Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์

ใบความรู้เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์

Published by aumpha19klongchai, 2020-06-14 21:43:12

Description: ใบความรู้เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง ระบบหมนุ เวียนเลอื ดของมนุษย์ (Human blood circulatory system) สอนโดย นางสาวกรนันท์ วสุวชั ร์ กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นสริ ินธร อาเภอเมอื ง จงั หวัดสุรินทร์ สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสริ นิ ธร หนา้ 1

ใบความรู้ประกอบการจดั การเรยี นการสอน วิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว22101 เรอื่ ง ระบบหมนุ เวียนเลอื ดของมนุษย์ (Human blood circulatory system) สอนโดย นางสาวกรนนั ท์ วสุวัชร์ ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ ทาหน้าท่ีหมุนเวียนเลือดไปตามส่วนต่าง ๆของร่างกายเพื่อลาเลียงแก๊ส ออกซิเจน และสารอาหารไปหลอ่ เลย้ี งเซลล์ของร่างกายพร้อมกับนาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียไปยังบริเวณที่ รา่ งกายขบั ออกระบบหมนุ เวียนเลอื ดของมนษุ ย์ประกอบดว้ ย หวั ใจ หลอดเลือด และเลือด 1.หัวใจ ทาหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยทาให้เกิดความดันเลือดในหลอดเลือดแดง เพื่อให้เลือดเคลื่อนท่ีไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ท่ัวถึง หัวใจประกอบด้วย กล้ามเนื้อหัวใจ มี 4 ห้อง แบ่งเป็นห้องบน 2 ห้อง เรียกว่าเอเตรียม (Atrium) ห้องล่าง 2 ห้อง เรียกว่า เวนตริเคิล (Ventricle) ระหว่างหัวใจ ห้องบนซ้ายกับหัวใจห้องล่างซ้ายจะมีลิ้นหัวใจไบคัสพิด (bicuspid valve) คั่นอยู่ และระหว่างหัวใจห้องบนขวาและ หวั ใจหอ้ งล่างขวามลี นิ้ หัวใจไตรคสั พดิ (tricuspid valve) คั่นอยู่ ลิน้ หวั ใจทาหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลยอ้ นกลับ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นสริ ินธร หน้า 2

การไหลเวยี นเลอื ดผ่านหัวใจ การไหลเวยี นเลือดผ่านหัวใจ เรม่ิ จากหวั ใจหอ้ งบนซา้ ยรับเลอื ดท่มี ีปริมาณออกซิเจนสูงจากปอดผ่านทางหลอด เลือดพัลโมนารี เวน แลว้ หวั ใจบบี ตัวดันผ่านลิ้นหัวใจไบคสั ปิด ลงสู่หัวใจหอ้ งลา่ งซ้าย หวั ใจบบี ตวั ดันเลอื ดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผ่านทางหลอดเลือดเอออร์ตา และเปลี่ยนเป็นเลือดท่ีมีคาร์บอนไดออกไซด์สูง เลือด คาร์บอนไดออกไซด์สูงจะไหลผ่านหลอดเลือดเวนาคาวากลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา แล้วหัวใจบีบตัวดันเลือดผ่านลิ้น หัวใจไตรคสั ปิด ลงสหู่ วั ใจหอ้ งล่างขวา แล้วกลบั เข้าสูป่ อดผ่านทางหลอดเลือดพัลโมนารี อาร์เทอรี เพ่ือเป็นวัฎจักรการ หมุนเวยี นเลอื ดในรา่ งกายเช่นน้ตี ลอดไป กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ โรงเรียนสริ นิ ธร หนา้ 3

2. หลอดเลอื ด ทาหนา้ ท่ีลาเลยี งเลอื ดจากหัวใจไปยังอวัยวะสว่ นต่างๆ ท่ัวร่างกาย และเป็นเส้นทางให้เลือดจากอวยั วะ ต่างๆทว่ั ร่างกายกลบั เข้าสู่หัวใจ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ โรงเรียนสริ ินธร หน้า 4

3.เลอื ด (Blood) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเปน็ ของเหลว 55 เปอร์เซน็ ต์ ซึง่ เรยี กว่า “น้าเลอื ดหรือ พลาสมา plasma)” และสว่ นท่เี ปน็ ของแข็งมี 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไดแ้ ก่ เซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลลเ์ มด็ เลือดขาว และ เกลด็ เลือด ระบบไหลเวียนเลอื ดแบบเปิด ระบบการไหลเวียนแบบเปดิ (opend circulatory system) พบในสตั วไ์ ม่มกี ระดูกสนั หลงั โดยเฉพาะไฟลัม อารโ์ ทรโพดา และไฟลมั มอลลสั กา ระบบนเ้ี ลือดจะไมไ่ ด้อยใู่ นเสน้ เลือดตลอดเวลา แต่จะออกจากเสน้ เลือดเขา้ สู่ชอ่ งว่าง ภายในลาตวั ท่ีเรยี กว่าฮีโมซลี (hemocoel) อาจมีหัวใจหน่งึ ดวงหรือมากกวา่ ทิศทางการไหลของเลอื ดเรม่ิ จากหัวใจสูบ ฉดี เลอื ดไปตามหลอดเลอื ดเข้าสู่ฮโี มซีล เน้ือเย่ือและเซลล์จะได้รบั อาหารและก๊าซจากเลือดท่ีอยู่ในช่องว่างน้ี เมอื่ หวั ใจ คลายตวั เลอื ดสว่ นหน่ึงจะไหลจากฮีโมซลี เข้าเส้นเลือดกลับหัวใจ ระบบไหลเวียนเลอื ดแบบปิด สตั ว์ท่มี ีกระดูกสันหลังทกุ ชนิดมีระบบไหลเวยี นแบบนี้ นอกจากนี้ ไสเ้ ดือนดนิ และหมึกก็ยงั มรี ะบบไหลเวยี น โลหิตแบบน้ีอกี ด้วย ระบบน้ี เลือดจะไมไ่ หลออกไปนอกหลอดเลือด ซึ่งประกอบไปดว้ ยอาเทอรี่ เวนและหลอดเลอื ดฝอย ระบบไหลเวยี นโลหติ ในปลาเป็นระบบไหลเวียนทม่ี ีทิศทางเดียว คือหวั ใจสูบฉดี เลือดไปท่ีเสน้ เลอื ดฝอยทเ่ี หงือก หัวใจ ปลามีสองหอ้ งและการไหลเวียนของเลือดมีทิศทางเดียวสัตวค์ รึ่งบกคร่ึงน้าและสตั ว์เลื้อยคลานมรี ะบบนีเ้ ชน่ กัน แต่หวั ใจ ของสตั ว์สองชนิดน้ีทางานไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี โดยทสี่ ตั ว์คร่งึ บกครงึ่ น้า มหี ัวใจ 3 หอ้ งส่วนนกและสตั วเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยนมมีการแบ่ง อยา่ งชดั เจนระหวา่ งเลือดแดงกับเลือดดา โดยแบ่งหวั ใจออกเปน็ 4 ห้อง หวั ใจเตน้ 72 คร้ังตอ่ นาที กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสิรินธร หน้า 5

ความดันเลือด ( blood pressure) หมายถึงความดันในหลอดเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่เกิดจากบีบตัวของหัวใจที่ดัน เลือดให้ไหลไปตามหลอดเลือดความดันของหลอดเลือดแดงท่ีอยู่ใกล้หัวใจจะมีความดันสูงกว่าหลอดเลือดแดงท่ีอยู่ไกล หัวใจ ส่วนในหลอดเลือดดาจะมีความดันต่ากว่าหลอดเลือดแดงเสมอความดันเลือดมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg) เป็นตวั เลข 2 ค่าคือ ค่าความดันเลอื ดขณะหวั ใจบบี ตัว และคา่ ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เช่น 120/80 มลิ ลเิ มตรปรอท ค่าตัวเลข 120 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ เรียกว่า ความดันระยะหัวใจ บบี ตวั (Systolic Pressure) สว่ นตัวเลข 80 แสดงความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เพ่ือรับเลือดเข้าสู่หัวใจ เรียกว่า ความดันระยะหัวใจ คลายตวั (Diastolic Pressure) เครือ่ งมือวัดความดันเลอื ด เรียกว่า “มาตรความดันเลือด จะใช้คูก่ ับสเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัด ความดันทหี่ ลอดเลือดแดง ปกติความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจมีค่า 100 + อายุ และความดันเลือดขณะ หวั ใจรับเลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท ถ้าเกินจะเป็นโรคความดันเลือดสูง ซ่ึงมีสาเหตุหลายประการ เช่น หลอด เลือดตีบตัน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง โกรธง่ายหรือเครียดอยู่เป็นประจา พบมากในผู้สูงอายุหรือผู้ท่ีมีจิตใจอยู่ใน สภาวะเครียด นอกจากนี้ยังเกิดจากอารมณ์โกรธทาให้ร่างกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมา ซ่ึงสารนี้จะมีผลต่อการบีบตัว ของหวั ใจโดยตรง ชีพจร หมายถึง การหดตัวและการคลายตัวของหลอดเลือดแดง ซึ่งตรงกับจังหวะการเต้นของหัวใจคนปกติ หัวใจเต้นเฉล่ียประมาณ 72 คร้ังต่อนาที การเต้นของชีพจรแต่ละคนจะแตกต่างกันปกติอัตราการเต้นของชีพจรในเพศ ชายจะสูงกว่าเพศหญิง ปจั จยั ที่มีผลต่อความดนั เลือด มดี งั นี้ 1.อายุ ผ้สู งู อายมุ คี วามดนั เลือดสงู กว่าเดก็ 2.เพศ เพศชายมีความดนั เลือดสงู กวา่ เพศหญงิ ยกเว้นเพศหญิงที่ใกล้หมดประจาเดือนจะมีความดนั เลอื ด ค่อนข้างสูง 3.ขนาดของรา่ งกาย คนที่มรี า่ งกายขนาดใหญม่ ักมคี วามดันเลือดสูงกวา่ คนทีม่ รี า่ งกายขนาดเลก็ อารมณ์ ผู้ทีม่ ีอารมณเ์ ครยี ด วติ กกังวล โกรธหรือตกใจงา่ ยทาให้ความดนั เลือดสูงกวา่ คนทอ่ี ารมณป์ กติ 4.คนทางานหนกั และการออกกาลังกาย ทาใหม้ คี วามดนั เลือดสงู กรุ๊ปเลือด กรุ๊ปเลอื ด, กรุ๊ปโลหติ , หมเู่ ลอื ด หรือหม่โู ลหติ (Blood group หรือ Blood type) คือ ตัวบง่ บอกความ แตกตา่ งของเลอื ด ซ่ึงสามารถทราบไดจ้ ากการเจาะเลอื ด โดยดจู ากสารที่มีช่ือว่า “แอนติเจน” (Antigens) เป็นสาคัญ การทราบกรุป๊ เลอื ดของตวั เองถือเรื่องสาคัญทท่ี ุกคนควรรู้ เนอ่ื งจากจะช่วยให้แพทยใ์ หค้ วามช่วยเหลอื ไดอ้ ย่างทนั ทเี มื่อ มเี หตุฉกุ เฉนิ หรอื เหตุการณ์ไม่คาดฝนั ที่ต้องมีการเปล่ยี นถา่ ยเลือด (Blood Transfusion) ปกติแล้วเลือดของมนษุ ย์จะมีสว่ นประกอบ ได้แก่ เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง (Red Rlood Cells), เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว (White Blood Cells), เกลด็ เลือด (Platelets) และพลาสมาหรอื น้าเลอื ด (Plasma) โดยความแตกตา่ งของเลือดทนี่ ามาระบุ กรุ๊ปเลอื ดจะดจู ากสาร 2 ชนิด คอื แอนติเจน (Antigens) และแอนติบอดี (Antibodies) ในเลอื ด โดยแอนติเจนนนั้ คอื โมเลกุลของโปรตนี ท่ีพบอย่ผู ิวบรเิ วณดา้ นนอกของเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง สว่ นแอนติบอดีจะมีอยใู่ นพลาสมาหรือน้าเลอื ด ท้งั น้ี ความแตกตา่ งของแอนติเจนในแต่ละคนจะถูกถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม หากพ่อหรือแมม่ ีกรุ๊ปเลือดใด เด็กกจ็ ะมกี รุ๊ปเลือดเหมือนพ่อหรือแม่คนใดคนหนึง่ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรียนสิรินธร หน้า 6

ความสาคญั ของการทราบกรุ๊ปเลือด ใช้เปน็ หลักในการพิจารณาหาเลอื ดทีเ่ หมาะสมและเขา้ กันไดก้ ับผู้ป่วยที่ตอ้ งได้รบั เลือดเพื่อการรักษาภาวะ ผดิ ปกตขิ องร่างกาย เพื่อไมใ่ ห้เกดิ ผลขา้ งเคียงจากการรับเลือด กล่าวคือ เมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบตั เิ หตุฉุกเฉนิ จะทา ให้มีความปลอดภัยมากขึน้ เมื่อผู้ป่วยต้องเขา้ รับการเปลีย่ นถ่ายเลือด (ไม่ว่าจะเปน็ ในระหวา่ งการผ่าตัดหรอื การเขา้ รับ การปลูกถา่ ยอวัยวะ) ซึ่งหากผู้ป่วยไม่ทราบกรุป๊ เลือดของตวั เองหรอื แจง้ กรุป๊ เลือดผิดก็อาจสง่ ผลอันตรายตอ่ ผู้ป่วยได้ (เชน่ ผ้ปู ว่ ยมีเลอื ดกรปุ๊ บี แต่ได้รบั เลือดกรปุ๊ เอ แอนตบิ อดีชนิดเอที่อยู่ในน้าเลือดของผใู้ ห้จะไปทาลายเซลล์เมด็ เลือดที่มี แอนติเจนชนิดเอของผู้รบั ) กรุ๊ปเลอื ดมีความสาคัญตอ่ หญิงตั้งครรภ์หรือผวู้ างแผนจะต้งั ครรภ์ เพราะแพทย์จะไดพ้ ร้อมรบั มือกบั ปัญหาท่ี อาจจะเกิดขนึ้ ในระหว่างการต้ังครรภไ์ ด้ เพราะหากแม่มกี รุ๊ปเลือดอารเ์ อชลบ แต่พ่อมีกรุ๊ปเลือดอาร์เอชบวก ทารกอาจมี แนวโน้มที่จะมีกรุ๊ปเลอื ดชนิดอารเ์ อชบวกและมโี อกาสเสียชีวติ ในครรภไ์ ด้ ทาให้แม่ต้องรับยา Rh immunoglobulin (RhoGAM) เพอ่ื ป้องกันไม่ให้แมส่ รา้ งแอนติบอดีทไี่ ปทาลายเซลล์เม็ดเลือดของทารกในกรณีท่เี ลือดของแมแ่ ละเด็กเกิด การผสมกนั ซ่ึงเป็นส่งิ ทีม่ ักเกิดขึน้ ในระหวา่ งการตง้ั ครรภ์ ทางด้านนิตวิ ทิ ยาศาสตร์ กรุ๊ปเลือดถูกนามาใช้เพื่อระบุความเกยี่ วข้องกนั ทางพนั ธุกรรมถึงความเปน็ พ่อแม่ลกู กนั และใชศ้ ึกษาการสืบเชื้อสายของเหล่าพนั ธไุ์ ด้ อีกทั้งยังใช้ในการชว่ ยระบตุ ัวคนรา้ ยในกรณีท่ีเกดิ เหตุอาชญากรรมได้ ดว้ ย ชนดิ ของกรุ๊ปเลอื ด ในปจั จุบนั มีระบบกรุ๊ปเลอื ดอยู่ 32 ระบบ แตร่ ะบบทมี่ ีความสาคัญจะมอี ยู่ 2 ระบบใหญ่ ๆ ได้แก่ 1.กรุ๊ปเลือดระบบเอบีโอ (ABO system หรือ ABO blood group system) เป็นระบบท่ีนิยมใช้กันมาก และสาคัญท่ีสุด โดยจะกาหนดกรุ๊ปเลือดได้จากการตรวจหาชนิดของแอนติเจน (สารก่อภูมิต้านทาน) และแอนติบอดี (สารภูมติ า้ นทาน) จากเลือด ซ่งึ จะแบง่ กรุป๊ เลือดออกเปน็ 4 กรปุ๊ คอื กรุ๊ปเลือด A คือ กรุ๊ปเลือดที่มีแอนติเจนชนิดเอ (A Antigens) ที่เซลล์เม็ดเลือดแดง และมีสารแอนติบอดี ชนดิ แอนติ-บี (Anti-B) ในพลาสมา ในคนไทยพบกรุ๊ปเลือดน้ปี ระมาณ 22% กรุ๊ปเลือด B คือ กรุ๊ปเลือดทีม่ แี อนตเิ จนชนิดบี (B Antigens) ที่เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง และมีสารแอนติบอดีชนิด แอนติ-เอ (Anti-A) ในพลาสมา ในคนไทยพบกรปุ๊ เลือดนีป้ ระมาณ 33% กรุ๊ปเลือด O คือ กรุ๊ปเลือดที่ไม่มีแอนติเจนที่เซลล์เม็ดเลือดแดง แต่มีแอนติบอดีทั้งชนิดแอนติ-เอ (Anti-A) และชนิดแอนต-ิ บี (Anti-B) ในพลาสมา ในคนไทยพบกรปุ๊ เลือดน้ไี ดม้ ากทส่ี ดุ ประมาณ 22% กรุ๊ปเลือด AB คือ กรุ๊ปเลือดที่มีแอนติเจนทั้งชนิดเอ (A Antigens) และชนิดบี (B Antigens) ท่ีเซลล์เม็ด เลือดแดง แต่ไม่มีแอนติบอดีชนิดแอนติ-เอ (Anti-A) และชนิดแอนติ-บี (Anti-B) ในพลาสมา ในคนไทยพบกรุ๊ปเลือดนี้ ไดน้ ้อยท่สี ดุ ประมาณ 8% 2.กรุ๊ปเลือดระบบอาร์เอช หรือรีซัส (Rh system หรือ Rh (Rhesus) blood group system) เป็น ระบบกรุ๊ปเลือดสาคัญรองจากระบบเอบีโอ ซึ่งประกอบไปด้วยแอนติเจนที่มีความสาคัญทางค ลินิก 5 ชนิด คือ แอนติเจนดีใหญ่ (D), แอนติเจนซใี หญ่ (C), แอนตเิ จนอีใหญ่ (E), แอนติเจนซีเล็ก (c), แอนติเจนอีเล็ก (e) และแอนติเจน อ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องแต่ไม่ค่อยมีความสาคัญทางคลินิกอีก 46 ชนิด แต่แอนติเจนตัวสาคัญที่เป็นตัวบ่งบอกชนิดของกรุ๊ป เลือดระบบอาร์เอชคือ แอนติเจนชนิดดีใหญ่ (D) ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 2 กรุ๊ป (เม่ือเอ่ยถึงอาร์เอชบวกหรืออาร์เอชลบ นั้นจะหมายถงึ เฉพาะแอนตเิ จนชนดิ ดใี หญ)่ คือ กรุป๊ เลอื ดอารเ์ อชบวก (Rh+ หรือ Rh Positive) ผูท้ ี่มีกร๊ปุ เลอื ดดังกลา่ วจะมีแอนติเจน-ดีใหญ่ (Antigen-D) อยู่ท่ีผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง สามารถรับเลือดได้ท้ังชนิดอาร์เอชบวก (Rh+) และอาร์เอชลบ (Rh-) ซึ่งในคนไทยส่วน ใหญจ่ ะมีกรปุ๊ เลือดอารเ์ อช (D) บวกนปี้ ระมาณ 99.7% กรุ๊ปเลือดอาร์เอชลบ (Rh- หรือ Rh Negative) ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดน้ีจะไม่มีแอนติเจน-ดีใหญ่ (Antigen-D) อยู่ ท่ีผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง สามารถรับเลือดได้แค่เพียงชนิดอาร์เอชลบ (Rh-) เท่าน้ัน และในคนไทยพบผู้ที่มีเลือดนี้ เพยี ง 0.3% ซ่ึงเราเรียกวา่ เป็น “กรุ๊ปเลอื ดหายาก” หรือ “กรุ๊ปเลอื ดพิเศษ” กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสริ ินธร หน้า 7

ดังนน้ั กรุป๊ เลอื ดระบบอาร์เอชจึงแบง่ การกรุ๊ปเลือดออกเปน็ 8 กรปุ๊ ดงั น้ี การถ่ายทอดกรุ๊ปเลือดระบบเอบโี อของพ่อแม่ลกู ท่เี ป็นไปได้ พอ่ และแมจ่ ะถ่ายทอดกรปุ๊ เลือดระบบเอบีโอให้ลกู เป็นกรุป๊ เลือดไดด้ ังตารางดา้ นลา่ งน้ี กรปุ๊ เลอื ดทีเ่ ขา้ กันได้ ความแตกต่างกันของแอนติเจนในเลือดทาให้ผู้ท่ีมีความแตกต่างกันของกรุ๊ปเลือดบางกรุ๊ปจะไม่สามารถรับ เลือดของกรุ๊ปอื่นได้ แต่บางกรุ๊ปก็สามารถรับเลือดของกรุ๊ปเลือดอื่นได้ โดยผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดในแต่ละกรุ๊ปหากมีความ จาเป็นต้องได้รบั เลือด แพทยจ์ ะพิจารณาใหเ้ ลอื ดท่ตี รงกับกรุ๊ปเลือดของผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน หรือไมส่ ามารถหาเลอื ดที่ตรงกบั ผูป้ ว่ ยได้ แพทยจ์ ะใช้หลกั การให้เลือดทเ่ี มือ่ ให้เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยแล้ว เม็ดเลือด แดงจะต้องไม่มีแอนติเจน (สารก่อภูมิต้านทาน) ท่ีตรงกับแอนติบอดี (สารภูมิต้านทาน) ที่ผู้ป่วยมี เพราะจะทาให้ เกิดปฏิกิริยาระหว่างกันแล้วเม็ดเลือดแดงนั้นจะถูกทาลายไป ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยกรุ๊ปเบือดเอท่ีมีเอนติเจนเอและมี แอนติบอดีบี จะรับเลือดกรุ๊ปบีที่มีแอนติเจนบีไม่ได้ เพราะจะทาปฏิกิริยากับแอนติบอดีบีของผู้ป่วยจนเม็ดเลือดแดง ผปู้ ่วยถกู ทาลาย กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรียนสริ นิ ธร หนา้ 8

โดยกรุป๊ เลอื ดท่ีสามารถใหเ้ ลือดหรือพลาสมากันได้จะเปน็ ไปตามตารางดา้ นล่างน้ี ***ข้อสังเกตุ : ในธนาคารเลือดท่วั ไปจะมีการสารองสว่ นประกอบของเลอื ดที่เป็นเม็ดเลอื ดแดงของกรุ๊ปเลือดโอเอาไว้ ไม่ให้หาด เพราะคนกรุ๊ปเลือดโอจะสามารถใหเ้ มด็ เลือดแดงแกค่ นกรปุ๊ เลอื ดอื่นได้ทุกกรปุ๊ แตจ่ ะรบั เมด็ เลือดแดงไดจ้ าก คนกรปุ๊ เลอื ดโอเท่านั้น และจะพยายามสารองสว่ นประกอบของเลือดทีเ่ ปน็ พลาสมาของกรุป๊ เลือดเอบเี อาไวส้ าหรบั ผปู้ ่วยกร๊ปุ เลอื ดเอบี เพราะคนกรปุ๊ เลอื ดเอบีจะสามารถให้พลาสมากบั คนกรปุ๊ เลือดอนื่ ได้ทกุ กร๊ปุ แตจ่ ะรับพลาสมาจาก คนกรุ๊ปเลอื ดเอบีไดเ้ ทา่ น้นั กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสิรนิ ธร หน้า 9


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook