Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงร่างงานวิจัย ครูไกรวัชร 1-2564

โครงร่างงานวิจัย ครูไกรวัชร 1-2564

Published by kraiwatchara, 2021-09-05 05:31:32

Description: โครงร่างงานวิจัย ครูไกรวัชร 1-2564

Search

Read the Text Version

โรงเรยี นปากเกรด็ จงั หวัดนนทบรุ ี - 1 - โครงร่างงานวจิ ยั เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา โครงรา่ ง : งานวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการศึกษา โรงเรยี นปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จงั หวดั นนทบุรี กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชื่อครผู ้วู ิจัย นายไกรวัชร นามสกลุ บวั เทศ...................................... ............................................................. .......................................................... ............................................... ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ -................................................ ....................................................................................... ......................................................... ...................................................................... 1. ขื่อเรื่องงานวิจัย การพฒั นาการให้เหตผุ ลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 ผ่านการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ระเด็นทางสงั คมท่เี กย่ี วเนอ่ื งกับวิทยาศาสตรเ์ ปน็ ฐาน 1.1 เปน็ งานวิจยั ประเภท  1.วิจัย/ผลสัมฤทธิ์ฯ  2.วิจยั /แบบสำรวจ แบบสอบถาม  3.วจิ ัย/พฤติกรรม  4.วจิ ยั /แบบรายบคุ คล กรณีศกึ ษา (Case Study)  5. อน่ื ๆ/ระบุ ................................................................................................................................................................................................... 1.2 ลกั ษณะงานวจิ ยั  1.เพ่อื แก้ปัญหา  2.เพอ่ื ปรับปรุง/พฒั นา  3. อื่นๆ/ระบุ ................................................. 2. ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา (โดยยอ่ ) จากประสบการณ์ของผ้วู ิจยั ทจ่ี ัดการเรยี นการสอนในรายวชิ าวิทยาศาสตรร์ ะดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 พบวา่ เมอื่ ผู้วจิ ยั ใช้คำถามในการจดั การเรียนการสอน นักเรยี นมักตอบคำถามในลักษณะส้ันๆว่า ใช่หรือไม่ใช่ ดี หรอื ไมด่ ี เหมาะสมหรอื ไม่เหมาะสม แตไ่ ม่สามารถหาเหตุผลมาอธบิ ายคำตอบเหล่านน้ั ได้ รวมถึงการให้ นักเรยี นทำแบบฝึกหัดหรอื แบบทดสอบทนี่ กั เรยี นจะต้องเขยี นอธบิ าย พบวา่ นักเรยี นบางส่วนจะใหเ้ หตุผลโดย การทวนคำถาม เชน่ นักเรียนเห็นดว้ ยหรอื ไมก่ ับการสร้างเข่ือนในพ้นื ทป่ี ่าอทุ ยานเพ่อื กักเก็บนำ้ ไวใ้ ช้ตอน หนา้ แล้ง เพราะเหตุใด กจ็ ะมีนกั เรียนสว่ นหนึ่งตอบวา่ “เหน็ ด้วย เพอ่ื กกั เก็บนำ้ ไวใ้ ชต้ อนหนา้ แล้ง” อีกทง้ั นักเรียนบางสว่ นตอบคำถามใชอ้ ารณห์ รือความรู้สึกในการตอบคำถาม เชน่ เม่ือถามวา่ เพราะเหตุใดนักเรยี นจงึ คิดเช่นนนั้ นกั เรียนมักตอบวา่ “จากความรสู้ ึกนา่ จะใช่/ถกู ต้อง” หรือ นกั เรียนเหน็ ด้วยกับคำตอบนเี้ พราะอะไร นักเรียนมักจะตอบวา่ “เห็นด้วยเพราะผลน่าจะเป็นอย่างน้ัน” นอกจากน้ยี ังพบวา่ นกั เรยี นมักตอบคำถามโดย ใหเ้ หตุผลจากสญั ชาตญาณ เชน่ “คำตอบน้ีคิดวา่ ถูกตอ้ ง เพราะเหมือนเคยอา่ นเจอจากอินเตอร์เนต” ซง่ึ คำตอบเหลา่ นไ้ี ม่ได้เปน็ การแสดงเหตุผลทอี่ ยบู่ นพื้นฐานของความเป็นเหตผุ ลทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนไม่แสดง หลักฐานหรือการอา้ งอิงแหลง่ ขอ้ มูลทำใหเ้ หตผุ ลของนักเรียนไมน่ ่าเชอื่ ถอื โดยนักเรยี นยังไมส่ ามารถให้เหตุผล มาสนบั สนนุ ได้แสดงวา่ นกั เรยี นยังไม่มกี ารวิเคราะห์ (Sadler, 2009) จากปัญหาดังกลา่ ว ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยท่เี กี่ยวข้องเพื่อค้นหารปู แบบการจดั การเรียนรูท้ ่ชี ่วยพัฒนา และสง่ เสรมิ การใหเ้ หตผุ ลอยา่ งไม่เปน็ ทางการ โดยผู้วจิ ยั พบว่ารปู แบบการจดั การเรียนรทู้ ี่เปดิ โอกาสให้นักเรยี น

โรงเรยี นปากเกรด็ จังหวดั นนทบรุ ี - 2 - โครงร่างงานวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา ได้แสดงความคดิ เหน็ แลกเปลย่ี นความคดิ ซ่งึ กนั และกันเก่ียวขอ้ งกับการใชป้ ระเด็นหรอื บรบิ ทในสังคมท่มี ีความ เก่ียวเนือ่ งกับวิทยาศาสตร์และยังเป็นประเด็น ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ (Socioscienctific issue) มาใช้ใน การจดั การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ดงั ท่ี Zeidler and Keefer (2003) พบว่าการให้เหตผุ ลอย่างไม่เป็นทางการ และประเด็นปญั หาทางสังคมที่เก่ยี วข้องกบั วทิ ยาศาสตรม์ ีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการเปน็ ผรู้ ู้วิทยาศาสตร์ ไดน้ อกจากนก้ี ารใชป้ ระเด็นปญั หาทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ชว่ ยใหก้ ารเรยี นรู้วิทยาศาสตรเ์ ปน็ การเรยี นร้ทู ่มี คี วามหมายและสอดคลอ้ งกับชีวติ จริงของนกั เรยี น (Sadler and Zeidler, 2004 ) เมือ่ นกั เรียนไดฝ้ ึกการใหเ้ หตุผลรว่ มกับการใช้ประเด็นทางสังคมทเี่ กี่ยวเนอื่ งกบั วทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนจะเริ่มให้เหตุผลซ่ึงแสดงให้ทราบวา่ นกั เรียนเรม่ิ คดิ วเิ คราะห์ (Sadler, 2009) ด้วยเหตุผลดังกล่าวผ้วู ิจยั ในฐานะครผู ู้สอนในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์จึงตระหนักถงึ ความสําคญั ของการ ใหเ้ หตุผลอยา่ งไม่เปน็ ทางการและเกดิ แรงจงู ใจทจี่ ะศกึ ษาความสามารถในการให้เหตผุ ลอยา่ งไม่เปน็ ทางการ ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ซงึ่ ผลการวจิ ัยนส้ี ามารถใช้เปน็ ขอ้ มูลเพื่อให้ครูผ้สู อนออกแบบกิจกรรมที่ ส่งเสริมให้นกั เรียนพัฒนาการให้เหตผุ ลอย่างไมเ่ ป็นทางการในเนื้อหาอ่นื ๆรวมถึงระดบั ชน้ั อืน่ ตอ่ ไป 3. วตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั 1. เพื่อพัฒนาการให้เหตผุ ลอยา่ งไม่เปน็ ทางการของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ผา่ นการจัดการ เรยี นรโู้ ดยใชป้ ระเดน็ ทางสังคมท่เี กี่ยวเน่อื งกบั วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นฐาน 4. ความสำคัญของงานวิจยั 1. ครผู ้สู อนในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ได้แนวทางการจัดการเรียนรทู้ ี่ช่วยพฒั นาการใหเ้ หตผุ ลอยา่ งไม่ เปน็ ทางการของนักเรยี น 2. นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ไดร้ บั การสง่ เสริมและพฒั นาการให้เหตุผลอย่างไมเ่ ป็นทางการ 5. ขอบเขตของการวิจยั 5.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) เป็นนักเรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 14 ห้องเรยี น จำนวนนักเรยี น 582 คน กลมุ่ ตวั อยา่ ง (Samples) เปน็ นกั เรียนระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3/1 โรงเรียนปากเกร็ด ทเี่ รียนในภาคเรียนท่ี 1. ปกี ารศกึ ษา 2564 ที่ไดจ้ ากการสุ่มแบบอย่างง่าย จำนวน 1 ห้องเรยี น จำนวนนักเรียน 36 คน 5.2 ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการวิจัย ดำเนนิ การวจิ ยั ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ระหวา่ งวนั ท่ี 12 กรกฎาคม 2564 ถงึ วนั ท่ี 7 สงิ หาาคม 2564 จำนวน 12 ช่วั โมง

โรงเรียนปากเกรด็ จงั หวัดนนทบรุ ี - 3 - โครงร่างงานวิจัยเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา 5.3 เนอื้ หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั เป็นเน้ือหาวิชา วทิ ยาศาสตร์ 5 รหัสวชิ า ว23101 เรื่อง พนั ธศุ าสตร์ ประกอบด้วย (ถา้ มี) 1) . โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยนี 2) . กระบวนการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 3) . ความผิดปกติทางพนั ธุกรรม 4) . เทคโนโลยีชวี ภาพ 6. เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย (เอกสาร ชุดการเรยี น ชุดการสอน เอกสารประกอบการเรียน ใบความรู้ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ แบบสำรวจ แบบสอบถาม แบบรายงานผลสัมฤทธ์ิ การปฏิบัติ ฯลฯ) 6.1 แบบวัดการใหเ้ หตุผลอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ 6.2 แบบสมั ภาษณแ์ บบไม่เปน็ ทางการ 7. ตวั แปรทีศ่ ึกษา 7.1 ตวั แปรตน้ /ตวั แปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ประเด็นทางสังคมท่ีเกี่ยวเน่ืองกับวิทยาศาสตร์เปน็ ฐาน 7.2 ตวั แปรตาม (dependent Variable) ไดแ้ ก่ การใหเ้ หตุผลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการของนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 8. นยิ ามศพั ทเ์ ฉาะ (ถา้ ม)ี 8.1 การใหเ้ หตผุ ลอย่างไมเ่ ป็นทางการ (Informal reasoning) หมายถึง ความสามารถเฉพาะ บุคคลในการอธิบายหรือแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกบั สาเหตุ ขอ้ ดี-ข้อเสีย ทางเลือกต่าง ๆ รวมถึงการสร้างและ ประเมนิ ประเดน็ ทมี่ คี วามซบั ซอ้ นและยังไมม่ ขี อ้ สรปุ ที่ชดั เจน ซ่งึ การใหเ้ หตผุ ลแบบน้ีมักจะรวมมมุ มองและ ทัศนคติเขา้ ไปดว้ ย ในงานวิจัยนจ้ี ะวัดการให้เหตุผลอยา่ งไม่เป็นทางการของนกั เรียนจากแบบวัดการให้เหตุผล อย่างไมเ่ ป็นทางการที่ผ้วู จิ ยั สร้างขน้ึ และจัดกลมุ่ รปู แบบของการให้เหตผุ ลอยา่ งไม่เปน็ ทางการตามกรอบของ Sadler and Zeidler (2005) เป็น 3 กลุม่ คอื กล่มุ ท่ี 1 การใหเ้ หตผุ ลท่อี ยู่บนพืน้ ฐานของความเป็นเหตเุ ป็นผล โดยลักษณะคาํ ตอบจะมพี ้ืนฐานมาจากการคิดเชงิ เหตแุ ละผล ท้ังในดา้ นของความคุ้มคา่ ประโยชน์ รวมถงึ การ ประเมนิ ทีเ่ กยี่ วข้องกบั ผลที่เกดิ จากเทคโนโลยี กลุ่มท่ี 2 การให้เหตุผลทอ่ี ยู่บนพืน้ ฐานของอารมณ์ ลักษณะ คาํ ตอบจะแสดงเหตุผลทีเ่ กยี่ วข้องกับอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์ เชน่ ความเห็นอกเห็นใจความชอบ กลมุ่ ที่ 3 การใหเ้ หตุผลทีอ่ ยู่บนพ้ืนฐานของสัญชาตญาณ ลักษณะคาํ ตอบในกลุ่มนีจ้ ะสะท้อนให้เหน็ ถึงปฏกิ ิรยิ าของ มนษุ ย์ทีเ่ กดิ ขนึ้ ทนั ทีต่อประเดน็ ที่มคี วามเกี่ยวข้องกับประเดน็ ทางสังคมท่ีเกย่ี วขอ้ งกับวทิ ยาศาสตร์ หลังจากน้นั ผู้วจิ ยั จดั กลมุ่ คุณภาพของการให้เหตุผลอย่างไมเ่ ปน็ ทางการตามกรอบแนวคิดของ Topcu (2008) ท่ี ประกอบด้วย 1) ขอ้ กล่าวอา้ ง 2) เหตุผลสนับสนุนข้อกลา่ วอา้ ง 3) ข้อโตแ้ ย้งท่ีตา่ งออกไป และ 4) เหตุผลเสริม 8.2 การจดั การเรยี นร้โู ดยใช้ประเดน็ ทางสังคมทเ่ี ก่ียวเน่อื งกบั วทิ ยาศาสตร์เปน็ ฐาน (SSI-based teaching) หมายถึง การจัดการเรยี นรู้ท่นี าํ ประเด็นทางสงั คมทเ่ี กยี่ วข้องกบั วทิ ยาศาสตร์และชวี ิตประจําวันของ นกั เรยี นมาอภปิ รายในห้องเรียนในขัน้ นาํ เข้าสู่บทเรียนเพ่ือนําไปส่กู ารต้งั คําถาม การอภิปรายและการใหเ้ หตุผล

โรงเรยี นปากเกรด็ จงั หวัดนนทบรุ ี - 4 - โครงรา่ งงานวิจยั เพ่อื พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา โดยมุง่ เน้นใหน้ ักเรียนมกี ารอภปิ รายกลุ่มใหญท่ ง้ั หอ้ งเรยี นและการอภปิ รายในกลุ่มยอ่ ยเพอื่ แลกเปล่ียนแสดง ความคดิ เหน็ ใหน้ ักเรียนแสดงบทบาทสมมติ โตว้ าที รวมทง้ั ใหน้ ักเรยี นโต้แยง้ ในส่วนทนี่ ักเรยี นมคี วามเหน็ ท่ี แตกตา่ งกันเพอื่ นาํ ไปส่ขู อ้ สรุป โดยมีข้นั ตอนในการจัดการเรียนรตู้ ามกรอบของ กฤติยาณี เจริญลอย (2557) ได้แก่ 1) ข้นั จดุ ประเดน็ คอื การนำข่าวหรือประเดน็ ทางสังคมทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการใช้วิทยาศาสตร์ ทก่ี ำลงั เป็น กระแสและกำลังได้รบั ความสนใจ นำมาใชใ้ นการจดั การเรยี นร้โู ดยทำการกระตุ้นใหน้ กั เรียนเกดิ การต้ังคำถาม เพ่ือใหเ้ กิดการคิดตอ่ ยอดในคำถามนน้ั ๆ 2) ขน้ั ท้าทายความคดิ คอื การทน่ี ักเรียนไดท้ ำการต้ังคำถามทีต่ นเองมีความสงสยั จากประเด็นทีค่ รูได้ ยกตวั อยา่ งในหอ้ งเรยี น โดยคำถามจะต้องเกยี่ วข้องกบั แนวคดิ ทจ่ี ะทำการจดั การเรียนรู้ โดยครูควรชี้แจงให้ นกั เรียนหรือคอยกรอบความคิดนักเรียนหากนกั เรยี นมีคำถามทไี่ มเ่ ก่ยี วข้องกับแนวคดิ ท่ีจะจดั การเรียนรู้ 3) ขน้ั วางแผนและคน้ หา คอื ขัน้ ทีใ่ หน้ ักเรยี นไดค้ ้นหาและหาคำตอบจากการสืบคน้ ดว้ ยตนเอง จาก แหล่งข้อมลู ต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็น หนังสือ วารสาร อนิ เตอรเ์ นต รวมไปถึงการทดลอง โดยครูควรควรแนะนำใน เร่ืองของแหล่งข้อมลู ท่นี า่ เชอ่ื ถือ และคอยสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนมีปฏสิ ัมพนั ธก์ ันในการค้นควา้ หาคำตอบ 4) ข้ันนำเสนอด้วยหลักฐาน คือขน้ั ทนี่ กั เรียนต่างนำเสนอขอ้ มลู ดว้ ยหลักฐานทีต่ นหรอื กลุ่มของตนได้ หามา เพ่ือนำมาอภิปรายรว่ มกนั ในชนั้ เรยี น เพ่อื อภปิ รายหรือตอบคำถามทไี่ ด้ตัง้ ข้นึ ไว้อย่างมเี หตแุ ละผล โดย ครูควรมีบทบาทในการควบคมุ ช้ันเรยี นใหเ้ ปน็ ไปด้วยความสงบและไม่วนุ่ วาย 5) ขนั้ ประเมิน คอื ข้ันทน่ี กั เรยี นไดร้ ่วมกนั ลงข้อสรปุ แนวคดิ ทีไ่ ดจ้ ากการจัดการเรยี นรู้ โดยครูควรที่จะ สง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นได้รว่ มกันอภิปรายโดยตอ้ งมหี ลักฐานเชงิ ประจกั ษใ์ นการนำเสนอดว้ ยเพอ่ื การลงข้อสรปุ 6. กรอบแนวคิดในการวิจัย ตวั แปรตาม ตวั แปรตน้ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ระเด็นทางสังคมท่ี การใหเ้ หตุผลอยา่ งไม่เปน็ ทางการของ เกีย่ วเนือ่ งกับวิทยาศาสตร์เป็นฐาน นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 7. สมมตุ ิฐานของการวิจยั (ถา้ มี : ตอ้ งสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัยหรือความมุ่งหมายของงานวจิ ัย) 1. ..........................………………………………………………………………………………………………………………………...……………………………………………….……………………………………………………………………………………. . …………………………………………………………………………………………................................................…………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………… 2. .............................…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………....…….…………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………………….

โรงเรยี นปากเกร็ด จังหวัดนนทบรุ ี - 5 - โครงรา่ งงานวิจยั เพอื่ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษา 8. เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง (ถ้ามี : แบบย่อนำเสนอเทา่ ท่ีจำเปน็ /เพราะไม่ใชป่ ริญญานพิ นธ์) ได้ดำเนนิ การศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง ดงั นี้ ความหมายของการให้เหตุผลแบบไม่เปน็ ทางการ การใหเ้ หตุผลแบบไม่เปน็ ทางการ (Informal Reasoning) เป็นการใหเ้ หตุผลท่ีเกีย่ วขอ้ งกับ สถานการณ์ทม่ี ีความซบั ซอ้ น และเป็นประเดน็ ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ (Socioscientific Issue) เน่อื งจากประเดน็ ดงั กลา่ วเปน็ ประเด็นทเ่ี ป็นลกั ษณะของคำถามปลายเปิด ไมม่ ีคำตอบท่ีชดั เจน และมมี มุ มอง ในการแกไ้ ขปญั หามากมาย การใหเ้ หตุผลแบบไม่เปน็ ทางการจึงเป็นการใหเ้ หตุผลเพื่อประกอบการตัดสินใจใน สถานการณ์นัน้ (Sadler and Zeidler, 2005) ซึ่งได้มนี กั การศึกษาให้ความหมายไว้ดังน้ี Zohar and Namet, (2002) เปน็ การใช้เหตุผลในการอธบิ ายเกย่ี วกับสาเหตุและผลทเ่ี กิดขน้ึ รวมไป ถึงข้อดีและข้อเสยี ของสถานการณ์ที่ตอ้ งมกี ารสร้างการตัดสินใจ โดยมกี ารรวมทัศนคตแิ ละความคิดเห็นของ ผ้ใู หเ้ หตุผลเข้าไป ในสถานการณ์ที่มคี วามซบั ซอ้ นและไมม่ ีคำตอบท่ีชดั เจน Sadler (2004) เป็นการสร้างและประเมนิ ประเด็นและเรื่องราวทมี่ ีความซบั ซ้อนและไม่มคี ำตอบท่ี ชดั เจนที่เกิดข้ึนในสงั คมโดยเก่ียวขอ้ งกบั สถานการณ์ที่ตอ้ งตัดสนิ ใจ ซ่งึ เป็นสถานการณท์ เี่ กดิ ข้นึ จรงิ ในสงั คม โดยทไี่ ม่เคยมกี ารแก้ไขปัญหามาก่อน Sadler and Zeidler (2005) เป็นกระบวนการทางความคดิ และจิตใจในการเจรจาและหาทาง แกป้ ัญหาในสถานการณ์หรือประเด็นท่ีมีความซับซอ้ นเปน็ การเลือกท่ีจะยอมรับหรือไมย่ อมรบั ในทางเลอื กต่าง ๆ ท่มี ใี ห้นอกจากน้ีศศเิ ทพ ปิตพิ รเทพนิ (2558) ไดส้ รุปความแตกตา่ งของการใหเ้ หตผุ ลแบบไมเ่ ป็นทางการและ การใหเ้ หตุผลแบบเปน็ ทางการไวด้ ังตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 ความแตกตา่ งของการใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ปน็ ทางการและการใหเ้ หตผุ ลแบบเปน็ ทางการ การให้เหตุผลแบบเป็นทางการ การให้เหตุผลแบบไมเ่ ปน็ ทางการ การใหเ้ หตุผลแบบเป็นทางการมกั มีการใหข้ ้อ การใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ปน็ ทางการการให้ข้อ สัณนษิ ฐานหรอื เงือ่ นไขเบือ้ งตน้ ไว้อย่างแนน่ อน สณั นษิ ฐานของบคุ คลหน่งึ อาจจะเปลย่ี นแปลงได้โดย การเพ่มิ หรือลดข้อสัณนิษฐานไดแ้ ละมีการใช้ ความคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ การให้เหตุผลแบบเปน็ ทางการมกี ารใชร้ ูปแบบที่ การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการนน้ั สามารถเกดิ ข้ึน ถูกต้อง (Well-Formed Arguments) ของการ ได้ท้งั สองดา้ นของสิ่งทีเ่ ป็นประเด็นในการโตแ้ ย้งและ โตแ้ ย้งและหารโตแ้ ยง้ มลี ักษณะพื้นฐานเปน็ นิรนยั มลี ักษณะพ้นื ฐานเป็นอปุ นยั (Inductive) (Deductive) การให้เหตุผลแบบเปน็ ทางการมีลกั ษณะเป็นขัน้ ตอน การใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการ มลี กั ษณะคล้าย ของนริ นยั ท่ีเกย่ี วเนอื่ งกันยาว ดังที่พบในการพิสูจน์ พุ่มไม้ ทแี่ ตกกง่ิ ก้านสาขาส้ัน ๆ ไม่ไดเ้ ปน็ ก้านเดี่ยวที่ ทางคณิตศาสตร์ ยาวแบบการใหเ้ หตผุ ลแบบเป็นทางการ

โรงเรียนปากเกร็ด จังหวดั นนทบุรี - 6 - โครงรา่ งงานวิจยั เพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษา จากข้อมลู ดังกล่าวสามารถสรปุ ได้ว่า การใหเ้ หตุผลอยา่ งไม่เปน็ ทางการ หมายถึง ความสามารถเฉพาะ บคุ คลในการอธิบายหรือแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับสาเหตุ ขอ้ ดี-ข้อเสีย ทางเลอื กต่างๆ รวมถึงการสร้างและ ประเมินประเด็นทีม่ ีความซบั ซ้อนและยังไมม่ ขี อ้ สรุปทชี่ ดั เจน โดยอาศยั หลักฐานหรอื สง่ิ ทไ่ี ดร้ ับการยอมรบั แลว้ ว่าถูกต้องมาสนับสนุน ซ่ึงการให้เหตุผลแบบน้มี กั จะรวมมมุ มองและทัศนคติเขา้ ไปดว้ ย ความหมายของประเด็นทางสังคมที่เก่ยี วขอ้ งกับวทิ ยาศาสตร์ นักการศกึ ษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายประเดน็ ทางสงั คมท่เี กยี่ วขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์ใน หลายมิติ โดยพิจารณาว่าประเดน็ ทางสงั คมทีเ่ ก่ียวข้องกบั วิทยาศาสตร์ หมายถึง ประเดน็ ซึ่งกาํ ลงั เปน็ ทถ่ี กเถียงกันใน สงั คมทมี่ าจากความแตกตา่ งทางความคดิ ท่ีเกี่ยวกบั ความถกู ตอ้ งความเหมาะสม ของแนวคิดกระบวนการและ เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ (Sadler, 2004) หรอื หมายถงึ ประเด็นท่ีมีข้อโต้แยง้ ทีม่ คี วามซบั ซอ้ น มีคาํ ตอบได้ หลายแนวทาง หาข้อยุติไม่ได้ เปน็ ปัญหาที่ต้องโต้แย้งกนั เนื่องจากไม่มคี ําตอบท่ีถูกตอ้ ง (Kolsto, 2000; Patonis, Potari, and Spiliotopoulou, 1999; Tyler, Duggan, and Gott, 2001; Sadler, 2004) สาํ หรับการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ประเด็นทางสงั คมที่เกี่ยวขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์ Zeidler and Nichols (2009) ใหค้ วามหมายว่า การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ประเดน็ ทางสังคมทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์เป็นการจัดการ เรียนรทู้ ี่สง่ เสรมิ ให้นักเรียนไดม้ กี ารอภิปราย และการโต้แยง้ ซึ่งการโตแ้ ยง้ จะมีการใหเ้ หตุผลเชิงจริยธรรมหรือมี การประเมนิ ความคิดเห็นเก่ยี วกับจรยิ ธรรมในกระบวนการตดั สนิ ใจแกป้ ัญหาในประเดน็ นั้น ๆ นอกจากนี้ Driver et al., (2000) และ Kolsto (2001) กล่าวว่า การจัดการเรยี นร้โู ดยใช้ประเด็นทางสงั คมท่ีเกย่ี วขอ้ งกับ วิทยาศาสตร์ คอื การค้นควา้ การอภปิ รายใหเ้ หตุผลและการตัดสินใจเกย่ี วกบั ประเด็นทนี่ ํามาศกึ ษา ผลท่ีไดร้ ับ ตามมา คอื การสง่ เสริมและพัฒนานักเรยี นใหส้ ามารถรบั มอื และจดั การกบั ประเดน็ ที่เก่ยี วข้องกบั วิทยาศาสตร์ ซ่งึ มีผลต่อนกั เรยี นเองท้ังในปัจจบุ นั และอนาคตเป็นพลเมอื งทีม่ ีคุณภาพ มีความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม และ สามารถประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ในชีวิตจริงได้ อีกทัง้ Sadler and Zeidler (2004) เสนอแนวคดิ วา่ การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ดว้ ยประเดน็ ปญั หาทางสงั คมทเ่ี กย่ี วข้องกบั วิทยาศาสตร์ มกั เก่ียวขอ้ งกบั การอภิปราย การโต้แยง้ เพ่อื นําไปส่กู ารแสดงความคิดเห็น และการตดั สินลงความเหน็ ดังนนั้ การจดั การเรียนรดู้ ้วยวธิ นี ้ี จงึ เปน็ การกระตุน้ ให้นกั เรียนคน้ คว้าหาความรู้ เพอื่ ใช้เป็นข้อมูลในการอภปิ รายใหเ้ หตุผลเพือ่ สร้างความเข้าใจ เกยี่ วกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เช่น ชว่ ยให้นักเรยี นเห็นความสมั พนั ธ์ทซี่ ับซอ้ นระหวา่ งวิทยาศาสตร์ สังคม และมนุษย์ จากความหมายของประเดน็ ทางสังคมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับวทิ ยาศาสตร์ขา้ งต้นสามารถสรุปได้ว่า การจดั การ เรยี นรู้โดยใชป้ ระเด็นทางสงั คมทเี่ กยี่ วข้องกับวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นการจดั การเรยี นรู้ทีส่ ง่ เสรมิ ให้นักเรียนไดม้ ีการ อภปิ ราย และการโตแ้ ย้ง ซง่ึ การโต้แย้งจะมกี ารให้เหตุผลเชิงจริยธรรมหรอื มีการประเมินความคดิ เห็นเกี่ยวกบั จริยธรรมในกระบวนการตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาในประเดน็ น้นั ๆ

โรงเรยี นปากเกร็ด จงั หวดั นนทบรุ ี - 7 - โครงรา่ งงานวิจยั เพื่อพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา 9. แบบแผนการวิจยั และสถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิจยั 9.1 แบบแผนการวจิ ัยและสถติ ิทใี่ ช้ทดสอบสมมุติฐาน 9.1.1  แบบแผนการทดลองแบบ One-group pretest – posttest design (เปรียบเทียบก่อน-หลงั ) กลุม่ สอบกอ่ น ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สถิติทดสอบ t (t-test for Dependent Samples) สูตร สตู รที่ใช้ทดสอบ t =  D : df = n −1 n D2 −(D)2 n −1 9.1.2  แบบแผนการทดลองแบบ One-group pretest – posttest design (เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์/เกณฑผ์ ่าน/เกณฑท์ ตี่ ้องการ) กลมุ่ ทดลอง สอบหลงั E X T2 สถิติทดสอบ t (t-test One group) สูตร สตู รทใ่ี ชท้ ดสอบ t= X− : df = n −1 0 s n 9.1.3  แบบแผนการทดลองแบบเปรยี บเทยี บ 2 กลุ่ม)( pretest – posttest two group design) ใชเ้ ปรียบเทยี บนวตั กรรม/เทคนิควธิ กี าร อยา่ งน้อย 2 แบบ กับกล่มุ ทดลอง 2 กล่มุ กลุ่ม สอบกอ่ น ทดลอง สอบหลงั E ทดลอง T1 X T2 C ควบคุม T1 X T2 สถิติทดสอบ F (F-test ) แบบการวเิ คราะห์ความแปรปรวนร่วม (analysis of covariance : ANCOVA) สูตร สตู รท่ีใชท้ ดสอบ F= S2b S2w . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. 9.1.4  สถิตท่ใี ช้ทดสอบสมมตุ ิฐานทีม่ มี าตราประมาณคา่ (Rating Scale) ประกอบดว้ ย ค่าเฉล่ียเลขคณิต ( X ) และค่าความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D. ) สตู ร ค่าเฉล่ียเลขคณิต ( X ) =  fi x i N

โรงเรยี นปากเกรด็ จังหวัดนนทบุรี - 8 - โครงร่างงานวจิ ัยเพ่ือพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. สตู ร คา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) = fixi2 −(x)2 n(n −1) . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. 9.1.5  สถติ ที่ใช้ทดสอบสมมตุ ิฐานอื่น (ถ้ามี : ระบ)ุ . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. . ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………. 9.2 สถิตพิ ้นื ฐาน 9.2.1  ค่าเฉล่ียเลขคณิต ( X )=  fi x i , ( X )= xi N N ใชห้ า .................................................................................................................................................................................................................................................................................................. 9.2.2  ค่าความเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D. )= fixi2 −(x)2 , (S.D. )= n(xi2 )−(xi )2 n(n −1) n(n −1) ใชห้ า ..................................................................................................................................................................................................................................................................................................... 9.3 สถิตทิ ่ใี ช้ในการตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือ (ถ้าม)ี 9.3.1  ค่าความสอดคลอ้ ง (IOC)  ค่าความยาก (p)  ค่าอำนาจจำแนก (r)  คา่ ความเชือ่ มั่น ( rtt ,  ) 9.3.2  ประสิทธภิ าพของเครอ่ื งมือ ( E / E 2 ) 1  หาดัชนปี ระสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I. ) 10. ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รบั 1. ครูผู้สอนในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ได้แนวทางการจดั การเรยี นรู้ท่ชี ว่ ยพัฒนาการให้เหตผุ ลอย่างไม่ เป็นทางการของนักเรียน 2. นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาการใหเ้ หตุผลอย่างไม่เปน็ ทางการ 11. แหล่งคน้ คว้าหรือเอกสารอา้ งอิง (โดยยอ่ ) กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. (Online). www.curriculum51.net/upload/cur-51.pdf, 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2562.

โรงเรยี นปากเกร็ด จงั หวัดนนทบรุ ี - 9 - โครงร่างงานวจิ ยั เพือ่ พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา สรุ เดช ศรที า และ ศศิเทพ ปิตพิ รเทพนิ . (2559). การพัฒนาทักษะการให้เหตุผลอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการของ นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ในหนว่ ยการเรียนรเู้ รือ่ งอาณาจักรโพรทิสตาผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ประเดน็ ทางสังคมท่เี ก่ยี วเนอ่ื งกบั วทิ ยาศาสตร์เปน็ ฐาน. วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. 7(2), 1-14 หทัยชนก ชนะชัย. 2559. การพฒั นักษะการให้เหตผุ ลอย่างไมเ่ ปน็ ทางการของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 เกยี่ วกับระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ผา่ นการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้ประเด็นทางสงั คมท่ี เก่ยี วเน่อื งกับวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นฐาน. วิทยานิพนธก์ ารศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ลงช่ือ ........... ไกรวชั ร บวั เทศ................ ผเู้ สนอโครงร่างงานวิจยั (นายไกรวชั ร บวั เทศ) ตำแหน่ง ครู พฤษภาคม/2561.................................../ ...................... (ภาคเรียนที่ 1/2561) พฤศจิกายน/2561.................................../ ...................... (ภาคเรียนท่ี 2/2561) การหาดชั นีประสทิ ธผิ ลของแผนการจดั การเรยี นรู้/เอกสารการจดั การเรยี นรู้ เผชญิ กิจระการ (2546 : 1-6) ได้เสนอแนวทางในการหาประสทิ ธิผลของแผนการเรยี นรหู้ รอื ส่อื ที่ สรา้ งขน้ึ โดยให้พิจารณาจากพฒั นาการของนกั เรยี นจากกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นวา่ มคี วามรคู้ วามสามารถ เพม่ิ ขึน้ อยา่ งเชอ่ื ถือได้หรือไม่ หรอื เพ่ิมขน้ึ เทา่ ใดซ่ึงอาจพิจารณาได้จากการคำนวณค่า t-test แบบ Dependent Samples หรอื หาค่าดชั นีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I) มีรายละเอียด ดังน้ี 1. การหาค่าพฒั นาการท่เี พ่มิ ขึ้นของผ้เู รียนโดยอาศัยการหาค่า t-test (แบบ Dependent Samples) เปน็ การพิจารณาดูวา่ นักเรียนมพี ัฒนาการเพิ่มข้ึนอย่างเช่ือถือได้หรือไม่ โดยทำการทดสอบนักเรียนทุกคนกอ่ น (Pretest) และหลงั เรยี น (Posttest) แล้วนำมาหาคา่ t-test แบบ Dependent Samples หากมนี ัยสำคญั ทาง สถิติ กถ็ ือได้วา่ นักเรียนกลุม่ นั้นมพี ฒั นาการเพม่ิ ขน้ึ อย่างเช่ือถือได้ 2. การหาพัฒนาการทเี่ พิ่มขึน้ ของนกั เรยี นโดยอาศยั การหาค่าดชั นีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I) มีสูตรดังน้ี ดัชนปี ระสิทธผิ ล = ผลรวมของคะแนนหลงั เรยี นทกุ คน – ผลรวมของคะแนนกอ่ นเรียนทกุ คน (จำนวนนกั เรียน x คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนกอ่ นเรียนทกุ คน การหาค่า E.I เป็นการพจิ ารณาพฒั นาการในลกั ษณะทว่ี ่าเพมิ่ ขน้ึ เท่าไร ไม่ได้ทดสอบว่าเพมิ่ ขึน้ อย่างเชอ่ื ถือได้ หรอื ไม่ วิธกี ารอาจแปลงคะแนนให้อยูใ่ นรปู ของรอ้ ยละกไ็ ด้ ดังนี้ ดัชนปี ระสิทธผิ ล = รอ้ ยละของผลรวมของคะแนนหลงั เรียน – รอ้ ยละของผลรวมของคะแนนกอ่ นเรยี น 100 – รอ้ ยละของผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทกุ คน ข้อสังเกตบางประการท่ีเก่ียวกับค่า E.I.

โรงเรียนปากเกร็ด จังหวดั นนทบุรี - 10 - โครงรา่ งงานวจิ ยั เพือ่ พัฒนาคุณภาพการศึกษา 1. E.I. เปน็ เรือ่ งของอตั ราสว่ นของผลตา่ ง จะมคี ่าสงู สุดเป็น 1.00 ส่วนค่าต่ำสุดไม่สามารถกำหนดได้ เพราะคา่ ต่ำกวา่ -1.00 และถ้าเปน็ ค่าลบแสดงวา่ ผลคะแนนสอบก่อนเรยี นมากกว่าหลงั เรยี น ซง่ึ หมายความว่า ระบบการเรียนการสอนหรือสื่อท่สี รา้ งขน้ึ ไมม่ ีคณุ ภาพ 2. การแปลผล E.I. ในตาราง ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลในบทท่ี 4 ของงานวิจยั มกั จะใช้ข้อความไม่ เหมาะสม ทำให้ผู้อา่ นเข้าใจความหมายของ E.I. ผิดจากความเปน็ จริง เชน่ ค่า E.Iเท่ากบั 0.6240 ก็มักจะกลา่ ว วา่ “ค่าดัชนีประสทิ ธิผลเทา่ กบั 0.6340 ซึง่ แสดงว่านกั เรียนมีความรู้เพม่ิ ขนึ้ รอ้ ยละ 62.40 ซงึ่ ในความเปน็ จริง ค่า E.I. เท่ากับ 0.6240 เพราะคดิ เทียบจาก E.I. สูงสุดเปน็ 1.00 ดงั นนั้ ถา้ คิดเทยี บเปน็ ร้อยละ กค็ ือ คดิ เทยี บ จากคา่ สูงสดุ เปน็ 100 E.I. จะมีคา่ เป็น62.40 จึงควรใช้ข้อความวา่ “ ค่าดัชนีประสิทธผิ ล เท่ากับ 0.6240 แสดง ว่านกั เรียนมีความร้เู พม่ิ ขึ้น 0.6240 หรอื คดิ เปน็ ร้อยละ 62.40 ” 3. ถ้าคา่ ของ E1/ E2 ของแผนการเรยี นสงู กว่าเกณฑท์ ีก่ ำหนด และเมอ่ื หา E.I. ดว้ ยพบวา่ มีพัฒนาการ เพ่ิมขน้ึ ถึงระดบั หนึ่งทผี่ ู้วิจยั พอใจ หากคำนวณค่าความคงทนด้วยโดยใชส้ ตู ร t-test แบบDependent Samples กไ็ ม่ได้แปลว่าจะไมม่ นี ยั สำคญั (เพราะผูว้ ิจัยคาดหวังวา่ หากสื่อ หรอื แผนการเรยี นรู้มคี ุณภาพ ผล การเรยี นหลังสอนเมื่อผ่านไประยะหนง่ึ เชน่ ผ่านไป 2 สัปดาห์ กับผลการเรยี นจบจะตอ้ งไม่แตก ตา่ งกัน) ลักษณะเชน่ นี้มกั พบในงานวิจยั ของนสิ ติ บ่อยๆ คอื แผนการเรียนรู้ หรอื สอ่ื มคี า่ E1/ E2 สูงกว่าเกณฑ์ ทก่ี ำหนด ค่า E.I ก็สูง แตผ่ ลการทดสอบความคงทนมนี ยั สำคญั ทางสถิติ ปญั หาน้นี า่ จะมาจากนักเรียนไม่ได้ ตง้ั ใจหรอื เบือ่ หน่ายในการทำข้อสอบอย่างจริงจงั แม้วา่ ผูว้ จิ ัยจะมีความรู้สึกวา่ สือ่ หรือแผนที่ใช้จะมคี ุณภาพ ทำ ให้นกั เรยี นเกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระทเี่ รียนมาก หรือมคี วามตรึงตราตรงึ ใจตอ่ บทเรียนมากเท่าไรกต็ าม อา้ งอิงจาก เผชญิ กจิ ระการ. (2546). “ดัชนีประสทิ ธผิ ล,” ใน เอกสารประกอบการสอน. หนา้ 1 – 6. มหาสารคาม : ภาควชิ าเทคโนโลยีการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook