¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙ´Ò ¹ÀÒÉÒ
การเรยนภาษาของมนุษยเ์ ปนพฤตกิ รรมทสี าคัญสาหรับการอย่รู วมกนั เปนสงั คม มนุษย์จาํ เปนต้อง สอื สารดว้ ยภาษาเพอื บอกเลา่ ความรู้สกึ นกึ คิด รวมถงึ สาระขอ้ เท็จจรงตา่ ง ๆ ตามทีตอ้ งการ ดงั นนั มนษุ ย์ทกุ คน จงึ จาเปนต้องเรยนรู้ภาษา เรมตน้ จากภาษาแมเ่ ปนภาษาแรก แลว้ จงึ มีการ เรยนภาษาทีสองหรอ ภาษาตา่ งประเทศเพิมขนึ เพอื การใช้ประโยชนบ์ างประการ เช่นการศกึ ษา การคา้ ขาย การเจรญสัมพันธไมตร เปนต้น
พัฒนาการด้านการใชภ้ าษาของมนุษย์ มนุษย์มีขนั ตอนในการใช้ภาษาตดิ ตอ่ สือสาร ซึงมพี ฒั นาการดังนี อายแุ รกเกดิ – 1 ป เด็กเรมสง่ เสียงร้อง การโตต้ อบ อาจมหี รอไมม่ คี วามหมายก็ได้ เรมเรยนคํางา่ ยใกล้ตวั เชน่ พ่อ แม่ บางครังเลน่ เสียงเพอื ความเขา้ ใจของตนเอง เท่านัน แต่ไม่มคี วามหมายสาํ หรับผู้อืน อายุ 1 – 5 ป มีการพฒั นาภาษาพูดในระยะเรมแรก (Early Linguistic Development) เรมใชภ้ าษาพูดเปนประโยคงา่ ย ๆ เช่น แมม่ า พ่อทาํ งาน จากการวจัยปรากฏวา่ เมือเดก็ เรมพดู มักพูดเปนคาํ นามก่อน เชน่ แมว หมา นม ตอ่ มาจงึ เปนคํากรยา
อายุ 5 – 11 ป เปนการพัฒนาการพูดในระยะหลงั ( Later Linguistic Development) ระยะนเี ดก็ เรมเรยนคาํ ศัพท์ การอ่านความหมาย เรมสนใจ ไวยากรณ์ เรมใชภ้ าษาพูดในลักษณะ รูปประโยคทีสมบูรณ์ และเรมเขา้ ใจคําและความหมายของคาํ มากขึน อายุ 11 ปขนึ ไป เปนการพฒั นาการสร้างประโยค (Development of Syntax) เด็กเรมศึกษาไวยากรณอ์ ย่างแท้จรง และสามารถใชภ้ าษาได้ ดยี งิ ขึน
ทฤษฎแี ละหลกั การ
ทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษาทหี นงึ หรอภาษาแม่ ภาษาทีหนึง (first language, L1) หรอ ภาษาแม่ (mother tongue, native language) หมายถงึ ภาษาแม่หรอภาษาทีบุคคลเรยนรู้หรอหัดพูดเปนภาษาแรก ส่วนมากมกั เปนภาษาของแมห่ รอคนเลียงดูใกลช้ ดิ บางคนอาจมภี าษาแมม่ ากกว่า 1 ภาษา แตค่ นสว่ นใหญใ่ นโลกมีภาษาแม่เพียง 1 ภาษา ทฤษฎที ีว่าด้วยการเรยนรู้ภาษาที 1 ทีสาํ คญั มีหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการเรยนรู้ภาษากลมุ่ พฤติกรรมนิยม, ทฤษฎีการเรยนรู้ภาษากลุ่มแบบรู้แตก่ าํ เนิด หรอธรรมชาตนิ ยิ มและทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษา กลุ่มพุทธินยิ มหรอปรชาน ดงั นี
ทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษา ทฤษฎีการเลียนแบบ ทฤษฎคี วามบงั เอิญจาก กลุ่มพฤติกรรมนิยม (The Imitation การเล่นเสียง (BehaviorismLearningTheory) Theory) (Bubbling Buck) แนวคิดสาคญั ของทฤษฎนี ีคือการพูด ผ้ทู ีศกึ ษาเกยี วกับการเลียน Thorndike ไดอ้ ธบิ ายวา่ ภาษาหรอการใช้ภาษาเกิดขึนได้เมอื มี เหตุ แบบในการพฒั นาภาษา เมอื เดก็ เล่นเสียงอยนู่ นั หรอสิงเร้าเงอื นไข การเรยนรู้การใชภ้ าษา อยา่ งละเอียด ทฤษฎีนี นันจะเกดิ ไดต้ ่อไป ถ้ามกี ารเสรมแรมหรอ เชอื วา่ พฒั นาการทาง เผอญิ มบี างเสียงไปคลา้ ยกบั เสยี งทมี ีความหมายใน รางวลั เพราะการ ภาษานันเกดิ จากการ เสรมแรงหรอรางวลั จะเปนตวั ทาใหเ้ กดิ เลยี นแบบ ซงึ อาจเกิดจาก ภาษาพดู พ่อแม่จึงใหก้ าร แนวโนม้ ทจี ะใชภ้ าษาลกั ษณะนันๆ ต่อไป เสรมแรงทันที ด้วยวธนี เี ดก็ การมองเหน็ หรอ จึงมีพัฒนาการทางภาษาเพิม เมือเดก็ ใช้ภาษาตอ่ ไปอย่าง การไดย้ ินเสยี ง ตอ่ เนืองหรอใช้อย่างสมา่ เสมอจะเกิดการ ขนึ เรอย ๆ เรยนรู้จนเปนนิสัย ซึงนิสัยเปนพฤติกรรม ทีสร้างได้
ทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษากลุ่มแบบ ทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษา ธรรมชาตินยิ ม กลมุ่ พุทธินิยม (InnatismLearingTheory) (CognitivismLearningTheory) แนวคดิ สาํ คัญของทฤษฎนี ีคือ แนวคดิ สําคัญของกลุมทฤษฎนี ี้คือการเรียน การเรยนรู้ภาษาของมนุษย์ รภู าษาของมนษุ ยเกิดจากกลไกภายใน ไมไ่ ดเ้ กิดจาก พฤตกิ รรมตอบ สนองต่อสิงเร้า แตเ่ ปนกลไก สมอง แต ขณะเดยี วกันกลุมนี้ยงั ใหความ ทีเหมือนเปนอวัยวะส่วนหนงึ ที สําคญั กับกลไกภายนอกทเ่ี ป็นตวั กระตุนให อยภู่ ายในตวั มนษุ ย์ การศึกษา ภาษา จึงเปนการศกึ ษาความคิด กระบวนการภายในสมองจดั ระบบ และ ของมนุษย์ด้วย ประมวลผล เพ่อื สรางกฎเกณฑการเรียนรู ภาษาของมนษุ ย กลา วไดวาภาษาเป็น สง่ิ หน่ึงท่ีแสดงถงึ ความสามารถของมนษุ ย มนษุ ยม สี ตปิ ัญญาและความสามารถท่จี ะ เรียนรูภาษาเป็นเคร่ืองมอื ส่ือสาร มนษุ ย เรยี นรูส ง่ิ ตาง ๆ ทอี่ ยูรอบตวั ได เม่ือมี ปฏิสัมพันธกับสง่ิ เหลานี้
ทฤษฎีการเรยนรู้ภาษาทีสองและภาษาต่างประเทศ ภาษาทีสอง (Second language, L2) หมายถึง ภาษาทีบคุ คลเรยนรู้หลังจากภาษาแรก เปนภาษาที มบี ทบาทสาคญั ในสังคม ในฐานะภาษาราชการ ภาษาเพือการติดตอ่ สือสาร เพือการศึกษา เพอื ธรุ กจิ และเพอื การเมืองการปกครอง แนวคิดที ได้รับความนิยมคือ แนวคิดของทฤษฎกี ารเรยนรู้ภาษาทีสองและภาษาตา่ งประเทศของสตเี ฟน คราเชน (Stephen Krashen) ประกอบไปดว้ ยสมมุตฐิ านทังหมด 5 ขอ้ มดี งั นี
สมมตุ ฐิ านเกยี วกับการรับภาษาและการเรยนรู้ การรบั ภาษา (The Acquisition Learning Hypothesis) การเรยี นรภู าษา .สมมตุ ิฐานเกยี วกับขันตอนในการเรยีนรู้ภาษาตามธรรมชาติ (TheNaturalOrderHypothesis) สมมุตฐิ านเกยี วกับกลไกทดสอบภาษา (The Monitor Hypothesis) สมมุตฐิ านเกียวกับการรับรู้ข้อมลู ทางภาษา (The Input Hypothesis) สมมุตฐิ านเกียวกบั ความแตกตา่ งดา้ นจติ ใจ (The Affective-Filler Hypothesis)
กระบวนการเรยนรู้ภาษา การเลียนแบบ การเรยนรู้แบบสอบถาม การเอาอยา่ ง การเลยี นแบบพฤตกิ รรมตอบสนอง พร้อมกับสงิ เร้าหลายตวั การลองผิดลองถกู การเรยนรู้โดยสัมพนั ธก์ บั สภาวะ
อ้างอิง ราชบณั ฑิตยสถาน. (2553). พจนานุกรมศัพท์ภาษาศาสตร์ (ภาษาศาสตรป์ ระยุกต์) ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน. รุง่ ฤดี แผลงศร. (2560). ศาสตรก์ ารสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพฯ:สานกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
¼Ù ธรี ์ธวชั นภาครี รมย์ 630210026 ¨´Ñ ปรนทร์ ศรศกั ดา 630210033 ·íÒ ปยาภรณ์ คํายวง 630210034 สชุ ญั ญา นาแหลม 630210058 สุพชิ ญา ฝกหดั 630210060 หทัยกานต์ วงคเ์ มทา 630210064 อัจฉราภรณ์ ทองมาก 630210069
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: