พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยรัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชวงศจ์ กั รี มีพระนามเดิมวา่ ‘‘สมเดจ็ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์’’ เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระนางเธอ พระองคเ์ จา้ ราเพยภมราภิรมย์ (ต่อมาคือ สมเดจ็ พระเทพศิรินทราบรมราชินี) พระองคเ์ สดจ็ ข้ึนเสวยราชสมบตั ิใน พ.ศ.๒๔๑๑ เมื่อทรงมีพระชนมายเุ พียง ๑๕ พรรษา เนื่องจากทรงมีพระชนมายยุ งั ไม่บรรลุนิติภาวะ จึงตอ้ งมีผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์ จนเมื่อพระองคท์ รงมีพระชนมายบุ รรลุนิติภาวะแลว้ ใน พ.ศ.๒๔๑๖ จึงทรงมีพระราชอานาจในฐานะพระมหากษตั ริยโ์ ดยสมบูรณ์
พระราชกรณียกิจท่ีสาคญั
พระราชกรณียกิจดา้ นการไปรษณียโ์ ทรเลข พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเห็นการสื่อสารเป็นเร่ืองสาคญั และจาเป็นอยา่ งมากต่อไปในอนาคต พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ให้ กระทรวงกลาโหมดาเนินการก่อสร้างวางสายโทรเลขสาหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.๒๔๑๘ จากกรุงเทพฯ- สมุทรปราการ ระยะทาง ๔๕ กิโลเมตร และไดว้ างสายใตน้ ้าต่อยาวออกไปจนถึงประภาคารท่ีปากแม่น้าเจา้ พระยาสาหรับบอกข่าวเรือเขา้ - ออก ต่อมาไดว้ างสายโทรเลขข้ึนอีกสายหน่ึงจากกรุงเทพฯ - บางปะอิน และขยายไปทวั่ ถึงในเวลาต่อมาสาหรับกิจการไปรษณีย์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั การไปรษณียข์ ้ึนเป็นคร้ังแรกในวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๔ มีที่ทาการ เรียกวา่ ไปรษณียาคาร ต้งั อยรู่ ิมแม่น้าเจา้ พระยา และเปิ ดดาเนินการอยา่ งเป็นทางการคร้ังแรกในวนั ท่ี ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๖ หลงั จากน้นั จึง โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมโทรเลขรวมเขา้ กบั กรมไปรษณียช์ ่ือวา่ กรมไปรษณียโ์ ทรเลข
พระราชกรณียกิจดา้ นการโทรศพั ท์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระวสิ ยั ทศั นท์ ่ีกา้ วไกล และพระปรีชาสามารถอยา่ ง มากในการพฒั นาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมไดน้ าโทรศพั ทอ์ นั เป็นวิทยาการในการสื่อสาร ที่ทนั สมยั เขา้ มาทดลองใชเ้ ป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพ่ือแจง้ ขา่ วเรือเขา้ - ออกท่ีปากน้า ตอ่ มากรมโทรเลขไดม้ ารับช่วงตอ่ ในการวางสายโทรศพั ทภ์ ายในกรุงเทพฯ ซ่ึงใชเ้ วลา ๓ ปี จึง แลว้ เสร็จพร้อมเปิ ดใหบ้ ริการกบั ประชาชน และพฒั นามาจนกระทงั่ ทุกวนั น้ี
พระราชกรณียกิจดา้ นการพยาบาลและสาธารณสขุ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระราชดาริท่ีจะสร้างโรงพยาบาลเพ่ือรักษาประชาชนดว้ ยวิธีการแพทยแ์ ผนใหม่ เนื่องจากการรักษาแบบเดิม น้นั ลา้ สมยั ไม่สามารถช่วยคนไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงทีทาใหม้ ีผเู้ สียชีวติ มากมายเม่ือเกิดโรคระบาด พระองคจ์ ึงทรงจดั สร้างโรงพยาบาลข้ึนบริเวณริมคลอง บางกอกนอ้ ย อนั เป็นท่ีต้งั ของพระราชวงั บวรสถานพมิ ุข หรือวงั หลงั โดยไดพ้ ระราชทานทรัพยส์ ินส่วนพระองคจ์ านวน ๑๖,๐๐๐ บาท เป็นทุนเร่ิมแรกใน การสร้างโรงพยาบาล ใหใ้ ชช้ ื่อวา่ โรงพยาบาลวงั หลงั เปิ ดทาการรักษาแก่ประชาชนทว่ั ไปเป็นคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ต่อมาพระองคไ์ ดพ้ ระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งน้ีใหม่วา่ โรงพยาบาลศิริราช เพ่อื เป็นการระลึกถึงสมเดจ็ พระนางเจา้ ลกู ยาเธอเจา้ ฟ้าศิริราชกกธุ ภณั ฑ์ พระราชโอรสที่ประสูติในสมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชินีนาถ ท่ีสิ้นพระชนมายเุ พียง ๑ ปี ๗ เดือน ท้งั ยงั ไดพ้ ระราชทานพระเมรุ พร้อมกบั เคร่ืองใช้ เช่น เตียง เกา้ อ้ี ตูโ้ ตะ๊ ฯลฯ ในงานพระศพใหก้ บั โรงพยาบาลเพื่อใชป้ ระโยชน์ รวมท้งั พระราชทาน ทรัพยส์ ่วนพระองคข์ องสมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้าศิริราชกกธุ ภณั ฑ์ จานวน ๕๖,๐๐๐ บาท ใหก้ บั โรงพยาบาลเป็นทุนในการใชจ้ ่าย
พระราชกรณียกิจดา้ นการขนสง่ และส่อื สาร ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสารวจ เส้นทาง เพ่ือวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ มีการวางแผนใหท้ างรถไฟสายน้ีตดั เขา้ เมืองใหญ่ๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศแลว้ แยกเป็นชุมสายตดั เขา้ สู่จงั หวดั ใหญ่ทางแถบภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็น หวั ลาโพงเมืองท่ีเป็นศูนยก์ ลางธุรกิจการคา้ การสารวจเสน้ ทางในการวางเส้นทางรถไฟน้ีเสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในวนั ท่ี ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนินขดุ ดินก่อพระฤกษ์ เพ่ือสร้างทางรถไฟคร้ังแรกท่ีเกิดข้ึน ในประเทศไทย โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ างรถไฟสายน้ีเป็นรถไฟหลวงแห่งแรกของไทย
พระราชกรณียกิจดา้ นการไฟฟา้ ดว้ ยสายพระเนตรที่ยาวไกล พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเลง็ เห็นวา่ ไฟฟ้าเป็นพลงั งานที่สาคญั และมีประโยชนอ์ ยา่ งมาก เมื่อมีโอกาส ประพาสต่างประเทศ ไดท้ อดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นถึงประโยชน์มหาศาลท่ีจะเกิดจากการมีไฟฟ้า พระองคจ์ ึงทรงมอบหมายใหก้ รมหมื่น ไวยวรนารถเป็นผรู้ ิเริ่มในการจ่ายกระแสไฟฟ้าข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ซ่ึงเป็นการเปิ ดใชไ้ ฟฟ้าคร้ังแรกของไทย และปี เดียวกนั (พ.ศ. ๒๔๓๓) มีการก่อต้งั โรงไฟฟ้าท่ีวดั เลียบ หรือวดั ราชบูรณะ จนกระทง่ั ถึงพ.ศ. ๒๔๓๖ ต่อมาเพอ่ื ใหก้ ิจการไฟฟ้ากา้ วหนา้ ยง่ิ ข้ึน รัฐบาลไดโ้ อนกิจการใหผ้ ชู้ านาญดา้ นน้ี ไดแ้ ก่ บริษทั อเมริกนั ชื่อ แบงคอ็ ค อิเลคตริกซิต้ี ซิดิแคท เขา้ มาดาเนินงานต่อ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ บริษทั เดนมาร์กไดเ้ ขา้ มาต้งั โรงงานผลิตพลงั งานไฟฟ้าเพื่อใชใ้ นการเดินรถรางท่ีบริษทั ไดร้ ับสมั ปทานการเดินรถในเขตพระนคร ต่อมาบริษทั ต่างชาติท้งั ๒ บริษทั ไดร้ ่วมกนั รับช่วงงานจากกรมหม่ืนไวยวรนาถ และก่อต้งั เป็นบริษทั ไฟฟ้าสยาม ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ นบั เป็นการบุกเบิกไฟฟ้าคร้ังสาคญั ของ ประวตั ิศาสตร์ไทย ในการเร่ิมมีไฟฟ้าใชเ้ ป็นคร้ังแรก
