั้ จมุ้ รปู แบบการแสดง นำ� เสนอในรปู แบบนาฎศลิ ปพ์ น้ื บา้ นสรา้ งสรรคโ์ ดยใชน้ กั แสดงทงั้ หมด ๑๖ คน ผู้ชาย ๙ คน ผู้หญงิ ๗ คน โดยแบง่ การแสดงออกเป็น ๓ ช่วงดังน้ี ชว่ งที่ ๑ เปน็ การเตรยี มเครอ่ื งสกั การะเพอื่ ทจ่ี ะนำ� ไปถวายแดอ่ งคพ์ ระธาตพุ นม แลว้ ไดม้ กี ารรวมตวั กนั ของเหลา่ ข้าโอกาสก่อนทจ่ี ะออกเดนิ ทางไปยงั พระธาตพุ นม ชว่ งท่ี ๒ เปน็ การเดนิ ทางของเหลา่ ขา้ โอกาสเพอื่ ทจี่ ะมาสกั การะพระธาตพุ นม โดยการใชน้ กั แสดงชายตอ่ ตวั เปน็ เรอื นกั แสดงหญงิ รา่ ยรำ� อย่บู นเรอื โดยใหต้ วั เอกทั้งสองคนเปน็ คนฟอ้ นหางนกยงู หัวเรอื และอีกคนคัดท้ายเรือ ช่วงท่ี ๓ เปน็ การถวายเคร่ืองสกั การะแดอ่ งค์พระธาตพุ นมและมีการรา่ ยรำ� เพ่อื เปน็ สิรมิ งคลแกต่ นเอง 74 > มหกรรมศิลปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถ่นิ อ่างทอง”

เนียงตรู โดย สาขาวชิ านาฏศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรีรัมย์ เนียงตรู เป็นภาษาไทย แปลว่า นางไซ มาจากภาษาเขมร ๒ ค�ำ ได้แก่ เนียง แปลว่า นาง และตรู แปลว่า ไซ เป็นการละเล่นของชุมชนไทยเขมรบ้านตะเคียน ต�ำบลบัวทอง อ�ำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีความเช่ือในเรื่อง การเสย่ี งทายทำ� นายเหตกุ ารณต์ า่ งๆ เพอ่ื ใหค้ นในชมุ ชนเกดิ ความสบายใจ และเปน็ เครอ่ื งยดื เหนย่ี ว เปน็ กศุ โลบายในการสรา้ ง ความสามัคคีในชุมชน และสืบสานการแสดงพื้นบ้านของชุมชนที่นับวันก็ย่ิงจะหมดไป จัดกิจกรรมในช่วงเทศกาล วนั สงกรานตข์ องทกุ ปี จะเล่นไปจนเมือ่ ถงึ วนั ข้นึ ๖ คำ่� เดือน ๖ จงึ จะหยุดเล่นนางไซ โดยการนำ� เอานางไซ (ตรู) มาแต่งให้ เป็นห่นุ คน มีหวั มแี ขน ๒ ข้าง เอาผา้ คลมุ ให้มิด ผู้เลน่ คนท่ี ๒ ถอื ไซคนละขา้ งน่ังอยกู่ ลางวงล้อม มเี ครอ่ื งเซน่ มาทำ� พิธี เชญิ วิญญาณ เม่อื นางไซ เริม่ มอี าการสงั่ แรงขึ้นๆ หมายถงึ ผีนางไซไดเ้ ขา้ มาสิง จากนน้ั ผ้เู ลน่ กจ็ ะต้ังคำ� ถามเหตุการณต์ ่าง ๆ ตามที่ต้องการ โดยวิธีการใช้ค�ำถามน�ำ เชน่ ถามหาเนือ้ คู่ ของหาย เปน็ ต้น ถา้ ไซชี้ไปทางทศิ ใด ถือวา่ เปน็ คำ� ตอบ มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑติ พฒั นศลิ ป์ ณ ถ่นิ อา่ งทอง” < 75

เกาะฝ้ายลายนำ�้ ไหล โดย สาขาวชิ านาฏศลิ ป์ไทยศึกษา ภาควชิ านาฏดรุ ยิ างคศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี การแสดงนาฏศิลป์สร้างสรรค์ชุด เกาะฝ้ายลายน�้ำไหล เป็นการแสดงที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความโดดเด่น ความสวยงามเฉพาะของผ้าฝ้ายทอลายน�้ำไหล ของจังหวัดน่าน รวมไปถึงกรรมวิธีการผลิตและเทคนิคพิเศษที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวไทล้ือ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชินีแห่งความงามของลายผ้าเมืองเหนือ และได้รับ การรบั รองมาตรฐานตรานกยงู พระราชทานจากกรมหมอ่ นไหม นำ� เสนอผา่ นรปู แบบกระบวนทา่ รำ� บทเพลง ทส่ี รา้ งสรรค์ ข้ึนมาใหม่ เพ่ือเปน็ การอนรุ กั ษ์ สืบสาน และตอ่ ยอดภมู ิปัญญา ถือเป็นสมบัตอิ นั ล�้ำค่า ท่แี สดงถงึ วัฒนธรรมการจดั สร้าง เครื่องอาภรณ์ดว้ ยแรงบันดาลใจดังกลา่ ว จึงน�ำไปสกู่ ารสรา้ งสรรคเ์ พื่อเพิ่มคณุ ค่าและมูลค่าให้แก่ชมุ ชนตอ่ ไป 76 > มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพฒั นศิลป์ ณ ถิ่นอ่างทอง”

ผลงานสร้างสรรคด์ ้านทัศนศลิ ป์ ฉากลับแล - จักรวาลในไตรภูมิ โดย คณะศิลปวิจิตร วัฒนธรรมการใช้ยางรักในงานศิลปกรรมมีความโดดเด่นในทวีปเอเชีย ซึ่งเทคนิคของแต่ละ ชนชาตินั้นมีความ แตกต่างกนั งานจติ รกรรมรักในประเทศไทยมีการใชเ้ ทคนคิ ปิดทองกนั อยา่ งแพร่หลาย อันไดแ้ ก่จติ รกรรมลายรดน้ำ� และ ลายกำ� มะลอ เป็นงานท่ใี ช้ความประณีตและใชร้ ะยะเวลาในการสรา้ งสรรค์ยาวนาน และใชท้ ักษะเชงิ จติ รกรรมท่ีมคี วาม ละเอยี ดออ่ นเปน็ อยา่ งมาก ปจั จบุ นั การสรา้ งสรรคผ์ ลงานลายรดนำ้� จงึ เปน็ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานชน้ิ เลก็ และกลาง เนอื่ งจาก กระบวนการอนั ซบั ซ้อนอีกท้ังมลู คา่ ของวัสดทุ ่ีใช้ จึงท�ำให้ไมค่ ่อยปรากฏผลงานรกั ขนาดใหญ่นกั คณะศิลปวจิ ิตร จึงสรา้ งสรรค์ฉากลบั แลไม้ ขนาดประมาณ ๑๔๐x๒๐๐ ซม. โดยมีผลงานจิตรกรรมรกั เขยี นอยู่ บนฉากลับแลไม้ทั้งสองด้าน โดยด้านหนึ่งจะเป็นจิตรกรรมเทคนิคลายรดน�้ำบนพ้ืนสีด�ำและสีแดง เขียนเป็นเร่ืองราว การวางผงั จักรวาล จากคตคิ วามเช่ือเร่อื งไตรภูมิ ทม่ี ักจะปรากฏบนผนังหลัง พระประธานอุโบสถ สว่ นอกี ด้านหนึ่งจะเป็น จิตรกรรมเทคนคิ ลายก�ำมะลอ โดยผสมผสานเทคนคิ รักเวยี ดนาม เขยี นเปน็ เรอื่ งราวสระอโนดาตและป่าหิมพานต์ในชมพู ทวีป อันสอดคล้องกับเร่ืองราวด้านหน้าเร่ืองคติจักรวาลในไตรภูมิ โดยมีการสลับระหว่างสีทองของแผ่นทองค�ำเปลว บนพน้ื ดำ� และเขยี นสีแบบลายก�ำมะลอ โดยการผสมสฝี ุ่นกับยางรักเวยี ดนาม มหกรรมศิลปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ ณ ถน่ิ อ่างทอง” < 77

แสงทองแหง่ บูรพา โดย วิทยาลยั ชา่ งศิลป การสรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศลิ ป์ รูปแบบประติมากรรม ชุด “แสงทองแห่งบรู พา” เป็นการแสดงออก ด้วยรูปทรง เรขาคณติ โดยได้รบั แรงบนั ดาลใจมาจากผลผลิตของผืนแผ่นดนิ ไทย อนั เปน็ เอกลักษณ์ ได้แก่ ทุเรียน ข้ึนชอ่ื ว่าเป็นราชา แห่งผลไม้ เป็นผลไม้ที่มีผลผลิตตามฤดูกาล ในประเทศไทย ทุเรียนในภาคตะวันออก เป็นแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะเด่น แตกต่างกัน เช่น รูปทรงของผล รูป ทรงของหนามบนเปลือก เป็นต้น น�ำมาสร้างสุนทรียะ ท่ีท�ำให้ตระหนักถึงคุณคา่ ของความเป็นไทยผ่านศิลปะรูปแบบร่วมสมัย น�ำไปสู่ ความภาคภูมิใจศิลปวัฒนธรรมไทย และความภาคภูมิใจในชาติ อันจะน�ำไปสกู่ ารพัฒนาชาติ ใหด้ ยี ่ิงข้ึนไป 78 > มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบัณฑิตพัฒนศิลป์ ณ ถนิ่ อา่ งทอง”

พลิว้ ไหว โดย วทิ ยาลยั ชา่ งศิลปสพุ รรณบุรี งานวจิ ยั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาความเปน็ มาของการประดษิ ฐท์ า่ รำ� เพอ่ื ใชเ้ ปน็ สอื่ การออกแบบประตมิ ากรรม เพ่ือแสดงถึงความสวยงาม อ่อนช้อยของนิ้วมือในท่าร่ายร�ำในลักษณะของการจีบมือ น�ำมาบูรณาการร่วมกับ งานประติมากรรม ส่ือสารเร่ืองราวศาสตร์ด้านนาฎศิลป์ เพ่ือเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมงานประติมากรรมท่ีได้ส่งต่อ ความภาคภูมใิ จในศลิ ปวฒั นธรรมไทย ผา่ นงานศลิ ปะดา้ นประตมิ ากรรม การสร้างสรรค์ผลงานชุด “พลิ้วไหว” พบว่าสามารถสื่อถึงวัตถุประสงค์ได้อย่างลงตัวด้วยผลงาน ๒ ช้ิน คือ ลักษณะมือจีบคว่�ำและจีบหงาย แสดงถึงการเคล่ือนไหวสลับมือ สีของชิ้นงานเลือกใช้สีโลหะเครื่องประดับ คอื สนี าค (Pink Gold) แสดงถงึ ความล้�ำคา่ ของมรดกดา้ นวฒั นธรรม ประกอบกบั โลหะที่มีความทนทาน ชนิ้ งานทงั้ ๒ ช้นิ ตดิ ตงั้ ระบบไฟ ปรบั เปลยี่ นสหี ลากหลายสตี ามระยะเวลาโดยการกระพรบิ สอ่ื ถงึ วฒั นธรรมไทยทคี่ งอยู่ ดว้ ยการปรบั เปลย่ี น ไปตามยคุ สมยั มหกรรมศลิ ปวฒั นธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศิลป์ ณ ถ่นิ อ่างทอง” < 79

สสี ันโนรา โดย วทิ ยาลยั ช่างศิลปนครศรธี รรมราช โนรา เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านเป็นท่ีนิยมของคนในภาคใต้ มีองค์ประกอบหลักในการแสดงโนรา คือ เครื่องแต่งกาย และเคร่ืองดนตรี โดยเฉพาะเคร่ืองแต่งกายที่ใช้ส�ำหรับสวมล�ำตัวแทนเส้ือ ซึ่งท�ำด้วยลูกปัดหลากสี มีสีสันที่สดใส สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ร้อยด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ เรียงต่อกันเป็นเส้น เป็นลวดลายเป็นรูปทรง ตา่ ง ๆ ท่ีมีความเปน็ อสิ ระสามารถเคล่ือนไหวไดต้ ามท่าทางและจังหวะของการแสดง จากสีสนั ลวดลาย รูปทรง ของเครอื่ งแตง่ กายโนราดงั กล่าว จึงไดน้ �ำมาสรา้ งสรรค์ผลงานทางด้านประตมิ ากรรม ชุด “สีสัน โนรา” น�ำมาจัดวางในรปู แบบใหม่ แสดงออกโดยใชแ้ ผ่นเหล็กสรา้ งเปน็ รูปทรง ประกอบลวดลายดว้ ยกระจกสี แผ่นอะครีลิค และลูกปัดสี สร้างเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยใช้สีสันท่ีสดใสในการแสดงออกเพ่ือดึงดูดความสนใจ เป็นการส่งเสริมและการกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้ชื่นชมถึงความงดงามในศิลปะเครื่องแต่งกาย ของโนราในรูปแบบประตมิ ากรรม กอ่ ใหเ้ กดิ การหวงแหนและรกั ษาศิลปะการแสดงพ้ืนบา้ นนใ้ี ห้คงอยูส่ ืบไป 80 > มหกรรมศลิ ปวัฒนธรรมไทย “รวมใจบณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ ณ ถิ่นอ่างทอง”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook