ภมู ปิ ญญาไทย 4 ภาค นาย ณฐั ดนยั ต๊ะวนั ม.5/4 เลขที9
ภมู ปิ ญญาภาคเหนอื
โคมลอย โคมลอยเป็นช่อื เคร่ืองตามไฟชนิด หน่ึงท่ีจดุ ไฟแลวปลอยใหลอยไปใน อากาศ เป็นบอลลนู ลมรอนขนาด เลก็ อยา งหน่ึง มกั ทําจากไมไผตัง้ เป็ นโครงติดกระดาษสาทาน้ํ ามนั ขางในใสเ ทยี นหรือเช้ือเพลงิ แลวจดุ ความรอ นจะกอ อากาศภายในโคม โคมจงึ เบาข้ึนจนคอ ย ๆ ลอยไปใน อากาศ เพราะฉะนัน้ โคมลอยจึง ลอยไดเ ทา ทเี่ พลิงยงั ไมมอด เม่ือ มอดแลวกต็ กลงสพู ้ืนโลกดงั เดิม
ร่มบอ่ สร้าง รม บอ สราง เป็นสินคา พ้ืนเมืองท่ี ไดร ับความนิยมอยา งมากในหมูน ัก ทอ งเทยี่ วทงั้ ชาวไทยและชาวตาง ประเทศ สาเหตุที่เรยี กวา รม บอ สรา งเพราะรม นี้ผลิตกันที่บานบอ สราง สมัยกอ นชาวบา นจะทํารม กัน ใตถ ุนบา น แลว นําออกมาวางเรียง รายเตม็ กลางลานบา นเพ่ือผ่งึ แดด ใหแหง
งานจกั สาน เคร่อื งจักสานของภาคเหนือทีม่ ีเอกลักษณ เฉพาะถิน่ โดดเดน อีกอยางหน่ึงคือ น้ําทงุ หรอื น้ําถุง เป็นภาชนะสานดวยไมไผ ยาดวยชนั และน้ํามันยาง ใชส ําหรับตกั น้ําจากบอน้ํา รปู รางของน้ําทุงเหมาะสมกบั ประโยชนใชสอย เป็นอยา งดี คอื มลี ักษณะคลา ยกรวยป อมๆ สวนกน มนแหลม ปากมีไมไขวกนั เป็นหู สาํ หรับผูกกับเชอื กเพ่อื สาวน้ําทงุ ข้ึนมาจาก บอ น้ํา
ภมู ปิ ญญาภาคกลาง
บ้านเรือนไทย เรอื นไทย ทีแ่ ตเ ดมิ ที่นิยมใชวสั ดุจาํ พวกไม ไปจนถงึ เคร่อื งกอ อฐิ ถอื ปนู โดยมลี ักษณะรว มทเี่ หมอื นหรือ แตกตางกันไปตามแตละท่ี ไดแ ก เรือนไทยภาค เหนือ เรือนไทยภาคกลาง เรอื นไทยภาคอสี าน และ เรือนไทยภาคใต ซ่งึ ลวนสอดคลอ งกบั การดํารงชวี ิต ของคนไทยในสมัยกอ นและแสดงออกถงึ ภมู ิปัญญา ไทย ทงั้ นี้องคป ระกอบท่ีมีผลตอ รูปแบบเรือนไทยมี ทงั้ เร่อื งสภาพแวดลอม ภมู ศิ าสตร ภมู อิ ากาศ อาชีพ ฐานะความเป็นอยู คตคิ วามเช่อื และศาสนาในแตละ ภมู ภิ าค
โอ่งมังกร โองมงั กร มลี กั ษณะเป็นลวดลายมงั กรจากตํารา รอบโอง มที ัง้ แบบทว่ี าดดว ยสหี รอื ปั้นข้ึนรปู นนู ต่ํา ออกจากผิวโอง ขนาดความสงู สวนใหญป ระมาณ 0.5 เมตรถึง 1.5 เมตร เดมิ ทเี ป็นสนิ คาท่ตี อ งนํา เขา จากทางประเทศจีนแตภ ายหลังไดมกี ารทดลอง ทาํ ข้ึนภายในประเทศเพ่อื ใหสามารถรองรบั ความ ตอ งการใชโ องมังกรภายในประเทศและแกปัญหา การนําเขา สินคา จากจนี ที่เป็นไปดว ยความลําบาก ในชว งสมยั หลังสงครามโลกครงั้ ทส่ี อง
การแขง่ เรอื ยาว ประเพณีแขงเรอื เป็นการละเลน ท่ีสอดคลอ งกับวิถชี ีวติ ความเป็นอยูของชาวไทยในชนบทถ่นิ ท่ีอยอู าศัยใกลน ้ํา ในชวงเดือนสบิ เอด็ และเดือนสบิ สอง ชาวบา นเวนวาง จากการทําไรทํานา เป็นโอกาสที่หนุมสาวไดพบปะเกีย้ ว พาราสกี นั ไดเห็นฝีไมล ายมอื ของชายอกสามศอก ได เห็นความสามคั คพี รอมเพรียงของเหลาหนุมฝีพาย การ แขง เรือมักมีการเลนเพลงเรือ เพลงปรบไก เพลงคร่ึง ทอ น และสกั วาโตต อบกนั ระหวา งหนุมสาวหลงั การแขง เรือ เป็นการใชฝีปากไหวพริบและความเป็นเจา บทเจา กลอน โตตอบเกีย้ วพาราสกี นั ไดแสดงความสามารถทัง้ หญิงและชาย ผูด ูมที งั้ อยูบ นตลงิ่ และทพ่ี ายเรอื กนั ไป เป็นหมู ตา งสนกุ สนานกันทวั่ หน า
ภมู ปิ ญญาภาคใต้
หนังตะลงุ หนังตะลุง คือ ศลิ ปะการแสดงประจําทอ งถ่ิน อยางหน่ึงของภาคใต เป็นการเลา เร่อื งราวทีผ่ ูก รอยเป็นนิยาย ดาํ เนินเร่ืองดว ยบทรอ ยกรองท่ี ขับรอ งเป็นสาํ เนียงทองถ่ิน หรือทเ่ี รยี กกัน วา การ \"วาบท\" มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใชก ารแสดงเงาบนจอผา เป็นสง่ิ ดงึ ดดู สายตาของผชู ม ซ่ึงการวาบท การสนทนา และ การแสดงเงานี้ นายหนังตะลงุ เป็นคนแสดงเอง ทัง้ หมด
หมาตกั นาํ หมาตักน้ํา เป็นของใชอ ยางหน่ึงของชาวนครศรีธรรมราช ใช สําหรับตกั น้ํา จากหว ย หนอง คลอง สระ ในการทําหมาตักน้ํานัน้ ชาวบานทางใตนิยมทาํ \" หมาจาก\" มากกวา ชนิดอ่ืน ๆ คาํ วา \"หมา\" นี้ บางทีก็เรียก ติหมา หรือ ตีหมา ผรู ู กลา ววาไมใชคําไทยแท แตเ ป็นคําที่มาจากภาษามลายู คอื คาํ วา Timba ซ่ึงหมายถึงภาชนะตักน้ําทท่ี าํ จากใบจาก หรือ กาบ หมา ติหมา ตีหมา เป็นภาชนะตกั น้ําอยา งหน่ึงของชาว ภาคใต ทําดว ยกาบหรือใบของพชื ตระกลู ปาลม ท่หี าไดใ นทอง ถนิ่ การเรยี กช่ือบางครัง้ จึงมชี ่ือของพชื ท่นี ํามาเป็นวสั ดุทาํ ตอ ทายดวย
ตปู ะ ขา วตมใบกะพอ บา งเรียก ขาวตม พวง ภาษาไทยถ่ินใต เรียก ขนมตม หรอื ตม[1] ภาษาอนิ โดนีเซยี และมลายู เรยี ก เกอตปู ัต (อกั ษรโรมัน: ketupat) ภาษามลายูปัตตานี เรยี ก ตปู ะ หรือ ตูปัต[2] สว นสาํ เนียงสะกอมเรียก กะตม เป็นอาหารวางอยางหน่ึงทางตอนใตของประเทศไทย และ ยงั พบในบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซยี ฟิลิปปินส (ซ่ึงเรยี ก วา ปโู ซในภาษาเซบวั โน บุกโนยในภาษาฮิลไิ กนอน ปาตปู ัต ในภาษากาปัมปางัน และภาษาปางาซนี ัน หรอื ตะอม ใู น ภาษาเตาซุก) และสิงคโปร
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: