นางสาว ชัชชา ทองสุข เลขที่ 29 ม.6.2
มักยองของชาวมาเลย์ กำเนิดในจังหวัดปัตตานี ในอดีตเคยเป็นการแสดงที่สร้างความบันเทิงให้แก่พระราชินี ธิดาของกษัตริย์ และสตรี ในพระราชวัง เมื่อผู้ชายออกไปสู้รบการแสดงจะผสมผสานเรื่องราวความรัก การรำ การขับร้อง และเรื่องเล่าในยุคที่มาเลเซียรุ่งเรืองเข้าด้วยกันจนกลายเป็นนาฏศิลป์ที่มีเสน่ห์น่าชม
กูดาเคปัง ศิลปะการร่ายรำที่ชาวชวานำเข้ามาเผยแพร่ในรัฐยะโฮร์ การแสดงจะบอกเล่าเรื่องราวชัยชนะในสงคราม ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม ผู้แสดงจะนั่งคร่อมบนม้าปลอมและร่ายรำไปตามจังหวะของเครื่องดนตรีประเภท เคาะ ประกอบด้วยกลอง ฆ้อง และอังกะลุง
ซาปิน รับความนิยมในรัฐยะโฮร์ กล่าวได้ว่าเป็นการร่ายรำดั้งเดิมของมาเลเซียที่สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของ ศาสนาอิสลามได้เด่นชัดที่สุด เข้ามาในประเทศมาเลเซียเมื่อมิสชันนารีมุสลิมจากตะวันออกกลางเข้ามา เผยแผ่ศาสนา จุดประสงค์คือการสวดมนต์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอารธรรมอิสลาม
โยเก็ต ศิลปะการร่ายรำแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของมาเลเซีย มีจังหวะที่สนุกสนาน นักแสดงหลายคู่ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สวยงาม เน้นอารมณ์ขัน ต้นกำเนิดมาจากการเต้นรำของชาวโปรตุเกส แพร่หลาย ในมะละกา ยุคที่มีการค้าเครื่องเทศ
ตาเรียนลิลิน รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ การรำเทียน ผู้แสดงจะเป็นผู้หญิง จะต้องร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ในขณะเดียวกันก็ต้อง พยายามไม่ให้เทียนในจานเล็กๆ ล้มลงมา
ซิลาด ศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดของชาวมาเลย์ สามารถทำอันตรายคู่ต่อสู้ให้ถึงแก่ชีวิตได้ ซิลาดยังถือ เป็นศิลปะการร่ายรำแขนงหนึ่งด้วย ผู้แสดงจะเคลื่อนไหวร่ายกายอย่างสง่างาม ตรึงผู้ชมให้หลงใหลในมนต์ เสน่ห์และความสวยงามของท่วงท่า
บังกรา การเต้นรำและการแสดงดนตรีพื้นเมืองที่สนุกสนานของชาวซิกข์ ต้นกำเนิดมาจากการเต้นรำในฤดูเก็บ เกี่ยว ปัจจุบัน แสดงในงานเฉลิมฉลองต่างๆ เช่น งานแต่งงาน หรืองานวันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น เรื่องที่ใช้ในการ แสดงส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรัก ใช้จังหวะหนักของกลองดอลเป็นกลองคู่ ให้จังหวะในการขับร้องและร่ายรำ
ดาตุนจูลุด การรำนกเงือกเป็นการร่ายรำแบบดั้งเดิมของสตรีชาวเคนยาห์ในรัฐซาราวัก คิดค้นโดยเจ้าชายเผ่าเคนยาห์ นามนะยิก์ เซลอง แสดงในงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนักรบที่กลับมาจากล่าศีรษะหรืองานฉลองประจำปีเมื่อสิ้น สุดฤดูเก็บเกี่ยว การแสดงประกอบด้วยผู้หญิงคนเดียว เสียงพิณซาเพ พัดสีสวยงามทำจากขนของนก เงือก มีความโดดเด่นที่ “ซาเพ” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีท้องถิ่นของซาราวัก
ซูมาเซา การร่ายรำดั้งเดิมของเผ่าคาดาซานในรัฐซาบาห์ ปกติจะแสดงในพิธีกรรมทางศาสนาและงานฉลองต่างๆ แต่เดิมเป็นการร่ายรำเพื่อบูชาภูติผีเพื่อให้การเก็บเกี่ยวพืชไร่ได้ผลดี ป้องกันวิญญาณร้าย และรักษาอาการ เจ็บป่วย นักแสดงหญิงและชายจะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและอ่อนช้อย เลียนแบบการเคลื่อนไหวของนก ขณะบิน
ระบำไม้ไผ่ การร่ายรำแบบดั้งเดิม ในการแสดงจะใช้ท่อนไม้ไผ่ยาวสองท่อนวางขนานกันกับพื้นในระดับข้อเท้า ไม้ไผ่จะ กระทบกันตามจังหวะกลองเร็วๆ ดังนั้น ในการกระโดดเหนือหรือระหว่างไม้ไผ่โดยไม่ให้ไม้ไผ่กระทบข้อเท้า ผู้แสดงจะต้องมีความชำนาญสูง
ระบำของชาวโอรังอัสลี ระบำดั้งเดิมของชาวโอรังอัสลีแห่งคาบสมุทรมลายู จากความเชื่อในเรื่องวิญญาณอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่ร่ายรำมัก จะเป็นหมอผีของเผ่า โดยถือว่าการร่ายรำเป็นพิธีติดต่อกับโลกวิญญาณ ระบำเหล่านี้ได้แก่ เกงกูลังของเผ่า มาห์เมรี เบอร์เจรอมของเผ่าจาห์ฮัต และเซวังของเผ่าเซมายและเตเมียร์ เป็นต้น
ระบำฟาราเปร่าของชาวโปรตุเกสในมะละกา ฟาราเปร่าคือระบำที่มีท่วงท่าการร่ายรำที่รวดเร็วและสนุกสนาน เข้าจังหวะกับเสียงดนตรีและแทมโบรีน ใช้ นักแสดงหลายคู่ แต่งกายด้วยชุดดั้งเดิมของชาวโปรตุเกส
บรานโย การแสดงที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้สูงอายุชาวโปรตุเกส เมื่อเปรียบเทียบกับระบำฟาราเปร่า บรานโยจะ เป็นการร่ายรำที่สุขุมกว่า นักแสดงชายจะสวมชุดเหมือนคาวบอย ในขณะที่นักแสดงหญิงจะสวมชุดบาจู เกอร์บายาและผ้าโสร่งบาติกสำหรับใช้สะบัดตามจังหวะกลองและไวโอลิน
ภารตะนาฏยัม เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของศาสนาฮินดูสมัยโบราณ โดยสตรีฮินดูจะถวาย ตัวรับใช้ศาสนาเป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะเริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษา พระเวท วรรณกรรม ดนตรี การขับร้องของเทวทาสีเปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่ายรำบนสวรรค์ ท่า รำมีทั้งหมด 108 ท่า
การแสดง ผู้แสดงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ด้วยระยะเวลายาวนานจนมีฝีมือยอด เยี่ยม สามารถเครื่องไหวร่างกายได้สอดคล้องกับจังหวะดนตรี เนื้อหาสาระของการแสดง สะท้อนสัจธรรมที่ ปลูกฝังยึดมั่นในคำสอนของศาสนา แสดงได้ทุกสถานที่ ไม่เน้นเวที ฉาก เพราะความโดดเด่นที่เป็น เอกลักษณ์ของภารตะนาฏยัม คือลีลาการเต้น และการร่ายรำ ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดง ในวงดนตรีจะมีผู้ขับร้อง 2 คน คนหนึ่งจะตีฉิ่ง คอยให้จังหวะแก่ผู้ เต้น อีกคนจะเป็นผู้ขับร้องและตีกลอง ส่วนเครื่องดีด และเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย เป็นเพียงส่วนประกอบให้ เกิดความไพเราะเท่านั้น เครื่องแต่งกาย ในสมัยโบราณ ไม่สวมเสื้อ สวมแต่ผ้านุ่งยาวแค่เข่า ใส่เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไล ข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน ปละเครื่องประดับที่ศีรษะ ปัจจุบันสวมเสื้อ ยึดหลักการแต่งกายสตรีที่ เป็นชุดประจำชาติของอินเดีย
กถักกฬิ เป็นการแสดงละครที่งดงามด้วยศิลปะการ่ายรำแบบเก่าๆ ผู้แสดงจะต้องสวมหน้ากาก นับว่าเป็นต้นเค้า ของนาฏศิลป์ตะวันออก เช่น ละครโน้ะของญี่ปุ่น โขนของไทย และนาฏศิลป์อินโดนีเซีย
การแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน แบ่งตัวละครออกเป็นประเภท คือ ประเภทแรกจะเป็นเทพเจ้าที่มี คุณธรรมสูง เช่น พระนารายณ์ พระอินทร์ เป็นต้น ประเภทที่สองจะเป็นมนุษย์ และวีรบุรุษ เช่น พระราม พระ ลักษณ์ ประเภทที่สามจะเป็นตัวละครที่มีความชั่วร้าย จุดเด่นของการแสดงละครกถักกฬิอยู่ที่การเล่นจังหวะ กระทบเท้าอย่างรวดเร็ว ฉับไว แม่นยำ และลีลาที่หมุนตัวเป็นเอกลักษณ์ของระบำกถักกฬิ ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงที่สำคัญที่สุด คือ กลอง นอกจากนี้ยังมีเครื่องสีที่มีลักษณะคล้าย ไว โอลีน เรียกว่า “ซารองงี” บรรเลงทำนองด้วย มีนักร้อง 1 คน เครื่องแต่งกาย ตังละครชาย นุ่งกางเกงขายาว จีบรอบเอว มีผ้าคาดเอว ไม่สวมเสื้อ ตัวละครที่ แสดงเป็นผู้หญิง แต่งกายเป็นชุดประจำชาติสตรีอินเดีย ปัจจุบันปรับปรุงการแต่งกายให้งดงาม เป็นผ้าไหม ขลิบทองเป็นชุดกระโปรงยาว ใส่เสื้อสวมส่าหรีทับเสื้อ สวมเครื่องประดับ
มณีปุรี เป็นการแสดงละครของชาวไทยอาหม ในรัฐอัสสัม ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวมองโกล เรียกเมืองหลวง ของตนว่า “มณีปุระ”และเรียกการแสดงละครของเมืองนี้ว่า “มณีปุระ”
การแสดง ผู้แสดงจะต้องมีความสามารถ มีฝีมือ ได้รับการฝึกหัดจนเกิดทักษะในการแสดง เพราะ เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงเป็นศิลปะเก่าแก่ประจำชาติ รูปแบบของการแสดงมีสองรูปแบบ คือ ระบำกับละคร เนื้อ เรื่องที่แสดงนำมาจากวรรณคดี ส่วนมากนิยมแสดงเรื่องพระกฤษณะ ตอนความรักของนางราธากับพระ กฤษณะ ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงมณีปุรี ได้แก่ กลอง ขลุ่ย สังข์ แตร ฉาบ และเครื่องสายที่สร้าง ทำนองเพลงอันไพเราะ เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกาย ชุดเครื่องแต่งกายระบำราสลีลา ที่เรียกว่า “ภูมิล” เป็นชุดของผู้หญิง กระโปรง ยาวคล้ายสุ่ม ช่วงเอวสวมผ้าอีกชิ้น คล้ายกระโปรงสั้น เหมือนร่มกางแผ่รอบเอว สวมเสื้อกำมะหยี่แขนสั้น คาดเอวด้วยผ้าปัก สวมเครื่องประดับ ใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้า
ยัคชากานา บายาลาตะ ยัคซากานาเป็นรูปแบบนาฏศิลป์การละคร มีลีลาการเคลื่อนไหวอันหนักแน่นและมีคำพรรณนาเป็นบทกวี จากมหากาพย์อินเดีย มีการก้าวตามจังหวะฟ้อนรำเป้นของตนเองเท่านั้น การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกาย แบบ อาฮาระยะ อภินะยะ หรูหรางดงามและสดใส
ชะฮู เป็นนาฏศิลป์ที่ผสมผสานระหว่างคลาสสิกแท้กับระบำพื้นเมืองทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เป็นของถิ่นใดๆ โดยเฉพาะ แต่เป็นของ 3 รัฐ คือ รัฐพิหาร รัฐโอรสสา และรัฐเบงกอล
ดันดิยาราส เป็นรูปแบบการเต้นพื้นบ้านดั้งเดิมที่นิยมมากที่สุดในรัฐคุชราต เป็นการเต้นโดยเฉพาะในเทศกาลนวราตี ซึ่งชาวฮินดูจะไปวัดเพื่อบูชาเทวีในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็จะมีการฉลองด้วยการเต้นรำกันอย่าง สนุกสนาน
ดันดิยาราส มีกำเนิดมาจากการเต้น กรรบา เพื่ออุทิศถวายแด่เทวีทุรคา เป็นการล้อเลียนการต่อสู้ ระหว่างเทวีทุรคา และมหิงสาสูร ราชาอสูรผู้ทรงอำนาจ ซึ่งใช้ไม้แทนดาบจริงๆ ก่อนเต้นจะมีพิธีบูชาเทวีทุร คา ที่เรียกว่า อารตี (AARTI) เป็นการแสดงเพื่อยกย่องพระเกียรติของพระนางดันดิยาราส นั้นต้องเต้นกัน เป็นกลุ่ม มีทั้งชายและหญิง สวมเครื่องแต่งกายที่สวยงามอลังการพร้อมไม้ดันดิยาที่หลากสีสรร เรียกว่า ระบำไม้ (STICK DANCE) เพราะคำว่า ดันดิยา (DANDIYA) หมายถึง แท่งไม้ โดยมากมักมีความยาว ประมาณ 18 นิ้ว ทำจากไม้ไผ่ ทาสี ตกแต่งให้สวยงาม ผู้แสดงจะถือไม้นี้ไว้ในมือทั้งสองข้าง และตีกระทบกัน หมุนเป็นวงไปรอบๆ ตามเสียงดนตรี ในการเต้นดันดิยาราส จะเต้นเป็นวง 2 วง ของชายและหญิงซ้อนกัน วงหนึ่งเต้นทวนเข็มนาฬิกา และ อีกวงเต้นตามเข็มนาฬิกา เต้นวนเป็นวง โดยแต่ละคนถือแท่งไม้ 2 อัน ในมือสองข้างแล้วตีไม้กระทบกันเป็น จังหวะ ทั้งบนและล่าง ไปตามเสียงกลองผสานกับเสียงกระทบไม้เป็นระยะ
ละครโนะ ละครโนะ เป็นละครที่เก่าแก่ที่สุด แต่เดิมจัดแสดงตามวิหาร มีกฎข้อบังคับเคร่งครัดมาก แสดงเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้า การ แต่งกายงดงาม ผู้แสดงจะสวมหน้ากาก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่าทางการเคลื่อนไหวล้วนมีความหมายทั้งสิ้นแต่เดิมแสดง ใต้ร่มไม้ ต่อมาทำเวทีอย่างง่ายๆ เป็นเวทีสี่เหลี่ยมคนดูดูได้รอบ จัดฉากง่ายๆ เขียนรูปต้นสนและไม้ไผ่ไว้ห่างๆ และมีสนสาม กิ่งยื่นออกมาเพื่อรักษาสภาพเดิมที่เคยแสดงใต้ร่มไม้ ถือว่าเป็นการแสดงชั้นสูง
ละครคาบูกิ ละครคาบูกิ เป็นละครที่ได้รับความนิยมมาก ผสมผสานระหว่างละครโนะและ ละครหุ่นบุนรากุ การแสดงมีทั้งการร้องและการพากษ์ ท่าทางการแสดงมีแบบแผนที่เคร่งครัด เรื่องที่แสดง เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ศาสนาและเทพนิยาย ใช้ผู้ชายแสดงล้วนแต่งกายด้วยสีสันฉูดฉาด มีการเขียนหน้า คล้ายงิ้ว การแต่งหน้ามีแบบแผนตายตัว กำหนดว่าสีใดเป็นของตัวละครใด เช่นผู้ร้ายหน้าสีน้ำเงิน พระเอก หน้าสีขาว
ละครเคียวเง็น ละครเคียวเง็น เป็นการแสดงละครตลกสลับฉาก ลักษณะคล้ายกับจำอวดของไทย เป็นละครเสียดสีเรื่องราวชวนหัว ทั้งคำ พูดและการแสดง เนื้อเรื่องที่แสดงไม่มีการฝึกซ้อม ใช้ความรู้สึกตามธรรมชาติ
ละครหุ่นบุนรากุ ละครหุ่นบุนรากุ เป็นการแสดงที่นิยมและแพร่หลายที่สุด เป็นหุ่นที่สร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม ขนาดเกือบเท่าคนจริง เคลื่อนไหวได้แทบทุกส่วน เรื่องที่แสดงมักแสดงเรื่องเดียวกับละครโนะ
ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์จีน นาฏศิลป์จีนเกิดจากระบำทรงเจ้าในพิธีทางศาสนาหรือเรียกว่า \"รามาอู๋อู\" นับเป็นศิลปะที่เก่าแก่มากที่สุด จุดประสงค์ในการแสดง เพื่อบำบัดภัยอันตรายจากธรรมชาติ บำบัดความเจ็บไข้ และความทุกข์ทั้งปวง ในสมัยราชวงศ์โจวศิลปะทางนาฏศิลป์ของจีนมีหลากหลาย เช่น ละครใบ้ ละครตลก การขับกล่อม การเล่า นิทานประกอบดนตรี เพลงพื้นบ้าน นาฏศิลป์มีทั้งที่เป็นของชาวบ้าน และในราชสำนัก แต่เจริญสูงสุดใน ราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรณ \"มิ่งฮวง\" ทรงเชี่ยวชาญนาฏศิลป์ และการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดตั้งวิทยาลัย การละครในพระราชอุทยานสวนสน นครเชียงอาน ทรงอุปถัมภ์ค้ำจุนนาฏศิลป์ทุกแขนง ชาวนาฏศิลป์จีน ยกย่องท่าเป็นบิดาแห่งการละคร และบูชาพระพุทธรูปก่อนการแสดงทุกครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล การแสดงนาฏศิลป์จีนโบราณจะไม่มีฉากใช้วิธีสมมุติ ผู้แสดงต้องรับการฝึกเป็นระยะเวลานาน เพราะต้อง ฝึกร้องเพลง เต้นระบำ ฝึกกายกรรม ผู้แสดงต้องมีพรสวรรค์ มีความสามารถรอบด้าน ความจำดีเป็นเยี่ยม ต้องจำบทเจรจาได้ เพราะการแสดงนาฏศิลป์จีนจะไม่มีการบอกบท
ศิลปะการแต่งหน้านาฏศิลป์จีนถือเป็นศิลปะขั้นสูงมาก เพราะเป็นการบอกลักษณะนิสัยตัวละคร เช่น สีดำ หมายถึง ความโกรธ ฉุนเฉียว สีแดง หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ สีนำเงิน หมายถึง ความโหดร้าย สีขาว หมายถึง ความสง่า ภาคภูมิ สีเหลือง หมายถึง ความดี สีเขียว หมายถึง ความชั่วร้าย สำหรับตัวละครที่เป็นผู้หญิง ใช้ผู้ชายแสดงแทน โดยมีคตินิยมว่า ผู้ชายถ้าแสดงได้สมบทบาทแล้ว จะดูดีกว่า ให้ผู้หญิงจริงๆ แสดง ต่อมาจนถึงสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงปรับปรุงลีลาท่ารำของการแสดงให้นุ่มนวล ผสมกลมกลืนกับ ศิลปะหลายแขนง ได้แก่ ดนตรี ขับร้อง นาฏลีลา การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งปัจจุบันจะหาชมได้จาก อุปรากรจีน (งิ้ว)
การแสดงชุดอุปรากรจีน (งิ้ว) อุปรากรจีนที่เป็นแบบมาตรฐาน และนับเป็นศิลปะประจำชาติ คือ อุปรากรปักกิ่ง ซึ่งการแสดงจะเน้นศิลปะด้านดนตรี การขับ ร้อง นาฏลีลา การแสดงอารมณ์ ศิลปะการต่อสู้กายกรรม ผู้แสดงจะต้องมีพรสวรรค์ น้ำเสียงมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังต้องมี ความอดทนสูงอีกด้วย องค์ประกอบของอุปรากรจีนจะประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
ประเภท และบทบาทตัวละคร ตัวละครชายกับหญิงแบ่งออกเป็น \"บู๊และบุ๋น\" โดยประเภทที่แสดงบู๊จะ ต้องแสดงกายกรรม ส่วนประเภทที่แสดงบุ๋นจะเน้นที่การขับร้อง และการแสดงอารมณ์ แต่ถ้าแสดงบทบาทที่ คาบเกี่ยวกัน จะเรียกตัวละครนั้นว่า \"บู๊บุ๋น\" เทคนิคการแสดง แสดงตามทฤษฎีการเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย มีจังหวะสง่างาม การเคลื่อนไหว ของมือ เท้า การเดิน การเคลื่อนไหวของหนวดเครา ชายเสื้อ ขนนกที่ประดับอยู่บนศีรษะจะคล้ายกับละครใบ้ ใช้ สัญลักษณ์แทนความหมาย เช่น การยกทัพใช้คนถือธงเพียงคนเดียว เดินนำหน้าแม่ทัพ กิริยาอายของสตรีจะ แสดงโดยการยกแขนเสื้อมาบังใบหน้า และการแสดงว่ากำลังนอนก็แสดงโดยวางแขนไว้บนโต๊ะแล้วนอนหนุน แขน เป็นต้น เครื่องแต่งกาย แต่งตามชุดประจำชาติ มีชุดจักรพรรดิ ชุดขุนนาง เครื่องทรงเสื้อเกราะ มงกุฎ จักรพรรดิ หมวกขุนนาง นักรบ รองเท้าเป็นรองเท้าผ้าพื้นเรียบ ผู้แสดงแต่งหน้าเองตามบทบาทที่แสดง
ดนตรี และการขับร้อง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการแสดงอุปรากรจีน ซึ่งเครื่องดนตรีประเภทบุ๋น ประกอบด้วยเครื่องดีด เครื่องสี ที่สำคัญ ได้แก่ ซอ ปักกิ่ง กีตาร์ทรงกลมคล้ายพระจันทร์ แบนโจสามสาย ขลุ่ย ปี่ ออร์แกน แตรจีน ส่วนเครื่องดนตรีประเภทบู๊ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทบู๊ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี และเครื่องกระทบ ได้แก่ กรับ กลองหนัง กลองเตี้ย กลองใหญ่ ฆ้องใหญ่ ฆ้องเล็ก ฆ้องชุด และฉาบ ลักษณะการขับร้องนับว่าเป็นหัวใจสำคัญ เพราะผู้ชมต้องการฟังความไพเราะของการขับร้องเพลงมากกว่าการ ติดตามดูเพื่อให้ทราบเนื้ อร้อง เวที ฉาก และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง สมัยโบราณเวทีมักสร้างด้วยอิฐ หิน เรียกว่า \"สวนน้ำชา\" หรือ \"โรงน้ำชา\" เวทีชั่วคราวสร้างด้วยไม้รูปสี่เหลี่ยม มีหลังคา ยึดด้วยเสา 4 ตัว พื้นเวทีปูด้วยเสื่อหรือพรม อุปกรณ์ โต๊ะ 1 ตัว เก้าอี้ 2 ตัว ไม่มีม่านด้านหน้า อาวุธ เช่น ดาบ หอก ธนู หลาว ทวน กระบอง
ระบำหมวก ระบำหมวก เวียดนาม หมวกรูปทรงกรวยที่เรียกว่า“นอนล้า” และชุดแต่งกายที่เรียกว่า“อาวหยาย” (ÁO DÀI)เป็น สิ่งของและการแต่งกายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การแสดงระบำหมวกจึงแสดงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของชาวเวียดนามอย่าง ชัดเจน
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: