Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 5 ชีวิตในสิ่งแวดล้อม (วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4)

บทที่ 5 ชีวิตในสิ่งแวดล้อม (วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4)

Published by Apichit DK., 2023-07-12 16:16:27

Description: บทที่ 5 ชีวิตในสิ่งแวดล้อม (วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4)

Search

Read the Text Version

วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 บทท่ี 5 ชีวติ ในสง่ิ แวดลอ้ ม จดั ทาโดย ครู อภชิ ติ ดีคา ช่ือ…….………………………………………………………………….. ชัน้ …………….……… เลขท…ี่ ………………

5.1 ระบบนเิ วศ การจดั ระบบของส่งิ มีชวี ติ

5.1.1 ไบโอม ไบโอม (biomes) หรือชีวนิเวศ หมายถงึ ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ ท่มี ีองค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบทาง ชีวภาพที่เปน็ ลักษณะเฉพาะของตนเอง อย่ใู นแต่ละบริเวณของโลกซึง่ มภี ูมศิ าสตร์ทหี่ ลากหลาย ซง่ึ ไบโอมมี 2 ประเภท คอื 1. ไบ โอมบกและ 2. ไบโอมน้า 1. ไบโอมบก ไบโอมบนบก ใช้เกณฑ์ปริมาณนา้ ฝนและอุณหภมู แิ บ่งออกเปน็ 7 ประเภท ได้แก่ 1.ปา่ เขตร้อน (tropical forest)  พบได้ในบรเิ วณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวปี อเมริกากลาง ทวปี อเมรกิ าเอเชียตอนใต้ และบรเิ วณบางส่วนของ หมูเ่ กาะแปซิฟกิ  มอี ากาศร้อนและชนื อุณหภมู ิเฉลี่ย 27 องศาเซลเซียส มฝี นตกชกุ ตลอดปีเกือบตลอดปี และมคี วามชมุ่ ชืนในดนิ คอ่ นข้างสูงสม้่าเสมอตลอดทงั ปี มปี ริมาณนา้ ฝนมากท่ีสุดเฉลี่ย 200-400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนดิ นพี บพืชและสัตว์ หลากหลายพันสปีชสี ์ จดั เป็น“ปา่ ท่ีมีความอุดมสมบรู ณ์มากท่สี ุด”  พชื ท่พี บ : ไม้พุ่ม พืชลม้ ลกุ ระกา้ หวาย ไผ่ เฟิรน์ กล้วยไม้  สตั ว์ทพ่ี บ : สมเสร็จ แรด กระจงควาย เกง้ ชา้ งปา่ ววั แดง  บริเวณทพี่ บในไทย : อุทยานแหง่ ชาติไทรโยค จังหวดั กาญจนบรุ ี, ปา่ ฮาลา-บาลา จงั หวัดนราธิวาส

2.ป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น (Temperate deciduous forest)  พบกระจายทั่วไปในละตจิ ดู กลาง ซ่ึงมปี ริมาณความชนื เพยี งพอทีต่ น้ ไมใ้ หญ่จะเจรญิ เตบิ โตไดด้ ี ทังในเขตอบอุน่ และเขต ร้อนของโลก เช่น ในทวปี อเมริกาเหนือ ยุโรป ประเทศจนี และในประเทศไทย  โดยมปี รมิ าณนา้ ฝนเฉลีย่ 100 เซนติเมตรต่อปี และมีอากาศค่อนข้างเย็น  ตน้ ไม้จะทงิ ใบหรือผลดั ใบก่อนฤดหู นาว และจะเริ่มผลิใบอีกครังเม่ือฤดูหนาวผา่ นพ้นไปแล้ว  พืชทีพ่ บ : ไมย้ ืนต้น ไม้พุ่ม ไมล้ ม้ ลุก เมเปลิ โอ๊ก ยูคาลปิ ตัส เชลทน์ ัท  สตั ว์ท่ีพบ : กวางเอลก์ สนุ ัขจิงจอก ตวั ตุ่น  บริเวณทพ่ี บในไทย : อุทยานแหง่ ชาติทุง่ แสลงหลวง จงั หวัดพิษณุโลก 3.ปา่ สน (Coniferous forest)  ปา่ ประเภทไม่ผลัดใบ เปน็ ป่าเขตหนาวทม่ี ีขนาดใหญท่ ี่สดุ ของโลก และ“จัดเปน็ สงั คมสง่ิ มีชีวิตบนบกที่มีขนาดกวา้ งใหญ่ กวา่ ไบโอมอน่ื ๆ”  พบในเขตละติจดู ตังแต่ 45 – 67 องศาเหนอื ทางตอนใตข้ องประเทศแคนาดา ทางตอนเหนอื ของทวปี อเมรกิ าเหนือ ทวีปเอเชยี และยโุ รป  เป็นปา่ ประเภทเขียวชอ่มุ ตลอดปี มีฤดูหนาวยาวนาน มอี ากาศเยน็ และแห้ง ดินมีความเป็นกรดสูงไม่คอ่ ยมีความอุดม สมบูรณ์  ปรมิ าณน้าฝนเฉล่ีย 25-75 เซนติเมตรต่อปี สว่ นใหญจ่ ะตกในฤดรู ้อน  พชื ท่ีพบ : เป็นไม้เนืออ่อน จา้ พวกไพน์ (pine) เฟอ (fir) สพรูซ (spruce) เฮมลอค (hemlock)

 สัตว์ท่พี บ : นกฮกู เทาใหญ่ กวางเอลก์ หมีสีน้าตาล ฮันน่ีแบดเจอร์ บเี วอร์  บรเิ วณที่พบในไทย : ปา่ สนวัดจันทร์ จงั หวดั เชียงใหม่, อทุ ยานแหง่ ชาตภิ สู อยดาว จงั หวดั อุตรดติ ถ์ 4.ทุ่งหญา้ เขตอบอุ่น (Temperate grassland)  พบในทวปี อเมรกิ าเหนือ เรยี กวา่ แพรรี่ ( prairie ) ในเขตยูเรเชยี เรียก สเตป็ ป์ (steppe) และในทวีปอเมรกิ าใตเ้ รยี ก แพมพา (pampa)  มีปริมาณนา้ ฝนเฉลีย่ 25 – 50 เซนติเมตรต่อปี มกั มีฝนตกในช่วงฤดูร้อน และแห้งแล้งในฤดูหนาว  มีไม้พมุ่ ท่ีมหี นาม มีไม้ต้นทนแลง้ และทนไฟป่า  เหมาะสา้ หรบั การทา้ กสิกรและปศสุ ัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สงู มีหญา้ หลายชนิดขึนอยู่ สว่ นใหญ่พบมีการท้า เกษตรกรรมควบคใู่ นพนื ทนี่ ่ีด้วย  พืชท่พี บ : เบาบับ (baobab) กระถนิ (acacia)  สัตวท์ ่พี บ : ช้าง มา้ ลาย สิงโตในแอฟริกา หมีโคลา จงิ โจ้ และนกอมี ใู นออสเตรเลีย 5.ทุ่งหญา้ สะวนั นา (Savanna)  พบได้ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมรกิ าใต้ ทวปี ออสเตรเลีย และพบบา้ งทางตะวนั ออกเฉยี งใต้ของทวีปเอเชีย  มีอากาศร้อน ในฤดรู ้อนมักเกิดไฟปา่ ปริมาณนา้ ฝนเฉล่ยี 30 – 50 เซนติเมตรต่อปี

 ดนิ ในพนื ที่สะวนั นามีลักษณะแห้ง แขง็ และมีฝนุ่ มาก เนือ่ งจากฝนอาจไมต่ กเลยเป็นเวลาหลายเดอื น  มีลกั ษณะเปน็ ป่าไม้จนถึงท่งุ หญา้ ท่มี ตี น้ ไม้กระจายอยู่หา่ งๆ กันทงั นเี น่ืองจากความชนื ในฤดแู ล้งไม่เพยี งพอส้าหรับการ ปกคลุมของต้นไม้ใหเ้ ตม็ พืนที่  “ทุง่ สะวันนาในทวปี แอฟริกาเปน็ พืนทีท่ ี่มสี ัตวเ์ ลยี งลูกดว้ ยนมขนาดใหญห่ ลากหลายสายพันธุ์มากท่ีสุดในโลก”  พชื ทีพ่ บ : ต้นอาเคเชยี (Acacia) ต้นเบาบบั (Baobab)และหญ้า  สัตวท์ ี่พบ : ละมง่ั ควายป่า นกกระจอกเทศ ช้าง แรด ยีราฟ สิงโต เสือดาว ไฮยนี า่  บริเวณที่พบในไทย : อุทยานแห่งชาตทิ ุ่งแสลงหลวง จังหวดั พษิ ณุโลก,เขตรักษาพันธ์ุสตั ว์ปา่ ทงุ่ ใหญ่นเรศวร จังหวัดตาก 6.ทะเลทราย (Desert)  พบได้ทั่วไปในโลก ในพืนท่ีที่มีปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรตอ่ ปี “จัดเป็นไบโอมทีม่ ปี ริมาณน้าฝนน้อย ที่สุด” และบางชว่ งอาจไม่มฝี นตกยาวนานถึง 8-10 ปี  บางแหง่ อาจมอี ุณหภมู เิ หนอื ผิวดินสงู ถงึ 60 องศาเซลเซยี สตลอดวัน เชน่ ทะเลทรายซาฮาราในอฟั ริกา ทะเลทรายโซ โนรนั ในเมก็ ซโิ ก และบางแหง่ มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เชน่ ทะเลทรายโกบีในมองโกเลยี อาจมีอุณหภูมิต่้ากว่าจุด เยอื กแขง็ ยาวนานในฤดหู นาว  พชื มกี ารป้องกนั การสญู เสยี น้า โดยใบลดรูปเปน็ หนาม ล้าต้นอวบ เกบ็ สะสมน้าดี  สตั ว์สว่ นใหญ่หากนิ กลางคืนเพ่ือหลกี เล่ียงอากาศร้อนในตอนกลางวัน  พชื ที่พบ : กระบองเพชร อนิ ทผาลมั  สัตวท์ พี่ บ : งู กิงกา่ สปรงิ บ็อก อูฐ หมาจิงจอกทะเลทราย กงิ กา่ หนาม

7.ทนุ ดรา (Tundra)  มีอาณาเขตตังแต่ละติจดู ที่ 60 เหนือขนึ ไปจนถงึ ขัวโลก พบทางตอนเหนือของทวปี อเมริกาเหนือ และยเู รเซีย เชน่ พนื ท่ี ของรฐั อะลาสกา้ และไซบเี รยี  มฤี ดหู นาวค่อนขา้ งยาวนานฤดูรอ้ นชว่ งสัน ๆ ประมาณ 2-3 เดอื น มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี อุณหภมู ิในฤดูร้อนเฉล่ีย ตา้่ กวา่ 10 องศาเซลเซียส สว่ นในฤดหู นาวมีอากาศหนาวจัด อุณหภมู ติ ้่ากวา่ จุดเยอื กแข็งยาวนานกวา่ 6 เดอื น ฝนตก น้อยมาก ปริมาณหยาดน้าฟา้ ประมาณ 500 มลิ ลิเมตร ส่วนใหญต่ กในรูปของหมิ ะ  ชนั ของดนิ ชันบนลงไปจะจบั ตัวเปน็ นา้ แขง็ อย่างถาวร จงึ ท้าใหใ้ นฤดูร้อนนา้ แข็งท่ีละลายบรเิ วณผวิ หนา้ ดนิ ไมส่ ามารถซึม ผ่านลงไปในชันนา้ แข็งไดจ้ ึงท่วมขงั อยูบ่ นผิวดนิ ทา้ ใหป้ ลูกพชื ไดใ้ นระยะสนั ๆ  ในช่วงฤดูหนาวสตั วจ์ ะจ้าศีล หรือหลบอยใู่ ตห้ ิมะและใต้กอ้ นนา้ แข็ง ส่วนพืชจะหยดุ ชะงักการเจริญเติบโต  ชมุ ชนแบบทนุ ดราเป็นชุมชนแบบงา่ ยๆ ไม่ยงั่ ยนื และไมส่ มดลุ จึงทา้ ให้“พบพชื และสตั ว์อาศยั อยูน่ อ้ ยกวา่ ไบโอมอ่ืนๆ”  พชื ท่พี บ : มอส กก หญ้าเซดจ์(Sedge) และไม้พุ่มเตีย เช่น วิลโลแคระ  สตั วท์ พ่ี บ : กวางคาริบู กวางเรนเดียร์ กระต่ายปา่ ขวั โลก หนูเลมมงิ สนุ ัขป่าขวั โลก นกทามิแกน นกเคา้ แมวหมิ ะ กราฟเปรยี บเทียบปริมาณนา้ ฝนเฉลีย่ ของไบโอมบกแตล่ ะชนดิ

2. ไบโอมน้า 1.ไบโอมแหล่งน้าจดื (Freshwater biomes)  เป็นแหล่งน้าทมี่ ีเกลอื น้อยกวา่ รอ้ ยละ 0.1 หรอื น้อยกว่า 1 ppt  โดยท่วั ไปประกอบด้วยแหลง่ นา้ น่งิ ซ่ึงได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบงึ กบั แหล่งน้าไหล ไดแ้ ก่ ธารนา้ ไหลและแม่นา้ เปน็ ต้น  ชว่ งรอยต่อของแหล่งนา้ จืดและนา้ เค็มท่ีมาบรรจบกัน เรยี กวา่ นา้ กร่อย ซึ่งมักจะพบตามปากแม่น้า  “ไบโอมแหล่งน้าจดื จะแตกต่างจากนา้ เค็มตรงที่ไม่มนี ้าขนึ น้าลงเปน็ ปัจจยั กายภาพส้าคัญ”  มคี วามส้าคญั มากเน่ืองจากเราต้องใช้นา้ ในการอุปโภค-บรโิ ภค  พืชทพี่ บ : จอก สาหรา่ ย แหน  สตั วท์ พี่ บ : หอย ปลาตา่ งๆ กุ้ง 2.ไบโอมแหล่งนา้ เค็ม (Marine)  เปน็ แหลง่ นา้ ทม่ี ีเกลือเฉลย่ี ประมาณร้อยละ 3.5 หรือ 35 ppt  โดยทวั่ ไปประกอบด้วยทะเลและมหาสมทุ ร ซึง่ พบในปริมาณมากถงึ รอ้ ยละ 71 ของพืนท่ีผวิ โลกและมคี วามลึกมาก โดยมคี วามลกึ เฉล่ีย 3750 เมตร  พชื ทพี่ บ : ไม้โกงกาง แสม ล้าพู  สัตวท์ ่พี บ : แมลงสาบทะเล หอยนางรม ลิม่ ทะเล หอยหมวกเจ๊ก เม่นทะเล ปลู ม  บรเิ วณที่พบในไทย : หมู่เกาะพพี แี ละหม่เู กาะลนั ตา จงั หวัดกระบ่ี , อุทยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม จงั หวัดตรงั

5.1.2 การเปล่ยี นแปลงแทนท่ีของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศ คือ เป็นการเปล่ยี นแปลงของกลมุ่ ส่ิงมีชีวติ ในระบบนเิ วศเป็นลา้ ดบั ขัน โดยมปี ัจจยั ต่างๆ ทังทางกายภาพ และชีวภาพ เปล่ยี นแปลงไปสู่สมดลุ อาจเกดิ สังคมสมบูรณ์(Climax community) สังคมสมบรู ณ์(Climax community) หมายถงึ กลุ่มส่งิ มชี วี ติ ขนั สดุ ทา้ ยของการเปลี่ยนแปลงนี เป็นกลมุ่ สง่ิ มีชีวิตทมี่ ี เสถยี รภาพและจะอยู่ในบรเิ วณนันได้ยาวนานโดยมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก การเปลี่ยนแปลงแทนท่ขี องระบบนิเวศ แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การเปลยี่ นแปลงแทนทแ่ี บบปฐมภมู ิ (Primary succession)  เปน็ การเปล่ียนแปลงแทนท่ีทเ่ี ริ่มจากพืนทีว่ ่างเปลา่ ไมเ่ คยมีสิ่งมีชวี ติ มากอ่ น เชน่ การเปล่ียนแปลงแทนท่ีบนก้อนหนิ หรอื บริเวณทีเ่ คยเกดิ ภเู ขาไฟระเบดิ มากอ่ น ซึ่งการเปลีย่ นแปลงแทนท่ปี ฐมภมู ินีใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงสภาวะ สมดลุ 2. การเปล่ียนแปลงแทนท่แี บบทุติยภูมิ (Secondary succession)  เป็นการเปลย่ี นแปลงแทนที่ที่เริ่มในบรเิ วณซึ่งเคยมีสิง่ มชี ีวิตมาก่อน แต่ถูกท้าลายไป โดยมนุษย์ สตั ว์หรือภยั ธรรมชาติ การเปลีย่ นแปลงแทนท่แี บบทุติยภมู ใิ ชเ้ วลาน้อยกวา่ แบบปฐมภูมิ เชน่ พืนทีท่ เ่ี คยถูกไฟไหม้ เป็นตน้

5.1.3 ประชากร  หมายถงึ ...สิ่งมชี วี ติ ชนิดเดียวกันมาอยู่รวมกันในแหล่งที่อยู่เดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง  การจะกลา่ วถึงประชากรของส่ิงมชี วี ติ ใดๆนกั เรียนต้องระบุสงิ่ ตอ่ ไปนี คอื ชนิดของส่งิ มีชวี ิต แหล่งท่ีอยู่ และ ช่วงเวลา ลองพจิ ารณาการกล่าวถึงประชากรตอ่ ไปนี้ว่าถกู ต้องหรอื ไม่? 1. ประชากรของโรงเรียนในกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ.2550 2. ประชากรของต้นลา้ ใย 3. ประชากรของตน้ สักในสวนปา่ ท่ีโรงเรยี นดอนตาลวิทยาเม่อื เดือนกนั ยายน 2563 ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงขนาดของประชากร พจิ ารณาจากรูปด้านบน นอกจากการเกดิ การตาย อพยพเขา้ อพยพออกแล้ว การเปลย่ี นแปลงขององคป์ ระกอบ ทางกายภาพและชีวภาพ ก็มีผลต่อการเปล่ียนแปลงขนาดประชากร องคป์ ระกอบทางกายภาพ เชน่ ความสงู จากระดบั น้าทะเล อณุ หภมู ิ ความเป็นกรด-เบส แสง ดิน น้า เปน็ ต้น ถ้าองคป์ ระกอบเหลา่ นีมีการเปล่ียนแปลงจะส่งผลต่อขนาดประชากรของส่ิงมชี วี ติ ในพนื ทนี่ ัน องค์ประกอบทางชีวภาพ เช่น ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี ีวิตดว้ ยกันเอง อาทิ ภาวะพึ่งพากัน ภาวะองิ อาศัย การล่า เหยื่อ ภาวะแกง่ แยง่ แข่งขนั เป็นตน้ ถ้าเกิดการเปลย่ี นแปลงของความสมั พนั ธเ์ หลา่ นี เชน่ มีผู้ลา่ ใหม่ หรอื สง่ิ มชี วี ิตใหม่อพยพเข้า มาแกง่ แย่งอาหารมากขนึ จะท้าใหข้ นาดประชากรของสิง่ มีชีวิตเดิมเปลีย่ นแปลงไป เปน็ ตน้

5.2 มนษุ ย์กบั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กราฟแสดงการเพิ่มจานวนของประชากรมนุษย์ การเพิ่มขึนอย่างรวดเร็วและยังคงเพ่ิมขนึ เรื่อยๆชว่ งหลัง ค.ศ. 1700เปน็ ต้นมา เป็นผลมาจากยคุ หลงั ปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรม ประชากร -มนุษย์ทเี่ พ่ิมขน้ึ อยา่ งทวีคณู ทาใหใ้ ชท้ รัพยากรธรรมชาติมากข้ึน 5.2.1 ทรพั ยากรธรรมชาติ  หมายถึง สง่ิ ต่างๆท่เี กดิ ไดเ้ องในธรรมชาติ และมนษุ ยน์ ามาใชป้ ระโยชน์ได้ เชน่ แสงอาทิตย์ นา้ ดิน หนิ พลังงาน แม่น้า ทะเล ปา่ ไม้ สตั ว์ปา่ เป็นต้น

ปญั หาและผลกระทบทมี่ ีต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม ทรพั ยากรน้า  น้าเป็นแหล่งก้าเนิดชีวิตของสัตวแ์ ละพืชคนเรามีชวี ติ อยโู่ ดยขาดนา้ ได้ไม่เกิน 3 วนั และน้ายงั มีความจ้าเป็นทังในภาค เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซงึ่ มีความส้าคัญอย่างยิง่ ในการพฒั นาประเทศ  นา้ เสยี (waste water) หมายถึง ของเสียทีอ่ ยู่ในสภาพของเหลว รวมทังสารมลพิษท่ปี ะปนหรอื ปนเปื้อนอยใู่ น ของเหลวนัน ปัญหาตา่ งๆของทรพั ยากรน้า 1. ปญั หาการมีน้านอ้ ยเกินไป (แหล่งเก็บกักนา้ ไม่เพียงพอ ฝนไมต่ กตอ้ งตามฤดูกาล อื่นๆ) 2. ปญั หาการมีนา้ มากเกนิ ไป (สาเหตุฝนตกหนกั ป่าไมถ้ กู ทาลาย อ่ืนๆ) 3. ปัญหาน้าเสยี เป็นปัญหาใหม่ในปจั จุบัน สาเหตทุ ่ที า้ ใหเ้ กดิ นา้ เสยี ได้แก่  นา้ ทิงจากบา้ นเรือน ขยะมูลฝอยและส่ิงปฎิกูลทถ่ี ูกทิงสู่แมน่ ้าลา้ คลอง  น้าเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรม  น้าฝนพดั พาเอาสารพิษท่ีตกค้างจากแหลง่ เกษตรกรรมลงสู่แม่นา้ ล้าคลอง

ทรพั ยากรเชอ้ื เพลงิ  หมายถงึ เชอื เพลิงทเี่ กดิ ขนึ เองตามธรรมชาติ จากพืช จากสัตว์ (เชอื เพลิงชวี มวล) หรือการทบั ถมของซาก พชื ซากสตั ว์ เป็นเวลานับล้านๆ ปี (เชอื เพลิงฟอสซิล) จนกลายเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเลยี ม น้ามนั รวมทังหนิ นา้ มัน ทรายนา้ มัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น  ผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรเชือเพลิง การเกิดมลภาวะทางอากาศซง่ึ เปน็ ผลกระทบท่เี กดิ จากการใช้น้ามนั เชอื เพลงิ ต่างๆ เนือ่ งจากการ เผาไหม้ของนา้ มนั เชือเพลิงจะท้าให้สารต่างๆ ทีป่ นอยใู่ นนา้ มันระเหยออกมาได้ ทรพั ยากรป่าไม้  ปา่ ไมเ้ ป็นทรพั ยากรธรรมชาติทม่ี คี วามส้าคัญอย่างยง่ิ ต่อส่ิงมชี วี ติ ไม่วา่ จะเปน็ มนุษยห์ รอื สตั ว์อน่ื ๆ เพราะปา่ ไม้มี ประโยชน์ทังการเปน็ แหลง่ วตั ถุดบิ ของปจั จัยส่ี คือ อาหาร เครื่องนุง่ หม่ ท่ีอยูอ่ าศัยและยารักษาโรคสา้ หรบั มนุษย์ และยังมปี ระโยชน์ในการรกั ษาสมดุลของสิง่ แวดลอ้ ม  ถา้ ป่าไมถ้ ูกทา้ ลายลงไปมาก ๆ ยอ่ มส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทเ่ี ก่ียวข้องอื่น ๆ เช่น สัตวป์ ่า ดนิ น้า อากาศ ฯลฯ  เมอื่ ป่าไม้ถูกท้าลาย จะส่งผลไปถึงดินและแหลง่ นา้ ดว้ ย เพราะเม่ือเผาหรอื ถางป่าไปแลว้ พนื ดินจะโลง่ ขาด พืชปกคลุม เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะลา้ งหนา้ ดินและความอุดมสมบูรณข์ องดินไป

การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1. การใชแ้ บบย่ังยนื คือ การใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมให้ไดป้ ระโยชน์สงู สดุ เมื่อใชแ้ ล้วเกิดมลพิษน้อยท่ีสดุ หรือไม่เกดิ เลย หรอื เมือ่ เกิดของเสยี และมลพิษในสิ่งแวดลอ้ มแล้วกต็ อ้ งหาวิธบี ้าบัด • หลัก 4 R (การจัดการกบั ส่งิ แวดล้อมในชีวิต) Reduce หรอื ลด Reuse หรือใช้ซ้า Recycle หรอื การนากลับมาใช้ใหม่ Repair หรอื การซ่อมบารุง สัญลกั ษณ์ รีไซเคิล (Recycle) 2. การเกบ็ กัก (storage) คอื การรวบรวมเก็บกักทรัพยากรธรรมชาติทม่ี ีแนวโน้มจะขาดแคลนไดเ้ พ่อื เอาไว้ ใชใ้ นอนาคต เช่น การถนอมอาหาร การท้ายุ้งฉาง การเกบ็ กกั น้า การเกบ็ รักษาป่าไม้ แร่ น้ามันปโิ ตรเลียม แกส๊ ธรรมชาติ ถา่ นหิน เป็นต้น 3. การรกั ษาซ่อมแซม (repair) เช่น การเติมอากาศในบ่อน้า บ้าบัดน้าเสีย การปลูกป่าทดแทน การเพาะพันธ์ุสตั วป์ า่ เพอื่ น้าไปปล่อยสธู่ รรมชาติ 4. การฟืน้ ฟู(rehabilitation) เชน่ การเสริมสร้างท่ีอยู่อาศยั ใหส้ ง่ิ มีชวี ติ ในทะเลโดยการสรา้ งแนวปะการงั เทยี มจาก แท่งคอนกรีต หรือยางรถยนต์ เปน็ ต้น 5. การปอ้ งกนั (prevention) เปน็ วิธีการท่ปี กป้องคมุ้ ครองทรัพยากรทกี่ ้าลงั ถกู ท้าลาย หรอื มแี นวโน้มว่าจะถูกท้าลาย ให้สามารถอยู่ไดใ้ นสภาพปกติ การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการใชป้ ระโยชน์อยา่ งยงั่ ยนื ทีต่ ้องอาศัยเทคโนโลยีควบคู่ เช่น  1. การใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตยจ์ ากเซลล์สรุ ิยะ (solar cell) เป็นการผลติ ไฟฟ้าจากการตกกระทบของแสงบนวัตถุท่ี มคี วามสามารถในการเปล่ยี นพลังงานแสงเปน็ พลังงานไฟฟ้า  2. การใช้กังหันชยั พัฒนา ในการบา้ บัดนา้ เสียเป็นการฟื้นฟูแหลง่ น้าใหม้ คี ุณภาพดีขนึ เป็นต้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook