3. การสมรส ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1457 บัญญัติว่า \"การสมรส ตามประมวลกฎหมายนี้ จะมีได้เฉพาะเม่ือได้ จดทะเบียนแล้วเท่าน้ัน\" ถ้าไม่จดทะเบียน กฎหมาย ไม่ถือว่ามกี ารสมรส
4. การหย่า 4.1 การหย่าโดยความยินยอมของท้งั สองฝ่ าย จะสมบูรณ์ต่อเม่ือสามีและภรรยาได้จดทะเบียน การหย่าน้ันแล้ว
4.2 การหย่าโดยคาพพิ ากษาของศาล จะมี ผลนับต้ังแต่วันที่คาพพิ ากษาถึงที่สุด แต่จะอ้าง เป็ นเหตุเส่ือมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทาการ โดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการ หย่าน้ันแล้ว
5. การเพกิ ถอนการสมรส จะมไี ด้โดยคา พพิ ากษาของศาลเท่าน้ัน การสมรสที่ได้มีคาพพิ ากษาให้เพิกถอนน้ัน ให้ ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คาพิพากษาถึงที่สุด แต่จะ อ้างเป็ นเหตุเส่ือมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทาการ โดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิก ถอนการสมรสน้ันแล้ว
6. การรับบุตรบุญธรรม บุคคลที่มีอายุไม่ต่า กว่า 25 ปี จะรับบุคคลอ่ืนเป็ นบุตรบุญธรรมก็ได้ แต่ผู้ น้ันต้องมีอายุแก่กว่าผู้ท่ีจะเป็ นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ ต่ อเม่ือได้ จด ทะเบียนตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้จะเป็ นบุตรบุญธรรมน้ัน เป็ นผู้เยาว์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็ น บุตรบุญธรรมก่อน
7. การเลกิ รับบุตรบุญธรรม ถ้าบุตรบุญธรรม บรรลุนิตภิ าวะแล้ว จะเลกิ รับบุตรบุญธรรมโดยความตก ลงกันในระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรม เม่ือใดก็ได้ ถ้าบุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ การ เลิกรับบุตรบุญธรรมจะทาได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอม ของบิดาและมารดา การเลกิ รับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ ต่อเม่ือได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
8. การรับรองบุตร เด็กเกิดจากบิดามารดาท่ีมิได้ สมรสกัน ย่อมเป็ นบุตรท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็ น บุตรทช่ี อบด้วยกฎหมายได้ในกรณี 8.1 บดิ ามารดาได้สมรสกนั ในภายหลงั 8.2 บดิ าได้จดทะเบยี นว่าเป็ นบุตร 8.3 ศาลพพิ ากษาว่าเป็ นบุตร
8.1 บิดามารดาได้สมรสกนั ในภายหลงั จะเป็ นบุตรชอบด้วยกฎหมายนับต้ังแต่วัน สมรส 8.2 บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็ นบุตร จะเป็ นบุตรทชี่ อบด้วยกฎหมายนับต้งั แต่วนั จดทะเบียน
8.3 ศาลพพิ ากษาว่าเป็ นบุตร จะเป็ น บุตรชอบด้วยกฎหมายนับแต่วันมีคาพิพากษาถึง ที่สุ ด แต่ ท้ังนี้จะอ้ างเป็ นเหตุเส่ื อมสิ ทธิของ บุคคลภายนอกผู้ทาการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นจะได้ จดทะเบยี นเดก็ เป็ นบุตรตามคาพพิ ากษา
ความสามารถ 1. ความสามารถในการมีสิทธิ 2. ความสามารถในการใช้สิทธิ
บุคคลทหี่ ย่อนความสามารถ 1. ผู้เยาว์ 2. คนไร้ความสามารถ 3. คนเสมือนไร้ความสามารถ
ผู้เยาว์ การบรรลนุ ิตภิ าวะของผู้เยาว์ 1. บรรลุนิติภาวะโดยอายุ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์ และบรรลุนิติภาวะเม่ือมอี ายุ 20 บริบูรณ์ 2. บรรลนุ ิตภิ าวะโดยการสมรส ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะ เม่ือทาการสมรส หากการสมรสน้ันได้ทาเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปี บริบูรณ์แล้ว
ผู้เยาว์ทานิตกิ รรม ผู้เยาว์จะทานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความ ยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ท่ี ผู้เยาว์ ได้ ทาลงปราศจากความยินยอมเช่ นว่ าน้ัน เป็ นโมฆียะ เว้นแต่จะบญั ญัติไว้เป็ นอย่างอ่ืน
ใครเป็ นผู้แทนโดยชอบธรรม 1. ผู้ใช้อานาจปกครอง เป็ นผู้แทนโดย ชอบธรรมของบุตร ผู้ใช้อานาจปกครอง ได้แก่ บดิ ามารดาของบุตร
2. ผู้ปกครอง ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา หรือ บิดามารดาถูกถอนอานาจปกครอง กอ็ าจมีการต้งั ผู้อ่ืนเป็ นผู้ปกครองได้ ผู้ปกครองน้ันให้ต้ังโดย คาส่ังศาล เม่ือมีการร้องขอของญาติของผู้เยาว์ อัยการ หรือผู้ซ่ึงบิดาหรือมารดาที่ตายทีหลังได้ ระบุชื่อไว้ในพนิ ัยกรรมให้เป็ นผู้ปกครอง
การให้ความยนิ ยอมของผู้แทนโดย ชอบธรรม จะทาอย่างไรกไ็ ด้ เช่น ให้ความยนิ ยอม เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ด้วยวาจา หรือให้ความ ยนิ ยอมโดยปริยาย
ผู้ แ ท น โ ด ย ช อ บ ธ ร ร ม ต้ อ ง ใ ห้ ค ว า ม ยนิ ยอมเมื่อใด ก า ร ใ ห้ ค ว า ม ยิน ย อ ม ข อ ง ผู้ แ ท น โ ด ย ช อ บ ธรรมน้ัน ต้องให้ก่อนท่ีผู้เยาว์ทานิติกรรม หรืออย่างช้ าขณะท่ีผู้เยาว์ทานิติกรรม ถ้าให้ ความยินยอมภายหลัง ถือว่าเป็ นการให้ สัตยาบนั
ผลของการทผี่ ู้เยาว์ทานิตกิ รรมโดยไม่ได้รับ ความยนิ ยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม เม่ือผู้เยาว์ทานิติกรรมโดยได้รับความยินยอมของ ผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ ได้ตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้เยาว์ทานิติกรรมโดยไม่ได้รับ ความยนิ ยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม นิตกิ รรมย่อมเป็ น โมฆยี ะ
การให้สัตยาบนั แก่โมฆียะกรรม นิติกรรมที่เป็ นโมฆยี ะนีอ้ าจสมบูรณ์ได้ ด้วยการให้สัตยาบัน การให้สัตยาบัน คือ การรับรองว่านิติ กรรมน้ันมผี ลสมบูรณ์
นิติกรรมท่ีเป็ นโมฆียะ อาจจะสมบูรณ์ได้อกี ทาง หน่ึงคือโดยอายคุ วาม 1. ไม่มกี ารบอกล้างโมฆยี ะกรรมนีภ้ ายในกาหนด 1 ปี นับแต่เวลาทอี่ าจให้สัตยาบนั ได้ 2. ไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ภายในกาหนด 10 ปี นับแต่เวลาทไ่ี ด้ทานิติกรรมอนั เป็ นโมฆยี ะ
นิตกิ รรมทผี่ ู้เยาว์สามารถทาได้ตามลาพงั ตนเอง 1. นิติกรรมท่ีทาให้ผู้เยาว์ได้ไปซ่ึงสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือนิติ กรรมทที่ าให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าทอี่ นั ใดอนั หนึ่ง 2. นิติกรรมทผี่ ู้เยาว์ต้องทาเองเฉพาะตวั 3. นิติกรรมซ่ึงเป็ นการสมแก่ฐานานุรูป และจาเป็ นในการดารง ชีพตามสมควรของผู้เยาว์ 4. ผู้เยาว์ทาพนิ ัยกรรม 5. ผู้เยาว์ประกอบธุรกจิ การค้าหรือทาสัญญาเป็ นลูกจ้าง
1.1 นิตกิ รรมทที่ าให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอนั ใดอนั หน่ึง 1.2 นิตกิ รรมทที่ าให้ผู้เยาว์หลดุ พ้นจาก หน้าทอ่ี นั ใดอนั หนึ่ง ไม่ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม
2. นิติกรรมท่ีผู้เยาว์ต้องทาเอง เฉพาะตัว ไม่ต้องขออนุญาตจาก ผู้แทนโดยชอบธรรม เช่น การรับรอง บุตร
3. นิติกรรมซ่ึงเป็ นการสมแก่ ฐานานุรูป และจาเป็ นในการดารง ชีพตามสมควรของผู้เยาว์ ไม่ต้อง ขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม
4. ผู้เยาว์ทาพนิ ัยกรรม ผู้เยาว์อาจ ทาพนิ ัยกรรมได้เม่ือมีอายุ 15 ปี บริบูรณ์ โดย ไม่ ต้ องข ออนุ ญา ตจากผู้ แท นโดยชอบธรร ม ถ้าผู้เยาว์ทาพินัยกรรมโดยมีอายุไม่ถึง 15 ปี บริบูรณ์ พนิ ัยกรรมย่อมตกเป็ นโมฆะ
5. ผู้เยาว์ประกอบธุรกิจการค้า หรือทาสัญญาเป็ นลูกจ้าง ในกรณี ผู้เยาว์ประกอบธุรกิจทางการค้าหรือธุรกิจอ่ืน หรือในการทาสัญญาเป็ นลูกจ้างในสัญญาจ้าง แรงงานต้องเป็ นไปตามทก่ี ฎหมายกาหนดไว้
คนไร้ความสามารถ
หลกั เกณฑ์ของการเป็ นคนไร้ความสามารถ 1. ต้องเป็ นอย่างมาก คือวกิ ลจริตชนิดท่ี พูดจาไม่รู้เรื่อง 2. เป็ นอยู่ประจา คือวกิ ลจริตอยู่สม่าเสมอ
บุคคลทมี่ สี ิทธิร้องขอให้ศาลมคี าสั่งให้บุคคลวกิ ลจริตเป็ น คนไร้ความสามารถ 1. คู่สมรส 2. ผู้บุพการี กล่าวคือ บิดา มารดา ป่ ู ย่า ตา ยาย ทวด 3. ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ 4. ผู้ปกครอง หรือผู้พทิ กั ษ์ 5. ผู้ซ่ึงปกครองดูแลบุคคลน้ันอยู่ 6. พนักงานอยั การ
เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งใน 6 ประเภทนีร้ ้องขอ ต่อศาล ศาลจะใช้ดุลยพนิ ิจไต่สวน ถ้ามีหลกั ฐาน เพียงพอและมีเหตุผลสมควรแล้ว ศาลก็จะส่ังให้ บุคคลวิกลจริตน้ันเป็ นคนไร้ความสามารถ และให้ โฆษณาคาส่ังของศาลในราชกิจจานุเบกษา การ เป็ นคนไร้ความสามารถเริ่มต้งั แต่วนั ที่ศาลมคี าสั่ง
ผลของการเป็ นคนไร้ความสามารถ 1. ต้องอยู่ในความอนุบาล 2. ถูกกฎหมายจากดั ความสามารถใน การทานิติกรรม
1. ต้องอยู่ในความอนุบาล 1.1 ผู้เยาว์เป็ นคนไร้ความสามารถ ผู้ใช้อานาจ ปกครองย่อมเป็ นผู้อนุบาล ผู้ใช้อานาจปกครอง ได้แก่ บิดามารดาของบุตร ถ้าผู้เยาว์ไม่มบี ิดามารดา หรือบดิ า มารดาถูกถอนอานาจปกครอง ผู้ปกครองย่อมเป็ นผู้ อนุบาล หรือศาลจะมีคาสั่งต้ังผู้อื่นซ่ึงมิใช่ผู้ใช้อานาจ ปกครองหรือผู้ปกครองเป็ นผู้อนุบาลกไ็ ด้
1.2 บุคคลซ่ึงบรรลุนิติภาวะและไม่มี คู่สมรสเป็ นคนไร้ความสามารถ ให้บิดา มารดา หรือบิดาหรือมารดาเป็ นผู้อนุบาล แล้วแต่กรณี เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็ นอย่างอ่ืน
1.3 สามีหรือภรรยาเป็ นคนไร้ ความสามารถ ภรรยาหรือสามีย่อม เป็ นผู้อนุบาล แต่เม่ือผู้มีส่วนได้เสียหรือ อยั การร้องขอ และถ้ามีเหตุสาคญั ศาลจะ ต้งั ผู้อ่ืนเป็ นผู้อนุบาลกไ็ ด้
2. ถูกกฎหมายจากัดความสามารถ ในการทานิตกิ รรม การใด ๆ อนั บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็ นคน ไร้ความสามารถ ได้กระทาลง การน้ันเป็ น โมฆยี ะ
คนไร้ ความสามารถทาละเมิด คนไร้ความสามารถต้องรับผิดในผลที่ ตนทาละเมิด โดยผู้อนุบาลต้องรับผิดร่วมด้วย เว้นแต่จะพสิ ูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวัง ตามสมควรแก่หน้าทด่ี ูแลซึ่งทาอยู่น้ัน
คนไร้ความสามารถทาพนิ ัยกรรม ถ้าคนไร้ความสามารถทาพนิ ัยกรรม พนิ ัยกรรมย่อมตกเป็ นโมฆะ
คนไร้ความสามารถทาการ สมรส การสมรสย่อมตกเป็ น โมฆะ
การสิ้นสุดของการเป็ นคนไร้ ความสามารถ การเป็ นคนไร้ความสามารถสิ้นสุดลง เม่ือเหตุทที่ าให้เป็ นคนไร้ความสามารถได้ สิ้นสุดลงไปแล้ว
ผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลถอนคาส่ังการเป็ นคนไร้ความสามารถ 1. คนไร้ความสามารถน้ันเอง เมื่อหายจากวกิ ลจริต 2. คู่สมรส 3. ผู้บุพการี กล่าวคือ บดิ า มารดา ป่ ู ย่า ตา ยาย ทวด 4. ผ้สู ืบสันดาน กล่าวคือ ลกู หลาน เหลน ล่ือ 5. ผู้ปกครอง หรือผู้พทิ กั ษ์ 6. ผู้ซ่ึงปกครองดูแลบุคคลน้ันอยู่ 7. พนักงานอยั การ
คาส่ังของศาลเพิกถอนคาส่ังการ เป็ นคนไร้ความสามารถ ให้โฆษณา ในราชกจิ จานุเบกษา
การสิ้นสุดของการเป็ นคนไร้ ค ว า ม ส า ม า ร ถ เ ร่ิ ม มี ผ ล ต้ั ง แ ต่ เมื่อใด วันที่ศาลมีคาส่ังเพิกถอน คาส่ังการเป็ นคนไร้ความสามารถ
คนเสมือนไร้ความสามารถ
หลกั เกณฑ์ของการเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ 1. มเี หตุบกพร่องบางอย่าง 1.1 กายพกิ าร 1.2 จติ ฟั่นเฟื อน 1.3 ประพฤตสิ ุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็ นอาจิณ 1.4 ตดิ สุรายาเมา 1.5 มเี หตุอื่นทานองเดยี วกนั กบั ทกี่ ล่าวมาแล้วใน 1.1 - 1.4 2. ไม่สามารถจะจดั ทาการงานโดยตนเองได้หรือจัดกจิ การไปในทางทอี่ าจจะเส่ือม เสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัวเพราะเหตุบกพร่องดงั กล่าว
บุคคลทมี่ สี ิทธิร้องขอให้ศาลมคี าส่ังให้บุคคลเป็ นคน เสมือนไร้ความสามารถ 1. คู่สมรส 2. ผู้บุพการี กล่าวคือ บดิ า มารดา ป่ ู ย่า ตา ยาย ทวด 3. ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลกู หลาน เหลน ลื่อ 4. ผู้ปกครอง หรือผู้พทิ กั ษ์ 5. ผู้ซ่ึงปกครองดูแลบุคคลน้ันอยู่ 6. พนักงานอยั การ
เม่ือบุคคลใดบุคคลหน่ึงใน 6 ประเภทนี้ร้องขอ ต่อศาลแล้ว ศาลจะไต่สวนคาร้อง เม่ือปรากฏ ความจริงตามคาร้อง ศาลจะสั่งให้เป็ นคนเสมือน ไร้ความสามารถ คาสั่งของศาลนี้ให้โฆษณาในราช กจิ จานุเบกษา การเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ เริ่มต้งั แต่วนั ทศี่ าลมคี าสั่ง
ผลของการเป็ นคนเสมือน ไร้ความสามารถ 1. ต้องอยู่ในความพทิ กั ษ์ 2. ไม่สามารถทานิติกรรมบางชนดิ
1. ต้องอยู่ในความพทิ กั ษ์ 1.1 ผู้เยาว์เป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ ผู้ใช้ อานาจปกครองย่อมเป็ นผู้พิทักษ์ ผู้ใช้อานาจปกครอง ได้แก่บิดามารดาของบุตร ถ้าผู้เยาว์ไม่มบี ิดามารดา หรือ บิดามารดาถูกถอนอานาจปกครอง ผู้ปกครองย่อมเป็ นผู้ พิทักษ์ หรือศาลจะมีคาส่ังต้ังผู้อ่ืนซึ่งมิใช่ผู้ใช้อานาจ ปกครองหรือผู้ปกครองเป็ นผู้พทิ กั ษ์กไ็ ด้
1.2 บุคคลซ่ึงบรรลนุ ิตภิ าวะและไม่มี คู่สมรสเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถ ให้บดิ ามารดา หรือบดิ าหรือมารดาเป็ นผู้ พทิ กั ษ์แล้วแต่กรณี เว้นแต่ศาลจะส่ังเป็ น อย่างอื่น
1.3 สามีหรือภรรยาเป็ นคนเสมือน ไร้ความสามารถ ภรรยาหรือสามยี ่อมเป็ น ผู้พทิ กั ษ์ แต่เมื่อผู้มสี ่วนได้เสีย หรืออยั การ ร้องขอ และถ้ามีเหตุสาคญั ศาลจะต้ังผู้อ่ืน เป็ นผู้พทิ กั ษ์กไ็ ด้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115