พระราชกรณียกิจดา้ นการกฎหมาย กฎหมายในขณะน้นั มีความลา้ สมยั อยา่ งมาก เน่ืองจากใชม้ าต้งั แต่สมยั รัชกาลท่ี ๑ และยงั ไม่เคยมีการชาระข้ึนใหม่ใหเ้ หมาะสมกบั ยคุ สมยั ทาให้ ต่างชาติใชเ้ ป็นขอ้ อา้ งในการเอาเปรียบไทยเรื่องการทาสนธิสญั ญาเก่ียวกบั การข้ึนศาลตดั สินคดีที่ไม่ใหช้ าวต่างชาติข้ึนศาลไทย โดยต้งั ศาลกงสุล พิจารณาคดีคนในบงั คบั ต่างชาติเอง แมว้ า่ จะมีคดีความกบั ชาวไทยกต็ ามดงั น้นั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงทรงโปรดเกลา้ ฯ สร้าง ประมวลกฎหมายอาญาข้ึนใหม่เพอ่ื ใหท้ นั สมยั ทดั เทียมกบั อารยประเทศ ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั โรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพอ่ื เป็นสถานท่ีสาคญั ท่ีผลิตนกั กฎหมายที่มีความรู้ความสามารถในการพฒั นาประเทศต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯใหต้ รากฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ.๑๒๗ อนั เป็นลกั ษณะกฎหมายอาญาฉบบั แรกที่ นาข้ึนมาใช้ อีกท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการต้งั กรรมการข้ึนมาชุดหน่ึง พจิ ารณาทากฎหมายประมวลอาญาแผน่ ดินและการพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวา่ ดว้ ยพิจารณาความแพง่ และพระธรรมนูญแห่งศาลยตุ ิธรรมแต่ยงั ไม่ทนั สาเร็จดีกส็ ิ้นรัชกาลเสียก่อน เม่ือสร้างประมวลกฎหมายข้ึนมาใชแ้ ลว้ บทลงโทษแบบจารีตด้งั เดิมจึงถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองคเ์ อง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็นบทลงโทษ ท่ีเป็นหลกั การพิจารณาท่ีดีและ ทนั สมยั กวา่ เดิมดว้ ย
พระราชกรณียกิจดา้ นการเปล่ยี นแปลงระบบเงินตรา ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ าธนบตั รข้ึนเรียกวา่ อฐั เป็นกระดาษมีมูลค่าเท่ากบั เหรียญทองแดง ๑ อฐั แต่ใชไ้ ดเ้ พียง ๑ ปี กเ็ ลิก ไป เพราะประชาชนไม่นิยมใช้ ต่อมาทรงต้งั กรมธนบตั รข้ึนมา เพ่ือจดั ทาเป็นตวั๋ สญั ญาข้ึนใชแ้ ทนเงินกรมธนบตั รไดเ้ ร่ิมใชต้ วั๋ สญั ญาเม่ือวนั ท่ี ๑๙ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นคร้ัง แรก เน่ืองในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ไดม้ ีการผลิตธนบตั รรุ่นแรกออกมา ๕ ชนิด คือ ๑,๐๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท ภายหลงั มีธนบตั รใบละ ๑ บาทออกมาดว้ ย รวมถึงพระองค์ โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ าหนดหน่วยเงินตรา โดยใหห้ น่วยทศนิยมเรียกวา่ สตางค์ กาหนดให้๑๐๐ สตางค์ เท่ากบั ๑ บาท พร้อมกบั ผลิตเหรียญสตางคข์ ้ึนมาใชเ้ ป็นคร้ังแรกเรียกวา่ เบ้ีย สตางค์ มีอยดู่ ว้ ยกนั ๔ ชนิด คือ ราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๔ สตางค์ ๒ สตางคค์ ร่ึง ใชป้ นกบั เหรียญเส้ียว และอฐั ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงออกประกาศยกเลิกใชเ้ งินพดดว้ งและทรงออกพระราชบญั ญตั ิมาตราทองคา ร.ศ.๑๒๗ ประกาศใชเ้ มื่อวนั ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๑ วา่ ดว้ ยเรื่องใหใ้ ชแ้ ร่ทองคาเป็นมาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพื่อใหเ้ สถียรภาพเงินตราของไทยสอดคลอ้ งกบั หลกั สากล และในปี ต่อมาทรงออก ประกาศเลิกใชเ้ หรียญเฟ้ื อง และเบ้ียทองแดง
พระราชกรณียกิจดา้ นการศกึ ษา พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสนพระทยั ในการศึกษารูปแบบใหม่โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการต้งั โรงเรียนข้ึนเพอ่ื ใหป้ ระชาชน ไดร้ ับการศึกษาทวั่ กนั เพราะการศึกษาสมยั น้นั ส่วนใหญย่ งั ศึกษาอยใู่ นวดั เม่ือมีการสร้างโรงเรียนและการศึกษาเจริญกา้ วหนา้ ข้ึนเท่ากบั เป็น การบ่งบอกถึงความเจริญทางดา้ นวฒั นธรรมอยา่ งหน่ึง จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างโรงเรียนหลวงแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ และ โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการสอบไล่สามญั ศึกษาข้ึนอีกดว้ ย เพอื่ เป็นการทดสอบความรู้ที่ไดศ้ ึกษาเล่าเรียนมา นอกจากน้ีพระองคย์ งั ทรงโปรด เกลา้ ฯ ใหจ้ ดั สร้างโรงเรียนหลวงข้ึนอีกหลายแห่ง กระจดั กระจายไปตามวดั ต่าง ๆ ท้งั ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ สร้างข้ึนในวดั คือ โรงเรียนวดั มหรรณพาราม โรงเรียนหลวงที่ต้งั ข้ึนมาน้ีเพือ่ ใหบ้ ุตรหลานของประชาชนทว่ั ไปไดม้ ีโอกาสศึกษาหาความรู้ กนั การศึกษาขยายตวั เจริญข้ึนตามลาดบั ดว้ ยความสนใจของประชาชนท่ีตอ้ งการมีความรู้มากข้ึน จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหโ้ อนโรงเรียนเหล่าน้ีอยู่ ภายใตก้ ารควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ มีการพมิ พต์ าราพระราชทาน เพ่ือเป็นตาราในการเรียนการสอนดว้ ย
แบบอยา่ งความดีที่นามาประยกุ ตใ์ ช้
ทรงมีความรู้ใฝ่ ศึกษา คือ คุณลกั ษณะที่แสดงออกถึงความต้งั ใจ เพียรพยายาม ในการเรียน แสวงหาความรู้ การนามาปรับใช้ ๑.การต้งั ใจศึกษา เล่าเรียน ๒.ศกึ ษาหาความรูส้ ม่าเสมอ
ทรงมีความอ่อนนอ้ มถ่อมตนเป็นเลิศ คือ เป็นการตระหนกั ในคุณงามความดีของคน อื่นและส่ิงอื่น แลว้ ปฏิบตั ิต่อบุคคลน้นั และสิ่งน้นั อยา่ งถูก ตอ้ งจริงใจ โดยเป็นการ แสดงออกทางกายและทางวาจาเป็ นหลกั การนามาปรับใช้ ๑.เคารพผทู้ ่ีมีพระคุณ ๒.นามาความดีมาปฏิบตั ิเป็นแบบอยา่ ง
จดั ทาโดย นางสาว ขตั ติยา เจียมทรัพยส์ ิน เลขท่ี ๓๔ นางสาว ช่อทิพย์ สมชะนะ เลขที่ ๓๕ นางสาว ศศิวมิ ล พลอยแสง เลขที่ ๓๖ นางสาว ลภสั ธร มีทองคา เลขท่ี ๓๗ นางสาว สุพฒั ตรา ธานุชาติ เลขท่ี ๓๙ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๕/๔ เสนอ คุณครู พิกลุ มีใจเจือ โรงเรียนภาชี ‘‘ สุนทรวิทยานุกลู ’’
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: